Wednesday, 14 May 2025
TheStatesTimes

‘นักวิจัยออสเตรเลีย’ หัวใส!! ทดลองทำ ‘ฟาร์มทะเลลอยน้ำ’ เพื่อผลิตน้ำจืดสำหรับดื่ม-การเกษตร หวังแก้วิกฤตขาดแคลนน้ำ

เมื่อวันที่ 11 ก.ย. 66 สำนักข่าวซินหัว, แคนเบอร์รา รายงานว่า คณะนักวิจัยจากสถาบันอุตสาหกรรมแห่งอนาคต มหาวิทยาลัยเซาท์ออสเตรเลีย (UniSA) เปิดเผยการออกแบบ ‘ฟาร์มทะเลแบบลอยน้ำ’ ซึ่งสามารถผลิตน้ำจืดสำหรับดื่มและการเกษตร โดยฟาร์มทะเลที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานแสงอาทิตย์นี้ อาจช่วยแก้ไขปัญหาขาดแคลนน้ำจืดที่กำลังเกิดขึ้นทั่วโลก

ผลการศึกษาของคณะนักวิจัยที่เผยแพร่วันจันทร์ (11 ก.ย.) ที่ผ่านมา ระบุว่า ฟาร์มทะเลนี้จะทำให้น้ำทะเลระเหยกลายเป็นไอและรีไซเคิลเป็นน้ำจืดโดยใช้ห้อง 2 ห้อง ได้แก่ ห้องด้านบนที่คล้ายกับเรือนกระจก และห้องด้านล่างที่จะเก็บน้ำ ซึ่งจะถูกควบแน่นและลำเลียงไปยังห้องเพาะปลูกพืช

รายงานระบุว่า ‘สวี่ ฮ่าวหลาน’ และ ‘แกรี โอเวน’ คณะนักวิจัย ประสบความสำเร็จในการทดลองใช้ฟาร์มทะเลนี้เพาะปลูกบรอกโคลี ผักกาดหอม และกวางตุ้ง บนพื้นผิวน้ำทะเลโดยไม่ต้องดูแลหรือทดน้ำเพิ่มเติม

สวี่ ซึ่งเคยศึกษาที่มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีหนานจิง และสถาบันเซรามิกแห่งเซี่ยงไฮ้ สังกัดสถาบันบัณฑิตวิทยาศาสตร์จีน ก่อนร่วมงานกับมหาวิทยาลัยเซาท์ออสเตรเลียในปี 2011 กล่าวว่าฟาร์มทะเลนี้มีข้อได้เปรียบมากกว่าการออกแบบฟาร์มทะเลพลังงานแสงอาทิตย์อื่นๆ หลายประการ

สวี่ ชี้ว่าการออกแบบฟาร์มทะเลพลังงานแสงอาทิตย์อื่นๆ ติดตั้งเครื่องระเหยน้ำทะเลไว้ในห้องเพาะปลูก ซึ่งแย่งพื้นที่อันมีค่าที่อาจนำไปใช้เพาะปลูกพืชพันธุ์ ทั้งยังมีแนวโน้มทำให้เกิดความร้อนสูงเกินไปและพืชผลล้มตาย

สวี่ อธิบายว่าการออกแบบฟาร์มทะเลแบบใหม่ของพวกเขา ซึ่งกระจายตำแหน่งเครื่องระเหยและห้องเพาะปลูกในแนวตั้ง ช่วยลดการปล่อยความร้อนโดยรวมของอุปกรณ์ และเพิ่มพื้นที่สำหรับผลิตอาหาร รวมถึงทำงานอัตโนมัติเต็มรูปแบบ ต้นทุนต่ำ และใช้งานง่ายมาก ใช้เพียงพลังงานแสงอาทิตย์และน้ำทะเล มาผลิตน้ำสะอาดและเพาะปลูกพืชผล

ด้าน โอเวน กล่าวว่า ขั้นตอนต่อไปคือการขยายขนาดของการออกแบบใหม่นี้ เพื่อมุ่งสู่การสร้างฟาร์มทะเลชีวนิเวศ (biodome) แบบลอยน้ำขนาดใหญ่มหึมาบนมหาสมุทร หรือการใช้อุปกรณ์ขนาดเล็กมากมายบนน่านน้ำทะเลขนาดใหญ่

POP MART แบรนด์ Art Toys หมื่นล้าน บุกประเทศไทย เปิด Flagship Store ครั้งแรกที่ Central World 20 ก.ย.นี้

หลายคนเข้าใจว่า การทำธุรกิจยุคนี้ ต้องเริ่มจากการตามเทรนด์ให้ทัน แต่รู้หรือไม่ว่า สำหรับ POP MART แบรนด์ร้าน Art Toys ชื่อดังที่มีรายได้กว่า 22,000 ล้านบาท สร้างการเติบโตให้ธุรกิจ ด้วยการสร้างเทรนด์นิยม หรือที่เรียกว่า POP Culture ขึ้นมาเอง

สำหรับ POP Culture ซึ่งย่อมาจาก Popular Culture หมายถึง วัฒนธรรม ที่เป็นที่นิยมของผู้คนในขณะนั้นในด้านต่าง ๆ เช่น อาหาร, แฟชัน, กีฬา, วรรณกรรม รวมทั้ง Art Toys โดยในส่วนของ Art Toys ถ้าอธิบายง่าย ๆ ก็คือ ฟิกเกอร์ตัวการ์ตูนต่าง ๆ ที่เป็นของเล่นและของสะสม ซึ่งต่างจากของเล่นทั่วไป ตรงที่มักจะออกมาเป็นซีรีส์ หรือคอลเลกชัน ท้าทายนักสะสมที่ต้องรวบรวมให้ครบ

ทั้งนี้ จุดกำเนิดกว่าจะเป็น Art Toys แต่ละตัว ล้วนมาจากความสร้างสรรค์ และแรงบันดาลใจของ Designer ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ประกอบกับ Art Toys มักจะมาพร้อมกับ Blind Boxes การซื้อของเล่นเพื่อลุ้นการเปิดสินค้าว่าจะได้อะไร ทำให้ยิ่งลุ้น และตื่นเต้นเสียทุกครั้ง ว่าในมือของเราจะเป็น Art Toys ตัวใด

ทั้งหมดนี้ คือเสน่ห์ของ Art Toys ที่กลายมาเป็น POP Culture ในปัจจุบัน ซึ่งผู้ที่เป็นธุรกิจ Leader ของวงการนี้ ก็คือ POP MART แบรนด์ร้าน Art Toys ชื่อดัง ที่สร้างรายได้กว่า 22,000 ล้านบาท

สิ่งที่น่าสนใจสำหรับ POP MART นั้น คือ การวางตนเองว่าเป็น Art Gallery เพราะได้ทำงานร่วมกับ Designer รังสรรค์ผลงานคุณภาพ โดยผลงานแต่ละชิ้นต้องมาจากแรงบันดาลใจ ผ่านการตีความออกมาอย่างดีที่สุด ซึ่งต้องใช้เวลาและความละเมียดละไม ไม่ต่างจากงานศิลปะ ทำให้ POP MART Store เสมือนเป็นห้องจัดแสดงผลงาน Art Gallery

***แล้วกระบวนการสร้างงานศิลปะแต่ละชิ้น ที่เรียกว่า Art Toys ของ POP MART เป็นอย่างไร?

>> ค้นหา Designer Toys Phenomenon
เริ่มต้นจาก POP MART เฟ้นหา Artist และ Designer ที่มีเอกลักษณ์โดดเด่น ผ่านงาน Largest Art Toys Show in ASIA หลายครั้งจาก เซี่ยงไฮ้ ปักกิ่ง หรือสิงคโปร์ เร็วๆ นี้ และยังเคยบรรยายในมหาวิทยาลัยศิลปะชั้นนำต่าง ๆ รวมทั้งงานแข่งขันการออกแบบกับแบรนด์ชั้นนำ

จากจุดนี้ทำให้ POP MART ดึงดูดแบรนด์ระดับโลก และ Designer หน้าใหม่ได้มากมาย ไม่ว่าจะเป็น Kenny Wong ผู้สร้างสรรค์ Molly, มอลลี่ นิสา ศรีคำดี ผู้สร้างสรรค์ CryBaby และ SKULLPANDA ผู้สร้างสรรค์ SKULLPANDA

>> Collaborate กับแบรนด์ดังต่าง ๆ
เมื่อผลงานของ POP MART เป็นสิ่งที่สนุก ไม่มีขีดจำกัด และสร้างความตื่นเต้นให้กับตลาดได้ แบรนด์ต่าง ๆ จึงอยากมาร่วมงานด้วย ไม่ว่าจะเป็น DC, Disney, Warner, Harry Potter ฯลฯ

>> สร้าง Iconic Crossovers
เสน่ห์ของสะสมจะยิ่งเพิ่มมากขึ้น เมื่อเรารู้ว่าคอลเลกชันนั้นเป็น Limited มีจำนวนจำกัด ยิ่งไปกว่านั้น คือ Surprise ที่เกิดขึ้นได้แบบไร้ขีดจำกัด เช่น Molly x Snoopy, Labubu x Spongebob ฯลฯ

นอกจากนี้ POP MART ยังมีโอกาสร่วมงานกับสตูดิโอ และแบรนด์ระดับโลก ไม่ว่าจะเป็น Inner Flow, Silent Trick, Gone ฯลฯ เพื่อออกแบบสิ่งใหม่ ๆ ให้ผู้คนได้สนุก และตื่นเต้นไปกับผลงานทุกคอลเลกชัน สะท้อนความเป็น Leader ในวงการนี้ไปแบบเต็ม ๆ

การตีแตกในธุรกิจ Art Toys ของ POP MART ยังไม่จบแต่เพียงเท่านั้น หลังจากสร้างคอลเลกชัน Art Toys ต่าง ๆ ที่น่าสนใจแล้ว POP MART ยังเข้าใจความต้องการของลูกค้า โดยพัฒนา Art Toys ให้มี 3 ขนาดแตกต่างกัน คือ ไซซ์ปกติ, ไซซ์ Big, ไซซ์ MEGA และหากสังเกตให้ดี Art Toys ไซซ์ MEGA ตอนนี้ ก็เชื่อว่าน่าจะเข้าไปอยู่ในบ้านของใครหลายคน เรียบร้อยแล้ว

***สำหรับคนไทย Art Toys ไซซ์ MEGA ถือว่ามาแรง และสุดฮิตจริง ๆ แม้จะเป็นไซซ์ที่มีราคาสูง แต่ก็มีกลุ่มลูกค้าสะสมเฉพาะกลุ่ม โดยเฉพาะรุ่น MEGA SPACE MOLLY ที่ตอนนี้กลายเป็น Phenomenon ในไทย ช่วยขยายฐานลูกค้าได้มากทีเดียว

และในอนาคต เราอาจจะได้พบ POP MART ในรูปแบบที่ไปไกลกว่า Art Toys เพราะบนพื้นฐานของความสนุก ซึ่งเป็นพื้นฐานของ Art Toys อยู่แล้วสามารถขยายธุรกิจ POP MART เข้าสู่วงการความบันเทิง หรือ Entertainment ได้ไม่ยาก ไม่ว่าจะเป็น Animation, Game หรือแม้แต่ Theme Park

พูดง่าย ๆ ว่าโอกาสทางธุรกิจของ POP MART ที่วันนี้สร้างรายได้ 22,000 ล้านบาทจาก Art Toys ยังมีโอกาสที่รออยู่อีกมหาศาล จากอุตสาหกรรม Entertainment ในอนาคต

สิ่งที่หลายคนอาจจะยังไม่รู้คือ POP MART กำลังจะเปิดตัว Flagship Store ในประเทศไทยครั้งแรกที่ Central World ชั้น 1 ในวันที่ 20 กันยายนนี้

จัดเต็มความตื่นเต้น เช่น...
- Blind Box Collection สุด Rare ที่ทุกคนกำลังตามหา
- พิเศษสุดคือ SKULLPANDA Hoar Frost Thailand Limited Edition วางขายที่ Flagship Store Central World ประเทศไทยเพียง 140 ชิ้น เท่านั้น

จากนี้ไป POP MART Thailand จะเขย่าวงการ Art Toys ประเทศไทยแค่ไหน ก็น่าติดตามไม่น้อย..

‘กรมทางหลวง’ เผย โครงการขยายสายทางรอบเกาะสมุย ใกล้เสร็จแล้ว หวังยกระดับคุณภาพชีวิต-ส่งเสริมการท่องเที่ยว จ.สุราษฎร์ธานี

(12 ก.ย.66) นายสราวุธ ทรงศิวิไล อธิบดีกรมทางหลวง เปิดเผยถึงความคืบหน้าการดำเนินการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่ง และโครงข่ายทางหลวงในพื้นที่ภาคใต้ พร้อมเร่งดำเนินโครงการก่อสร้างทางหลวงหมายเลข 4169 สายทางรอบเกาะสมุยให้แล้วเสร็จตลอดสายระยะทาง 50 กิโลเมตร เพื่อรองรับการขยายตัวของเศรษฐกิจ ยกระดับคุณภาพชีวิตประชาชน และส่งเสริมการท่องเที่ยว อำนวยความสะดวกนักท่องเที่ยวให้สามารถเดินทางได้อย่างสะดวก รวดเร็ว ปลอดภัย ตามนโยบายของรัฐบาล

กรมทางหลวง โดยสำนักก่อสร้างทางที่ 1 เร่งดำเนินโครงการก่อสร้างทางหลวงหมายเลข 4169 สายทางรอบเกาะสมุย ซึ่งมีระยะทางทั้งหมด 50 กิโลเมตร โดยที่ผ่านมากรมทางหลวงได้ขยายเส้นทางแล้วเสร็จรวมระยะทาง 34.53 กิโลเมตร และเปิดให้บริการแก่ประชาชนไปแล้ว ยังคงเหลือ ตอน บ.หัวถนน - บ.เฉวง ซึ่งเป็นช่วงสุดท้าย โดยตอนนี้มีจุดเริ่มต้นที่ กม.14+000 ท้องที่บ้านหัวถนน ตำบลหน้าเมือง อำเภอเกาะสมุย จังหวัดสุราษฎร์ธานี และจุดสิ้นสุดที่ กม.29+531 ท้องที่บ้านเฉวง ตำบลบ่อผุด อำเภอเกาะสมุย จังหวัดสุราษฎร์ธานี ระยะทางยาวประมาณ 15.531 กิโลเมตร ลักษณ

โครงการเดิมเป็นทางหลวงขนาด 2 ช่องจราจร กรมทางหลวงเล็งเห็นถึงความสำคัญและศักยภาพของสายทาง จึงบูรณะก่อสร้างเป็นมาตรฐานทางชั้น 1 ขนาด 2 ช่องจราจร และบางช่วงเป็นขนาด 4 ช่องจราจร ไป - กลับ ผิวทางแอสฟัลต์คอนกรีต กว้างช่องจราจรละ 3.50 เมตร มีทางเท้ากว้างข้างละ 2.50 เมตร สำหรับรูปแบบการก่อสร้างแบ่งตามลักษณะภูมิประเทศและความกว้างของเขตทางหลวงโดยคำนึงถึงการใช้ประโยชน์ของพื้นที่ให้เหมาะสมกับเขตทางหลวง เนื่องจากสภาพพื้นที่โดยทั่วไปเป็นภูมิประเทศสลับเนินเขา ย่านชุมชนที่อยู่อาศัยหนาแน่น พร้อมกับให้มีระบบระบายน้ำที่มีประสิทธิภาพ เพื่อช่วยแก้ปัญหาน้ำท่วมขัง รวมงานติดตั้งไฟฟ้าแสงสว่างและไฟสัญญาณจราจรบนทางหลวง งบประมาณรวม 700 ล้านบาท ปัจจุบันการก่อสร้างคืบหน้าประมาณร้อยละ 89.35 คาดว่าการก่อสร้างจะแล้วเสร็จประมาณเดือนมีนาคม 2567 ซึ่งกระทรวงคมนาคมได้เร่งผลักดันการดำเนินงานของโครงการ เพื่อเติมเต็มโครงข่ายทางหลวงให้สมบูรณ์ตลอดสายทาง

นำหมอ และหัวใจฝ่าสภาพการจราจรติดขัดท่ามกลางสายฝน !!!ทุกวินาทีคือชีวิต!!! ตำรวจจราจรโครงการพระราชดำริ นำส่งอวัยวะหัวใจ ครั้งที่ 73 ‘ผบ.ตร.-รอง ผบ.ตร.’ ชมเชยเป็นตำรวจมืออาชีพ ยกเป็นตัวอย่าง ‘สุภาพบุรุษจราจร’ 

วันนี้ (12 กันยายน 2566) พล.ต.ท.นิธิธร จินตกานนท์ ผู้บัญชาการประจำสำนักงานผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ในฐานะหัวหน้าคณะทำงานเสริมสร้างภาพลักษณ์ตำรวจจราจร ศูนย์บริหารงานจราจร สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ศจร.ตร.) เปิดเผยว่า ตำรวจจราจรโครงการพระราชดำริ กองบังคับการตำรวจจราจร อำนวยความสะดวกการจราจรเร่งนำส่งอวัยวะหัวใจส่ง รพ.ศิริราช ได้ทันเวลา 

โดยเมื่อวันที่ 11 กันยายน 2566 เวลาประมาณ 17.35 น. ตำรวจจราจรโครงการพระราชดำริฯ ได้รับการประสานงานจากศูนย์บริจาคอวัยวะ รพ.สมุทรสาคร ผ่านศูนย์วิทยุจราจรโครงการพระราชดำริ แจ้งว่าขอสนับสนุนนำอวัยวะหัวใจจาก รพ.สมุทรสาคร ส่งยัง รพ.ศิริราช หลังจากรับแจ้ง ตำรวจโครงการพระราชดำริฯ ได้นำกำลังตำรวจไปรอรับที่ รพ.สมุทรสาคร เพื่ออำนวยความสะดวกการจราจร เร่งนำส่งอวัยวะหัวใจไปยัง รพ.ศิริราช แต่การนำส่งหัวใจในครั้งนี้เหลือเวลาที่จำกัด และเป็นเวลาช่วงเย็นที่มีฝนตก สภาพการจราจรค่อนข้างหนาแน่น  คุณหมอจึงตัดสินใจนำอวัยวะหัวใจขึ้นซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์ของตำรวจจราจรโครงการพระราชดำริ โดยมี ร.ต.ต.ศักดิ์ชาย กระแสร์ญาณ เป็นผู้ขับขี่มุ่งหน้าสู่โรงพยาบาลเป้าหมายทันที  ระหว่างทางมีฝนตกลงมาอย่างหนัก แต่ทั้งหมอ และตำรวจทุกนายก็มีความมุ่งมั่นที่จะนำพาหัวใจดวงนี้ไปยัง รพ.ที่หมาย รวมถึงได้รับความร่วมมือจากตำรวจจราจร สน.ท้องที่ ในเส้นทางทุกพื้นที่ และผู้ใช้เส้นทางที่ช่วยเปิดทางให้จนภารกิจชีวิตในครั้งนี้สำเร็จลุล่วงด้วยดี 

พล.ต.ท.นิธิธร กล่าวว่า ตำรวจจราจรโครงการพระราชดำริฯ ได้เปิดเส้นทางนำส่งอวัยวะหัวใจ ซึ่งระยะเวลาตั้งแต่ผ่าตัดหัวใจของผู้บริจาค จนกระทั่งปลูกถ่ายให้ผู้รับ มีเวลาเพียง 4 ชั่วโมงเท่านั้น (อวัยวะหัวใจหากทำการผ่าตัดออกมาจากร่างกายของผู้บริจาคแล้วจะอยู่ได้ไม่เกิน 4 ชั่วโมง นับจากเวลาที่ปิดทางเดินเลือดในการผ่าตัดหัวใจของผู้บริจาค จนกระทั่งเปิดให้เลือดผ่านหัวใจใหม่ในร่างกายของผู้รับการปลูกถ่าย) จึงเป็นภารกิจที่ต้องแข่งกับเวลา กรณีนำส่งอวัยวะหัวใจในครั้งนี้ นับเป็นรายที่ 73 แล้ว ที่ตำรวจจราจรโครงการพระราชดำริฯ นำส่งอวัยวะลุล่วงจนแพทย์สามารถปลูกถ่ายหัวใจ ต่อชีวิตใหม่ให้กับผู้รับบริจาคได้ 

ทั้งนี้ พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) และ พล.ต.อ.รอย อิงคไพโรจน์ รอง ผบ.ตร. ในฐานะ ผอ.ศจร.ตร. ได้ชมเชยการปฏิบัติหน้าที่ของทีมตำรวจจราจรโครงการพระราชดำริฯ ที่ปฏิบัติหน้าที่อย่างมืออาชีพ มีทักษะคล่องแคล่ว สามารถให้ความช่วยเหลือ เป็นที่พึ่งของประชาชน และสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชน ซึ่งถือเป็นหนึ่งตัวอย่างของตำรวจจราจรที่ปฏิบัติหน้าที่ด้วยจิตอาสาบริการ มีมาตรฐานสากล ตามแนวทางการสร้าง “สุภาพบุรุษจราจร” ที่ ศจร.ตร.กำลังขับเคลื่อนสร้างมาตรฐานตำรวจจราจรทั่วประเทศ เพื่อยกระดับการบริการประชาชน สร้างความเชื่อถือศรัทธา และนำไปสู่การลดอุบัติเหตุบนท้องถนนในที่สุด 

นอกจากนี้ พล.ต.ท.นิธิธร กล่าวเพิ่มเติมว่า ขณะนี้ยังมีผู้รอรับการบริจาคอวัยวะอยู่มากกว่า 6,000 คนทั่วประเทศ จึงขอเชิญชวนประชาชนร่วมต่อลมหายใจให้กับผู้ป่วย เพราะการบริจาคอวัยวะแก่เพื่อนมนุษย์ คือที่สุดแห่งการให้ โดยตำรวจจราจรพร้อมสานต่อเจตนารมณ์ของผู้บริจาค และเติมเต็มความหวังของผู้รับบริจาค เป็นส่วนหนึ่งในการสร้างชีวิตใหม่ อำนวยความสะดวกนำทางส่งต่ออวัยวะสำคัญ ทั้งนี้ หากประชาชนต้องการความช่วยเหลือ สามารถติดต่อประสานงานตำรวจโครงการพระราชดำริฯ ได้ที่ โทร 1197 กองบังคับการตำรวจจราจร

จับกุมหนุ่มแดนปลาดิบ ฉ้อโกงเงินสวัสดิการแห่งรัฐ หลบหนีเข้าประเทศไทย

• ในช่วงต้นเดือน ก.ย. 66 กก.2 บก.สส.สตม. ได้รับการประสานงานจากกองการต่างประเทศ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กรณีตำรวจสากลประเทศญี่ปุ่น ขอให้ตรวจสอบบุคคลซึ่งเป็นที่ต้องการตัวของประเทศญี่ปุ่น ผู้ต้องหารายสำคัญ คือ นายยูกิ (นามสมมุติ) อายุ 35 ปี สัญชาติญี่ปุ่น ผู้ต้องหาตามหมายจับของประเทศญี่ปุ่น ข้อหา ฉ้อโกงเงินสวัสดิการแห่งรัฐในช่วงการแพร่ระบาดของ COVID-19 ซึ่งได้หลบหนีอยู่ในประเทศไทย 

• บก.สส.สตม. ได้ตรวจสอบข้อมูลในระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ ตม. ผลการตรวจสอบพบว่า นายยูกิ เดินทางเข้ามาในราชอาณาจักรไทย ผ่านช่องทางด่าน ตม.ทอ.สุวรรณภูมิ เมื่อวันที่ 17 พ.ค.65 ได้รับอนุญาต ให้อยู่ในราชอาณาจักรประเภท THAILAND PRIVILEGE CARD (PE) และได้รับอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักร ได้ถึงวันที่ 7 มิ.ย.66 โดยการอนุญาตสิ้นสุดแล้ว เจ้าหน้าที่ชุดจับกุมทำการสืบสวนจนทราบว่าผู้ต้องหาพัก อาศัยอยู่ที่ คอนโด Q Asok แขวงมักกะสัน เขตราชเทวี กรุงเทพฯ จึงได้เฝ้าสังเกตการณ์และได้รวบรวม พยานหลักฐานขออนุมัติหมายค้นต่อศาลแขวงดุสิต โดยศาลแขวงดุสิตอนุมัติหมายค้นให้เข้าตรวจค้นคอนโด ดังกล่าว จากการเข้าตรวจค้นพบผู้ต้องหามาพักอาศัยอยู่จริงและไม่พบสิ่งของผิดกฎหมายในห้องดังกล่าว ได้ขอตรวจสอบหนังสือเดินทางพบว่า การอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรสิ้นสุดแล้ว จึงได้แจ้งข้อกล่าวหาและควบคุมตัวนำส่ง พนักงานสอบสวน บก.สส.สตม. เพื่อดำเนินการตามกฎหมายต่อไป โดยนายยูกิไม่ได้กระทำ ผิดกฎหมายในประเทศไทยแต่อย่างใด 

• ต่อมาวันที่ 9 ก.ย.66 เวลาประมาณ 11.30 น. เจ้าหน้าที่ตำรวจ ได้เบิกตัวนายยูกิ ออกจากสถาน กักกันคนต่างด้าว ของ กก.3 บก.สส.สตม. เพื่อไปฟ้องคดีต่อศาลแขวงพระนครใต้ หลังจากศาลได้มีคำ พิพากษาปรับและได้ชำระค่าปรับเรียบร้อยแล้ว จึงได้พาตัวกลับมายังสถานกักกันคนต่างด้าว เมื่อมาถึงบริเวณ ด้านหน้าสถานกักกันคนต่างด้าว นายยูกิ ได้หลบหนีไป โดยใช้รถควบคุมผู้ต้องหา ป้ายทะเบียนตราโล่ ในการ หลบหนี จากนั้นนำรถไปจอดทิ้งไว้ที่หน้าโรงพยาบาลเจริญกรุงประชารักษ์ แขวง/เขตบางคอแหลม กรุงเทพฯ แล้วขึ้นรถแท็กซี่หลบหนีไปที่พัทยา จว.ชลบุรี เจ้าหน้าที่ชุดสืบสวนจึงได้ลงพื้นที่ติดตามตัวนายยูกิ จนสืบทราบ ว่านายยูกิ เข้าพักอาศัยอยู่ที่โรงแรมบริเวณซอยบัวขาว พัทยา อ.บางละมุง จว.ชลบุรี จึงได้เข้าตรวจสอบพบ ตัวนายยูกิ และควบคุมตัวกลับมาที่ กก.3 บก.สส.สตม. และให้พนักงานสอบสวนแจ้งข้อกล่าวหาว่า เป็นคน ต่างด้าวอยู่ในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาต, เป็นคนต่างด้าวหลบหนีไปในระหว่างที่ถูกกักตัวหรือควบคุม ตามอำนาจของพนักงานเจ้าหน้าที่ ทำร้ายร่างกายเจ้าพนักงานซึ่งกระทำการตามหน้าที่ และทำให้เสียทรัพย์ และดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

สตม. ขอเรียนให้ท่านทราบว่า สตม. มีมาตรการในการตรวจสอบ กวดขัน และปราบปรามการกระทำความผิดในด้านต่าง ๆ รวมถึงการเฝ้าระวังบุคคลทั้งสัญชาติไทยและสัญชาติอื่น ๆ ที่มีหมายจับ และการเดินทางเข้า-ออกประเทศไทย หากประชาชนท่านใดพบเห็นเบาะแสการกระทำความผิด กรุณาแจ้งมายัง สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง อาคารเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร พระชนมพรรษา 60 พรรษา เลขที่ 904 หมู่ที่ 6 ตำบลบ้านใหม่ อำเภอปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี 11120 หรือที่หมายเลขโทรศัพท์ 1178 หรือที่ www.immigration.go.th จะขอบพระคุณเป็นอย่างยิ่ง

ตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดสงขลา รวบ “วุธ แม่กลอง” หัวหน้าทีมขนแรงงานต่างด้าวซุกรถทัวร์หนีใต้

ตม.จว.สงขลา, กก.สส.บก.ตม.6  ร่วมกับ ตม.จว.สมุทรสงคราม , สภ.รัตภูมิ และ สภ.เมืองสมุทรสงคราม จับกุม นายวุธ (นามสมมติ) อายุ 49 ปี สัญชาติไทย บุคคลตามหมายจับศาลจังหวัดสงขลา ข้อหา ร่วมกันให้ที่พักพิงให้การช่วยเหลือคนต่างด้าวที่เดินทางเข้ามาผิดกฎหมายเพื่อให้พ้นจากการจับกุมของพนักงานเจ้าหน้าที่ พฤติการณ์การกระทำความผิด คือ เมื่อประมาณเดือน มิ.ย.66 เจ้าหน้าที่ตำรวจ ตม.จว.สงขลา จับกุมตัว นายอภิวัธ (นามสมมติ) อายุ 46 ปี สัญชาติไทย ขณะขับรถยนต์ยี่ห้อ อีซูซุ มิว 7 ขนแรงงานต่างด้าวสัญชาติเมียนมา หลบหนีเข้ามาในประเทศไทย จำนวน 13 คน ในท้องที่ สภ.รัตภูมิ จว.สงขลา จากการสืบสวนขยายผลทราบว่า ก่อนถูกจับกุม คนต่างด้าวทั้ง 13 คนได้มาพักคอยที่จว.สมุทรสงคราม เพื่อรอขึ้นรถประจำทางสาย กทม.-กระบี่ และ กทม.-ภูเก็ต รวม 3 คัน โดยนายวุธจะทำหน้าที่ประสานงานก่อนส่งต่อคนต่างด้าวให้กับนายอภิวัธกับพวกรวม 3 คน เพื่อพาคนต่างด้าวไปยัง จว.สงขลา และเปลี่ยนรถไปยังชายแดนไทย-มาเลเซีย ที่ อ.ตากใบ จว.นราธิวาส จากการขยายผลดังกล่าว สามารถออกหมายจับพนักงานขับรถประจำทาง พนักงานต้อนรับประจำรถ และกลุ่มผู้นำพาคนต่างด้าวหลบหนีเข้าเมืองรวม 12 คน ในข้อหา ร่วมให้ที่พักพิง ซ่อนเร้น หรือช่วยเหลือด้วยประการใด ๆ อันเป็นการอุปการะหรือช่วยเหลือ หรือให้ความสะดวกแก่คนต่างด้าวให้เข้ามาในราชอาณาจักรโดยผิดกฎหมาย เพื่อให้พ้นจากการจับกุมของพนักงานเจ้าหน้าที่ ซึ่งผู้ต้องหากลุ่มพนักงานขับรถประจำทางที่ถูกจับกุมตามหมายจับข้างต้น ให้การตรงกันว่ารับคนต่างด้าวมาจากนายสราวุธหรือ นายวุธ แม่กลอง โดยได้ค่านำพาเป็นเงินจำนวน 1,500 บาทต่อคน เจ้าหน้าที่ชุดสืบสวนจึงรวบรวมพยานหลักฐานเพื่อขอหมายจับนายสราวุธ ในข้อหาเดียวกัน ต่อมานายสราวุธ ติดต่อ   ขอมอบตัวเพื่อเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงควบคุมตัวส่ง พงส.สภ.รัตภูมิ เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

นอกจากนี้ ในห้วงระหว่างวันที่ 1 ก.ค. – 30 ก.ย.66 ผบช.สตม. ได้สั่งการตามหนังสือ ตร. ด่วนที่สุด ที่ 0007.22/2536 ลง 30 มิ.ย.66 เรื่อง มาตรการป้องกันปราบปรามอาชญากรรม โดยให้ทุกหน่วยในสังกัด สตม. ระดมกวาดล้างอาชญากรรม กำหนดเป้าหมายในการระดมกวาดล้างความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทั่วไป การจับกุมบุคคลตามหมายจับและการสืบสวนจับกุมปราบปรามการกระทำความผิดตาม พ.ร.บ.คนเข้าเมือง พ.ศ.2522 มีผลการปฏิบัติในห้วง 1 ก.ค. – 31 ส.ค.66 ได้ทำการตรวจสอบบุคคลต่างด้าวที่เข้ามาขออยู่ต่อในราชอาณาจักรทั้งสิ้น 9,937 ราย พบว่าเป็นบุคคลต่างด้าวที่อยู่ในราชอาณาจักรโดยการอนุญาตสิ้นสุด (Overstay) จำนวน 729 ราย จึงได้จับกุมส่งพนักงานสอบสวนดำเนินการตามกฎหมายต่อไป รวมทั้งยังได้มีการจับกุมบุคคลต่างด้าวที่หลบหนีเข้ามาและอยู่ในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาตได้อีกจำนวน 1,557 ราย และจับกุมข้อหาช่วยเหลือ ซ่อนเร้นบุคคลต่างด้าวฯ จำนวน 50 ราย

‘บิ๊กทิน’ เข้า ‘กลาโหม’ วันที่ 13 เวลา 13.13.13 น. พร้อมสักการะศาลหลักเมือง-สิ่งศักดิ์สิทธิ์ภายในกระทรวงฯ

(12 ก.ย. 66) ผู้สื่อข่าวรายงานว่าในวันที่ 13 ก.ย.66 นายสุทิน คลังแสง รมว.กลาโหมจะเข้ากระทรวงเป็นวันแรก โดยเดินทางมายังศาลหลักเมืองในเวลา 12.45 น. เพื่อทำพิธีสักการะศาลหลักเมือง จากนั้นเดินทางเข้าไปภายในกระทรวงกลาโหม เพื่อถวายสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในศาลาว่าการกลาโหม

จากนั้นขบวนรถ รมว.กลาโหม จะเคลื่อนขบวนจากศาลหลักเมือง เข้าประตูหน้ากระทรวงกลาโหม โดยมีทหารกองรักษาการ ยืนแถวจากนั้นให้พลแตรเป่าเคารพ ขณะที่รถของรมว.กลาโหม เคลื่อนเข้าประตูกระทรวงกลาโหม ในเวลา 13 นาฬิกา 13 นาที 13 วินาที (13.13.13. น.) 

เวลา 13.45 น. พิธีถวายราชสักการะและถวายสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ในศาลาว่าการกลาโหม

เวลา 14.00 น. พิธีตรวจแถวกองทหารเกียรติยศผสม 3 เหล่าทัพ ณ ลานอเนกประสงค์ ในศาลาว่าการกลาโหม

เวลา 14.30 น. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม รับฟังการบรรยายสรุปภารกิจของกระทรวงกลาโหม ณ ห้องภาณุรังษี

จากนั้นจะเดินทางไปยังกระทรวงกลาโหม (ศรีสมาน) ปากเกร็ด เพื่อไปถวายสักการะ พระบรมราชานุสาวรีย์ รัชกาลที่5 

สำหรับนายสุทิน คลังแสง เป็นรมว.กลาโหม ตั้งแต่ พ.ศ. 2475 ที่เรียกว่า รมว.กลาโหม เป็นคน 42 เพราะก่อนหน้าเป็นเสนาบดีกลาโหม เป็น รมว.กลาโหมพลเรือนคนที่ 6 ต่อจากนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และอดีตรมว.กลาโหม

'รมช.คลัง' รับ!! เงินไม่พอทำ 'สวัสดิการถ้วนหน้า' ชี้!! 'ภาษีที่จัดเก็บได้ยังห่างไกล-รัฐต้องคุมวินัยคลัง'

(12 ก.ย.66) ที่รัฐสภา นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง ลุกขึ้นชี้แจงถึงนโยบายพักหนี้เกษตรกร ในการแถลงนโยบายรัฐบาลต่อรัฐสภาว่า เรื่องการเกษตรเป็นเรื่องสำคัญ ในการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ครั้งแรก จะมีเรื่องการพักหนี้เข้าสู่ที่ประชุมเป็นเรื่องเร่งด่วนจะทำให้ได้ในไตรมาสสี่ปีนี้ โดยเป็นการพักหนี้ทั้งต้นและดอก พร้อมแผนสร้างรายได้ การปรับเปลี่ยนโครงสร้างปลูกและผลิตตามที่ตลาดโลกต้องการ และการพักหนี้ทั้งต้นทั้งดอกนี้จะทำให้เกษตรกรมีแรงทำมาหากินสร้างรายได้อย่างมีเกียรติ มีศักดิ์ศรี และไม่เสียวินัยการเงินการคลัง เช่น การใช้ปุ๋ยตามการวิเคราะห์ดิน ลดจำนวนปุ๋ยเคมีและเพิ่มผลผลิตเพื่อเพิ่มรายได้ ส่วนเรื่องการใช้ดาต้าเข้ามาสนับสนุนการเพาะปลูกนั้น เราจำเป็นต้องถ่ายทอดองค์ความรู้ให้เกษตรกรปรับใช้ให้มีประสิทธิภาพควบคู่ไปกับการให้ความรู้เกษตรกรทั่วไป

นายกฯ กล่าวต่อว่า สำหรับประเด็นเรื่องหมูเถื่อนที่เข้ามานั้น ตนได้รับฟังปัญหานี้มาก่อนแล้วเป็นปัญหาใหญ่ที่ลามไปทั่วประเทศจะเรียกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาหารือเพื่อหาแผนสั่งการต่อไป ขณะที่เรื่องของรายได้ครูและข้าราชการนั้นถือเป็นภาคส่วนสำคัญในการดูแลประชาชน ซึ่งรัฐบาลให้ความสำคัญ และรับปากว่าจะไปดูแลเรื่องรายได้ให้เหมาะสมกับงบประมาณโดยรักษาไว้ซึ่งวินัยการเงินการคลัง

ด้านนายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รมช.คลัง ชี้แจงว่า การแก้ปัญหาการพักหนี้เกษตรกร สมาชิกหลายท่านอภิปรายให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ ตนในฐานะรมช.คลัง รวมถึงนายกฯ เน้นย้ำการเดินหน้าเรื่องการพักหนี้ เราเตรียมการล่วงหน้าไปมากแล้ว โดยเชื่อมั่นว่าภายในไตรมาสนี้จะเดินหน้าแก้ปัญหาเรื่องการพักหนี้เกษตรได้ การพักหนี้ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่จะต่อชีวิตให้พี่น้องภาคการเกษตร หลังจากนั้นรัฐบาลจะมีโครงการอีกจำนวนมาก พร้อมกับวางเป้าเพิ่มมูลค่าทางเกษตรภายใน 4 ปี เพื่อให้เกษตรกรลืมตาอ้าปากได้อย่างแท้จริง รวมถึงจะมีการเจรจาการค้าเอฟทีเอกับหลายๆประเทศเพื่อเปิดประตูการค้า เพราะรัฐบาลมองสถานการณ์เอญนีโญที่จะเกิดขึ้นเป็นโอกาส เพราะจะเกิดภาวะขาดแคลนด้านอาหารจำนวนมากในโลก ถ้าประเทศไทยสร้างความแข็งแกร่งด้านการเกษตรได้ เราจะกลับมาเป็นครัวโลกได้อย่างเต็มภาคภูมิ เกษตรกรจะลืมตาอ้าปากได้

นายจุลพันธ์ กล่าวต่อว่า ส่วนการพูดถึงสวัสดิการถ้วนหน้า เราต้องตื่นจากความฝันและอยู่กับความเป็นจริง เนื่องจากจีดีพีของไทยต่ำกว่าประเทศที่ทำสวัสดิการถ้วนหน้ามาก ซึ่งขณะนี้ประเทศไทยอยู่ในสภาวะที่การจัดเก็บภาษี ยังไม่สามารถอยู่ในจุดที่เราจะทำสวัสดิการถ้วนหน้าได้จริงๆ เราเดินหน้าจัดตั้งรัฐบาลกันมาช่วงหนึ่ง ทราบดีว่าข้อจำกัดคืออะไร ตนอยากถามกลับว่าหากท่านต้องการให้ทำสวัสดิการถ้วนหน้า ท่านคาดว่าจะเอางบประมาณมาจากไหน หรือท่านจะเอาเงินมาจากการขายทรัพย์สินของรัฐมาทำสวัสดิการถ้วนหน้า หรือจะขายกองทุน กู้แบงก์ แต่สำหรับรัฐบาลนี้เราตระหนักเรื่องวินัยการเงิน การคลัง ฉะนั้น เราคงจะทำแบบนั้นไม่ได้

“ด้วยภาระของรัฐบาลปัจจุบันหากทำสวัสดิการถ้วนหน้าจะเกิดปัญหาขึ้นได้ในอนาคตอันใกล้ ขณะนี้ประเทศไทยยังไม่มีงบประมาณมากเพียงพอ ที่จะรองรับการจัดสวัสดิการถ้วนหน้า สิ่งสำคัญที่ทุกท่านทราบคือรัฐจะต้องจัดเก็บภาษีได้มากขึ้น ยืนยันว่ารัฐบาลมีความตั้งใจเดินหน้าสวัสดิการโดยรัฐให้กับประชาชนในระดับที่เหมาะสม และจะทำเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แน่นอน” รมช.คลัง กล่าว

‘บิ๊กโจ๊ก’ เผย!! กู้หลักฐานกล้องวงจรปิดใกล้เสร็จแล้ว เตรียมออกหมายจับเพิ่ม ขอตำรวจในงานเลี้ยงพูดความจริง

(12 ก.ย. 66) พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. กล่าวถึงความคืบหน้าการสืบสวนสอบสวนคลี่คลายคดียิงสารวัตรแบงค์ สังกัดตำรวจทางหลวงเสียชีวิตในงานเลี้ยงกำนันนกคืนวันที่ 6 ก.ย.ที่ผ่านมาว่า จากการสืบสวนสอบสวน ขณะนี้เริ่มมีความชัดเจนเลี้ยงว่ามีตำรวจอยู่ร่วมงานเลี้ยงจำนวน 28 นาย และพลเรือน 27 คน ในจำนวนนี้มีตำรวจ 6 นาย ถูกแจ้งข้อหาและฝากขังไปแล้ว และมีข้าราชการของกรมราชทัณฑ์ 1 คน ส่วนพลเรือนขณะนี้ถูกดำเนินคดีฐานทำลายหลักฐานรวม 4 คน ส่วนจะแจ้งข้อหาหรือออกหมายจับใครเพิ่มเติมยังต้องรอการกู้ไฟล์เซิร์ฟเวอร์กล้องวงจรปิดให้ได้ก่อนเพื่อนำมาประกอบสำนวนคดีและจะเห็นความชัดเจนว่ามีใครเกี่ยวข้อง หรือดำเนินการอย่างใดอย่างหนึ่งหรือไม่ ซึ่งยืนยันว่ามีการออกหมายจับเพิ่มทั้งตำรวจและพลเรือนแน่นอน

ในส่วนของเซิร์ฟเวอร์หากมีการกู้สำเร็จจะไม่มีการจะไม่มีการนำมาเปิดเผยเนื่องจากรายละเอียดนี้ใช้ประกอบสำนวนทนายของจำเลยอาจจะใช้ต่อสู้คดีได้ ดังนั้นตัวเองจะไปดูและเป็นผู้นำมาแถลงข่าวต่อสื่อมวลชนเอง 

ทั้งนี้ยืนยันว่าคดีนี้ผู้เสียชีวิตจะได้รับความเป็นธรรมที่สุด และจะมีการขยายผลไปถึงประเด็นอื่น ๆ ที่เชื่อมโยง เครือข่ายกำนันนก ว่ามีจำนวนมากน้อยแค่ไหน ทั้งการฮั๊วะประมูลโครงการของรัฐในพื้นที่ภาคเจ็ด เรื่องเว็บพนันออนไลน์ก็กำลังสืบสวนอยู่เช่นกัน

รวมถึงกรณีกระแสข่าวเส้นทางการเงินเครือข่ายกำนันนก ที่มีการโอนให้กับนายตำรวจทั้งที่อยู่ในงานเลี้ยงวันเกิดเหตุและตำรวจที่ไม่ได้ไปงานด้วยตอนนี้ก็มีข้อมูลแล้วว่าอยู่หน่วยงานไหน แต่ขอยังไม่เปิดเผยเพราะรายละเอียดอยู่ในสำนวน

ส่วนกรณีที่มีเว็บไซต์ออนไลน์ สื่อโซเชียลมีเดียออกมาเรียกร้องให้ปล่อยตัวกำนันนก จากการตรวจสอบพบว่าเป็นเว็บอวตารที่ทำขึ้นมาหลังจากเกิดคดีแล้ว ซึ่งขณะนี้ยังอยู่ระหว่างการหาตัวบุคคลดังกล่าว หากพบตัวก็จะดำเนินคดีตามกฎหมาย

ส่วนประเด็นการเสียชีวิตของผู้กำกับเบิ้ม พ.ต.อ.วชิรา ผู้กำกับการตำรวจทางหลวง 2 ที่ก่อเหตุปลิดชีพในบ้านพัก เป็นเรื่องที่ทุกคนในสำนักงานตำรวจแห่งชาติเสียดายและเสียใจเป็นอย่างมาก จากที่ตัวเองเข้าไปตรวจสอบที่เกิดเหตุจากหลักฐานตอนนี้ยังพบว่าเป็นการฆ่าตัวตาย แต่ก็ยังต้องรอผลการตรวจของเจ้าหน้าที่นิติวิทยาศาสตร์และพิสูจน์หลักฐานเพื่อความชัดเจน

ส่วนสาเหตุที่ทำให้ผู้กำกับปลิดชีพตัวเองยังอยู่ในระหว่างการสืบสวนเบื้องต้นเชื่อว่าเป็นประเด็นความเครียดเนื่องจากพนักงานสอบสวน ที่สอบปากคำผู้กำกับเบิ้ม ระบุว่าผู้กำกับเบิ้มมีความเครียดสูง ส่วนประเด็นที่โซเชียลสงสัยว่าทำไมโทรศัพท์มือถือถึงอยู่ที่บางนา ห่างไกลจากสถานที่พบศพ เรื่องนี้อยู่ระหว่างการตรวจสอบ และเรียกผู้ใต้บังคับบัญชาซึ่งเป็นผู้ถือโทรศัพท์มือถือมาสอบปากคำอีกครั้ง 

ส่วนแท็กซี่ที่ขับมาส่งผู้กำกับเบิ้มที่บ้านก่อนเกิดเหตุ เมื่อคืนนี้ได้เรียกมาสอบปากคำแล้ว จากคำให้การ ไม่ครบข้อพิรุธ ระหว่างเดินทางไปบ้านหลังเกิดเหตุผู้กำกับเบิ้มก็ได้บอกเส้นทางกลับบ้านด้วยตัวเอง และเดินทางเพียงลำพังคนเดียว

ส่วนประเด็นเรื่องโรบอทดูดฝุ่น ที่พบหัวกระสุน จะมีการตั้งเวลาหรือมีการสั่งการผ่านมือถือจากข้างนอกหรือไม่ ข้อสงสัยนี้ก็อยู่ระหว่างการตรวจสอบ กับบริษัทผู้ผลิต

ส่วนกรณีผู้กำกับ สน.พญาไทที่มีคลิปเสียงข่มขู่ผู้สื่อข่าว เชื่อว่าเกิดจากความเครียด ซึ่งหลังจากนี้หากผู้สื่อข่าว ยังติดใจสามารถแจ้งความผ่านตัวเองได้ ส่วนที่ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาคเจ็ดจัดกำลังดูแลผู้สื่อข่าว ที่เฝ้าติดตามสถานการณ์ในพื้นที่ภาคเจ็ดเชื่อว่าทำไปเพื่อความสบายใจ

รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ บอกว่า เวลานี้ตำรวจที่อยู่ในเหตุการณ์งานเลี้ยงทั้งหมดยังให้การไม่เป็นความจริง ซึ่งส่วนตัวมองว่าต้องมีจิตสำนึก รักพวกพ้องตำรวจด้วยกัน เพราะตอนนี้มีตำรวจถูกยิงตายแล้วหนึ่ง บาดเจ็ดหนึ่ง และปลิดชีพเพิ่มอีก ดังนั้น ก็ควรออกมาพูดความจริง เพราะสาเหตุการตายที่เกิดขึ้นเกิดจากการเป็นไม้ค้ำยันให้กับผู้มีอิทธิพล ซึ่งแย่เต็มที

ส่วนที่มีกระแสข่าวว่ามีตำรวจที่ให้การร้องไห้และพูดความจริงออกมาทั้งหมดยืนยันว่ายังไม่มีข้อมูลตรงนั้น มีเพียงตำรวจที่อยู่ในเรือนจำเท่านั้นที่มีความเครียดเวลาญาติไปเยี่ยมก็จะร้องไห้ 

ส่วนตำรวจที่มีส่วนเกี่ยวข้องเบื้องต้นได้สั่งการให้ผู้บังคับบัญชาคอยติดตามอย่างต่อเนื่องหากมีความเครียดก็ให้นำตัวส่งโรงพยาบาลตำรวจและมีนักจิตวิทยาคอยประเมินสภาพจิตใจเพื่อป้องกันความเสี่ยงเกิดเหตุซ้ำรอยผู้กำกับเบิ้ม

รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ บอกว่าเมื่อวานนี้นายชาดา ไทยเศรษฐ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทยได้ติดต่อมาหาตัวเอง แลกเปลี่ยนข้อมูลกัน ซึ่งจะทำงานร่วมกันโดยนายชาดาจะช่วยสแกนรายชื่อผู้มีอิทธิพลและส่งมาให้ตัวเองดำเนินการต่อ

เชียงใหม่-อุตสาหกรรมจังหวัดเชียงใหม่ ร่วมกับ อุทยานวิทย์ มช.  ติดอาวุธผู้ประกอบการในโครงการ Begin to Tech Startup เตรียมพร้อมก้าวสู่โลกธุรกิจด้วยเทคโนโลยีนวัตกรรม

วันที่ 12 กันยายน 2566 อุตสาหกรรมจังหวัดเชียงใหม่ ผสานกำลัง อุทยานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ (STeP) จัดกิจกรรม Chiangmai Startup Driven Economy ในรอบ Pitch Demo  ของผู้ประกอบการที่เข้าร่วมโครงการ Begin to Tech Startup ภายใต้กิจกรรมเร่งการเติบโตของผู้ประกอบการ จากกระบวนการ Spin-out และวิสาหกิจเริ่มต้น (Startup) ที่มีศักยภาพสูง (SMEs Spin-out to Tech Startup) โดยมีผู้ประกอบการ SMEs ในจังหวัดเชียงใหม่ กว่า 30 สถานประกอบการ เข้ารับการบ่มเพาะธุรกิจอย่างเข้มข้น ตลอดระยะเวลากว่า 6 เดือน และทำการคัดเลือกให้เหลือเพียง 10 สถานประกอบการ เพื่อทำการนำเสนอ แผนธุรกิจรูปแบบ Private Pitching ในวันที่ 11 กันยายน 2566 ที่ผ่านมา และนำเสนอแผนธุรกิจรูปแบบ Public Pitching ในวันที่ 12 กันยายน 2566 โดยได้รับเกียรติจาก นายศักดิ์ชัย คุณานุวัฒน์ชัยเดช  รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ เป็นผู้มอบโล่ประกาศเกียรติคุณและเงินรางวัลแก่ผู้ผ่านการคัดเลือกทั้งหมด 3 สถานประกอบการ พร้อมมอบใบประกาศนียบัตรแก่ผู้ประกอบการที่เข้าร่วมโครงการฯ  ณ NSP Rice Grain Auditorium อาคารอำนวยการอุทยานวิทยาศาสตร์ภาคเหนือ (จังหวัดเชียงใหม่)

ทั้งนี้ กิจกรรมการคัดเลือกผู้ประกอบการทั้ง 2 วัน ได้มีตัวแทนนักลงทุนระดับแนวหน้าของประเทศ ได้แก่ Krungsri Finnovate, Beacon Venture Capital, 500 TukTuks, KT Venture Capital และสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) ร่วมเป็นคณะกรรมการในการเฟ้นหาผู้ชนะที่มีความพร้อมด้านการนำเสนอแผนธุรกิจSpin-out เพื่อชิงรางวัลมูลค่ารวมกว่า 150,000 บาท พร้อมรับโล่ประกาศเกียรติคุณ โดยผลการแข่งขันผู้ประกอบการที่สามารถคว้าชัยการนำเสนอแผนธุรกิจใหม่ในรอบชิงชนะเลิศ ได้แก่ ผู้ประกอบการจากบริษัท เชียงใหม่ ที.ดี. จำกัด พร้อมเงินรางวัล จำนวน 70,000 บาท ตามมาด้วยรางวัลรองชนะเลิศอันดับ 1 บริษัท เวลเนส มี จำกัด พร้อมเงินรางวัล จำนวน 50,000 บาท และรางวัลรองชนะเลิศอันดับ 2 ห้างหุ้นส่วนจำกัด เอ แอนด์ เอ แคนเดิล แอนด์ โซป ซัพพลายส์ และเงินรางวัล จำนวน 20,000 บาท

ด้านนางพัชรี ใบยา สำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัดเชียงใหม่ กล่าวว่า การดำเนินโครงการฯ เป็นไปตามนโยบาย MIND จากกระทรวงอุตสาหกรรม ที่มุ่งเน้นการพัฒนาอุตสาหกรรมสู่วิถีใหม่ ภายใต้แนวคิด “อุตสาหกรรมดี อยู่คู่กับชุมชนอย่างยั่งยืน” เพื่อเชื่อมโยงเศรษฐกิจฐานรากผ่านนโยบาย 4 มิติ อันได้แก่  มิติที่ 1 ด้วยการปรับธุรกิจและอุตสาหกรรมสู่ S-Curve มิติที่ 2 การดูแลสังคมโดยรอบโรงงานอุตสาหกรรม   มิติที่ 3 การรักษาสิ่งแวดล้อมสู่ความเป็นอุตสาหกรรมสีเขียว มุ่งสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน ตอบโจทย์ประชาคมโลก และมิติที่ 4 การกระจายรายได้สู่ชุมชน เพื่อมุ่งฟื้นฟูเศรษฐกิจของจังหวัดและของภูมิภาค โดยการสร้างกลไกในการผลักดัน Startup รูปแบบใหม่ เน้นพัฒนาศักยภาพความเป็นผู้ประกอบการ เสริมสร้างความเข้มแข็งในช่วงเริ่มต้นธุรกิจใหม่ ด้วยการพัฒนาแนวคิดธุรกิจต่อยอด ให้เกิดการจัดตั้งธุรกิจใหม่ (SMEs Spin out)  เพื่อเป็นการเร่งพัฒนาหน่วยธุรกิจ (Business Unit) ของภาคอุตสาหกรรมในจังหวัดเชียงใหม่ ให้มีความเข้มแข็งมากยิ่งขึ้นและผลักดันให้เกิดการจัดตั้งบริษัทใหม่ (Spin-out)

ผศ.ดร.จุฬาลักษณ์ เขมาชีวะกุล ผู้ช่วยผู้อำนวยการอุทยานฯ กล่าวว่าเสริมอุทยานฯ เล็งเห็นถึงความสำคัญในการสร้างระบบบ่มเพาะองค์ความรู้ด้านการบริหารจัดการธุรกิจ สู่การเพิ่มโอกาสและพัฒนาศักยภาพของผู้ประกอบการให้สามารถปรับตัวสู่ธุรกิจใหม่ พร้อมกระตุ้นเศรษฐกิจเขตภาคเหนือ ผลักดันและพัฒนาให้จังหวัดเชียงใหม่เป็นศูนย์กลางแห่งการเติบโตต่อโลกธุรกิจเทคโนโลยีสตาร์ทอัพ (Tech Startups) สู่อุตสาหกรรมระดับประเทศ 

วิภาดา/เชียงใหม่


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top