Tuesday, 24 June 2025
NewsFeed

ประกาศใหม่จาก กสทช. ตัด ‘ฟุตบอลโลก 2026’ ออกจากกฎ Must Have ที่ต้องให้คนไทยชมฟรี

(24 มิ.ย. 68) ราชกิจจานุเบกษาเผยแพร่ประกาศฉบับใหม่ของ กสทช. เมื่อวันที่ 16 พฤษภาคม 2568 ว่าด้วย “หลักเกณฑ์รายการโทรทัศน์สำคัญที่ให้เผยแพร่ได้เฉพาะในบริการโทรทัศน์ที่เป็นการทั่วไป (ฉบับที่ 2)” หรือที่รู้จักกันในชื่อ “กฎ Must Have” ซึ่งลงนามโดย ศาสตราจารย์คลินิก นายแพทย์ สรณ บุญใบชัยพฤกษ์ ประธาน กสทช.

ประกาศฉบับนี้มีการยกเลิกภาคผนวกเดิมจากปี 2555 และใช้รายชื่อรายการใหม่แทน โดยเน้นย้ำให้ประชาชนสามารถรับชมรายการกีฬาสำคัญระดับชาติและนานาชาติผ่านฟรีทีวีโดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย อย่างไรก็ตาม ไฮไลต์สำคัญคือ “ฟุตบอลโลก 2026” ไม่ได้ถูกรวมอยู่ในรายชื่อรายการที่ต้องออกอากาศผ่านฟรีทีวีอีกต่อไป

รายการกีฬาที่ ยังคงอยู่ภายใต้กฎ Must Have ได้แก่ ซีเกมส์, อาเซียนพาราเกมส์, เอเชียนเกมส์, เอเชียนพาราเกมส์, โอลิมปิกเกมส์ และพาราลิมปิกเกมส์ ซึ่งสะท้อนถึงความตั้งใจของ กสทช. ในการคุ้มครองสิทธิของประชาชนในการเข้าถึงการแข่งขันกีฬาที่เกี่ยวข้องกับนักกีฬาชาติไทยเป็นหลัก

ทั้งนี้ กฎ Must Have ทำงานร่วมกับกฎ Must Carry ซึ่งกำหนดให้ผู้ให้บริการทีวีทุกระบบ ต้องถ่ายทอดสัญญาณฟรีทีวีโดยไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม เพื่อให้ประชาชนทุกกลุ่มสามารถรับชมรายการสำคัญได้อย่างเท่าเทียม โดยเฉพาะในเหตุการณ์ที่มีความสำคัญระดับประเทศและระดับภูมิภาค

‘ดร.ธนชาติ’ จี้นายกฯ ปล่อยแก๊งคอลฯ ลอยนวลมานาน ชี้!! ควรลุยปราบตั้งแต่แรก ไม่ใช่รอจนคลิปเสียงหลุด

(24 มิ.ย. 68) รศ.ดร.ธนชาติ นุ่มนนท์ ผู้อำนวยการ สถาบันไอเอ็มซี โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ‘Thanachart Numnonda’ ถึงกรณีรัฐบาลประกาศลุยแก๊งคอลเซ็นเตอร์กัมพูชา โดยอ้างปกป้องคนไทยจากการตกเป็นเหยื่อ

นายกรัฐมนตรี บอกว่า “รัฐบาลไทยจะไม่ยอมให้คนไทยตกเป็นเหยื่ออีกต่อไป” ก่อนอื่นเราต้องแยกประเด็นก่อนนะครับ กรณีคลิปหลุดของนายกฯ ไม่ใช่เจอแก๊งคอลเซ็นเตอร์หรืออะไร แต่เป็นการคุยกัน "เรื่องส่วนตัว โดยเอาผลประโยชน์ของชาติเป็นการต่อรอง" ไม่ได้มีการดักฟัง หรือโดนแก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่ไหนหลอก แต่คู่สนทนาเอาไปเผยแพร่เอง

การปราบแก๊งคอลเซ็นเตอร์ในกัมพูชา หรือระงับสัญญาณอินเทอร์เน็ตแถวนั้น ควรทำตั้งแต่ตอนจีนมาจัดการกับแก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่พม่าอย่างจริงจังแล้ว ซึ่งก็เป็นที่ทราบกันดีว่า คนที่ถูกจับไปทำงานแถวพม่าคือคนต่างชาติเช่นคนจีน แต่มีอีกกลุ่มหนึ่งที่ถูกบังคับให้ทำงานคอลเซ็นเตอร์ในกัมพูชาคือ กลุ่มคนไทย แต่ก็ไม่มีการปราบปรามอะไรจริงจังในตอนนั้น

ก็ไม่ทราบด้วยเหตุใดถึงต้องเกรงใจกัมพูชาในตอนนั้น และไม่มีการปราบปรามจริงจังตัดสัญญาณเน็ต กวดขันจริงจัง แต่ก็เพิ่งเห็นประกาศจะทำอะไรจริงจังหลังจากที่ ความสัมพันธ์ส่วนตัวของสองครอบครัวมีปัญหา ก็คงอาจเพราะถึงเวลาที่จะต้องตัดผลประโยชน์ของอีกครอบครัว

อย่าบริหารประเทศชาติโดยเอาความสัมพันธ์ส่วนตัวมาในการตัดสินใจ ผู้นำที่ดีต้องยึดหลักการ และต้องทำตรงไปตรงมา อย่างที่บอกครับ ควรทำตั้งแต่ตอนเราจัดการกับแก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่พม่าแล้ว ไม่ใช่รอจนถึงวันนี้ แล้วเพิ่งมาบอกว่า จะไม่ยอมให้คนไทยตกเป็นเหยื่ออีกต่อไป

อย่าบอกนะครับว่าเพิ่งทราบว่า มีแก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่กัมพูชา เลยเพิ่งทำ

ร.7 กับข้อกล่าวหาอยู่เบื้องหลัง ‘กบฏบวรเดช’ ความเข้าใจผิดและเกมการเมืองหลังปี 2475

(24 มิ.ย. 68) ช่วงเวลาแห่งการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 คือรอยต่อสำคัญที่สุดช่วงหนึ่งในประวัติศาสตร์ไทย และผู้ที่ตกอยู่ท่ามกลางแรงสั่นสะเทือนจากทั้งสองฝั่งของอำนาจ คือ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 7) ผู้ซึ่งต้องเผชิญกับแรงกดดันจากฝ่ายอนุรักษนิยมและกลุ่มปฏิรูปใหม่อย่างคณะราษฎร

ในเวลาไล่เลี่ยกันนั้น หนึ่งในบุคคลสำคัญที่เคยมีบทบาทในกองทัพและแสดงออกถึงความใฝ่ฝันในการปฏิรูปประเทศมาตั้งแต่ก่อน 2475 คือ พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าบวรเดช ผู้มีความคิดวิพากษ์วิจารณ์ระบบเก่าและเคยเป็นที่จับตาของราชสำนักเองในฐานะ “ผู้ที่อาจจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงการปกครอง” ด้วยซ้ำ

จนถึงขั้นที่ว่า ในวันที่คณะราษฎรทำการยึดอำนาจในรุ่งเช้า 24 มิถุนายน 2475 ราชสำนักยังเข้าใจผิดว่าหัวหน้าคณะราษฎรคือพระองค์เจ้าบวรเดช ไม่ใช่พระยาพหลพลพยุหเสนา หรือหลวงประดิษฐ์มนูธรรม

จากผู้ใฝ่ปฏิรูป สู่ผู้นำกบฏ: ความพลิกผันของบวรเดช
พระองค์เจ้าบวรเดช ในฐานะนายทหารชั้นผู้ใหญ่ที่เคยรับราชการใกล้ชิดราชสำนักและเป็นบุคคลมีอิทธิพลในกองทัพสมัยรัชกาลที่ 6 และ 7 เคยมีแนวคิดที่ต้องการปรับปรุงประเทศให้ก้าวหน้ามาก่อนใครในหมู่ขุนนางร่วมสมัย จนเคยถูกกล่าวขานว่าเป็น “เสรีนิยมในเครื่องแบบ” คนหนึ่ง

ทว่าเมื่อการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นจริง กลับเป็นพระองค์เจ้าบวรเดชเสียเองที่ไม่อาจยอมรับความเคลื่อนไหวของคณะราษฎรได้ เพราะทรงเห็นว่ารัฐบาลหลัง 2475 นั้นกำลังพาประเทศเข้าสู่ความโกลาหล ขาดความเคารพต่อสถาบัน และใช้อำนาจรัฐโดยปราศจากความรับผิดชอบ จึงนำไปสู่การตัดสินใจของพระองค์ในปี 2476 ที่จะนำกองทัพบางส่วนออกทำการ "กบฏบวรเดช" โดยมีข้ออ้างว่าเพื่อกอบกู้ “ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์”

ข้อกล่าวหาต่อรัชกาลที่ 7: เกมโต้กลับของการเมืองใหม่
ท่ามกลางความรุนแรงและความวุ่นวายที่ตามมา รัฐบาลของคณะราษฎรนำโดยพระยาพหลฯได้กล่าวหาว่า รัชกาลที่ 7 ทรงอยู่เบื้องหลังการสนับสนุนบวรเดช ข้อกล่าวหานี้มีน้ำหนักอยู่ช่วงหนึ่งโดยเฉพาะในระดับสื่อและวงการทหารที่ใกล้ชิดกับคณะราษฎร โดยเฉพาะประเด็นที่ว่า “รัชกาลที่ 7 ทรงพระราชทานเงินจำนวน 200,000 บาทให้แก่กองกำลังบวรเดช”

แต่เมื่อพิจารณาในเชิงหลักฐานทางประวัติศาสตร์ กลับพบว่าข้อกล่าวหานี้ ไม่สามารถยืนยันได้ด้วยเอกสารที่เชื่อถือได้ และนักวิชาการจำนวนมาก รวมถึงเอกสารจากสำนักพระราชวังและราชเลขาธิการในเวลานั้น ต่างยืนยันว่าพระองค์ “ไม่ทรงเกี่ยวข้องโดยตรง” กับการกบฏแต่อย่างใด

รัชกาลที่ 7: ความเป็นกลางอันน่าชื่นชม
ในช่วงเหตุการณ์กบฏบวรเดช พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวซึ่งพำนักอยู่ที่หัวหิน ไม่ได้เสด็จไปยังพื้นที่ความขัดแย้ง และทรงมีพระราชดำรัสหลายครั้งผ่านราชเลขาธิการแสดงจุดยืนว่า ไม่ทรงเลือกข้าง และขอให้ทุกฝ่ายยุติความรุนแรงและหาทางเจรจา

พระองค์ไม่เพียงแต่ไม่สนับสนุนการใช้กำลัง แต่ยังทรง เสนอพระองค์เป็นคนกลางไกล่เกลี่ย หากคู่ขัดแย้งยินดีเปิดใจ

แนวทางของพระองค์จึงชัดเจนว่า ทรงวางพระองค์ไว้เหนือความขัดแย้ง และยังคงยึดมั่นในหลักประชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญที่พระองค์ทรงมีพระราชวินิจฉัยเห็นชอบด้วยตั้งแต่แรก

บทสรุป: การป้ายสีที่ไม่อาจลบพระบารมี

เหตุการณ์กบฏบวรเดชและข้อกล่าวหาที่ตามมานั้น เป็นผลพวงของเกมการเมืองในยุคเปลี่ยนผ่านที่ตึงเครียด ฝ่ายรัฐพยายามลดทอนความน่าเชื่อถือของสถาบัน เพื่อรักษาอำนาจของตน และใช้อารมณ์ชาตินิยมเป็นเครื่องมือในการปลุกระดมประชาชน

แต่เมื่อกาลเวลาผ่านไป ประวัติศาสตร์ได้ชำระข้อเท็จจริงอย่างชัดเจนว่า

พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวมิได้มีส่วนเกี่ยวข้องใด ๆ กับกบฏบวรเดช และทรงปฏิบัติพระองค์อย่างมีเกียรติ ในฐานะประมุขของชาติที่เคารพต่อเจตจำนงของประชาชน

พระองค์จึงมิใช่เพียง “กษัตริย์ผู้สละราชบัลลังก์”

แต่คือ “กษัตริย์นักประชาธิปไตย” ผู้วางรากฐานแห่งความคิดให้ประเทศไทยเดินหน้าไปด้วยสติ ไม่ใช่ด้วยความรุนแรง

วันที่ 24 มิถุนายน 2568 เป็นวันครบรอบ 93 ปี ของการเปลี่ยนแปลงการปกครองในประเทศไทย  ทีมงาน 2475 รุ่งอรุณเหตุการณ์ปฏิวัติ ได้จัดทำหนังสือการ์ตูนปกใหม่(jacket) เพื่อ เทิดพระเกียรติ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 7 ผู้เป็นศูนย์รวมใจคนไทยในห้วงเวลาแห่งการเปลี่ยนแปลงทางการปกครองและเป็นผู้บุกเบิกประชาธิปไตยที่แท้จริง

ผู้ใดสนใจหนังสือการ์ตูน 2475 รุ่งอรุณแห่งการปฏิวัติ ปกหุ้มเพื่อเทิดพระเกียรติรัชกาลที่ 7 สามารถติดตามข้อมูลและสั่งซื้อได้ที่ https://www.facebook.com/share/1AnBbfHkaE/

‘ผู้พันเบิร์ด’ แฉ ‘กัมพูชา’ ตัดไฟไทยเพียง 3 จุด ยังเหลืออีก 6 จุด จากทั้งหมด 9 จุดชายแดน

(24 มิ.ย. 68) พล.ต.วันชนะ สวัสดี หรือ ‘ผู้พันเบิร์ด’ ผู้อำนวยการสำนักงานประสานภารกิจด้านความมั่นคงฯ ได้โพสต์ข้อความบนเฟซบุ๊กส่วนตัวถึงกรณีกัมพูชาประกาศตัดไฟจากฝั่งไทย โดยระบุว่า ก่อนหน้านี้ประเทศไทยส่งไฟฟ้าให้กัมพูชาผ่าน 9 จุดชายแดน ทั้งในจังหวัดสุรินทร์ สระแก้ว จันทบุรี และตราด

อย่างไรก็ตาม กัมพูชาตัดการรับไฟฟ้าไปเพียง 3 จุดเท่านั้น ได้แก่ จุดคลองลึก-ปอยเปต, วงจร 2 ที่คลองลึก-ปอยเปต และหาดเล็ก-เกาะกง ขณะที่จุดอื่น ๆ อีก 6 จุด ยังคงจ่ายไฟตามปกติ สะท้อนว่ากัมพูชายังพึ่งพาไฟฟ้าจากไทยในหลายพื้นที่

ทั้งนี้ ข้อมูลจากกระทรวงพลังงานของกัมพูชาเคยเปิดเผยว่า ราว 25% ของการใช้ไฟฟ้าทั้งประเทศต้องนำเข้าจากเพื่อนบ้าน โดยเฉพาะไทยและเวียดนาม แม้ในช่วงหลังจะมีการลงทุนเพิ่มในโรงไฟฟ้าถ่านหินและพลังงานแสงอาทิตย์ แต่ก็ยังไม่เพียงพอต่อความต้องการโดยรวม

ปากีสถานเสนอ ‘ทรัมป์’ ชิงโนเบลฯ หลังช่วยหยุดยิงอินเดีย-ปากีสถาน

(24 มิ.ย. 68) รัฐบาลปากีสถานประกาศแผนเสนอชื่อโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ เข้ารับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ โดยชี้ว่าเขามีบทบาทสำคัญในการเป็นตัวกลางช่วยยุติความขัดแย้งระหว่างอินเดียและปากีสถาน เมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ผ่านการเจรจาทางการทูตที่เร่งด่วนและการใช้การค้าเป็นแรงผลักดัน

แม้อินเดียจะปฏิเสธว่าไม่มีการแทรกแซงจากสหรัฐฯ แต่ทางปากีสถานยืนยันว่า ทรัมป์มีส่วนช่วยเจรจาหยุดยิงที่เกิดขึ้นหลังการสู้รบต่อเนื่อง 4 วัน ซึ่งรัฐบาลปากีสถานยกย่องว่าทรัมป์แสดงความเป็นผู้นำที่เด็ดขาด และมีวิสัยทัศน์เชิงยุทธศาสตร์ที่ช่วยลดความรุนแรงได้อย่างรวดเร็ว

อย่างไรก็ตาม ข้อเสนอนี้กลับถูกวิจารณ์จากบางฝ่าย เช่น มาลีฮา โลธี (Maleeha Lodhi) อดีตเอกอัครราชทูตปากีสถานประจำสหรัฐฯ ที่มองว่าการสนับสนุนผู้นำที่เคยสนับสนุนการโจมตีในกาซาเป็นเรื่อง “บั่นทอนศักดิ์ศรีของชาติ” ขณะที่ทรัมป์เองก็ระบุผ่าน Truth Social ว่า แม้จะเป็นผู้ไกล่เกลี่ยหลายกรณี แต่เขา “จะไม่ได้รับรางวัลโนเบล ไม่ว่าจะทำอะไร”

ทรัมป์เคยประกาศว่าจะยุติสงครามในยูเครนและกาซาอย่างรวดเร็ว หากได้กลับมาดำรงตำแหน่งอีกครั้ง และมักวิจารณ์รางวัลโนเบลของโอบามาในปี 2009 ว่าได้มาเร็วเกินควร ทั้งนี้ รางวัลโนเบลประจำปีนี้จะมีการประกาศผลในเดือนตุลาคม โดยยังไม่มีความชัดเจนว่าทรัมป์จะได้รับการเสนอชื่อจริงหรือไม่

‘พิธา’ เปิดใจย้ำคำเดิม ทหารมีไว้เพื่อปกป้องไม่ใช่ปกครอง ชี้ฝั่งตรงข้ามอัปเกรดสงครามข่าวสาร จนเราสู้ไม่ได้

เมื่อวันที่ (23 มิ.ย.68) นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ อดีตหัวหน้าพรรคก้าวไกล แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ผ่านรายการกรรมกรข่าว คุยนอกจอ ถึงคำวิจารณ์ที่เคยหาเสียงว่าทหารมีไว้ทำไม ว่า กรณีดังกล่าวเป็น Code Minding ยกมาแค่บางประโยค ซึ่งในทางการเมืองทำเป็นประจำอยู่แล้ว ตนชี้แจงไปว่าทหารมีไว้ปกป้องไม่ใช่ปกครอง ต้องป้องกันความคุกคามจากต่างประเทศ แต่ไม่ยุ่งกับการเมืองภายในประเทศ ซึ่งมีการนำมา Code โดยที่ไม่ดูบริบท

“วันนั้นเป็นการปราศรัยที่กาญจนบุรี ที่นั่นเป็นเขตทหารเยอะ ประชาชนจะโมโหมากเรื่องมาแย่งที่ดินเรื่องบ่อขยะ การมีสิทธิมนุษยชนในค่ายทหาร จึงเป็นบริบทที่ไปทางนั้น ทหารมีไว้ระมัดระวังภัยทุกรูปแบบจากนอกประเทศ แต่ไม่ยุ่งกับการเมืองภายในประเทศ ผมขอเคลียร์แบบนี้ เราเป็นประชาธิปไตย ต้องเป็นพลเรือนก่อนทหาร ต้องมองภาพใหญ่และให้เห็นว่าเรามีเครื่องมือในการต่อสู้อย่างไรบ้าง” นายพิธา กล่าว

นายพิธา ตั้งคำถามว่าสงครามมีกี่ประเภท มีกี่สมรภูมิ ถ้าเป็นสงครามแบบเดิมก็เป็นสงครามแบบที่เราเข้าใจ ตอนนี้มีสงครามเกี่ยวกับจิตประสาท จิตวิทยา สงครามเรื่องเล่า สงครามข่าวสาร สงครามทางเศรษฐกิจ ถ้าเป็นสงครามที่มาจากการทหารที่ใช้กำลังแบบเดิม ตนก็คิดว่าดูน้ำหนักทางทหาร จำนวนเรือรบ จรวด เครื่องบิน เราก็ไม่แพ้ แต่ที่เราแพ้กับกัมพูชาอยู่ตอนนี้เป็นเรื่องข่าวสาร

“คุณตัดคลิปสั้น ผมปราศรัย 40 นาที แล้วยังไม่ได้ดูบริบท ทุกครั้งที่ผมดีเบตผมต้องการให้ทหารเป็นมืออาชีพ ลดจำนวนทหารลง เพื่อจะได้มียุทโธปกรณ์เพื่อต่อสู้กับภัยความมั่นคง ที่ไม่ใช่สงครามแบบเดิม ถ้าเป็นสงครามแบบเดิม รบกับประเทศเพื่อนบ้านใครก็รู้ว่าเราชนะ เราแพ้ที่การทูต” นายพิธา กล่าว

นายพิธา ระบุว่า ถ้าดูบริบทก็จะเข้าใจ แต่ถ้าตัดเป็น Code ก็จะเอาตนมาเป็นส่วนหนึ่งในการขัดแย้ง ซึ่งตนไม่ปรารถนาและไม่ได้อยากให้รู้สึกเป็นน้ำผึ้งหยดเดียวที่จะเกิดปัญหาต่างๆ กลายเป็นกระแสชาตินิยมแบบที่ไม่เป็นคุณกับประเทศ

“มันไม่ใช่มีแค่เบ่งกล้าม เพราะปัญหาที่ช่วงนี้ประเทศไทยเจอมันคือสงครามการค้า เป็นเรื่องราคาน้ำมัน เป็นเรื่องราคาข้าวโพดจากยูเครน ไม่ใช่เป็นเรื่องที่จะต้องเอาเรือรบไปรบ ในขณะเดียวกัน ฝั่งเขาอาจจะอัปเกรดเทคโนโลยีใหม่ๆ ผ่านสงครามจิตวิทยา สงครามข่าวสาร ในการใช้เศรษฐกิจมัดมือเรา แน่นอนว่าเรื่องการทหารเป็น 1 ใน 4 กล่องที่เราจะต้องใช้ระหว่างประเทศ แต่มันต้องสมาร์ทขึ้น ใช้คนให้น้อยลง ใช้เครื่องมือให้เข้มแข็งขึ้น และเครื่องมือที่ใช้ต้องให้พี่น้องทหารได้ใช้ยุทโธปกรณ์ที่ทันสมัยและปลอดภัย ไม่ใช่เครื่องบินตกโดรนตก เรือรบล่ม” นายพิธา กล่าว

นายพิธา กล่าวว่า การเลือกตั้งที่ผ่านมาในเขตทหาร พี่น้องทหารก็ไว้วางใจตน ถ้าไม่ได้ปั่นกัน เวลาสมัยก่อน ตนหาเสียงกับพี่น้องทหารโดยเฉพาะทหารชั้นผู้น้อย ชั้นกลาง เท่าที่คุยกัน เขาก็เข้าใจในสิ่งที่ตนต้องการ ว่าต้องการให้ทหารมีอาชีพที่เหมาะสม มีรายได้ที่มากขึ้น สามารถเป็นทหารมืออาชีพได้อย่างเต็มที่ ไม่ต้องทำอาชีพอื่นและมียุทโธปกรณ์ที่เหมาะสม ในการปกป้องชีวิต ได้ดูแลลูกเมียได้

ช่วงเวลาแบบนี้ละเอียดอ่อนและเปราะบาง ไม่อยากต่อความยาวสาวความยืดกัน ทำให้เกิดความเป็นชาตินิยมแบบที่มันไม่ถูกต้อง มันยิ่งไปกันใหญ่ พอเป็นอย่างนั้น คนเป็นผู้นำ นายกรัฐมนตรีเวลาจะไปดีลกับเขาก็มีข้างหลังคอยถล่มอยู่ มันก็จะเจรจาไม่จบสักที เราอยากจะให้ดึงสติกลับมาเป็นเพื่อนบ้านฉันมิตรกันเหมือนเดิม การค้าชายแดนตั้งแสนกว่าล้าน พวกนี้ถ้าทำงานด้วยกันอยู่ธุรกิจไทยอยู่ในนั้นตั้งเยอะ ต้องทำให้อาเซียนเข้มแข็งในช่วงที่มหาอำนาจบังคับให้เราเลือกข้าง

“ถ้านิยามว่าคนอื่นขายชาติหมด อันนี้อันตราย ชาตินิยมคือความหลากหลายที่สามารถดูแลคนในชาติได้ และกระบวนการในการบริหารจัดการ มีเร็วช้าหนักเบา ไม่ฉะนั้น จะอันตรายกับประเทศ ทหารก็ต้องทำหน้าที่เขา เขาก็เลยต้องออกอย่างเดียว” นายพิธา กล่าว

‘อิสราเอล’ โวยเตหะรานละเมิดข้อตกลงหยุดยิง ‘อิหร่าน’ ย้ำไม่ได้ยิงก่อน!! ขอเตือนจะไม่ทนหากโดนซ้ำ

(24 มิ.ย. 68) กระทรวงกลาโหมอิสราเอลออกแถลงการณ์ กล่าวหาว่าอิหร่านละเมิดข้อตกลงหยุดยิง พร้อมสั่งให้กองกำลังป้องกันประเทศอิสราเอล (IDF) ตอบโต้ด้วยการโจมตีอย่างรุนแรงต่อเป้าหมายภายในกรุงเตหะราน โดยรัฐมนตรีกลาโหมอิสราเอล อิสราเอล คัตซ์ (Israel Katz) ย้ำว่าจะไม่ยอมให้อิหร่านใช้ความเงียบเป็นโอกาสในการก่อการร้าย

อย่างไรก็ตาม ฝ่ายอิหร่านยังคงปฏิเสธข้อกล่าวหาดังกล่าว โดยพลเอกอับโดลราฮิม มูซาวี  (Abdolrahim Mousavi) ผู้บัญชาการทหารสูงสุดของอิหร่าน ระบุผ่านสื่อของรัฐว่า อิหร่านไม่ได้ยิงขีปนาวุธไปยังอิสราเอลในช่วงเวลาที่ผ่านมา และรายงานที่กล่าวหาอิหร่านนั้น ‘ไม่เป็นความจริง’

ในเวลาเดียวกัน สภาความมั่นคงแห่งชาติสูงสุดของอิหร่านออกแถลงการณ์เตือนว่า หากอิสราเอลหรือพันธมิตรยังคงดำเนินการเชิงรุก อิหร่านจะตอบโต้ ‘อย่างเด็ดขาดและทันที’ โดยชื่นชมความสามัคคีและความอดทนเชิงยุทธศาสตร์ของชาวอิหร่านที่ทำให้ศัตรูต้องล่าถอย

ก่อนหน้านี้ รัฐมนตรีต่างประเทศอิหร่านระบุว่า อิหร่านพร้อมยุติปฏิบัติการทางทหาร หากอิสราเอลหยุดโจมตีเช่นกัน ซึ่งสะท้อนจุดยืนว่าการตอบโต้ของอิหร่านเกิดขึ้นเพื่อป้องกันตัว ไม่ใช่เป็นฝ่ายเริ่มโจมตี

สถานการณ์ล่าสุดยังคงตึงเครียด และมีความเสี่ยงที่จะปะทุเป็นความขัดแย้งครั้งใหม่ในภูมิภาค ทั้งสองฝ่ายยังไม่มีคำชี้แจงร่วมที่ชัดเจน ขณะที่ทั่วโลกจับตาอย่างใกล้ชิดถึงท่าทีและความเคลื่อนไหวที่จะเกิดขึ้นต่อจากนี้

‘รัสเซีย’ โต้ ‘ยูเครน’ กล่าวหาส่งศพปลอมยันเอกสารตรง เชื่อจัดฉากหวังทำลายภาพลักษณ์

เมื่อวันที่ (19 มิ.ย. 68) ที่ผ่านมา รัฐมนตรีมหาดไทยยูเครน อีฮอร์ คลีเมนโก (Ihor Klymenko) กล่าวหาฝ่ายรัสเซียผ่านช่องทาง Telegram ว่ามีการ ‘ปลอมแปลง’ ศพในการส่งมอบร่างทหารยูเครน โดยอ้างว่ารัสเซียใส่ศพทหารตนเองลงในถุงหมายเลข 192/25 พร้อมแนบหลักฐานเป็นบัตรประจำตัวและป้ายชื่อของทหารรัสเซียชื่อ เอ.วี. บูกาเยฟ (A.V. Bugayev)

อย่างไรก็ตาม เอกสารการส่งมอบระบุว่า ถุงหมายเลข 192/25 นั้น เป็นศพของทหารยูเครนชื่อ มิโคลา ดิดิก (Mykola Ivanovych Didyk) ซึ่งเสียชีวิตในการสู้รบเมื่อ 6 พฤษภาคม 2024 ที่เขตบัคมุต แคว้นดอแนตสก์ ประเทศยูเครน โดยในศพมีชุดเครื่องแบบทหารยูเครนและสำเนาบัตรทหารครบถ้วน และถูกฝังอย่างเป็นทางการแล้วเมื่อวันที่ 12 มิถุนายน 2025 ตามประกาศของสภาเมืองโอบูคอฟ

ส่วนศพของนายบูกาเยฟ ซึ่งยูเครนกล่าวอ้างนั้น เดิมทีถูกส่งจากรัสเซียในถุงหมายเลข 567 โดยไม่มีเอกสาร ป้ายชื่อ หรือสิ่งของระบุตัวตนใด ๆ แต่หลังจากยูเครนส่งถุงใบเดิมกลับคืนในภายหลัง กลับพบว่ามีเอกสาร ป้ายชื่อ และโทรศัพท์มือถือของบูกาเยฟอยู่ในถุง ทำให้รัสเซียสงสัยว่า ยูเครนอาจใส่หลักฐานเพิ่มเติมเข้าไปทีหลัง เพื่อสร้างเรื่องหรือบิดเบือนข้อเท็จจริง

แหล่งข่าวจากรัสเซียระบุว่า ตอนนี้รัสเซียพร้อมจะส่งคืนศพทหารยูเครนอีกกว่า 3,000 ราย แต่ทางการยูเครนยังไม่ยอมรับกลับไป พร้อมตั้งข้อสังเกตว่า การกล่าวหารัสเซียในครั้งนี้ อาจเป็นความพยายามของยูเครนในการโจมตีด้านข้อมูล ซึ่งเริ่มเกิดขึ้นหลังจากที่ยูเครนเปลี่ยนผู้รับผิดชอบเรื่องการรับศพจากหน่วยข่าวกรองทหาร (GUR) มาเป็นหน่วยความมั่นคง (SBU) ซึ่งมีแนวโน้มจะใช้ประเด็นเหล่านี้เพื่อบ่อนทำลายภาพลักษณ์ของภารกิจมนุษยธรรมที่รัสเซียดำเนินการอยู่


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top