Sunday, 11 May 2025
NewsFeed

‘รัฐประหารในกาตาร์’ ปี 1996 ล้มเหลวไม่เป็นท่า เพียงเพราะทหารรับจ้างลืมแผนที่ - หาพระราชวังไม่เจอ

กาตาร์หรือรัฐกาตาร์ เป็นประเทศในเอเชียตะวันตก ตั้งอยู่ในคาบสมุทรกาตาร์บนชายฝั่งตะวันออกเฉียงเหนือของคาบสมุทรอาหรับ มีพรมแดนทางบกติดกับซาอุดีอาระเบียทางทิศใต้ และดินแดนส่วนที่เหลือล้อมรอบด้วยอ่าวเปอร์เซียและอ่าวบาห์เรน โดยมีอ่าวเปอร์เซียแบ่งกาตาร์ออกจากบาห์เรนที่อยู่ติดกัน เมืองหลวงคือกรุงโดฮาซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยของประชากรกว่า 80% ของประเทศ พื้นที่ส่วนใหญ่ของกาตาร์เป็นที่ราบลุ่มทะเลทราย

กาตาร์ปกครองโดยราชวงศ์ Al Thani ในฐานะรัฐราชาธิปไตยด้วยการสืบทอดสายเลือดตั้งแต่ Mohammed bin Thani ได้ลงนามในข้อตกลงกับอังกฤษในปี 1868 หลังจากการปกครองของจักรวรรดิออตโตมัน กาตาร์กลายเป็นรัฐในอารักขาของอังกฤษ ในปี 1916 และได้รับเอกราชในปี 1971 Emir (เจ้าผู้ครองรัฐ) คนปัจจุบันคือ ชีค Tamim bin Hamad Al Thani ซึ่งดำรงตำแหน่งทั้งฝ่ายบริหาร นิติบัญญัติ และตุลาการเกือบทั้งหมด (ตั้งแต่ปี 2013) ด้วยระบอบราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญของกาตาร์ โดยแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรี สภาที่ปรึกษาที่ได้รับการเลือกตั้งบางส่วน และสามารถขัดขวางกฎหมายและมีอำนาจในการปลดรัฐมนตรี

ในช่วงต้นปี 2017 ประชากรของกาตาร์อยู่ที่ 2.6 ล้านคน แม้ว่าจะมีเพียง 313,000 คนเท่านั้นที่เป็นพลเมืองกาตาร์ โดย 2.3 ล้านคนเป็นชาวต่างชาติและแรงงานข้ามชาติ มีศาสนาอิสลามเป็นประจำชาติ มีผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ต่อหัวสูงเป็นอันดับสี่ของโลก และอยู่ในอันดับที่ 42 ในดัชนีการพัฒนามนุษย์ซึ่งเป็น HDI ที่สูงเป็นอันดับสามของโลกอาหรับ เศรษฐกิจที่มั่งคั่งมาจากแหล่งสำรองก๊าซธรรมชาติและน้ำมันสำรองที่ใหญ่เป็นอันดับสามของโลก กาตาร์เป็นหนึ่งในผู้ส่งออกก๊าซธรรมชาติเหลวรายใหญ่ที่สุดของโลก และเป็นผู้ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ต่อหัวรายใหญ่ที่สุดในโลกด้วยเช่นกัน

กาตาร์ในขณะที่ปกครองโดย ชีค Hamad bin Khalifa Al Thani ผู้ซึ่งเผชิญกับความพยายามก่อรัฐประหารที่แปลกประหลาดที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ที่ไม่ใช่การโค่นล้มแบบทั่ว ๆ ไปที่มีทั้งการระเบิดและคำปราศรัยที่ดราม่า แต่เป็นเรื่องราวของการก่อรัฐประหารที่ล้มเหลว ซึ่งหน่วยข่าวกรองกาตาร์เรียกความพยายามก่อรัฐประหารในครั้งนั้นว่า "ปฏิบัติการอาบู อาลี (Abu Ali Operation)" ไม่ใช่เพราะการทรยศหรือขาดกำลังอาวุธ แต่เพราะทหารรับจ้างที่รับงานรัฐประหารมานั้นไม่สามารถหาที่ตั้งของพระราชวังเจอ ข้อมูลเรื่องราวสุดเหลือเชื่อของความพยายามก่อรัฐประหารในกาตาร์ในปี 1995 มีดังนี้

ในปี 1995 กาตาร์ซึ่งอยู่ภายใต้การปกครองของชีค Khalifa bin Hamad Al Thani (1972-1995) ในขณะที่ทรงพักผ่อนในสวิตเซอร์แลนด์ โดยเวลาเดียวกัน ชีค Hamad bin Khalifa Al Thani พระโอรสของพระองค์ ทรงตัดสินใจว่าถึงเวลาเปลี่ยนแปลงแล้ว ด้วยการสนับสนุนจากสมาชิกพระองค์อื่น ๆ ในราชวงศ์ Al Thani ชีค Hamad จึงทรงทำรัฐประหารโดยไม่นองเลือด และทรงยึดบัลลังก์พระบิดาของพระองค์ในขณะที่ไม่อยู่ โดยไม่มีการต่อสู้ เป็นการยึดอำนาจรัฐที่ราบรื่น แต่ ชีค Khalifa พระบิดาทรงไม่ยอมปล่อยผ่านเรื่องนี้ หนึ่งปีต่อมา ชีค Khalifa พระบิดาทรงตัดสินใจทวงบัลลังก์คืน พระองค์ทรงวางแผนไว้ว่าจะทรงจ้างทหารรับจ้างเพื่อบุกพระราชวัง และยึดอำนาจกลับคืนมาด้วยแผนการที่ฟังดูง่าย แต่ไม่ใช่เลย เมื่อทหารรับจ้างของพระองค์กลับมีฝีมือลายมือเหมือนกับผู้ร้ายสองคนใน Home Alone มากกว่าพระเอกใน Mission Impossible 

ความพยายามในการทำรัฐประหารที่ล้มเหลวอยู่ภายใต้การนำของ Hamad bin Jassim bin Hamad Al Thani อดีตรัฐมนตรีเศรษฐกิจ และได้รับการสนับสนุนจากพันธมิตรอาหรับดั้งเดิมของกาตาร์หลายชาติได้แก่ ซาอุดีอาระเบีย สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ บาห์เรน และอียิปต์ โดย ซาอุดีอาระเบีย และอียิปต์ ให้การสนับสนุนด้านการข่าว และได้รับการสนับสนุนด้านอาวุธยุทโธปกรณ์จาก บาห์เรน และอียิปต์ สืบเนื่องจากสมาชิกระดับสูงหลายคนของราชวงศ์ Al Thani ซึ่งยังคงเป็นพันธมิตรกับชีค Khalifa อดีต Emir ที่ถูกรัฐประหารได้ร่วมกันก่อรัฐประหารเพื่อโค่นล้มชีค Hamad กาตาร์อ้างว่ารัฐประหารครั้งนี้ได้รับการสนับสนุนจากต่างประเทศ อาทิ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ซาอุดีอาระเบีย อียิปต์และบาห์เรน บทความของ New York Times ในปี 1997 ระบุว่า นักการทูตตะวันตกที่ไม่ได้เปิดเผยชื่อหลายคนเชื่อว่า “รัฐประหารครั้งนี้สามารถวางแผนได้ก็ต่อเมื่อได้รับความยินยอมจากซาอุดีอาระเบียและสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์แล้วเท่านั้น”

ความพยายามก่อรัฐประหารที่กลายเป็นเรื่องตลกที่เกิดจากความผิดพลาด เกิดขึ้นในคืนวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 1996 ไม่ถึงหนึ่งปีหลังจากชีค Hamad ครองอำนาจ แผนการเบื้องต้นของชีค Khalifa ดูเหมือนจะไร้ข้อผิดพลาด จนกระทั่งมันกลายเป็นจริงจากเรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมด

ขั้นตอนที่ 1 : การจ้างทหารรับจ้าง ชีค Khalifa ได้ทรงจ้างทหารรับจ้างหลายสัญชาติจำนวนหนึ่ง (ตอนแรกทรงตั้งพระทัยจะจ้างทหารรับจ้างชาวแอฟริกาใต้ ต่อมาเป็นชาวฝรั่งเศส แต่รัฐบาลฝรั่งเศสไม่ยินยอม) เพื่อดำเนินแผนการของพระองค์ พวกเขาไม่ใช่ทหารรับจ้างธรรมดาแต่กลับกลายเป็นนักรบที่ติดการใช้ชีวิตหรูอยู่สบาย เริ่มด้วยการพักในโรงแรมระดับห้าดาวเมื่อเดินทางมาถึงกรุงโดฮา ด้วยเพราะกลุ่มทหารรับจ้างเหล่านั้นคิดว่าทำไมถึงต้องใช้ชีวิตอย่างลำบากด้วยในเมื่อพวกเขากำลังจะโค่นล้มรัฐบาลอยู่แล้ว

ขั้นตอนที่ 2 : การบุกพระราชวัง ภารกิจแรกของทหารรับจ้างคือ การบุกพระราชวัง แต่ประเด็นสำคัญคือพวกเขาหาไม่พบพระราชวัง ชาวกาต้าร์บอกว่าเห็นพวกเขาเดินเตร่ไปทั่วกรุงโดฮาแล้วเที่ยวถามว่า "พระราชวังอยู่ที่ไหน" ราวกับการบุกประเทศหนึ่งด้วยหน่วยรบชั้นยอด แต่กลับลืมนำแผนที่มาด้วย

ขั้นตอนที่ 3 : หลังจากที่ได้ข้อสรุปในที่สุดว่า “พระราชวังตั้งอยู่ที่ไหน” กลุ่มทหารรับจ้างก็ต้องเผชิญกับปัญหาอีกอย่างหนึ่ง นั่นคือพวกเขาไม่มีเรือที่จะข้ามแม่น้ำไปยังพระราชวัง เมื่อต้องเผชิญกับทางเลือกระหว่างการบุกพระราชวังด้วยการเดินเท้า หรือกลับไปพักผ่อนยังโรงแรมสุดหรู พวกเขาเลือกเอาอย่างหลัง และเพียงชั่วพริบตา ความพยายามก่อรัฐประหารก็จบลงด้วยกลุ่มทหารรับจ้างเดินกลับโรงแรมเพื่อพักผ่อนแทน ทำให้ในเวลาต่อมาทางการกาต้าร์ได้เริ่มปฏิบัติการต่อต้าน กวาดล้าง และปราบปรามการรัฐประหารดังกล่าวได้สำเร็จ

ในปี 2018 หนึ่งปีหลังจากวิกฤตการทูตกาตาร์เริ่มต้นขึ้น Al Jazeera ได้รายงานรายละเอียดใหม่ที่ชัดเจนในสารคดีเกี่ยวกับปฏิบัติการซึ่งกล่าวหาว่า ซาอุดีอาระเบีย บาห์เรน อียิปต์ และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (UAE) วางแผนโค่นล้มชีค Hamad สารคดีระบุถึงประเด็นสำคัญในปฏิบัติการคือการที่กลุ่มชายติดอาวุธจะกักบริเวณชีค Hamad ไว้ในพระราชวังซึ่งอยู่ติดกับถนน Al Rayyan เดิมทีมีกำหนดจะกักบริเวณในเวลา 05.00 น. ของวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 1996 ซึ่งเป็นวันที่ 27 ของเทศกาลถือศีลอด ทำให้มีกำลังทหารของกองทัพกาต้าร์ที่เตรียมพร้อมอยู่เพียง 20% แต่ได้เปลี่ยนเป็นวันที่ 14 กุมภาพันธ์เพื่อลดโอกาสที่จะถูกค้นพบ ตามข้อมูลข่าวกรองของกาตาร์การเปลี่ยนแปลงนี้เป็นคำสั่งของ Mohamed bin Zayed Al Nahyan (ประธานาธิบดีสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์คนปัจจุบัน) ซึ่งขณะนั้นเป็นผู้บัญชาการกองทัพสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ นอกจากนี้ เอกสารข่าวกรองของกาตาร์ยังอ้างว่า หลังจากผู้วางแผนเข้ารับตำแหน่งผู้บัญชาการกองกำลังทหารของกาตาร์อย่างเต็มรูปแบบแล้ว ผู้วางแผนจะส่งคนไปขอความช่วยเหลือจากกองกำลังติดอาวุธในซาอุดีอาระเบีย อย่างไรก็ตาม ในที่สุด การรัฐประหารก็ถูกค้นพบและขัดขวางได้ก่อนที่จะประสบความสำเร็จ 

ตามรายงานของ Al Jazeera ระบุว่า Paul Barril อดีตเจ้าหน้าที่ด้านความมั่นคงของฝรั่งเศสได้รับมอบหมายให้จัดหาอาวุธให้สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ เพื่อดำเนินการก่อรัฐประหารในกาตาร์ ซึ่ง Anwar Gargash รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ตอบโต้สารคดีดังกล่าว โดยระบุว่า Paul Barril เป็นเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยของชีค Khalifa ซึ่งเดินทางเยือนนครอาบูดาบี และไม่มีความสัมพันธ์กับสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ และกล่าวว่า สารคดีดังกล่าวเป็นความพยายามโกหกเพื่อพาดพิงสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ว่าเกี่ยวข้องกับความพยายามในการก่อรัฐประหารในกาต้าร์ 1996

แม้ว่าความพยายามก่อรัฐประหารในปี 1995 จะเป็นเพียงบันทึกเล็ก ๆ ในประวัติศาสตร์ของกาตาร์ แต่ประเทศและราชวงศ์ที่ปกครองอยู่ก็มีความน่าสนใจในแบบของตัวเอง นี่คือข้อเท็จจริงที่น่าสนใจบางส่วน :
1. ราชวงศ์ Al Thani ปกครองกาตาร์มาตั้งแต่กลางศตวรรษที่ 19 พวกเขามีชื่อเสียงในเรื่องความรู้ด้านการทูตและความสามารถในการรักษาเสถียรภาพในภูมิภาคที่มักเต็มไปด้วยความขัดแย้ง
2. ความมั่งคั่งของกาตาร์ กาตาร์เป็นหนึ่งในประเทศที่ร่ำรวยที่สุดในโลก เนื่องจากมีก๊าซธรรมชาติสำรองอยู่เป็นจำนวนมาก ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศต่อหัวของประเทศเป็นหนึ่งในผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ต่อหัวที่สูงที่สุดในระดับโลก และยังเป็นที่ตั้งของโรงแรมที่หรูหราที่สุด ห้างสรรพสินค้า และสถาปัตยกรรมล้ำสมัยอีกด้วย

3. เกาะเพิร์ล-กาตาร์ เป็นเกาะเทียมของกาตาร์ซึ่งมีรูปร่างเหมือนสร้อยไข่มุก เกาะแห่งนี้เป็นศูนย์กลางของการใช้ชีวิตที่หรูหรา มีร้านบูติกระดับไฮเอนด์ ร้านอาหาร และท่าจอดเรือ
4. ฟุตบอลโลก 2022 กาตาร์สร้างประวัติศาสตร์ด้วยการเป็นเจ้าภาพฟุตบอลโลก 2022 กลายเป็นประเทศตะวันออกกลางประเทศแรกที่ได้เป็นเจ้าภาพ แสดงให้เห็นถึงความสามารถของกาตาร์ในการจัดการแข่งขันระดับโลก แม้จะต้องเผชิญกับความท้าทายจากการตรวจสอบอย่างเข้มงวดจากชุมชนนานาชาติ

5. ไม่ต้องเสียภาษีเงินได้ ข้อดีอย่างหนึ่งของการอาศัยอยู่ในกาตาร์คือไม่ต้องเสียภาษีเงินได้ ถูกต้องแล้ว ประชาชนสามารถเก็บรายได้ทั้งหมดไว้ได้ ซึ่งเป็นเพียงเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ประเทศนี้ดึงดูดชาวต่างชาติได้มาก

ความพยายามก่อรัฐประหารในกาตาร์เมื่อปี 1995 เป็นการเตือนใจว่าแม้แต่แผนการที่วางไว้อย่างดีที่สุดก็อาจผิดพลาดอย่างน่าขบขันได้ ไม่ว่าจะเป็นการลืมนำแผนที่มาด้วยหรือการจองโรงแรมระดับห้าดาวให้กับทหารรับจ้าง บางครั้งความจริงก็แปลกประหลาดกว่านิยาย กลายเป็นประวัติศาสตร์ของความพยายามในการก่อรัฐประหารที่ไร้เหตุผล ประหลาด และโง่เขลา อย่างแท้จริง และบางครั้งล้มเหลวเพราะการวางแผนที่ไม่ดี ในขณะที่บางครั้งล้มเหลวเพราะผู้นำลืมรายละเอียดพื้นฐาน เช่น แผนที่ GPS ฯลฯ ดังนั้น ครั้งต่อไปที่มีการวางแผนทำการรัฐประหาร โปรดจำไว้ว่า ต้องแผนที่หรือ GPS ติดตัวไปด้วยเสมอ ตรวจสอบข้อมูลให้ดี และหลีกเลี่ยงการพักในโรงแรมระดับห้าดาวก็ได้ และถ้าทุกอย่างล้มเหลว ให้จำคำพูดของชีค Khalifa ที่ว่า "บ้าเอ๊ย น่าจะจ้างพวก Wagner มากกว่า" 

หลังจากลี้ภัยในต่างประเทศอยู่หลายปี ในที่สุด Hamad bin Jassim bin Hamad Al Thani ลูกพี่ลูกน้องของชีค Hamad อดีตรัฐมนตรีกระทรวงเศรษฐกิจและหัวหน้าตำรวจ ผู้วางแผนในการทำรัฐประหารก็ถูกจับกุมในเดือนกรกฎาคม 1999 และถูกนำตัวขึ้นศาลในเดือนกุมภาพันธ์ 2000 โดย Hamad bin Jassim รวมถึงผู้ร่วมก่อการอีก 32 คน ถูกตัดสินจำคุกตลอดชีวิตในข้อหาวางแผนรัฐประหาร มีผู้ต้องหาอีก 85 คนที่ถูกตัดสินว่ามีความผิดในข้อหาที่เกี่ยวข้องกับการรัฐประหาร บางคนถูกพิจารณาคดีลับหลัง ซึ่งจำเลยทั้งหมดที่เข้าร่วมให้การปฏิเสธข้อกล่าวหา ไม่มีข้อมูลเพิ่มเติมในส่วนเกี่ยวข้องกับกลุ่มทหารรับจ้างต่างชาติที่รับงานนี้มาหลังเหตุการณ์

ผลพวงจากความพยายามก่อรัฐประหารในกาตาร์ปี 1996 น่าสนใจไม่แพ้การก่อรัฐประหารเลยทีเดียว แม้ว่าการก่อรัฐประหารที่ล้มเหลวโดยกลุ่มทหารรับจ้างจะถือเป็นหายนะที่น่าขบขัน แต่ก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงประวัติศาสตร์ของกาตาร์ไปมากนัก และกลับทำให้ตำแหน่งของชีค Hamad bin Khalifa Al Thani ในฐานะ Emir แห่งกาตาร์แข็งแกร่งขึ้น และปูทางไปสู่การเปลี่ยนแปลงของประเทศให้กลายเป็นมหาอำนาจระดับภูมิภาคด้วยสิ่งที่เกิดขึ้นต่อไปนี้ :

1. การรวมอำนาจของชีค Hamad หลังจากความพยายามในการทำรัฐประหารโดยพระบิดาของพระองค์ล้มเหลว ชีค Hamad ได้ทรงกระชับอำนาจของพระองค์ให้มั่นคงขึ้น พระองค์ยังทรงปกครองกาตาร์โดยเน้นที่การปรับปรุงให้ทันสมัยและการกระจายความเสี่ยงทางเศรษฐกิจ การครองราชย์ของพระองค์ถือเป็นจุดเริ่มต้นของการเติบโตของกาตาร์ในฐานะผู้มีบทบาทสำคัญบนเวทีโลก ด้วยแหล่งสำรองก๊าซธรรมชาติจำนวนมหาศาลและนโยบายการทูตเชิงยุทธศาสตร์
2. การเปลี่ยนแปลงของกาตาร์ภายใต้การนำของชีค Hamad (1995–2013) ซึ่งมักถูกเรียกว่า “ยุคทองของกาตาร์” ต่อไปนี้คือการเปลี่ยนแปลงสำคัญบางส่วนที่พระองค์ทรงดำเนินการ :
- การกระจายความเสี่ยงทางเศรษฐกิจ ชีค Hamad ทรงลงทุนในอุตสาหกรรมก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) ของกาตาร์อย่างมากมาย จนทำให้กาตาร์กลายเป็นผู้ส่งออกก๊าซธรรมชาติรายใหญ่ที่สุดรายหนึ่งของโลก ความมั่งคั่งดังกล่าวทำให้กาตาร์สามารถระดมทุนสำหรับโครงการโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ การปฏิรูปการศึกษา และโครงการทางสังคมได้

- สื่อและการศึกษา ชีค Hamad ทรงก่อตั้งสำนักข่าวนานาชาติ Al Jazeera ที่มีชื่อเสียง ในปี 1996 โดย Al Jazeera ได้กลายเป็นเครื่องมือที่ทรงพลังในการกำหนดความคิดเห็นของสาธารณชนในโลกอาหรับและที่อื่น ๆ นอกจากนี้ พระองค์ยังทรงลงทุนในด้านการศึกษาด้วยการก่อตั้งมหาวิทยาลัยระดับโลก เช่น Education City ซึ่งเป็นที่ตั้งของสถาบันระดับนานาชาติที่มีชื่อเสียง
- สิทธิสตรีและการปฏิรูปสังคม ภายใต้การนำของชีค Hamad กาตาร์ได้ก้าวหน้าอย่างมากในด้านสิทธิสตรี รวมถึงให้สิทธิสตรีในการลงคะแนนเสียงและลงสมัครรับเลือกตั้งในปี 1999 นอกจากนี้ พระองค์ยังทรงสนับสนุนให้สตรีมีส่วนร่วมมากขึ้นในกำลังแรงงานและชีวิตสาธารณะอีกด้วย
- อิทธิพลระดับโลก ชีค Hamad ทรงวางตำแหน่งให้กาตาร์เป็นผู้ไกล่เกลี่ยความขัดแย้งในภูมิภาคและเป็นศูนย์กลางการทูตระหว่างประเทศ ด้วยการเป็นเจ้าภาพการเจรจาสันติภาพ ลงทุนในกีฬาระดับโลก (เช่น ฟุตบอลโลก 2022) และกลายเป็นพันธมิตรสำคัญของมหาอำนาจตะวันตก

ชะตากรรมของชีค Khalifa bin Hamad Al Thani หลังจากความพยายามก่อรัฐประหารล้มเหลว พระองค์ยังทรงต้องลี้ภัยไปยังฝรั่งเศส นครอาบูดาบี สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ อยู่หลายปี ในที่สุดก็สามารถเสด็จกลับมายังกาตาร์ในปี 2004 หลังจากทรงคืนดีกับพระโอรส โดยชีค Hamad ได้พระราชทานอภัยโทษอย่างเป็นทางการแก่พระองค์ และชีค Khalifa ทรงใช้ชีวิตในกาตาร์จนกระทั่งสิ้นพระชนม์ในปี 2016 การคืนดีครั้งนี้ช่วยรักษาเสถียรภาพภายในราชวงศ์ A Thani ซึ่งยังคงครองอำนาจอย่างมั่นคงจนกระทั่งทุกวันนี้

ชีค Tamim bin Hamad Al Thani ทรงรับช่วงจากพระบิดาต่อในปี 2013 โดยชีค Hamad ทรงสละราชบัลลังก์โดยสมัครใจเพื่อให้ชีค Tamim bin Hamad Al Thani พระโอรสของพระองค์ขึ้นเป็น Emir แทน การถ่ายโอนอำนาจอย่างสันตินี้เกิดขึ้นไม่บ่อยนักในภูมิภาคนี้แสดงให้เห็นถึงความมั่นคงของผู้นำกาตาร์ ชีค Tamim ยังทรงดำเนินตามนโยบายของพระบิดา โดยเน้นที่การกระจายความเสี่ยงทางเศรษฐกิจ การทูตระดับโลก และการเป็นเจ้าภาพจัดงานระดับนานาชาติที่สำคัญ เช่น ฟุตบอลโลก 2022

มรดกจากการรัฐประหารปี 1995 และเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นภายหลัง มักถูกมองว่าเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในประวัติศาสตร์ของกาตาร์ แม้ว่าความพยายามการทำรัฐประหารจะล้มเหลวอย่างน่าตลก แต่ก็ตอกย้ำถึงความอดทนของผู้นำของชีค Hamad วิสัยทัศน์และการปฏิรูปของพระองค์ทำให้กาตาร์เปลี่ยนจากรัฐอ่าวเปอร์เซียเล็ก ๆ มาเป็นประเทศที่มีอิทธิพลระดับโลก มีมาตรฐานการครองชีพสูง เศรษฐกิจแข็งแกร่ง และมีสถานะที่แข็งแกร่งในระดับนานาชาติ เรื่องราวนี้ยังเน้นย้ำถึงความสำคัญของความสามารถในการปรับตัวและความเป็นผู้นำที่มีวิสัยทัศน์กว้างไกล แม้ว่าความพยายามก่อรัฐประหารจะเป็นความผิดพลาด แต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตามมาพิสูจน์ให้เห็นว่ากาตาร์มีความสามารถในการเอาชนะความท้าทายและเจริญรุ่งเรืองได้ แม้จะกาต้าร์จะต้องเผชิญกับความยากลำบากมาแล้วก็ตาม

เส้นขอบฟ้าที่ทันสมัยของกาตาร์ สัญลักษณ์ที่เห็นได้ชัดที่สุดอย่างหนึ่งของการเปลี่ยนแปลงของกาตาร์คือเส้นขอบฟ้าอันล้ำยุคในกรุงโดฮา นครแห่งนี้เป็นที่ตั้งของสิ่งมหัศจรรย์ทางสถาปัตยกรรม เช่น Torch Doha พิพิธภัณฑ์ศิลปะอิสลาม และ Pearl-Qatar โดยสถานที่สำคัญเหล่านี้สะท้อนให้เห็นถึงความทะเยอทะยานและความมั่งคั่งของประเทศ ซึ่งเริ่มต้นขึ้นในรัชสมัยของชีค Hamad bin Khalifa Al Thani

หมายเหตุ ชาวอาหรับไม่มีนามสกุล จึงใช้ชื่อของบิดาต่อท้าย เช่น Tamim bin Hamad bin Khalifa Al Thani หมายถึง Tamim บุตรชายของ Hamad ผู้ซึ่งเป็นบุตรชายของ Khalifa แห่งราชวงศ์ Al Thani

ไม่พลาด!!!
ตลอดเดือนเมษายน 2568 พบกับเรื่องราวของมหากาพย์แห่งสงครามอินโดจีน ในวาระครบรอบ 50 ปีแห่งการสิ้นสุดสงครามอินโดจีน 30 เมษายน 2568

บีโอไอ บุกแดนภารตะ ดึงลงทุนการแพทย์ – อีวี – เซมิคอนดักเตอร์ หลายบริษัทสนใจปักฐานในไทยรองรับอุตสาหกรรมแห่งอนาคต

บีโอไอเผยผลการเยือนอินเดีย รุกดึงการลงทุน 3 อุตสาหกรรมเทคโนโลยีขั้นสูง เปิดโต๊ะเจรจากลุ่มอุตสาหกรรมยาและอุปกรณ์การแพทย์ชั้นนำแดนภารตะ เสริมแกร่ง 'เมดิคัล ฮับ' ของภูมิภาค พร้อมเจรจา TATA Motor ดึงลงทุนรถยนต์ไฟฟ้าและรถยนต์เพื่อการพาณิชย์ ขณะที่ผู้ให้บริการออกแบบและทดสอบเซมิคอนดักเตอร์ขั้นสูงสนใจตั้งฐานในไทยรองรับอุตสาหกรรมแห่งอนาคต

นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เปิดเผยถึงผลการนำคณะบีโอไอเยือนเมืองไฮเดอราบัด และเมืองมุมไบ ประเทศอินเดีย ระหว่างวันที่ 24 – 27 มีนาคม ที่ผ่านมา เพื่อพบหารือและเจรจาแผนการลงทุนเป็นรายบริษัทกับผู้บริหารระดับสูงของบริษัทยักษ์ใหญ่อินเดียในอุตสาหกรรมยาและอุปกรณ์การแพทย์ รถยนต์ไฟฟ้าและรถยนต์เพื่อการพาณิชย์ และอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ รวม 15 บริษัท โดยบีโอไอได้นำเสนอศักยภาพและความพร้อมของประเทศไทยในฐานะแหล่งลงทุนที่สำคัญของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูง 3 กลุ่มหลัก ซึ่งบริษัทอินเดียมีความเชี่ยวชาญ และเป็นผู้นำเทคโนโลยีระดับโลก โดยบริษัทเหล่านี้มีความสนใจขยายธุรกิจในต่างประเทศ โดยเฉพาะในภูมิภาคอาเซียน และประเทศไทย

- กลุ่มอุตสาหกรรมยาและอุปกรณ์การแพทย์  บีโอไอได้จัดประชุมร่วมกับผู้ประกอบการอินเดียที่อยู่ในเขต Medical Device Park เพื่อนำเสนอข้อมูลการลงทุนและมาตรการสนับสนุนด้าน Medical Hub นอกจากนี้ ยังได้หารือรายบริษัท เช่น บริษัท Sahajanand Medical Technologies (SMT) ผู้ผลิตอุปกรณ์การแพทย์สำหรับการรักษาโรคหัวใจและหลอดเลือดอันดับ 1 ของอินเดีย มีแผนลงทุนในไทยเพื่อผลิตลิ้นหัวใจเทียมและอุปกรณ์ขดลวดถ่าง (Stent) สำหรับการรักษาหลอดเลือดหัวใจและการทำบอลลูน และมีแผนสร้างศูนย์วิจัยและพัฒนาในไทย  บริษัท MSN Laboratories ผู้ผลิตยารายใหญ่ของโลก ปัจจุบันมีฐานการผลิตและวิจัยในหลายภูมิภาค ทั้งสหรัฐอเมริกา ยุโรปและเอเชีย โดยมีแผนลงทุนทำวิจัยในไทย และขยายตลาดเข้าสู่อาเซียน  บริษัท ACG Capsules ผู้ผลิตแคปซูล ยาเม็ด และเครื่องจักรบรรจุยารายใหญ่ของโลก ได้ลงทุนสร้างโรงงานที่จังหวัดระยอง มูลค่ากว่า 2,100 ล้านบาท เพื่อผลิตแคปซูลจากเจลาตินและพืชด้วยเทคโนโลยีขั้นสูง โดยมีแผนตั้งศูนย์วิจัยและพัฒนาในไทยด้วย และบริษัท Natural Remedies ผู้ผลิตอาหารเสริมจากสมุนไพรสำหรับปศุสัตว์อันดับ 1 ของอินเดีย และอันดับ 3 ของโลก มีแผนลงทุนทำวิจัยและพัฒนาร่วมกับมหาวิทยาลัยในไทย และศูนย์วิจัยของบริษัทผลิตเนื้อสัตว์ชั้นนำ เช่น ซีพี, เบทาโกร และสหฟาร์ม เพื่อยกระดับคุณภาพและความปลอดภัยของอาหารสัตว์  

- กลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ คณะบีโอไอได้หารือกับบริษัท TATA Motor ผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ของอินเดีย มีแผนรุกขยายธุรกิจด้านรถยนต์ไฟฟ้า (อีวี) และรถยนต์เพื่อการพาณิชย์ (รถบรรทุก และรถบัส) ในต่างประเทศ โดยเฉพาะตลาดรถยนต์พวงมาลัยขวา โดยเพิ่งมีการดึงผู้บริหารชาวอินเดียจากค่ายรถยนต์รายใหญ่ในประเทศไทย ให้ไปคุมทัพด้านการขยายธุรกิจรถยนต์นั่งของกลุ่ม TATA Motor ในต่างประเทศด้วย

- กลุ่มอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ คณะบีโอไอได้หารือกับนายกสมาคมอิเล็กทรอนิกส์และเซมิคอนดักเตอร์ของอินเดีย (India Electronics and Semiconductor Association: IESA) ซึ่งมีสมาชิกกว่า 400 บริษัท โดยได้นำเสนอนโยบายรัฐบาลไทยและการจัดตั้งบอร์ดเซมิคอนดักเตอร์ แผนพัฒนาบุคลากร และความพร้อมของระบบนิเวศ โดยบีโอไอจะจับมือสมาคมฯ จัดกิจกรรมดึงดูดการลงทุนร่วมกันที่เมืองบังกาลอร์ ซึ่งเป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ระดับโลก ในช่วงเดือนตุลาคมนี้ด้วย นอกจากนี้ ยังได้หารือแผนลงทุนของ บริษัท Tessolve Semiconductor ซึ่งทำตั้งแต่การออกแบบชิป (IC Design) การทดสอบชิป การออกแบบแผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์ (PCB) และการให้บริการอบรมด้านวิศวกรรมแก่บริษัทผลิตชิปชั้นนำของโลก โดยภายในปีนี้ บริษัทมีแผนลงทุนจัดตั้งศูนย์ทดสอบชิปและให้บริการทางวิศวกรรมแก่บริษัทด้านเซมิคอนดักเตอร์ในไทยด้วย

“อินเดียเป็นหนึ่งในมหาอำนาจทางเศรษฐกิจที่มีอัตราเติบโตสูงที่สุดของโลก และเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีหลายสาขา เช่น ยาและอุปกรณ์การแพทย์ เทคโนโลยีชีวภาพ ยานยนต์ อิเล็กทรอนิกส์ ดิจิทัล และเคมีภัณฑ์ ขณะนี้อยู่ในช่วงเวลาสำคัญที่นักลงทุนอินเดียกำลังขยายการลงทุนในต่างประเทศ ภายใต้นโยบาย Act East Policy ของรัฐบาลอินเดีย ที่มุ่งขยายความร่วมมือด้านเศรษฐกิจกับประเทศในอาเซียน การเยือนอินเดียครั้งนี้ มีเป้าหมายเพื่อทำให้นักลงทุนอินเดียมองเห็นศักยภาพและความพร้อมของไทยในอุตสาหกรรมที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูง และพิจารณาเลือกไทยเป็นฐานการลงทุนหลักในอาเซียน ทั้งด้านการผลิต การวิจัยและพัฒนา ศูนย์โลจิสติกส์ของภูมิภาค รวมถึงสร้างความร่วมมือในการพัฒนาบุคลากรด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีด้วย” นายนฤตม์ กล่าว

ทั้งนี้ ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา (ปี 2558 - 2567) มีคำขอรับการส่งเสริมการลงทุนจากกลุ่มนักลงทุนอินเดียจำนวน 161 โครงการ มูลค่าเงินลงทุนรวมกว่า 13,000 ล้านบาท ส่วนใหญ่อยู่ในอุตสาหกรรมยา อุปกรณ์การแพทย์ เคมีภัณฑ์ และเครื่องประดับ

สื่อดังเผยญี่ปุ่นเตรียมร่วงจาก 10 อันดับแรก GDP โลก ต่ำกว่า เกาหลีใต้ และรัสเซีย รายได้ต่อหัวลดลงเป็นประเทศรายได้กลางใน 50 ปี

(28 มี.ค. 68) สื่อเศรษฐกิจชื่อดังของญี่ปุ่น Nikkei ได้เผยรายงานจาก ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจ เมื่อวานนี้ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงแนวโน้มที่ไม่สดใสของเศรษฐกิจญี่ปุ่นในอนาคต โดยคาดการณ์ว่า ในอีก 50 ปีข้างหน้า รายได้ต่อหัวของคนญี่ปุ่นจะร่วงลงอย่างรวดเร็วจนทำให้ประเทศตกไปอยู่ในกลุ่มประเทศที่มี รายได้ปานกลาง

รายงานระบุอีกว่า GDP รวมของประเทศญี่ปุ่น จะลดลงอย่างรวดเร็วและ หลุดจาก 10 อันดับแรกของโลก ในอีก 50 ปีข้างหน้า คาดว่า GDP ที่แท้จริงโดยรวมของญี่ปุ่น จะลดลงจากอันดับที่ 4 ในปี 2024 (3.5 ล้านล้านดอลลาร์) ไปอยู่อันดับที่ 11 ในปี 2075 (4.4 ล้านล้านดอลลาร์) แม้ว่าจะสามารถหลีกเลี่ยงภาวะเศรษฐกิจถดถอยได้ แต่คาดว่าอัตราการเติบโตเฉลี่ยในช่วงปี 2071–2075 จะอยู่ที่เพียง 0.3% เท่านั้น

และจะตกจาก อันดับที่ 29 ปัจจุบัน ไปยัง อันดับที่ 45 หมายความว่าญี่ปุ่นจะตกต่ำกว่า เกาหลีใต้และรัสเซีย ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อความมั่งคั่งของประเทศอย่างรุนแรง

ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจได้ชี้ให้เห็นว่า การขาดความสามารถในการพัฒนาเทคโนโลยี AI เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ญี่ปุ่นไม่สามารถตามทันประเทศอื่นๆ ในการพัฒนาเทคโนโลยีที่ก้าวหน้า ซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เศรษฐกิจขาดความสามารถในการแข่งขันในตลาดโลก

นอกจากนี้ การลดลงของประชากร โดยเฉพาะกลุ่มประชากรที่มีอายุสูงขึ้นและขาดแรงงานรุ่นใหม่ เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ส่งผลกระทบต่อการเติบโตของเศรษฐกิจ ญี่ปุ่นจะต้องเผชิญกับปัญหาของการขาดแคลนแรงงานและความยากลำบากในการรักษาฐานการผลิตในประเทศ

ผลการวิจัยนี้เตือนให้ญี่ปุ่นต้องเตรียมตัวรับมือกับความท้าทายที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต โดยการไม่สามารถพัฒนาเทคโนโลยี AI และการลดลงของประชากร อาจนำไปสู่การลดลงของการผลิตและการขยายตัวทางเศรษฐกิจ รวมถึงการเสียสมดุลในระบบเศรษฐกิจของประเทศ

สิ่งที่น่ากังวลคือ ความสามารถในการแข่งขันของญี่ปุ่นในระดับโลก ที่จะลดลงตามลำดับ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อการลงทุนจากต่างชาติ การจ้างงาน และการสร้างความมั่งคั่งในประเทศในระยะยาว

แม้จะมีการทำนายสถานการณ์เศรษฐกิจที่น่าเป็นห่วง แต่รายงานยังระบุว่า ญี่ปุ่นยังคงมีโอกาสในการปรับตัว โดยการลงทุนในนวัตกรรม AI และการพัฒนานโยบายการขยายฐานแรงงาน รวมถึงการใช้เทคโนโลยีใหม่ๆ ในการแก้ไขปัญหาด้านการผลิตและการจัดการทรัพยากรของประเทศ

อย่างไรก็ตาม หากญี่ปุ่นไม่สามารถปรับตัวได้ทันเวลา อาจทำให้ประเทศเผชิญกับการถดถอยทางเศรษฐกิจและสังคมในระยะยาวที่ยากจะกลับตัวได้

‘เครือข่ายภาคสังคม 100 องค์กร’คัดค้านมติคณะรัฐมนตรีต่อร่าง พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจร 

‘เครือข่ายภาคสังคม 100 องค์กร’ร่วมคัดค้านแถลงการณ์คัดค้านมติคณะรัฐมนตรีต่อร่างพ.ร.บ.การประกอบธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจร

นายธนากร คมกฤส เลขาธิการมูลนิธิรณรงค์หยุดพนัน ในฐานะ แกนนำ 100 องค์กรร่วมคัดค้านมติคณะรัฐมนตรีต่อร่าง พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจร ออกแถลงการณ์คัดค้านมติดังกล่าว ว่า ตามที่ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีวันที่ 27 มีนาคม 2568 มีมติเห็นชอบในหลักการร่าง พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจร พ.ศ…. ทันทีหลังการอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรีผ่านไปเพียงหนึ่งวัน โดยไม่สนใจใยดีต่อข้อคัดค้านของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร  เสียงติติงของนักวิชาการ  รวมถึงเสียงทัดทานของประชาชนจากหลากหลายพื้นที่และหลายภาคส่วน ทั้งที่ก่อนหน้านี้นายกรัฐมนตรีเคยพูดว่า “เรื่องนี้ต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ” ตามที่ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีวันที่ 27 มีนาคม 2568 มีมติเห็นชอบในหลักการร่าง พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจร พ.ศ…. ทันทีหลังการอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรีผ่านไปเพียงหนึ่งวัน โดยไม่สนใจใยดีต่อข้อคัดค้านของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เสียงติติงของนักวิชาการ รวมถึงเสียงทัดทานของประชาชนจากหลากหลายพื้นที่และหลายภาคส่วน ทั้งที่ก่อนหน้านี้นายกรัฐมนตรีเคยพูดว่า “เรื่องนี้ต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ”  

การพูดจาหลักลอยดั่งไม้หลักปักขี้เลนของนายกรัฐมนตรี  บวกกับอาการรีบร้อนเร่งรัดอย่างผิดสังเกตของรัฐบาล ที่พยายามจะผลักดันกฎหมายนี้ให้เข้าสู่การพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎรก่อนปิดสมัยประชุมวันที่ 11 เมษายนนี้ ทั้งที่ยังมีความหละหลวมในหลายเรื่องที่สำคัญ อาทิ

1. การเปิดกว้างให้มีกาสิโนที่ซุกอยู่ภายใต้เอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์แบบไม่จำกัดจำนวนว่ารัฐบาลมีแนวคิดจะให้เปิดได้กี่แห่ง ขนาดที่ชัดเจนของกิจการต่าง ๆ ในสถานบันเทิงครบวงจรจะต้องมีเนื้อที่ไม่น้อยกว่าเท่าใด  และพื้นที่ตั้งสถานบันเทิงครบวงจรควรจะมีคุณลักษณะเช่นใด  รวมถึงความไม่ชัดเจนในกลุ่มเป้าหมายว่า การเปิดกาสิโนจะมีเป้าหมายที่ลูกค้ากลุ่มใด นักท่องเที่ยวต่างชาติหรือคนไทย  
2. การมอบอำนาจแบบ “ตีเช็คเปล่า” ให้คณะกรรมการนโยบายและคณะรัฐมนตรี มีอำนาจมากมาย ทั้งการกำหนดจำนวนใบอนุญาตฯ กำหนดพื้นที่ตั้ง กำหนดหลักเกณฑ์การพิจารณาลงทุน กำหนดสัดส่วนพื้นที่ของกาสิโน กำหนดหลักเกณฑ์เพื่อควบคุมการป้องกันการฟอกเงิน เสนอแนะอัตราการเก็บภาษีต่อคณะรัฐมนตรี  กำหนดอัตราค่าใบอนุญาตและค่าธรรมเนียมการเข้ากาสิโนของคนในประเทศ  รวมทั้งมีอำนาจในการยกเลิกกฎหมายหรือกฎระเบียบใด ๆ ที่เป็นอุปสรรคขัดขวางต่อการดำเนินการสถานบันเทิงครบวงจร รวมถึงเปิดช่องให้มีการนำรายได้จากค่าธรรมเนียมใบอนุญาตซึ่งเป็นเงินจำนวนมหาศาลไปใช้เพื่อประโยชน์ทางการเมือง   ด้วยการกำหนดกลไกที่ไร้การถ่วงดุลและตรวจสอบความรับผิดรับชอบ  อันอาจจะนำมาซึ่งการทุจริตเชิงนโยบาย  

3. การให้สิทธิพิเศษแก่ผู้ลงทุน โดยการยกเว้นการบังคับใช้กฎหมายอื่นหลายฉบับ ทั้งพ.ร.บ.การประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ร.บ.บริษัทมหาชน เพื่ออำนวยความสะดวกแก่นักลงทุนต่างชาติ  การเปิดช่องให้สามารถเช่าที่ดินได้เป็นระยะเวลานานทีละ 30 ปีไปได้เรื่อย ๆ  การยกเว้นพ.ร.บ.การพนันเพื่ออนุญาตให้จัดเล่นพนันที่ต้องห้ามได้ รวมทั้งยกเว้นประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์เพื่อให้หนี้ที่เกิดจากการพนันในกาสิโนเป็นหนี้ที่บังคับใช้ได้ตามกฎหมาย การยกเว้นคำสั่งหัวหน้าคสช.ที่ ๒๒/๒๕๕๘ เพื่อให้ขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ได้ 24 ชั่วโมงการควบคุมสถานบริการ ด้วยแนวคิดการออก super license แบบอนุญาตครั้งเดียวเบิกทางให้ทำได้ทุกเรื่อง
4. การละเลยความเป็นจริงของการทุจริตคอรัปชั่นในหมู่นักการเมืองและข้าราชการไทย  และการไม่ตระหนักในความล้มเหลวขององค์กรที่ทำหน้าที่ในการกำกับดูแลต่าง ๆ  เช่น กกต. หรือกสทช. ฯลฯ   เมื่อมาบวกกับบทบัญญัติทางกฎหมายที่คลุมเครือ จึงไม่อาจเชื่อมั่นได้มากพอต่อมาตรการป้องกันการฟอกเงิน ที่เชื่อมโยงกับขบวนการธุรกิจผิดกฎหมาย การฉ้อโกง และการทุจริตคอรัปชั่น  

5. การไม่ให้ความสำคัญต่อการรับฟังความเห็นของประชาชน การไม่ใส่ใจใยดีต่อการทำประชามติแม้ในระดับพื้นที่ที่จะมีการตั้งสถานบันเทิงครบวงจร การไม่มีส่วนร่วมและไม่ได้รับประโยชน์ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น รวมทั้งการไม่ให้ความสำคัญที่มากพอต่อการป้องกันแก้ไข และเยียวยาผลกระทบอันอาจเกิดขึ้นจากการประกอบธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจร ความหละหลวมทั้งปวงนี้ รัฐบาลเจตนาผลักความรับผิดชอบไปให้แก่กระบวนการตัดสินใจในสภาผู้แทนราษฎร และเปิดโอกาสให้เกิดการต่อรองของตัวแทนผู้ได้เสียผลประโยชน์ในชั้นกรรมาธิการ ทั้งหมดนี้เป็นเหตุผลที่นำมาสู่ความรู้สึกไม่เชื่อมั่นของประชาชนต่อผลได้ผลเสียที่จะเกิดตามมา และความไม่ไว้วางใจต่อความไม่โปร่งใสของกลไกการตัดสินใจ อันอาจจะนำมาซึ่งการอำนวยผลประโยชน์ต่อกลุ่มทุน และการทุจริตรับสินบนของผู้ที่เกี่ยวข้อง  
เครือข่ายภาคประชาสังคม100 องค์กร อันประกอบด้วยองค์กรศาสนา องค์กรชุมชน  องค์กรเด็กเยาวชนและครอบครัว องค์กรอาสาสมัคร องค์กรการศึกษา และอื่น ๆ ตามรายนามแนบท้ายนี้ ขอแสดงจุดยืนต่อเรื่องนี้ ดังต่อไปนี้

1. ขอประณามการตัดสินใจของคณะรัฐมนตรีต่อการผลักดันนโยบายที่เอาแต่ได้นี้  โดยการพยายามสร้างประเด็นลวงด้วยตัวเลข 10% ว่ากาสิโนจะเป็นส่วนน้อยทั้งที่เป็นเป้าหมายใหญ่  บวกกับการโกหกคำโตว่าจะมีคอนเสิร์ตฮอลล์และสเตเดียมขนาดใหญ่ ทั้งที่ในร่างกฎหมายนี้ไม่ได้กำหนดให้ต้องทำ ดึงดันที่จะเดินหน้าผลักดันสิ่งนี้ทั้งที่รู้ว่าจะเป็นเหตุจุดชนวนความขัดแย้งให้เกิดขึ้นในสังคม
2. ขอเรียกร้องให้พรรคการเมืองทุกพรรคแสดงความกล้าหาญ โดยการประกาศจุดยืนที่ชัดเจนของพรรคต่อร่างพ.ร.บ.ฉบับนี้ และกล้าประกาศรับผิดรับชอบต่อผลที่จะเกิดตามมาจากการมีส่วนร่วมในกระบวนการพิจารณากฎหมายนี้  ซึ่งถือเป็นการสมรู้ร่วมคิดในการกำหนดนโยบายที่ส่งผลเสียต่อสังคมในระยะยาว  ทั้งนี้เพื่อให้ประชาชนได้จดจำว่าพรรคการเมืองใดบ้างที่ได้ร่วมกันผลักดันเรื่องนี้ ทั้งที่ไม่ใช่นโยบายหาเสียงไว้กับประชาชน  เพื่อนำไปประกอบการตัดสินใจในการเลือกตั้งครั้งหน้า
3. ขอเสนอให้วุฒิสภานำพาวุฒิภาวะสู่สังคม โดยการเป็นเจ้าภาพในการจัดกระบวนการรับฟังความเห็นของประชาชนทุกภาคส่วน รวมถึงองค์กรท้องถิ่นต่าง ๆ อย่างเพียงพอและทั่วถึง สร้างการมีส่วนร่วมของประชาชนอย่างแท้จริง  และนำมาสู่การตัดสินใจกำหนดนโยบายอย่างรอบคอบ
เครือข่ายภาคประชาสังคม 100 องค์กรขอประกาศว่า จะดำเนินการทุกวิถีทางตามสิทธิทางกฎหมายที่จะคัดค้านการเดินหน้าของร่างพ.ร.บ.ฉบับนี้  และพร้อมจะร่วมแสวงหาหนทางที่สร้างสรรค์ในการสร้างความสุข ความเจริญให้เกิดขึ้นในสังคม

รายนาม 100 องค์กรร่วมคัดค้าน
1. มูลนิธิรณรงค์หยุดพนัน
2. เครือข่ายเด็กรุ่นใหม่ไม่พนัน
3. มูลนิธิหญิงชายก้าวไกล
4. มูลนิธิสุขภาพไทย
5. มูลนิธิสื่อเพื่อสุขภาวะ
6. มูลนิธิเพื่อการพัฒนาเด็ก
7. มูลนิธิชีววิถี
8. มูลนิธิเด็กเยาวชนและครอบครัว
9. สำนักงานเครือข่ายองค์กรงดเหล้า
10. สถาบันส่งเสริมบทบาทพ่อแม่เพื่อสังคม
11. ขบวนการสร้างเสริมสุขภาพประชาชน (ขสช.)
12. เครือข่ายสร้างเสริมสุขภาพเยาวชน (ขสย.)
13. เครือข่ายพ่อแม่ผู้ปกครองในสถานศึกษา
14. เครือข่ายละครเฉพาะกิจเธียเตอร์
15. เครือข่างองค์กรงดเหล้า 4 ภูมิภาค
16. เครือข่ายพัฒนาคุณภาพชีวิต
17. เครือข่ายเยาวชนลดปัจจัยเสี่ยง
18. เครือข่ายนักกฎหมายเพื่อสังคม
19. เครือข่ายรณรงค์ป้องกันภัยแอลกอฮอล์
20. เครือข่ายสื่อมวลชนขับเคลื่อนสุขภาวะเพื่อสังคมไทยยั่งยืน (สสสย.)

21. เครือข่าย Youth Club เด็กมีภูมิ
22. เครือข่ายนักสื่อสารรุ่นใหม่
23. เครือข่ายภาคประชาชนและภาคประชาสังคมตะวันออก
24. สมาคมเพื่อนเยาวชนและพัฒนาสังคมภาคใต้ตอนบน
25. เครือข่ายเยาวชน South Youth Ranger
26. สถาบันพัฒนาเยาวชนสืบสานภูมิปัญญา (องค์กรสาธารณประโยชน์) จ.อุบลราชธานี
27. มูลนิธิพัฒนาอีสาน
28. กลุ่มเด็กและเยาวชนหนองเม็ก (องค์กรสาธารณประโยชน์)
29. สวนนิเวศเกษตรศิลป์ จ.สุรินทร์
30. ศูนย์การเรียนรู้ชุมชนคนหนุ่มสาว จ.สกลนคร
31. เครือข่ายเยาวชนฮักบ้านเกิด
32. เครือข่ายนักศึกษาสร้างเสริมสุขภาพ
33. กลุ่มเยาวชนอาสาสมัครพาน้องเล่น
34. เครือข่ายเยาวชนพัฒนาเมืองสกลนคร
35. ศูนย์เพื่อผู้บริโภคจังหวัดสุพรรณบุรี
36. องค์การนักศึกษามหาวิทยาลัยรามคำแหง
37. เครือข่ายนักกฎหมายเพื่อเด็กและเยาวชน
38. กลุ่มไม้ชีดไฟ จังหวัดนครราชสีมา
39. สำนักกิ่งก้านใบ จังหวัดอุตรดิตถ์
40. กลุ่มเรียนรู้บางเพลย์ จังหวัดชลบุรี

41. เครือข่ายรณรงค์หยุดพนัน กรุงเทพมหานคร
42. เครือข่ายรณรงค์หยุดพนัน จังหวัดลำปาง
43. เครือข่ายรณรงค์หยุดพนัน จังหวัดกาฬสินธุ์
44. เครือข่ายรณรงค์หยุดพนัน จังหวัดพัทลุง
45. เครือข่ายรณรงค์หยุดพนัน จังหวัดพะเยา
46. เครือข่ายรณรงค์หยุดพนัน จังหวัดน่าน
47. เครือข่ายรณรงค์หยุดพนัน จังหวัดสุรินทร์
48. เครือข่ายรณรงค์หยุดพนัน จังหวัดอุบลราชธานี
49. เครือข่ายรณรงค์หยุดพนัน จังหวัดสระบุรี
50. เครือข่ายรณรงค์หยุดพนัน จังหวัดเลย
51. สมาพันธ์คณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัด 15 จังหวัดภาคใต้
52. เครือข่ายคัดค้านกฎหมายและระเบียบปฏิบัติที่ขัดกับศีลธรรม
53. สมาคมสมาพันธ์โรงเรียนเอกชนภาคใต้
54. สมาคมเพื่อสันติภาพภาคประชาชน (APP)
55. เครือข่ายสร้างเสริมสุขภาพเยาวชน (ขสย.) ภาคใต้
56. เครือข่ายเพื่อนรักต่างศาสนา
57. สมาคมเครือข่ายโรงเรียนคุณภาพอัสสลาม
58. เครือข่ายชุมชนรักษ์ธรรมชาติตือโละปาตานี
59. สมาคมเยาวชนพัฒนาบ้านเกิด (PPS)
60. สมาคมผู้นำอิสลามชายแดนใต้

61. สมาคมฟ้าใสส่งเสริมสุขภาวะเด็กและเยาวชนชายแดนใต้
62. สมาคมสะพานปัญญาชายแดนใต้
63. สมาคมตาดีกาจังหวัดสงขลา
64. สมาคมคุ้มครองผู้บริโภคจังหวัดปัตตานี
65. เครือข่ายชาวพุทธเพื่อสันติภาพชายแดนใต้
66. สภาเด็กและเยาวชนจังหวัดปัตตานี
67. เครือข่ายเด็กและเยาวชนนครีสโตย
68. มูลนิธิคนช่วยฅน
69. สมาคมสร้างเสริมสุขภาวะภาคใต้
70. สมาคมกรีนเคร้สเซ็นประเทศไทย
71. มูลนิธิศูนย์กลางอิสลามเพื่อการพัฒนายะลา
72. สำนักปาตานีรายาเพื่อสันติภาพและการพัฒนา (Lempar)
73. นายกองค์การนักวิชาชีพในอนาคตแห่งประเทศไทย (วทส) อ.จะนะ
74. สมาคมโรงเรียนเอกชนจังหวัดปัตตานี
75. ชมรมโรงเรียนเอกชนเมืองปัตตานี
76. เครือข่ายผู้ปกครองโรงเรียนจงรักษ์สัตย์
77. สมาพันธ์ศิษย์เก่ามหาวิทยาลัยอัลอัซฮัรฮ์โลก ประจำประเทศไทย
78. สมาคมโรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลามจังหวัดยะลา
79. สมาคมโรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลามจังหวัดสงขลา
80. สมาคมโรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลามจังหวัดนราธิวาส

81. สมาคมโรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลามจังหวัดปัตตานี
82. ชมรมโรงเรียนสอนศาสนาอิสลามประเทศไทย
83. มูลนิธิดารุลนาอีม
84. โรงเรียนทรัพย์ธานีวิทยา
85. พรรคภราดรภาพ
86. โรงเรียนศรีอามาน จ.สตูล
87. โรงเรียนศาสนบำรุง
88. เครือข่ายเทใจให้เทพา
89. เครือข่ายจะนะรักษ์ถิ่น
90. เครือข่ายนักรบผ้าถุง
91. สหกรณ์ออมทรัพย์ครูตับลิค
92. มูลนิธิวิทยาทาน
93. สมาคมวาดีไนล์
94. สำนักสื่อ The Poligens News
95. ชมรมจิตอาสา อาสาด้วยใจ 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้
96. สมาคมโรงเรียนเอกชนจังหวัดยะลา
97. สมาคมศิษย์เก่าจอร์แดน
98. สภาเครือข่ายปัญญาชนจังหวัดชายแดนภาคใต้ (INC)
99. สมาคมศิษย์เก่าอิสลามวิทยาลัยแห่งประเทศไทย
100. กลุ่ม PNYS รามคำแหง จังหวัดปัตตานี

สมุทรปราการ-อำนวย บุญริ้ว นายกเทศมนตรีฯ มอบวุฒิบัตรบัณฑิตน้อยทราสำเร็จการศึกษา เผย!! เตรียมขยายพื้นที่การศึกษาแก่เด็กปฐมวัย

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ณ ห้องประชุมกองการศึกษา ชั้น 2 เทศบาลเมืองแพรกษาใหม่ ต.แพรกษาใหม่ อ.เมือง สมุทรปราการ โดยโรงเรียนอนุบาลเทศบาลเมืองแพรกษาใหม่ ได้มีการจัดพิธีมอบวุฒิบัตรแก่บัณฑิตน้อยที่สำเร็จการศึกษา ระดับชั้นอนุบาล ปีการศึกษา 2567 ซึ่งมีนักเรียนทั้งหมดจำนวน 222 คน และมีนักเรียนที่สำเร็จการศึกษาในระดับชั้นอนุบาลปีที่ 3 จำนวน 73 คน

โดยได้รับเกียรติจากนายอำนวย บุญริ้ว นายกเทศมนตรีเมืองแพรกษาใหม่ ให้เกียรติเป็นประธาน ในพิธีมอบวุฒิบัตรบัณฑิตน้อย ประจำปีการศึกษา 2567 โดยมีคณะผู้บริหาร คณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน คณะครู บุคลากรทางการศึกษาตลอดจนผู้ปกครองเข้าร่วมในพิธีครั้งนี้

โดยทางด้าน นายอำนวย บุญริ้ว นายกเทศมนตรีเมืองแพรกษาใหม่ กล่าวว่า เทศบาลเมืองแพรกษาใหม่ตระหนักและเล็งเห็นถึงความสำคัญของการพัฒนาเด็กประถมวัย โดยเน้นการมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วนจึงได้จัดตั้งโรงเรียนอนุบาลเทศบาลเมืองแพรกษาใหม่ขึ้น เพื่อพัฒนาเด็กประถมวัยให้มีความพร้อมทั้งด้านร่างกาย อารมณ์ จิตใจ และสติปัญญาเสริมสร้างเด็กประถมวัยให้มีพัฒนาการอย่างสมดุลเป็นคนเก่ง คนดี มีความเจริญเติบโตเป็นพลเมืองที่ดี นอกจากนี้ยังเป็นการเตรียมความพร้อมให้กับเด็กที่เข้ารับการศึกษาต่อในระดับขั้นที่สูงขึ้นต่อไป

อย่างไรก็ตาม เทศบาลเมืองแพรกษาใหม่ได้ส่งเสริมและสนับสนุนด้านการศึกษามาโดยตลอด และพัฒนาศักยภาพของเด็กประถมวัยมีการอบรมเลี้ยงดูส่งเสริมกระบวนการเรียนรู้ที่สนองต่อธรรมชาติและพัฒนาการของเด็กแต่ละบุคคลตามศักยภาพ ทั้งนี้ ต้องขอแสดงความชื่นชมและยินดีกับบัณฑิตน้อยทุกคนที่สำเร็จการศึกษาในระดับประถมวัย ขอให้เด็กทุกคนเป็นลูกที่ดีของผู้ปกครองและเติบโตเป็นพลเมืองดีของสังคมต่อไป

สืบ ตม. และ ตม.ภูเก็ต รวบหนุ่มฝรั่งเศส แก๊งองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ ชิงนักโทษ ฆ่าผู้คุม

ตามนโยบายสำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดย พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผบ.ตร., พล.ต.อ.ไกรบุญ ทรวดทรง รอง ผบ.ตร., พล.ต.อ.ธนา ชูวงศ์ รอง ผบ.ตร./ผอ.ศูนย์ปราบปรามคนร้ายข้ามชาติและเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย สำนักงานตำรวจแห่งชาติ, พล.ต.อ.ธัชชัย ปิตะนีละบุตร จตช./ผอ.ศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ, พล.ต.ท.อิทธิพล อิทธิสารรณชัย ผู้ช่วย ผบ.ตร. ได้สั่งการให้ สตม. สกัดกั้น ตรวจสอบ ระดมจับกุมคนต่างด้าวที่เข้ามาประกอบธุรกิจผิดกฎหมายในประเทศไทย รวมทั้งให้ดำเนินการตรวจสอบ ชาวไทยและชาวต่างชาติที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสมในขณะที่พำนักอาศัยอยู่ในประเทศไทย กระทำผิดกฎหมาย ก่อเหตุอันตรายต่อความสงบสุขและความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน ทำให้เกิดความเสียหายต่อภาพลักษณ์ของประเทศ หรือกลุ่มคนร้ายข้ามชาติที่เข้ามาแฝงตัวอยู่ก่อเหตุ 

หรือโดยใช้ประเทศไทยเป็นฐานในการกระทำความผิด ภายใต้การอำนวยการของ พล.ต.ท.ภาณุมาศ บุญญลักษม์ ผบช.สตม., พล.ต.ต.พันธนะ นุชนารถ รอง ผบช.สตม., พล.ต.ต.ภานพ วรธนัชชากุล ผบก.สส.สตม., พ.ต.อ.รัฐโชติ โชติคุณ รอง ผบก.สส.สตม., พ.ต.อ.แดนไพร แก้วเวหล, พ.ต.อ.สุรศักดิ์ สุรินทร์แก้ว, พ.ต.อ.เฉลิมชนม์ แหลมทอง รอง ผบก.สส.สตม., พ.ต.อ.พิสิษฐ์ ศรีอ่อน ผกก.2 บก.สส.สตม., พ.ต.อ.ชย พานะกิจ ผกก.(สอบสวน) หน.กลุ่มงานสอบสวน บก.สส.สตม. ร่วมแถลงข่าวการจับกุมผู้ต้องหารายสำคัญ ดังนี้   

สืบ ตม. และ ตม.ภูเก็ต รวบหนุ่มฝรั่งเศส แก๊งองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ ชิงนักโทษ ฆ่าผู้คุม

ตามที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้กำชับให้ตรวจสอบพฤติกรรมกลุ่มคนต่างด้าวที่มีพฤติกรรมขัดต่อความสงบเรียบร้อยของสังคม ตลอดจนมีลักษณะที่กระทบต่อภาพลักษณ์และความมั่นคงของประเทศ บก.สส.สตม. เนื่องด้วย นายอาโดนิส (Adonis)(นามสมมติ) บุคคลตามหมายจับฝรั่งเศสและหมายแดงตำรวจสากล ข้อหาหลายข้อหาที่สำคัญคือร่วมองค์กรอาญากรรมเพื่อก่อเหตุอาชญากรรมร้ายแรงในการมีส่วนร่วมในการชิงนักโทษในเรือนจำที่ชื่อ Mohamed (นามสมมติ) เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2567 ซึ่งเป็นเหตุให้เจ้าหน้าที่เรือนจำเสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บสาหัสฝ่ายกิจการตำรวจและความมั่นคง สอท.ฝรั่งเศสประจำประเทศไทย ประสานสำนักงานตำรวจแห่งชาติดำเนินการค้นหา จับกุม และเพิกถอนการอนุญาต ส่งตัวกลับไปดำเนินคดีที่ประเทศฝรั่งเศส

พฤติการณ์การกระทำผิดกล่าวคือ นาย Mohamed (นามสมมติ) เป็นผู้ต้องหายาเสพติดคนสำคัญ ระหว่างการ ส่งตัวจากศาลไปที่เรือนจำ มีกลุ่มคนพกอาวุธสงครามจำนวน 6 คน มี 3 คนที่พกอาวุธบุกเข้าไปปล้นตัวนักโทษ และเป็นเหตุให้ผู้คุมเสียชีวิต 2 คนและบาดเจ็บ 3 คน เหตุเกิดวันที่ 14 พฤษภาคม 2567 

หลังจากเหตุการณ์นี้ตำรวจจำนวน 120 นาย ทำคดีนี้ และเป็นคดีอาชญากรรมข้ามชาติของฝรั่งเศสที่สำคัญ เพราะผู้ต้องหาและผู้สมรู้ร่วมคิดบางส่วน รวมถึงตัวนักโทษหนีไปที่โรมาเนีย ตำรวจฝรั่งเศสได้จับผู้ต้องหา Mohamed (นามสมมติ) ถูกจับวันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2568 ที่โรมาเนีย ส่วนผู้ต้องหารายอื่น ๆ ถูกจับแล้ว ทั้งนี้ ADONIS (นามสมมติ) ได้เดินทางมาที่ไทยในช่วงเวลาก่อนฝรั่งเศส ออกหมายจับ และก่อนที่ตำรวจสากลจะออกหมายแดง บก.สส.สตม. ได้ตรวจสอบข้อมูลจากฐานข้อมูลสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง นายอาโดนิส (นามสมมติ) อายุ 24 ปี สัญชาติฝรั่งเศส เดินทางเข้ามาในราชอาณาจักรไทยครั้งล่าสุด ทางด่าน ตม.ทอ.ภูเก็ต เมื่อวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2568 โดยสารมากับเที่ยวบิน WK50 ประเภทการได้รับอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักร อนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรถึงวันที่ 8 เมษายน 2568 บก.สส.สตม. ร่วมกับ ตม.จว.ภูเก็ต สืบสวนพบว่า MR.ADONIS (นามสมมติ) หลบซ่อนตัวที่พื้นที่ ต.กมลา และ ต.ป่าตอง อ.กะทู้ จว.ภูเก็ต จึงได้ลงพื้นที่ติดตามตัว จนกระทั่งวันที่ 26 มีนาคม 2568 สามารถจับกุมตัวได้ จึงควบคุมตัวไว้ที่ กก.3 บก.สส.สตม. เพื่อดำเนินการตามกฎหมายต่อไป

สตม. ขอเรียนให้ท่านทราบว่า สตม. มีมาตรการในการตรวจสอบ กวดขัน และปราบปรามการกระทำความผิดในด้านต่าง ๆ รวมถึงการเฝ้าระวังบุคคลทั้งสัญชาติไทยและสัญชาติอื่น ๆ ที่มีหมายจับ และการเดินทางเข้า-ออกประเทศไทย หากประชาชนท่านใดพบเห็นเบาะแสการกระทำความผิด กรุณาแจ้งมายัง สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง อาคารเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร พระชนมพรรษา 60 พรรษา เลขที่ 904 หมู่ที่ 6 ต.บ้านใหม่  อ.ปากเกร็ด จว.นนทบุรี 11120 หรือติดต่อตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดในพื้นที่ หรือที่ www.immigration.go.th จักขอบพระคุณเป็นอย่างยิ่ง

ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 1 พร้อมด้วยประธานชมรมแม่บ้านตำรวจภูธรภาค 1 เยี่ยมให้กำลังใจตำรวจ สภ.ประตูน้ำจุฬาลงกรณ์ ที่ถูกรถจักรยานยนต์พุ่งชนขณะตั้งด่านตรวจ และตำรวจ สภ.พรหมบุรี ที่เกิดอาการอ่อนแรงและวูบหมดสติหลังถูกผู้ไลฟ์เฟซบุ๊กกดดัน

เมื่อวานนี้ (27 มี.ค.68) เวลา 13.30 น. พล.ต.ท.สุรพล เปรมบุตร ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 1 พร้อมด้วย คุณณัฐวดี เอี่ยมวงศ์ ประธานชมรมแม่บ้านตำรวจภูธรภาค 1 และคณะ เดินทางไปยังโรงพยาบาลตำรวจ เพื่อเยี่ยม สร้างขวัญและกำลังใจแก่ข้าราชการตำรวจในสังกัดตำรวจภูธรภาค 1  ซึ่งได้รับบาดเจ็บจากการปฏิบัติหน้าที่ โดยได้มอบกระเช้าดอกไม้และเงินช่วยเหลือให้แก่ข้าราชการตำรวจ จำนวน 2 นาย พร้อมให้กำลังใจ ขอบคุณในการปฏิบัติหน้าที่ และขอให้อาการดีขึ้นโดยเร็ว

1. ด.ต.ทวีศักดิ์ ศรีเมือง ผบ.หมู่ สภ.ประตูน้ำจุฬาลงกรณ์ ภ.จว.ปทุมธานี 
เมื่อวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2568 ขณะปฏิบัติหน้าที่ตั้งจุดสกัดชั่วคราวบริเวณถนนกลางซอยรังสิต-นครนายก 30 จ.ปทุมธานี ได้มีผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์เข้ามายังจุดสกัดด้วยความเร็ว และพุ่งชน ด.ต.ทวีศักดิ์ ศรีเมือง บริเวณจุดสกัดดังกล่าว ทำให้ได้รับบาดเจ็บที่ขาขวา (กระดูกเข่าขวาแตก) และมีแผลที่ฝ่ามือขวา จึงได้ส่งตัวเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลตำรวจ ล่าสุดอาการโดยทั่วไปดีขึ้น อยู่ระหว่างรอผ่าตัดกระดูกเข่าขวา

2. ด.ต.ศุภมิตร พวงประเสริฐ ผบ.หมู่ (จร.) สภ.พรหมบุรี ภ.จว.สิงห์บุรี
เมื่อวันที่ 19 มีนาคม 2568 ขณะเจ้าหน้าที่ตำรวจกำลังปฏิบัติหน้าที่ตั้งกล้องจับความเร็วบริเวณถนนสายเอเชีย ต.บางน้ำเชี่ยว อ.พรหมบุรี จ.สิงห์บุรี เกิดอาการเกร็ง แขนขาอ่อนแรง และวูบหมดสติ ได้ส่งตัวเข้ารับการรักษาต่อที่โรงพยาบาลตำรวจ ซึ่งอาการโดยทั่วไปดีขึ้น ขณะนี้ทำกายภาพอย่างต่อเนื่องและสามารถพูดโต้ตอบสื่อสารได้

ทั้งนี้ การเยี่ยมข้าราชการตำรวจที่ได้รับบาดเจ็บจากการปฏิบัติหน้าที่ เป็นหนึ่งในนโยบายที่ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ มอบหมายให้ผู้บังคับบัญชาทุกระดับดูแลผู้ใต้บังคับบัญชาอย่างใกล้ชิด เพื่อสร้างขวัญกำลังใจในการปฏิบัติหน้าที่ และทางด้านสมาคมแม่บ้านตำรวจ คุณกนกวรรณ พันธุ์เพ็ชร์ นายกสมาคมแม่บ้านตำรวจ ได้มีนโยบายในการสนับสนุนภารกิจของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ พัฒนาและส่งเสริมคุณภาพชีวิตของครอบครัวตำรวจ โดยได้จัดทำโครงการหลายโครงการที่มุ่งเน้นช่วยเหลือข้าราชการตำรวจและครอบครัว เช่น โครงการ “ครอบครัวตำรวจ เราไม่ทิ้งกัน” ที่จะดูแลช่วยเหลือ บำรุงขวัญกำลังใจข้าราชการตำรวจที่ได้รับบาดเจ็บ หรือทุพพลภาพ จากการปฏิบัติหน้าที่ โดยมอบหมายให้ผู้แทนสมาคมแม่บ้านตำรวจลงพื้นที่เยี่ยมบำรุงขวัญอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้กำลังใจและแสดงความขอบคุณที่ข้าราชการตำรวจได้ปฏิบัติหน้าที่อย่างเต็มกำลัง ในการบำบัดทุกข์บำรุงสุขให้พี่น้องประชาชน

สงขลา-ประธานวุฒิสภา และกลุ่ม สว.สงขลา นำทีมพบประชาชนและองค์กรทุกภาคส่วน เปิดเวทีรับฟังปัญหา และความเดือดร้อน เพื่อนำไปแก้ไข และผลักดันให้เกิดการพัฒนาที่เป็นประโยชน์ต่อประชาชนและประเทศชาติ

เมื่อวานนี้ (27 มี.ค. 68) คณะกรรมการขับเคลื่อนโครงการสมาชิกวุฒิสภาพบประชาชน กลุ่มภาคใต้ (ตอนล่าง) นำโดย นายมงคล สุระสัจจะ ประธานวุฒิสภา และสมาชิกวุฒิสภา จ.สงขลา ประกอบด้วย นายกมล รอดคล้าย ประธานกรรมการ , นายไชยยงค์ มณีรุ่งสกุล รองประธานกรรมการ คนที่สาม , นายยะโก๊ป หีมละ , นายโสภณ มะโนมะยา และ นายพิบูลย์อัฑฒ์ หฤหรรษ์ปราการ กรรมการ เดินทางลงพื้นที่ จ.สงขลา เพื่อรับฟังทุกเสียงของพี่น้องประชาชน และองค์กรทุกภาคส่วนใน จ.สงขลา ในการสะท้อนปัญหาสู่การแก้ไขผ่านกลไกวุฒิสภา ระหว่างวันที่ 27-28 มี.ค. และมีการลงพื้นที่ทั้งใน อ.หาดใหญ่ และ อ.สะเดา จ.สงขลา

ซึ่งโครงการสมาชิกวุฒิสภาพบประชาชน กลุ่มภาคใต้ (ตอนล่าง) กิจกรรมแรกจัดขึ้นที่ห้องประชุม Blue Ocean อาคารบริหารธุรกิจ (HBS) มหาวิทยาลัยหาดใหญ่ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา โดยเป็นการเปิดเวทีรับฟังเสียงสะท้อนและความคิดเห็นจากปัญหาที่เกิดขึ้นใน จ.สงขลา ทั้งจากองค์กรต่างๆ ทั้งภาคธุรกิจ การค้า การท่องเที่ยวเที่ยว และเอกชน เช่น หอการค้าจังหวัดสงขลา สมาคมธุรกิจการท่องเที่ยวจังหวัดสงขลา และสภาอุตสาหกรรมจังหวัดสงขลา และประชาชนจากหลากหลายกลุ่มอาชีพ รวมกว่า 100 คน โดยทาง นายวิทยา จันทร์เสนะ รองผู้ว่าราชการจังหวัดสงขลา เดินทางเข้าร่วมกิจกรรมในครั้งนี้ด้วย

โดยช่วงแรกทาง นายมงคล สุระสัจจะ ประธานวุฒิสภา ได้กล่าวถึงที่มาที่ไปของสมาชิกวุฒิสภา รวมทั้งบทบาทหน้าที่ต่างๆ และยังกล่าวว่า การรับฟังเสียงของประชาชนก็เป็นอีกส่วนหนึ่งในการนำมาใช้เป็นข้อมูลในการปรับปรุงแก้ไขในประเด็นที่ขัดข้อง และช่วยผลักดัน เพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อทั้งประชาชนและประเทศชาติในส่วนที่ฝ่ายนิติบัญญัติจะสามารถทำได้

จากนั้นทางสมาชิกวุฒิสภา จ.สงขลา ทั้ง 5 ท่าน ได้เปิดเวทีรับฟังความคิดเห็นจากทุภภาคส่วน ซึ่งกลุ่มแรกที่ออกมาสะท้อนปัญหาคือ กลุ่มของธุรกิจการท่องเที่ยวและโรงแรมใน อ.หาดใหญ่ ทั้งจาก นายกสมาคมโรงแรมหาดใหญ่-สงขลา ประธานหอการค้าจังหวัดสงขลา และกลุ่มอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวต่างๆ ใน จ.สงขลา ที่ได้เสนอขอให้มีการทบทวนการจัดเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างฉบับล่าสุด

เนื่องจากมองว่า ประเทศเพิ่งผ่านพ้นจากช่วงโควิด 19 มาได้ไม่นาน อีกทั้งภาคการท่องเที่ยวก็กำลังอยู่ในช่วงกำลังฟื้นตัว การจัดเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างรูปแบบใหม่นั้น จะสร้างภาระให้กับผู้ประกอบการมากขึ้นไปอีก แทนที่จะเก็บในลักษณะของการประเมินจากรายได้แบบของกรมสรรพากร เช่น โรงแรมไหนมีลูกค้ามาก ก็สามารถจ่ายภาษีได้มาก แต่กลับกันการเก็บภาษีรูปแบบใหม่ที่ต้องเสียเท่ากันหมด หากโรงแรมในขนาดเดียวกัน ทำเลเดียวกัน โรงแรมที่มีลูกค้าน้อย และมีรายได้น้อย ก็จะต้องแบกรับภาระในการจ่ายภาษีที่หนักกว่า และจะโยงไปถึงการครอบครองที่ดินของบุคคลต่างๆด้วย ซึ่งหากเป็นที่ดินว่างเปล่า ก็จะพยายามหาอะไรมาปลูก มาทำ ไม่ให้เข้าข่ายการเป็นที่ดินที่ไม่ได้ใช้ประโยชน์ เป็นแค่ทำบังหน้าเลี่ยงข้อกฎหมาย อีกทั้งชาวบ้านทั่วไปที่ไม่ได้มีทุนทรัพย์มากมาย หรือได้ที่ดินสิ่งปลูกสร้างมาจากมรดกตกทอด ก็จะต้องจ่ายภาษีในอัตราที่สูงขึ้นไปอีก และเสี่ยงที่จะต้องขายที่ดินให้กับคนอื่นหรือนายทุน หากไม่สามารถจ่ายภาษีได้ไหว ซึ่งขัดกับเจตนารมณ์ของการจัดเก็บภาษีใหม่ทั้งในแง่ของการต้องการที่จะอนุรักษ์ป่าไม้และทรัพยากรธรรมชาติ รวมทั้งต้องการลดการครอบครองที่ดินของนายทุน

นอกจากนี้ทางกลุ่มธุรกิจการท่องเที่ยวและโรงแรมใน อ.หาดใหญ่ ยังได้เสนอให้มีการจัดระเบียบของโรงแรมที่และพักต่างๆ ทั้งหมด เนื่องจากตอนนี้มีทั้งที่อยู่ในระบบ และนอกระบบ โดยต้องการในพวกโรงแรมที่พักที่อยู่นอกระบบ ทั้งในรูปแบบของการเข้ามาเช่า และทำประโยชน์ของชาวต่างชาติ และบางส่วนที่ทำในลักษณะเป็นบ้านหรือที่พัก แล้วเปิดให้เข้าไปใช้บริการ เช่น พูลวิลล่า ก็ต้องตรวจสอบ และนำข้าระบบ เพื่อความเป็นธรรมกับผู้ประกอบธุรกิจเดียวกัน และการจัดเก็บภาษี

โดยนอกจากเรื่องธุรกิจ การค้า การท่องเที่ยว ที่เป็นรายได้หลักของ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา แล้ว ยังมีตัวแทนในการนำเสนอที่จะให้ทางรัฐบาลผลักดันโครงการนิคมอุตสาหกรรมจะนะ ซึ่งเป็นโครงการมูลค่ากว่า 1 แสนล้าน บนเนื้อที่กว่า 11,800 ไร่ ใน 4 ตำบล ของ อ.จะนะ และ อ.เทพา ซึ่งมีความพยามที่จะผลักดันให้เป็นอุตสาหกรรมที่จะสร้างรายได้ให้กับประเทศและคนในพื้นที่ และพื้นที่ดังกล่าวยังเคยเป็นจุดยุทธศาสตร์ที่มีความพยามยามในทำโครงการกระจายความเจริญสู่ภูมิภาคมาตั้งแต่ปี 2532 แล้วด้วย แต่ยังไม่สำเร็จ พร้อมกันนี้ได้มีการยื่นหนังสือให้ทางรัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องช่วยกลักดันเรื่องนี้ด้วย โดยมอบผ่านทาง นายมงคล สุระสัจจะ ประธานวุฒิสภา

ขณะที่ทางภาคเกษตรกร โดยเฉพาะในพื้นที่ 4 อำเภอคาบสมุทรสทิงพระ คือ อ.สิงหนคร อ.สทิงพระ อ.กระแสสินธุ์ และ อ.ระโนด ได้เสนอแนะให้มีการพลิกโฉมการเกษตร โดยมองว่า หากปลูกพืชแล้วขายผลผลิตแบบเดิมเหมือนในอดีต อยากให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และเกษตรกรลองปรับเปลี่ยนวิธีคิด หารูปแบบวิธีการใหม่ๆ แปรรูปผลผลิต หรือหาช่องทางส่งออกที่มากขึ้น เพื่อให้มีรายได้ และมีความมั่นคงขึ้นมากกว่านี้

ซึ่งทางกลุ่ม สว.สงขลา ได้รับฟังปัญหา และข้อเสนอแนะต่างๆจากทุกภาคส่วนในครั้งนี้ และจะมีการนำเสนอไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้ช่วยกันแก้ไข และผลักดันให้การการพัฒนาที่จะเป็นประโยชน์กับประชาชนและประเทศชาติต่อไป

ทั้งหลังเสร็จสิ้นการรับฟังความคิดเห็นจากประชาชน ทางคณะฯ ยังได้เดินทางไปยังด่านศุลการกรสะเดา และด่านศุลกากรปาดังเบซาร์ อ.สะเดา จ.สงขลา ซึ่งมีพรมแดนติดต่อกับประเทศมาเลเซีย เพื่อศึกษาการดำเนินงานของด่านศุลกากร รวมทั้งโครงการสำคัญของรัฐ และในวันพรุ่งนี้ (28 มี.ค.) ทางคณะฯ ยังมีกำหนดการพบปะกับกลุ่มผู้ประกอบการที่ห้องประชุมหอการค้าจังหวัดสงขลา และพบปะกับพ่อค้าแม่ค้าและประชาชนในย่านตลาดกิมหยง เมืองหาดใหญ่ เพื่อติดตามสภาพเศรษฐกิจในปัจจุบันด้วย
 

ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติสั่งด่วนตำรวจทุกพื้นที่ออกตรวจตรา ช่วยเหลือ อพยพประชาชนหรือผู้ประสบภัยไปพื้นที่ปลอดภัย กรณีเกิดเหตุแผ่นดินไหวรับรู้ได้ทั่วประเทศ

(28 มี.ค.68) พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ สั่งการด่วนตำรวจทุกพื้นที่ ให้ดูแลช่วยเหลือพี่น้องประชาชน หลังจากเวลาประมาณ 13.30 น. เกิดแผ่นดินไหว จุดศูนย์กลางอยู่บริเวณประเทศเมียนมา ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของ อ.ปางมะผ้า จ.แม่ฮ่องสอน สามารถรับความรู้สึกสั่นไหวบริเวณกรุงเทพมหานคร ปริมณฑล ภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลาง และภาคใต้ โดยในกรุงเทพมหานคร เกิดเหตุอาคารทรุด มีผู้ประสบภัยจำนวนมาก

ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติได้กำชับให้ตำรวจทุกพื้นที่ติดตามความเคลื่อนไหวและข่าวสารจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และให้ออกตรวจตรา และให้ความช่วยเหลือ อพยพประชาชนออกนอกอาคารหรือตึกสูงไปยังพื้นที่ปลอดภัย กรณีที่พื้นที่ใดมีผลกระทบหรือมีเหตุตึกอาคารทรุดหรือไม่ปลอดภัย ให้เร่งเข้าช่วยเหลือผู้ประสบภัยและนำไปยังพื้นที่พยาบาลหรือพื้นที่ปลอดภัย พร้อมจัดเตรียมบริหารจัดการเหตุในพื้นที่ อำนวยความสะดวกด้านการจราจร เพื่อนำส่งการสนับสนุนด้านต่าง ๆ เน้นการติดต่อสื่อสารสั่งการในพื้นที่ พร้อมสั่งการให้โรงพยาบาลตำรวจจัดบุคลากรทางการแพทย์เตรียมรับมือกับสถานการณ์ฉุกเฉิน ที่จะต้องให้การสนับสนุนช่วยเหลือพี่น้องประชาชน

ชื่นชม!! ‘หมอเต้ย’ ผ่าตัดคนไข้กลางแจ้งหลังเกิดแผ่นดินไหว ผ่าตัดเสร็จภายใน 10 นาที รักษาชีวิตคนไข้ได้ปลอดภัย

เมื่อวานนี้ (28 มี.ค. 68) จากกรณี ผู้ใช้งานเฟซบุ๊กชื่อ Tony Lim ได้มีการแชร์ภาพบุคลากรทางการแพทย์ของโรงพยาบาลตำรวจ กำลังผ่าตัดคนไข้กลางแจ้ง หลังเกิดสถานการณ์ภาวะฉุกเฉินแผ่นดินไหว จนมีกระแสทางโซเชียล แห่ชื่นชมว่าเหมือนเป็นหมอฮีโร่ สุดเท่ และให้กำลังใจเป็นจำนวนมาก

โดย พ.ต.ท.วรัญญู จิรามริทธิ์ แพทย์ศัลยกรรมโรงพยาบาลตำรวจ เปิดเผยผ่านทางโทรศัพท์มือถือว่า คนไข้ต้องมีการผ่าตัดเปิดทวารเทียมทางหน้าท้อง ซึ่งก็มีการผ่าตัดตามกระบวนการ จากนั้นก็ทำการเย็บทวารเทียม แต่ระหว่างที่กำลังผ่าตัดปิดช่องท้องนั้น ได้เกิดเหตุแผ่นดินไหวพอดี ตนและทีมแพทย์ จึงตัดสินใจแพคคนไข้ออกมาจากห้องผ่าตัด ออกมาในจุดที่ปลอดภัยก่อน

จากนั้นก็ประเมินสถานการณ์แล้วว่า คนไข้จำเป็นต้องเร่งผ่าตัดเพื่อปิดช่องหน้าท้องโดยด่วน เพราะถ้าไม่เร่งผ่าตัดปิดหน้าท้อง ก็อาจจะเกิดภาวะลำไส้เคลื่อน แล้วกังวลใจว่าจะมีลำไส้บางส่วนโผล่ออกมาจากช่องท้องแล้วโดนอากาศข้างนอกได้ จึงต้องมีการทำการผ่าตัดบริเวณข้างนอกห้อง และใช้เวลาในการผ่าตัดเพียง 10 นาทีเท่านั้น อีกทั้งขั้นตอนนี้เป็นการเย็บหน้าท้องในขั้นตอนสุดท้าย

ซึ่งก็คำนึงถึงความปลอดภัยเป็นหลักอยู่แล้ว เพราะมีการสวมถุงมือ และใช้อุปกรณ์ที่สะอาดปลอดเชื้อโรค คล้ายกับการทำแพทย์สนาม ส่วนอาการของคนไข้ตอนนี้ปลอดภัยดีแล้ว กำลังแอดมิตอยู่ที่ห้องพักของโรงพยาบาล

ส่วนตัวไม่ทราบเลยว่ามีการนำภาพไปแชร์ลงในโซเชียลและมีคนชื่นชมเป็นจำนวนมาก เนื่องจากตนเองก็เพิ่งเสร็จจากภารกิจการรักษาคนไข้ และเขียนรายงานการรักษาคนไข้ให้กับทางโรงพยาบาล ซึ่งตนเองก็ทำตามหน้าที่ของแพทย์คนหนึ่งที่ต้องช่วยชีวิตคนไข้อย่างดีที่สุด


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top