Thursday, 15 May 2025
NewsFeed

นายกฯ ฮุน มาเนต โต้กลุ่มฝ่ายค้านปลุกปั่นความขัดแย้งไทย-กัมพูชา ท้าพิสูจน์ความรักชาติ ส่งประจำการแนวหน้า 6 เดือน

(17 มี.ค. 68) นายกรัฐมนตรีฮุน มาเนต ของกัมพูชา ได้แสดงความไม่พอใจต่อกลุ่มฝ่ายค้านที่อ้างตัวว่าเป็นผู้รักชาติ แต่กลับพยายามปลุกปั่นความขัดแย้งระหว่างกัมพูชากับประเทศไทยในประเด็นปราสาทตาเมือนธม ซึ่งเป็นประเด็นที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์และการเมืองระหว่างทั้งสองประเทศ

ในแถลงการณ์ที่ออกมา นายกรัฐมนตรีฮุน มาเนต ได้ท้าทายกลุ่มฝ่ายค้านที่อาศัยอยู่ในต่างประเทศให้หยุดการปลุกปั่นความขัดแย้ง โดยกล่าวว่า การกระทำดังกล่าวไม่เพียงแต่ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างกัมพูชาและไทยแย่ลงเท่านั้น แต่ยังขัดขวางความสงบและการพัฒนาในภูมิภาค

“ตอนนี้ถ้าคุณต้องการพิสูจน์ความรักชาติของคุณ อย่าเพียงแค่พูดลอยๆ ถ้าคุณต้องการมาจริงๆ ผมรับรองว่าคุณจะไม่ถูกจับกุม ผมจะจัดกลุ่มทหารให้คุณ คุณจะประจำอยู่ที่ฐานทหาร พร้อมอุปกรณ์ที่จำเป็นทั้งหมด และถูกส่งไปประจำการเพื่อเฝ้าแนวหน้าเป็นเวลา 6 เดือน เพื่อสัมผัสประสบการณ์ที่ทหารของเราต้องเผชิญ” นายกรัฐมนตรีฮุน มาเนต กล่าว 

นายกฯ ฮุน มาเนต ระบุว่า ปัญหาการพิพาทเรื่องปราสาทตาเมือนธมควรได้รับการแก้ไขผ่านช่องทางทางการทูตและการเจรจาระหว่างทั้งสองประเทศ ไม่ควรให้กลุ่มบุคคลที่มีวัตถุประสงค์ทางการเมืองมาพยายามทำให้สถานการณ์ซับซ้อนยิ่งขึ้น โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่ทั้งสองประเทศพยายามร่วมมือกันในด้านเศรษฐกิจและความมั่นคง

การเคลื่อนไหวดังกล่าวเกิดขึ้นท่ามกลางความตึงเครียดในภูมิภาค โดยกลุ่มฝ่ายค้านในต่างประเทศบางกลุ่มได้ใช้ประเด็นปราสาทตาเมือนธมเพื่อกระตุ้นความรู้สึกชาตินิยมและปลุกระดมความคิดเห็นของประชาชน ซึ่งสร้างความวิตกกังวลว่าอาจนำไปสู่ความตึงเครียดทางการทูตระหว่างกัมพูชาและไทย

ทั้งนี้ ปราสาทตาเมือนธม ซึ่งตั้งอยู่ในบริเวณชายแดนระหว่างกัมพูชาและไทย เคยเป็นประเด็นข้อพิพาททางด้านอาณาเขตระหว่างทั้งสองประเทศ โดยมีการอ้างสิทธิ์และการตัดสินของศาลระหว่างประเทศหลายครั้ง แต่ยังคงมีการเรียกร้องจากทั้งสองฝ่ายในการรักษาความเป็นเจ้าของพื้นที่อย่างต่อเนื่อง

อย่างไรก็ตาม นายกฯ ฮุน มาเนต ยืนยันว่า กัมพูชาจะยืนหยัดในความถูกต้องของตนเอง และจะไม่ยอมให้มีการบิดเบือนข้อเท็จจริงในการแก้ไขปัญหาดังกล่าว พร้อมทั้งเรียกร้องให้ทุกฝ่ายหันมาร่วมมือกันเพื่อสร้างความสัมพันธ์ที่ดีและความสงบสุขในภูมิภาค

“สำหรับคนที่บอกว่าเราอ่อนแอ โดยเฉพาะนักการเมืองบางคนในต่างประเทศที่กล่าวหาว่าทหารเราไม่กล้าเผชิญหน้ากับทหารไทย ผมขอบอกว่า ตอนที่เกิดความขัดแย้งในปี 2551 ไม่มีใครในพวกคุณออกมาให้การสนับสนุน แต่กลับกล่าวหารัฐบาลว่าจัดฉากความขัดแย้งและโง่เขลา” โดยคำกล่าวของนายกรัฐมนตรีฮุน มาเนต มีขึ้นหลังจากอดีตผู้นำฝ่ายค้าน สม รังสี และผู้สนับสนุนพยายามปลุกปั่นความขัดแย้งที่ชายแดนกัมพูชา-ไทย โดยหยิบยกประเด็นเกี่ยวกับเกาะกูดและปราสาทตาเมือนธมขึ้นมา 

กองทัพเรือสหรัฐฯ เตรียมส่งเรือดำน้ำพลังงานนิวเคลียร์ 4 ลำ ประจำการออสเตรเลีย เพื่อถ่วงดุลจีนในอินโด-แปซิฟิก

(17 มี.ค. 68) กองทัพเรือสหรัฐอเมริกาได้ประกาศแผนการส่งเรือดำน้ำพลังงานนิวเคลียร์ชั้นเวอร์จิเนีย จำนวน 4 ลำ เข้าประจำการที่ฐานทัพเรือ HMAS Stirling รัฐเวสเทิร์นออสเตรเลีย ภายในปี 2570 โดยภายใต้ข้อตกลง AUKUS ซึ่งเป็นความร่วมมือทางทหารระหว่างสหรัฐอเมริกา, สหราชอาณาจักร และออสเตรเลีย

ขณะนี้ กองทัพเรือสหรัฐฯ ได้ส่งเรือดำน้ำ USS Minnesota (SSN-783) เข้าร่วมการฝึกซ้อมนำร่องที่ฐานทัพเรือในออสเตรเลียแล้ว โดยการฝึกซ้อมดังกล่าวจะช่วยเตรียมความพร้อมให้กับกองทัพเรือสหรัฐฯ ในการส่งเรือดำน้ำพลังงานนิวเคลียร์ที่เหลือเข้าประจำการในอนาคต นอกจากนี้ กองทัพเรือสหรัฐฯ ยังเตรียมส่งกำลังพล 50-80 นาย เข้าประจำการที่ฐานทัพเรือ HMAS Stirling ภายในกลางปี 2568 เพื่อสนับสนุนการปฏิบัติงานของเรือดำน้ำเหล่านี้

สำหรับที่ตั้งของ HMAS Stirling ตั้งอยู่ใกล้เอเชียและมหาสมุทรอินเดียมากกว่าที่ตั้งกองบัญชาการกองเรือแปซิฟิกของสหรัฐฯ ที่ฮาวาย มีความสำคัญเชิงยุทธศาสตร์ต่อสหรัฐฯ “การปกป้องมหาสมุทรอินเดียจากศักยภาพและอำนาจที่เพิ่มขึ้นของจีนเป็นสิ่งสำคัญ” ปีเตอร์ ดีน ผู้อำนวยการด้านนโยบายต่างประเทศและการป้องกันของศูนย์ศึกษาสหรัฐฯ แห่งมหาวิทยาลัยซิดนีย์ กล่าว

การส่งเรือดำน้ำพลังงานนิวเคลียร์และกำลังพลดังกล่าว ถือเป็นส่วนหนึ่งของความพยายามของสหรัฐฯ และพันธมิตรในภูมิภาคในการขยายอิทธิพลทางทะเล เพื่อเสริมสร้างการป้องกันและความมั่นคงในภูมิภาคอินโด-แปซิฟิก โดยเฉพาะการถ่วงดุลอิทธิพลของจีนที่กำลังขยายตัวอย่างรวดเร็วในพื้นที่ดังกล่าว

การประจำการของเรือดำน้ำพลังงานนิวเคลียร์ในออสเตรเลียตามข้อตกลง AUKUS จะช่วยเสริมสร้างความสามารถในการปฏิบัติการทางทะเลของพันธมิตรในภูมิภาค และส่งสัญญาณถึงความมุ่งมั่นของสหรัฐฯ ในการสนับสนุนพันธมิตรในออสเตรเลียและภูมิภาคนี้ในการรับมือกับภัยคุกคามต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต

ผศ.อนุสรณ์ ศรีแก้ว ชี้แนวทางการใช้ AI วงการข่าวอย่างมีจริยธรรม พร้อมสร้างความเข้าใจงานสื่อในงานสัมมนา ‘FUTURE JOURNALISM 2025’

เมื่อวันที่ (14 มี.ค.68) ณ อาคาร Student Center มหาวิทยาลัยรังสิต ได้มีการจัดสัมมนาวิชาการในหัวข้อ “AI กับสื่อวารศาสตร์ยุคใหม่” ภายใต้งาน THE FUTURE JOURNALISM 2025 โดยมี ผู้ช่วยศาสตราจารย์อนุสรณ์ ศรีแก้ว คณบดีกิตติคุณวิทยาลัยนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต เป็นวิทยากรหลักในการบรรยายเกี่ยวเรื่อง “ทิศทางการนำเสนอข่าวยุค AI”

โดยการสัมมนาครั้งนี้ได้รับความสนใจจากนักศึกษา อาจารย์ ผู้ประกอบวิชาชีพสื่อสารมวลชน และบุคคลทั่วไปที่สนใจเกี่ยวกับแนวโน้มของวงการข่าวในอนาคต ซึ่ง AI กำลังเข้ามามีบทบาทสำคัญต่อการเปลี่ยนแปลงของสื่อมวลชนอย่างรวดเร็ว

ผศ.อนุสรณ์ ศรีแก้ว ได้กล่าวถึงบทบาทของ AI ที่เข้ามาช่วยสนับสนุนงานข่าวในหลายมิติ ตั้งแต่ การสรุปข่าว การวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึก การตรวจสอบข้อเท็จจริง (Fact-checking) ไปจนถึงการสร้างผู้ประกาศข่าวเสมือนจริง (AI Anchors) ซึ่งช่วยให้กระบวนการนำเสนอข่าวเป็นไปอย่างรวดเร็วและแม่นยำมากขึ้น

รวมถึงประเด็นด้านจริยธรรมที่มาพร้อมกับ AI เช่น Deepfake, ข่าวปลอม (Fake News), และอคติของอัลกอริทึม (Algorithmic Bias) ซึ่งอาจส่งผลต่อความน่าเชื่อถือของข่าวสารได้ นักข่าวและองค์กรสื่อจำเป็นต้องพัฒนาแนวทางการใช้ AI อย่างมีความรับผิดชอบ เพื่อรักษามาตรฐานทางจริยธรรมของวิชาชีพสื่อมวลชน

“ในยุคที่ AI ก้าวเข้ามามีบทบาทสำคัญในวงการสื่อมวลชน นักข่าวและสำนักข่าวต้องปรับตัวให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลง เทคโนโลยี AI สามารถช่วยให้การสืบค้น วิเคราะห์ และนำเสนอข่าวมีประสิทธิภาพมากขึ้น แต่หัวใจสำคัญของวารสารศาสตร์ยังคงอยู่ที่ 'ความจริง' และ 'จรรยาบรรณ' ของผู้สื่อข่าว” ผศ.อนุสรณ์ กล่าว

นอกจากนี้ ผศ.อนุสรณ์ได้เสนอแนวทางการประยุกต์ใช้ AI ให้เกิดประโยชน์สูงสุดในสายงานสื่อ เช่น การใช้ AI เพื่อช่วยรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลปริมาณมาก (Big Data Journalism) การพัฒนา Chatbot เพื่อสื่อสารกับผู้อ่าน การใช้ AI ตรวจสอบแหล่งข่าว รวมถึงการใช้ AI สร้างเนื้อหาที่ปรับให้เหมาะกับกลุ่มเป้าหมายแบบเฉพาะบุคคล (Personalized News)

วิทยากรเน้นย้ำว่า AI ไม่ได้เข้ามาแทนที่นักข่าว แต่เป็นเครื่องมือที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของสื่อมวลชน นักข่าวควรพัฒนาทักษะด้านเทคโนโลยี เช่น การใช้เครื่องมือวิเคราะห์ข้อมูล การตรวจสอบข่าวปลอม การทำงานร่วมกับระบบอัตโนมัติ และการนำเสนอข่าวที่เจาะลึกและสร้างคุณค่าให้กับสังคม

สำหรับงานสัมมนาครั้งนี้ช่วยให้ผู้เข้าร่วมมีความเข้าใจที่ชัดเจนยิ่งขึ้นเกี่ยวกับ การปรับตัวของวงการข่าวในยุค AI รวมถึงความสำคัญของการใช้เทคโนโลยีอย่างมีจริยธรรมและความรับผิดชอบ โดย ผศ.อนุสรณ์ ศรีแก้ว ได้เน้นให้เห็นว่าการผสมผสาน AI เข้ากับการทำข่าวอย่างเหมาะสม จะช่วยให้วงการสื่อสารมวลชนสามารถก้าวเข้าสู่อนาคตได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน

“แม้ว่า AI จะช่วยเขียนข่าวได้อย่างรวดเร็ว แต่สิ่งที่ AI ยังไม่สามารถแทนที่ได้ คือ วิจารณญาณของมนุษย์ การตั้งคำถาม และความสามารถในการถ่ายทอดเรื่องราวอย่างมีอารมณ์ความรู้สึก ดังนั้น นักข่าวยุคใหม่ต้องเรียนรู้ที่จะทำงานร่วมกับ AI และใช้เทคโนโลยีให้เกิดประโยชน์สูงสุด โดยไม่ละทิ้งจริยธรรมของวิชาชีพ” ผศ.อนุสรณ์ กล่าวปิดท้าย

ทั้งนี้ การสัมมนาเป็นส่วนหนึ่งของงาน THE FUTURE JOURNALISM 2025 ซึ่งเป็นเวทีสำคัญในการแลกเปลี่ยนความรู้และแนวคิดเกี่ยวกับการพัฒนาวงการข่าวในยุคดิจิทัล โดยมีผู้เชี่ยวชาญจากหลายสาขาเข้าร่วมแบ่งปันมุมมองและประสบการณ์ ถือเป็นอีกก้าวสำคัญของแวดวงสื่อสารมวลชนไทยในการก้าวสู่อนาคตของข่าวสารในปี 2025 และต่อไป

นักการเมืองฝรั่งเศส จี้สหรัฐฯ คืนรูปปั้น ‘เทพีเสรีภาพ’ หลังมองว่าอเมริกาเปลี่ยนไปจากอุดมการณ์เดิม

(17 มี.ค. 68) ราฟาเอล กลุกส์มันน์ (Raphaël Glucksmann) นักการเมืองฝ่ายกลางซ้ายจากพรรค Place Publique และสมาชิกรัฐสภายุโรป (European Parliament) ได้กล่าวระหว่างการประชุมพรรคว่า รัฐบาลสหรัฐฯ ควรคืนเทพีเสรีภาพให้กับฝรั่งเศส โดยให้เหตุผลว่าสหรัฐฯ ในปัจจุบันไม่ได้เป็นตัวแทนของค่านิยมประชาธิปไตยและเสรีภาพ ซึ่งเป็นหลักการสำคัญที่ฝรั่งเศสยึดถือเมื่อครั้งที่มอบอนุสาวรีย์ดังกล่าวให้กับอเมริกา

“เราควรนำเทพีเสรีภาพกลับคืนมา เพราะสหรัฐฯ ไม่ได้สะท้อนคุณค่าที่ทำให้เราตัดสินใจมอบอนุสาวรีย์นี้ให้พวกเขาอีกต่อไป” กลุกส์มันน์ กล่าวในที่ประชุม พร้อมระบุว่าในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ทิศทางทางการเมืองของสหรัฐฯ มีแนวโน้มถดถอยจากแนวคิดประชาธิปไตยและความเป็นเสรีนิยม ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของการมอบเทพีเสรีภาพให้เป็นของขวัญแก่สหรัฐฯ ในปี ค.ศ.1886

เทพีเสรีภาพ (Statue of Liberty) เป็นสัญลักษณ์แห่งเสรีภาพและประชาธิปไตย ซึ่งฝรั่งเศสได้มอบให้แก่สหรัฐฯ เพื่อเป็นสัญลักษณ์ของมิตรภาพระหว่างทั้งสองชาติ และเป็นอนุสรณ์ถึงอุดมการณ์เสรีภาพที่ทั้งสองประเทศเคยมีร่วมกัน

การเรียกร้องของกลุกส์มันน์สะท้อนถึงความกังวลของนักการเมืองบางส่วนในยุโรปที่มองว่า บทบาทของสหรัฐฯ ในเวทีโลกกำลังเปลี่ยนไป และอาจไม่ยึดมั่นในหลักการเสรีภาพและประชาธิปไตยเช่นในอดีต อย่างไรก็ตาม คำกล่าวของเขาก็อาจกลายเป็นประเด็นถกเถียงทั้งในฝรั่งเศสและในสหรัฐฯ เกี่ยวกับสถานะของเทพีเสรีภาพในฐานะสัญลักษณ์ของเสรีภาพระดับโลก

อย่างไรก็ตามยังไม่มีปฏิกิริยาจากรัฐบาลสหรัฐฯ ต่อคำเรียกร้องของกลุกส์มันน์ แต่แน่นอนว่าความคิดเห็นดังกล่าวอาจกระตุ้นให้เกิดการถกเถียงเกี่ยวกับบทบาทของสหรัฐฯ ในฐานะผู้นำประชาธิปไตยของโลกในยุคปัจจุบัน

นอกจากนี้ กลุกส์มันน์ เคยออกมาโจมตี การตัดงบประมาณด้านวิจัยของสหรัฐฯ ในยุครัฐบาลโดนัลด์ ทรัมป์ โดยระบุว่าการลดงบสนับสนุนสถาบันวิจัยและโครงการทางวิทยาศาสตร์ของอเมริกาทำให้เกิด ความเสียหายต่อความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ระดับโลก

“การตัดงบประมาณในสถาบันวิจัยของสหรัฐฯ เป็นการทำลายรากฐานของนวัตกรรมและความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ ซึ่งขัดแย้งกับคุณค่าของความก้าวหน้าทางปัญญาที่เราควรปกป้อง” กลุกส์มันน์กล่าว

ผลกระทบจากนโยบายดังกล่าวส่งผลให้รัฐบาลฝรั่งเศสเริ่มเดินหน้าดึงดูดนักวิจัยจากสหรัฐฯ ให้เข้ามาทำงานในฝรั่งเศส โดยมีการริเริ่มโครงการให้ เงินทุนสนับสนุนและโอกาสด้านการวิจัยที่มั่นคงมากขึ้น สำหรับนักวิทยาศาสตร์ที่ได้รับผลกระทบจากการลดงบประมาณในอเมริกา

แผนการดังกล่าวสอดคล้องกับเป้าหมายของฝรั่งเศสที่ต้องการยกระดับบทบาทของประเทศในฐานะศูนย์กลางด้านการวิจัยและนวัตกรรมของยุโรป โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเวลาที่บางประเทศกำลังลดการลงทุนในภาควิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

นโยบายดึงดูดนักวิจัยต่างชาติของฝรั่งเศสไม่ได้เพิ่งเกิดขึ้นในยุครัฐบาลปัจจุบัน ก่อนหน้านี้ ประธานาธิบดีเอ็มมานูเอล มาครง ก็เคยประกาศโครงการ "Make Our Planet Great Again" เพื่อเชิญชวนนักวิทยาศาสตร์จากทั่วโลก โดยเฉพาะนักวิจัยด้านสิ่งแวดล้อมที่ได้รับผลกระทบจากนโยบายของทรัมป์ ให้มาทำงานในฝรั่งเศส

ขณะที่การตัดงบประมาณด้านวิจัยของสหรัฐฯ กลายเป็นประเด็นที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์ในหลายวงการ กลุกส์มันน์ชี้ว่า ฝรั่งเศสควรฉวยโอกาสนี้เพื่อเสริมสร้างศักยภาพทางวิทยาศาสตร์ของตัวเอง และต้อนรับนักวิจัยที่กำลังมองหาสภาพแวดล้อมที่สนับสนุนการทำงานอย่างแท้จริง

กองทัพจีนประกาศเฝ้าระวังขั้นสูง พร้อมรบทุกเวลา หากไต้หวันแยกตัว อาจเกิดสงครามทันที

(17 มี.ค. 68) พลเอก หลิน เซี่ยงหยาง (Lin Xiangyang) ผู้บัญชาการกองทัพปลดปล่อยประชาชนจีน (PLA) ประกาศว่า กองทัพจีนอยู่ในภาวะเฝ้าระวังขั้นสูง และมีความพร้อมเต็มที่ในการทำสงครามได้ทุกเวลาหากจำเป็น เพื่อสกัดกั้นความพยายามแยกตัวเป็นเอกราชของไต้หวัน

“กองทัพปลดปล่อยประชาชนจีนมีความสามารถในการตอบโต้ภัยคุกคามได้อย่างทันท่วงที และพร้อมใช้มาตรการเด็ดขาดเพื่อปกป้องอธิปไตยของชาติ” หลิน เซี่ยงหยาง กล่าว

คำประกาศดังกล่าวเกิดขึ้นท่ามกลาง สถานการณ์ที่ตึงเครียดขึ้นในช่องแคบไต้หวัน โดยจีนได้เพิ่มกิจกรรมทางทหารในพื้นที่ใกล้เกาะไต้หวันมากขึ้น เช่น การซ้อมรบทางทะเล การส่งเครื่องบินรบเข้าสู่เขตป้องกันภัยทางอากาศ (ADIZ) ของไต้หวัน และการเสริมกำลังทางยุทธศาสตร์รอบพื้นที่

ด้านไต้หวัน รัฐบาลไทเปยืนยันว่าตนเป็นประชาธิปไตยที่ปกครองตนเอง และไม่เคยอยู่ภายใต้การปกครองของสาธารณรัฐประชาชนจีน อย่างไรก็ตาม ปักกิ่งยังคงย้ำว่า ไต้หวันเป็นมณฑลหนึ่งของจีน และ พร้อมใช้ทุกวิถีทาง รวมถึงกำลังทหาร เพื่อรวมไต้หวันกลับสู่แผ่นดินใหญ่

การประกาศของหลิน เซี่ยงหยาง ได้รับความสนใจจากประชาคมระหว่างประเทศ โดยเฉพาะสหรัฐฯ ซึ่งเป็นพันธมิตรหลักของไต้หวัน โดยสหรัฐฯ ได้แสดงท่าที คัดค้านการใช้กำลังทหารเพื่อเปลี่ยนแปลงสถานะของไต้หวัน และยังคงให้การสนับสนุนด้านอาวุธและความร่วมมือด้านความมั่นคงกับไทเป

ความเคลื่อนไหวนี้อาจเป็นปัจจัยที่ทำให้สถานการณ์ในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิกตึงเครียดมากยิ่งขึ้น โดยหลายฝ่ายกำลังจับตาดูว่าจีนจะดำเนินมาตรการเพิ่มเติมอย่างไรในการเผชิญหน้ากับไต้หวันและพันธมิตรตะวันตก

 “เชียงราย”ตม.เชียงราย ผลักดันขอทานสร้างความเดือดร้อนแก่ชุมชนแม่สายกลับ”ท่าขี้เหล็ก”

ตามที่มีการร้องเรียนว่ามีกลุ่มบุคคลต่างด้าวมาขอทานสร้างความเดือดร้อนให้ประชาชนภายในพื้นที่ของอำเภอแม่สายจังหวัดเชียงรายบริเวณตลาดสายลมจอยตลาดบุญยืนและพื้นที่สาธารณะที่มี คนพลุกพล่าน ส่วนใหญ่จะเป็นผู้หญิงและเด็กมาขอทานดังกล่าว

วันนี้ (17 มี.ค. 68) เวลาประมาณ 11.20 น. ภายใต้การอำนวยการของ พ.ต.อ.สุรศักดิ์ เทียนทอง          ผกก.ตม.จว.เชียงราย, พ.ต.ท.ตุลย์วรรษ ณรงค์ศักดิ์ รอง ผกก.ตม.จว.เชียงราย และ พ.ต.ท.วิชัย ปันนา สว.ตม. จว.เชียงราย สั่งการให้ จนท.ชุดสืบสวนปราบปราม ตม.จว.เชียงราย บูรณาการร่วมกับ เจ้าหน้าที่เทศบาลตำบลแม่สาย ออกตรวจสอบเหตุกรณีปรากฎข่าวทางสื่อโซเชียล ว่ามีบุคคลต่างด้าวสัญชาติเมียนมาเดินทางเข้ามาเร่ร่อนขอทาน ในเขตพื้นที่รับผิดชอบ  บริเวณ ตลาดสดนายบุญยืน ต.เวียงพางคำ อ.แม่สาย จว.เชียงราย​​

ผลการปฏิบัติ พบบุคคลต่างด้าวสัญชาติเมียนมา เป็นผู้ใหญ่ 3 ราย เด็ก 6 ราย ซึ่งได้เข้ามาถูกต้องโดยมีบัตรผ่านแดนข้ามมาไม่ได้หลบหนีเข้าเมืองแต่อย่างใด จึงได้ตักเตือนทำการแจ้งว่าหาก ยังมาขอทานในพื้นที่อีกจะ นำเข้าบัญชีเฝ้าระวังห้ามไม่ให้เข้าภายพื้นที่อำเภอแม่สายอีกและได้ดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป

สันติ วงศ์สุนันท์/หัวหน้าศูนย์ข่าวอำเภอแม่สายจังหวัดเชียงราย/รายงาน

สมุทรปราการ-ครอบครัว”สุวรรณบุตร” มอบรองเท้ากีฬาแก่นักเรียนและนักกีฬา มูลค่ากว่า 3 แสนบาท

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่สนาม KRASA STDIUM โรงเรียนมัธยมแพรกษาวิเทศศึกษา  ต.แพรกษา อ.เมือง สมุทรปราการ ดร.ยงยุทธ สุวรรณบุตร สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเขต 2 จังหวัดสมุทรปราการ สมัยที่ 25 และที่ปรึกษากิตติมศักดิ์นายกเทศมนตรีตำบลแพรกษา พร้อมด้วย นางอรัญญา สุวรรณบุตร นายกเทศมนตรีตำบลแพรกษา ให้เกียรติเป็นประธานมอบรองเท้ากีฬาฟุตบอลแก่นักกีฬา 

โดยทาง ดร.ยงยุทธ สุวรรณบุตร สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดสมุทรปราการ สมัยที่ 25 และที่ปรึกษากิตติมศักดิ์นายกเทศมนตรีตำบลแพรกษา และ นางอรัญญา สุวรรณบุตร นายกเทศมนตรีตำบลแพรกษา ได้สนับสนุนส่งเสริมในด้านกีฬามาโดยตลอด จึงได้สนับสนุนมอบรองเท้ากีฬาฟุตบอลให้แก่เด็กนักเรียนและนักกีฬาทั้งหมด รวม 9 โรงเรียนด้วยกัน รวมทั้งสิ้น 140 คน เป็นจำนวนเงิน กว่า 3 แสนบาท

โดยใช้เงินส่วนตัวในการจัดซื้อรองเท้ากีฬาฟุตบอลในครั้งนี้ เพื่อให้นักกีฬาฟุตบอลใช้ในการแข่งขัน นอกจากนี้เพื่อเป็นการส่งเสริมและสร้างขวัญกำลังใจให้แก่นักกีฬาอีกด้วย 

อีกทั้ง การมอบรางวัลสนับสนุนในครั้งนี้เพื่อให้นักกีฬาของโรงเรียนได้มีโอกาสใช้สิ่งของที่นักฟุตบอลต้องมีต้องใช้อย่างเหมาะสมและดีที่สุด

โดยมีนักกีฬาจากทีมต่างๆ จำนวน 9 โรงเรียน อาทิ โรงเรียนมัธยมแพรกษาวิเทศศึกษา โรงเรียนแพรกษาวิทยา โรงเรียนคลองแสนสุข โรงเรียนสารสาสน์วิเทศสุวรรณภูมิ โรงเรียนวัดตำหรุ โรงเรียนสารสาสน์วิเทศสมุทรปราการ โรงเรียนสุขเจริญผลแพรกษา และ อนุบาลเคหะบางพลี 

ทั้งนี้ การมอบรองเท้ากีฬาแก่นักเรียนในวันนี้ ถือเป็นการส่งเสริมในด้านกีฬา เด็กๆ ทุกคนรวมถึงผู้ปกครองภาคภูมิใจที่ทางผู้ใหญ่ใจดี โดยครอบครัวสุวรรณบุตรให้การสนับสนุนรองเท้ากีฬาแก่นักกีฬา เป็นจำนวนเงินกว่า 3 แสนบาท ดั่งคำที่ว่า การศึกษาต้องมาก่อน

คิว-ข่าวสมุทรปราการ รายงาน

สธ. ตั้งเป้า รพ.รัฐทุกแห่งได้รับมาตรฐานสถานพยาบาลแห่งชาติ HS4 ยกระดับบริการสร้างความเชื่อมั่นประชาชน

ปลัดกระทรวงสาธารณสุข เปิดงานขับเคลื่อนมาตรฐานระบบบริการสุขภาพ  “HS4 ก้าวย่างอย่างยิ่งใหญ่ สู่มาตรฐานแห่งชาติ” มุ่งยกระดับสถานพยาบาลภาครัฐ สู่สถานพยาบาลต้นแบบ เพิ่มศักยภาพแข่งขันในระดับสากล ปัจจุบันมีสถานพยาบาลภาครัฐทุกสังกัดได้รับมาตรฐาน HS4 แล้ว 1,074 แห่ง หรือร้อยละ 97.6 ตั้งเป้าให้สถานพยาบาลรัฐผ่านเกณฑ์มาตรฐานครบทุกแห่ง เพื่อประชาชนเข้าถึงบริการสุขภาพที่มีคุณภาพและปลอดภัย ส่งเสริมประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางบริการสุขภาพโลก

วันนี้ (17 มี.ค. 68) ที่ โรงแรมแกรนด์ ริชมอนด์ สไตลิช คอนเวนชั่น จ.นนทบุรี นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข เปิดการประชุมเชิงปฏิบัติการขับเคลื่อนและยกระดับมาตรฐานระบบบริการสุขภาพ สู่มาตรฐานสถานพยาบาลแห่งชาติ (HS4 Journey to National Standard) โดยมี ดร.นพ.ภานุวัฒน์ ปานเกตุ อธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ ผู้บริหาร บุคลากรผู้เกี่ยวข้องจากส่วนกลาง ส่วนภูมิภาค โรงพยาบาลภาครัฐทั้งในสังกัดกระทรวงสาธารณสุขและนอกสังกัดกระทรวงสาธารณสุขทั่วประเทศ เข้าร่วมกว่า 500 คน

นพ.โอภาส กล่าว การพัฒนาสถานพยาบาลให้เป็นไปตามมาตรฐานและกฎหมายของประเทศเป็นกลไกสำคัญในการควบคุมคุณภาพ ทำให้การจัดบริการประชาชนเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ สร้างความปลอดภัยและสวัสดิภาพให้กับเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงาน กรมสนับสนุนบริการสุขภาพจึงได้กำหนดมาตรฐานระบบบริการสุขภาพ HS4 (Health Standard Service Support System) ภายใต้พระราชบัญญัติสถานพยาบาล พ.ศ.2541 และที่แก้ไขเพิ่มเติม โดยพระราชบัญญัติสถานพยาบาล (ฉบับที่ 4) พ.ศ.2559 (มาตรา5) เพื่อเป็นมาตรฐานแห่งชาติในการประเมินมาตรฐานระบบบริการสุขภาพของสถานพยาบาลภาครัฐ โดยเป็นตัวกำหนดการเพิ่มขีดความสามารถการจัดบริการ ยกระดับสถานพยาบาลภาครัฐให้เป็นสถานพยาบาลต้นแบบ ในการแลกเปลี่ยนเรียนรู้และศูนย์ศึกษาแก่สถานพยาบาลอื่น เกิดศูนย์ความเป็นเลิศ (Excellent Center) ในแต่ละแผนก ซึ่งจะเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันในระดับสากล นำมาสู่การสร้างความเชื่อมั่นให้ผู้รับบริการทั้งชาวไทยและต่างชาติ โดยขณะนี้มีสถานพยาบาลภาครัฐที่ดำเนินการตามมาตรฐาน HS4 แล้ว 1,074 แห่ง คิดเป็นร้อยละ 97.6 ของสถานพยาบาลภาครัฐทุกสังกัด ซึ่งกระทรวงสาธารณสุขได้ตั้งเป้าหมายที่จะส่งเสริมให้สถานพยาบาลภาครัฐผ่านการประเมินมาตรฐาน HS4 ให้ครบทุกแห่ง

ด้าน ดร.นพ.ภานุวัฒน์ กล่าวว่า มาตรฐาน HS4 เป็นการตรวจสอบ ควบคุม กำกับ และประเมินคุณภาพมาตรฐานครอบคลุมการดำเนินงาน 9 ด้าน ได้แก่ 1.การบริหารจัดการ 2.การบริการสุขภาพ 3.มาตรฐานอาคารสถานที่และสิ่งอำนวยความสะดวก 4.สิ่งแวดล้อม 5.ความปลอดภัย 6.เครื่องมืออุปกรณ์ทางการแพทย์ 7.ระบบสนับสนุนบริการที่สำคัญ 8.สุขศึกษาและพฤติกรรมสุขภาพ และ 9.การรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ โดยมีหน่วยงานในสังกัดกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ ร่วมกำกับ ดูแล และให้คำแนะนำในการประเมินแก่สถานพยาบาลภาครัฐทั้งส่วนกลางและส่วนภูมิภาค ซึ่งการประชุมครั้งนี้ จะช่วยให้ผู้มีส่วนร่วมในการจัดทำมาตรฐาน ได้แสดงความคิดเห็น เกิดการแลกเปลี่ยนเรียนรู้จากภาคีและผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย และรับทราบแนวทางการขับเคลื่อนการพัฒนาสถานพยาบาลของประเทศตามมาตรฐานระบบบริการสุขภาพ ซึ่งจะส่งผลให้ประชาชนได้เข้าถึงบริการสุขภาพที่มีคุณภาพมาตรฐานสูงอย่างปลอดภัย รวมทั้งเพิ่มพูนขีดความสามารถของประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางในการให้บริการด้านสุขภาพแก่นักท่องเที่ยวทั่วโลก

เจนกิจ นัดไธสง รายงาน

โฆษก ตร. ยืนยัน โครงการปรับเปลี่ยนกำลังพล รุ่นที่ 26 ยังไม่แล้วเสร็จ อยู่ระหว่างการพิจารณาตามหลักเกณฑ์ เอกสารรายชื่อที่ถูกส่งต่อตามโซเชียล ยังไม่ได้เป็นความสมัครใจผู้เข้าร่วมโครงการ

(18 มี.ค. 68) พล.ต.ท.อาชยน ไกรทอง โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (โฆษก ตร.) เปิดเผยว่า จากกรณีมีการเผยแพร่ข่าวสารทางสื่อต่าง ๆ กรณีความคืบหน้าโครงการปรับเปลี่ยนกำลังพล สำนักงานตำรวจแห่งชาติ รุ่นที่ 26 นั้น ขอชี้แจงว่าการดำเนินโครงการดังกล่าวยังไม่แล้วเสร็จ ยังอยู่ในขั้นตอนของการดำเนินการ และเอกสารรายชื่อผู้ประสงค์เข้าร่วมโครงการที่ถูกส่งต่อ หรือปรากฏตามสื่อต่าง ๆ ยังไม่ใช่เอกสารที่แสดงรายชื่อผู้สมัครใจลาออกตามโครงการแต่อย่างใด 

โครงการปรับเปลี่ยนกำลังพล สำนักงานตำรวจแห่งชาติ รุ่นที่ 26 รอบวันที่ 1 เมษายน 2568 เฉพาะกรณีผู้มียศ พล.ต.ต. หรือ พล.ต.ท. ยังอยู่ในขั้นตอนดำเนินโครงการ และสำรวจรายชื่อข้าราชการตำรวจผู้มีคุณสมบัติตามหลักเกณฑ์

อย่างไรก็ตาม หากสำนักงานตำรวจแห่งชาติดำเนินการตามขั้นตอนต่าง ๆ เสร็จสิ้นแล้ว  จะประกาศให้ทราบต่อไป

จีนปล่อยจรวด CERES-1 บรรทุกดาวเทียม 8 ดวงทะยานอวกาศ หนุนการสำรวจทางวิทยาศาสตร์และการให้บริการด้านการสื่อสาร

(18 มี.ค. 68) สำนักข่าวซินหัว รายงานว่า จีนประสบความสำเร็จในการปล่อยจรวดขนส่งซีอีอาร์อีเอส-1 (CERES-1) ซึ่งบรรทุกดาวเทียม 8 ดวงขึ้นสู่อวกาศ โดยจรวดทะยานขึ้นจากศูนย์ปล่อยดาวเทียมจิ่วเฉวียน ในเขตมองโกเลียใน ทางตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศ เมื่อเวลา 16.07 น. ตามเวลาปักกิ่ง

โดยการปล่อยจรวดซีอีอาร์อีเอส-1 เป็นส่วนหนึ่งของภารกิจสนับสนุนเทคโนโลยีอวกาศและการสื่อสารของจีน โดยดาวเทียมที่บรรทุกขึ้นไปจะถูกนำไปใช้สำหรับการสำรวจทางวิทยาศาสตร์ การสังเกตการณ์ระยะไกล และการให้บริการด้านการสื่อสาร

จรวดขนส่ง ซีอีอาร์อีเอส-1 เป็นจรวดเชื้อเพลิงแข็งขนาดเล็กที่พัฒนาโดย บริษัท Galactic Energy ซึ่งเป็นหนึ่งในบริษัทเอกชนชั้นนำของจีนด้านการพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศ โดยภารกิจครั้งนี้ถือเป็นการปล่อยจรวดซีอีอาร์อีเอส-1 รุ่นใหม่ที่มีการพัฒนาให้มีประสิทธิภาพดียิ่งขึ้น

การปล่อยจรวดครั้งนี้นับเป็นอีกก้าวสำคัญของอุตสาหกรรมอวกาศจีน ที่ได้ให้ความสำคัญกับการพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศมาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา มีการลงทุนมหาศาลในการสร้างโครงสร้างพื้นฐานด้านอวกาศ ไม่ว่าจะเป็น โครงการสถานีอวกาศเทียนกง การส่งยานสำรวจไปยังดวงจันทร์และดาวอังคาร รวมถึงการพัฒนาจรวดขนส่งเชิงพาณิชย์ที่สามารถแข่งขันในตลาดโลกได้

นอกจากนี้ จีนยังสนับสนุนบริษัทเอกชนในการพัฒนายานอวกาศและระบบขนส่งดาวเทียมให้มีต้นทุนต่ำลง แต่ยังคงมีประสิทธิภาพสูง ซึ่งจะช่วยให้สามารถปล่อยดาวเทียมได้บ่อยขึ้น และรองรับการใช้งานที่หลากหลายมากขึ้น

สำหรับศูนย์ปล่อยดาวเทียมจิ่วเฉวียน (Jiuquan Satellite Launch Center) ถือเป็นหนึ่งในศูนย์ปล่อยจรวดที่สำคัญของจีน ตั้งอยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศ และเป็นฐานปล่อยหลักของโครงการอวกาศจีนหลายโครงการ ทั้งด้านการวิจัยทางวิทยาศาสตร์ การทหาร และการพาณิชย์

ทั้งนี้ การปล่อยจรวดซีอีอาร์อีเอส-1 สะท้อนให้เห็นถึงศักยภาพของศูนย์ปล่อยจิ่วเฉวียนในการสนับสนุนภารกิจอวกาศที่หลากหลาย โดยเฉพาะการปล่อยดาวเทียมขนาดเล็กที่มีความต้องการสูงขึ้นในปัจจุบัน


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top