Wednesday, 14 May 2025
TheStatesTimes

'สรรเพชญ' สับรัฐบาลไม่จริงใจ 'กระจายอำนาจ' ไม่เห็นหัวท้องถิ่น  ชี้!! แค่ปล่อยวาทกรรมประชาธิปไตยอำพราง หวังคะแนนเสียง

เมื่อวันที่ 12 ก.ย.66 ที่อาคารรัฐสภา นายสรรเพชญ บุญญามณี สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดสงขลา พรรคประชาธิปัตย์ ได้ร่วมอภิปรายวาระเรื่องด่วน คณะรัฐมนตรีแถลงนโยบายต่อรัฐสภา ตามมาตรา 162 แห่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2562 โดยระบุว่า...

“ต้องขอเรียนกับทุกท่านด้วยความเคารพอย่างตรงไปตรงมาว่า จากที่ได้อ่าน ได้ฟังนโยบาย เหมือนจะดูดี เหมือนจะเคลิบเคลิ้มตาม ว่านี่คือทิศทาง แนวทางการบริหารงานของท่าน ที่จะมาแก้ไขปัญหาให้กับพี่น้องประชาชน แต่ภายใต้คำที่สวยหรู กลับเห็นอนาคตที่มืดมน ไร้ทิศทาง ในหลายๆ นโยบายที่ท่านได้หาเสียงไว้ เมื่อขมวดมาแล้ว กลับเห็นแต่นามธรรมกว้าง ๆ จับต้องไม่ได้”

สรรเพชญ ระบุต่อว่า “เท่าที่ทราบมา หลักการของการ กระจายอำนาจ คือ การลดบทบาท อำนาจภารกิจ หน้าที่ของรัฐส่วนกลาง รวมทั้งรัฐส่วนภูมิภาคลง และเอาอำนาจนั้นไปเพิ่มศักยภาพให้กับท้องถิ่น ทั้งในเรื่องงบประมาณ และทรัพยากรให้เขาสามารถดูแลตนเอง แต่เมื่อฟังท่าน แถลงนโยบายเรื่องผู้ว่า CEO  แล้ว เหมือนเป็นการสนับสนุนต่อยอดการกระจายอำนาจของไทยให้พัฒนาขึ้น แต่ผมคิดว่าตรงนี้ท่านอาจเข้าใจผิด สับสน หรืออาจแกล้งสับสน ที่กระผมพูดเช่นนี้ เพราะว่า แนวคิดเรื่องผู้ว่า CEO มันคือโลกคู่ขนานที่ไม่มีทางมาบรรจบกัน ไม่เชื่อท่านลองขีดเส้น 2 เส้นดู อย่างที่ผมนำเรียนครับ มันเป็นคนละเรื่อง คนละหลักการกัน เนื่องจากแนวคิดเรื่องผู้ว่า CEO คือ การบริหารงานแบบเอกชน แบบบริษัท ที่รวมศูนย์อำนาจการตัดสินใจไว้ที่เบอร์หนึ่งของจังหวัด อำนาจรัฐที่มันกระจุกตัวไปที่ผู้ว่า CEO เช่นนี้ มันไม่ใช่การกระจายอำนาจ หากแต่มันเป็นการขยายอำนาจรัฐส่วนกลาง ไปสู่ส่วนภูมิภาคให้กว้างขึ้น”

นายสรรเพชญ ได้กล่าวต่อว่า “มาถึงตอนนี้เราสามารถสรุปได้ไหมครับ ว่านโยบายหาเสียงของท่านมันเป็นเพียงวาทกรรมประชาธิปไตยอำพราง เพื่อคะแนนเสียง เพราะท่านบอกว่าจะท่านจะเลือกตั้งผู้ว่าในจังหวัดที่มีความพร้อม ท่านบอกว่าท่านจะยกระดับพื้นที่เพื่อเป็นเขตเศรษฐกิจใหม่ ๆ แต่ภายหลังที่ท่านได้รับโอกาส ให้จัดตั้งรัฐบาล กลับไม่ปรากฏนโยบายเหล่านี้ ในการแถลงของท่านแม้แต่น้อย มิหนำซ้ำท่านยังจะทำเรื่องที่ตรงกันข้าม ไม่ต่อยอดการกระจายอำนาจไม่ว่า แต่ท่านกลับกระจุกอำนาจ และรวมศูนย์อำนาจ ให้เบ็ดเสร็จเด็ดขาดอีกครั้ง กระผมชักไม่แน่ใจ หากจะใช้คำว่า ‘โกหกประชาชน’ ได้หรือไม่ หรือคำว่า ‘โกหก’ มันอาจน้อยไปสำหรับท่าน”

นายสรรเพชญได้ยกตัวอย่างสถิติงบประมาณขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เพื่อให้เห็นความพยายามผลักดัน การกระจายอำนาจในประเทศไทย ผ่านการจัดสรรงบประมาณสู่ท้องถิ่น โดยกล่าวว่า “ผมอยากให้ดูสถิติที่น่าสังเวชใจครับท่านประธาน เกือบ 30 ปี ที่เรามุ่งผลักดันการกระจายอำนาจมา เราสามารถจัดสรรงบประมาณให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นได้ไม่ถึง 30% ของรายได้สุทธิของรัฐบาล ซึ่งแท้ที่จริงแล้วความมุ่งหมายของกฎหมายกระจายอำนาจต้องการให้ทะลุเพดาน คือ 35% สิ่งที่ท่านกลัว คือ ท่านกลัวว่าถ้ากระจายอำนาจให้ท้องถิ่น คือความสุ่มเสี่ยงที่จะเปิดโอกาสให้ท้องถิ่นมีการทุจริตคอรัปชั่นมากขึ้น แต่จากฐานข้อมูลงานวิจัยในปี 2564 พบว่าการทุจริตของ อปท. นั้นสร้างความเสียหายน้อยกว่าส่วนกลาง ส่วนภูมิภาค และรัฐวิสาหกิจ ขณะที่งบการเงินของท้องถิ่นได้รับการรับรองจาก สตง. ในสัดส่วนที่สูงกว่าภาครัฐ / รัฐวิสาหกิจ ด้วยซ้ำไป” 

อย่างไรก็ตาม นายสรรเพชญกล่าวในตอนท้ายโดยสรุปว่า "ตนยังมีความหวังอยู่ริบหรี่ ว่าสภาร่างรัฐธรรมนูญ ที่อาจจะเกิดขึ้นในไม่ช้าไม่นานนี้ จะนำเอาวาระเรื่องการกระจายอำนาจ เข้าไปเป็นวาระหลักวาระหนึ่ง ในการจัดทำรัฐธรรมนูญ เพื่อเป็นหลักประกันว่าท้องถิ่นในยุคต่อไปจะได้รับการเอาใจใส่ และมีการพัฒนาแบบก้าวกระโดด”

‘ท็อป-จิรายุส’ กร้าว!! 5 ปีข้างหน้า ทักษะเดิมๆ อาจเสื่อมถอย หลัง AI พร้อมสะเทือน ‘ทุกอาชีพ-ทุกวงการ’ แม้แต่เก้าอี้ ‘นายกฯ’

เมื่อไม่นานนี้ ท็อป-จิรายุส ทรัพย์ศรีโสภา ผู้ก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บจ.บิทคับ แคปปิตอล กรุ๊ป โฮลดิ้ง ได้กล่าวในงานสัมมนา ‘Revolution AI : เปลี่ยนโลกธุรกิจ’ จัดโดย กรุงเทพธุรกิจ ซึ่งเขาได้กล่าวถึงการที่เทคโนโลยี AI (Artificial Intelligence) จะเข้ามาเปลี่ยนโลกให้หมุนเร็วขึ้น และผู้คนก็จำเป็นต้องเตรียมปรับตัวตามให้ทัน

ท็อป กล่าวอีกว่า ในอีก 5 ปีข้างหน้า ความสามารถของมนุษย์ราว 44% จะใช้ไม่ได้อีกแล้วในโลกอนาคต และที่สำคัญได้พยากรณ์ไปในอีก 4 ปีข้างหน้าด้วยว่า ผู้ที่จะมานั่งเก้าอี้นายกรัฐมนตรีคนถัดไปของไทย ต้องเป็นผู้ที่มีพลังในการกุม AI ไว้ได้

“ในอีก 5 ปีข้างหน้า ความสามารถประมาณ 44% ของพวกเราทุกคน จะใช้การไม่ได้แล้ว ซึ่ง 44% นี้ เทียบได้เกือบครึ่งนึงของความสามารถที่เราทุกคนมีอยู่ ณ ขณะนี้ เพราะ AI กำลังจะเข้ามาแทนที่มนุษย์ด้วยโซลูชันและเทคโนโลยี ที่จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางกระบวนการทำงาน รวมถึงเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมและลักษณะของคน”

“อีกทั้ง 1 ใน 3 ของประชากรโลก ในอีกระยะเวลาไม่ถึง 10 ปีข้างหน้า หรือภายในปี 2030 อาจจะต้องกลับไปเรียนหนังสือใหม่ เพื่อพัฒนาทักษะความรู้ ให้เท่าทันโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง เพราะในอีก 5-10 ปีข้างหน้าโลกจำเป็นต้องมีสิ่งที่เรียกว่า ‘ทักษะในการแบ่งหมวดหมู่ประเภท’ (Skill Taxonomy)”

ท็อป มองว่า ในอนาคต โลกจะไม่มีสิ่งที่เป็น ‘ทักษะหรือความสามารถในแต่ละสายอาชีพ’ (Hard Skills) หรือ ‘ทักษะด้านเทคนิค’ (Technical Skills) จะเหลือเพียงแค่ ‘ทักษะทางสังคมที่ใช้เพื่อปฏิสัมพันธ์กับผู้คน’ (Soft Skill) เท่านั้น ดังนั้นมนุษย์ควรจะพัฒนาให้ ‘ทรัพยากรมนุษย์’ (Human Capital) มีทักษะในการสื่อสารที่ดีขึ้น เพิ่มทักษะภาวะผู้นำ หรือทักษะในการทำงานเป็นทีมที่ดีขึ้น ซึ่งทั้งหมดที่กล่าวมานี้นั้น ล้วนเป็น Soft Skill ทั้งสิ้น

เมื่อถามว่า ทักษะด้านเทคนิคยังจำเป็นอยู่หรือไม่? ท็อป กล่าวว่า ต้องกลับไปในยุคสมัยที่มีการแท่นพิมพ์ขึ้น ทำให้การผลิตหนังสือพิมพ์ หรือสื่อสิ่งพิมพ์ ทำได้ง่าย รวดเร็ว และประหยัดต้นทุนไปได้มาก ส่งผลทำให้คนมีโอกาสเข้าถึงการศึกษาและความรู้ต่างๆ ได้ง่ายขึ้น

ต่อมา เมื่อเข้าสู่ยุคของอินเทอร์เน็ต อินเทอร์เน็ตได้มีการทำให้ข้อมูลมีความเป็นประชาธิปไตย (Democratization of information) มากขึ้น รวมถึงการติดต่อสื่อสารที่ในยุคสมัยใหม่ สามารถเข้าถึงได้อย่างสะดวกสบาย และง่ายดายมากยิ่งขึ้น แถมยังฟรี ไม่เสียเงินมากเท่าสมัยก่อนอีกด้วย ขณะเดียวกัน ตอนนี้

หลังจากนั้น ก็มี ‘ระบบจัดการฐานข้อมูลชนิดพิเศษ’ อย่าง Blockchain ซึ่งองค์กรน้อยใหญ่ บริษัท อสังหาริมทรัพย์ โครงการสกุลเงินดิจิทัล (CBDC) คาร์บอนเครดิต ต่างก็หลั่งไหลเข้ามา ช่วยเปลี่ยนมูลค่าทุกอย่างให้กลายเป็นดิจิทัล

เมื่อถามถึงวาระสำคัญอย่าง AI ที่เริ่มโดดเด่นขึ้นมาในโลกยุคนี้และกำลังเข้ามามีบทบาทต่อเศรษฐกิจ สังคม และผู้คนมากขึ้น จะมอบประโยชน์อะไรให้กับโลก? ท็อป กล่าวว่า “AI จะเข้ามาเพิ่มความสามารถด้านเทคนิคในการทำให้ข้อมูลเป็นกลางมากยิ่งขึ้น เราจะคัดกรองข้อมูลได้เร็ว และมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ทุกอย่างที่เป็นความสามารถเฉพาะทางเทคนิก AI สามารถที่จะทําได้แล้ว แปลว่าในอนาคต เราทุกคนจะต้องพัฒนาทักษะความสามารถ เพื่อให้สามารถเข้าถึง AI ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากกว่า”

เมื่อถามถึง AI ต่อการศึกษาในอนาคต? ท็อป มองว่า "การศึกษาในอนาคตก็จะเปลี่ยนไปเช่นกัน เราสามารถพัฒนาการศึกษาให้ดีขึ้นได้ด้วย AI ลดปัญหาของการศึกษา โดยการใช้วิธี ‘2 Sigma Problem’ คือ การสอนเด็กแบบตัวต่อตัว เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีกว่าการสอนแบบกลุ่ม ซึ่งจะช่วยให้เราสามารถผลิตเด็กที่มีความรู้ความสามารถแบบพิเศษได้มากขึ้น เช่น การที่จะทำให้เกิดการสอนแบบตัวต่อตัวนั้น หากเป็นอาจารย์ที่เป็นมนุษย์จริงๆ อาจจะไม่สามารถทำได้ เนื่องจากคนไม่เพียงพอ แต่หากใช้ระบบ AI เข้ามาช่วย จะสามารถช่วยให้การศึกษาแบบตัวต่อตัวนี้เป็นจริงขึ้นมาได้

“แต่ในขณะเดียวกัน ก็ไม่ได้หมายความว่าอาจารย์ หรือครูผู้สอนจะตกงาน เพราะการที่มี AI เข้ามาช่วยนั้น จะทำให้อาจารย์ผู้สอนกลายเป็นอาจารย์ที่ดีขึ้นด้วยซ้ำไป เพราะนอกจากเด็กนักเรียนที่จะมีอาจารย์ผู้สอนแบบตัวต่อตัวที่คอยสร้างสมดุลของไอเดีย เป็นติวเตอร์ส่วนตัวแล้วนั้น อาจารย์ก็จะมี AI เป็น ‘ผู้ช่วยสอนส่วนตัว’ (Teacher Assistant) ที่จะคอยเตรียมเอกสารประกอบการเรียนการสอน หรือแม้แต่สอนเทคนิคต่างๆ ที่มีประโยชน์ให้แก่อาจารย์ ทำให้ประสิทธิภาพในการสอนของอาจารย์ดีมากขึ้นอีกด้วย”

เมื่อถามถึงความเป็นไปได้ที่ AI จะเข้ามาทำให้ระบบการศึกษากลายเป็นแพลตฟอร์มแบบเปิดที่เปิดกว้างต่อคนทุกวัยมากขึ้นใช่หรือไม่? ท็อป กล่าวว่า “เป็นไปได้มาก เพราะในอนาคต ลูกค้าของมหาวิทยาลัยต่างๆ ไม่ได้มีเพียงแค่เด็กมัธยมอีกต่อไปแล้ว แต่เป็นพวกเราทุกคน เพราะอย่างที่กล่าวไปข้างต้นว่า ในอีก 5-10 ปีข้างหน้า ทักษะปัจจุบันครึ่งนึงของพวกเราจะใช้การไม่ได้แล้ว พวกเราทุกคนจึงต้องพัฒนาทักษะความรู้ในเท่าทันโลกแล้ว ซึ่งตรงนี้ถือเป็นแพลตฟอร์มการศึกษาแห่งอนาคตที่เหมาะสมอย่างยิ่งในการช่วยส่งเสริม เพิ่มพูนทักษะความรู้ของมนุษย์แต่ละคน”

ไม่ใช่แค่การศึกษาที่จะเปลี่ยนไป เพราะแม้แต่โลกของอุตสาหกรรมการผลิต ก็จะเปลี่ยนไปด้วยเช่นกัน โดย ท็อป ชี้ว่า “ขีดความสามารถของเครื่องจักรในอนาคตนั้นเริ่มมีประสิทธิภาพมากขึ้นเรื่อยๆ ความสามารถในการผลิตสินค้า สามารถผลิตได้มากขึ้น ด้วยต้นทุนที่ถูกลงเรื่อยๆ ทุกปี อีกทั้งราคาสินค้ายังถูกลงอย่างต่อเนื่อง รวมถึงงานบริการในอนาคตอีกเช่นกันที่ AI จะเข้ามามีความสามารถทางเทคนิคโดยอัตโนมัติ แทนที่มนุษย์ทั้งหมด” ซึ่งนั่นก็เป็นเหตุผลที่ท็อปพยายามย้ำว่า ทำไม Soft Skill ถึงสำคัญมากในอนาคต

เมื่อถามถึง AI จะมีความเกี่ยวข้องอย่างไรกับการเลือกตั้งนายกรัฐมนตรีของไทยในอนาคต? ท็อป เผยว่า “ในอนาคตอีก 4 ปีข้างหน้า นายกรัฐมนตรีคนถัดไป อาจจะเป็นผู้ที่มี AI Power มากที่สุด เพราะเทคโนโลยี มีผลต่อการเลือกตั้งทุกยุคทุกสมัย ยุคแรกใครมีป้ายหาเสียงที่อยู่ตามท้องถนน สถานที่ดีๆ คนเห็นเยอะๆ ได้เป็นนายกฯ แต่ในยุคสมัยปัจจุบัน ใครที่เก่งเรื่องโซเชียลมีเดียมากๆ ก็มีโอกาสสูงที่จะได้เป็นนายกฯ เป็นต้น”

วัดใจ 'ครม.เศรษฐา 1' มุ่งแก้ 'ปากท้อง-ค่าครองชีพ' ทำได้ไว ไม่ติด แต่พันธกิจล้าง 'ผู้มีอิทธิพล-นักการเมืองตัวดี' ห้ามปล่อยไหล

สำหรับ นายหัวไทร ในนาทีนี้ นโยบายที่อยากให้รัฐบาลทำให้เข้มข้นจริงจัง และ ด่วนที่สุด คือ การปราบปรามยาเสพติด การลักลอบค้าของเถื่อน-หนีภาษี ปราบการทุจริตคอร์รัปชันในทุกระดับ (ทั้งระดับนโยบาย-ปฏิบัติการ) ทำอย่างไรการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐตั้งแต่หน่วยงานเล็ก ๆ ระดับจังหวัด กรม กอง / อบต.เทศบาล อบจ.จะปราศจากการล็อกสเปก เล่นพรรคเล่นพวก / ฮั้วประมูล / เงินทอน ฯลฯ

ยิ่งปัญหาการพนันออนไลน์ ปัญหาแก๊งคอลเซ็นเตอร์ด้วย นี่แหละที่เป็นที่มาของการสร้างผู้มีอิทธิพล

ไม่ต้องพูดถึงการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจปากท้องของประชาชน เพราะถือเป็นเรื่องเร่งด่วนอยู่แล้ว ส่วนน้ำมันแพงก็เป็นปัญหาพื้นฐานที่รัฐจะต้องเข้าไปรื้อโครงสร้างโน้นนี้นั้น เชื่อว่าไม่ยากที่จะทำให้ราคาน้ำมันลดลงมาได้ เช่น โครงสร้างภาษี ค่าการคลั่น การนำเข้า-ส่งออก

เรื่องรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย เป็นเรื่องที่นักการเมืองไปหาเสียงรับปากกับประชาชนไว้เอง จะตั๋วใบเดียวขึ้นได้ทุกสายหรือไม่ ก็เป็นเรื่องของฝ่ายการเมืองที่จะต้องคิดแก้อยู่แล้ว แต่งานนี้ไม่อยากให้รัฐบาลควักเงินภาษีของคนทั้งประเทศ มาชดเชยการเดินทางของของคนกรุงเทพฯ และปริมณฑล ใครกินใครใช้ก็คนนั้นจ่าย แต่ต้องในอัตราที่เป็นธรรม ส่วนจะทำอย่างไร จะคุยกับเอกชนแบบไหน เป็นหน้าที่ของรัฐบาล เพียงแต่ไม่อยากให้เอาเงินภาษีของคนทั้งประเทศมาจ่ายแทนชดเชยให้เอกชน และรัฐบาลหยิบเอาไปอ้างเป็นผลงาน มันไม่ใช่ฝีมือครับ

เรื่องราคาสินค้าเกษตร ที่นายกรัฐมนตรี 'เศรษฐา ทวีสิน' พูดเองว่าจะไม่ใช้ประกันรายได้ตามนโยบายประชาธิปัตย์ และจะไม่รับจำนำ เหมือนรัฐบาลยิ่งลักษณ์ แต่ไม่ได้บอกว่าจะใช้มาตรการอะไร นอกจากพักหนี้พักดอก 'นวัตกรรมเสริม เพิ่มรายได้' มันดูหลักลอยไปหน่อยกับการเล่นคำ สินค้าเกษตร 5 ตัวหลัก ข้าว, ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์, มันสัมปะหลัง, ยางพารา, ปาล์มน้ำมัน คือพืชเศรษฐกิจหลักของประเทศ รัฐบาลจะใช้นวัตกรรมอะไร มาสร้างเสริม เพิ่มรายได้ให้เกษตรกร ไม่มีการบอกกล่าว

ปัญหาบางปัญหาเกี่ยวโยงกับนักการเมือง หรือพูดง่าย ๆ ว่า นักการเมืองนั่นแหละคือตัวดี ทำเสียเอง จึงเป็นปัญหาที่ยากต่อการแก้ไข

เอาแค่นี้ก่อน จริง ๆ มีปัญหาอีกมากมายที่คาราคาซังมายาวนาน แต่ขาดการเอาใจใส่ดูแลและแก้ไข เพราะบางปัญหามัน 'หยิกเล็กก็เจ็บเนื้อ'

'ไบเดน' คืนเงินสำรอง 6 พันล้านให้อิหร่านแลก 5 นักโทษมะกันกลับบ้าน ฝ่ายค้าน งง!! มาตรการคว่ำบาตรในประเทศ 2 มาตรฐาน

ในที่สุด สหรัฐอเมริกาก็ยอมบรรลุข้อตกลง ยอมลดเพดานการคว่ำบาตรอิหร่าน ด้วยการอนุมัติการปล่อยเงินสำรองต่างประเทศของอิหร่านที่ถูกอายัดไว้ในเกาหลีใต้กว่า 6 พันล้านเหรียญคืน เพื่อแลกกับการปล่อยนักโทษสหรัฐฯ จำนวน 5 คน ท่ามกลางเสียงคัดค้านของฝ่ายค้าน และความย้อนแย้งสับสนของมาตรการคว่ำบาตรของสหรัฐฯ เอง ว่าเข้าตำรา 2 มาตรฐานหรือไม่

แอนโทนี บลิงเคน รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ ได้เซ็นยกเลิกมาตรการคว่ำบาตรกับอิหร่านเมื่อสัปดาห์ก่อน และได้ผ่านความเห็นชอบจากสภาคองเกรซแล้ว โดยรัฐบาลไบเดนจะปลดล็อกคำสั่งอายัดเงินสำรองต่างประเทศของอิหร่าน ที่ฝากไว้ที่เกาหลีใต้กว่า 6 พันล้านเหรียญ โดยมีเงื่อนไขว่า เงินสำรองจำนวนนี้ห้ามโอนไปยังอิหร่านโดยตรง แต่ต้องทยอยโอนไปฝากไว้กับบัญชีธนาคารกลางของประเทศกาตาร์ และต้องใช้เพื่อซื้อสิ่งของเพื่อช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมเท่านั้น

นั่นหมายความว่า นอกจากอาหาร ยารักษาโรค หรือของใช้ที่จำเป็นกับประชาชนแล้ว ไม่สามารถถอนเป็นเงินสด หรือนำไปซื้ออาวุธ หรือวัตถุดิบในการผลิตอาวุธได้

ส่วนข้อแลกเปลี่ยนคือ อิหร่านต้องปล่อยตัวนักโทษสหรัฐฯ ที่ถูกจับกุมในอิหร่านจำนวน 5 คน แต่ในขณะเดียวกัน ทางสหรัฐฯ ก็ต้องยอมปล่อยตัวนักโทษอิหร่านในสหรัฐจำนวน 5 คนด้วยเช่นกัน

เงินสำรอง 6 พันล้านของอิหร่านนี้ คือรายได้จากการขายน้ำมันให้กับเกาหลีใต้ แต่โดนรัฐบาลสหรัฐฯ ในสมัยอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้ฉีกข้อตกลงนิวเคลียร์ และกลับมาคว่ำบาตรอิหร่านรอบใหม่ ทำให้ชาติพันธมิตรสหรัฐอย่างเกาหลีใต้ ญี่ปุ่น และ สหภาพยุโรป ถูกกดดันให้อายัดทรัพย์สิน และ เงินสำรองต่างประเทศของอิหร่าน ที่ฝากไว้ในธนาคารทั่วโลกรวมแล้วมากกว่า 1 แสนล้านเหรียญ  แค่เฉพาะในเกาหลีใต้ มีเงินของอิหร่านว่า 7 พันล้านเหรียญ

แต่ในสมัยของอดีตประธานาธิบดีเกาหลีใต้ มุน แจ-อิน ได้เริ่มทยอยคืนเงินสำรองให้กับรัฐบาลอิหร่านไปแล้วบางส่วน ซึ่งมุน แจ-อิน ได้ส่งนายกรัฐมนตรี จุง เซ-คยุง ไปเยือนกรุงเตหะรานเป็นครั้งแรกในรอบ 44 ปี ให้รู้ว่าเกาหลีใต้ยังต้องการรักษาระดับความสัมพันธ์กับอิหร่านอยู่

แต่พอเกาหลีใต้เปลี่ยนผู้นำมาเป็น ยุน ซ็อก-ย็อล ที่ได้ชื่อว่าเป็นสายเหยี่ยว เรื่องการคืนเงินสำรองให้อิหร่านเลยเงียบไปด้วย จนกระทั่งวันนี้ รัฐบาลไบเดนออกมาไฟเขียว ให้ปล่อยเงินคืนอิหร่านได้ภายใต้เงื่อนไขที่กำหนด ก็สร้างความประหลาดใจไม่น้อย และมาพร้อมกับเสียงคัดค้านจากฝ่ายรีพับลิกัน ที่มองว่า ทำไมข้อตกลงนี้ สหรัฐฯ ดูเสียเปรียบ อิหร่านได้เงินคืน พร้อมนักโทษของตัวเอง แล้วสหรัฐฯ ได้อะไรที่สมน้ำ สมเนื้อกว่านี้บ้าง?

เนื่องจากในอิหร่าน ไม่ได้มีพลเมืองอเมริกันที่ถูกจับตัวในอิหร่านแค่ 5 คน แต่เมื่อดีลมาได้แค่ 5 คน ทำให้ญาติของนักโทษในอิหร่านที่เหลือรู้สึกว่าพวกเขาถูกทอดทิ้ง

อย่างกรณีของ Jamshid Sharmahd วิศวกรชาวเยอรมัน เชื้อสายอิหร่าน แต่ไปตั้งรกรากที่แคลิฟอร์เนีย ถูกจับกุมโดยสายลับอิหร่านขณะที่เขาไปเยือนดูไบ ล่าสุดโดนศาลอิหร่านตัดสินประหารชีวิตด้วยข้อหาคอร์รัปชัน ก็ไม่ได้รวมอยู่ในรายชื่อนักโทษอเมริกัน 5 คน ที่ได้รับการปล่อยตัว

อีกทั้งยังมีคำถามมากมายจากกลุ่มการเมืองในสหรัฐ ที่มองว่าทำไมรัฐบาลไบเดน ถึงยอมผ่อนปรนมาตรการคว่ำบาตรอิหร่านในตอนนี้ ทั้งๆ ที่ยังไม่มีข้อพิสูจน์ชัดเจนว่าอิหร่านยกเลิกโครงการนิวเคลียร์แล้ว แถมเพิ่งจะขายโดรนพิฆาตให้รัสเซียไปถล่มยูเครนอีกต่างหาก

แต่ในขณะเดียวกัน กับ คิม จอง-อุน ผู้นำเกาหลีเหนือ ที่กำลังมุ่งหน้าไปเยือนรัสเซีย ซึ่งเชื่อว่าไปเพื่อทำข้อตกลงขายอาวุธให้กับปูติน สหรัฐก็ออกมาแยกเขี้ยวขู่แล้วว่าจะเพิ่มมาตรการคว่ำบาตร กดดันเกาหลีเหนือยิ่งขึ้นอีก นี่ขนาดยังไม่ทันขายเลย แต่อิหร่านนั้นขายให้แล้วเห็นๆ กลับยกเลิกมาตรการคว่ำบาตรให้เฉย ไม่ลักลั่นย้อนแย้งไปหน่อยหรือ???

แต่ว่า นี่เป็นรัฐบาลของปู่โจ ความพอใจของปู่โจ แกจะทำอะไรก็ได้ ซึ่งมาตรการของสหรัฐฯ ก็ไม่ได้มีกฎเกณฑ์อะไรตายตัวอยู่แล้ว ลื่นไหลไปตามสถานการณ์ รัฐบาลนี้คืน เดี๋ยวรัฐบาลหน้าก็อาจจะยึดใหม่ก็ได้นาจ๊า

ศรชล.ภาค 1 โดย ศรชล.จว.ปข.จัดข้าราชการ เข้าร่วมกิจกรรมจิตอาสาเฉลิมพระเกียรติ สืบสานแนวพระราชดำริฯ

วันที่ 12 ก.ย.66 เวลา 09.45 น.  ศรชล.จว.ปข.จัดข้าราชการ เข้าร่วมกิจกรรมจิตอาสาเฉลิมพระเกียรติ สืบสานแนวพระราชดำริในด้านการบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เนื่องในวันคล้ายวันพระราชสมภพพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธบดี ศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ์ ที่จัดขึ้นโดย สถานีตำรวจน้ำ 5 (ปากน้ำปราณบุรี) เป็นโครงการจิตอาสา สร้างบ้านให้น้องปลา ขยายสาขาให้น้องปู

พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 10 ทรงตระหนักอย่างดียิ่งในคุณค่าแนวพระราชดำริ เพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืนของ พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร รัชกาลที่ 9 ทรงมุ่งมั่นสืบสาน ต่อยอด พระราชกรณียกิจด้านต่าง ๆ อาทิ งานด้านสิ่งแวดล้อมฯ เพื่อความก้าวหน้า และประโยชน์สุขแก่พสกนิกรชาวไทย

โดยมี พลตำรวจตรี ชัช สุกแก้วณรงค์ รองผู้บัญชาการสอบสวนกลาง เป็นประธานในพิธี ณ สถานีตำรวจน้ำ 5 กองกำกับการ 4 กองบังคับการตำรวจน้ำ อำเภอปราณบุรี จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ 

‘ดร.เอ้’ ซีเรียส เจอข่าวร้ายรายวัน เครนล้มกลางกทม. คนตายอีกแล้ว โอด!! มุ่งกระตุ้นเรื่อง ‘ความปลอดภัย’ แต่ดูเหมือนไม่มีอะไรดีขึ้น 

(13 ก.ย. 66) ดร.สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ อดีตผู้สมัครผู้ว่าฯ กทม. พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) อดีตนายกสภาวิศวกร และอดีตนายกวิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทย ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ระบุว่า...

ตายอีกแล้วหรือครับ เมื่อไหร่คนไทยจะอยู่ในสังคมปลอดภัย

อันตรายใกล้ตัว ป้องกันได้ ด้วยมือเราเอง

ผมกลับจากสวิตเซอร์แลนด์ มาเจอข่าวร้ายรายวัน เครนล้มกลางกทม. คนตายอีกแล้ว! วันนี้ก็มีข่าวเหล็กก่อสร้างหล่นใส่กลางถนน ครั้งก่อนก็มีคนตาย

เกิดอะไรขึ้นกับบ้านเมืองของเรา ทำไมคนไทยและลูกหลาน ต้องใช้ชีวิตเสี่ยงได้ทุกวัน ไม่รู้จะเจอแจ็กพอตเข้าวันไหน น่ากลัว

ผมซีเรียสนะครับ เพราะพยายามกระตุ้นเรื่อง ‘ความปลอดภัย’ มาทั้งชีวิตการทำงานด้านวิศวกรรม แต่ดูเหมือน ไม่มีอะไรดีขึ้น หรืออาจจะแย่ลงด้วยซ้ำ พิสูจน์จากสถิติความสูญเสียจากอุบัติเหตุ ที่มาจากความประมาท และไม่ใส่ใจ

เพราะอะไรรู้ไหม เพราะเรา ‘ไม่เอาจริงเอาจัง’ ในการแก้ปัญหา คิดเพียงแต่ว่า เดี๋ยวข่าวก็เงียบ ทั้งที่มีคนตาย แถมปล่อยให้หน่วยงานที่เป็นปัญหา ไปจัดการกันเอง แบบนี้คือ วิธีแก้ปัญหาหรือ

ถึงเวลา ที่เราต้องระบบตรวจสอบ ถอดบทเรียน นำไปสู่การคุ้มครองผู้เสียหาย ซึ่งอาจเป็นใครก็ได้ ทั้งเสนอหลักฐานตามหลักวิชาการ และเป็นธรรม นำไปสู่การหาผู้รับผิดชอบ ไม่ใช่ปล่อยลอยนวล

มาช่วยกันเถอะครับ ร่วมกันให้ครบ 10,000 คน เพื่อเสนอกฎหมายตั้ง ‘#องค์กรอิสระเพื่อความปลอดภัยสาธารณะ’ เพื่อทำหน้าที่นี้ เหมือนกับประเทศพัฒนา ที่เขามีกันทั้งนั้น เพราะความปลอดภัยต้องมาก่อนเสมอ

มาร่วมลงชื่อที่ suchatvee.com สร้างสังคมไทยปลอดภัยด้วยกันครับ

‘Apple’ เปิดตัว ‘iPhone 15-iPhone 15 Pro’ พร้อมสเปกล่าสุด พอร์ต USB-C และจอ Dynamic Island ทุกรุ่น แถมปุ่ม Action ใหม่

(13 ก.ย. 66) ‘Apple’ จัดงานเปิดตัวสินค้าใหม่ประจำปี 2023 ในชื่อ ‘Wonderlust’ โดยมี iPhone เป็นพระเอก มาครบทั้ง iPhone 15, iPhone 15 Plus, iPhone 15 Pro และ iPhone 15 Pro Max พร้อมบอกลาพอร์ต Lightning เปลี่ยนมาใช้พอร์ต USB Type-C แทน ก้าวเข้าสู่ยุคใหม่อย่างเต็มตัว

สรุปข้อมูล iPhone 15 และ iPhone 15 Plus มีอะไรใหม่บ้าง?
รอบนี้ iPhone 15 และ iPhone 15 Plus ไม่มีรอยบากบนหน้าจอแล้ว แต่ได้เกาะหรรษา Dynamic Island มาแทน ซึ่งถือเป็นครั้งแรกสำหรับ iPhone ในรุ่นที่ไม่ได้อยู่ในซีรีส์ ‘Pro’ โดยจอภาพ Super Retina XDR มีขนาด 6.1 แล้ว 6.7 นิ้ว ตามลำดับ อัตรารีเฟรช 60Hz เท่าเดิม ความสว่างสูงสุด 2,000 นิต

ภายใน iPhone 15 และ iPhone 15 Plus ขยับมาใช้ชิป A16 Bionic แบบเดียวกับที่อยู่ใน iPhone 14 Pro ซึ่งยังทรงพลังอยู่มาก แม้จะตกรุ่นไป 1 ปีแล้วก็ตาม

ข้อมูลด้านแบตเตอรี่ Apple ไม่ได้เปิดเผยความจุเป็นตัวเลขตรง ๆ บอกเพียงระยะเวลาการใช้งานแบบคร่าว ๆ แต่สาระสำคัญคือ iPhone 15 และ iPhone 15 Plus เปลี่ยนมาใช้พอร์ต USB Type-C แล้ว หลังจากที่โดนเรียกร้องมานาน

กล้องหลัก iPhone 15 และ iPhone 15 Plus เป็นอีกจุดสำคัญที่ได้รับการอัปเกรด โดยเพิ่มความละเอียดขึ้น 4 เท่า เป็น 48MP รองรับเทคโนโลยี quad-pixel รวมแสง 4 จุดเล็ก เป็น 1 จุดใหญ่ มีระบบกันสั่น Sensor-shift และระบบโฟกัสครอบคลุมพื้นที่ 100% ของเซนเซอร์ แตะตรงไหนก็โฟกัสไวเท่ากัน ส่วนกล้องอัลตราไวด์มีความละเอียด 12MP ใช้สำหรับถ่ายภาพหรือวิดีโอมุมกว้าง

สเปก iPhone 15
จอภาพ : Super Retina XDR ขนาด 6.1 นิ้ว
– อัตรารีเฟรช 60Hz
– รองรับ HDR
– รองรับ True Tone
– ความสว่างสูงสุด 2,000 นิต (กลางแจ้ง)
ชิป : A16 Bionic
หน่วยความจำ : –
ความจุ : 128GB / 256GB / 512GB
กล้องหลัง : กระจกแซฟไฟร์
– กล้องหลัก 48MP
– กล้องอัลตราไวด์ 12MP
กล้องหน้า :
เครือข่าย : 5G
การเชื่อมต่อ :
– Wi-Fi 802.11a/b/g/n/ac/ax
– Bluetooth 5.3
– NFC
– Ultra Wideband รุ่นที่ 2
พอร์ต : USB Type-C 2 (สูงสุด 480Mb/s)
– รองรับ DisplayPort
แบตเตอรี่ :
– รองรับชาร์จไร้สาย MagSafe
ความทนทาน : มาตรฐาน IP68 (กันน้ำลึก 6 เมตร ไม่เกิน 30 นาที)
ความปลอดภัย :
– SOS ฉุกเฉินผ่านดาวเทียม
– ตรวจจับการชน
ระบบปฏิบัติการ : iOS 17
น้ำหนัก : 171 กรัม

สเปก iPhone 15 Plus
จอภาพ : Super Retina XDR ขนาด 6.7 นิ้ว
– อัตรารีเฟรช 60Hz
– รองรับ HDR
– รองรับ True Tone
– ความสว่างสูงสุด 2,000 นิต (กลางแจ้ง)
ชิป : A16 Bionic
หน่วยความจำ : –
ความจุ : 128GB / 256GB / 512GB
กล้องหลัง : กระจกแซฟไฟร์
– กล้องหลัก 48MP
– กล้องอัลตราไวด์ 12MP
กล้องหน้า :
เครือข่าย : 5G
การเชื่อมต่อ :
– Wi-Fi 802.11a/b/g/n/ac/ax
– Bluetooth 5.3
– NFC
– Ultra Wideband รุ่นที่ 2
พอร์ต : USB Type-C 2 (สูงสุด 480Mb/s)
– รองรับ DisplayPort
แบตเตอรี่ : –
– รองรับชาร์จไร้สาย MagSafe
ความทนทาน : มาตรฐาน IP68 (กันน้ำลึก 6 เมตร ไม่เกิน 30 นาที)
ความปลอดภัย :
– SOS ฉุกเฉินผ่านดาวเทียม
– ตรวจจับการชน
ระบบปฏิบัติการ : iOS 17
น้ำหนัก : 201 กรัม

สรุปข้อมูล iPhone 15 Pro และ iPhone 15 Pro Max มีอะไรใหม่บ้าง?
iPhone 15 Pro และ iPhone 15 Pro Max มาพร้อมจอภาพ Super Retina XDR ขนาด 6.1 และ 6.7 นิ้ว รองรับเทคโนโลยี ProMotion อัตรารีเฟรชสูงสุด 120Hz และรองรับฟีเจอร์ Always On Display สำหรับดูเวลา สถานะ และการแจ้งเตือนต่าง ๆ ได้โดยไม่ต้องเปิดหน้าจอ

ของใหม่ที่น่าสนใจคือ ‘ปุ่ม Action’ ใหม่ เป็นปุ่ม haptic feedback อเนกประสงค์ที่เข้ามาแทนปุ่ม Mute เดิม ปุ่มนี้รองรับการตั้งค่าเป็นชอร์ตคัตที่หลากหลาย ตามแต่ผู้ใช้งานกำหนด เช่น ปิดเสียง เปิดสั่น เปิดไฟฉาย เป็นต้น นอกจากนี้ทั้ง 2 รุ่นยังได้พอร์ต USB Type-C ด้วยเช่นกัน โอนไฟล์เร็วขึ้นสูงสุด 20 เท่า

นอกจากนี้ iPhone 15 Pro และ iPhone 15 Pro Max ยังเปลี่ยนวัสดุกรอบตัวเครื่องจากสเตนเลส เป็นไทเทเนียมเกรดเดียวกับที่ใช้ในอุตสาหกรรมอวกาศ แข็งแรงกว่า ทนทานกว่า และที่สำคัญน้ำหนักเบากว่า ทำให้เป็นรุ่น ‘Pro’ ที่เบาที่สุดที่ Apple เคยทำมา

iPhone 15 Pro และ iPhone 15 Pro Max ขับเคลื่อนด้วยชิป A17 Pro รุ่นล่าสุด พร้อมจีพียู 6 แกนใหม่ รองรับ ray tracing ในระดับฮาร์ดแวร์ โดย Apple เคลมว่าแรงกว่าเดิมมาก ส่วนกล้องหลัง 3 ตัว ทุกเลนส์จะได้รับการโคตติงด้วยเทคโนโลยีนาโน ช่วยลดแสงแฟลร์หน้าเลนส์ กล้องแต่ละตัวประกอบด้วย กล้องหลัก 48MP ระบบกันสั่น Sensor-shift รุ่นที่ 2 กล้องอัลตราไวด์ 12MP และกล้องเทเลโฟโต 12MP ซูมไกล 3 เท่า ในขณะที่ iPhone 15 Pro Max อัปเกรดกล้องเทเลโฟโต เซนเซอร์ใหญ่ขึ้น 25% ซูมออปติคัลไกลสุด 5 เท่า ระยะเทียบเท่า 120 มม.

สเปก iPhone 15 Pro
จอภาพ : Super Retina XDR ขนาด 6.1 นิ้ว
– อัตรารีเฟรช 120Hz
– รองรับ Always On Display
ชิป : A17 Pro
หน่วยความจำ : –
ความจุ : 128GB / 256GB / 512GB / 1TB
กล้องหลัง : กระจกแซฟไฟร์
– กล้องหลัก 48MP, ระบบกันสั่น Sensor-shift รุ่นที่ 2
– กล้องอัลตราไวด์ 12MP, ระบบกันสั่น OIS
– กล้องเทเลโฟโต 12MP, ซูมออปติคัล 3 เท่า, ระบบกันสั่น OIS
กล้องหน้า :
เครือข่าย : 5G
การเชื่อมต่อ :
– Wi-Fi 802.11a/b/g/n/ac/ax
– Bluetooth 5.3
– NFC
– Ultra Wideband รุ่นที่ 2
พอร์ต : USB Type-C 3 (สูงสุด 10Gb/s)
– รองรับ DisplayPort
แบตเตอรี่ : –
– รองรับชาร์จไร้สาย MagSafe
ความทนทาน : มาตรฐาน IP68 (กันน้ำลึก 6 เมตร ไม่เกิน 30 นาที)
ความปลอดภัย :
– SOS ฉุกเฉินผ่านดาวเทียม
– ตรวจจับการชน
ระบบปฏิบัติการ : iOS 17
น้ำหนัก : 187 กรัม

สเปก iPhone 15 Pro Max
จอภาพ : Super Retina XDR ขนาด 6.7 นิ้ว
– อัตรารีเฟรช 120Hz
– รองรับ Always On Display
ชิป : A17 Pro
หน่วยความจำ : –
ความจุ : 256GB / 512GB / 1TB
กล้องหลัง : กระจกแซฟไฟร์
– กล้องหลัก 48MP, ระบบกันสั่น Sensor-shift รุ่นที่ 2
– กล้องอัลตราไวด์ 12MP, ระบบกันสั่น OIS
– กล้องเทเลโฟโต 12MP, ซูมออปติคัล 5 เท่า, ระบบกันสั่น OIS
กล้องหน้า :
เครือข่าย : 5G
การเชื่อมต่อ :
– Wi-Fi 802.11a/b/g/n/ac/ax
– Bluetooth 5.3
– NFC
– Ultra Wideband รุ่นที่ 2
พอร์ต : USB Type-C 3 (สูงสุด 10Gb/s)
– รองรับ DisplayPort
แบตเตอรี่ : –
– รองรับชาร์จไร้สาย MagSafe
ความทนทาน : มาตรฐาน IP68 (กันน้ำลึก 6 เมตร ไม่เกิน 30 นาที)
ความปลอดภัย :
– SOS ฉุกเฉินผ่านดาวเทียม
– ตรวจจับการชน
ระบบปฏิบัติการ : iOS 17
น้ำหนัก : 187 กรัม

ราคาและการวางจำหน่าย
- iPhone 15 – ราคาเริ่มต้น 32,900 บาท
- iPhone 15 Plus – ราคาเริ่มต้น 37,900 บาท
- iPhone 15 Pro – ราคาเริ่มต้น 41,900 บาท
- iPhone 15 Pro Max – ราคาเริ่มต้น 48,900 บาท

Apple จะเริ่มเปิดให้พรีออร์เดอร์ iPhone 15 ทั้ง 4 รุ่น ในวันที่ 15 กันยายน ตั้งแต่เวลา 19​:00 น. และจะวางขายตามปกติต่อไปในวันที่ 22 กันยายน

'จีน' จ่อขึ้นแท่นผู้ส่งออกรถยนต์เบอร์ 1 แซงหน้า 'ญี่ปุ่น' หลัง 8 เดือนแรก ส่งออกแล้ว 2.9 ล้านคัน เติบโต 61%

ใกล้จะถึงจุดสิ้นสุดของการครอบงำอุตสาหกรรมรถยนต์โดยญี่ปุ่นและพันธมิตรตะวันตกแล้วหรือไม่?

(13 ก.ย.66) สำนักข่าวซินหัว เผย จีนเตรียมขึ้นแท่นผู้ส่งออกรถยนต์รายใหญ่ที่สุดในโลก แทนที่ญี่ปุ่น ซึ่งถือว่าเป็นจุดสิ้นสุดของการครอบงำอุตสาหกรรมรถยนต์โดยยุโรป, อเมริกา, ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้

จากข้อมูลของสมาคมผู้ผลิตยานยนต์แห่งประเทศจีน ได้รายงานยอดส่งออกยานยนต์พลังงานใหม่ (NEV) ของจีน ช่วงเดือนมกราคม-สิงหาคม รวมอยู่ที่ 727,000 คัน ซึ่งเพิ่มขึ้นร้อยละ 110 เมื่อเทียบปีต่อปี

รายงานระบุอีกว่ายอดส่งออกยานยนต์พลังงานใหม่ข้างต้นแบ่งเป็นยานยนต์ไฟฟ้าล้วน 665,000 คัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 120 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และยานยนต์ไฟฟ้าไฮบริดแบบปลั๊กอิน 62,000 คัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 73.5

โดยสรุป ยอดส่งออกยานยนต์ของจีน ช่วง 8 เดือนแรก รวมอยู่ที่ 2.94 ล้านคัน ซึ่งเพิ่มขึ้นร้อยละ 61.9 เมื่อเทียบปีต่อปี โดยยอดส่งออกรถยนต์นั่งส่วนบุคคลและรถยนต์เพื่อการพาณิชย์เพิ่มขึ้นร้อยละ 69.8 และร้อยละ 31.1 จากปีก่อน

ทั้งนี้ หากอ้างอิงข้อมูลตาม มูดี้ส์ (Moody’s) พบว่า ยอดการส่งออกรถยนต์ประจำปีของจีนแซงหน้ายอดการส่งออกของเกาหลีใต้ในปี 2564 และเยอรมนีในปี 2565 และปัจจุบันจีนอยู่ในแนวทางที่จะเอาชนะญี่ปุ่นได้ในปี 2566 หลังจาก MarkLines ผู้ให้บริการข้อมูลอุตสาหกรรมยานยนต์ ในช่วง 11 เดือนแรกของปี 2565 เผยผู้ผลิตรถยนต์ของญี่ปุ่นได้ส่งออกรถยนต์จำนวน 3.2 ล้านคัน ซึ่งไม่ต่างจากปีก่อนหน้าเท่าไรนัก

สำหรับจีนในช่วงปี 2562 - 2564 ปริมาณการขายรถยนต์ในจีนพุ่งทรงตัวอยู่ในระดับต่ำ ซึ่งสอดคล้องกับการเติบโตที่ชะลอตัวของชนชั้นกลางและความอ่อนแอทางเศรษฐกิจในวงกว้างก่อนที่จะเริ่มปรับตัวสูงขึ้นในช่วงเปลี่ยนผ่านระหว่างปี 2564 - 2565

อย่างไรก็ตาม หากพิจารณาบทวิเคราะห์ของสำนักข่าวไฟแนนเชียลไทม์ส จะพบว่า จีนยังเผชิญกับความท้าทายเชิงโครงสร้างอย่างมากอุตสาหกรรมยานยนต์

โดย ความท้าทายดังกล่าวเกิดขึ้นจากความไม่สอดคล้องกันระหว่าง 'ยอดการผลิตในโรงงานของจีน' และ 'อุปสงค์รถยนต์ภายในประเทศ'

ส่วนหนึ่งเกิดจากผู้บริหารในอุตสาหกรรมคาดการณ์แนวโน้มสำคัญ 3 ประการอย่างไม่ถูกต้อง ได้แก่...

▪ การลดลงอย่างรวดเร็วของยอดขายรถยนต์เครื่องยนต์สันดาปภายใน
▪ ความนิยมรถยนต์ไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
▪ ความต้องการรถยนต์ส่วนบุคคลที่ลดลงอย่างรวดเร็ว

‘ดร.อนันต์’ ชื่นชม ‘ณัฐพล ก้าวไกล’ อภิปรายดี จบด้วยประโยคกินใจ ไม่ผิดหวังที่นั่งฟังจนจบ

(13 ก.ย. 66) ดร.อนันต์ จงแก้ววัฒนา นักวิจัยด้านไวรัสวิทยา ไบโอเทค โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ระบุว่า...

"เนื้อหามีเหตุมีผล มีตรรกะให้คนฟังตามได้แบบไม่หลุด มีการให้ตัวอย่างประกอบชัดเจน มีการเสนอวิธีการแก้ไข วิพากษ์วิจารณ์ได้ตรงประเด็นแต่ไม่ก้าวร้าว จบการอภิปรายด้วยคำที่กินใจ...วันนี้ผมให้คะแนน สส. ท่านนี้สูงสุด ไม่ผิดหวังที่นั่งฟังจนจบ"

‘นาวิน ต้าร์’ สุดดีใจ!! ‘ไฮโซน้ำหวาน’ คลอด ‘น้องไมกี้’ แล้ว แถมเห่อลูกชายหนักจนเมียแอบแซว “พ่อดีใจเหมือนคลอดเอง”

(13 ก.ย. 66) เป็นคุณพ่อลูกสามมาครบทั้งลูกสาวลูกชายแล้ว ‘นาวิน ต้าร์’ โพสต์ภาพแรกสุดดีใจ หลังจาก ‘ไฮโซน้ำหวาน พัสวี’ ภรรยา คลอดลูกคนที่ 3 เป็นผู้ชาย เมื่อวันที่ 12 ก.ย. ที่ผ่านมา พร้อมแคปชันต้อนรับลูกชาย โดยตั้งชื่อเล่นแสนน่ารักด้วยว่า…

“สวัสดีครับผม ชื่อ ‘ดช.ไมกี้ ภาวิน เยาวพลกุล’ ครับ welcome to the world my son.” ท่ามกลางเพื่อนๆ คนบันเทิง แฟนคลับร่วมยินดีจำนวนมาก

ขณะที่ ไฮโซน้ำหวานก็โพสต์ภาพต้อนรับลูกชาย พร้อมทั้งแคปชันแซวสามีด้วยว่า “ครอบครัวเราเพิ่มเจ้าหนูน้อยมาอีกคนแล้วนะคะวันนี้ ยินดีต้อนรับนะครับ ไมกี้น้อยของพ่อกับแม่ #navintarfamily #navintar #mybaby #newbornbaby #แม่ลูก3 พ่อดีใจเหมือนคลอดเองเลย”


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top