‘ผู้นำชีอะห์’ ลากไส้ ‘NGOต่างชาติ’ ต่อปัญหา ‘ชายแดนใต้’ แฉเบื้องหน้าอ้างสิทธิมนุษยชน เบื้องหลังคือเครื่องมือแทรกแซง เปลี่ยนภาพลักษณ์ ‘BRN’ จาก ‘กลุ่มติดอาวุธ’ เป็น ‘ขบวนการทางการเมือง’ ปลายทางคือแบ่งอำนาจอธิปไตยไทย แนะรัฐบาลไทยตั้ง ‘NGO ฝ่ายความมั่นคง’ ตีโต้
(14 พ.ค. 68) นายซัยยิด สุไลมาน ฮูซัยนี ผู้นำศาสนาอิสลามนิกายชีอะห์แห่งประเทศไทย เผยแพร่บทความ เรื่อง “โฉมหน้าอันหลอกลวงของ NGO ต่างชาติที่มีต่อปัญหาชายแดนใต้ของไทย” ผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว 3 ตอน มีเนื้อหาดังนี้...
โฉมหน้าอันหลอกลวงของ NGO ต่างชาติที่มีต่อปัญหาชายแดนใต้ของไทย
ตอนที่ 1
เบื้องหน้า 'สิทธิมนุษยชน' – เบื้องหลัง 'เครื่องมือแทรกแซง' 'สิทธิมนุษยชน' และ 'สันติภาพ' อาจฟังดูเป็นถ้อยคำที่สวยงาม แต่ในบางเวที โดยเฉพาะในจังหวัดชายแดนภาคใต้ (จชต.) ถ้อยคำเหล่านี้กลายเป็นเครื่องมือที่ทรงพลังขององค์กรนอกภาครัฐจากต่างประเทศ (NGO ต่างชาติ) ในการเข้ามากำหนดทิศทางความขัดแย้งอย่างแยบยล โดยไม่มีใครตั้งคำถามว่า: พวกเขาต้องการอะไรจริงๆ?"
NGO ต่างชาติใน จชต.: ผู้มาเยือนหรือผู้กำหนดยุทธศาสตร์?
ตั้งแต่ความรุนแรงรอบใหม่ใน จชต.ปะทุขึ้นในปี 2547 เป็นต้นมา พื้นที่แห่งนี้กลายเป็นจุดสนใจของ NGO ระหว่างประเทศอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน องค์กรเหล่านี้มักอ้างเป้าหมายในการสนับสนุนสิทธิมนุษยชน ความเป็นธรรมทางกฎหมาย และการสร้างสันติภาพอย่างยั่งยืน — แต่การสังเกตอย่างใกล้ชิดจะพบว่า หลายองค์กรมีบทบาทเชิงโครงสร้างในระดับที่ไม่ธรรมดา
องค์กรอย่าง Human Rights Watch, International Crisis Group (ICG), Amnesty International หรือแม้แต่ Centre for Humanitarian Dialogue (HD) ต่างมีโครงการ ฝึกอบรม รายงานวิจัย และเวทีพูดคุยที่ดำเนินมายาวนานใน จชต. โดยเฉพาะ HD ซึ่งเป็นองค์กรที่มีที่ตั้งในเจนีวาแต่สามารถเข้าถึงทั้งแกนนำ BRN และฝ่ายความมั่นคงไทยได้พร้อมกัน — จนกระทั่งสามารถผลักดันให้เกิดโต๊ะเจรจาสันติสุขขึ้นจริง
วาทกรรมสิทธิมนุษยชน: พื้นที่ใหม่ของการต่อรอง
รายงานและถ้อยแถลงจาก NGO ต่างชาติ มีการตั้งคำถามต่อการใช้กฎหมายพิเศษของรัฐไทย เช่น พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ หรือ พ.ร.บ.ความมั่นคงฯ โดยชี้ว่าเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนต่อชาวมลายูมุสลิมในพื้นที่ ทั้งที่รายงานเหล่านี้มักขาดการอ้างอิงเหตุผลด้านความมั่นคง หรือความรุนแรงที่มาจากขบวนการ BRN
ในทางกลับกัน กลับมีแนวโน้มที่ NGO เหล่านี้จะหลีกเลี่ยงการกล่าวถึงการวางระเบิด การลอบยิง หรือการเกณฑ์เยาวชนเข้าร่วมขบวนการด้วยถ้อยคำรุนแรง โดยมักจัดให้เป็น "ผลพวงของโครงสร้างรัฐที่กดทับ" มากกว่าการกระทำผิดกฎหมายหรืออาชญากรรม
แนวโน้มนี้สร้างวาทกรรมใหม่ที่มองรัฐไทยเป็น 'ผู้กดขี่' และกลุ่มแบ่งแยกดินแดนเป็น "ผู้ถูกกดขี่ที่ต้องเข้าใจ" ซึ่งอาจดูสมดุลในแง่สิทธิมนุษยชน แต่ในทางยุทธศาสตร์แล้ว คือการวาง 'โครงสร้างการตีความ' ที่ลดทอนอำนาจความชอบธรรมของรัฐไทยในเวทีสากล
ประโยชน์เชิงโครงสร้าง: NGO ได้อะไร?
เมื่อพิจารณาในเชิงโครงสร้าง NGO เหล่านี้ได้ประโยชน์ในหลายระดับ:
การต่ออายุองค์กร
พื้นที่ความขัดแย้งที่ยังไม่จบ ทำให้โครงการ NGO ไม่หมดอายุ — งบประมาณ ความชอบธรรม และความสนใจจากโลกภายนอกยังคงหลั่งไหล
การเป็นผู้ไกล่เกลี่ยจำเป็น
ยิ่งรัฐไทยกับ BRN ไม่ไว้ใจกันมากเท่าไร องค์กรอย่าง HD ยิ่งกลายเป็นผู้กำหนดโต๊ะ (agenda-setter) ได้มากเท่านั้น
เวทีแห่งอำนาจใหม่
การเข้ามาทำงานใน จชต. คือโอกาสสร้างเครือข่ายใหม่ของ NGO กับนักการเมือง นักวิชาการ และภาคประชาสังคมมลายู — ซึ่งสามารถใช้เป็นฐานต่อรองในอนาคต
Soft Power ฝังลึก
NGO เหล่านี้ไม่ได้มาเพื่อแก้ปัญหาเท่านั้น แต่ยังฝังกรอบคิดแบบตะวันตกในเรื่องรัฐธรรมนูญใหม่ เขตปกครองตนเอง หรือความเป็นสากลของสิทธิ์ ซึ่งอาจไม่สอดคล้องกับบริบทไทยเสมอไป
คำถามปลายเปิดที่รัฐไทยยังไม่กล้าถาม
ทำไม NGO เหล่านี้ถึงสามารถเข้าถึงทั้ง BRN และฝ่ายความมั่นคงได้พร้อมกัน?
การฝึกอบรมให้แก่นักเจรจา ทั้งฝ่ายขบวนการและเจ้าหน้าที่รัฐ มีวัตถุประสงค์เพื่อความเป็นกลางจริงหรือ?
โต๊ะเจรจาที่ตั้งอยู่บนเงื่อนไขและเวทีของ NGO ต่างชาติ แท้จริงแล้วเป็นโต๊ะของใคร?
ตอนนี้คือจุดเริ่มต้นของคำถามที่จำเป็นต้องถาม เมื่อองค์กรต่างชาติในนามของ NGO เข้ามามีบทบาทในพื้นที่ความขัดแย้งอย่างลึกซึ้ง ความชัดเจนในเจตนาและวัตถุประสงค์จึงเป็นสิ่งสำคัญยิ่ง
ในตอนต่อไป จะพาผู้อ่านไปสำรวจว่า NGO ต่างชาติเหล่านี้ ได้ประโยชน์อย่างไรจากทั้ง BRN และรัฐไทย และอาจกำลังเป็นผู้ควบคุมกระดาน โดยที่ทั้งสองฝ่ายไม่ทันรู้ตัว
ตอนที่ 2
เกมลวงของ NGO: 'ผู้หวังดี' ที่ได้ประโยชน์จากทุกฝ่าย
ในเวทีความขัดแย้งระหว่างรัฐไทยกับขบวนการแบ่งแยกดินแดนอย่าง BRN องค์กร NGO จากต่างประเทศมักปรากฏตัวในฐานะผู้ไกล่เกลี่ย ผู้เฝ้าระวัง หรือผู้พิทักษ์สิทธิมนุษยชน แต่เบื้องหลังภาพลักษณ์ที่ดูเป็นกลางและหวังดีเหล่านี้ NGO บางกลุ่มได้ประโยชน์จากทั้งสองฝ่ายในแบบที่น่าตั้งคำถามอย่างยิ่ง
NGO ในบทบาท 'กรรมการ' ที่ควบคุมเกม
หนึ่งในองค์กรที่โดดเด่นที่สุดคือ Centre for Humanitarian Dialogue (HD) ซึ่งเป็นองค์กรที่อ้างความเป็นกลางในการสร้างสันติภาพ และสามารถเข้าถึงทั้งฝ่าย BRN และเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงไทยได้พร้อมกัน
HD ไม่เพียงแต่อำนวยความสะดวกในการจัดเวทีพูดคุยสันติสุขเท่านั้น แต่ยังทำหน้าที่เป็นผู้จัดอบรม ฝึกเจรจา และให้คำแนะนำในเชิงกระบวนการแก่ทั้งสองฝ่ายมานานนับสิบปี ซึ่งในเชิงยุทธศาสตร์ นี่ไม่ใช่แค่การอำนวยความสะดวก — แต่คือการ ควบคุมโครงสร้างโต๊ะเจรจา
NGO กับการปั้น BRN
NGO บางกลุ่มมีบทบาทอย่างชัดเจนในการช่วย BRN เปลี่ยนภาพลักษณ์จาก 'กลุ่มติดอาวุธ' มาเป็น 'ขบวนการทางการเมือง' โดยเฉพาะ HD และกลุ่มฝึกอบรมจากยุโรป ซึ่งสนับสนุนการสร้างผู้นำรุ่นใหม่ของ BRN ให้พูดภาษาอังกฤษได้ดี เข้าใจกลไกระหว่างประเทศ และสามารถสื่อสารผ่านสื่อสากลได้
NGO เหล่านี้ยังสนับสนุนเวทีระหว่างประเทศ เช่น การดึง OIC หรือองค์กรสิทธิมนุษยชนให้ร่วมฟัง BRN นำเสนอข้อเรียกร้องในเชิงการเมือง มากกว่าจะพูดถึงเหตุการณ์ลอบโจมตีหรือการใช้อาวุธในพื้นที่
NGO กับรัฐไทย: ทำไมจึงยอมรับ?
แม้รัฐไทยจะระแวดระวัง NGO ต่างชาติ แต่สุดท้ายก็มักยอมให้เข้ามามีบทบาทเพราะ:
ต้องการเวทีพูดคุยที่ดูเป็นกลางในสายตาสากล
ขาดทักษะด้านการเจรจาและต้องพึ่งพาการฝึกอบรมจากภายนอก
เชื่อว่า NGO จะเป็น 'กันชน' ลดแรงกดดันจากประชาคมโลก
อย่างไรก็ตาม การยอมเปิดพื้นที่ให้ NGO เหล่านี้ ก็คือการยอมให้ ผู้อื่นกำหนดโครงสร้างเจรจาแทนตน โดยไม่รู้ตัว
ใครหลอกใคร: NGO ได้ประโยชน์จากทุกฝ่าย
ในขณะที่รัฐไทยพยายามสร้างภาพว่ากำลังควบคุมสถานการณ์ และ BRN พยายามสร้างความชอบธรรม NGO บางกลุ่มกลับสามารถ:
ขยายโครงการ ต่อเนื่องจากสถานการณ์ไม่จบ
ปั้นผู้นำ ที่ตนเองสามารถเข้าถึงได้
ขยายทุนทางสังคม ในหมู่นักวิชาการ ภาคประชาสังคม และเยาวชน
กล่าวอีกนัยหนึ่ง NGO บางกลุ่มสามารถทำให้ตนเองกลายเป็น "ผู้มีอำนาจเหนือความขัดแย้ง" โดยไม่มีต้นทุนทางความรับผิดชอบใดๆ
ตัวอย่างพฤติกรรมที่ควรจับตา
HD จัดเวิร์กช็อปให้ทั้งเจ้าหน้าที่รัฐและแกนนำเยาวชนในหัวข้อเดียวกัน แต่แยกพื้นที่ พบว่ามีการปลูกฝังชุดความคิดเรื่อง self-determination โดยใช้กรณีติมอร์ตะวันออกและโคโซโวเป็นต้นแบบ
ตามรายงานของ ICG ปี 2022 BRN มีแนวโน้มปรับบทบาททางการเมืองผ่านการมีทีมเจรจาที่ชัดเจนขึ้น ซึ่งสะท้อนความพยายามเปลี่ยนผ่านจากขบวนการติดอาวุธสู่เวทีการเมือง”
เครือข่าย NGO ด้านสิทธิมนุษยชนหลายแห่งในยุโรปแนะนำให้ไทยยุติ พ.ร.ก.ฉุกเฉินในพื้นที่ โดยไม่พูดถึงความรุนแรงที่ยังเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง
บทสรุป
NGO บางกลุ่มไม่เพียงแต่เข้ามามีบทบาทในเวทีเจรจา แต่ยังทำหน้าที่เสมือน ผู้ออกแบบกระดาน ที่ทั้ง BRN และรัฐไทยต้องเล่นตาม โดยไม่ได้ตระหนักว่าตนเองอาจกลายเป็นหมากในเกมที่ NGO เป็นผู้จัดวาง
ตอนที่ 3 (ตอนจบ)
NGO กับวาระตะวันตก – ปลายทางคือการแบ่งอำนาจอธิปไตยไทย?
ในสองตอนที่ผ่านมา เราเห็นภาพ NGO ต่างชาติที่มีบทบาทลึกซึ้งในความขัดแย้ง จชต. บทบาทนั้นไม่ได้จบที่การฝึกอบรมหรือไกล่เกลี่ย แต่เชื่อมโยงกับแนวโน้มของยุทธศาสตร์ตะวันตกที่ต้องการปรับโครงสร้างอำนาจรัฐในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ให้สอดคล้องกับผลประโยชน์ของตนเอง โดยเฉพาะในบริบทภูมิรัฐศาสตร์ที่ซับซ้อนขึ้นทุกขณะ
ภูมิรัฐศาสตร์ใหม่: ทำไมตะวันตกจึงสนใจ จชต.?
จชต. ตั้งอยู่ในทำเลยุทธศาสตร์ใกล้ช่องแคบมะละกา จุดยุทธศาสตร์การค้าและการทหารของโลก ภูมิภาคนี้เป็นทางผ่านสำคัญของการขนส่งพลังงาน และเป็นพื้นที่แทรกซึมของอิทธิพลจีน — จึงไม่น่าแปลกใจที่มหาอำนาจตะวันตก โดยเฉพาะสหรัฐฯ และพันธมิตรยุโรป จะจับตามองอย่างใกล้ชิด
ในบริบทเช่นนี้ NGO กลายเป็น 'แขนขาทางอ้อม' ของแนวคิด soft power ตะวันตก ที่พยายามแทรกซึมแนวคิดเรื่อง human rights, autonomy, self-determination ให้ฝังลึกลงในพื้นที่ความขัดแย้ง โดยเฉพาะในจุดที่อำนาจรัฐไทยไม่อาจควบคุมได้อย่างเด็ดขาด