Sunday, 11 May 2025
NewsFeed

นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุม ก.ตร. ครั้งที่ 3/2568 

(27 มี.ค.68) เวลา 14.00 น. ที่ห้องประชุมศรียานนท์  ชั้น 2 อาคาร 1 สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ หรือ ก.ตร.ครั้งที่ 3/2568 โดยมีวาระการประชุม 5 วาระ ประกอบด้วย วาระที่ 1 เรื่องที่ประธานแจ้งที่ประชุมทราบ วาระที่ 2 รับรองรายงานการประชุมครั้งที่ผ่านมา สำหรับวาระที่ 3 เรื่องที่เสนอเพื่อทราบ ที่ประชุมพิจารณารายงานการดำเนินการของ อ.ก.ตร. ในด้านต่างๆ อาทิ งานด้านกฎหมาย การบริหารทรัพยากรบุคคล รวมถึงผลการดำเนินการตามมติ ก.ตร. ในเรื่องสำคัญ เช่น การประเมินความพึงพอใจของประชาชนต่อการให้บริการของตำรวจ ตาม พ.ร.บ.ตำรวจฯ ประจำปี 2567 และรายงานสถานการณ์เกี่ยวกับการขอรับสิทธิ การนับเวลาราชการเป็นทวีคูณและ พ.ส.ร. ของเจ้าหน้าที่ตำรวจไทยที่ไปปฏิบัติหน้าที่ขององค์การสหประชาชาติในติมอร์ตะวันออก ในวาระที่ 4 เรื่องเสนอเพื่อพิจารณา มีประเด็นสำคัญ ได้แก่ ร่างระเบียบ ก.ตร. ว่าด้วยเงินเพิ่ม สำหรับตำแหน่งที่มีเหตุพิเศษตำแหน่งผู้ปฏิบัติงานด้านการสาธารณสุข พ.ศ.... และการคัดเลือกแต่งตั้งข้าราชการตำรวจ ตำแหน่งที่ปรึกษาพิเศษ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ผู้ทรงคุณวุฒิพิเศษ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และผู้ทรงคุณวุฒิ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และการพิจารณาคัดเลือกแต่งตั้งข้าราชการตำรวจตามคำวินิจฉัยของ ก.พ.ค.ตร. และวาระที่ 5 เรื่องอื่นๆ (ถ้ามี)

โดยบรรยากาศก่อนประชุม นายกรัฐมนตรีได้ยิ้มทักทายสื่อมวลชนที่มารอทำข่าว จากนั้นได้เข้าห้องประชุมศรียานนท์ ก่อนจะเปิดการประชุมโดยเน้นย้ำให้ กรรมการ ก.ตร. และผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทุกท่านที่เข้าร่วมประชุมในครั้งนี้ ช่วยกันพิจารณาตามวาระการประชุมให้เป็นไปด้วยความเรียบร้อย

หลังเสร็จสิ้นการประชุม พล.ต.ท.อนุชา รมยะนันทน์ ผบช.สง.ก.ตร. ได้ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชน เกี่ยวกับรายละเอียดที่ได้ประชุมในวันนี้

กฟผ. จับมือ ทัพเรือภาคที่ 1 จัดกิจกรรมฟื้นฟูสิ่งแวดล้อมทางทะเล พร้อมสนับสนุนการปรับปรุงซ่อมแซม ท่าเทียบเรือและสะพานทางเดินศึกษาธรรมชาติ เทิดพระเกียรติ รอบเกาะขาม

(27 มี.ค. 68) การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ร่วมกับทัพเรือภาคที่ 1 จัดกิจกรรมฟื้นฟูสิ่งแวดล้อมทางทะเล พร้อมสนับสนุนการปรับปรุงซ่อมแซมท่าเทียบเรือและสะพานทางเดินศึกษาธรรมชาติเทิดพระเกียรติ รอบเกาะขาม โดยมีนาวาเอก ธวัชชัย สอนซี รองเสนาธิการทัพเรือภาคที่ 1 เป็นประธาน พร้อมด้วย นายรณภูมิ แสงทอง ผู้อำนวยการโครงการปรับปรุงและขยายระบบส่งไฟฟ้าที่เสื่อมสภาพตามอายุการใช้งาน (อค-ปส.) และผู้ปฏิบัติงาน กฟผ. รวมทั้งกำลังพลทัพเรือภาคที่ 1 หน่วยงานภาครัฐ ภาคประชาชนในพื้นที่อำเภอสัตหีบ เข้าร่วมกิจกรรม ณ อุทยานใต้ทะเลเกาะขาม อำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี นาวาเอก ธวัชชัย สอนซี รองเสนาธิการทัพเรือภาคที่ 1 ประธานในพิธี กล่าวว่า อุทยานใต้ทะเล เกาะขาม อยู่ภายใต้ความรับผิดชอบดูแลโดยทัพเรือภาคที่ 1 ซึ่งการจัดกิจกรรมพัฒนาฟื้นฟูสิ่งแวดล้อมทางทะเลครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์ เพื่อร่วมกันพัฒนาสภาพแวดล้อมทางทะเลและชายฝั่ง คืนความอุดมสมบูรณ์ รักษาสมดุลของระบบนิเวศน์ให้เหมาะสมต่อการดํารงชีวิตของสัตว์ทะเล รวมทั้งสร้างรากฐานที่มั่นคง ปลูกจิตสำนึกให้กับเยาวชนและประชาชนทั่วไป มีความรัก หวงแหนและใช้ทรัพยากรธรรมชาติอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด ขอขอบคุณ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย ที่สนับสนุนงบประมาณฯ และอุปกรณ์ที่เป็นประโยชน์ในการอนุรักษ์ระบบนิเวศทางทะเล รวมทั้งเข้าร่วมกิจกรรมในภาคประชาชนและเยาวชนในการอนุรักษ์ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ทั้งนี้ กิจการท่องเที่ยว ทัพเรือภาคที่ 1 จะนำสิ่งต่างๆ ที่ได้รับมอบไปใช้ประโยชน์ตามวัตถุประสงค์ต่อไป

นายรณภูมิ แสงทอง ผู้อำนวยการโครงการปรับปรุงและขยายระบบส่งไฟฟ้าที่เสื่อมสภาพตามอายุการใช้งาน (อค-ปส.) กฟผ. กล่าวว่า เกาะขาม เป็นหนึ่งในเกาะที่อยู่ในโครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดำริ สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี (อพ.สธ.) ที่มีความสมบูรณ์ของแนวปะการัง และยังเป็นแหล่งพักอาศัยของสัตว์ทะเล รวมทั้งพื้นที่บนบกยังมีพันธุ์ไม้หายากนานาชนิด ในแต่ละปีมีนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติเดินเท้าเยี่ยมชมความสวยงามและศึกษาธรรมชาติบนเกาะ เป็นจำนวนมาก เพื่อความปลอดภัยและอำนวยความสะดวกแก่นักท่องเที่ยว จึงมีความจำเป็นต้องปรับปรุงซ่อมแซม สะพานท่าเรือเกาะขาม สะพานทางเดินและทางเดินขึ้นจุดชมวิวเกาะขาม ให้มีความแข็งแรงปลอดภัยอยู่ตลอด ซึ่ง กฟผ. ได้เล็งเห็นถึงความสำคัญและร่วมดำเนินกิจกรรม สนับสนุนการอนุรักษ์อุทยานใต้ทะเลเกาะขามมาโดยตลอดระยะเวลา กว่า 7 ปีแล้ว

การจัดกิจกรรมครั้งนี้ เป็นส่วนหนึ่งของการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมที่ กฟผ. ให้ความสำคัญมาโดยตลอดและยังช่วยสร้างความสัมพันธ์อันดีกับกำลังพลทัพเรือภาคที่ 1 และประชาชนในพื้นที่สัตหีบ รวมถึงการสร้างจิตสํานึกและทัศนคติที่ดี ในการช่วยกันรักษาสิ่งแวดล้อมของทุกภาคส่วนและสนับสนุนส่งเสริมการท่องเที่ยวทางทะเล ในพื้นที่ภาคตะวันออก ซึ่งจะส่งผลให้เกิดการสร้างอาชีพ สร้างรายได้ ให้กับชุมชนต่อไป

โดยกิจกรรมในวันนี้ ประกอบด้วย การมอบงบประมาณและเสื้อชูชีพ สนับสนุนกิจการท่องเที่ยวทัพเรือภาคที่ 1 ฟังบรรยายจากอาจารย์ ประสาน แสงไพบูร ประธานมูลนิธิกิจกรรมวิทยาศาสตร์ทางทะเลและการอนุรักษ์ ร่วมปลูกปะการังและปล่อยพันธุ์สัตว์น้ำสู่ท้องทะเล และร่วมเก็บขยะชายหาดบนเกาะขาม 

นิราช/พิชญ์ฐญา ทิพย์ศรี ชลบุรี 0909535645

‘ทรัมป์’ เปรยอาจลดภาษีนำเข้าจากจีน หากปักกิ่งยอมขาย TikTok ให้กับบริษัทต่างชาติ

(27 มี.ค. 68) ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ของสหรัฐฯ เปิดเผยว่า เขาอาจพิจารณาการลดอัตราภาษีการนำเข้าสินค้าจากจีน หากรัฐบาลจีนอนุมัติการขายแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียชื่อดัง “ติ๊กต๊อก” (TikTok) ให้กับบริษัทต่างชาติที่ไม่ใช่ชาวจีน ท่ามกลางความตึงเครียดด้านการค้าและความปลอดภัยทางไซเบอร์ระหว่างสองประเทศ

โดยช่วงระหว่างการให้สัมภาษณ์ที่ทำเนียบขาวเมื่อวานนี้ (26 มี.ค.) ทรัมป์ได้กล่าวว่า สหรัฐฯ พร้อมที่จะขยายระยะเวลาเพิ่มเติมให้กับบริษัท ByteDance เพื่อให้มีเวลาเพียงพอในการติดต่อทาบทามนักลงทุนรายอื่นๆ ที่จะมาซื้อกิจการ TikTok ภายในระยะเวลาใหม่ โดยในตอนแรกทางการสหรัฐฯ ได้กำหนดเส้นตายให้ ByteDance ตัดสินใจขายกิจการภายในวันที่ 5 เมษายน 2568 

“การขยายระยะเวลานี้เป็นการให้โอกาสในการเจรจาและทำให้การตัดสินใจในการขายกิจการเกิดขึ้นอย่างรอบคอบและไม่เร่งรีบ” ทรัมป์กล่าว

“หากจีนยอมให้การขาย TikTok สำเร็จ ผมก็ยินดีที่จะพิจารณาลดภาษีนำเข้าจากจีน เพื่อเป็นการตอบแทน” ทรัมป์กล่าว พร้อมระบุว่า นี่เป็นโอกาสที่ดีในการแก้ไขข้อพิพาทด้านการค้าระหว่างทั้งสองประเทศ

สำหรับ แอปพลิเคชั่น TikTok ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียที่ได้รับความนิยมทั่วโลก โดยเฉพาะในกลุ่มคนรุ่นใหม่ และมีผู้ใช้ประมาณ 170 ล้านคนในอเมริกา ซึ่งถูกจับตามองจากหลายประเทศในเรื่องของการเข้าถึงข้อมูลผู้ใช้งาน ซึ่งจีนสามารถเข้าถึงข้อมูลเหล่านี้ได้ตามกฎหมายของประเทศตัวเอง จึงเป็นประเด็นสำคัญในการเจรจาทางการเมืองและการค้าในช่วงหลายปีที่ผ่านมา

แม้ว่าเรื่องการขายติ๊กต๊อกยังคงอยู่ในขั้นตอนการเจรจา แต่การเปิดเผยของประธานาธิบดีทรัมป์นี้อาจเป็นการบ่งชี้ถึงทิศทางที่รัฐบาลสหรัฐฯ ต้องการให้จีนทำการตอบสนองต่อข้อเรียกร้องต่างๆ ในการแก้ไขข้อขัดแย้งที่มีอยู่

ทั้งนี้ การลดภาษีการนำเข้าเป็นหนึ่งในเครื่องมือทางเศรษฐกิจที่ทรัมป์ใช้ในการเจรจาทางการค้า เพื่อผลักดันให้จีนยอมรับข้อตกลงต่างๆ ที่สหรัฐฯ ต้องการในการแก้ไขปัญหาทางการค้าและเศรษฐกิจระหว่างสองประเทศ

กบง. ตรึงราคาก๊าซหุงต้ม 423 บาทต่อถังอีก 3 เดือน เริ่มตั้งแต่ 1 เม.ย. - 30 มิ.ย. 68 ช่วยบรรเทาค่าครองชีพประชาชน

(27 มี.ค.68) นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) เพื่อพิจารณาการทบทวนการกำหนดราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG) ภายหลังจากการประชุม นายพีระพันธ์ฯ กล่าวว่า ที่ประชุมได้มีมติให้คงราคาขายส่งก๊าซ LPG หน้าโรงกลั่นที่ 20.9179 บาทต่อกิโลกรัม (ไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) โดยมีกรอบเป้าหมายให้ราคาขายปลีก LPG อยู่ที่ประมาณ 423 บาทต่อถังขนาด 15 กิโลกรัม มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2568 ถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2568 และให้คณะกรรมการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (กบน.)พิจารณาบริหารจัดการเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงให้สอดคล้องกับแนวทางการทบทวนการกำหนดราคาก๊าช LPG ต่อไป

นายพีระพันธุ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ที่ประชุม กบง. ยังได้มีการพิจารณาแนวทางการลดค่าไฟฟ้าจากค่าใช้จ่ายตามนโยบายของรัฐ (Policy Expense) ที่คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) เสนอให้ทบทวนและปรับปรุงเงื่อนไขการสนับสนุนการรับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน ทั้งในรูปแบบ Adder และ Feed -in Tarff เพื่อให้สะท้อนต้นทุนที่แท้จริง ซึ่งจะส่งผลให้ข้อเสนอการปรับลดค่าไฟฟ้าของ กกพ. สามารถนำไปสู่การปฏิบัติได้จริง และไม่ขัดต่อกฎ ระเบียบที่เกี่ยวข้อง โดยที่ประชุมมีมติเห็นชอบร่างคำสั่งคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน เรื่อง แต่งตั้งอนุกรรมการพิจารณาแนวทางการกำหนดอายุสัญญาการรับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนในรูปแบบ Non-Firm เพื่อลดผลกระทบค่าไฟฟ้า และมอบหมายให้ฝ่ายเลขานุการฯ นำเสนอร่างคำสั่งต่อประธาน กบง. พิจารณาลงนามต่อไป

‘ดร.อธิป’ ชี้ การพัฒนา AI ไทยยังตามหลังเพื่อนบ้าน แนะ ต้องกล้าลงทุนปั้นบุคลากร - สร้าง AI ของตนเอง

(28 มี.ค. 68) ดร.อธิป อัศวานันท์ ผู้อำนวยการ สภาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งประเทศไทย โพสต์เฟซบุ๊ก Atip Asvanund ว่า ประเทศไทยควรพัฒนาทักษะด้าน STEM อย่างเร่งด่วน เพื่อให้อุตสาหกรรมดิจิทัลและ Startup ของพวกเราสามารถมีบทบาทในการพัฒนาเทคโนโลยี AI แทนที่จะเป็นการซื้อของคนอื่นมาใช้อย่างเดียว

- คนไทยเพียง 1% (1 คนใน 100 คน) มีทักษะการเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์ ขณะที่มาเลเซียมีถึง 16%

- บัณฑิตไทยเพียง 20% จบการศึกษาในสาขา STEM ขณะที่มาเลเซียมีถึง 50% และตั้งเป้าเพิ่มเป็น 60%

- ประเทศเพื่อนบ้านอย่างมาเลเซียและเวียดนามจัดสรรงบประมาณภาครัฐสนับสนุนด้านดิจิทัลและ AI เป็นสัดส่วนสำคัญของ GDP ขณะที่จากงบวิจัยของไทย 20,000 ล้านบาท มีเพียง 200 ล้านบาท (1%) ที่จัดสรรให้ด้านดิจิทัลและ AI

อินเดียเป็นตัวอย่างที่น่าสนใจ เมื่อปีที่แล้ว Sam Altman แห่ง OpenAI เคยกล่าวว่าอินเดียไม่สามารถพัฒนา AI ได้เอง แต่เมื่อ DeepSeek ได้พิสูจน์ให้เห็นว่าประเทศกำลังพัฒนาที่มีทุนจำกัดก็สามารถพัฒนา AI ที่แข่งขันได้ อินเดียจึงประกาศนโยบาย AI แห่งชาติเพื่อพัฒนาเทคโนโลยี AI ของตนเอง

ความยั่งยืนทางธุรกิจเกิดขึ้นเมื่อลูกค้าไม่สามารถผลิตสินค้านั้นได้เอง จึงเป็นที่มาของวาทกรรมที่ทำให้เราเชื่อว่าจำเป็นต้องพึ่งพาเทคโนโลยี AI จากประเทศพัฒนาแล้ว แต่เรามักไม่ตระหนักว่า ยิ่งเราใช้และส่งข้อมูลไปประมวลผลบนแพลตฟอร์ม AI ของพวกเขา ระบบเหล่านั้นก็จะยิ่งฉลาดขึ้น ขณะที่โอกาสที่เราจะตามทันกลับลดน้อยลงเรื่อย ๆ ส่งผลให้เราต้องพึ่งพาเทคโนโลยีต่างชาติอย่างไม่มีที่สิ้นสุด

แม้ผมจะเป็นเสียงส่วนน้อย แต่การผลักดันให้ประเทศไทยพัฒนาเทคโนโลยีของตนเองมีความสำคัญอย่างยิ่งต่ออนาคตของประเทศ

ปรากฏตัวกลางม็อบประท้วงอิสตันบูล สร้างขวัญกําลังใจ ร่วมกับประชาชนนับพันที่เดือดจัด ต่อต้านจับกุมนายกฯ ‘เอเครม อิมาโมกลู’

(28 มี.ค. 68) สำนักข่าวต่างประเทศ รายงานว่า บรรยากาศการประท้วงในเมืองอิสตันบูล ประเทศตุรกี เต็มไปด้วยความตึงเครียด หลังประชาชนหลายพันคนออกมารวมตัวบนท้องถนนเพื่อแสดงความไม่พอใจต่อการจับกุม 'เอเครม อิมาโมกลู' นายกเทศมนตรีอิสตันบูล 

โดยการประท้วงซึ่งรายงานว่าเป็นการเคลื่อนไหวมวลชนครั้งใหญ่ที่สุดในภูมิภาคในรอบหลายทศวรรษ เริ่มต้นขึ้นเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว หลังจากนายกเทศมนตรีอิสตันบูล เอเครม อิมาโมกลู ถูกจับกุมในข้อหาทุจริต 

อย่างที่ทรากันดีว่า เอเครมเป็นคู่แข่งสำคัญของประธานาธิบดีเรเจป ทายิป เออร์โดกัน ซึ่งโจมตีกลุ่ม LGBTQ+ สิทธิสตรี ประชาธิปไตย และประชาชนตุรกีส่วนหนึ่งเชื่อว่ากำลังนำประเทศเข้าสู่ระบอบเผด็จการและเผด็จการ

การชุมนุมดังกล่าวเต็มไปด้วยอารมณ์เดือดดาล แต่กลับมีจังหวะน่าประหลาดใจ เมื่อมีชายหรือหญิงในชุดมาสคอต 'พิคาชู' จากการ์ตูนดังอย่างโปเกมอนร่วมเดินขบวนอย่างฮึกเหิม สร้างสีสันให้กับบรรยากาศตึงเครียด บางช่วงยังมีการตะโกนคำขวัญเรียกร้องความยุติธรรมพร้อมกับยกกำปั้นขึ้นฟ้า ท่ามกลางเสียงหัวเราะและความสนใจจากกลุ่มผู้ประท้วง

อย่างไรก็ตาม ความน่ารักของพิคาชูกลับแปรเปลี่ยนเป็นความโกลาหลเมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าควบคุมฝูงชนด้วยรถฉีดน้ำแรงดันสูง ทำให้ประชาชนแตกกระเจิง ขณะที่พิคาชูต้องวิ่งหนีไปพร้อมกับผู้ชุมนุมคนอื่น ๆ ท่ามกลางความชุลมุน

การจับกุมอิโมม็อกลู ซึ่งถูกกล่าวหาว่าดูหมิ่นเจ้าหน้าที่รัฐ ถูกมองว่าเป็นความเคลื่อนไหวทางการเมืองที่อาจส่งผลกระทบต่อการแข่งขันทางการเมืองในอนาคต โดยผู้สนับสนุนของเขาเชื่อว่านี่เป็นความพยายามกำจัดคู่แข่งของแอร์โดอันในการเลือกตั้งที่กำลังจะมาถึง

แม้เหตุการณ์จะจบลงด้วยการสลายตัวของกลุ่มผู้ชุมนุม แต่ภาพของพิคาชูท่ามกลางฝูงชนยังคงกลายเป็นที่พูดถึงอย่างกว้างขวางในสื่อสังคมออนไลน์ พร้อมแฮชแท็ก #PikachuProtest ที่ถูกแชร์ไปทั่วโลก

ภาคประชาสังคมวิกฤติ หลังสหรัฐฯ ระงับงบ USAID ส่งผลให้โครงการสำคัญในยูเครนส่อหยุดชะงัก

(28 มี.ค. 68) ภาคประชาสังคมในยูเครนกำลังเผชิญความท้าทายครั้งใหญ่ หลังจากรัฐบาลสหรัฐฯ ประกาศระงับงบประมาณของสำนักงานเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศแห่งสหรัฐฯ (USAID) ที่ให้การสนับสนุนโครงการสำคัญหลายโครงการในประเทศ

การตัดสินใจดังกล่าวส่งผลให้โครงการด้านสิทธิมนุษยชน การช่วยเหลือผู้ลี้ภัย การพัฒนาประชาธิปไตย และการฟื้นฟูเศรษฐกิจในยูเครนต้องหยุดชะงักทันที นักวิเคราะห์มองว่านี่อาจเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯ และยูเครน โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่ประเทศกำลังเผชิญกับภาวะสงครามและความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ

ขณะที่องค์กรภาคประชาสังคมกว่า 73 แห่งต้องเผชิญภาวะขาดแคลนงบประมาณอย่างหนัก จากรายงานของ Open Space Works Ukraine และเครือข่าย Public Initiatives of Ukraine ที่เผยแพร่เมื่อวันที่ 17 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา พบว่า 25% ขององค์กรที่ได้รับผลกระทบมีแผนลดจำนวนพนักงาน 19% จำเป็นต้องให้พนักงานลาหยุดโดยไม่รับเงินเดือน และ 14% เตรียมระงับโครงการบางส่วนอย่างไม่มีทางเลือก

ที่น่ากังวลยิ่งกว่านั้น คือ 75% ขององค์กรเหล่านี้กำลังดิ้นรนหาทุนทางเลือกใหม่ บางแห่งเริ่มเปลี่ยนแปลงรูปแบบธุรกิจ ปรับโครงสร้างการทำงาน และหันไปพึ่งพาผู้บริจาคภายในประเทศแทน

องค์กรพัฒนาเอกชน (NGOs) และหน่วยงานภาคประชาสังคมหลายแห่งออกมาแสดงความกังวลว่า การระงับงบประมาณครั้งนี้จะทำให้ประชาชนยูเครน โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบาง ได้รับผลกระทบอย่างรุนแรง 

รัฐบาลสหรัฐฯ ยังไม่ได้ให้เหตุผลอย่างเป็นทางการเกี่ยวกับการระงับงบประมาณของ USAID แต่แหล่งข่าววงในระบุว่า อาจเกี่ยวข้องกับความตึงเครียดทางการเมืองภายในสหรัฐฯ รวมถึงแรงกดดันจากกลุ่มที่ต้องการให้มีการทบทวนการใช้เงินภาษีเพื่อช่วยเหลือต่างประเทศ

นักวิเคราะห์บางส่วนมองว่า การตัดสินใจครั้งนี้อาจส่งผลให้สหรัฐฯ สูญเสียอิทธิพลในยูเครน และเปิดโอกาสให้มหาอำนาจอื่น เช่น สหภาพยุโรป หรือจีน เข้ามามีบทบาทมากขึ้นในการช่วยเหลือประเทศที่ยังอยู่ในภาวะสงคราม

ด้าน องค์กรภาคประชาสังคมในยูเครนออกแถลงการณ์เรียกร้องให้สหรัฐฯ ทบทวนการตัดสินใจดังกล่าว โดยเน้นย้ำว่าความช่วยเหลือจาก USAID มีบทบาทสำคัญในการรักษาเสถียรภาพของสังคมยูเครนในช่วงวิกฤติ

“การระงับงบประมาณครั้งนี้ไม่เพียงกระทบต่อโครงการพัฒนา แต่ยังเป็นสัญญาณเชิงลบต่อประชาชนที่ต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยและเสรีภาพในยูเครน” ตัวแทนจากองค์กรสิทธิมนุษยชนยูเครนกล่าว

ในขณะที่รัฐบาลยูเครนยังไม่ได้ออกแถลงการณ์อย่างเป็นทางการต่อกรณีนี้ นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าอาจมีการเจรจากับเจ้าหน้าที่สหรัฐฯ เพื่อหาทางออกต่อไป

ทั้งนี้ สถานการณ์ดังกล่าวยังคงเป็นที่จับตามองอย่างใกล้ชิด เนื่องจากอาจส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพของยูเครนในระยะยาว และอาจเปลี่ยนแนวทางความร่วมมือระหว่างประเทศในอนาคต

กรมพัฒน์ฯ ดีเดย์ปิดเคาน์เตอร์ Walk In 1 ก.ค.68 เตรียมเปิดบริการจดทะเบียนบริษัทแบบดิจิทัล 100%

กรมพัฒนาธุรกิจการค้า เดินสายแนะนำ/ให้คำปรึกษาภาคธุรกิจใช้ระบบจดทะเบียนนิติบุคคลดิจิทัล : DBD Biz Regist พร้อมทำความเข้าใจ..ระบบเป็นมิตรกับผู้ใช้งาน สะดวก รวดเร็ว ทำได้ทุกที่ ทุกเวลา ช่วยให้การจดทะเบียนนิติบุคคลรวดเร็วขึ้น ก่อนเดินตามแผนที่กำหนด...ปิดเคาน์เตอร์ Walk In รับคำขอจดทะเบียนนิติบุคคลแบบกระดาษทั่วประเทศ วันที่ 1 กรกฎาคม 2568 ประเดิมสอนใช้งานระบบ DBD Biz Regist ธุรกิจพลังงานใหญ่ ปตท.ที่มีนิติบุคคลในเครือกว่า 500 บริษัท พูดเสียงเดียวกัน ‘ระบบใช้งานง่ายจริง’

(28 มี.ค. 68) นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า กรมพัฒนาธุรกิจการค้าตั้งเป้าปิดเคาน์เตอร์ Walk In ยื่นจดทะเบียนนิติบุคคลแบบกระดาษทั่วประเทศ ตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2568 เป็นต้นไป โดยกำหนด 4 มาตรการหลักเพื่อรองรับและเตรียมความพร้อมก่อนปิดเคาน์เตอร์ Walk In จดทะเบียนธุรกิจทั่วประเทศ ได้แก่ 1) จัดเจ้าหน้าที่ให้คำปรึกษาและช่วยสอนใช้งานระบบ ทั้งส่วนกลาง (กรมพัฒนาธุรกิจการค้า สนามบินน้ำ) สำนักงานพัฒนาธุรกิจการค้าในกรุงเทพมหานครทั้ง 6 เขต และสำนักงานพาณิชย์จังหวัดทั่วประเทศ 2) จัดทำคลิปสั้นสอนวิธีการใช้งานทั้งการจดทะเบียนจัดตั้งนิติบุคคลใหม่ และการเปลี่ยนแปลงแก้ไขรายการทางทะเบียน การจดทะเบียนเลิกและชำระบัญชี 3) เปิดอบรมและสอนวิธีการใช้งานระบบแก่สำนักงานบัญชี/สำนักงานกฎหมาย ภาคธุรกิจ และผู้สนใจเดือนละ 2 ครั้งผ่านระบบออนไลน์ หรือหากหน่วยงานใดต้องการให้กรมฯ ส่งวิทยากรไปบรรยายรายละเอียดการใช้งานระบบดังกล่าวสามารถประสานงานกรมฯ ได้ 4) เร่งดำเนินการประชาสัมพันธ์ชี้แจงทำความเข้าใจกับผู้ประกอบธุรกิจและผู้เกี่ยวข้องอย่างต่อเนื่องถึงการเปลี่ยนแปลงการให้บริการที่กำลังจะเกิดขึ้น เพื่อให้ภาคธุรกิจเข้าใจถึงขั้นตอนการปฏิบัติและมีความพร้อมสู่การเข้าใช้บริการจดทะเบียนนิติบุคคลผ่านระบบออนไลน์อย่างเต็มรูปแบบ

ล่าสุด กรมฯ ได้รับการประสานงานจากบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) (สำนักงานที่ปรึกษากฎหมาย) ขอให้จัดส่งเจ้าหน้าที่กรมฯ เข้าสอนใช้งานระบบจดทะเบียนนิติบุคคลดิจิทัล : DBD Biz Regist แก่ตัวแทนของบริษัทในเครือ จำนวน 70 ราย เพื่อพัฒนาเสริมศักยภาพในการจดทะเบียนนิติบุคคลผ่านระบบ DBD Biz Regist ร่วมกันผลักดันให้บริษัทในเครือของ ปตท.กว่า 500 บริษัท สามารถจดทะเบียนนิติบุคคลผ่านระบบ DBD Biz Regist ได้อย่างสะดวกรวดเร็ว มีประสิทธิภาพ และประหยัดค่าใช้จ่าย โดยเจ้าหน้าที่กรมฯ ได้บรรยายวิธีการใช้งาน และลงมือปฏิบัติกรอกข้อมูลในระบบ ซึ่งผู้เข้ารับการอบรมสามารถดำเนินการได้อย่างต่อเนื่อง และพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า ‘ระบบ DBD Biz Regist ใช้งานง่าย ไม่ยุ่งยาก และได้รับความสะดวกมากกว่าการเดินทางไปจดทะเบียนที่สำนักงานของกรมพัฒนาธุรกิจการค้า ไม่ต้องรอคิว และที่สำคัญ คือ สามารถเลือกวันที่ต้องการจดทะเบียนได้ตามฤกษ์ยามที่กำหนด ช่วยสร้างความสะดวกสบายให้แก่ภาคธุรกิจ’  

นอกจากนี้ ได้มีหน่วยงานต่างๆ ขอให้กรมฯ จัดส่งเจ้าหน้าที่เข้าสอนใช้งานระบบฯ เช่น สมาคมสำนักงานบัญชีคุณภาพ (ACTAP) สมาคมผู้สอบบัญชีภาษีอากรแห่งประเทศไทย ฯลฯ เป็นต้น ขณะเดียวกัน กรมฯ มีกำหนดการลงพื้นที่เพื่ออบรมการใช้งานระบบฯ แก่ภาคธุรกิจจังหวัดต่างๆ เช่น นนทบุรี ชลบุรี  ขอนแก่น อุบลราชธานี เชียงใหม่ พิษณุโลก สงขลา ภูเก็ต ฯลฯ และมีการจัดอบรม ณ ศูนย์ประชุมกรมพัฒนาธุรกิจการค้า สนามบิน จ.นนทบุรี ระหว่างเดือนกุมภาพันธ์ - กันยายน 2568 ด้วย   

อธิบดีอรมน กล่าวเพิ่มเติมว่า ระบบจดทะเบียนนิติบุคคลทางดิจิทัล : DBD Biz Regist เป็นระบบจดทะเบียนนิติบุคคลประเภทห้างหุ้นส่วนและบริษัทจำกัดที่มีความเป็นมิตรและสะดวกต่อผู้ใช้บริการมากขึ้น ใช้งานได้ง่าย โดยเริ่มต้นจากการลงทะเบียนยืนยันตัวตนที่ง่ายและทำได้หลายช่องทาง การกรอกข้อมูลรายละเอียดนิติบุคคลในรูปแบบ e-Form ที่สะดวก รวดเร็ว มีข้อความสำเร็จรูปให้เลือกใช้โดยไม่ต้องเสียเวลาพิมพ์เอง รวมถึงมีการเชื่อมโยงข้อมูลเพื่อตรวจสอบความถูกต้องกับหน่วยงานต่างๆ เช่น ข้อมูลบุคคลกับกรมการปกครอง ข้อมูลที่อยู่กับไปรษณีย์ไทย ฯลฯ เป็นต้น 

DBD Biz Regist มี 4 ข้อดี คือ ดีแรก : อำนวยความสะดวกและรวดเร็ว ผู้ประกอบการสามารถยื่นคำขอจดทะเบียนผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ได้ทุกที่ทุกเวลา ตลอดเวลา 24 ชั่วโมง ทุกวัน ไม่เว้นวันหยุดราชการ ไม่จำเป็นต้องเดินทางมาที่กรมพัฒนาธุรกิจการค้า สำนักงานพัฒนาธุรกิจการค้าเขต หรือ หน่วยจดทะเบียน สำนักงานพาณิชย์จังหวัด ดีที่สอง : ลดการใช้เอกสาร ระบบจดทะเบียนดิจิทัล ช่วยลดการใช้เอกสาร และกระบวนการที่ต้องใช้กระดาษทำให้เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ดีที่สาม : การันตีความปลอดภัยสูง มีการใช้เทคโนโลยีเพื่อช่วยป้องกันการปลอมแปลงข้อมูล และรักษาความโปร่งใสในกระบวนการจดทะเบียนนิติบุคคล และ ดีที่สี : ช่วยลดต้นทุน ระบบดิจิทัลช่วยลดค่าใช้จ่ายในการดำเนินการของผู้ประกอบการ และหน่วยงานภาครัฐ

นับตั้งแต่วันที่เปิดให้บริการระบบ DBD Biz Regist ตั้งแต่วันที่ 16 มกราคม 2568 - 16 มีนาคม 2568 มีภาคธุรกิจและประชาชนเข้าใช้บริการจดทะเบียนนิติบุคคลทั้งจัดตั้งใหม่ เปลี่ยนแปลง แก้ไขข้อมูลทางทะเบียนผ่านระบบ DBD Biz Regist เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ โดยล่าสุดมีผู้ใช้บริการในส่วนกลางคิดเป็นร้อยละ 40 ของจำนวนผู้ใช้บริการจดทะเบียนนิติบุคคล (ส่วนกลาง) และมีผู้ใช้งานทั่วประเทศคิดเป็นร้อยละ 36 ของจำนวนผู้ใช้บริการจดทะเบียนนิติบุคคลทั้งหมด ซึ่งคำขอที่ยืนผ่านระบบฯ เจ้าหน้าที่สามารถตรวจความถูกต้องและอนุมัติคำขอจดทะเบียนได้ภายใน 24 ชั่วโมง ทำให้สามารถตอบสนองความต้องการของภาคธุรกิจและผู้ใช้บริการได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ

หน่วยบัญชาการทหารไซเบอร์ หน่วยรบที่มีความสำคัญและจำเป็นสำหรับสงครามสมัยใหม่

แม้ว่าการรบที่เกิดในปัจจุบันที่เราท่านได้เห็นกันตามสื่อต่าง ๆ ยังคงเป็นการรบด้วยกำลังทหารพร้อมอาวุธยุทโธปกรณ์ต่าง ๆ อยู่ แต่ในความเป็นจริงแล้ว สมรภูมิที่มองไม่เห็นและมีการต่อสู้กันอย่างดุเดือดไม่แพ้กันเลยก็คือ 'สมรภูมิไซเบอร์' ซึ่งสงครามระหว่างรัสเซียและยูเครนนั้นยังที่การสู้รบที่เป็น 'สงครามไซเบอร์' อีกด้วย 

สงครามไซเบอร์ระหว่างรัสเซียและยูเครนเป็นส่วนหนึ่งของการเผชิญหน้าระหว่างรัสเซียและยูเครนตั้งแต่ “การปฏิวัติแห่งศักดิ์ศรี หรือการปฏิวัติไมดาน หรือการปฏิวัติยูเครน” ซึ่งเกิดขึ้นในยูเครนเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2014 โดย Uroburos อาวุธไซเบอร์ของรัสเซียซึ่งมีมาตั้งแต่ปี 2005 อย่างไรก็ตาม การโจมตีระบบสารสนเทศเป็นครั้งแรกต่อหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชนของยูเครนถูกบันทึกไว้ว่าเกิดขึ้นระหว่างการประท้วงครั้งใหญ่ในปี 2013 

ปฏิบัติการ Armagedon (เป็นการสะกดคำว่า Armageddon ผิดโดยตั้งใจ) ซึ่งเป็นปฏิบัติการจารกรรมทางไซเบอร์อย่างเป็นระบบของรัสเซียต่อระบบสารสนเทศของหน่วยงานของรัฐ หน่วยบังคับใช้กฎหมาย และหน่วยงานป้องกันประเทศของยูเครน ได้เริ่มต้นขึ้นในปี 2013 โดยรัสเซียเชื่อว่าจะเป็นการช่วยเหลือและสนับสนุนปฏิบัติการในสนามรบได้ ระหว่างปี 2013 และ 2014 ระบบสารสนเทศบางส่วนของหน่วยงานของรัฐบาลยูเครนได้รับผลกระทบจากไวรัสคอมพิวเตอร์ที่รู้จักกันในชื่อว่า Snake หรือ Uroborus หรือ Turla 

ในเดือนกุมภาพันธ์ - มีนาคม 2014 ขณะที่กองทหารรัสเซียเข้าสู่ไครเมียศูนย์สื่อสารและสายเคเบิลไฟเบอร์ออปติกของยูเครนถูกโจมตีและถูกแทรกแซงรบกววนสัญญาณทำให้การเชื่อมต่อระหว่างคาบสมุทรและแผ่นดินใหญ่ยูเครนถูกตัดขาด นอกจากนี้ เว็บไซต์ของรัฐบาลยูเครน ข่าว และโซเชียลมีเดียก็ถูกปิดหรือตกเป็นเป้าหมายในการโจมตี ขณะที่โทรศัพท์มือถือของสมาชิกรัฐสภาของยูเครนหลายคนถูกแฮ็ก หรือรบกวนสัญญาณ ผู้เชี่ยวชาญของยูเครนจึงได้ระบุถึงจุดเริ่มต้นของสงครามไซเบอร์กับรัสเซีย บริษัทด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์เริ่มบันทึกจำนวนการโจมตีทางไซเบอร์ในระบบสารสนเทศของยูเครนที่เพิ่มขึ้น 

เหยื่อของการโจมตีทางไซเบอร์ของรัสเซีย ได้แก่ หน่วยงานของรัฐบาลยูเครน สหภาพยุโรป สหรัฐอเมริกา หน่วยงานด้านการป้องกันประเทศ องค์กรด้านการป้องกันประเทศ และองค์กรทางการเมืองระดับนานาชาติและระดับภูมิภาค สถาบันวิจัย สื่อมวลชน และนักต่อต้านรัฐบาล ในปี 2015 นักวิจัยได้ระบุกลุ่มแฮกเกอร์ชาวรัสเซียสองกลุ่มที่เคลื่อนไหวในสงครามไซเบอร์ระหว่างรัสเซียและยูเครน ได้แก่ กลุ่มที่เรียกว่า APT29 (Cozy Bear, Cozy Duke) และ APT28 (Sofacy Group, Tsar Team, Pawn Storm, Fancy Bear) และตั้งแต่เริ่มปฏิบัติการพิเศษทางทหารต่อยูเครน รัสเซียได้ทำการโจมตีทางไซเบอร์ต่อบริการอินเทอร์เน็ตผ่านดาวเทียม Starlink ที่ยูเครนใช้งานเรื่อยมาจนทุกวันนี้

ในการอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรีที่ผ่านมา พรรคประชาชนได้แฉเอกสารลับที่เกี่ยวข้องกับ “ปฏิบัติการ IO หรือ ปฏิบัติการการข้อมูลข่าวสาร” โดยพยายามตีความให้สังคมไทยเห็นว่า “กองทัพกำลังคุกคามประชาชน ล้ำเส้นประชาธิปไตย และควรถูกจำกัดบทบาทให้เหลือแค่ ‘ยามเฝ้าประตู’ เท่านั้น” แต่เรื่องพรรคประชาชนที่เปิดเผยนั้นกลับไม่ได้ทำให้กองทัพดูน่ากลัวแต่อย่างใด และทำให้พี่น้องประชาชนคนไทยได้เห็นว่า “กองทัพไทยมีศักยภาพเชิงลึกในการเฝ้าระวังภัยคุกคามรูปแบบใหม่ ทั้งในมิติของข้อมูล ข่าวสาร” และมีขีดความสามารถในการควบคุมทิศทาง “การรับรู้” ซึ่งนั่นก็คือ “การทำสงครามอย่างมีพุทธิพิสัย (Cognitive Domain) อย่างเต็มรูปแบบ (พุทธิพิสัยเป็นเรื่องของการพัฒนาที่เกี่ยวข้องกับ สติปัญญา ความรู้ ความคิด หรือพฤติกรรมทางด้านสมองที่ทำให้มีความเฉลียวฉลาด มีความสามารถในการคิดเรื่องราวต่าง ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งแสดงถึงความสามารถทางด้านสติปัญญา) 

เอกสารดังกล่าวทำให้คนไทยจำนวนไม่น้อยได้เห็นในอีกแง่มุมว่า “กองทัพไทยไม่ได้ล้าหลัง แต่กลับมีความเข้าใจในบริบทของโลกสมัยใหม่มากกว่าที่สังคมไทยคิด!” โดยเอกสารนั้นได้ระบุว่า “กลุ่มเป้าหมายของการเฝ้าระวังส่วนหนึ่งคือ กลุ่มนักการเมือง นักเคลื่อนไหว และเครือข่ายที่รับทุนสนับสนุนจากองค์กรต่างชาติ เช่น USAID และ NED (องค์กรที่มีบทบาทแทรกแซงนโยบายภายในของประเทศต่าง ๆ มาแล้วทั่วโลก และเคยถูกวิจารณ์อย่างหนักว่าใช้ประชาธิปไตยเป็นข้ออ้างในการบ่อนทำลายความมั่นคงของรัฐในประเทศที่เห็นต่างหรือขั้วตรงข้ามมาแล้ว) และกองทัพไทยไม่ได้แค่ใช้ปฏิบัติการ “IO” เพื่อทำงานแบบเก่าและโบราณ เช่น การส่งข้อความปลุกใจ แต่ปรากฏว่าเป็นการทำงานอย่างเป็นระบบ มีกลไกที่ทำงานเป็นโครงข่าย มี Node มีความเชื่อมโยง มีระบบติดตามพฤติกรรม และมีการวิเคราะห์ปฏิกิริยาในเชิงจิตวิทยา

สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้เป็นการตอกย้ำว่า “ทหารไทยในยุคปัจจุบันเข้าใจดีว่า โลกไม่ได้รบกันแค่ในสนามรบ แต่รบกันในหัวสมองประชาชน และรบด้วยการมี “พุทธิพิสัย (Cognitive Domain)” การอภิปรายของพรรคประชาชนในกรณีนี้จึงทำให้สังคมไทยได้ตระหนักว่า เมื่อสงครามสมัยใหม่สู้รบด้วยข้อมูล และใช้ความคิดลวง เพื่อทำให้คนไทยสับสนและหมดศรัทธาในสถาบันหลักของชาติ ดังนั้นจึงสมควรอย่างยิ่งที่กองทัพไทยจะต้องมี “หน่วยรบไซเบอร์” อย่างเป็นทางการ เป็นหน่วยปฏิบัติการหลักที่มีโครงสร้างชัดเจนและสามารถปฏิบัติการร่วมกับเหล่าทัพต่าง ๆ ทั้ง กองทัพบก-กองทัพเรือ-กองทัพอากาศ-สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และหน่วยงานภาครัฐต่าง ๆ ได้ 

หลายฝ่ายได้มีการเสนอให้ตั้ง 'กองทัพไซเบอร์' เป็นเหล่าทัพใหม่ แต่อันที่จริงแล้ว 'หน่วยรบไซเบอร์' ของกองทัพไทยควรจะเป็นหน่วยปฏิบัติการภายใต้กองบัญชาการกองทัพไทย ในลักษณะและโครงสร้างที่มีความคล้ายคลึงกับหน่วยงานที่มีอยู่ เช่น “หน่วยบัญชาหารทหารพัฒนา” เนื่องจากการตั้งเหล่าทัพใหม่นั้นต้องใช้เวลาทั้งการศึกษา เตรียมการ และจัดตั้ง ค่อนข้างยาวนาน และต้องใช้งบประมาณอีกมหาศาล ดังนั้นการจัดตั้งหน่วยงานใหม่ภายใต้กองบัญชาการกองทัพไทย น่าจะเป็นทางเลือกที่มีความเหมาะสมและรวดเร็วกว่า จึงขอใช้โอกาสนี้ให้กองทัพไทยได้จัดตั้ง 'หน่วยบัญชาการทหารไซเบอร์' โดยเร็วที่สุด เพื่อให้กองทัพไทยมีความพร้อมและสามารถรับมือกับภัยคุกคามในรูปแบบใหม่ทุกรูปแบบและทุกมิติ เพราะ “ความมั่นคงของชาติบ้านเมือง” เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดในการธำรงและรักษาไว้ซึ่งเอกราชและอธิปไตยของชาติบ้านเมือง

“แม้หวังตั้งสงบ จงเตรียมรบให้พร้อมสรรพ ศัตรูกล้ามาประจัน จะอาจสู้ริปูสลาย” 
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๖

อนาคตแรงงานสั่นคลอน AI แทนที่หมอ-ครูใน 10 ปี เปลี่ยนโลกของการทำงาน และมนุษย์อาจไม่ใช่ตัวเลือกหลักอีกต่อไป

(28 มี.ค. 68) บิล เกตส์ ผู้ก่อตั้งไมโครซอฟท์และมหาเศรษฐีนักลงทุนด้านเทคโนโลยี ออกมาเตือนว่า ปัญญาประดิษฐ์ (AI) อาจเข้ามาแทนที่อาชีพสำคัญ เช่น แพทย์และครู ภายในระยะเวลาเพียง 10 ปี ส่งผลให้มนุษย์อาจ “ไม่จำเป็น” สำหรับหลายอาชีพที่เคยต้องใช้แรงงานคน

เกตส์ชี้ว่า การพัฒนา AI กำลังเข้าสู่จุดที่สามารถวิเคราะห์ข้อมูลทางการแพทย์ วินิจฉัยโรค แนะนำวิธีรักษา ได้อย่างแม่นยำโดยไม่ต้องพึ่งพาแพทย์มนุษย์ เช่น AI ช่วยอ่านผลเอกซเรย์, วิเคราะห์อาการของผู้ป่วย, และให้คำแนะนำด้านต่าง ๆ

ส่วนในวงการศึกษา AI อาจทำหน้าที่เป็นครูผู้สอน ที่สามารถปรับหลักสูตรให้เหมาะกับนักเรียนแต่ละคนแบบเรียลไทม์ ทำให้บทบาทของครูเปลี่ยนไปจากการเป็นผู้สอน เป็นเพียงผู้ดูแลและให้คำแนะนำแทน

นอกจากนี้ เกตส์ระบุอีกว่า แม้ AI จะสามารถทำงานแทนมนุษย์ได้ในหลายด้าน แต่จะยังไม่สามารถแทนที่ทุกอาชีพได้ทั้งหมด โดยเฉพาะงานที่ต้องอาศัยความคิดสร้างสรรค์ การตัดสินใจเชิงศีลธรรม และการมีปฏิสัมพันธ์ทางอารมณ์

อย่างไรก็ตาม อาชีพที่เกี่ยวข้องกับงานเอกสาร งานวิเคราะห์ข้อมูล หรืองานที่ใช้ตรรกะ มีโอกาสสูงที่จะถูก AI เข้ามาแทนที่ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า ซึ่งอาจทำให้ เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในตลาดแรงงาน และต้องมีการปรับตัวอย่างเร่งด่วน

ทั้งนี้ เกตส์ยอมรับว่า AI เป็นดาบสองคม หากใช้ในทางที่ถูกต้อง มันสามารถช่วยให้มนุษย์มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น เช่น เข้าถึงบริการทางการแพทย์ที่แม่นยำขึ้น ลดภาระครู เพิ่มโอกาสทางการศึกษาให้ทั่วถึง แต่ถ้าไม่เตรียมตัวรับมือ AI อาจสร้างปัญหาด้านการว่างงาน และเพิ่มช่องว่างทางเศรษฐกิจระหว่างกลุ่มที่ปรับตัวได้กับกลุ่มที่ปรับตัวไม่ได้

“โลกต้องเตรียมรับมือกับยุคที่ AI จะเปลี่ยนโฉมทุกอุตสาหกรรม” เกตส์กล่าว พร้อมแนะนำให้ภาครัฐและภาคธุรกิจ ปรับปรุงระบบการศึกษา และพัฒนาทักษะแรงงานให้ทันกับการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี

แม้ว่า AI จะเข้ามามีบทบาทมากขึ้น แต่ผู้เชี่ยวชาญหลายฝ่ายเชื่อว่า มนุษย์ยังคงมีจุดแข็งที่ AI ไม่สามารถแทนที่ได้ทั้งหมด โดยเฉพาะเรื่องความคิดสร้างสรรค์ การตัดสินใจเชิงจริยธรรม และปฏิสัมพันธ์ทางอารมณ์

อย่างไรก็ดี สิ่งที่สำคัญคือโลกต้องปรับตัวให้ทันกับ AI และหาทางใช้มันเป็นเครื่องมือช่วยพัฒนาอุตสาหกรรม แทนที่จะมองว่าเป็นภัยคุกคาม ซึ่งคำเตือนของบิล เกตส์ ได้สร้างแรงกระเพื่อมให้กับวงการเทคโนโลยีและตลาดแรงงานทั่วโลก หลายฝ่ายเริ่มตั้งคำถามว่า มนุษย์จะยังคงมีบทบาทสำคัญในโลกอนาคต หรือ AI จะเป็นผู้ควบคุมแทน


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top