Wednesday, 25 June 2025
NewsFeed

นักวิเคราะห์อิสราเอลชี้สงครามกับอิหร่าน เปลี่ยนมุมมองชาวเทลอาวีฟ

(25 มิ.ย. 68) ผู้ใช้บัญชี X (เดิมคือ Twitter) นามว่า Sanna865 โพสต์ข้อความโดยอ้างถึงนักวิเคราะห์การเมืองชาวอิสราเอล ทิรา โคเฮน (Tira Cohen) ออกมาพูดว่า : “The war with Iran taught Tel Aviv settlers the meaning of what Gaza envelope settlers had been ...”

แปลได้ว่า: “สงครามกับอิหร่านครั้งนี้ ทำให้ผู้ตั้งถิ่นฐานในเทลอาวีฟเข้าใจถึงความรู้สึกของผู้ตั้งถิ่นฐานในฉนวนกาซา ที่เคยประสบมาก่อน…”

สุดท้ายผู้ใช้บัญชี X ชื่อ Sanna865 ซึ่งระบุเพิ่มเติมว่า “And they didn't even experience half of it” หรือ “และพวกเขายังไม่ได้เผชิญแม้แต่ครึ่งหนึ่งของสิ่งที่กาซาเคยประสบ” ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความแตกต่างของระดับความรุนแรงที่ชาวกาซาต้องอดทนมาตลอดหลายปี

หน่วยข่าวกรองสหรัฐฯ แฉเอง!! บึ้มอิหร่านล้มเหลว โครงการนิวเคลียร์ยังไม่ถูกทำลาย แผนยังเดินต่อได้

(25 มิ.ย. 68) รายงานจาก CNN โดยอ้างแหล่งข่าวใกล้ชิดระบุว่า การโจมตีทางอากาศของสหรัฐฯ ที่มุ่งเป้าไปยัง 3 ฐานนิวเคลียร์ของอิหร่านเมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ไม่สามารถทำลายโครงการนิวเคลียร์ของอิหร่านได้ทั้งหมด แต่เพียงแค่ทำให้แผนงานของอิหร่านล่าช้าออกไปไม่กี่เดือนเท่านั้น จากการประเมินเบื้องต้นของหน่วยข่าวกรองกองทัพสหรัฐฯ (DIA)

แหล่งข่าวระบุว่า อุปกรณ์หมุนเหวี่ยงยูเรเนียม (centrifuges) ‘แทบไม่ได้รับความเสียหาย’ และยูเรเนียมเสริมสมรรถนะระดับสูงที่อิหร่านครอบครองอยู่ ถูกเคลื่อนย้ายออกก่อนการโจมตี ทำให้เป้าหมายหลักไม่ได้รับผลกระทบมากนัก โดยเฉพาะที่โรงงาน ฟอร์โดว์ (Fordow), นาทานซ์ (Natanz) และ อิสฟาฮาน (Isfahan) ซึ่งโครงสร้างใต้ดินยังอยู่รอดเป็นส่วนใหญ่

แม้ว่าประธานาธิบดีทรัมป์และรัฐมนตรีกลาโหมจะยืนยันว่าการโจมตีครั้งนี้ ได้ทำลายโครงการนิวเคลียร์ของอิหร่านทั้งหมดแล้ว แต่รายงานจากหน่วยข่าวกรองกลับให้ข้อมูลไม่ตรงกัน โดยนักวิเคราะห์ด้านอาวุธจาก Middlebury Institute ชี้ว่า สหรัฐฯ และอิสราเอลยังไม่สามารถทำลายโครงสร้างใต้ดินลึกที่สำคัญของอิหร่านได้ทั้งหมด

ล่าสุด ทำเนียบขาวยอมรับว่ามีรายงานการประเมินผลการโจมตีจริง แต่ไม่เห็นด้วยกับเนื้อหาในรายงาน พร้อมระบุว่าคนที่นำข้อมูลมาเปิดเผยเป็นเพียงเจ้าหน้าที่ระดับล่างที่ไม่น่าเชื่อถือ ขณะที่ประธานาธิบดีทรัมป์ยังยืนยันผ่าน Truth Social ว่า “ภารกิจนี้เป็นหนึ่งในความสำเร็จทางทหารครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์” 

อย่างไรก็ตาม สมาชิกสภาจากทั้งสองพรรควิจารณ์ว่าเขา (ทรัมป์) “พูดเกินจริง” เพราะจนถึงขณะนี้ยังไม่มีหลักฐานชัดเจนว่าการโจมตีจะสามารถหยุดโครงการนิวเคลียร์ของอิหร่านได้จริง

'ดร.เอ้' ฝากการบ้าน ว่าที่ รมว.ศึกษาฯ- รมว.อุดมศึกษาฯ เน้น ‘คณิต- วิทย์- ภาษาอังกฤษ’ สร้างคนตอบโจทย์ศก. โลก

เมื่อวานนี้ (24 มิ.ย. 68) ศาสตราจารย์ ดร.สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ หรือ ‘ดร.เอ้’ นักวิชาการ อดีตนายกสภาวิศวกร อดีตอธิการบดี สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง ได้โพสต์เฟซบุ๊กว่า…

'จดหมายเปิดผนึก' ถึง ว่าที่ 'รมว.ศึกษาธิการ' และ ว่าที่ 'รมว.อุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม'

สถานการณ์การเมืองไทย ตลอด 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา เกิดจุดเปลี่ยนหลายประการ รวมทั้งการปรับครม. ซึ่งรวมถึง กระทรวงด้านการศึกษา คือ กระทรวงศึกษาฯ และกระทรวงอุดมศึกษาฯ 

ประเทศไทยใช้ 'รัฐมนตรีศึกษาฯ' เปลืองที่สุด เพราะ 20 ปีที่ผ่านมา เราใช้รัฐมนตรีศึกษาฯ ไปเกือบ 20 คน พิสูจน์ 'ความไม่ใส่ใจ' และ 'ไม่ให้ความสำคัญ' กับการศึกษาไทย

ผมจึงขอแสดงความห่วงใย 3 ประการ ส่งไปถึง "ว่าที่รมว.ศึกษาธิการ" และ "ว่าที่รมว.อุดมศึกษาฯ" 

1. ทิศทางใหม่ "กระทรวงด้านการศึกษา คือ กระทรวงเศรษฐกิจ"
ไทยกำลังเจอ 'วิกฤต' ทาง 'เศรษฐกิจ' ที่แข่งขันกันด้วยการผลิต และการบริการทางเทคโนโลยี 'มูลค่าสูง' หากไทยไม่ปรับตัว ไม่เรียนรู้ เราคงต้องรั้งท้ายแถวของเอเชีย

เพราะ โลกวันนี้ เน้นการสร้าง 'ทรัพยากรมนุษย์' ที่มีทักษะสูง เพื่อขับเคลื่อน 'อุตสาหกรรมใหม่' สร้างรายได้ทางเศรษฐกิจเพิ่ม

ดังนั้น “การศึกษา คือ เศรษฐกิจ" ไม่ใช่แค่เพียง 'สวัสดิการสังคม' ประเทศใดให้การศึกษาที่ดี ประเทศนั้นย่อมมีพลเมืองเก่ง มี 'คุณภาพ' สร้างรายได้สูง คุณภาพชีวิตดี

ผู้นำกระทรวงศึกษาฯ และผู้นำกระทรวงอุดมศึกษาฯ  ต้อง 'ทำงานร่วมกัน' อย่างมี 'เป้าหมายเดียวกัน' คือ การสร้างคนไทยคุณภาพ ทันโลก แข่งขันได้ และมีความสุข

กระทรวงต้องสร้างความร่วมมือ 'รัฐและเอกชน' ในการผลิตบัณฑิตที่มีคุณภาพ 'ปรับหลักสูตร' ทุกระดับ ตั้งแต่อนุบาลถึงมหาวิทยาลัย เพื่อตอบโจทย์ "เศรษฐกิจโลก" 

ทั้งต้อง 'จริงจัง' กับปัญหาความอ่อนแอ ด้าน "คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ และภาษาอังกฤษ" ของเด็กไทย เพื่อ 'ก้าวใหม่' ให้ทันการเปลี่ยนแปลงของโลกเทคโนโลยี ที่วันนี้เข้าสู่ยุค AI ก่อนจะสายเกินไป กลายเป็น 'ผู้แพ้' ไม่ก้าวสู่ 'ประเทศพัฒนาแล้ว' เสียที

2. คิดใหม่ "การศึกษา คือ การเรียนรู้ตลอดชีวิต" 
"สังคมสูงวัย คือ เรื่องจริง" วิกฤตจริง เพราะคนวัยทำงานลดลง แต่มีภาระการดูแลสังคมมากขึ้น  หนทางแก้ไข คือ การยืดอายุวัยทำงาน ให้นานขึ้น เพราะ "ผู้สูงวัยยังมีคุณค่า" ต่อการพัฒนาเศรษฐกิจ

ทุกประเทศพัฒนาแล้ว เน้นการ 'เพิ่มทักษะใหม่' ให้แก่พลเมืองทุกวัย ยิ่งวันนี้ 'เด็กเกิดน้อย' โรงเรียนว่าง มหาวิทยาลัยว่าง เพราะจากข้อมูลปีนี้มีเด็กเกิดเพียงไม่ถึงห้าแสนคน หายไปกว่าครึ่งจากรุ่นพ่อแม่ ทั้งสถิติการสมัครเข้าเรียนมหาวิทยาลัยในช่วงที่ผ่านมา มีที่นั่งมากกว่าคนสมัครเข้าเรียน ทำให้กระทรวงศึกษาฯ และกระทรวงอุดมศึกษาฯ ใช้ทรัพยากร 'ไม่คุ้มค่า'

ดังนั้น โรงเรียนและมหาวิทยาลัย ต้องปรับบทบาทจากการเรียนการสอนให้แก่เด็ก สู่การเรียนการสอน 'ผู้ใหญ่' ที่เปิดโอกาสและสนับสนุนให้คนวัยทำงาน และผู้สูงวัย ได้เข้ามาเรียน 'ทักษะใหม่' เพื่อทำงานได้ 

ทั้งการจ้างงาน 'ผู้สูงวัย' คือ เรื่องจำเป็น จะช่วยแก้ปัญหา 'สุขภาพ' จนถึงแก้ปัญหา 'รายได้' เพราะหากแข็งแรงขึ้น พึ่งพาตนเองได้ ก็ลดภาระของรัฐ

3. ความจริง "ครู คือ ศูนย์กลางของห้องเรียน" 
เพราะ ครู คือ ผู้นำ ครูดี เด็กก็ดี ครูมีความสุข เด็กก็มีความสุข ผมในฐานะ 'ลูกครู' และ 'ป็นครู' จึงเข้าใจ รู้ซึ้งว่า ชีวิตครูไทยนั้นไม่ง่าย 

สังคม 'คาดหวัง' กับครูได้ แต่ก็ต้อง 'สนับสนุนครู' อย่างเต็มที่ ด้วยเช่นกัน 

กระทรวงศึกษาฯ และกระทรวงอุดมศึกษาฯ มีหน้าที่ 'สนับสนุนครู อาจารย์' เพราะครูแต่ละระดับ ต้องดูแลเด็ก แตกต่างกัน 'ครูอนุบาล' เป็นเหมือนพ่อแม่ 'ครูประถม' ปลูกฝังพื้นฐาน 'ครูมัธยม' เตรียมเด็กสู่วิชาชีพ 'ครูอาชีวะ' สร้างทักษะอาชีพ 'ครูมหาวิทยาลัย' สร้างวิชาชีพขั้นสูง และวิจัยพัฒนา

ผู้นำกระทรวง จึงต้องเข้าใจครู ถึงจะสามารถผลักดันนโยบาย สู่การเปลี่ยนแปลงได้

ทั้งเรื่องปัญหา 'ภาระงานล้นครู' กลายเป็นครูต้องทำงาน 'โครงการ' ตามนโยบายใหม่ ของรัฐมนตรีใหม่ ที่ถูกเปลี่ยนแทบทุกปี มากกว่า 'การสอนหนังสือ' และ 'การพัฒนาตนเอง'

แม้ว่า "การประเมินการเรียนการสอน" คือ สิ่งจำเป็น แต่ต้องประเมิน "สมรรถนะ" เน้นคุณภาพ มากกว่าปริมาณ คืนเวลาครูให้กับนักเรียน และคืนเวลาครูให้กับการพัฒนาตนเอง

อย่างไรก็ตาม ผมขอเป็นกำลังใจให้ ท่านว่าที่รัฐมนตรีศึกษาฯ และท่านว่าที่รัฐมนตรีอุดมศึกษาฯ ให้ประสบความสำเร็จตามเป้าหมายเพื่อ "ส่วนรวม" และขอให้ท่านตระหนักว่า ท่านกำลังทำหน้าที่เพื่อ 'ความอยู่รอด' ของลูกหลานไทย และชี้นำ 'อนาคตไทย' 

ทหารพรานไทยดูแลนักเรียนกัมพูชาข้ามแดน แม้ชายแดนตึงเครียด แต่ขอยึดหลักมนุษยธรรม

(25 มิ.ย. 68) แม้จะมีการยกระดับมาตรการควบคุมการเข้า-ออกประเทศบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชาอย่างเข้มงวด โดยเฉพาะในพื้นที่จังหวัดสระแก้วที่อยู่ภายใต้การดูแลของกองกำลังบูรพา แต่เจ้าหน้าที่ทหารพรานจากหน่วยเฉพาะกิจกรมทหารพรานที่ 12 ยังคงปฏิบัติหน้าที่ดูแลและอำนวยความสะดวกแก่นักเรียนชาวกัมพูชาที่ข้ามแดนมาเรียนในฝั่งไทยทุกเช้าอย่างต่อเนื่อง

เจ้าหน้าที่ไทยยืนยันว่า ปฏิบัติหน้าที่ตามหลักมนุษยธรรมโดยไม่เลือกปฏิบัติ ไม่แบ่งแยกเชื้อชาติหรือสถานะของผู้เดินทาง ถือเป็นการให้ความสำคัญกับสิทธิด้านการศึกษาและความเป็นอยู่ของเด็กๆ มากกว่าประเด็นทางการเมืองระหว่างประเทศ โดยเฉพาะในช่วงสถานการณ์ที่เปราะบางนี้

ขณะที่เช้าวันนี้ (25 มิ.ย.) บริเวณด่านช่องจอม จังหวัดสุรินทร์เกิดความวุ่นวายเมื่อมีชาวกัมพูชามากกว่า 500 คนตกค้างอยู่ในฝั่งไทย หลังเข้าใจผิดว่าด่านจะเปิดให้ข้ามแดนตามปกติ หนึ่งในแรงงานชาวกัมพูชาที่เดินทางมาจากจังหวัดลพบุรีเผยว่า แม้จะรู้ข่าวเรื่องการปิดด่าน แต่ก็ยังมาลุ้นหวังกลับบ้านเพราะเป็นห่วงลูกที่อยู่ฝั่งกัมพูชา

แม้ฝ่ายไทยจะยังเข้มงวดเรื่องการข้ามแดน แต่ก็ยังคงยึดหลักสิทธิมนุษยธรรม โดยมีการเจรจากับทางการกัมพูชาเพื่อขอเปิดช่องทางให้แรงงานที่ตกค้างสามารถเดินทางกลับภูมิลำเนาได้ ซึ่งเป็นการแสดงออกถึงท่าทีที่ประนีประนอม และคำนึงถึงชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนเหนือความขัดแย้งทางการเมือง

ตัวแทนทรัมป์เดือด! ข่าวบึ้มฐานนิวเคลียร์อิหร่าน รั่วไหลถึงสื่อ..ซัดแรง ‘คนทรยศชาติ’ ต้องสอบสวนด่วน

(25 มิ.ย. 68) สตีฟ วิทคอฟฟ์ (Steven Charles Witkoff) ทูตพิเศษของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ออกมาแสดงความไม่พอใจอย่างรุนแรง หลังรายงานข่าวกรองของกองทัพสหรัฐฯ เกี่ยวกับผลการโจมตีฐานนิวเคลียร์ของอิหร่านรั่วไหลสู่สื่อ โดยระบุว่า ‘เป็นการทรยศชาติ’ และต้องมีการสอบสวนหาผู้กระทำผิดมารับโทษ

วิทคอฟฟ์ กล่าวในรายการของ Fox News ว่า ตนได้อ่านรายงานการประเมินความเสียหายทั้งหมดแล้ว และยืนยันว่า ‘ไม่มีข้อสงสัยเลย’ ว่าทั้ง 3 ฐานนิวเคลียร์ที่ถูกโจมตีถูกทำลายสิ้นแล้ว โดยเฉพาะฐาน ฟอร์โดว์ (Fordow) ที่เขาย้ำว่า ‘ระเบิดทะลวงเข้าถึงเป้าหมายแน่นอน’ ด้านทรัมป์ยังได้แชร์คลิปคำให้สัมภาษณ์ดังกล่าวบน Truth Social พร้อมย้ำว่า ‘การรายงานข่าวที่บอกว่าเราไม่สำเร็จนั้น ไร้สาระสิ้นดี’

อย่างไรก็ตาม รายงานข่าวกรองของกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ กลับให้ภาพที่ต่างออกไป โดยระบุว่าการโจมตีด้วยระเบิดทะลวงดิน 12 ลูก แม้สร้างความเสียหายต่อโครงสร้างพื้นดินและทางเข้าโรงงาน แต่โครงสร้างใต้ดินที่สำคัญ รวมถึงเครื่องหมุนเหวี่ยงยูเรเนียม (centrifuges) ส่วนใหญ่ยัง ‘อยู่ครบ’ และการโจมตีอาจเพียงแค่ทำให้แผนของอิหร่านล่าช้าไปไม่กี่เดือนเท่านั้น

รายงานยังเปิดเผยอีกว่า อิหร่านได้เคลื่อนย้ายยูเรเนียมบางส่วนออกจากโรงงานก่อนการโจมตี โดยที่ยังไม่สามารถระบุได้แน่ชัดว่าโครงการจะฟื้นกลับมาได้เร็วเพียงใด ขึ้นอยู่กับความสามารถในการขุดเจาะและซ่อมแซมความเสียหาย

ด้านสมาชิกสภาคองเกรสสหรัฐฯ จากพรรคเดโมแครต แบรด เชอร์แมน แสดงความกังวลว่า คำประกาศชัยชนะของรัฐบาลทรัมป์อาจใช้ถ้อยคำคลุมเครือเกินไป พร้อมระบุว่าอิหร่านยังมีปริมาณยูเรเนียมที่สามารถผลิตอาวุธนิวเคลียร์ได้ถึง 9 ลูก และยังไม่มีหลักฐานชัดเจนว่าสหรัฐฯ ได้ทำลายเครื่องหมุนเหวี่ยงที่จำเป็นต่อการเสริมสมรรถนะยูเรเนียมเหล่านั้นแล้วจริงหรือไม่

มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง จัดงบกว่า 5 แสนบาท ขยายโอกาส สร้างอาชีพ สร้างชีวิตอย่างเท่าเทียม แก่ชาวขอนแก่นต่อเนื่อง

มอบอุปกรณ์ประกอบอาชีพ แก่สตรี บุรุษ พ่อเลี้ยงเดี่ยว หรือผู้ที่มีความหลากหลายทางเพศ มอบวีลแชร์แก่ผู้พิการ มอบจักรยานให้แก่โรงเรียนในพื้นที่ชนบท และมอบหุ่นจำลองช่วยฟื้นคืนชีพผู้ใหญ่และเครื่องช่วยสาธิตกระตุกไฟฟ้าหัวใจ พร้อมนำหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ออกบริการฟรี 

วานนี้ (24 มิ.ย. 68) มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง นำโดย นางศิริกุล โอภาสวงศ์ กรรมการและเลขาธิการ พร้อมด้วย นางจินดา บุญลาภทวีโชค กรรมการตรวจสอบ  นางสาวดวงชุตา ติยะพจนพรกุล ผู้ช่วยผู้จัดการฝ่ายสังคมสงเคราะห์ และนางสาวเนาวรัตน์ วรรณศิริ หัวหน้าแผนกหน่วยแพทย์สงเคราะห์ชุมชน นำทีมลงพื้นที่จังหวัดขอนแก่นอีกครั้ง โดยมอบวัสดุอุปกรณ์ประกอบอาชีพ แก่ สตรี บุรุษ พ่อเลี้ยงเดี่ยว หรือผู้ที่มีความหลากหลายทางเพศ ที่มีความรู้และความสามารถ ฐานะยากจน ขาดแคลนวัสดุอุปกรณ์ในการประกอบอาชีพ จำนวน 20 ราย  คิดเป็นมูลค่าทั้งสิ้น 397,610 บาท 

เพื่อให้สามารถประกอบอาชีพเลี้ยงตนเองและครอบครัว ลดปัญหาความเหลื่อมล้ำในสังคม สร้างความสุขสู่ชุมชน สังคม และประเทศชาติอย่างยั่งยืน นอกจากนี้ มูลนิธิฯ ยังจัดหน่วยแพทย์สงเคราะห์ชุมชน นำทีมแพทย์อาสาฯ เจ้าหน้าที่หน่วยแพทย์ ทีมบรรเทาสาธารณภัย (กู้ชีพ) และอาสาสมัครออกหน่วยให้บริการประชาชนในพื้นที่ฟรี ประกอบด้วย บริการตรวจรักษาโรคทั่วไป จ่ายยา ทันตกรรม คัดกรองเบาหวาน กิจกรรมนันทนาการ ตรวจวัดสายตาพร้อมแจกแว่น บริการตัดผม ฯลฯ พร้อมกันนี้ มูลนิธิฯ ยังได้มอบหุ่นจำลองช่วยฟื้นคืนชีพผู้ใหญ่และเครื่องช่วยสาธิตกระตุกไฟฟ้าหัวใจ จำนวน 2 ชุด (4 ชิ้น) ในโครงการ “สนับสนุนเครื่องมือทางการแพทย์” ให้แก่ศูนย์เรียนรู้การพัฒนาสตรีและครอบครัวรัตนาภา เพื่อใช้ในหลักสูตรฝึกอบรมทักษะอาชีพดูแลผู้สูงอายุ รวมทั้ง มอบรถเข็นวีลแชร์แก่ผู้พิการ จำนวน 10 ราย และมอบรถจักรยานแก่โรงเรียนชนบทที่ขาดแคลน จำนวน 2 โรงเรียน รวม 20 คัน 

เพื่อให้นักเรียนที่ประสบปัญหาในการเดินทางได้ยืมเรียน รวมถึงเป็นการแบ่งเบาภาระค่าพาหนะแก่ผู้ปกครองได้อีกทางหนึ่ง อีกทั้งยังเสริมสร้างให้นักเรียนได้ออกกำลังกาย เรียนรู้กฎจราจร เรียนรู้การแบ่งปัน และดูแลรักษาสาธารณสมบัติร่วมกัน รวมมูลค่าการดำเนินการช่วยเหลือชาวขอนแก่นในครั้งนี้ทั้งสิ้น 596,362 บาท (ห้าแสนเก้าหมื่นหกพันสามร้อยหกสิบสองบาทถ้วน) 

โดยมี ผศ.ดร.พนธ์พันธ์ เลิศจันทรางกูร ที่ปรึกษาอธิบดีกรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว พร้อมด้วย นายสงวน สุธรรม ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมและสนับสนุนวิชาการ 5  นางสาวศุภวรรณ ขูดแก้ว ผู้อำนวยการกองคุ้มครองและพัฒนาอาชีพ และอาสาสมัครเฉพาะกิจมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ร่วมในพิธี ณ ศูนย์เรียนรู้การพัฒนาสตรีและครอบครัวรัตนาภา จังหวัดขอนแก่น

นางศิริกุล โอภาสวงศ์ กรรมการและเลขาธิการ เปิดเผยว่า โครงการ ส่งเสริมอาชีพเพื่อสตรีและครอบครัว มีวัตถุประสงค์เพื่อมอบวัสดุอุปกรณ์ประกอบอาชีพ แก่ สตรี บุรุษ พ่อเลี้ยงเดี่ยว ผู้ด้อยโอกาสทางสังคม หรือผู้ที่มีความหลากหลายทางเพศ ที่มีความรู้และความสามารถ ขาดแคลนวัสดุอุปกรณ์ ในการประกอบอาชีพ โดยได้รับความร่วมมือจากศูนย์เรียนรู้การพัฒนาสตรีและครอบครัวและสถานคุ้มครองและพัฒนาอาชีพ จำนวน 12 แห่ง ได้แก่ กรุงเทพมหานคร นนทบุรี ชลบุรี  สงขลา สุราษฎร์ธานี นครราชสีมา ศรีสะเกษ ขอนแก่น ลำพูน ลำปาง เชียงราย และพิษณุโลก ในการคัดกรองผู้ที่ผ่านการฝึกอบรม เสริมทักษะอาชีพ 

โดยมูลนิธิฯ หวังเป็นอย่างยิ่งว่าการดำเนินการโครงการดังกล่าวนี้ จะมีส่วนสนับสนุน ช่วยสร้างอาชีพ สร้างรายได้ เลี้ยงตนเองและครอบครัว ลดปัญหาความเหลื่อมล้ำในสังคม สร้างความสุขสู่ครอบครัว ชุมชน สังคม และประเทศชาติอย่างยั่งยืนต่อไป

ตลอดระยะเวลากว่า 115 ปี ที่มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ได้ขยายขอบข่ายโครงการต่าง ๆ ออกไปอย่างกว้างขวาง ไม่เพียงแต่บำบัดทุกข์ บำรุงสุข แก่ผู้ตกทุกข์ได้ยากโดยไม่จำกัดเชื้อชาติ  ศาสนา เท่านั้น แต่ยังได้พัฒนาคุณภาพชีวิตอีกในหลายทาง เพื่อเป็นองค์กรสาธารณกุศลที่ช่วยเหลือประชาชนครบวงจรในทุกๆ ด้าน ต่อไป ดังปณิธาน “มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ช่วยชีวิต รักษาชีวิต สร้างชีวิต”

ติดตามข่าวสาร และกิจกรรมการช่วยเหลือของมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ได้ที่เว็บไซต์ www.pohtecktung.org และ เฟซบุ๊ก แฟนเพจ www.facebook.com/atpohtecktung

พิษณุโลก แม่ทัพภาคที่ 3 ปิดการอบรมหลักสูตรพัฒนาสัมพันธ์ระดับผู้บริหารกองทัพภาคที่ 3 รุ่นที่ 6

(25 มิ.ย. 68) เวลา 09.00 นาฬิกา ที่ โรงแรมท๊อปแลนด์ อำเภอเมือง จังหวัดพิษณุโลก พลโท กิตติพงษ์  แจ่มสุวรรณ แม่ทัพภาคที่ 3 เป็นประธานปิดการอบรมหลักสูตรพัฒนาสัมพันธ์ระดับผู้บริหารกองทัพภาคที่ 3 รุ่นที่ 6 โดยได้มอบเกียรติบัตร และเข็มที่ระลึกให้กับผู้ที่สำเร็จการอบรม ซึ่งผู้เข้ารับการอบรมประกอบด้วย ข้าราชการทหาร ตำรวจ จำนวน 20 นาย ข้าราชการพลเรือน พนักงานรัฐวิสาหกิจ พนักงานองค์กรของรัฐ จำนวน 17 รายและนักธุรกิจภาคเอกชน จำนวน 43 ราย ในพื้นที่ภาคเหนือ รวมจำนวนทั้งสิ้น 80 ราย

จากการอบรมที่ผ่านมา สามารถสร้างความสัมพันธ์อันดี ระหว่างข้าราชการทหาร ตำรวจ ข้าราชการพลเรือน พนักงานรัฐวิสาหกิจ พนักงานองค์กรของรัฐ และนักธุรกิจภาคเอกชน สร้างการมีส่วนร่วมในการสนับสนุนการแก้ไขปัญหาของชาติ และการพัฒนาประเทศ ตลอดจนเป็นการประชาสัมพันธ์ภาพลักษณ์ ของกองทัพบกและกองทัพภาคที่ 3 พร้อมสร้างการมีส่วนร่วมของเครือข่ายในการป้องกันและแก้ไขปัญหา ภัยคุกคาม ด้านความมั่นคงของประเทศ

สำหรับเนื้อหาวิชาที่สำคัญแบ่งออกเป็น 2 ส่วน ได้แก่ ภาควิชาการ ประกอบด้วย การบรรยายการสร้างอุดมการณ์ความรักชาติ และสถาบันพระมหากษัตริย์ ภารกิจ และการดำเนินงานของกองทัพบกและกองทัพภาคที่ 3 ปัญหาภัยคุกคาม ที่มีผลกระทบต่อความมั่นคงของชาติ การเดินตามศาสตร์พระราชาเพื่อการพัฒนาประเทศ และความยั่งยืนรวมทั้งการสื่อสารดิจิทัล และภาคปฏิบัติประกอบด้วย การจัดเวทีเสวนา การเสวนาระดมความคิดเห็น การทัศนศึกษา กิจกรรมพัฒนาสัมพันธ์และการดำเนินงานจิตอาสา ทั้งนี้ ผู้ที่ผ่านการอบรมจะได้ร่วมเป็นเครือข่ายและสนับสนุนงานด้านความมั่นคงของชาติ และร่วมทำกิจกรรมจิตอาสาอย่างสร้างสรรค์ ในนามของสมาชิกหลักสูตรพัฒนาสัมพันธ์ระดับผู้บริหาร

‘ซาน่า เอ็นริเก้’ เด็กหญิงตัวน้อยผู้กลายเป็นดวงดาว ส่องนำทางสู่ชัยชนะให้แก่พ่อผู้หัวใจแตกสลายของเธอ

(25 มิ.ย. 68) หากใครได้ชมการแข่งขันฟุตบอล UEFA Champions League นัดชิงชนะเลิศเมื่อค่ำคืนวันที่ 31 พฤษภาคมที่ผ่านมา ระหว่างทีมอินเตอร์มิลานจากอิตาลี vs ปารีสแซงแชร์กแมง (PSG) จากฝรั่งเศส ก็คงจะสังเกตเห็นแผ่นป้ายผ้าใบขนาดยักษ์อันสวยงาม หรือ Tifo บนอัฒจันทร์ฝั่งกองเชียร์ทั้งสองฝั่ง 

ปกติแล้วภาพผืนผ้าใบยักษ์หรือ Tifo นี้จะเป็นภาพที่แสดงออกถึงความฮึกเหิม หรืออัตลักษณ์สำคัญของทีมนั้นๆ เพื่อเป็นการส่งพลังไปให้กับนักฟุตบอลในสนามเพื่อลงไปใส่ให้เต็มที่กับคู่แข่ง 

และเมื่อบวกกับเสียงเชียร์อันดังสนั่นจากกองเชียร์แล้วก็เหมือนเป็นการ “ข่ม” คู่แข่งและกองเชียร์ฝั่งตรงข้ามไปด้วยในตัวนั่นเอง เช่น Tifo จากทางฝั่งอินเตอร์มิลานก็เป็นรูปงูดูดุดันน่าเกรงขาม ซึ่งงูก็เป็นสัญลักษณ์อันโด่งดังที่รู้จักกันดีของสโมสรอินเตอร์มิลานในขณะที่ Tifo บนอัฒจันทร์ฝั่ง PSG กลับเป็นรูปที่ไม่ได้แสดงออกถึงความขึงขัง ฮึกเหิม ดุดันอะไรแม้แต่น้อย แต่กลับเป็นรูปชายคนหนึ่งกำลังปักธงของ PSG บนพื้นสนาม โดยมีเด็กผู้หญิงตัวเล็ก ๆ คนหนึ่งใส่ชุดแข่งของ PSG เบอร์ 8ยืนมองอยู่

บนหลังของเธอสลักชื่อว่า Xana 

ชายที่กำลังปักธงก็คือ หลุยส์ เอ็นริเก้ เฮดโค้ชคนปัจจุบันของ PSG ที่ทำผลงานในฤดูกาลนี้ได้อย่างยอดเยี่ยม นำ PSG คว้า 2 แชมป์ใหญ่ในประเทศและกำลังพาทีมของเขาสร้างประวัติศาสตร์เข้าชิงชนะเลิศถ้วยที่ใหญ่ที่สุดของยุโรปเพื่อเป็น Treble Champs หรือคว้า 3 ถ้วยสำคัญได้ภายในปีเดียวเหมือนที่เขาเคยทำได้ครั้งหนึ่งกับสโมสรบาเซโลนาเมื่อปี 2015 มาแล้ว 

ส่วนเด็กผู้หญิงในภาพก็คือ ซาน่า เอ็นริเก้ ลูกสาวคนสุดท้องของเขานั่นเอง โดยภาพๆนี้ เป็นภาพที่เคยเกิดขึ้นจริงในปี 2015 เมื่อหลุยส์ เอ็นริเก้ นำสโมสรบาเซโลนาคว้า 3 แชมป์ได้สำเร็จ ในค่ำคืนแห่งการเฉลิมฉลองการขึ้นสู่จุดสูงสุดของโลกฟุตบอลของหลุยส์ ซาน่าในวัย 5 ขวบได้วิ่งเข้าไปหาพ่อของเธอเป็นคนแรก และก็อยู่กับพ่อของเธอด้วยตลอดการเฉลิมฉลองอันยาวนานในค่ำคืนนั้น 

โดยเธอใส่เสื้อบาเซโลน่าเบอร์ 8 และโมเม้นท์สำคัญสำหรับคนทั้งคู่ก็คือ ซาน่าได้ช่วยพ่อของเธอปักธงบาเซโลน่าลงบนพื้นสนาม โดยภาพๆนี้ได้กลายเป็นภาพจำของซาน่าในฐานะนางฟ้าแห่งชัยชนะของหลุยส์ และบรรดาแฟน ๆ ของ PSG ก็ได้นำเอาภาพนี้มาทำเป็น Tifo โดยเปลี่ยนแค่ชุดของซาน่าและธงในมือของหลุยส์จากบาเซโลนาเป็น PSG เท่านั้น โดยคงรายละเอียดอื่นๆของภาพไว้ครบถ้วน หากแต่ว่าอีกสิ่งหนึ่งที่ไม่เหมือนเดิมจากค่ำคืนอันสวยงามนั้นก็คือ ในวันที่หลุยส์ เอ็นริเก้กำลังจะนำ PSG สร้างประวัติศาสตร์คว้า Treble Champ เป็นครั้งแรก และเป็นครั้งที่สองในอาชีพกุนซือของเขานั้น ซาน่ากลับไม่ได้อยู่ตรงนั้นกับพ่อของเธออีกแล้ว…. 

ซาน่า เอ็นริเก้ จากโลกนี้ไปในปี 2019 ด้วยวัยเพียง 9ขวบจากอาการของโรคมะเร็งกระดูกชนิดหายาก ในช่วงระหว่างการต่อสู้กับโรคมะเร็งของซาน่านั้น หลุยส์และครอบครัวได้ดูแลเธออย่างดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ เขาพาเธอไปรักษากับหมอที่เชี่ยวชาญเรื่องมะเร็งกระดูกที่เก่งที่สุดคนหนึ่งของโลก ทุ่มเงินทั้งหมดที่เขามี มอบเวลาแทบจะทั้งหมดที่เขามีให้กับเธอโดยวางฟุตบอลไว้เป็นเรื่องรอง 

แต่ในที่สุดก็ไม่มีใครสามารถฝืนชะตาได้ ในวันที่ซาน่าจากไปอย่างสงบนั้น หลุยส์ได้ให้สัมภาษณ์ในภายหลังว่า เหมือนกับว่าแสงสว่างทั้งหมดในชีวิตของเขานั้นได้ดับมืดลงไปพร้อมกับชีวิตของซาน่าด้วย เขาเปรียบการสูญเสียลูกสาวว่าเหมือนกับการสูญเสียดวงดาวนำทางของชีวิตไปอย่างไม่มีวันหวนคืน 

แต่อย่างไรก็ดี สำหรับหลุยส์แล้ว ซาน่าจากไปเพียงแค่ร่างกายเท่านั้น แต่ความรักและจิตวิญญาณของเธอยังคงอยู่กับเขาเสมอ รวมถึงความทรงจำอันสวยงามตลอด 9 ปี ที่เธอเกิดมาเป็นลูกสาวอันแสนงดงามและสดใสของเขาก็ยังคงเป็นพลังและแรงส่งให้เขาเสมอมาไม่เปลี่ยนแปลง มีอยู่ครั้งหนึ่งที่หลุยส์ได้ไปเยี่ยมแม่ของเขาภายหลังจากที่ซาน่าจากไปไม่นานแล้วพบว่าที่บ้านแม่ของเขาไม่มีรูปของซาน่าเหลืออยู่อีกเลย 

เขาจึงได้ถามแม่ของเขาว่า รูปของซาน่าทั้งหมดในบ้านหายไปไหน แม่ของหลุยส์ก็ได้ตอบว่าเธอได้เก็บรูปของซาน่าทั้งหมดไว้ในห้องเก็บของเพราะเธอทำใจไม่ได้และร้องไห้ด้วยความเสียใจทุกครั้งที่ได้เห็นรูปของซาน่า หลุยส์ตอบแม่ของเขาไปว่าสิ่งที่เธอทำนั้นไม่ถูกต้อง เพราะถึงแม้ว่าซาน่าจะได้จากไปแล้ว แต่เธอก็ได้ฝากความทรงจำที่มีความสุขและพลังงานดี ๆ มากมายไว้ให้กับคนที่เธอรักและรักเธอ 

ดังนั้นพวกเราจึงไม่ควรจะจมอยู่กับความเศร้าโศกเสียใจ และกำจัดความเศร้านั้นด้วยการพยายามลืมเธอหรือไม่นึกถึงเธอ นั่นไม่ใช่วิธีที่ถูกในการบำบัดหัวใจที่แตกร้าวเพราะการสูญเสีย ในทางกลับกันพวกเราควรระลึกถึงเธอเสมอโดยเฉพาะความสุขและความรักที่เธอมอบให้เราอย่างเต็มเปี่ยมมาตลอดชีวิตอันสว่างไสวของเธอ และเราควรจะระลึกอยู่เสมอว่าเราโชคดีเพียงไรที่ได้มีโอกาสได้รับความสุขนั้นจากเธอถึง 9 ปี นั่นต่างหากถึงจะเป็นการตอบสนองที่ถูกต้องและแสดงความเคารพต่อตัวตนของเธอ ความทรงจำของเธอ และความรักที่เธอฝากไว้ให้กับพวกเรา 

และในค่ำคืนแห่งฟุตบอลนัดสำคัญที่สุดนัดหนึ่งในชีวิตของหลุยส์ แฟนบอลของ PSG ได้เลือกที่จะแสดงความรักต่อผู้นำทัพของพวกเขาด้วยการแสดงออกถึงความเคารพและระลึกถึงซาน่าประดุจแสงดาวนำทางสู่ความสำเร็จตามที่หลุยส์เคยกล่าวถึงเธอไว้ด้วยความรักอย่างที่สุด 

ผลการแข่งขันในค่ำคืนแห่งโชคชะตานี้ปรากฏว่า PSG ชนะไปถึง 5-0 ชนิดที่อินเตอร์มิลานสู้ไม่ได้ในทุกเหลี่ยมมุม ทำให้ PSG ภายใต้การนำของหลุยส์เถลิงบัลลังก์จุดสูงสุดของยุโรปเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของสโมสรและเป็นการทำ Treble Champ เป็นครั้งที่ 2 ในชีวิตของหลุยส์ 

ส่งผลให้ชื่อของเขาได้ถูกจารึกไว้ในประวัติศาสตร์ของฟุตบอลทันทีว่าเป็นโค้ชคนที่ 6 ในโลกนี้ที่ทำทีมเป็นแชมป์สโมสรยุโรปได้จาก 2 สโมสร (บาเซโลนา และ PSG) 

และในวินาทีที่กรรมการเป่านกหวีดยาวหมดเวลาการแข่งขันเป็นการย้ำชัดเจนถึงการเป็นเจ้ายุโรปและ Treble Champ ของ PSG หลุยส์ก็ได้เปลี่ยนเสื้อเตรียมขึ้นรับถ้วยรางวัลที่สำคัญที่สุดถ้วยหนึ่งในชีวิตของเขาเป็นเสื้อยืดลายการ์ตูนของมูลนิธิซาน่า เอ็นริเก้ที่เขาและครอบครัวก่อตั้งขึ้นภายหลังการจากไปของซาน่า 

โดยมูลนิธินี้มีจุดประสงค์เพื่อช่วยเหลือเด็ก ๆ ที่ป่วยด้วยโรคร้ายแรงทุกโรคไม่เพียงแต่มะเร็งเท่านั้น เพราะหลุยส์รู้ซึ้งดีถึงความเจ็บปวดจากการสูญเสียซาน่าและเขาไม่ต้องการให้ใครต้องรู้สึกแตกสลายเช่นเดียวกันกับเขาอีก

หลุยส์ เอ็นริเก้ แม้จะเศร้าโศกจากการสูญเสียลูกสาวอันเป็นที่รักสักเพียงใด แต่เขาก็ไม่เคยยอมแพ้และลุกขึ้นมาสู้อีกครั้ง เพราะเขามีความเชื่ออย่างแรงกล้าว่าลูกสาวอันเป็นที่รัก จะเฝ้ามองเขาอยู่จากที่ใดที่หนึ่งอันไกลแสนไกลและเธอจะรับรู้ได้ถึงความสุขและความทุกข์ของเขาดังเช่นที่เคยเป็นมา 

ดังนั้น ถึงแม้ว่าการจากไปของซาน่าจะทิ้งบาดแผลขนาดใหญ่ไว้ในหัวใจของเขา แต่เขาก็เลือกที่จะเก็บเอาความทรงจำอันสว่างไสวของลูกสาวมาเป็นพลัง และเอาความรักอันเปี่ยมล้นที่มีต่อเธอเป็นดั่งแสงดาวนำทางให้ชีวิตของเขาก้าวเดินต่อไปสู่ความสำเร็จ เพราะเขารู้ว่าในวันที่เขามีความสุขและประสบความสำเร็จซาน่าก็จะมีความสุขและร่วมยินดีไปกับเขาด้วยเหมือนที่เป็นมาเสมอนั่นเอง 

หลุยส์ได้ให้สัมภาษณ์ก่อนนัดชิงถ้วยสโมสรยุโรปในครั้งนี้ไว้ว่า "ผมจำภาพถ่ายที่น่าทึ่งภาพหนึ่งได้ เป็นภาพที่ผมถ่ายกับเธอหลังคว้าแชมป์ ยูฟ่า แชมเปียนส์ ลีก ที่กรุงเบอร์ลิน ขณะกำลังปักธง บาร์เซโลน่า ลงบนสนาม"

"ผมหวังว่าจะได้ทำแบบนั้นอีกครั้งกับ เปแอสเช แม้ว่าลูกสาวของผมจะไม่ได้อยู่ที่นั่นทางร่างกาย แต่เธอจะอยู่ที่นั่นในทางจิตวิญญาณ และนั่นสำคัญกับผมมากจริงๆ"

และแฟนบอล PSG ก็ตอบสนองต่อความรักระหว่างหลุยส์กับซาน่าได้อย่างงดงามและน่าจดจำอย่างที่สุด และเป็นอีกครั้งที่พวกเราได้เห็นว่าฟุตบอลนั้นสวยงามเพียงไร 

ใดๆdigest หวังว่าเรื่องราวของหลุยส์กับซาน่า เอ็นริเก้ คงจะช่วยปลอบโยนใครก็ตามที่สูญเสียบุคคลอันเป็นที่รัก และขอแสดงความเคารพต่อดวงจิตทุกดวงที่สร้างความทรงจำอันสว่างไสวและมอบความรักอันสวยงามให้กับผู้คน 

ขอให้ความรักนำทางทุกท่านครับ 

Xana Enrique 
ด้วยจิตคารวะ

นาวิกโยธินสหรัฐ​ ถูกศาลญี่ปุ่นตัดสินจำคุก 7 ปี คดีล่วงละเมิดทางเพศหญิงสาว ที่โอกินาวา

ศาลในญี่ปุ่นตัดสินจำคุก ส.ท.เจเมล เคลย์ตัน ทหารนาวิกโยธินสหรัฐ อายุ 22 ปี เป็นเวลา 7 ปี หลังพบว่ามีความผิดฐานล่วงละเมิดทางเพศหญิงสาวในโอกินาวาเมื่อปีที่ผ่านมา

เคลย์ตันได้ใช้กำลังทำร้ายหญิงวัย 20 ปีรายหนึ่ง โดยใช้มือรัดคอจากด้านหลังและพยายามบังคับข่มขืนศาลระบุว่าเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นจริง และเหยื่อได้รับบาดเจ็บที่ดวงตาและใช้เวลารักษานานถึงสองสัปดาห์

เหตุการณ์นี้เป็นส่วนหนึ่งของคดีล่วงละเมิดทางเพศหลายคดีที่เกี่ยวข้องกับทหารสหรัฐซึ่งประจำการในหมู่เกาะโอกินาวา โดยมีทหารสหรัฐกว่า 54,000 นายในญี่ปุ่น และกว่า 50% ประจำอยู่ที่นี่ ทำให้เกิดความไม่พอใจและการประท้วงของชาวบ้านมาอย่างต่อเนื่อง

ในปีที่ผ่านมา มีคดีทหารสหรัฐก่อเหตุล่วงละเมิดทางเพศในโอกินาวารวมทั้งหมด 4 คดีด้วยกัน หนึ่งในนั้นคือคดีของเบรนนอน วอชิงตัน ทหารกองทัพอากาศ ที่ถูกตัดสินจำคุก 5 ปี จากข้อหาข่มขืนและลักพาตัวเด็กสาว

แม้ว่าเคลย์ตันจะปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา และฝ่ายจำเลยจะชี้ว่าคำให้การของผู้เสียหายมีความไม่ชัดเจน แต่ศาลนครนาฮะกลับเห็นว่าคำให้การของผู้เสียหายมีความน่าเชื่อถือสูง จึงตัดสินลงโทษเคลย์ตันตามคำร้องของอัยการ โดยให้โทษจำคุก 7 ปี ซึ่งน้อยกว่าที่อัยการขอไว้คือ 10 ปี

นอกจากนี้ ปัญหาการมีฐานทัพสหรัฐในโอกินาวายังทำให้เกิดความไม่พอใจในหมู่ประชาชนท้องถิ่นทั้งเรื่องเสียงดังของเครื่องบินและมลพิษ แม้จะมีความพยายามย้ายฐานทัพไปยังพื้นที่ห่างไกลมากขึ้น แต่ชาวบ้านส่วนใหญ่ต้องการให้ย้ายฐานทัพออกไปโดยถาวร


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top