Wednesday, 25 June 2025
NewsFeed

สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ร่วมกับสมาคมแม่บ้านตำรวจ จัดโครงการ “แสงธรรมนำใจ” ครั้งที่ 2 ฟังธรรมบรรยายจาก “หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช” หัวข้อ “พัฒนาจิตเพื่อการดับทุกข์”

(25 มิ.ย. 68) เวลา 09.30 น. พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) เป็นประธานโครงการ “แสงธรรมนำใจ” ครั้งที่ 2 ประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2568 โดยมี พล.ต.อ.กรไชย คล้ายคลึง รอง ผบ.ตร. , คุณอภิรมย์ ทรวดทรง อุปนายกสมาคมแม่บ้านตำรวจ , คุณนภัสนันท์ วุฒิจรัสธำรงค์ อุปนายกสมาคมแม่บ้านตำรวจ พร้อมด้วยข้าราชการตำรวจ และคณะแม่บ้านตำรวจ รวมกว่า 300 คน ร่วมฟังการธรรมบรรยายจาก “หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช” หัวข้อ “พัฒนาจิตเพื่อการดับทุกข์” ณ ห้องศรียานนท์ ชั้น 2 อาคาร 1 สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และทางออนไลน์

หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ได้แสดงธรรมในการพัฒนาจิตเพื่อการดับทุกข์ สิ่งสำคัญคือการเจริญสติ หรือ สติปัฏฐาน ซึ่งต้องลงมือฝึกจิต ฝึกใจ ให้ถึงความดับทุกข์ ประการแรกคือ การตั้งใจรักษาศีล 5 ซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญที่สุด และประการต่อไปคือการฝึกกรรมฐาน เพื่อให้จิตสงบ และรู้ทันจิตเพื่อให้จิตตั้งมั่น

โครงการ “แสงธรรมนำใจ” จัดขึ้นโดยสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ร่วมกับสมาคมแม่บ้านตำรวจ เพื่อให้ข้าราชการตำรวจ , แม่บ้านตำรวจ และประชาชน ได้น้อมนำคุณธรรม หลักธรรมคำสอนทางพระพุทธศาสนา มาปรับใช้ในชีวิตประจำวัน โดยจะจัดขึ้นเป็นประจำตลอดปีงบประมาณ พ.ศ.2568 ซึ่งในวันนี้จัดขึ้นเป็นครั้งที่ 2/2568 ซึ่งข้าราชการตำรวจทั่วประเทศและครอบครัว รวมถึงประชาชนที่สนใจ สามารถรับชมรับฟังธรรมบรรยายย้อนหลังผ่านทางเพจเฟซบุ๊กสมาคมแม่บ้านตำรวจ และเพจเฟซบุ๊ก PoliceTV สถานีโทรทัศน์สำนักงานตำรวจแห่งชาติ

สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พร้อมดูแลการชุมนุม 28 มิ.ย. ย้ำใช้เสรีภาพภายใต้กรอบกฎหมาย  จัดกำลัง 1,200 นายดูแลความเรียบร้อย

(25 มิ.ย. 68) พล.ต.ท.อาชยน ไกรทอง โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เปิดเผยว่า สำนักงานตำรวจแห่งชาติได้เตรียมความพร้อมในการดูแลและบริหารจัดการการชุมนุมสาธารณะที่จะเกิดขึ้นในวันที่ 28 มิถุนายน 2568 บริเวณอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ โดยขอความร่วมมือจากผู้ชุมนุมให้ใช้สิทธิเสรีภาพในการแสดงออกภายใต้กรอบของกฎหมาย เพื่อหลีกเลี่ยงผลกระทบต่อประชาชนและการใช้พื้นที่สาธารณะ

สำหรับการดำเนินการในภาพรวมได้มอบหมายให้กองบัญชาการตำรวจนครบาล (บช.น.) เป็นหน่วยรับผิดชอบหลักในการบริหารจัดการการชุมนุม และบังคับใช้กฎหมายตามพระราชบัญญัติการชุมนุมสาธารณะ พ.ศ.2558 โดยเน้นย้ำการใช้แนวทางเจรจา พูดคุย และทำความเข้าใจกับผู้จัดการชุมนุม เพื่อสร้างสมดุลระหว่างการใช้สิทธิเสรีภาพกับการรักษาความสงบเรียบร้อย

พล.ต.ท.อาชยนฯ กล่าวเพิ่มเติมว่า ขณะนี้ บช.น. ได้รับหนังสือแจ้งการชุมนุมเรียบร้อยแล้ว และได้ประสานงานกับผู้จัดการชุมนุม รวมถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยมีการจัดกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจประมาณ 1,200 นาย ประกอบด้วยกำลังรักษาความปลอดภัย เจ้าหน้าที่อำนวยความสะดวกด้านการจราจร และฝ่ายสืบสวน เพื่อติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดทั้งก่อน ขณะ และหลังการชุมนุม ในส่วนของการข่าว ได้สั่งการให้หน่วยสืบสวนในทุกกองบัญชีกำกับดูแลความเคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่อง ทั้งในพื้นที่กรุงเทพมหานครและต่างจังหวัด พร้อมจัดตั้งจุดตรวจ/คัดกรองบุคคลและยานพาหนะในเส้นทางจราจรหลัก รวมถึงบริเวณสถานีรถไฟฟ้า เพื่อป้องกันและเฝ้าระวังการเคลื่อนไหวของกลุ่มบุคคลที่อาจไม่หวังดี หรือมีเจตนาก่อความไม่สงบ

ทั้งนี้สำนักงานตำรวจแห่งชาติขอความร่วมมือจากประชาชนให้หลีกเลี่ยงการเดินทางผ่านพื้นที่การชุมนุมบริเวณอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิในวันดังกล่าว แม้ภาพรวมการจราจรจะยังสามารถใช้งานได้ตามปกติ และหากพบเห็นเหตุผิดปกติหรือเหตุฉุกเฉินใด ๆ สามารถแจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ที่หมายเลข 191 ตลอด 24 ชั่วโมง

ทัพทหารอิสราเอลถังแตก! เรื่องอาวุธ…หลังรบยืดเยื้อ นักวิเคราะห์ชี้ เป็นฝ่ายต้องการหยุดยิงมากกว่าอิหร่าน

(25 มิ.ย. 68) รายงานจาก NBC News อ้างเจ้าหน้าที่สหรัฐฯ ระบุว่า กองกำลังป้องกันอิสราเอล (IDF) กำลังเผชิญปัญหาขาดแคลนอาวุธ โดยเฉพาะกระสุนและยุทโธปกรณ์หลักหลายชนิด หลังเปิดฉากโจมตีอิหร่านเมื่อ 13 มิถุนายนที่ผ่านมา

อิสราเอลกล่าวหาอิหร่านว่าแอบพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ จึงเริ่มโจมตีเป้าหมายต่างๆ ในอิหร่านก่อน จนนำไปสู่การตอบโต้ทันทีจากอิหร่าน ซึ่งยิงขีปนาวุธใส่ฐานทัพหลายแห่งในอิสราเอลในปฏิบัติการที่ชื่อว่า ‘True Promise 3’

แม้อิหร่านจะปฏิเสธว่าตนไม่มีโครงการนิวเคลียร์ แต่สหรัฐฯ ได้ร่วมกับอิสราเอลในวันที่ 22 มิถุนายน โจมตีโรงงานนิวเคลียร์อิหร่าน 3 แห่ง ส่งผลให้อิหร่านโต้กลับด้วยการยิงขีปนาวุธใส่ฐานทัพสหรัฐฯ ที่กาตาร์ แต่ไม่เกิดความเสียหายหรือผู้บาดเจ็บ

ล่าสุด ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ระบุว่า อิสราเอลและอิหร่านตกลงหยุดยิงหลังสู้รบยืดเยื้อ 12 วัน ขณะที่นักวิเคราะห์บางฝ่ายชี้ว่า อิสราเอลน่าจะต้องการหยุดยิงมากกว่า เนื่องจากศักยภาพการรบลดลงอย่างมาก

‘กัมพูชา’ เมื่อเกมการเมืองกลายเป็นการทำร้ายตัวเอง ผยองตัดไฟฟ้าประชดไทยสุดท้ายเศรษฐกิจชายแดนเจ๊ง

จากที่เฝ้าติดตามมาตลอดตั้งแต่ช่วงต้นจนถึงปัจจุบัน จะเห็นว่ากัมพูชาเดินเกมทางการเมืองเหมือนจะดูดุดันนะครับ แต่จริง ๆ แล้วกลับออกแนว 'ร้อน' เหมือนคนแก่เล่น Facebook อารมณ์ไม่นิ่ง เดี๋ยวดิ้น เดี๋ยววีน แล้วก็พลาดซ้ำซาก ทำไมถึงเป็นแบบนั้น? เดี๋ยวผมจะอธิบายให้ฟังครับ

เริ่มกันที่กรณี 'ตัดไฟฟ้าประชดไทย' ซึ่งเป็นการตัดสินใจที่ผิดพลาด และตอนนี้กำลังย้อนกลับมาทำร้ายตัวเองอย่างชัดเจน

การที่กัมพูชาตัดไฟในเขตปอยเปตนั้น แม้จะดูเหมือนเป็นมาตรการตอบโต้ทางการเมืองที่แข็งกร้าว แต่เบื้องหลังก็เต็มไปด้วยการประเมินสถานการณ์ผิดพลาดซ้ำซ้อน และความพยายามเล่นเกมทูตแบบย้อนแย้งไร้แผนรองรับ

ต้องย้อนกลับไปดูช่วงแรกของวิกฤตชายแดน กัมพูชามีท่าที 'ชะล่าใจ' ค่อนข้างมาก ขุดคูเลตทหาร โชว์กำลัง กดดันไทยว่าเขามีสิทธิ์ในพื้นที่ โดยเชื่อว่าไทยจะไม่กล้าตอบโต้แรง เพราะตอนนั้นรัฐบาล โดยเฉพาะคุณแพทองธาร (อุ๊งอิ๊ง) ยังนิ่ง ๆ เงียบ ๆ ไม่แสดงท่าทีแข็งกร้าวใด ๆ ทำให้ฝั่งเขาเชื่อไปว่าไทยไม่กล้าปิดด่านจริงจัง

ในทางกลับกัน ฝ่ายทหารและความมั่นคงของไทยกลับแสดงท่าทีขึงขัง ชัดเจนว่า “อธิปไตยไทยไม่ใช่ของเล่น” มีการใช้มาตรการเบื้องต้น เช่น ปรับเวลาเข้า–ออกด่าน และเตือนว่า “หากกัมพูชายังคุกคาม จะตัดไฟ”

แต่ฝั่งกัมพูชากลับคิดว่าไทยไม่กล้า ด้วยความมั่นใจที่อาจมาจากความสัมพันธ์ทางเครือญาติ จึงตัดสินใจบลัฟกลับ โดยอ้างว่าไทยเป็นฝ่ายจะปิดด่านก่อน แล้วก็เลยตัดไฟฟ้าเอง เป็นการ “ประชดกลับ” แบบไม่คิดหน้าคิดหลัง

แต่การ “อ่านเกมผิด” ครั้งนี้ ทำให้พังทั้งกระดาน

แม้รัฐบาลไทยจะลังเลในตอนแรก แต่เมื่อแรงกดดันจากสังคมและภาครัฐเพิ่มขึ้น การปิดด่านก็เกิดขึ้นอย่างฉับพลันในคืนวันที่ 23 มิ.ย. 68

สิ่งที่ตามมาคือ “ภาวะช็อก” ของผู้นำกัมพูชา ที่ประเมินผิดทุกจุด

แก๊งพนันออนไลน์ในปอยเปตเริ่มอพยพออกจำนวนมาก ระบบเศรษฐกิจชายแดนกลายเป็นอัมพาตทันที

แม้กัมพูชาจะพยายามปล่อยข่าวว่าตัวเองมีไฟฟ้าใช้ได้ตามปกติ แต่ข้อเท็จจริงคือ ไฟฟ้าในประเทศมีไม่เพียงพอ (ไฟฟ้าส่วนใหญ่ของประเทศถูกนำเข้ามาจากประเทศไทย  การตัดไฟที่โชว์ไปแต่แรกก็เป็นเพียงแค่การบลัฟ เพียงเล็กน้อย เพราะยังซื้อไฟฟ้าจากประเทศไทยอยู่อีกหลายจุดแต่ไม่ปรากฏเป็นข่าว) และการจะหันไปซื้อไฟจากเวียดนามก็เป็นไปไม่ได้ ทั้งจากข้อจำกัดเรื่องโครงสร้างพื้นฐานและปริมาณกำลังผลิต

การบลัฟว่ามีไฟสำรองจ่ายนั้น หลอกได้แค่คนที่ไม่รู้ข้อเท็จจริง เพราะ…
1. ไฟฟ้าในเวียดนามผลิตได้พอใช้แค่ภายในประเทศ
2. ไม่มีเส้นทางส่งไฟฟ้าจากเวียดนามมายังฝั่งตะวันตกของกัมพูชา
3. หากจะสร้างโครงข่ายสายส่งใหม่ ต้องใช้เวลาหลายปีและเงินมหาศาล
และที่พังยิ่งกว่าคือ การกระทำของกัมพูชา กลับไปกระทบเวียดนามอย่างจัง

ข้อมูลบางส่วนระบุว่า กัมพูชาอาจปิดด่านล่วงหน้าโดยหวังโยนความผิดให้ไทย แล้วหวังว่าไทยจะเปิดก่อน เพื่อรักษาภาพลักษณ์ตัวเองในสายตาต่างประเทศ

แต่กลายเป็นว่า “ไทยไม่เดือดร้อน” กลับเป็น “เวียดนามซวยแทน”

เพราะเส้นทางนำเข้าสินค้าจากไทยไปเวียดนามจำนวนมากต้องผ่านกัมพูชา เมื่อด่านปิด เวียดนามก็ถูกตัดเส้นทางทันที ทั้งที่ไม่ได้เกี่ยวกับความขัดแย้งนี้เลยแม้แต่นิดเดียว

อีกด้านหนึ่ง กัมพูชาก็น่าจะรู้อยู่แล้วว่าไทยลังเลจะปิดด่าน จึงรีบ “แสดงบทแข็ง” หวังจะชิงพื้นที่สื่อและปลุกกระแสภายในประเทศ เพื่อเอาใจฐานเสียงเดิมและฟื้นภาพลักษณ์ของตระกูลฮุน

แต่ผลที่ได้ คือ คนเวียดนามและไทย “พร้อมใจกันไม่ประทับใจ”

สิ่งที่สำคัญคือ การปิดด่านนี้ทำลายเศรษฐกิจของกัมพูชาเองอย่างจัง เพราะรายได้ส่วนใหญ่ของฝั่งปอยเปต มาจากระบบเศรษฐกิจ “สีเทา” ไม่ว่าจะเป็นบ่อนพนันออนไลน์, call center, hacker ฯลฯ ซึ่งเมื่อช่องทางเข้า–ออกถูกตัด รายได้พวกนี้ก็เหือดหายไปทันที และหากปิดยาว ก็ยิ่งเจ็บลึก

ขณะที่การคว่ำบาตรไม่ซื้อน้ำมันจากไทยก็เป็นอีกการตัดสินใจที่ย้อนแย้ง เพราะน้ำมันไม่ใช่สินค้าที่สั่งวันนี้ได้พรุ่งนี้

ในตลาดโลกตอนนี้ ประเทศต่าง ๆ เริ่มอั้นน้ำมันเพื่อใช้ภายใน การจะหาน้ำมันจากแหล่งอื่นต้องใช้เวลา 3–6 เดือน เพราะเป็นระบบสัญญาล่วงหน้า ราคาก็สูงกว่าไทยอย่างเห็นได้ชัด

แม้จะหันไปสิงคโปร์ ก็ยังต้องรอขนส่งอีกหลายเดือน ขณะที่กัมพูชาไม่มีระบบน้ำมันสำรองเหมือนไทย จึงไม่แปลกที่เราจะเห็นคนเขมรแห่กักตุนจากประเทศเพื่อนบ้านอยู่เรื่อย ๆ

สุดท้าย ท่าทีของกัมพูชาที่ดึงดันเดินเกมนี้นานขึ้น ยิ่งทำให้เพื่อนบ้านในภูมิภาคหมดความอดทน โดยเฉพาะเวียดนามและลาว

การกระทำของกัมพูชาจึงไม่ใช่แค่พลาดทางยุทธศาสตร์ แต่กำลังเร่งให้ภูมิภาคหมดความเกรงใจในตัวเขา

สุดท้ายแล้ว คนที่ควรได้รับผลกระทบจากเรื่องทั้งหมดนี้ ไม่ควรเป็นแค่ประชาชนตาดำ ๆ ที่หาเช้ากินค่ำ จำเป็นต้องเดินทางข้ามแดนไทย–กัมพูชาเพื่อเอาตัวรอด แต่กลับต้องกลายเป็นผู้รับกรรมในเกมการเมืองที่ตนเองไม่มีส่วนเกี่ยวข้องเลยแม้แต่น้อย

ไม่ใช่พวกชนชั้นนำหรือครอบครัวตระกูลฮุนหรอกครับที่จะลำบากอะไร
พวกเขายังอยู่ในคฤหาสน์ มีไฟฟ้าใช้ มีรถกันกระสุน มีน้ำมันเติม

แต่ชาวบ้าน? ต้องอยู่กับความเสี่ยง ไฟดับ น้ำไม่ไหล น้ำมันแพง และข้าวของขึ้นราคาแบบทวีคูณ
ทั้งหมดนี้เพียงเพราะ 'อีโก้' ของผู้นำประเทศ ที่อยากเอาชนะให้ได้ในเกมที่ตัวเองเป็นคนเริ่ม

และหากพูดถึงเรื่อง 'ดินแดน' — ถ้าไทยยืนยันหนักแน่นว่านั่นคือแผ่นดินไทย กัมพูชาก็ไม่มีวันได้อยู่ดี ต่อให้กดดันแค่ไหน ก็เท่ากับทำร้ายตัวเองซ้ำแล้วซ้ำเล่าเท่านั้นเอง

สมุทรปราการ- 'อบีนาช มาจี้' CEO ร่วมเวทีสัมมนาระดับเอเชีย ตอกย้ำการเป็นผู้นำการจัดการขยะชุมชน

(25 มิ.ย.68) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ณ ห้องฟูจิ 2 บอลรูม ชั้น 4 โรงแรมนิกโก้ กรุงเทพฯ กลุ่มบริษัท อีสเทิร์น เอเนอร์จี้ พลัส จำกัด (EEP Group) ได้ตอกย้ำบทบาทการเป็นผู้นำด้านการจัดการขยะชุมชนและพลังงานสะอาดของประเทศไทย บนเวทีสัมมนาระดับภูมิภาค (เอเซีย) ในงาน “9th Waste Management & Waste to Energy Asia Summit Thailand Focus” 

ซึ่งจัดขึ้นโดย Innovation Networking Brainstorm Connection (INBC Global) โดยในงานนี้ นายอบีนาช มาจี้ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของกลุ่มบริษัท EEP ได้รับเกียรติเป็นวิทยากรปาฐกถาพิเศษ บรรยายภายใต้หัวข้อ “The latest development and future planning of EEP's waste management and Waste to Energy Business” การเข้าร่วมงานสัมมนาของกลุ่มบริษัท EEP ในครั้งนี้ สะท้อนถึงความมุ่งมั่นในการพัฒนาธุรกิจการบริหารจัดการขยะชุมชนอย่างครบวงจร 

ด้วยแนวทางที่ยั่งยืน เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และตอบโจทย์การพัฒนาเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) ควบคู่กับการมีส่วนร่วมของชุมชน ภาพรวมการดำเนินงานของ EEP Group บริษัท อีสเทิร์น เอเนอร์จี้ พลัส จำกัด (EEP) ดำเนินธุรกิจบ่อฝังกลบขยะชุมชนภายในศูนย์บริหารจัดการขยะชุมชนแบบครบวงจร ตั้งอยู่ที่ ต.แพรกษาใหม่ อ.เมืองสมุทรปราการ 

โดยยึดแนวคิด Zero Waste ในการบริหารจัดการ รองรับขยะชุมชนจากรถเก็บขนขยะขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในจังหวัดสมุทรปราการ เพื่อเข้าสู่กระบวนการคัดแยกขยะอย่างเป็นระบบและนำมาผลิตเป็นเชื้อเพลิงขยะ RDF สำหรับป้อนเข้าสู่กระบวนการผลิตกระแสไฟฟ้าของโรงไฟฟ้าเชื้อเพลิงขยะ RDF ขนาด 9.9 เมกะวัตต์ ภายใต้ บริษัท ราชบุรี-อีอีพี รีนิวเอเบิ้ล เอนเนอจี้ จำกัด (R-EEP) รวมถึงบริการเก็บขนขยะชุมชนให้แก่บางองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในจังหวัดสมุทรปราการ

มายังบ่อฝังกลบขยะของบริษัท EEP ดำเนินงานโดย บริษัท สมุทรปราการ รีนิวเอเบิ้ล เอเนอร์จี้ จำกัด (SRE) และโครงการก่อสร้างโรงไฟฟ้าขยะชุมชนและบริหารจัดการโรงไฟฟ้า ทั้งหมด 3 โครงการ ได้แก่ โรงไฟฟ้าที่มีขนาดกำลังการผลิต 9.9 เมกะวัตต์ จำนวน 1 โรง และขนาดกำลังการผลิต 3.0 เมกะวัตต์ จำนวน 2 โรง ของบริษัท มหานคร กรีน เอเนอร์จี้ จำกัด (MHG) โดยมีกำหนดเริ่มเดินเครื่องภายในเดือนธันวาคม พ.ศ. 2569

บริษัท EEP มีเป้าหมายในการก้าวสู่ความเป็นผู้นำด้านการบริหารจัดการขยะชุมชนแบบครบวงจร ภายใต้การนำของนายอบีนาช มาจี้ CEO กลุ่มบริษัท EEP โดยใช้แนวคิดการบริหารจัดการขยะชุมชน แบบ 360 องศา ซึ่งคำนึงถึงสิ่งแวดล้อมและชุมชนเป็นหัวใจสำคัญ ด้วยการบูรณาการองค์ความรู้ด้านวิศวกรรมศาสตร์ วิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยี เข้ามาใช้ในการบริหารจัดการขยะมูลฝอยชุมชนอย่างเป็นระบบ ควบคู่กับความใส่ใจต่อสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืนในระยะยาว อาทิเช่น การพัฒนาและประยุกต์ใช้เทคโนโลยีในการจัดการก๊าซมีเทน โดยใช้วัสดุเสมือนดินที่ได้จากกระบวนการรื้อร่อน มาเป็นวัสดุปิดทับขยะบริเวณบ่อฝังกลบ ซึ่งมีคุณสมบัติเป็นชั้น Methane oxidation layer : MOL ช่วยลดปริมาณก๊าซมีเทนและกลิ่นจากการฝังกลบขยะได้ พร้อมนำนวัตกรรมการฝังกลบแบบกึ่งเติมอากาศ (Semi-aerobic landfill) มาใช้เป็นแห่งแรกในประเทศไทย รวมถึงใช้โดรนตรวจวัดอุณหภูมิ (Thermal Drone) เพื่อตรวจจับความร้อนสะสม (Hot spot) ลดความเสี่ยงการเกิดไฟไหม้ในหลุมฝังกลบขยะ

ในด้านการจัดการกลิ่น กลุ่มบริษัท EEP ได้ร่วมมือกับสถาบันการศึกษา ในการนำเทคโนโลยี E-Nose (จมูกอิเล็กทรอนิกส์) มาติดตั้งในพื้นที่ชุมชนโดยรอบ พร้อมระบบแจ้งเตือนตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อรับมือกับกลิ่นไม่พึงประสงค์อย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงติดตั้งระบบตรวจวัดค่าฝุ่น PM 2.5 ทั้งแบบออนไลน์และออฟไลน์ เพื่อเฝ้าระวังคุณภาพอากาศโดยรอบในพื้นที่ชุมชนและสถานประกอบการ

วิสัยทัศน์เพื่ออนาคตด้วยวิสัยทัศน์อันก้าวไกลของผู้บริหารกลุ่มบริษัท EEP ในการเป็นผู้นำด้านการจัดการขยะชุมชนอย่างยั่งยืนระดับประเทศ โดยบูรณาการองค์ความรู้ด้านวิศวกรรม วิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยีเพื่อสร้างนวัตกรรมที่ตอบโจทย์สิ่งแวดล้อมและสังคม พร้อมทำงานร่วมกับมหาวิทยาลัยชั้นนำในการวิจัยและพัฒนาโครงการในอนาคตเพื่อยกระดับการบริหารจัดการขยะในระดับประเทศ เพื่อให้สอดคล้องกับเป้าหมาย Net Zero Emission ของประเทศไทย และแนวทางการลดก๊าซเรือนกระจกตามที่ได้ตกลงไว้ในการประชุม COP26 ที่มุ่งเน้นการจำกัดอุณหภูมิโลก และสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านสู่สังคมคาร์บอนต่ำอย่างยั่งยืน กลุ่มบริษัท EEP มุ่งมั่นขับเคลื่อนประเทศไทยสู่เป้าหมายด้านพลังงานสะอาดและการพัฒนาที่ยั่งยืนให้กับชุมชน สังคมในจังหวัดสมุทรปราการและประเทศชาติอย่างแท้จริง


 

นายกฯ จีน ชูแนวคิด ‘สร้างสรรค์-ร่วมมือ’ บนเวทีเศรษฐกิจโลก กระตุ้นนานาชาติปกป้องการค้าเสรี-พลิกฟื้นเศรษฐกิจ

(25 มิ.ย. 68) นายหลี่ เฉียง (Li Qiang) นายกรัฐมนตรีของจีน กล่าวเปิดการประชุม 'ดาวอส ฟอรัม ฤดูร้อน ครั้งที่ 16' ที่จัดขึ้นในนครเทียนจิน ทางตอนเหนือของจีน โดยเรียกร้องให้นานาประเทศร่วมมือกันด้านเศรษฐกิจและการค้าระหว่างประเทศในรูปแบบที่สร้างสรรค์และเป็นรูปธรรม

นายกรัฐมนตรีของจีน อธิบายว่า “การดำเนินงานอย่างสร้างสรรค์” หมายถึง การลงมือทำอย่างเป็นรูปธรรมเพื่อปกป้องการค้าเสรีและระบบความร่วมมือระหว่างหลายประเทศ (พหุภาคี) พร้อมทั้งผลักดันให้เศรษฐกิจโลกมีความมั่นคงมากขึ้น แม้จะเผชิญกับความท้าทายรอบด้านในปัจจุบัน

นอกจากนี้ นายหลี่ เฉียง ยังเน้นถึงความสำคัญของการแก้ไขข้อพิพาททางการค้าโดยสันติวิธีผ่านการเจรจาอย่างเท่าเทียม โดยชี้ว่าแม้ความขัดแย้งระหว่างประเทศจะเป็นเรื่องปกติในการทำการค้า แต่หากยึดหลักเคารพซึ่งกันและกันก็สามารถหาทางออกที่เป็นประโยชน์ร่วมกันได้

เขายังเน้นย้ำให้ทุกประเทศร่วมกันปกป้องผลประโยชน์ร่วมกันผ่านความร่วมมือที่เกื้อกูล พร้อมสนับสนุนให้มีการประสานนโยบายมหภาค เพื่อรักษาเสถียรภาพของห่วงโซ่อุปทานและห่วงโซ่อุตสาหกรรมโลก

ทั้งนี้ จีนจะเดินหน้าสร้างความร่วมมือกับตลาดโลกอย่างใกล้ชิดยิ่งขึ้น ทั้งในด้านเศรษฐกิจ อุตสาหกรรม และเทคโนโลยี เพื่อเพิ่มความมั่นคงและความยืดหยุ่นในการพัฒนาเศรษฐกิจโลก โดยการประชุมครั้งนี้จัดขึ้นระหว่างวันที่ 24–26 มิถุนายน ภายใต้แนวคิด 'ความเป็นผู้ประกอบการในยุคใหม่' และมีผู้นำจากกว่า 90 ประเทศเข้าร่วมมากกว่า 1,700 คน


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top