'สถานีรถไฟความเร็วสูงอยุธยา' สร้างประโยชน์อะไร ให้ชาวอยุธยาได้บ้าง
ชวนส่อง!! ประโยชน์ 3 ด้าน จาก ‘สถานีรถไฟความเร็วสูงอยุธยา’ 🚅💨 ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ และยกระดับคุณภาพชีวิตให้พี่น้องชาวอยุธยาได้อย่างไรบ้าง ไปดูกันเลย!! 🇹🇭✨💵

ชวนส่อง!! ประโยชน์ 3 ด้าน จาก ‘สถานีรถไฟความเร็วสูงอยุธยา’ 🚅💨 ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ และยกระดับคุณภาพชีวิตให้พี่น้องชาวอยุธยาได้อย่างไรบ้าง ไปดูกันเลย!! 🇹🇭✨💵
(11 ต.ค. 66) สมรภูมิตลาดน้ำอัดลม 62,000 ล้าน เดือด!! ‘เอส’ เปิดเกมเฉือนส่วนแบ่งเจ้าตลาด ‘โค้ก-เป๊ปซี่’ หวังขยับมาร์เก็ตแชร์เพิ่มทุกปีจากปัจจุบัน 9.1% รั้งเบอร์ 3 รีแบรนด์รอบทศวรรษ ทุ่ม 200 ล้าน งัดมิวสิคมาร์เก็ตติ้งขยายเจน-Z พร้อมแจกน้ำอัดลม 1 ล้านกระป๋อง มุ่ง เอเชียนโคล่าแห่งภูมิภาค
ตลาดเครื่องดื่มน้ำอัดลมไทยมูลค่ารวมกว่า 62,000 ล้านบาท ถูกครองตลาดโดย 2 โกลบอลแบรนด์ ‘โค้ก’ และ ‘เป๊ปซี่’ ซึ่งทั้งสองค่ายมีส่วนแบ่งการตลาดน้ำอัดลมในไทยรวมกันเกินกว่า 80% นำโดย โค้ก ครองส่วนแบ่งการตลาด 54% ตามมาด้วย เป๊ปซี่ 30% นอกจากนี้ ยังมีแบรนด์ ‘บิ๊กโคล่า’ จากอเมริกาใต้ และ ‘อาร์ซี’ แบรนด์โคล่าสัญชาติอเมริกา
แม้ตลาดน้ำอัดลมไทยจะมีโกลบอลแบรนด์เป็นผู้ขับเคลื่อนหลัก แต่แบรนด์สัญชาติไทย 'เอส' ภายใต้อาณาจักรยักษ์ใหญ่เครื่องดื่มกลุ่มไทยเบฟ แจ้งเกิดตั้งแต่ปี 2554 ถือเป็นแบรนด์น้องใหม่ แต่เก๋าเกม ด้วยผู้ก่อตั้งแบรนด์อย่าง บริษัท เสริมสุข มีความเชี่ยวชาญและเป็นผู้วางรากฐานในตลาดเครื่องดื่มน้ำอัดลมของไทย มานานกว่า 6 ทศวรรษ
โดยปัจจุบัน ‘ไทยดริ้งค์’ ในเครือไทยเบฟเป็นผู้ทำตลาด ‘เอส’ อยู่ในสถานะเบอร์ 3 ของตลาดด้วยส่วนแบ่งฯ 9.1% แน่นอนว่า ความแข็งแกร่งของธุรกิจไทยเบฟที่มีเครือข่ายและมีช่องทางจำหน่ายครอบคลุมทั่วประเทศ พร้อมแผนเชิงรุกมุ่งเจาะกลุ่มคนรุ่นใหม่ ล่าสุดกับการปรับโฉมแบรนด์จะเป็นแรงหนุนทำให้ ‘เอส’ เติบโต พร้อมขยายส่วนแบ่งการตลาดเพิ่มขึ้น
นางสาวสุภรณ์ เด่นไพศาล ผู้อำนวยการสำนักการตลาด สายธุรกิจเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ ประเทศไทย บริษัท ไทยดริ้งค์ จำกัด กล่าวว่า ภาพรวมตลาดน้ำอัดลมไทยปี 2566 แข่งขันอย่างดุเดือด ทุกแบรนด์ต่างโหมแคมเปญและทำตลาดอย่างเข้มข้นตลอดทั้งปี ทั้งการเปิดตัวเครื่องดื่มรสชาติใหม่ การทำกิจกรรมการตลาด และการเลือกใช้พรีเซนเตอร์ มาร่วมขยายฐานกลุ่มลูกค้าเป้าหมายคนรุ่นใหม่
ตลาดรวมน้ำอัดลมในปีนี้ที่มีมูลค่า 62,000 ล้านบาท แบ่งเป็น น้ำดำ 75% และ น้ำสี 25% กลับมาขยายตัวสูงในรอบหลายปีที่ผ่านมา โดยหากเปรียบเทียบกับปี 2562 ตลาดรวมมีมูลค่าประมาณ 50,000 ล้านบาท ส่วนในปีที่ผ่านมา 2565 ภาพรวมตลาดรวมมีการขยายตัวประมาณ 1.8%
โดยในปีนี้ได้รับแรงหนุนการใช้จ่ายในประเทศ รวมถึงการบริโภคที่สูงขึ้น รวมถึงนักท่องเที่ยวที่เข้ามาในประเทศ และจากการปรับขึ้นราคาน้ำอัดลมในช่วงที่ผ่านมา หากไปสำรวจการดื่มน้ำอัดลมของคนในประเทศ เฉลี่ยต่อปี 37.5 ลิตรต่อคนต่อปี ส่วนปริมาณรวมการบริโภคน้ำอัดลมในประเทศประมาณรวม 2,100 ล้านลิตร
“ภาพรวมตลาดปีนี้ กลับมาขยายตัวสูง 16% และเติบโตสูงในช่วงหลายปีที่ผ่านมา จากที่ผ่านมาตลาดจะขยายตัวเป็นตัวเลขแบบอัตราเดียว โดยตลาดรวมได้รับปัจจัยบวกจากสถานการณ์ในประเทศที่กลับมาปกติ และสภาพอากาศที่ร้อนมากขึ้น จึงเป็นปัจจัยกระตุ้นทำให้ตลาดรวมกลับมาแข่งขันอย่างรุนแรงขึ้น” นางสาวสุภรณ์ กล่าว
‘เอส’ รีแบรนด์รอบ 11 ปี
ทั้งนี้ ‘เอส’ ได้มีการรีแบรนด์ใหญ่ในรอบ 11 ปี โดยการปรับสูตรและปรับโฉมใหม่ การร่วมดึง ไอคอนตัวแทนคนรุ่นใหม่ชาวเอเชีย ชาอึนอู และพรีเซนเตอร์คนไทย มาร่วมขยายตลาดกลุ่มลูกค้าเป้าหมายคนรุ่นใหม่ สามารถสร้างยอดขายสูงขึ้น 22.6% นับตั้งแต่เดือน ก.ย. 2565 - ส.ค.2566 ทำให้มีส่วนแบ่งการตลาด เพิ่มขึ้นเป็น 9.1% นับจากเดือน ส.ค.ที่ผ่านมา จากเดิมมีส่วนแบ่งการตลาด 7%
แผนการตลาดในปี 2567 (ต.ค. 2566-ก.ย. 2567) จะใช้งบประมาณ 200 ล้านบาท ใกล้เคียงกับปีก่อน พร้อมขยายตลาดด้วยกลยุทธ์ มิวสิคมาร์เก็ตติ้ง เพื่อเป็นสื่อสำคัญในการเข้าถึงคนรุ่นใหม่ ที่ต่างให้ความสำคัญในเรื่องนี้ จึงได้ทุ่มงบ 80 ล้านบาท ร่วมมือพันธมิตรทางดนตรี ‘เอ-ไทม์’ และ ‘จีเอ็มเอ็มโชว์’ จัด 2 กิจกรรมใหญ่ ประกวดดนตรีในตำนาน ‘est Cola Presents Hotwave Music Awards 2023’ การร่วมเทศกาลดนตรีที่ใหญ่สุดใจกลางเมืองกรุงเทพฯ ‘est Cola Presents Monster Music Festival 2023’ พร้อมส่งบรรจุภัณฑ์กระป๋อง ‘est Cola Awards Awesome Monster’ ที่นำคาแรกเตอร์มอนสเตอร์รวม 8 ลาย มาร่วมขยายตลาดกลุ่มเป้าหมาย
เจาะคนรุ่นใหม่ - ดันแบรนด์ ‘เอเชียนโคล่า’
สำหรับกลยุทธ์มิวสิคมาร์เก็ตติ้งในครั้งนี้ จึงเป็นการเร่งเครื่องขยายตลาดเจาะกลุ่มลูกค้าเป้าหมายคนรุ่นใหม่ โดยเฉพาะกลุ่มเจน Z ในอายุ 15-24 ปี ที่เป็นฐานลูกค้าสำคัญ และมีแผนนำเครื่องดื่มน้ำอัดลม 1 ล้านกระป๋อง เปิดให้ลูกค้าได้เข้ามาร่วมทดลองชิมผลิตภัณฑ์ เพื่อสร้างการรับรู้ถึงเครื่องดื่มที่ได้ปรับรสชาติใหม่
นอกจากตลาดในประเทศที่บริษัทเร่งโหมการตลาดครั้งใหญ่แล้ว อีกแนวทางสำคัญที่จะเพิ่มยอดขายกับ ขยายช่องทางจำหน่ายและทำตลาดเพิ่มมากขึ้น โดยพร้อมเร่งขยายตลาดผ่านร้านโชห่วยทั่วประเทศ จากในปัจจุบันมีจำนวนกว่า 1 แสนโชห่วยทั่วไทย รวมถึงขยายผ่านช่องทางร้านอาหารควบคู่กัน
พร้อมกันนี้ ‘เอส’ เตรียมรุกตลาดภูมิภาคอาเซียนมากขึ้น โดยวางตำแหน่งแบรนด์ ‘เอเชียน โคล่า’ โดยจะรุกตลาดไปในประเทศใหม่ๆ สอดคล้องนโยบายกลุ่มไทยเบฟที่ได้วางยุทธศาสตร์ขยายตลาดครอบคลุมอาเซียน และมีการลงทุนไปในประเทศต่างๆ ซึ่งที่ผ่านมา เอสได้มีการทำตลาดทั้งในประเทศ จีน ทำเลตอนใต้ และมาเลเซีย สร้างผลตอบรับที่ดีเช่นกัน
“ภาพรวมปีนี้ประเมินว่า ยอดขายจะขยายตัวอย่างต่อเนื่อง และบริษัทสามารถเพิ่มส่วนแบ่งการตลาดในเครื่องดื่มน้ำอัดลมมากขึ้น”
ผู้ประกอบการลุยเซ็กเมนต์ใหม่
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากการสำรวจตลาดน้ำอัดลมในไทย ยังมีการเพิ่มเซ็กเมนต์ใหม่เพิ่มขึ้นจากผู้ประกอบการเครื่องดื่มรายใหญ่ของไทย ทั้งจาก ตันซันซูเครื่องดื่มโซดา ที่เป็นน้ำอัดลมในสไตล์เกาหลี จากบริษัท อิชิตัน กรุ๊ป เข้ามาสร้างประสบการณ์ครั้งใหม่และเจาะกลุ่มลูกค้าคนรุ่นใหม่ รวมถึงจากค่าย สิงห์ คอร์เปอเรชั่น ที่มีเครื่องดื่มอัดก๊าซ อย่าง ‘สิงห์ เลมอนโซดา’ เข้ามาร่วมกระตุ้นตลาด สร้างเซ็กเมนต์ใหม่เครื่องดื่มอัดก๊าซให้มีความคึกคักมากยิ่งขึ้น
อีกทั้ง อีกปัจจัยที่ทำให้ตลาดเครื่องดื่มน้ำอัดลมในภาพรวมกลับมาขยายตัวสูง มาจากธุรกิจท่องเที่ยวที่กลับมาขยายตัว ทำให้ธุรกิจร้านอาหารต่างๆ กลับมาเปิดให้บริการ จึงส่งผลดีต่อตลาดน้ำอัดลมโดยรวม
(11 ต.ค.66) ที่กองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด (บก.ปส.) เเถลงผล ปฏิบัติการทลายเครือข่ายยาเสพติดยึดยาบ้ารวมแล้ว 11,634,000 เม็ด โดย พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รอง ผบ.ตร. เดินทางมาเป็นประธานการแถลงผลการจับกุมครั้งนี้ตามนโยบายการแก้ปัญหายาเสพติดของรัฐบาล และนโยบายของ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผบ.ตร. ที่มุ่งเน้นการแก้ไขปัญหายาเสพติดในทุกมิติ ทั้งการปราบปรามผู้ผลิตและผู้ค้ายาเสพติด โดยใช้มาตรการทาง กฎหมายอย่างจริงจังและเด็ดขาด รวมถึงการเพิ่มประสิทธิภาพในการสกัดกั้นการลำเลียงยาเสพติดตามแนวชายแดน หรือใช้ ประเทศไทยเป็นเส้นทางผ่าน และใช้มาตรการยึดทรัพย์เพื่อตัดวงจรการค้ายาเสพติด ภายใต้การอำนวยการของ พล.ต.ท.สรายุทธ สงวนโภคัย ผบช.ปส., พล.ต.ต.จิระวัฒน์ พยุงธรรม พล.ต.ต.พรพิทักษ์ รู้ยืนยงพล.ต.ต.บรรพต มุ่งขอบกลาง รอง ผบช.ปส., พล.ต.ต.พลัฏฐ วิเศษสิงห์ ผบก.สกส. พล.ต.ต.สมกิต พุ่มวารี ผบก.ขส. และพ.ต.อ.นพสิทธิ์ มิตรภักดี รอง ผบก.1 รรท. ผบก.ปส.๑ ได้เดินหน้าปราบปรามขบวนการค้ายาเสพติดอย่างต่อเนื่องและสามารถจับกุม 2 เครือข่ายใหญ่ ได้ของกลางเป็นยาบ้าจำนวน 11,634,000 เม็ด
โดยสืบเนื่องจากในเครือข่ายแรกนั้น ตำรวจ บก.ปส.1 และ บก.ข่าวกรองยาเสพติด บช.ปส. ได้ขยายผลการจับกุมขบวนการ ค้ายาเสพติดที่ จ.นครราชสีมา ทำให้ทราบว่าขบวนการค้ายาเสพติดกลุ่มของนายธีรยุทธ ซึ่งถูกดำเนินคดี จะลำเลียงยาเสพติด จำนวนมากอีกครั้ง จึงเฝ้าติดตามพฤติการณ์ กระทั่งวันที่ 8 ต.ค.66 พบว่านายธีรยุทธ พร้อมพวกใช้รถยนต์ติดแผ่นป้ายทะเบียน xx 1689 กทม และ รถยนต์ติดแผ่นป้ายทะเบียน xx 4580 กำแพงเพชร เดินทางมุ่งหน้าชายแดนภาคตะวันออกเฉียงเหนือขอ จ.นครพนม จึงวางกำลังติดตามกลุ่มเป้าหมายไว้ตามจุดที่คาดว่ากลุ่มเป้าหมายเดินทางผ่าน ต่อเนื่องช่วงเช้ามืดของวันที่ 9 ต.ค.66 พบรถยนต์เป้าหมายทั้ง 2 คัน จึงติดตามไป จนกระทั่งรถทั้ง 2 คัน ไปหยุดจอดในปั๊มปตท. อ.สีคิ้ว จ.นครราชสีมา ตำรวจ ปส.1 และ บก.ข่าวกรองยาเสพติด จึงได้แสดงตัวและขอตรวจค้นรถ ซึ่งมีนายวิ เป็นผู้ขับขี่รถยนต์ทะเบียน xx 1689 กทม. พบยาบ้าซุกซ่อนอยู่บริเวณเบาะหลัง และท้ายกระโปรงรถ รวม 4,884,000 เม็ด ขณะที่ รถยนต์ติดแผ่นป้ายทะเบียน xx 4580 กำแพงเพชร มีนายธีรยุทธ เป็นผู้ขับขี่ และ น.ส.บุญเรือง ทำหน้าที่สำรวจเส้นทางถูกจับกุมเช่นกัน
โดยผู้ต้องหารับสารภาพว่ารับยาเสพติดจากพื้นที่ จ.นครพนม เพื่อจะมาส่งให้ลูกค้าในพื้นที่ อ.เมือง จ.สระบุรี และนำตัวผู้ต้องหาส่งพนักงานสอบสวน บช.ปส. ดำเนินคดี และขยายผลติดตามออกหมายจับบุคคลในเครือข่ายและยึดทรัพย์สินตามประมวลกฎหมายยาเสพติด พ.ศ.2564 ต่อไป
ในส่วนของเครือข่ายที่ 2 ตำรวจ บก.สกส. และ บก.ข่าวกรองยาเสพติด บช.ปส. ได้ขยายผลจากการจับกุมเครือข่ายยาเสพติด จ.นครสวรรค์ ทราบว่าจะมีการขนยาเสพติดล็อตใหญ่เพื่อส่งให้กับลูกค้าในพื้นที่ปริมณฑลและพื้นที่ใกล้เคียงจึงวางแผนจับกุม ต่อมาเมื่อวันที่ 4 ต.ค.66 เวลาประมาณ 23.50 น. ตำรวจ บก.สกส. และ บก.ข่าวกรองยาเสพติดร่วมกันติดตามรถกระบะอีซูซุ หมายเลขทะเบียน xx 9536 กรุงเทพมหานคร ไปตามถนนหมายเลข 111 ต.ในเมือง อ.เมือง จ.พิจิตร โดยเมื่อไปถึงบริเวณบึงบัว ซึ่งอยู่ภายในบึงสีไฟ ต.เมืองเก่า อ.เมือง จ.พิจิตร ผู้ขับขี่ทราบชื่อภายหลังว่า นายณัฐชนน อายุ 25 ปี ได้จอดรถแล้ววิ่งหลบหนีไปซ่อนตัวอยู่ในบึงบัวอยู่นานหลายชั่วโมง ต่อมาตำรวจ ปส. และเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.เมืองพิจิตร ได้ร่วมกันจับกุมตัวได้ และจากการตรวจค้นรถที่นายณัฐชนน ขับขี่พบยาบ้า 6,750,000 เม็ด ชุกซ่อนอยู่บริเวณท้ายกระบะซึ่งมีลักษณะเป็นตู้ที่บ จึงยึดเป็นของกลางและแจ้งข้อกล่าวหาให้ผู้ต้องหาทราบ จากนั้นจึงจับกุมตัวผู้ต้องหาส่งพนักงานสอบสวน บช.ปส. ดำเนินคดี และขยายผลติดตามออกหมายจับ บุคคลในเครือข่าย และยึดทรัพย์สินตามประมวลกฎหมายยาเสพติด พ.ศ. 2564 ต่อไป
การกระทำของผู้ต้องหาทั้ง 2 เครือข่าย เป็นความผิดฐาน “ร่วมกันกับพวกที่หลบหนี จำหน่ายยาเสพติดให้โทษประเภท 1 (เมทแอมเฟตามีนหรือยาบ้า โดยมีไว้เพื่อจำหน่าย อันเป็นการกระทำเพื่อการค้า ก่อให้เกิดการแพร่กระจายในหมู่ประชาชน และทำให้เกิดผลกระทบต่อความมั่นคงของรัฐหรือความปลอดภัยของประชาชนทั่วไป” อันเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายยาเสพติด พ.ศ. 2564 มาตรา 1,29(1)90, 134, 145 วรรคหนี่ง,145 วรรค 2(1), (2), 145 วรรคสาม (2) , 152 ประกาศ กระทรวงสาธารณสุขเรื่องระบุชื่อยาเสพติดให้โทษในประเภท 1 พ.ศ. 2565 ลง 4 ต.ค. 2564 บัญชีท้ายประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่อง ระบุชื่อ ยาเสพติดให้โทษในประเภท 2 ลำดับที่ 53 พ.ร.บ.ให้ใช้ประมวลกฎหมายยาเสพติด พ.ศ.2564 มาตรา 8 ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83
โดยหลังจากการนำเสนอผลการหลังจากแถลงผลปฏิบัติการในครั้งนี้เสร็จสิ้นแล้วนั้น พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รอง ผบ.ตร. ได้ตอบคำถามผู้สื่อข่าวถามว่าจุดหมายปลายทางของยาบ้าล็อตนี้นั้นคือที่ใด พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ กล่าวว่า จุดหมายปลายทางของยาบ้าล็อตนี้นั้นคือพื้นที่ตอนกลางและไปยังตอนใต้ของประเทศ
ผู้สื่อข่าวถามว่าในแต่ละครั้งนั้นกลุ่มเครือข่ายเหล่านี้นั้นมีการค้นยาบ้าในจำนวนที่เยอะมากในครั้งนี้ก็นับว่าเยอะมากเป็นจำนวนกว่า 11,634,000 เม็ด เหตุใดยังไม่ลดลงเลยในเมื่อมีการจับกรณีในลักษณะนี้อยู่ตลอด พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ กล่าวว่า ปัญหายาเสพติดนั้นเป็นปัญหาเรื้อรังมานาน แท้จริงเเล้วในการปฏิบัติการเรื่องยาเสพติดนั้นมีการทำงานร่วมกันของทุกภาคส่วนและทำงานกันอย่างสุดความสามารถในเรื่องของเก็บข้อมูล สกัดกั้นและทำลายโครงสร้างของกลุ่มผู้ค้าหลายกลุ่มมาแล้ว ดังนั้นแล้วก็จะมีบางกลุ่มที่อยู่ในระหว่างการสืบสวน
ผู้สื่อข่าวถามว่าทางตำรวจเองจะมียุทธวิธีในการต่อกรกับกลุ่มเครือข่ายเหล่านี้อย่างไร พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ กล่าวว่า ทางตำรวจมีการฝึกฝนในการต่อกรกับกลุ่มเครือข่ายเหล่านี้ร่วมทั้งการเสริมสร้างเขี้ยวเล็บและอุปกรณ์เครื่องมือต่างๆ ซึ่งทางสำนักงานตำรวจเเห่งชาติเองนั้นมีการตั้งงบประมาณให้กับผู้ปฏิบัติงานด้านนี้ทุกๆ ปี เพื่อนำไปปฏิบัติหน้าที่ให้เกิดผลประโยชน์สำเร็จ
ในส่วนของอาวุธปืนที่พบว่าคนร้ายได้มีการจัดหามีใช้งานนั้นทางตำรวจกำลังดำเนินการการตรวจสอบและขยายผลต่อไป ตอนนี้ขอให้เป็นเรื่องของการสืบสวนสอบสวนต่อไป
หลังจากให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนเสร็จสิ้นนั้นทางพล.ต.อ.กิตติ์รัฐ ได้มอบเงินรางวัลเป็นขวัญกำลังให้เเก่เจ้าหน้าที่ ที่เกี่ยวข้องในการปฏิบัติหน้าที่ในครั้งนี้ เพราะเดินทักทายเเละกล่าวขอบคุณเจ้าหน้าที่มีส่วนเกี่ยวข้องด้วยเช่นเดียวกัน
(11 ต.ค. 66) สำนักข่าวซินหัว รายงานว่า จีนได้รับเลือกตั้งเป็นสมาชิกคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ (UNHRC: United Nations Human Rights Council) สมัยที่ 6 ทำให้จีนเป็นหนึ่งในรัฐที่ได้รับเลือกตั้งเป็นสมาชิกคณะมนตรีฯ บ่อยที่สุด โดยก่อนหน้านี้จีนได้เป็นสมาชิกคณะมนตรีฯ ในปี 2006-2012 (ได้รับเลือกตั้งอีกครั้งในปี 2009) ปี 2014-2016 ปี 2017-2019 และปี 2021-2023 ส่งผลให้จีนเป็น 1 ใน 15 รัฐที่ได้รับเลือกตั้งผ่านการลงคะแนนเสียงแบบลับโดยสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติให้อยู่ในคณะมนตรีฯ อันมีสมาชิก 47 ราย เป็นระยะเวลา 3 ปี เริ่มต้นวันที่ 1 มกราคม 2024 (พ.ศ. 2567)
สำหรับ UNHRC มีชื่อเรียกย่อๆ ว่า HRC เป็น กลไกระหว่างรัฐ จัดตั้งขึ้นตามข้อมติ สมัชชาแห่งสหประชาชาติเมื่อวันที่ 15 มีนาคม 2549 โดยมีหน้าที่สำคัญในการสอดส่องดูแลการละเมิดสิทธิมนุษยชน ที่เกิดขึ้นทั่วโลก เพื่อหยุดยั้งการละเมิดสิทธิ มนุษยชน
เมื่อวันที่ 10 ต.ค.66 นายวีระศักดิ์ โควสุรัตน์ สมาชิกวุฒิสภา รองประธานกรรมาธิการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ของวุฒิสภาไทย ได้รับเชิญให้ขึ้นอภิปรายที่กรุง มอสโก ประเทศรัสเซีย ในหัวข้อ 'หลักกฎหมายขยายความรับผิดชอบของผู้ออกแบบผลิตภัณฑ์' (Extended Producers Responsibility EPR)
การเสวนา Russian Ecological Forum ครั้งที่ 3 นี้ จัดโดยรัฐสภาและรัฐบาลรัสเซีย ในโอกาสที่ประธานาธิบดีปูตินนำหลักกฎหมายพิทักษ์สิ่งแวดล้อมฉบับใหม่ออกมาใช้บังคับ เพื่อกำหนดภาระเพิ่มแก่ผู้ผลิต หรือผู้นำเข้าสินค้า ที่จะต้องลดปริมาณการใช้พลาสติกตั้งแต่ขั้นออกแบบ การใช้พลาสติกในการทำหีบห่อบรรจุภัณฑ์ การรับคืนภาชนะเมื่อผู้บริโภคใช้หมดแล้ว การนำกลับมาใช้ใหม่ หรือนำกลับมาทำลาย ซึ่งเป็นหนึ่งในความพยายามของรัฐบาลรัสเซียที่ประสงค์จะลดปริมาณขยะและปิดเลิกหลุมฝังกลบที่เคยมีอยู่ ให้เหลือน้อยที่สุดเท่าที่ทำได้
โดยบุคลากรระดับสูงที่ร่วมบนเวทีเสวนาครั้งนี้ ประกอบด้วยนางวิคตอเรีย อัมรามเชงโก รองนายกรัฐมนตรี รองประธานสภาดูมาร์ (สภาผู้แทนราษฎรรัสเซีย) รองประธานวุฒิสภารัสเซีย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสิ่งแวดล้อมรัสเซีย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสิ่งแวดล้อมเบลารุส รองประธานธนาคารกลางรัสเซีย ที่ปรึกษาประธานาธิบดีรัสเซีย ประธานบริษัทวิสาหกิจขนาดใหญ่ ด้านการจัดการขยะผู้อำนวยการด้านสิ่งแวดล้อมของรัสเซีย และนายวีระศักดิ์ โควสุรัตน์ รองประธานกรรมาธิการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมของไทย
(11 ต.ค.66) รองผู้ว่าการด้านตลาดเอเชีย และแปซิฟิกใต้ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย หรือ ททท. ฉัททันต์ กุญชร ณ อยุธยา ระบุ ปี 2566 ประเทศไทยต้อนรับนักท่องเที่ยวต่างชาติแล้วกว่า 20.3 ล้านคน การฟื้นตัวที่สำคัญมาจากนักท่องเที่ยวตลาดเอเชีย และแปซิฟิกใต้ จำนวนถึง 14.7 ล้านคน เช่น จีน มาเลเซีย อินเดีย
ททท. จึงเพิ่มแรงส่งอย่างต่อเนื่องด้วยการอำนวยความสะดวกด้านระบบสื่อสารและบริการดิจิทัลที่จะสนับสนุนพฤติกรรมการท่องเที่ยวของนักท่องเที่ยวยุคใหม่ให้สะดวกสบายผ่านโลกออนไลน์ได้มากยิ่งขึ้น รวมทั้งถือเป็นกลยุทธ์ที่ดีในการกระตุ้นการท่องเที่ยวไทยรับไฮซีซันส่งท้ายปลายปี 2566
หัวหน้าคณะผู้บริหารกลุ่มลูกค้าทั่วไป AIS ปรัธนา ลีลพนัง ระบุ จากพฤติกรรมของนักท่องเที่ยวในปัจจุบัน นิยมใช้บริการทุกด้านผ่านทาง Digital Channel ทั้งการทำธุรกรรมทางการเงิน, การจองที่พัก, ช้อปปิ้ง รวมไปถึงการใช้บริการของภาครัฐเอง นอกจากนี้ ยังมีกลุ่ม Digital Nomad ที่นิยมเดินทางท่องเที่ยว พร้อมกับ Work From Anywhere จากทุกมุมโลก
โดยร่วมกับ ททท. เปิดตัวแคมเปญ Welcome Back to Thailand ผ่าน Amazing Thailand SIM ที่มีแพ็กเกจการใช้งานและสิทธิพิเศษที่ครอบคลุมทุก Lifestyle ให้กับนักท่องเที่ยว
รวมถึงทำงานร่วมกับภาครัฐเพื่อเตือนภัยผ่านทางเครือข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ให้กับนักท่องเที่ยวสร้างความมั่นใจว่า สามารถเที่ยวเมืองไทยได้อย่างปลอดภัย ซึ่งเป็นมาตรการเบื้องต้นที่ภาคเอกชนพร้อมจะสนับสนุนอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวไทย ให้เป็น Key Driver หลักในการพลิกฟื้นอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีนี้
สำหรับแคมเปญ ‘TAT x AIS 5G: Welcome Back to Thailand’ จะมอบแพ็กเกจซิมโทรศัพท์มือถือ จำนวน 1 ล้านซิม พร้อมสิทธิพิเศษจากพันธมิตรในรูปแบบ e-voucher ให้แก่นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่เดินทางมาประเทศไทยตั้งแต่วันที่ 17 ตุลาคม 2566 - 31 มีนาคม 2567 โดยแจกจ่ายผ่านสำนักงาน ททท. ภูมิภาคเอเชีย และแปซิฟิกใต้ ให้เป็นเครื่องมือทำการตลาดร่วมกับบริษัทนำเที่ยว OTA สายการบิน สมาคมต่าง ๆ ในต่างประเทศ ตั้งแต่ก่อนนักท่องเที่ยวเดินทางมาประเทศไทย ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งที่จะอำนวยความสะดวกให้นักท่องเที่ยวได้รับประสบการณ์การเดินทางที่น่าประทับใจมากยิ่งขึ้น
ตลอดระยะเวลา ๗๐ ปี ที่พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ทรงครองราชย์ พระองค์ทรงปกครองบ้านเมืองด้วยหลักทศพิธราชธรรม เพื่อให้บ้านเมืองและประชาชนอยู่อย่างร่มเย็นเป็นสุข ดังพระปฐมบรมราชโองการในพระราชพิธีบรมราชาภิเษก เมื่อวันที่ ๕ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๙๓ ว่า “เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม” นับจากวันนั้น พระองค์ทรงประกอบพระราชกรณียกิจน้อยใหญ่เพื่อประโยชน์สุขของประชาชนมาโดยตลอด
ทรงเป็นกษัตริย์ผู้ทรงห่วงใยในทุกข์สุข ของอาณาประชาราษฎร์ มิต่างจากทุกข์สุขของพระองค์เอง กษัตริย์ผู้ทรงอุทิศพระวรกาย ในการประกอบพระราชกรณียกิจด้านต่าง ๆ มากมาย นำพาซึ่งความร่มเย็นเป็นสุขมาสู่ ปวงชนชาวไทยทั้งประเทศ สะท้อนออกมาเป็นโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริกว่า ๔,๐๐๐ โครงการ ซึ่งล้วนแต่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนและ การพัฒนาประเทศทั้งสิ้น อาทิ โครงการพัฒนาแหล่งน้ำ พัฒนาด้านการเกษตร พัฒนาด้านสิ่งแวดล้อม พัฒนาด้านการส่งเสริมอาชีพ พัฒนาด้านสาธารณสุข พัฒนา ด้านคมนาคมและการสื่อสาร พัฒนาด้านสวัสดิการสังคมและการศึกษา โครงการพัฒนา แบบบูรณาการและอื่น ๆ ซึ่งทุกโครงการที่พระองค์ได้พระราชทาน ยังประโยชน์สุข มากมายแก่ประชาชนชาวไทยให้มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นและพัฒนาประเทศไปสู่ความยั่งยืน
สำนักข่าวออนไลน์ THE STATES TIMES ขอร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการน้อมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดมิได้ ของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ในหลวงรัชกาลที่ ๙ ที่มีต่อพสกนิกรชาวไทย ด้วยการน้อมนำพระราชดำรัสของพระองค์ท่าน มาเป็นแนวปฏิบัติในการดำรงตน ตามวิถีแห่งความพอเพียง พออยู่ พอกิน และคงไว้ ซึ่งความดี ความซื่อสัตย์สุจริต และปฏิบัติงานในฐานะขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ที่จะเป็นองค์กรรับใช้ประชาชนอย่างแท้จริง พร้อมก้าวเดินตามรอยเบื้องพระยุคลบาท แห่งศาสตร์พระราชาเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืนต่อไป
เมื่อวันที่ 9 ต.ค. 66 เกิดเหตุที่เกือบจะเป็นการก่อการร้ายอีกครั้งในสหรัฐอเมริกา หลังจากที่ได้มีชายชาวอเมริกันคนหนึ่ง ขับรถยนต์ฮอนด้า ซีดาน สีน้ำเงิน พุ่งเข้าไปในสำนักงานสถานกงสุลจีน ในนครซานฟรานซิสโก ของสหรัฐอเมริกา พร้อมตะโกนขู่ฆ่าเจ้าหน้าที่ของพรรคคอมมิวนิสต์จีน จนโกลาหลในทั้งสถานกงสุล แต่สุดท้ายไม่รอด คนร้ายถูกตำรวจสหรัฐฯ ยิงสกัด และเสียชีวิตที่โรงพยาบาลในเวลาต่อมา
โดยยังไม่มีการเปิดเผยชื่อของคนร้ายรายนี้ ระบุเพียงว่าเป็นชายคนหนึ่ง ‘แคทริน วินเทอร์ส’ โฆษกสำนักงานตำรวจนครซานฟรานซิสโก ให้สัมภาษณ์ผ่านสื่อว่า คนร้ายมีอาวุธเป็นมีด และธนูหน้าไม้เตรียมไว้ในรถ และได้ขับรถยนต์พุ่งเข้าชนประตูหน้าของสำนักงานสถานกงสุลจีน จนเข้ามาถึงในโถงล็อบบี้ เมื่อช่วงเวลาประมาณบ่าย 3 โมง ซึ่งในขณะนั้นมีผู้คนมารอคิวยื่นวีซ่าอยู่เป็นจำนวนมาก
หลังจากนั้น คนร้ายลงจากรถพร้อมอาวุธมีด ตะโกนขู่ฆ่าเจ้าหน้าที่จีน จนกระทั่งเจ้าหน้าที่ตำรวจมาถึง จึงตัดสินใจยิงสวน และพาตัวคนร้ายส่งโรงพยาบาล แต่สุดท้ายก็เสียชีวิตเมื่อเวลา 18.30 น. ในวันเดียวกัน
‘เซอร์กี โมลชานอฟ’ นักศึกษาของมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด เป็นหนึ่งในพยานที่อยู่ในเหตุการณ์ได้เล่าว่า เขากำลังรอคิวเพื่อยื่นวีซ่าจีน มองเวลาอยู่ที่ 15.05 น. ก็มีรถยนต์คันหนึ่งพุ่งชนเข้ามาห่างจากจุดที่เขายืนรออยู่เพียง 2 เมตร จากนั้นคนร้ายก็ลงมาจากรถ และตะโกนหาเจ้าหน้าที่พรรคคอมมิวนิสต์จีน แต่เขาไม่เห็นคนร้ายถืออาวุธ แต่เห็นเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยถือมีดในมือ ตอนนั้นทุกคนกลัวว่าคนร้ายจะมีปืน จึงรีบหลบหนีออกจากสำนักงานกงสุล ก่อนที่ตำรวจจะเข้ามาและมีเสียงปืนดังภายในอาคาร 2 นัด
สื่อท้องถิ่นของซานฟรานซิสโก รายงานว่า มีตำรวจอย่างน้อย 11 นาย เข้าไปตรวจสอบที่เกิดเหตุ พร้อมหน่วยกู้ระเบิด และสุนัขตำรวจ เพราะเกรงว่าจะมีก่อวินาศกรรมคาร์บอมบ์ในสถานกงสุล แต่ทั้งนี้ ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจซานฟรานซิสโก ได้ออกมาเปิดเผยข้อมูลน้อยมาก เพราะเป็นคดีที่มีความซับซ้อน และอ่อนไหวสูง
ด้านกงสุลจีนได้ออกแถลงการณ์ประณามการก่อเหตุโจมตีสถานที่ราชการจีน อีกทั้งยังข่มขู่ หมายเอาชีวิตเจ้าหน้าที่ของรัฐบาลจีน บุกรุก และทำลายทรัพย์สินเสียหาย
‘หวัง เหวินปิน’ รัฐมนตรีต่างประเทศจีน ได้ออกมาเรียกร้องให้ทางการสหรัฐฯ เร่งสอบสวนคดีการโจมตีสถานกงสุลจีนโดยเร็วที่สุด อีกทั้งขอให้เพิ่มมาตรการป้องกัน รักษาความปลอดภัยแก่สถานที่ราชการ และบุคลากรของรัฐบาลจีนในสหรัฐฯ
จากเหตุการณ์ครั้งนี้ ทำให้สถานกงสุลจีนในนครซานฟรานซิสโก ต้องปิดให้บริการชั่วคราวอย่างไม่มีกำหนด ซึ่งสถานที่ราชการจีนในสหรัฐฯ เริ่มกลายเป็นเป้าหมายในการก่อกวน และโจมตีหลายครั้ง ตั้งแต่เกิดวิกฤติการณ์ระบาด Covid-19 และการกล่าวโทษของรัฐบาลสหรัฐฯ ในช่วงเวลานั้น ได้สร้างกระแสความเกลียดชังชาวจีนในสังคมคนอเมริกัน ซึ่งสถานกงสุลแห่งนี้ มักมีกลุ่มคนมาเขียนข้อความแสดงความเกลียดชังบนกำแพงอยู่เป็นประจำ และเคยมีกลุ่มผู้ประท้วงกว่า 100 รายมาชุมนุมประท้วงนโยบายปลอด Covid-19 ของรัฐบาลปักกิ่ง
ทั้งนี้ หลายคนตั้งข้อสังเกตว่า การโจมตีสถานกงสุลจีนครั้งนี้ อาจเกี่ยวข้องกับความเป็นไปได้ที่ผู้นำสหรัฐฯ อย่าง ‘โจ ไบเดน’ จะมาพบกับ ‘สี จิ้นผิง’ ผู้นำของจีน แบบตัวต่อตัว ในงานประชุมความร่วมมือทางเศรษฐกิจเอเชีย-แปซิฟิก หรือ ‘เอเปก’ ที่จะจัดขึ้นในซานฟรานซิสโก ระหว่างวันที่ 11-17 พฤศจิกาคม ที่จะถึงนี้ แต่ทว่า กำหนดการเดินทางไปสหรัฐอเมริกาของผู้นำจีน ก็ยังคงไม่ได้รับการยืนยันอย่างเป็นทางการจากรัฐบาลปักกิ่ง และอาจไม่เกี่ยวข้องกับการก่อเหตุครั้งนี้แต่อย่างใด
วันนี้ เมื่อ 20 ปีก่อน ประเทศไทย ได้ต้อนรับ ‘ช่วงช่วง - หลินอุ่ย’ แพนด้ายักษ์ ทูตสันถวไมตรีไทย - จีน เป็นครั้งแรก
ย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 12 ตุลาคม พ.ศ. 2546 แพนด้าคู่แรกได้เดินทางจากประเทศจีนมาถึง จ.เชียงใหม่ ด้วยเที่ยวบินพิเศษ ‘เรารักแพนด้า’ ซึ่งได้รับการต้อนรับอย่างยิ่งใหญ่ ท่ามกลางความชื่นชมยินดีจากชาวเชียงใหม่ ก่อนที่จะนำแพนด้าทั้งคู่ไปที่สวนสัตว์เชียงใหม่ โดยทางไทยได้มีการสร้างสถานที่พัก ส่วนงานวิจัยและสถานที่จัดแสดงขึ้นแบบควบคุมอุณหภูมิ ก่อนจะเปิดให้ประชาชนทั่วไปเข้าชมได้ในช่วงต้นเดือนพฤศจิกายน 2546
แพนด้ายักษ์ถือเป็นหนึ่งในสัญลักษณ์ทางการทูตของเมืองจีน โดยทางจีนได้ส่งแพนด้ายักษ์คู่นี้มาเพื่อให้เป็นทูตสันถวไมตรีไทย-จีน เพื่อสานสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นของทั้งสองประเทศ
อย่างไรก็ดี ตั้งแต่ปี 2527 เป็นต้นมา จีนได้ยกเลิกการใช้หมีแพนด้าในฐานะทูตสันถวไมตรี โดยเปลี่ยนมาใช้วิธีการให้ ‘ยืม’ จัดแสดง เป็นเวลา 10 ปี โดยต้องจ่ายค่าธรรมเนียมพื้นฐานปีละ 1 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และมีข้อกำหนดว่าลูกของแพนด้ายักษ์ใด ๆ ที่เกิดระหว่างการยืมนั้น ถือเป็นทรัพย์สินของจีน
กระแสแพนด้าฟีเวอร์คู่นี้ได้รับความนิยมจากชาวไทยเป็นอย่างมากถึงขั้นทรูวิชันส์ได้เปิดช่องถ่ายทอดความเคลื่อนไหวของแพนด้าแบบเรียลลิตี้ 24 ชั่วโมง ให้เห็นความน่ารักของคู่รักแพนด้าในทุกอิริยาบถ ไม่ว่าจะนอน เดิน กินใบไผ่ ซึ่งเป็นกระแสอย่างมากในช่วงนั้น หลินฮุ่ยเองได้ให้กำเนิดลูกแพนด้า ‘หลินปิง’ ซึ่งเกิดจากการผสมเทียมสำเร็จเมื่อ 27 พฤษภาคม 2552
เดิมทีไทยจะต้องส่งคืนช่วงช่วง แพนด้าเพศผู้กลับคืนจีนในปี 2556 ตามสัญญาครบรอบ 10 ปี แต่ด้วยความสัมพันธ์อันดีของทั้งสองประเทศ จีนจึงต่อสัญญาขยายเวลายืมจัดแสดงช่วงช่วง-หลินฮุ่ยอีกครั้งไปจนถึงปี 2566
แต่เมื่อวันที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2562 ช่วงช่วง แพนด้าเพศผู้ได้จากไปอย่างกะทันหัน ด้วยอายุ 19 ปี ซึ่งสาเหตุการตายมาจากภาวะหัวใจล้มเหลว ส่งผลให้อวัยวะภายในทั่วร่างกายขาดออกซิเจน
และหลังจากนั้น หลินฮุ่ย แพนด้าเพศเมีย ได้จากไปในวัย 21 ปี เมื่อวันที่ 19 เมษายน พ.ศ. 2566 ปิดตำนานแพนด้ายักษ์ ‘ทูตสันถวไมตรีไทย - จีน’
(11 ต.ค. 66) ‘ศูนย์วิจัยกสิกรไทย’ มองว่า เทศกาลกินเจปี 66 จะเริ่มขึ้นวันที่ 15-23 ต.ค. 66 รวมเป็นเวลา 9 วัน ในปีนี้ราคาอาหารเจน่าจะยังคงปรับสูงขึ้น เนื่องจากต้นทุนการผลิตอาหารเจหลายรายการมีแนวโน้มจะขยับขึ้นจากช่วงเทศกาลกินเจปีก่อน ได้แก่ ผักบางชนิด (อาทิ คะน้า ฟักทอง เต้าหู้) และข้าว จากสภาพอากาศแปรปรวน ฝนตกหนักและน้ำท่วมในบางพื้นที่ ซึ่งกระทบกับปริมาณผลผลิต นอกจากนี้ กลุ่มโปรตีนเกษตรก็น่าจะปรับขึ้นตามความต้องการที่เพิ่มในช่วงกินเจ
ขณะที่ราคาพลังงานที่ยังอยู่ในระดับสูง ขณะที่ล่าสุดเดือน ก.ย. 66 ภาพรวมเงินเฟ้อหมวดอาหารที่บริโภคในบ้านที่เติบโต 1.5%YoY และหมวดอาหารที่บริโภคนอกบ้านที่เติบโต 1.1%YoY สะท้อนให้เห็นว่า ทิศทางราคาอาหารเจทั้งที่บริโภคในบ้านและร้านอาหาร ก็น่าจะปรับเพิ่มขึ้นเช่นกันเมื่อเทียบกับปีก่อน โดยเฉพาะเมื่อเข้าสู่ช่วงเทศกาลกินเจ ขณะที่จำนวนคนกินเจในปีนี้คาดว่าจะเพิ่มขึ้น จากความนิยมอาหารเพื่อสุขภาพและการกลับมาใช้ชีวิตปกติ
อย่างไรก็ดี ด้วยทิศทางราคาอาหารเจที่มีอาจปรับสูงขึ้น ประกอบกับความกังวลต่อค่าครองชีพที่สูง และกำลังซื้อที่ฟื้นตัวไม่เต็มที่ แม้ว่าภาครัฐจะออกมาตรการลดภาระค่าครองชีพบางส่วน อาทิ มหกรรมลดราคา แต่ผู้บริโภคยังกังวลกับภาระค่าใช้จ่ายอื่นๆ รวมถึงรายได้ในอนาคต
ทั้งนี้ สะท้อนจากผลการสำรวจของศูนย์วิจัยกสิกรไทย ที่ระบุว่า คนกรุงเทพฯ ที่วางแผนจะกินเจ พยายามปรับพฤติกรรมการใช้จ่าย เพื่อควบคุมงบประมาณการใช้จ่ายตลอดเทศกาล โดยการลดวันกินเจลง รวมถึงเลือกใช้บริการช่องทางการจำหน่ายที่ราคาไม่สูง อาทิ ร้านอาหารตักขายข้างทางและนั่งทานในร้าน
ดังนั้น ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จึงคาดว่า เม็ดเงินค่าใช้จ่ายของคนกรุงเทพฯ ช่วงเทศกาลกินเจปี 66 น่าจะอยู่ที่ 3,100 ล้านบาท หรือขยายตัว 3.5% เมื่อเทียบกับปีก่อน โดยเป็นผลมาจากระดับราคาอาหารเจที่อาจปรับขึ้นราว 2.5% เมื่อเทียบกับปีก่อน ขณะที่ปริมาณการบริโภคอาหารเจโดยรวมน่าจะเติบโตเล็กน้อยหรือราว 1.0% เมื่อเทียบกับปีก่อน
อย่างไรก็ดี เมื่อมองไปข้างหน้า คนกรุงเทพฯ ส่วนใหญ่ยังคงไม่สนใจบริโภคอาหารเจ ถือเป็นความท้าทายต่อทิศทางการเติบโตของธุรกิจอาหารเจ ดังนั้น โจทย์สำคัญคงอยู่ที่แนวทางในการกระตุ้นยอดขายและฐานลูกค้าให้เพิ่มขึ้นแม้อยู่นอกเทศกาลกินเจ โดยเฉพาะการชูจุดขายความคุ้มค่าด้านราคาเมื่อเทียบกับอาหารทั่วไป รวมถึงพัฒนาความพิเศษให้กับเมนูอาหาร เพื่อสร้างประสบการณ์การบริโภคที่ดี และนำไปสู่การกลับมาซื้อซ้ำ อาทิ ใช้วัตถุดิบพรีเมียมที่มีคุณค่าทางอาหารสูง (โปรตีนทางเลือก ซุปเปอร์ฟู้ด) พัฒนาเมนูแปลกใหม่ที่แตกต่างกว่าอาหารเจเดิมๆ ที่มีจำหน่ายในตลาด รวมถึงการจัดโปรโมชันหรือส่วนลดให้กับอาหารเจ ทั้งในและนอกเทศกาลกินเจ