Wednesday, 14 May 2025
NewsFeed

ศูนย์ฝึกทหารใหม่ กรมยุทธศึกษาทหารเรือ ร่วมจัดพิธีเปิดโครงการนำร่องในการจัดการขยะมูลฝอยที่แหล่งกำเนิดอย่างยั่งยืน และการจัดการอินทรีย์ด้วยเทคโนโลยีชีวภาพในสภาพควบคุมสิ่งแวดล้อมด้วยแมลงทหารดำ  

เมื่อวันที่ (13 พ.ค. 68) พล.ร.อ.สุชาติ  ธรรมพิทักษ์เวช ที่ปรึกษาพิเศษ ทร./ประธานกรรมการบริหารเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกของ ทร. (ปษ.พิเศษ/ประธาน กพอ.ทร.) เป็นประธานในพิธีเปิดโครงการการจัดการขยะมูลฝอยที่แหล่งกำเนิดอย่างยั่งยืน และการจัดการอินทรีย์ด้วยเทคโนโลยี  ชีวภาพในสภาพควบคุมสิ่งแวดล้อมด้วยแมลงทหารดำ โดยมี น.อ.ทิวา อ่อนละออ ผู้บังคับการศูนย์ฝึกทหารใหม่ กรมยุทธศึกษาทหารเรือ (ผบ.ศฝท.ยศ.ทร.) และผู้บังคับบัญชาหน่วยขึ้นตรงกองทัพเรือในพื้นที่สัตหีบให้การต้อนรับ ณ ศูนย์การเรียนรู้ทฤษฎีใหม่ ศฝท.ยศ.ทร. ต.บางเสร่ อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี 

ทั้งนี้มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี ได้ขออนุญาตดำเนินโครงการฯ จากกองทัพเรือร่วมกับบุคลากรของ ศฝท.ฯ และ โรงเรียนชุมพลทหารเรือ ตั้งแต่ 1 ก.พ.68 โดยใช้พื้นที่ในศูนย์การเรียนรู้ทฤษฎีใหม่ ศฝท.ยศ.ทร. ซึ่งถือได้ว่าเป็นโครงการนำร่องในหน่วยของกองทัพเรือ

แมลงทหารดำ มีวงจรชีวิตที่สามารถนำมาใช้ประโยชน์ คือ ตัวหนอน โดยมีลักษณะคล้ายกับหนอนทั่วๆไป อาหารของหนอน ประกอบด้วย เศษพืชผัก ผลไม้ และเหมาะอย่างยิ่งสำหรับการกินและย่อยขยะอินทรีย์ได้จำนวนมากและรวดเร็ว ซึ่งหนอนมีโปรตีนสูง สามารถนำไปเลี้ยงสัตว์ได้หลากหลายประเภท อาทิเช่น เป็ด ไก่ ปลา สุกร และอื่นๆ สามารถประหยัดต้นทุนและเป็นการทดแทนอาหารสัตว์ที่คุณค่าทางอาหารครบถ้วน อีกทั้งสัตว์ที่บริโภคหนอนได้ให้ผลผลิตที่มีคุณภาพสูง

ทั้งนี้โครงการดังกล่าวมีแผนงานในการสร้างการรับรู้ และประชาสัมพันธ์ แก่หน่วยงานในกองทัพเรือ , หน่วยงานภาครัฐและเอกชน ตลอดจนประชาชนที่สนใจ เข้ามาศึกษาแนวทางในการดำเนินการดังกล่าวเพื่อการจัดการขยะมูลฝอยอย่างยั่งยืน อีกทั้งสามารถนำไปต่อยอดในการสร้างรายได้อีกด้วย

โครงการดังกล่าวเป็นการส่งเสริมด้านองค์ความรู้ในด้านอาชีพและการกำจัดขยะในครัวเรือน เป็นไปตามนโยบายเร่งด่วนของผู้บัญชาการทหารเรือประจำปีงบประมาณ 2568 ด้านสวัสดิการและบริการกำลังพลในการส่งเสริมอาชีพให้แก่กำลังพลของกองทัพเรือ และครอบครัวอย่างต่อเนื่อง เช่นการจัดตั้งกลุ่มแม่บ้าน เพื่อรวมตัวกันประกอบอาชีพ การอบรมหลักสูตรเกษตรเฉพาะอย่าง และการขายสินค้า เป็นต้น

สมนึก เชื้อสนุก  รายงาน

ร้อยเอ็ด...สภาเกษตรกรร้อยเอ็ดนำทัพ บุก ศาลากลาง ยื่นข้อเสนอ  แก้ปัญหาโคเนื้อทั้งระบบ หวังเกษตรกรลืมตาอ้าปากได้

เมื่อวานนี้ (13 พ.ค.68) เวลา 10.00 น. ที่ ศาลากลางจังหวัดร้อยเอ็ด ดร.ประจักษ์ บุญกาพิมพ์ ประธานสภาเกษตรกรจังหวัดร้อยเอ็ด พร้อมด้วย นายสมภพ ลุนาบุตร ผู้ประสานงานเครือข่ายโคเนื้อทุ่งกุลา ได้นำสมาชิกเกษตรกรจากเครือข่ายกว่า 50 คน เข้ายื่นหนังสือข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย “THAI BEEF MODEL” ต่อนายชัชวาลย์ เบญจสิริวงศ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดร้อยเอ็ด เพื่อขอให้จังหวัดเป็นพื้นที่นำร่องในการยกระดับอาชีพเลี้ยงโคเนื้ออย่างเป็นระบบ

อนึ่งการยื่นข้อเสนอในครั้งนี้เกิดขึ้นพร้อมกันในอีก 25 จังหวัดทั่วประเทศ โดยประสานงานร่วมกับ “เครือข่ายปศุสัตว์ไทย” ถือเป็นการเคลื่อนไหวระดับชาติครั้งสำคัญของกลุ่มเกษตรกร“จากคนขายวัว เป็นเจ้าของระบบเศรษฐกิจโคเนื้อ”ข้อเสนอ THAI BEEF MODEL ไม่ใช่แค่โครงการส่งเสริมการเลี้ยงวัวธรรมดา แต่คือแผนยุทธศาสตร์ระดับจังหวัด ที่มุ่งพลิกโฉมเกษตรกรจากผู้ผลิตรายย่อยที่ไม่มีอำนาจต่อรอง ไปสู่เจ้าของระบบเศรษฐกิจ ตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำอย่างแท้จริง โดยมี 5 เสาหลักดังนี้ 1.คอกแม่พันธุ์คุณภาพ – ส่งเสริมฟาร์มร่วมของเกษตรกร ใช้พันธุ์เนื้อแท้ เช่น Beefmaster, Wagyu พร้อมระบบประกันราคา 2.คอกกลางระดับจังหวัด – รวมลูกโคเข้าสู่ระบบขุนที่ควบคุมต้นทุนและคุณภาพได้ 3.โรงงานแปรรูป Boxed Beef – จัดตั้งโรงงานร่วมทุน ที่เกษตรกรถือหุ้น ไม่น้อยกว่า 51% เพื่อแปรรูปเนื้อคุณภาพส่งออก 4.ตลาดกลางเนื้อโค – สร้างตลาดที่โปร่งใส มีการประกันราคารับซื้อ และระบบ Traceability ตรวจสอบย้อนกลับได้ 5.ศูนย์บริหารโคเนื้อร้อยเอ็ด – หน่วยยุทธศาสตร์กลาง ทำหน้าที่วางแผน พัฒนามาตรฐาน และขับเคลื่อนข้อมูลตลาด 

โดยมีเป้าหมายให้จังหวัดร้อยเอ็ดเป็นเมืองหลวงโคเนื้อแห่งภาคอีสาน
ข้อเสนอฉบับนี้มีเป้าหมายชัดเจนดังต่อไปนี้ 1.ยกระดับรายได้ของเกษตรกรในพื้นที่มากกว่า 5,000 ครัวเรือน 2.เพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจให้จังหวัดร้อยเอ็ดอย่างยั่งยืน 3.ลดการนำเข้าเนื้อจากต่างประเทศ และสร้างศักยภาพในการส่งออก 4.ผลักดันให้ร้อยเอ็ดเป็นต้นแบบการผลิตเนื้อโคคุณภาพระดับโลกจากท้องทุ่งกุลา

ด้านดร.ประจักษ์ บุญกาพิมพ์ ประธานสภาเกษตรกรจังหวัดร้อยเอ็ด กล่าวไว้ว่า “นี่ไม่ใช่แค่การเลี้ยงวัวแบบใหม่ แต่คือการสร้างระบบเศรษฐกิจใหม่ ที่เกษตรกรร้อยเอ็ดเป็นเจ้าของตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำอย่างแท้จริง”
ข้อเสนอถึงผู้ว่าราชการจังหวัดร้อยเอ็ด ในหนังสือข้อเสนอ ได้ขอให้ท่านผู้ว่าราชการจังหวัดดำเนินการเร่งด่วน ดังนี้ 1.แต่งตั้งคณะทำงานระดับจังหวัดเพื่อศึกษาและขับเคลื่อนโครงการ 2.สนับสนุนงบประมาณสำหรับคอกกลางต้นแบบและโรงงานแปรรูป 3.ประสานความร่วมมือกับมหาวิทยาลัย ภาคเอกชน และสหกรณ์ 4.บรรจุ THAI BEEF MODEL ไว้ในแผนพัฒนาจังหวัด ปีงบประมาณ 2567–2570

ดร.ประจักษ์ กล่าวต่ออีกว่า หากจังหวัดร้อยเอ็ดเดินหน้าตามข้อเสนอฉบับนี้ได้สำเร็จ จะไม่เพียงเปลี่ยนชีวิตของเกษตรกร แต่ยังอาจจะกลายเป็นจังหวัดต้นแบบระดับประเทศ ที่สร้าง "อุตสาหกรรมโคเนื้อไทย" ที่เกษตรกรเป็นเจ้าของอย่างแท้จริง“ทางรอดของเกษตรกรไม่ได้อยู่ที่การรอรัฐช่วย แต่หากคือการลุกขึ้นมากำหนดอนาคตด้วยมือของตัวเอง  และเราพร้อมแล้ว” ดร.ประจักษ์กล่าวไว้ในที่สุด

ขอบคถณภาพ/ข่าวจากเครือข่ายโคเนื้อทุ่งกุลา

'โฆษก พปชร.' ทวงแรงถาม รัฐบาลกลัวอะไร กับ 'กัมพูชา' ร้องเพลงชาติบนปราสาทตาเมืองธม พร้อมแจงมติพรรค พร้อมเดินหน้าตรวจสอบด้านเศรษฐกิจรัฐ ชูนโยบาย พปชร. แก้ปัญหาปากท้องลงมือทำจริง ซัด รบ. แก้ปัญหา ศก.ประเทศติดอันดับรั้งท้ายภูมิภาค

เมื่อวันที่ (13 พ.ค.68) เวลา 14.00 น.ที่พรรคพลังประชารัฐ(พปชร.) พล.ต.ท.ปิยะ ต๊ะวิชัย โฆษกพรรคพลังประชารัฐ กล่าวว่า ในการประชุมกรรมการบริหารพรรค โดยมี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรค เป็นประธาน ได้พิจารณา ออกคำสั่ง แต่งตั้งทีมเศรษฐกิจพรรคพลังประชารัฐ โดยให้นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล รองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐฝ่ายเศรษฐกิจ เป็นหัวหน้าทีม หม่อมหลวงกรกสิวัฒน์ เกษมศรี  เป็นรองหัวหน้าทีมเศรษฐกิจ พร้อมด้วย นายอัคร ทองใจสด นางสาวพิมพ์พร พรพฤฒิพันธุ์ นางสาวบุณณดา สุปิยะพันธุ์ และนายมนูญ พรหมลักษณ์ ร่วมคณะทีมเศรษฐกิจ ซึ่งนับ เป็นทีมเศรษฐกิจคนรุ่นใหม่ และเป็นนักเศรษฐศาสตร์ที่มีความรู้ ความเชี่ยวชาญด้านการเงินการธนาคาร เศรษฐกิจระดับมหภาคและจุลภาค รวมถึงการแก้หนี้ครัวเรือน อย่างเชี่ยวชาญและชัดเจน

ทั้งนี้ ทีมเศรษฐกิจทำหน้าที่ติดตามสถานการณ์การบริหารราชการ ด้านเศรษฐกิจ ของรัฐบาล ในการดูแล ความเป็นอยู่ของพี่น้องประชาชน ที่จะนำไปสู่การเสนอแนะ ที่เป็นประโยชน์ แก่สังคม รวมถึงการนำเสนอนโยบายสำคัญ ในการแก้ปัญหาต่างๆ ของประเทศ เพื่อแสดงศักยภาพ และความพร้อมของพรรค โดยการขับเคลื่อนของ ทีมเศรษฐกิจ ที่พร้อม ลงมือทำงานได้ทันที อาศัยอำนาจตามข้อบังคับพรรดพลังประชารัฐ พ.ศ.2561 ดังนี้

โดย 1.การติดตามวิเคราะห์สถานการณ์เศรษฐกิจทั้งในรัฐสภาและภายนอกและทั้งในประเทศและในต่างประเทศ เพื่อวางแนวทางที่จะแถลงแนวทางในแต่ละเรื่องให้แก่ประชาชนได้รับทราบ โดยบางเรื่องที่เกิดขึ้นในสมัยประชุมรัฐสภาก็จะพิจารณาทำการแถลงข่าวจุดยืนร่วมกับ สส. ของพรรค 2. ประสานให้ฝ่ายที่เกี่ยวข้องช่วยรวบรวมข่าวและคำวิจารณ์ในสื่อต่างๆ ในแต่ละวัน เพื่อทีมเศรษฐกิจ จะได้พิจารณาแถลงข่าวเพื่อตอบโต้หรือเสนอแนะได้ทันท่วงที 3. ปฏิบัติงานอื่นตามที่ได้รับมอบหมายจากหัวหน้าพรรค

ทั้งนี้ที่ประชุมยังได้มีการหารือถึงปัญหาเศรษฐกิจของพี่น้องประชาชนที่มีรายได้น้อย ที่ขณะนี้ได้รับความเดือดร้อนค่อนข้างมาก ซึ่งรัฐบาลขับเคลื่อนในการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจไปอย่างเชื่องช้าและไม่ถูกทิศทาง ก่อให้เกิดผลเสียต่อภาพรวมของเศรษฐกิจ เห็นได้ชัดเจนจากสภาผู้ว่าการธนาคารโลก (World Bank) และกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ปรับลดระดับทางเศรษฐกิจของประเทศไทย และเป็นที่น่าตกใจก็คือ ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่ลำดับทางเศรษฐกิจของประเทศไทยต่ำกว่าประเทศกัมพูชาและลาว โดยเราอยู่ในลำดับเกือบรั้งท้ายในแถบประเทศอาเซียน

“วันนี้พี่น้องประชาชนกำลังจะอดตาย แต่นายกรัฐมนตรียังปล่อยให้เพิ่มภาษีน้ำมัน สิ่งที่เป็นปัจจัยพื้นฐานในการแข่งขันทางด้านธุรกิจและการขนส่ง ในขณะที่ราคาน้ำมันลดลง แต่รัฐบาลกลับตัดแขนตัดขาประชาชนด้วยการเพิ่มภาษีน้ำมัน ทำให้ราคาแพงกว่าที่ประเทศเวียดนาม แล้วเราจะแข่งขันกับเขาได้อย่างไร“ พล.ต.ท.ปิยะ กล่าว

“นอกจากนี้ที่ประชุมยังได้พิจารณาถึงความคืบหน้าของกรณีที่นายทหารชั้นนายพล ได้นำชาวกัมพูชาจำนวนหนึ่ง ขึ้นมาร้องเพลงชาติกัมพูชา บริเวณปราสาทตาเมือนธม อ.พนมดงรัก จ.สุรินทร์ม และมีการบันทึกภาพและเสียง ซึ่งถือว่าเป็นการกระทำที่ล่วงละเมิดอธิปไตยของไทยในดินแดนของไทย แต่รัฐบาลไม่ดำเนินการประท้วงผ่านกระทรวงการต่างประเทศ หรือดำเนินคดี หรือดำเนินการใดๆ แต่อย่างใด เป็นลายลักษณ์อักษร หรือให้เป็นพยานหลักฐานในการต่อสู้คดีที่อาจเกิดขึ้นในภายภาคหน้าหากทางประเทศกัมพูชาจะเรียกร้องพื้นที่นี้เป็นอาณาเขตของประเทศตนเอง พร้อมทั้งกล่าวว่า ไม่รู้ว่ากลัวอะไรทางกัมพูชา อีกทั้ง รัฐมนตรีกระทรวงกลาโหมยังมีคำสั่งให้ทหารไทยถอยออกจากพื้นที่ที่เป็นอธิปไตยของประเทศ ซึ่งในเรื่องนี้  ทางพรรคพลังประชารัฐ ได้เคยเรียกร้องให้ทางรัฐบาลดำเนินการประท้วง หรือท้วงติงเป็นลายลักษณ์อักษรไปยังรัฐบาลกัมพูชา ในการแถลงข่าว เมื่อวันที่ 18 มีนาคม 2568 จนถึงวันนี้ เป็นเวลาหลายเดือนแล้วยังไม่ได้รับคำตอบจากรัฐบาลแต่อย่างใด“

“ถ้าทหารและครอบครัวกลุ่มนั้นมาร้องเพลงชาติในห้องนอนของนายกฯ หรือในห้องนอนของท่าน รองนายกฯ ท่านจะยังนิ่งเฉย และสั่งให้คนในบ้านของท่านออกจากห้องนอน หรือออกจากบ้าน ไปอยู่ที่สนามหญ้าหน้าบ้านหรือไม่ ผมอยากรู้ว่า ท่านจะทำอย่างเดียวกับที่ท่านทำกับประเทศไทยหรือแผ่นดินไทยอันเป็นที่รักของเราหรือไม่ พรรคพลังประชารัฐต้องขอบคุณพี่น้องทหารหาญทุกท่านและพี่น้องประชาชนคนไทยที่รักชาติและแผ่นดิน วันนี้ประเทศไทยเป็นสุขได้เพราะบรรพบุรุษของไทยทุกคนช่วยกันรักและพิทักษ์ไว้ซึ่งแผ่นดินไทย เราจะไม่ยอมให้ประเทศเพื่อนบ้านเอาแผ่นดินของประเทศไทยไปแม้แต่นิ้วเดียว รัฐบาลไทยกลัวอะไรถึงขนาดนี้ กลัวว่า จะมีการเพิกถอนสัญชาติของญาติท่านบางคน หรือจะเอาญาติของท่านที่ไปแต่งงานกับคนใกล้ชิดท่านนายกฮุนเซน  เอามาคืนหรือ พรรคพลังประชารัฐจะไม่ยอมให้ ผู้หนึ่งผู้ใดนำผืนแผ่นดินไทยไปแลกผลประโยชน์ ส่วนตนและเครือญาติโดยเด็ดขาด” พล.ต.ท.ปิยะ กล่าว

ศาลจีนพิพากษาจำคุก 13 ปี!! อดีตประธานบริษัทยักษ์ใหญ่น้ำมัน CNPC พร้อมปรับกว่า 3 ล้านหยวนในคดีทุจริต

(14 พ.ค. 68) หวัง อี้หลิน อดีตประธานบริษัทปิโตรเลียมแห่งชาติจีน (CNPC) ถูกศาลตัดสินจำคุก 13 ปี พร้อมปรับเงิน 3 ล้านหยวน (ราว 13 ล้านบาท) จากคดีรับสินบนมูลค่ากว่า 35 ล้านหยวน (ราว 161 ล้านบาท ) ตามรายงานของสถานีโทรทัศน์ของจีน (CCTV) เมื่อวันอังคาร

รายงานระบุว่า หวังถูกขับออกจากพรรคคอมมิวนิสต์จีนเมื่อเดือนกรกฎาคม 2024 หลังเกษียณจาก CNPC ในปี 2020 โดยเขาถูกสอบสวนในข้อหารับผลประโยชน์อย่างไม่ชอบด้วยกฎหมาย และใช้อำนาจหน้าที่เอื้อประโยชน์แก่ผู้อื่นในการจัดสรรสัญญาโครงการของ CNPC ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของ PetroChina

ทั้งนี้ CNPC ออกแถลงการณ์สนับสนุนการปลดหวังออกจากตำแหน่งและพรรค โดยย้ำจุดยืน “ไม่ยอมรับการทุจริตโดยเด็ดขาด” ทั้งนี้ ก่อนนั่งตำแหน่งประธาน CNPC หวังเคยเป็นผู้นำของบริษัทน้ำมันนอกชายฝั่งแห่งชาติของจีน (CNOOC) ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของ CNOOC Ltd

‘แยม ฐปณีย์’ โพสต์รำลึกวันครบรอบ 14 พ.ค. ถึง ‘บุ้ง เนติพร’ เสียชีวิตหลังอดอาหารประท้วง

(14 พ.ค. 68) ‘แยม’ ฐปณีย์ เอียดศรีไชย ผู้สื่อข่าวจาก ‘The Reporters’ โพสต์เฟซบุ๊กครบรอบ 1 ปี ‘บุ้ง เนติพร’ วันที่เธอหายไป พบกันพรุ่งนี้ค่ะ

‘บุ้ง’ เนติพร เสน่ห์สังคม นักกิจกรรมวัย 28 ปี เสียชีวิตหลังอดอาหารและน้ำเป็นเวลาหลายเดือน เพื่อประท้วงในระหว่างถูกคุมขังตามมาตรา 112 จากกรณีทำโพลเกี่ยวกับขบวนเสด็จ โดยเธอถูกถอนประกันและถูกคุมขังตั้งแต่ 26 ม.ค. 2567 จนกระทั่งเสียชีวิตในวันที่ 14 พ.ค. 2567

โดยระหว่างการคุมขัง บุ้งเริ่มอดอาหารและน้ำตั้งแต่วันที่ 27 ม.ค. เพื่อเรียกร้องให้มีการปฏิรูปกระบวนการยุติธรรม และยุติการคุมขังผู้เห็นต่างทางการเมือง เธออดอาหารร่วมกับ ‘ตะวัน’ ทานตะวัน ตัวตุลานนท์ และถูกส่งไปรักษาตัวที่ทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์ ก่อนถูกส่งต่อไปยังโรงพยาบาลธรรมศาสตร์ฯ ซึ่งพบว่าไม่มีสัญญาณชีพแล้ว

ทั้งนี้ การเสียชีวิตของบุ้งยังมีข้อสงสัยในหลายประเด็น โดยเฉพาะเรื่องมาตรการช่วยเหลือทางการแพทย์ ครอบครัวยังคงเดินหน้าหาความยุติธรรม โดยศาลจังหวัดธัญบุรีจะไต่สวนการตายในวันที่ 20–21 ส.ค. 2568

ITEL ผนึกกำลัง สทป. เปิดตัวบริษัทร่วมทุน 'NDC' เสริมแกร่งเทคโนโลยี - อุตสาหกรรมป้องกันประเทศ

สถาบันเทคโนโลยีป้องกันประเทศ จับมือ อินเตอร์ลิ้งค์ เทเลคอม จัดตั้ง 'บริษัท เนชันแนล ดีเฟนส์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด' หรือ NDC รุกธุรกิจการสื่อสารเพื่อความมั่นคง สนับสนุนอุตสาหกรรมป้องกันประเทศของไทย หวังช่วยยกระดับเทคโนโลยีความมั่นคงของประเทศด้วยนวัตกรรม IoT, AI, และ Big Data Analytics

เมื่อวานนี้ (13 พ.ค.68) สถาบันเทคโนโลยีป้องกันประเทศ (สทป.) และ บริษัท อินเตอร์ลิ้งค์ เทเลคอม จำกัด (มหาชน) หรือ ITEL ประกาศความร่วมมือครั้งสำคัญ ลงนามในสัญญาร่วมทุนจัดตั้ง 'บริษัท เนชันแนล ดีเฟนส์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (NATIONAL DEFENSE CORPORATION LTD.)' หรือ NDC มุ่งพัฒนาและให้บริการเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเพื่อความมั่นคง พร้อมสนับสนุนอุตสาหกรรมป้องกันประเทศของไทยอย่างเต็มรูปแบบ

พิธีลงนามสัญญาร่วมทุนดังกล่าวจัดขึ้น ณ ห้องราชเสนีพิทักษ์ ชั้น 10 สถาบันเทคโนโลยีป้องกันประเทศ อาคารสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม (แจ้งวัฒนะ) โดยได้รับเกียรติจาก พลเอก พอพล มณีรินทร์ ประธานกรรมการสถาบันเทคโนโลยีป้องกันประเทศ เป็นประธานในพิธี ผู้ร่วมลงนามประกอบด้วย พลเอก ดร.ชรัติ อุ่มสัมฤทธิ์ ผู้อำนวยการสถาบันเทคโนโลยีป้องกันประเทศ และ ดร.ณัฐนัย อนันตรัมพร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อินเตอร์ลิ้งค์ เทเลคอม จำกัด (มหาชน)

บริษัทร่วมทุนใหม่ 'NDC' จัดตั้งขึ้นด้วยวัตถุประสงค์หลักในการดำเนินธุรกิจบริการด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเพื่อความมั่นคงของประเทศ โดยจะมุ่งเน้นให้บริการเกี่ยวกับระบบความปลอดภัยสาธารณะ (Public Safety) โซลูชันดิจิทัล (Digital Solutions) รวมถึงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารที่ทันสมัย เช่น Internet of Things (IoT), ปัญญาประดิษฐ์ (AI), Cloud Computing และ Big Data Analytics

ความร่วมมือครั้งนี้เป็นการผสานจุดแข็งของทั้งสองหน่วยงาน โดย สทป. มีความรู้ความเชี่ยวชาญด้านการวิจัยและพัฒนาระบบงานด้านความมั่นคง ขณะที่ ITEL เป็นภาคเอกชนที่มีศักยภาพสูง มีโครงข่ายโทรคมนาคมที่ทันสมัยระดับประเทศ และประสบการณ์ยาวนานในธุรกิจ ICT การก่อตั้ง NDC จึงเป็นการบูรณาการศักยภาพของทั้งสององค์กร เพื่อร่วมกันพัฒนาและส่งมอบเทคโนโลยีสารสนเทศและโซลูชันด้านความปลอดภัยที่สามารถตอบสนองความต้องการของภาครัฐและหน่วยงานด้านความมั่นคงได้อย่างแท้จริง

ดร.ณัฐนัย อนันตรัมพร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อินเตอร์ลิ้งค์ เทเลคอม จำกัด (มหาชน) กล่าวถึงความร่วมมือครั้งนี้ว่า “นับเป็นความภาคภูมิใจอย่างยิ่ง ที่ ITEL ได้มีโอกาสร่วมงานกับ สทป. ในการจัดตั้งบริษัทร่วมทุน NDC ยกระดับบริการด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารสำหรับงานด้านความมั่นคงและการป้องกันประเทศ ถือเป็นก้าวสำคัญที่จะได้นำความเชี่ยวชาญด้านโครงข่ายของเรา มาสนับสนุนภารกิจของประเทศในมิติที่สำคัญ”   

ดร.ณัฐนัย ยังกล่าวเสริมอีกว่า “เราเชื่อมั่นว่า NDC จะไม่เพียงแต่เป็นพันธมิตรที่แข็งแกร่งของภาครัฐ แต่ยังเป็นฟันเฟืองสำคัญในการผลักดันประเทศไทยสู่การเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีการสื่อสารเพื่อความมั่นคงในภูมิภาค เราพร้อมให้การสนับสนุนทั้งด้านการบริหารจัดการบุคลากร และเทคโนโลยี เพื่อให้ NDC ดำเนินการได้อย่างมีประสิทธิภาพและสร้างความยั่งยืนในระยะยาว”

บริษัทฯ มีความพร้อมทั้งด้านโครงสร้างพื้นฐานโทรคมนาคม การให้บริการโครงข่ายไฟเบอร์ออฟติกประสิทธิภาพสูงที่ครอบคลุมทั่วประเทศ และประสบการณ์ในการให้บริการวงจรสื่อสารความเร็วสูงแก่ทั้งภาครัฐและเอกชน การร่วมทุนนี้จะเปิดโอกาสให้ ITEL ต่อยอดเทคโนโลยีไปสู่ระบบสื่อสารเพื่อความปลอดภัยสาธารณะ การบริหารจัดการข้อมูลขนาดใหญ่ และการพัฒนาแพลตฟอร์มเมืองอัจฉริยะที่มีความปลอดภัยสูง เพื่อรองรับภารกิจด้านความมั่นคงระดับชาติอย่างยั่งยืน

การจัดตั้ง NDC มุ่งหวังให้เป็นกลไกสำคัญในการสนับสนุนการพัฒนาเทคโนโลยีความมั่นคง ทั้งในมิติปัจจุบันและการวางรากฐานสำหรับอนาคต โดยเชื่อมั่นว่า NDC จะมีบทบาทสำคัญในการวางโครงสร้างพื้นฐานทางเทคโนโลยีให้กับประเทศ ไม่เพียงแต่รับมือกับภัยคุกคามจากภายนอก แต่ยังเป็นการเสริมสร้างความปลอดภัยภายในประเทศ และยกระดับความมั่นคงแห่งชาติอย่างยั่งยืน นอกจากนี้ ความร่วมมือดังกล่าวยังสะท้อนถึงวิสัยทัศน์เชิงกลยุทธ์ของ ITEL ในการขยายธุรกิจสู่ตลาดความมั่นคงที่มีศักยภาพสูง ต่อยอดจากความเชี่ยวชาญเดิม และสร้างโอกาสการเติบโตใหม่ ๆ ให้กับบริษัท

‘ทรัมป์’ เยือนซาอุดีอาระเบีย ปิดดีลขายอาวุธ 1.4 แสนล้านดอลลาร์ พร้อมประกาศยกเลิกคว่ำบาตรซีเรีย หวังฟื้นบทบาทอเมริกาในตะวันออกกลาง

(14 พ.ค. 68) โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ให้คำมั่นยกเลิกคว่ำบาตรซีเรีย พร้อมลงนามข้อตกลงอาวุธ 142,000 ล้านดอลลาร์ ระหว่างเยือนซาอุดีอาระเบีย ซึ่งเป็นจุดหมายแรกในการเดินทางต่างประเทศของเขาในวาระที่สอง โดยย้ำว่าสหรัฐฯ “ไม่มีพันธมิตรใดที่แข็งแกร่งกว่า” ซาอุดีอาระเบีย

การเยือนครั้งนี้ประกอบด้วยพิธีต้อนรับอย่างหรูหรา พร้อมการประกาศข้อตกลงด้านการลงทุนระหว่างประเทศมูลค่ารวมอาจแตะ 1 ล้านล้านดอลลาร์ (ราว 33.29 ล้านล้านบาท) โดยทรัมป์ยังร่วมเวทีฟอรั่มการลงทุนกับผู้นำธุรกิจระดับโลกอย่างอีลอน มัสก์ และเจนเซ่น หวง CEO ของ Nvidia ที่ประกาศขายชิป AI กว่า 18,000 ชิ้นให้กับบริษัทซาอุฯ

ทรัมป์ย้ำจุดยืนใช้การค้าและการลงทุนแทนความขัดแย้ง พร้อมระบุว่าเขาจะยกเลิกมาตรการคว่ำบาตรซีเรีย เพื่อสนับสนุนรัฐบาลใหม่ของประเทศ โดยบอกว่าเป็น “จุดเริ่มต้นใหม่” สำหรับซีเรียที่เพิ่งเปลี่ยนผู้นำหลังการโค่นล้มระบอบอัสซาด

นอกจากนี้ในคำปราศรัย ทรัมป์กล่าวถึงประชาชนในกาซาว่าสมควรมี “อนาคตที่ดีกว่า” แต่ไม่ได้เสนอแผนการชัดเจนในการแก้ไขปัญหาระหว่างอิสราเอล-ปาเลสไตน์ ขณะที่ซาอุฯ ยืนยันจะไม่เข้าร่วมข้อตกลงอับราฮัมจนกว่าสงครามในกาซาจะสิ้นสุดลงและมีหนทางสู่รัฐปาเลสไตน์

การเดินทางของทรัมป์ยังรวมถึงจุดแวะพักที่กาตาร์และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ซึ่งมีแผนลงทุนรวม 1.4 ล้านล้านดอลลาร์ในสหรัฐฯ ท่ามกลางความพยายามผลักดันเศรษฐกิจอเมริกันและเสริมบทบาทในตะวันออกกลางอีกครั้ง

‘คิม จองอึน’ สั่งฝึกหนัก!..ลุยตรวจฐานซ้อมใกล้เปียงยาง ยกระดับความพร้อมรบเกาหลีเหนือ สู้สงครามในอนาคต

(14 พ.ค. 68) คิม จองอึน ผู้นำสูงสุดเกาหลีเหนือ ลงพื้นที่กำกับการฝึกซ้อมยุทธวิธีของกองกำลังพิเศษและรถถัง โดยมีเป้าหมายเพื่อปรับปรุงแนวทางการฝึกทหารให้ทันสมัยและสอดคล้องกับ 'สงครามยุคใหม่' ภายหลังการมีส่วนร่วมของทหารเกาหลีเหนือในสมรภูมิยูเครน ซึ่งรายงานจากสื่อรัฐเผยว่า การฝึกซ้อมจัดขึ้นที่ฐานฝึกหมายเลข 60 ใกล้กรุงเปียงยาง โดยมีการสาธิตการยิงจริงและการฝึกแบบสมจริงเต็มรูปแบบ

คิมเข้าร่วมการฝึกพร้อมเจ้าหน้าที่ระดับสูงของกองทัพ พร้อมเน้นย้ำให้กองทัพประชาชนเกาหลี (KPA) ปรับรูปแบบการฝึกตามประสบการณ์จริง เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการรบและความพร้อมต่อภารกิจจริง เขายังชื่นชมการเปลี่ยนแปลงด้านทัศนคติของผู้สอนทางทหารที่เกิดจากการฝึกเฉพาะทางอย่างเข้มข้น ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อขวัญกำลังใจและทักษะของทหารทุกนาย

การฝึกซ้อมครั้งนี้เกิดขึ้นต่อเนื่องจากการทดสอบขีปนาวุธระยะสั้นเมื่อสัปดาห์ก่อน ซึ่งมีเป้าหมายจำลองการโจมตีกองกำลังสหรัฐฯ และเกาหลีใต้ นอกจากนี้ คิมยังกล่าวว่าการฝึกทหารต้องคำนึงถึงความเป็นผู้นำแบบสร้างสรรค์และอิสระ เพื่อรักษาความได้เปรียบทางคุณภาพในสนามรบยุคใหม่ พร้อมเร่งใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและกลไกประเมินผลแบบวิทยาศาสตร์ในการพัฒนาการฝึก

ทั้งนี้ หน่วยย่อยของกองพลที่ 11 ผ่านเกณฑ์คุณสมบัติ “กองพันอเนกประสงค์” ระหว่างการฝึก โดยคิม จอง อึน กล่าวชื่นชมพวกเขาว่าเป็นต้นแบบของความพร้อมรบเต็มขั้น พร้อมประกาศจุดยืนว่า “การเตรียมความพร้อมเพื่อสงครามเสร็จสิ้น” คือภารกิจปฏิวัติสูงสุดของกองทัพเกาหลีเหนือในยุคปัจจุบัน

นักเรียนนายร้อย จปร. และทหารหญิงไทย สร้างชื่อในเวทีโลก หลังร่วมเวที แข่งขันทักษะทหารระดับนานาชาติ ‘Sandhurst Military Skills’ ที่สหรัฐฯ คว้าอันดับ 44 จาก 48 ทีมทั่วโลก

(14 พ.ค. 68) นักเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า พร้อมทหารหญิงจากกองทัพบกไทย จำนวนรวม 11 นาย เข้าร่วมการแข่งขันทักษะทางทหาร “Sandhurst Military Skills Competition 2025” ณ โรงเรียนนายร้อยเวสต์พอยต์ สหรัฐอเมริกา โดยจบการแข่งขันในอันดับที่ 44 จากทั้งหมด 48 ทีมจาก 16 ประเทศ อาทิ สหรัฐอเมริกา อังกฤษ แคนาดา ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ นับเป็นเวทีสำคัญที่เปิดโอกาสให้กำลังพลไทยได้แสดงความสามารถในระดับสากล

การแข่งขันครั้งนี้ประกอบด้วยการทดสอบสมรรถภาพ ความชำนาญ และการทำงานร่วมกันของหน่วยทหารขนาดเล็ก ภายใต้สถานการณ์สมมติที่ท้าทาย ซึ่งนักเรียนนายร้อยชั้นปีที่ 2-4 และทหารหญิงจากกรมทหารพรานและกรมพลาธิการทหารบก สามารถผ่านภารกิจได้อย่างภาคภูมิ ท่ามกลางความกดดันและสภาพแวดล้อมที่เข้มข้นตามมาตรฐานสากล

สำหรับกิจกรรมดังกล่าวสอดคล้องกับนโยบายของ พลเอก พนา แคล้วปลอดทุกข์ ผู้บัญชาการทหารบก ที่มุ่งพัฒนาบุคลากรให้พร้อมรบในทุกมิติ โดยเน้นการเปิดโอกาสให้กำลังพลได้เรียนรู้ แลกเปลี่ยนประสบการณ์กับกองทัพพันธมิตร ซึ่งถือเป็นการยกระดับความสามารถของกองทัพบกไทยให้ก้าวทันการเปลี่ยนแปลงและภารกิจในอนาคต


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top