Monday, 12 May 2025
NewsFeed

'ผู้ดำเนินรายการ THE STATES TIMES ยามเช้า' รับรางวัลเทพทอง ครั้งที่ 23 ประเภทบุคคลดีเด่นด้านวิทยุกระจายเสียง ใช้และพูดภาษาไทยได้อย่างถูกต้อง

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ นายจิรายุ อิศรางกูร ณ อยุธยา องคมนตรี เป็นผู้แทนพระองค์ มอบรางวัลเทพทอง ครั้งที่ 23 ซึ่งจัดโดยสมาคมนักวิทยุและโทรทัศน์แห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ (สวทท.) โดยมี นางสาวชุติพันธุ์ ลิมปะพันธุ์ นายกสมาคมฯ พร้อมคณะกรรมการบริหาร ร่วมในพิธี

โดยรางวัลเทพทอง จัดขึ้นเพื่อเป็นการสร้างขวัญกำลังใจให้กับองค์กรและบุคคลต่าง ๆ ที่ทำคุณประโยชน์ต่อสังคมส่วนรวม และบุคลากรด้านสื่อวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ และสื่อออนไลน์ ซึ่งได้สร้างสรรค์ผลงานที่เกิดประโยชน์ เป็นแบบอย่างที่ดี

ซึ่งในปีนี้มีผู้เข้ารับรางวัลทั้งสิ้น 72 รางวัล ประกอบด้วย 
-องค์กรดีเด่น 26 รางวัล อาทิ โรงเรียนชอย เทควันโด้ อะคาเดมี่ โดยนายชัชชัย เช หรือโค้ชเช ที่ปรึกษากิตติมศักดิ์ เป็นผู้รับ และสถานีวิทยุกระจายเสียงมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ 

-บุคคลดีเด่นด้านโทรทัศน์ และสื่อออนไลน์ 16 รางวัล อาทิ นายสุวิกรม อัมระนันทน์ รายการเปอร์-สเปกทิฟ (Perspective) / นายวารินทร์ สัจเดว ผู้ประกาศข่าว TNN World Today / และนางรัสรินทร์ ปริยไชยพงศ์ หรือชื่อในวงการ 'ปิยมาศ โมนยะกุล' ศิลปิน นักแสดง ฉายานางเอกตลกร้อยล้าน

-บุคคลดีเด่นด้านวิทยุกระจายเสียง 11 รางวัล ซึ่งมอบให้กับนักจัดรายการวิทยุ ที่มีผลงานเป็นที่ยอมรับ ใช้และพูดภาษาไทยได้อย่างถูกต้อง อาทิ นายไอยรา อัลราวีย์ บรัศว์ตฤณ บรรณาธิการบริหาร สำนักข่าวออนไลน์เดอะสเต็ทส์ไทม์ (THE STATES TIMES) ผู้ดำเนินรายการ TST ยามเช้า ทาง FM 103.5 และรายงานข่าวต้นชั่วโมง TST News Flash สถานีวิทยุกองบัญชาการกองทัพไทย FM 101
-และผู้ให้การสนับสนุนการจัดงานเทพทองครั้งนี้รับโล่เกียรติยศ จำนวน 19 รางวัล 

บรรณาธิการ และผู้ดำเนินรายการ TST ยามเช้า รับรางวัลเทพทอง ครั้งที่ 23 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ นายจิรายุ อิศรางกูร ณ อยุธยา องคมนตรี เป็นผู้แทนพระองค์ มอบรางวัลเทพทอง ครั้งที่ 23 ซึ่งจัดโดยสมาคมนักวิทยุและโทรทัศน์แห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ (สวทท.) เพื่อเป็นการสร้างขวัญกำลังใจให้กับองค์กรและบุคคลต่าง ๆ ที่ทำคุณประโยชน์ต่อสังคมส่วนรวม และบุคลากรด้านสื่อวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ และสื่อออนไลน์ ซึ่งได้สร้างสรรค์ผลงานที่เกิดประโยชน์ เป็นแบบอย่างที่ดี

ซึ่งในปีนี้มีผู้เข้ารับรางวัลทั้งสิ้น 72 รางวัล ประกอบด้วย องค์กรดีเด่น 26 รางวัล บุคคลดีเด่นด้านโทรทัศน์ และสื่อออนไลน์ 16 รางวัล บุคคลดีเด่นด้านวิทยุกระจายเสียง 11 รางวัล และผู้ให้การสนับสนุนการจัดงานเทพทองครั้งนี้รับโล่เกียรติยศ จำนวน 19 รางวัล

ทั้งนี้ในประเภทบุคคลดีเด่นด้านวิทยุกระจายเสียง ซึ่งมอบให้กับนักจัดรายการวิทยุ ที่มีผลงานเป็นที่ยอมรับ ใช้และพูดภาษาไทยได้อย่างถูกต้อง ในปีนี้ นายไอยรา อัลราวีย์ บรัศว์ตฤณ บรรณาธิการบริหาร สำนักข่าวออนไลน์เดอะสเต็ทส์ไทม์ (THE STATES TIMES) ผู้ดำเนินรายการ TST ยามเช้า ทาง FM 103.5 และรายงานข่าวต้นชั่วโมง TST News Flash สถานีวิทยุกองบัญชาการกองทัพไทย FM 101 เป็น 1 ในผู้ได้รับรางวัลเทพทอง ครั้งที่ 23 ด้วย

ประธานวุฒิสภาจอร์แดน จวกประเทศตะวันตก ปฏิบัติสองมาตรฐานในเรื่องประชาธิปไตยและเสรีภาพ

(26 มี.ค. 68) สำนักข่าวอาหรับนิวส์รายงานว่า นายไฟซอล อัลฟาเยส (Faisal Al-Fayez) ประธานวุฒิสภาของจอร์แดน ได้กล่าวระหว่างการประชุมกับสภายุโรปที่จัดขึ้น ณ เมืองสตราส์บูร์ก ประเทศฝรั่งเศส ว่า “ประเทศตะวันตกมีการปฏิบัติสองมาตรฐานในเรื่องของประชาธิปไตยและเสรีภาพของมวลชน”

อัลฟาเยสเน้นย้ำว่า “คุณค่าแห่งประชาธิปไตยที่แท้จริงนั้นต้องตั้งอยู่บนพื้นฐานของความจริงจังและความเสมอภาคในเรื่องสิทธิมนุษยชน” พร้อมแสดงความกังวลต่อแนวทางของบางประเทศตะวันตกที่เขามองว่ามีการใช้หลักการประชาธิปไตยและสิทธิมนุษยชนอย่างไม่สม่ำเสมอในบริบทที่แตกต่างกัน

“ประชาชนชาวปาเลสไตน์อดทนต่อความทุกข์ยากมากว่า 80 ปี แต่เพียงเพราะเหตุการณ์ในวันที่ 7 ตุลาคม 2566 พวกเขากลับถูกซ้ำเติม ถูกกำหนดให้เป็นเป้าแห่งความโหดร้ายของการรุกรานของกองทัพอิสราเอล ทั้งในเขตเวสต์แบงก์และในฉนวนกาซา” เขากล่าวว่า “ประชาชนหลายหมื่นคนต้องพลีชีพ ต้องบาดเจ็บเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะสตรีและเด็ก ๆ ผู้บริสุทธิ์ ต้องเสียชีวิตจากการรุกรานในครั้งนี้” และเรียกร้องให้โลกหันมาสนใจและดำเนินการเพื่อยุติความรุนแรงต่อประชาชนเหล่านี้

นอกจากนี้ นายอัลฟาเยสยังได้กล่าวถึงการใช้สื่อสังคมออนไลน์ในการบิดเบือนข้อมูลและความจริง ซึ่งได้สร้างความเกลียดชังและการแบ่งแยกระหว่างคนในสังคม โดยเน้นว่า “การบิดเบือนข้อมูลดังกล่าวทำให้ความเป็นประชาธิปไตยถูกท้าทายและถูกละเลย”

อัลฟาเยสทิ้งท้ายเรียกร้องให้ทุกประเทศมี “ความมุ่งมั่นในการช่วยปกป้ององค์กรและสถาบันระหว่างประเทศที่ทำหน้าที่ธำรงความยุติธรรม” โดยเน้นว่าไม่ควรแทรกแซงการทำงานขององค์กรเหล่านั้นเพื่อผลประโยชน์ทางการเมืองของตนเอง

สำหรับการประชุมครั้งนี้จัดขึ้นท่ามกลางบริบทของความตึงเครียดทางการเมืองระหว่างประเทศ และการถกเถียงเกี่ยวกับมาตรฐานด้านสิทธิมนุษยชนที่ถูกนำไปใช้ในระดับสากล โดยเฉพาะในภูมิภาคตะวันออกกลาง ซึ่งหลายประเทศมองว่าตะวันตกมีแนวโน้มใช้มาตรฐานที่ไม่เท่าเทียมกันเมื่อต้องตัดสินนโยบายของรัฐอื่นๆ

การวิพากษ์วิจารณ์ของอัลฟาเยสได้รับความสนใจจากผู้แทนสภายุโรปและนักวิเคราะห์ด้านการเมืองระหว่างประเทศ ซึ่งมองว่าเป็นสัญญาณของความไม่พอใจที่หลายประเทศในภูมิภาคอาหรับมีต่อนโยบายของชาติตะวันตกในปัจจุบัน

ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ พร้อมกรรมการบริหารสมาคมแม่บ้านตำรวจ เยี่ยมให้กำลังใจตำรวจ สภ.สัตหีบ ที่บาดเจ็บจากการระงับเหตุทะเลาะวิวาท

(25 มี.ค. 68) เวลา 16.30 น. พล.ต.ท.ธนายุตม์ วุฒิจรัสธำรงค์ ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และคุณนภัสนันท์ วุฒิจรัสธำรงค์ กรรมการบริหารสมาคมแม่บ้านตำรวจ ระดับ ตร./ประธานที่ปรึกษาโครงการ “ครอบครัวตำรวจ เราไม่ทิ้งกัน” (ด้านตำรวจทุพพลภาพ) พร้อมด้วย ผศ.ดร.สุเนตร สุวรรณละออง รองประธานชมรมแม่บ้านตำรวจภูธรภาค 2 รักษาราชการแทนประธานชมรมแม่บ้านตำรวจภูธรภาค 2 , พ.ต.อ.อรรถพล พงษ์สุพรรณ รองผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดชลบุรี และคณะแม่บ้านชมรมแม่บ้านตำรวจภูธรภาค 2 ร่วมเข้าเยี่ยมและให้กำลังใจ ร.ต.ต.ภาสกร ภาชูระเบียบนา รอง สวป.สภ.สัตหีบ จ.ชลบุรี ซึ่งได้รับบาดเจ็บจากการปฏิบัติหน้าที่ ขณะเข้าระงับเหตุทะเลาะวิวาทและช่วยเหลือหญิงสาวคนหนึ่ง ที่บ้านพักในพื้นที่หมู่ 4 ต.สัตหีบ อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี ก่อนถูกผู้ก่อเหตุทำร้ายร่างกายและชิงอาวุธปืน แล้วหลบหนีออกจากที่เกิดเหตุ 

ในโอกาสนี้ พล.ต.ท.ธนายุตม์ฯ พร้อมด้วย คุณนภัสนันท์ฯ , ผศ.ดร.สุเนตรฯ และคณะแม่บ้านตำรวจภูธรภาค 2 ได้มอบสิ่งของอุปโภคบริโภคและเงินช่วยเหลือ เพื่อเป็นขวัญและกำลังใจแก่ ร.ต.ต.ภาสกรฯ ในการปฏิบัติหน้าที่ต่อไป และให้หายจากอาการบาดเจ็บโดยเร็ว

ผบ.ตร.สั่งดำเนินคดี - ฟันวินัยเด็ดขาด ด.ต.หัวร้อน ภ.2 แจ้งข้อหาหนัก ชื่นชม “รองสารวัตร” เข้าระงับเหตุรวดเร็ว กล้าหาญ

(25 มี.ค. 68) พล.ต.ท.ยิ่งยศ เทพจำนงค์ ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 2 (ผบช.ภ.2) เปิดเผยว่า จากกรณี ด.ต.กิตติศักดิ์ ฯ  สังกัด สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (สตม.) ก่อเหตุทะเลาะวิวาทกับอดีตแฟนสาว และทำร้ายตำรวจสายตรวจ สภ.สัตหีบ ที่เข้าไประงับเหตุ จนทำให้ ร.ต.ต.พาสกร ภาชูระเบียบนา รองสารวัตรป้องกันปราบปราม สภ.สัตหีบ จว.ชลบุรี ปฏิบัติหน้าที่สายตรวจตู้ยามเตาถ่าน ได้รับบาดเจ็บสาหัส นั้น ได้รายงาน พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) ทราบ ซึ่ง ผบ.ตร. ได้กำชับให้ดำเนินคดีอย่างเด็ดขาด ตรงไปตรงมา พร้อมกำชับให้ดำเนินการทางวินัยอย่างเด็ดขาด ตรงไปตรงมา พร้อมกำชับให้ดำเนินการทางวินัยอย่างเฉียบขาดด้วย

พล.ต.ท.ยิ่งยศ กล่าวว่า ได้รับรายงานจากตำรวจภูธรจังหวัดชลบุรีว่า หลังเกิดเหตุ พ.ต.อ.คมสรร คำตุ่นแก้ว ผกก.สภ.สัตหีบ ได้สั่งการให้ฝ่ายสืบสวนเร่งคุมตัวผู้ก่อเหตุ กระทั่งเวลา 05.00 น. ด.ต.กิตติศักดิ์ เข้ามอบตัวต่อพนักงานสอบสวน สภ.สัตหีบ จึงได้ทำการสอบสวนเบื้องต้น ดำเนินคดีข้อหา “เข้าไปกระทำการใด ๆ อันเป็นการรบกวนการครอบครองอสังหาริมทรัพย์ของเขาโดยปกติสุข โดยใช้กำลังประทุษร้าย ในเวลากลางคืน, ทำให้เสียทรัพย์, ทำร้ายร่างกายเจ้าพนักงานซึ่งกระทำการตามหน้าที่ เป็นเหตุให้ได้รับอันตรายสาหัส” โดยตนกำชับให้ดำเนินคดีอย่างรอบคอบ ย้ำว่าแม้เป็นตำรวจก็ไม่มีการช่วยเหลือกัน ยิ่งเป็นตำรวจแล้วทำผิดเสียเองต้องดำเนินคดีอย่างเด็ดขาด ส่วนการดำเนินการทางวินัย เป็นเรื่องของหน่วยต้นสังกัดที่จะดำเนินการต่อไป
 
ผบช.ภ.2 กล่าวด้วยว่า ต้องชื่นชม ร.ต.ต.พาสกร ที่เข้าระงับเหตุอย่างทันท่วงที โดยวันนี้ได้ มอบหมายให้  พ.ต.อ.อรรถพล  พงษ์สุพรรณ รอง ผบก.ภ.จว.ชลบรี เป็นผู้แทนมอบเงินช่วยเหลือจากกองทุน Police Award และมอบกระเช้าเยี่ยมไข้เป็นการให้กำลังใจในการปฏิบัติหน้าที่และขอให้หายจากอาการบาดเจ็บโดยไว 

“ชื่นชมในการทำหน้าที่ผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ที่เข้าไปช่วยเหลือแก้ปัญหา ระงับเหตุความเดือดร้อนของประชาชนอย่างรวดเร็ว ด้วยความกล้าหาญ แม้ว่าตัวเองจะเสี่ยงอันตราย และจากนี้กำชับให้ตำรวจสายตรวจเพิ่มความระมัดระวังในการเข้าระงับเหตุ โดยเน้นย้ำเรื่องความปลอดภัย” ผบช.ภ.2 กล่าว

โฆษก สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ชี้แจงข้อเท็จจริงกรณีพระราชกฤษฎีกาเงินประจำตำแหน่ง พ.ศ. 2568

(26 มี.ค. 68) ตามที่มีการเผยแพร่ข้อมูลผ่านสื่อสังคมออนไลน์เกี่ยวกับพระราชกฤษฎีกาการได้รับเงินประจำตำแหน่งของข้าราชการตำรวจ พ.ศ. 2568 ซึ่งมีการตั้งข้อสังเกตในประเด็นที่คลาดเคลื่อนจากข้อเท็จจริงนั้น พล.ต.ท.อาชยน ไกรทอง โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ชี้แจงว่า การออกพระราชกฤษฎีกาดังกล่าวเป็นการดำเนินการเพื่อให้สอดคล้องกับพระราชบัญญัติตำรวจแห่งชาติ พ.ศ. 2565 ที่มีผลใช้บังคับแทนพระราชบัญญัติตำรวจแห่งชาติ พ.ศ. 2547 ซึ่งเป็นกฎหมายหลักที่ใช้มาก่อนหน้านี้

ทั้งนี้ พระราชกฤษฎีกาการได้รับเงินประจำตำแหน่งฉบับใหม่ ยังคงหลักการและอัตราเงินประจำตำแหน่งไว้เช่นเดิม ไม่มีการปรับเพิ่มค่าตอบแทนแต่อย่างใด โดยมีเพียงการแก้ไขรายละเอียดให้สอดคล้องกับบทบัญญัติของกฎหมายตำรวจฉบับใหม่ เช่น การปรับชื่อตำแหน่งให้ตรงตามที่กำหนดไว้ในกฎหมาย การเพิ่มสายงานวิชาชีพด้านสาธารณสุขให้ครอบคลุมวิชาชีพเฉพาะด้าน เช่น กายอุปกรณ์ แพทย์แผนไทย เทคโนโลยีหัวใจและทรวงอก ตลอดจนการปรับลักษณะงานของตำแหน่งผู้เชี่ยวชาญให้สอดคล้องกับการจัดกลุ่มสายงานในปัจจุบัน

นอกจากนี้ ยังมีการกำหนดสิทธิในการได้รับเงินประจำตำแหน่งประเภทบริหารให้แก่ผู้ดำรงตำแหน่งในสถาบันการศึกษาของสำนักงานตำรวจแห่งชาติที่จัดการศึกษาระดับปริญญา โดยไม่ตัดสิทธิการได้รับเงินประจำตำแหน่งประเภทวิชาการ ซึ่งเป็นหลักเกณฑ์เช่นเดียวกับที่ใช้กับข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษาและข้าราชการทหาร

การออกพระราชกฤษฎีกาฉบับนี้จึงมิใช่การปรับเพิ่มเงินประจำตำแหน่งให้แก่ผู้บริหารระดับสูงตามที่บางกระแสเข้าใจ แต่เป็นการออกกฎหมายลำดับรองเพื่อให้สอดคล้องกับพระราชบัญญัติตำรวจแห่งชาติ พ.ศ. 2565 ที่เพิ่งมีผลบังคับใช้

พล.ต.ท.อาชยน ฯ ยืนยันว่า สำนักงานตำรวจแห่งชาติให้ความสำคัญกับเจ้าหน้าที่ตำรวจระดับปฏิบัติการอย่างแท้จริง และมีนโยบายในการดูแลสวัสดิการของตำรวจทุกระดับ โดยคำนึงถึงความเหมาะสมและความเป็นธรรมเป็นหลัก พร้อมกล่าวย้ำว่า “สำนักงานตำรวจแห่งชาติมุ่งมั่นในการบริหารงานอย่างโปร่งใส และพร้อมรับฟังความคิดเห็นจากทุกภาคส่วน เพื่อให้การทำงานของตำรวจตอบสนองต่อความคาดหวังของประชาชนได้อย่างดีที่สุด”

จเรตำรวจแห่งชาติประชุมผู้แทนทูตนานาประเทศ ขับเคลื่อนศูนย์ประสานงานป้องกันปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีและการค้ามนุษย์ระหว่างประเทศ 

(26 มี.ค.68) เวลา 14.30 น. พล.ต.อ.ธัชชัย ปิตะนีละบุตร จเรตำรวจแห่งชาติ ในฐานะผู้อำนวยการ ศูนย์ป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และผู้อำนวยการ ศูนย์ต่อต้านการค้ามนุษย์ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (จตช./ผอ.ศปอส.ตร./ผอ.ศตคม.ตร.) เป็นประธานการประชุมขับเคลื่อนศูนย์ประสานงานป้องกันปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีและการค้ามนุษย์ระหว่างประเทศ (International Coordination Center for the Anti-Cyber Crime and Human Trafficking Task Force) โดยมีผู้แทนผู้ช่วยทูตตำรวจ และนายตำรวจประสานงานจากนานาชาติที่ประจำอยู่ในประเทศไทย จาก 14 ประเทศ ได้แก่ ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย บังกลาเทศ แทนซาเนีย อิตาลี เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น ลาว เคนยา จีน อินเดีย รัสเซีย มาเลเซีย และสหรัฐอเมริกา และผู้แทนกระทรวงการต่างประเทศ พร้อมด้วย พล.ต.ต.พงษ์สยาม มีขันทอง รองผู้บัญชาการตำรวจท่องเที่ยว เข้าร่วมประชุม ณ ห้องศรียานนท์ ชั้น 2 อาคาร 1 สำนักงานตำรวจแห่งชาติ 

การประชุมครั้งนี้เพื่อติดตามภาพรวมสถานการณ์ กำหนดช่องทางการประสานงานในการป้องกันปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์ และช่วยเหลือผู้ที่ตกเป็นเหยื่อ ตลอดจนติดตามขยายผลการสืบสวนสอบสวนจากนานาชาติให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด โดยหารือในเรื่องกลไกการดำเนินงานร่วมกัน การทบทวนและปรับปรุงกลไกการส่งตัวผู้กระทำความผิดกลับประเทศให้เหมาะสม โดยเน้นที่การต่อต้านอาชญากรรมทางไซเบอร์และการค้ามนุษย์ การแบ่งปันข้อมูล และการวางแผนเชิงกลยุทธ์

พล.ต.อ.ธัชชัยฯ กล่าวว่า เจ้าหน้าที่ไทยมีการยกระดับมาตรการเข้มงวดชายแดนไทย-ประเทศเพื่อนบ้าน เพื่อป้องกันมิจฉาชีพใช้ประเทศไทยเป็นเส้นทางผ่านเข้า-ออกประเทศเพื่อนบ้าน ไปทำงานกับแก๊งคอลเซ็นเตอร์ พร้อมกันนี้ขอความร่วมมือจากสถานทูตประเทศต่าง ๆ ในการแจ้งประกาศคำเตือนจากรัฐบาลไทย รวมถึงให้บริการล่ามเมื่อได้รับการร้องขอ ที่สำคัญที่สุดในการปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์ คือการประสานข้อมูลผลจากการสอบสวนผู้ที่ถูกส่งตัวกลับประเทศ เพื่อประโยชน์ในการคัดแยกเหยื่อและผู้กระทำความผิด รวมทั้งการแบ่งปันข้อมูลจากประเทศต่าง ๆ เพื่อประโยชน์ในการตรวจสอบติดตามจับกุมแก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่อาจหลบหนีกบดานในไทย และหากมีข้อมูลว่าเจ้าหน้าที่ไทยมีส่วนเกี่ยวข้องกับการกระทำผิดแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ขอให้ประสานข้อมูลให้ทราบ เพื่อสำนักงานตำรวจแห่งชาติจะทำการสอบสวนและดำเนินคดีโดยเร็วที่สุด

หน่วยฝึกนาวิกโยธิน ฝึกผสม ทร.ไทย - ทร.สปจ. BLUE STRIKE 2025 ณ เมืองจ้านเจี้ยง มณฑลกวางตุ้ง สาธารณรัฐประชาชนจีน 

(25 มี.ค.68) หน่วยฝึกนาวิกโยธิน ที่เข้าร่วมการฝึกผสม ทร.ไทย - ทร.สปจ. (BLUE STRIKE 2025) ณ เมืองจ้านเจี้ยง มณฑลกวางตุ้ง สาธารณรัฐประชาชนจีน 

ได้เคลื่อนย้ายกำลังพลจาก ร.ล.อ่างทอง ณ ท่าเรือ หม่าเสี่ย เมืองจ้านเจียง ไปยังค่ายหนานถิง เมืองจ้านเจียง โดยมีพิธีต้อนรับอย่างสมเกียรติ เป็นกันเอง ในการนี้ การฝึกผสมฯ มีวัตถุประสงค์ เพื่อแลกเปลี่ยน เรียนรู้ ระหว่างหน่วยทหารนาวิกโยธิน ทั้ง 2 ประเทศ และเน้นการฝึกทางด้านองค์บุคคล องค์ยุทธวิธี และความรู้ที่ได้รับจะนำไปพัฒนาขีดความสามารถ เพิ่มทักษะให้กับทหารนาวิกโยธิน ต่อไป 

นิราช/นันทพล ทิพย์ศรี รายงาน 0909535645

#กองทัพเรือ
#นาวิกโยธิน 
#กองพลนาวิกโยธิน
#กองพันรถถังกองพลนาวิกโยธิน
#BLUESTRIKE2025
#เมื่อรบต้องชนะ
#นำดีตามดี
#SmartMarines
#จงรักภักดี_รู้หน้าที่_มีวินัย
#กองทัพเรือที่ประชาชนเชื่อมั่นและภาคภูมิใจ
#เทิดทูนสถาบัน_ป้องกันรัฐ_พัฒนาชาติ_ราษฎร์ศรัทธา
#MONARCHY_COUNTRY_GOVERNMENT_PEOPLE

”พลโท ชนินทร์“ ติวเข้มเครือข่ายเฝ้าระวังภัยก่อการร้ายที่ภูเก็ต มุ่งสร้างตาสับปะรดของชุมชน

(27 มี.ค. 68) ที่จังหวัดภูเก็ต -พลโท ชนินทร์ สิงหนาทนิติรักษ์ ผู้อำนวยการ ศปป.3 กอ.รมน. เป็นประธานเปิดการอบรม “การพัฒนาเครือข่ายเฝ้าระวังและแจ้งเตือนการก่อการร้าย” โดยมีเจ้าหน้าที่สนามบิน ภาคประชาชน และหน่วยงานความมั่นคง เข้าร่วมอบรม

การอบรมครั้งนี้เพื่อมุ่งเน้นการสร้าง “ตาสับปะรดของชุมชน” เพื่อให้ประชาชนรู้เท่าทันภัยคุกคามสมัยใหม่ ทั้งการก่อการร้าย อาชญากรรมข้ามชาติ และภัยไซเบอร์ พร้อมฝึกทักษะสำคัญ ประกอบด้วย การจดจำใบหน้าบุคคลต้องสงสัย การเอาตัวรอดจากสถานการณ์ก่อการร้าย

กิจกรรมครั้งนี้ถือเป็นส่วนหนึ่งที่ ศปป.3 กอ.รมน. เดินหน้าเสริมพลังเครือข่ายประชาชน โดยจัดกิจกรรมอบรมเครือข่ายเฝ้าระวังและแจ้งเตือนภัยการก่อการร้ายที่ จ.ภูเก็ต มุ่งสร้าง “ตาสับปะรดของชุมชน” ให้รู้เท่าทันภัยก่อการร้าย อาชญากรรมข้ามชาติ และภัยไซเบอร์ พร้อมฝึกทักษะจำใบหน้าผู้ต้องสงสัย และเอาตัวรอดจากเหตุร้าย ในการเสริมสร้าง เครือข่ายภาคประชาชน เพื่อเฝ้าระวังภัยความมั่นคงรูปแบบใหม่ โดยเฉพาะในพื้นที่ยุทธศาสตร์อย่างจังหวัดภูเก็ต ซึ่งมีทั้งสนามบินนานาชาติ ท่าเรือ แหล่งท่องเที่ยวสำคัญ และชุมชนที่มีความหลากหลาย

ทั้งนี้ ศปป.3 มีแผนจะขยายกิจกรรมลักษณะนี้ไปยังพื้นที่อื่นทั่วประเทศ โดยจะเน้นพื้นที่เป้าหมายที่มีความเสี่ยงสูง หรือมีความสำคัญเชิงยุทธศาสตร์ เช่น จังหวัดชายแดน พื้นที่เศรษฐกิจพิเศษ และแหล่งท่องเที่ยวหลัก เพื่อให้ประชาชนทั่วประเทศมีบทบาทร่วมในการดูแลความมั่นคงร่วมกับภาครัฐอย่างเป็นรูปธรรม เพราะเราเชื่อว่า พลังของประชาชน คือแนวป้องกันประเทศที่เข้มแข็งที่สุด

โฆษกฯ ก.อุต ย้ำตัวเลข 'อ้อยเผา' น้อยสุดในประวัติศาสตร์ ติงฝ่ายค้านนำเสนอคลาดเคลื่อน ห่วงสังคมรับข้อมูลบิดเบือน

นายพงศ์พล ยอดเมืองเจริญ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมและโฆษกกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า จากกรณีที่ฝ่ายค้านมีการอภิปรายเกี่ยวกับข้อมูลอ้อยเผาของกระทรวงอุตสาหกรรม ทำให้เกิดข้อมูลคลาดเคลื่อนในหลายประเด็น ขอชี้แจงดังนี้ เรื่องตัวเลขการลักลอบเผาอ้อยที่ระบุว่า มีการลักลอบเผาตั้งแต่ช่วงเดือนพฤษภาคม 2567 – เดือนพฤศจิกายน 2568 คำนวณจากในแผนที่จุดความร้อน (hotspot) ผ่านดาวเทียม อาจจะมีการเผามากถึง 28 ล้านตัน ซึ่งข้อเท็จจริงกระบวนการเก็บเกี่ยวอ้อย ปกติจะทำในช่วงเปิดหีบ ซึ่งในปีที่ผ่านมาคือระหว่างเดือนธันวาคม 2567 ถึงเมษายน 2568 รวมเป็นเวลาแค่ 4 เดือน การใช้หลักคำนวณตามที่มีการอภิปรายจำนวน 1 ปี 6 เดือน เป็นการนับรวมการเผาอย่างอื่นด้วย เช่น เผาฟืนทำอาหาร เผาข้าวโพดซังข้าว ฉะนั้นหากใช้หลักการนี้คำนวณจะทำให้เกิดการเข้าใจผิดได้ 

และในส่วนตัวเลขอ้อยเผาส่งเข้าโรงงาน กระทรวงอุตสาหกรรมมีการตรวจสอบอย่างเข้มข้น ทำให้อ้อยเผาขณะนี้อยู่ที่ 13.6 ล้านตัน หรือไม่ถึง 15% ของอ้อยทั้งหมด โดยมีการส่งอ้อยสดเข้าโรงงาน 85 % มากที่สุดเป็นประวัติการณ์ และยังเอาจริงเอาจังและเข้มงวดในการเอาผิดปิดโรงงานน้ำตาล 2 แห่งเพื่อเอาผิดและเป็นตัวอย่างป้องปรามให้กับผู้ประกอบการรายอื่นๆ เกรงกลัว และปฏิบัติตามมาตรการที่กระทรวงอุตสาหกรรมขอความร่วมมือ และในส่วนข้อมูลเรื่องมีอ้อยเผาที่หลุดรอดจากระบบกว่า 10 ล้านตันนั้น มีข้อเท็จจริงคือ มีอ้อยเผาจำนวน 9 แสนตันที่เข้าสู่การแปรรูปส่งไปยังโรงงานผลิตเอทานอล เพราะเป็นอ้อยปนเปื้อนไม่สามารถผลิตเป็นอาหารได้ 

“ขอยืนยันว่ากระทรวงอุตสาหกรรม โดยการนำของนายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม นั้น เอาจริงเอาจังกับเรื่องการปราบปรามอ้อยเผามาก ทั้งในส่วนเกษตรกรชาวไร่อ้อย ที่รณรงค์ลดการเผา ลด PM2.5 และการจัดการผู้ประกอบการที่ไม่ทำตามกฎกติกา ที่ทำการรับซื้ออ้อยเผา เพื่อยกระดับมาตรฐานการจัดการที่ดีในอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลทรายโดยคำนึงถึงสังคมและสิ่งแวดล้อม ซึ่งข้อมูลตัวเลขต่าง ๆ ที่กระทรวงฯ เสนอไปนั้น เป็นตัวเลขจริงที่เกิดจากทุกฝ่ายปฏิบัติตามมาตรการ  และการทำงานอย่างหนักและเอาจริงเอาจัง จากทั้งผู้บริหาร ข้าราชการและเจ้าหน้าที่ จึงขอให้การให้ข้อมูลและตัวเลขต่าง ๆ นั้น มาจากข้อเท็จจริงที่กระทรวงฯ ได้นำเสนอไปก่อนหน้า และขอให้หยุดการนำเสนอข้อมูลจากการคาดคะเนเพื่อลดการสร้างความเข้าใจผิดต่อหน่วยงาน เพื่อให้ทุกฝ่ายเห็นประโยชน์และความสำคัญของการไม่เผาอ้อย และเป็นตัวอย่างในการเอาจริงเอาจังกับกรณีอื่น ๆ ต่อไปในอนาคต” นายพงศ์พลกล่าว

เดนมาร์กปรับนโยบาย บังคับเกณฑ์ทหารหญิง เพื่อความเท่าเทียมชาย เริ่มกรกฎาคม 2025

(27 มี.ค. 68) สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า ตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2025 เป็นต้นไป ผู้หญิงชาวเดนมาร์กที่มีอายุ 18 ปี จะต้องเข้ารับการคัดเลือกเพื่อเข้ารับราชการทหาร เช่นเดียวกับผู้ชาย ซึ่งนับเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในนโยบายการเกณฑ์ทหารของประเทศ 

เดนมาร์กกลายเป็นประเทศที่ 2 ในสหภาพยุโรปที่ใช้ระบบเกณฑ์ทหารสำหรับทั้งชายและหญิง โดยก่อนหน้านี้มีเพียงนอร์เวย์เท่านั้นที่ใช้แนวทางนี้ โดยรัฐบาลเดนมาร์กให้เหตุผลว่า การตัดสินใจครั้งนี้เป็นก้าวสำคัญในการเสริมสร้างความเท่าเทียมทางเพศในกองทัพ และช่วยให้ประเทศมีทรัพยากรบุคคลเพียงพอสำหรับป้องกันประเทศในอนาคต

“การให้ผู้หญิงเข้ารับการเกณฑ์ทหารเท่าเทียมกับผู้ชายเป็นสิ่งที่สะท้อนถึงค่านิยมประชาธิปไตยและความเสมอภาคของเดนมาร์ก” เมตเต เฟรเดอริกเซน (Mette Frederiksen) นายกรัฐมนตรีหญิงของเดนมาร์กกล่าว

การตัดสินใจดังกล่าวเกิดขึ้นท่ามกลางสถานการณ์ความมั่นคงในยุโรปที่เปลี่ยนแปลงไปในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา หลายประเทศกำลังปรับนโยบายด้านการป้องกันประเทศให้สอดคล้องกับภัยคุกคามที่เพิ่มขึ้น โดยผู้เชี่ยวชาญด้านความมั่นคงระบุว่า การขยายฐานกำลังพลจะช่วยให้เดนมาร์กมีความพร้อมในการป้องกันประเทศ และสนับสนุนภารกิจของ NATO มากขึ้น

ทั้งนี้ตามกฎหมายใหม่ ผู้หญิงอายุ 18 ปีขึ้นไปจะต้องเข้าร่วมการคัดเลือกทางทหารเช่นเดียวกับผู้ชาย แต่ผู้ที่ไม่ผ่านการคัดเลือกหรือมีเหตุผลทางสุขภาพอาจได้รับการยกเว้น

ปัจจุบัน เดนมาร์กมีระบบเกณฑ์ทหารสำหรับผู้ชาย แต่มีสัดส่วนของทหารหญิงที่สมัครใจเข้าร่วมเป็นจำนวนมาก รัฐบาลเชื่อว่าการบังคับใช้ระบบใหม่จะช่วยสร้างกองทัพที่แข็งแกร่งและครอบคลุมมากขึ้น

อย่างไรก็ตาม การประกาศนโยบายใหม่นี้ได้รับทั้งเสียงสนับสนุนและเสียงคัดค้าน บางฝ่ายมองว่าเป็นก้าวสำคัญสู่ความเท่าเทียม ในขณะที่บางฝ่ายตั้งคำถามเกี่ยวกับความสมัครใจของผู้หญิงในการเข้ารับราชการทหาร แต่ทั้งนี้เดนมาร์กยังคงมุ่งมั่นที่จะดำเนินนโยบายนี้เพื่อเสริมสร้างกองทัพและความมั่นคงของประเทศในอนาคต


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top