Friday, 16 May 2025
NewsFeed

กฟผ ผุดแคมเปญ 'เปลี่ยนฤดูร้อน เป็นฤดูรัก(ษ์)' มอบส่วนลดค่าล้างแอร์ 15,000 สิทธิ์ทั่วประเทศ เริ่ม 15 มี.ค. นี้

กฟผ. ชวนลดค่าไฟฟ้าและลดโลกร้อน จับมือห้างสรรพสินค้าและร้านค้าออนไลน์ มอบส่วนลดค่าล้างเครื่องปรับอากาศ 200 บาท แก่ผู้ใช้เครื่องปรับอากาศติดฉลากประหยัดไฟฟ้าเบอร์ 5 จำนวน 15,000 สิทธิ์ เริ่มลงทะเบียน 15 มีนาคม - 15 มิถุนายน 2568 ณ จุดขายห้างสรรพสินค้าและร้านค้าออนไลน์รวม 12 แห่ง

(5 มี.ค. 68) นายเทพรัตน์ เทพพิทักษ์ ผู้ว่าการการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ร่วมลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือโครงการล้างเครื่องปรับอากาศเบอร์ 5 ภายใต้แคมเปญ 'เปลี่ยนฤดูร้อน เป็นฤดูรัก(ษ์)' กับผู้แทนจากห้างสรรพสินค้าและร้านค้าออนไลน์ชั้นนำ มอบส่วนลดค่าล้างเครื่องปรับอากาศ 200 บาท จากค่าบริการล้างเครื่องปรับอากาศขนาดไม่เกิน 24,000 บีทียู สำหรับประชาชนที่ใช้เครื่องปรับอากาศติดฉลากประหยัดไฟฟ้าเบอร์ 5 จำนวน 15,000 สิทธิ์ ณ ห้อง Press Conference อาคาร 50 ปี กฟผ. สำนักงานใหญ่ กฟผ. อ.บางกรวย จ.นนทบุรี

นายเทพรัตน์ เทพพิทักษ์ ผู้ว่าการ กฟผ. เปิดเผยว่า ภาวะโลกร้อนและอากาศร้อนส่งผลให้เครื่องใช้ไฟฟ้าทำงานหนักขึ้น โดยเฉพาะเครื่องปรับอากาศซึ่งใช้พลังงานสูงติดอันดับต้น ๆ ทำให้ค่าไฟฟ้าเพิ่มขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ กฟผ. จึงร่วมมือกับห้างสรรพสินค้าและผู้จำหน่ายเครื่องใช้ไฟฟ้าประสิทธิภาพสูง จัดแคมเปญ 'เปลี่ยนฤดูร้อน เป็นฤดูรัก(ษ์)' โดยเริ่มต้นจากการรณรงค์ใช้เครื่องปรับอากาศติดฉลากประหยัดไฟฟ้าเบอร์ 5 ตามด้วยการบำรุงรักษาให้สามารถทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ซึ่งนอกจากจะช่วยลดภาระค่าไฟฟ้าแล้ว ยังช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ซึ่งเป็นสาเหตุของภาวะโลกร้อน ทั้งยังยืดอายุการใช้งานตามแนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) และส่งเสริมให้เกิดการใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่าและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม โดยการล้างเครื่องปรับอากาศทุก 6 เดือน จะช่วยประหยัดไฟฟ้าได้กว่า 23 หน่วย/เครื่อง/เดือน ซึ่งตลอดโครงการนี้จะช่วยประหยัดไฟฟ้าได้ 2.14 ล้านหน่วย คิดเป็นค่าไฟฟ้าที่ประหยัดได้ประมาณ 9 ล้านบาท และลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ 1,119 ตันคาร์บอนไดออกไซด์/1 รอบการล้าง หรือ 6 เดือน

ประชาชนที่สนใจ สามารถยื่นเอกสารโดยใช้บัตรประชาชนและบิลค่าไฟฟ้าเดือนใดเดือนหนึ่งของปี 2568 ณ ห้างสรรพสินค้าและร้านค้าทั้ง 12 แห่ง ได้แก่ โฮมโปร เมกาโฮม เพาเวอร์บาย ไทวัสดุ บีเอ็นบีโฮม ดูโฮม โกลบอลเฮ้าส์ เดอะมอลล์ เอ็มโพเรียม สยามพารากอน ฮาร์ดแวร์เฮาส์ และร้านค้าออนไลน์นอคนอค ตั้งแต่วันที่ 15 มีนาคม - 15 มิถุนายน 2568 หรือจนกว่าสิทธิ์จะครบ โดยจะต้องเป็นเครื่องปรับอากาศติดฉลากประหยัดไฟฟ้าเบอร์ 5 ขนาดไม่เกิน 24,000 บีทียู (จำกัด 1 คน/สิทธิ์/1 ครัวเรือน) ติดตามรายละเอียดได้ที่เว็บไซต์ กฟผ. www.egat.co.th และหน่วยงานพันธมิตรทั้ง 12 แห่ง

จรัญ-อดีตตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ อธิบายชัดข้อหา ‘อั่งยี่-ซ่องโจร’ เกิดจากปมฮั้วเลือกสว. ต้องอยู่ในอำนาจ ‘กกต.’ ตามกฎหมายโดยตรงไม่ใช่ดีเอสไอ หวัง 6 มีนาคม ‘บอร์ดคดีพิเศษ’ ไม่รับเป็นคดีพิเศษ เตือนหากรับอาจมีวิกฤติบางอย่างรออยู่ข้างหน้า!

เมื่อวันที่ (5 มี.ค.68) นายจรัญ ภักดีธนากุล อดีตตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ให้สัมภาษณ์ผ่าน ไทยโพสต์ เกี่ยวกับกรณีที่ คณะกรรมการคดีพิเศษ (กคพ.) หรือ 'บอร์ดคดีพิเศษ' นัดประชุมวันที่ 6 มีนาคม เพื่อลงมติว่าจะรับกรณี ฮั้วเลือก สว.เป็น คดีพิเศษหรือไม่ ซึ่งกำลังเป็นที่จับตาของสังคม โดยเฉพาะใน ประเด็นข้อกฎหมายและอำนาจหน้าที่ของกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) และคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.)

นายจรัญระบุว่า กฎหมายเปิดช่องให้ดีเอสไอรับคดีอาญาได้ทุกคดี ผ่านมติของคณะกรรมการคดีพิเศษ แต่ปัญหาอยู่ที่ กรณีนี้เกี่ยวข้องกับการเลือกตั้ง ซึ่งเป็นอำนาจของ กกต. ตาม พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการได้มาซึ่งสว. โดยตรง

“รัฐธรรมนูญมีเจตนารมณ์ชัดเจนว่าไม่ต้องการให้ฝ่ายการเมือง ไม่ว่าจะฝ่ายข้างมากหรือฝ่ายข้างน้อย เข้าไปเกี่ยวข้องกับกระบวนการเลือกตั้ง” นายจรัญกล่าว

อดีตตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ อธิบายว่า กกต. ได้รับอำนาจให้จัดการเลือกตั้งโดยอิสระ หากไม่มีความเป็นกลาง การแข่งขันทางการเมืองจะไม่เป็นธรรม และอาจ กระทบต่อคุณภาพของระบบการเมืองการปกครองของประเทศ

นายจรัญ ชี้ว่า รัฐธรรมนูญบัญญัติไว้ชัดเจน ในมาตรา 49 ของ พ.ร.ป.ว่าด้วย กกต. ว่าความผิดเกี่ยวกับการเลือกตั้ง ต้องอยู่ภายใต้การดำเนินการของ กกต.

“ถ้ามีการจ่ายเงิน จ่ายทอง วางระบบฮั้วกัน ถือเป็นความผิดตามกฎหมายเลือกตั้ง ซึ่งต้องอยู่ในอำนาจของ กกต.”

อย่างไรก็ตาม ประชาชนมองว่าการเลือก สว. ครั้งนี้มีปัญหา และเมื่อ กกต. ใช้เวลานานโดยไม่มีความคืบหน้า จึงเกิดแรงกดดันให้ผู้ร้องเรียนไปที่ดีเอสไอ

นายจรัญ ตั้งข้อสังเกตว่าดีเอสไอไม่สามารถรับทำคดีนี้ได้เอง เพราะเป็น ความผิดที่รัฐธรรมนูญกำหนดให้อยู่ในอำนาจของ กกต. ซึ่ง หากมีเรื่องฟอกเงิน ก็ต้องให้ กกต. ตรวจสอบก่อน แล้วจึงส่งเรื่องให้สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.)

นายจรัญ กล่าวถึงการที่ดีเอสไอตั้งข้อหา อั่งยี่-ซ่องโจร ว่าเป็น ความผิดอาญาตามกฎหมายทั่วไป ซึ่งอาจถูกใช้เป็นเหตุผลในการรับคดีนี้เป็นคดีพิเศษได้

“แต่ผมไม่เห็นด้วย เพราะดีเอสไอเป็นหน่วยงานที่ทรงอำนาจมาก มีอำนาจมากกว่าตำรวจ และที่สำคัญดีเอสไออยู่ภายใต้การบังคับบัญชาของฝ่ายบริหารผ่านกระทรวงยุติธรรม ซึ่งเป็นสายตรงของคณะรัฐมนตรี”

นายจรัญ เตือนว่า หากปล่อยให้ดีเอสไอเป็นตัวหลักในการทำคดี และแยกความผิดเลือกตั้งออกจาก ข้อหาอั่งยี่-ซ่องโจร อาจทำให้ ดีเอสไอกลายเป็นเครื่องมือทางการเมือง

“นี่ไม่ใช่อั้งยี่ที่เกี่ยวข้องกับอาชญากรรมร้ายแรง เช่น ค้ามนุษย์ แต่มันเป็นอั้งยี่ที่เกิดจากการฮั้วเลือก สว. ซึ่งเป็นเรื่องที่ต้องอยู่ในอำนาจของ กกต.”

นายจรัญ เตือนว่า หากบอร์ดคดีพิเศษลงมติรับคดีนี้ เท่ากับเป็น การแย่งอำนาจ กกต.และอาจนำไปสู่การสร้างบรรทัดฐานเปิดช่องให้ฝ่ายการเมืองใช้ DSI แทรกแซง กระบวนการเลือกตั้งในอนาคต

“ถ้ารับคดีนี้เป็นคดีพิเศษ ต่อไปจะกลายเป็นบรรทัดฐาน ไม่ใช่แค่เรื่อง สว. แต่รวมถึงการเลือกตั้ง สส. และประชามติ ฝ่ายการเมืองที่กุมอำนาจรัฐอยู่ก็จะใช้ ดีเอสไอ รับทำคดีเลือกตั้งได้ทุกประเภท”

อดีตตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ เสนอว่า ดีเอสไอควรให้ กกต. เป็นผู้ดำเนินคดีหลัก และหากมีหลักฐาน ควรส่งต่อให้ กกต. ไม่ใช่รับทำคดีเอง

“อยากให้สองหน่วยงานหารือกัน กกต. ทำหน้าที่ของตนเอง ส่วน ดีเอสไอมีข้อมูลอะไรก็ส่งให้ ไม่ใช่ให้รัฐบาลหรือฝ่ายการเมืองเข้ามาเป็นตัวตั้งตัวตี”

นายจรัญ ย้ำว่า กรรมการบอร์ดคดีพิเศษควรพิจารณาอย่างรอบคอบในวันที่ 6 มีนาคม เพราะหากลงมติรับคดีนี้เป็นคดีพิเศษเท่ากับหัก กกต. แย่งชิงบทบาท ซึ่งวิกฤตการณ์บางอย่างอาจจะรออยู่เบื้องหน้าก็ได้

“มั่นใจว่ามติบอร์ดคดีพิเศษ มีวิจารณญาณ พอจะไม่รับคดีนี้ แต่จะหาทางออกที่เหมาะสม” นายจรัญกล่าวทิ้งท้าย

ONE ประกาศแบน ‘เคียมรัน-เฟอร์รารี’ หลังพบใช้สารกระตุ้น พร้อมเปลี่ยนการตัดสินที่ทั้งคู่เคยดวลกันเป็น ‘ไม่มีผลการแข่งขัน’

ONE ประกาศแบน เคียมรัน นาบาติ นักสู้ชาวรัสเซีย และ เฟอร์รารี แฟร์เท็กซ์ นักชกชาวไทย จากการแข่งขัน หลังทั้งคู่ถูกตรวจพบสารต้องห้ามเป็นบวก พร้อมเปลี่ยนการตัดสินในไฟต์ที่ ‘เคียมรัน’ ชนะ ‘เฟอร์รารี’ เป็น “ไม่มีผลการแข่งขัน”

เคียมรัน และ เฟอร์รารี โคจรมาปะทะกันในฐานะคู่เอกภาคอินเตอร์ ของศึก ONE ลุมพินี 95 เมื่อ 31 ม.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งไฟต์ดังกล่าวในวันนั้นเป็น ‘เคียมรัน’ ปิดเกมชนะน็อก ‘เฟอร์รารี’ จนหลับกลางอากาศ ตั้งแต่ยกแรก ส่งผลให้เพิ่มสถิติไร้พ่ายไฟต์ที่ 23 ให้กับตัวเอง

ล่าสุดหลังผ่านพ้นการแข่งขันไปได้ไม่ถึง 2 เดือน เจ้าหน้าที่จากองค์กรตรวจสารกระตุ้นระหว่างประเทศ (International Doping Tests & Management: IDTM) ระบุว่า จากการเก็บตัวอย่างของทั้งคู่ในช่วงการแข่งขันเมื่อวันที่ 31 ม.ค.ที่ผ่านมา 

โดยมีการตรวจพบสารต้องห้ามเป็นบวกตามอ้างอิงจากองค์กรต่อต้านการใช้สารต้องห้ามโลก (World Anti-Doping Agency: WADA) ซึ่งถือว่าผิดกฎระเบียบสากล โดยทางด้าน เคียมรัน มีผลตรวจสารต้องห้ามเป็นบวก 3 ชนิด ขณะที่ เฟอร์รารี ตรวจพบสารต้องห้ามเป็นบวก 2 ชนิด 

นำมาสู่การที่ ONE องค์กรศิลปะการต่อสู้ระดับโลก จึงประกาศลงโทษแบน ‘เคียมรัน’ จากการแข่งขันเป็นเวลา 1 ปี และลงโทษแบน ‘เฟอร์รารี’ 3 เดือน พร้อมเปลี่ยนการตัดสินในไฟต์ที่ทั้งคู่เคยดวลกันเป็น “ไม่มีผลการแข่งขัน”

สำหรับองค์กรตรวจสารกระตุ้นระหว่างประเทศ มีสำนักงานใหญ่อยู่ที่ประเทศสวีเดน โดยในเดือน ก.ย.61 ได้ควบรวมกิจการกับองค์กรกีฬาปลอดสารต้องห้ามนานาชาติ (Drug Free Sport International: DFSI) เพื่อร่วมมือกันดำเนินงานต่อด้านการใช้สารต้องห้ามในวงการกีฬา ซึ่งปัจจุบันได้ทำงานร่วมกับองค์กรกีฬาชั้นนำมากกว่า 300 แห่งทั่วโลก อาทิ NFL, MLB, NBA, NASCAR, PGA Tour, LPGA และ NCAA

ในการแข่งขันของ ONE นอกจากจะมีการตรวจสอบด้านสุขภาพเพื่อความปลอดภัยของนักกีฬาทุกคนแล้ว ยังมีการตรวจหาสารต้องห้ามสำหรับนักกีฬาตามกฎระเบียบและมาตรฐานสากลเพื่อให้แน่ใจว่าการแข่งขันจะเป็นไปด้วยปลอดภัย ความเท่าเทียม และความยุติธรรมระดับสูงสุด

แฟนกีฬาการต่อสู้สามารถติดตามข่าวสารอัปเดตของ ONE ได้ที่เฟซบุ๊ก ONE Championship Thailand เว็บไซต์ ONEFC.com อินสตาแกรม ONEChampTh และ TikTok ONEChampTH

กวาดล้างให้สิ้นซาก คนไทยขายชาติแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ดำเนินคดีข้อหาหนักคนไทย 100 คน

เมื่อวานนี้ (5 มี.ค.68) เวลา 09.00 น. พล.ต.อ.ธัชชัย ปิตะนีละบุตร จเรตำรวจแห่งชาติ ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์ป้องกันปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และผู้อำนวยการศูนย์ต่อต้านการค้ามนุษย์ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (จตช./ผอ.ศปอส.ตร./ผอ.ศตคม.ตร.) พร้อมด้วย พล.ต.ท.ไตรรงค์ ผิวพรรณ ผู้บัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ผบช.สอท.) , พล.ต.ต.อรรถสิทธิ์ สุดสงวน รอง ผบช.สอท. , พล.ต.ต.ทินกร รังมาตย์ รอง ผบช.สอท. , พล.ต.ต.พงษ์สยาม มีขันทอง รอง ผบช.ทท. , พล.ต.ต.หญิง สุเจตนา โสตถิพันธุ์ ผบก.ศพฐ.1 , พล.ต.ต.ฉัตรชัย นันทมงคล ผบก.ศพฐ.2 , พ.ต.อ.วราวุฒิ เจริญชล รอง ผบก.สส. ภาค 2 และพ.ต.อ.ชัยรัตน์ วรุณโณ รอง ผบก.สอท.2 แถลงผลคดีสำคัญในกรณีที่คนไทยถูกจับกุมโดยตำรวจกัมพูชาในการกระทำความผิดอาชญากรรมทางด้านเทคโนโลยีที่ประเทศกัมพูชาแล้วส่งตัวกลับประเทศไทยเมื่อวันที่ 1 มีนาคม 2568  จำนวนทั้งสิ้น 119 คน ตามความต้องการของไทยที่ พล.ต.อ.ธัชชัยฯ ได้ไปหารือกับทางตำรวจกัมพูชา ในการร่วมกันปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์ และขอทางประเทศกัมพูชาส่งตัวคนไทยให้มาลงโทษตามกฎหมายไทย

ในการจับกุมคนไทยโดยทางการกัมพูชาในครั้งนี้ เกิดจากความร่วมมือระหว่างนายกรัฐมนตรีของไทย น.ส. แพทองธาร ชินวัตร และนายกรัฐมนตรีฮุน มาแณต ของประเทศกัมพูชา ในการร่วมมือกันปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งปราบปรามคนไทยที่ไปตั้งฐานร่วมกับชาวต่างชาติ กลุ่มทุนจีนสีเทา ในเขตประเทศกัมพูชาแล้วมาหลอกลวงคนไทย สร้างความเสียหายกับประเทศไทยและประชาชนคนไทยเป็นอย่างมาก

คนไทยจำนวน 119 คนได้ถูกทางการกัมพูชาจับกุมในเมืองปอยเปต เมื่อวันที่ 22 กุมภาพันธ์ ต่อเนื่องมาวันที่ 23 กุมภาพันธ์ ทางการกัมพูชาได้ออกแถลงการณ์และมีการออกข่าวหนังสือพิมพ์ภาคภาษาอังกฤษ ยืนยันว่าทุกคนสมัครใจที่จะเข้าร่วมกระทำความผิด ไม่มีถูกบังคับ เมื่อทั้งหมดถูกส่งตัวกลับประเทศไทยเมื่อวันที่ 1 มีนาคม 2568 ตามกฎหมาย ทั้งหมดได้ถูกนำเข้ากระบวนการคัดกรองคัดแยกเหยื่อโดยสหวิชาชีพที่จังหวัดสระแก้ว ซึ่งที่ผ่านมาในกรณีเช่นนี้ทางการกัมพูชาได้ส่งตัวคนไทยที่กระทำผิดเกี่ยวกับแก๊งคอลเซ็นเตอร์มาประเทศไทยหลายครั้ง แต่ทางกระบวนการคัดแยกคัดกรองเหยื่อไม่สามารถจะพิสูจน์ได้ว่าบุคคลเหล่านี้ได้กระทำผิดเหล่านั้นจริง เนื่องจากพยานหลักฐานต่างๆ อยู่ในประเทศกัมพูชา ทำให้กลุ่มคนเหล่านี้กลับไปร่วมแก๊งคอลเซ็นเตอร์มาหลอกคนไทยซ้ำแล้วซ้ำอีก รวมทั้งทำให้มีคนไทยขายชาติอีกจำนวนมากได้เดินทางข้ามไปยังประเทศกัมพูชาร่วมกับแก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่เป็นชาวต่างชาติ กลุ่มจีนเทา มาหลอกลวงคนไทยในวงกว้าง เพราะเมื่อไปทำความผิดแล้ว สามารถจะใช้ช่องทางการตกเป็นเหยื่อค้ามนุษย์กลับมาประเทศไทยได้โดยอิสระไม่ต้องถูกดำเนินคดี ในการแก้ไขปัญหานี้ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดย พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ได้อนุมัติให้กำลังพลมากกว่าร้อยนายที่มีความเชี่ยวชาญด้านการสืบสวนจากกองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี , กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง , ตำรวจภูธรภาค 2 และสำนักงานพิสูจน์หลักฐานตำรวจ เข้ามาร่วมในการสืบสวนขยายผลพิสูจน์ข้อเท็จจริงในคดีคนไทยทั้ง 119 คน ว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับความผิดเกี่ยวกับคดีอาชญากรรมของแก๊งคอลเซ็นเตอร์หรือไม่ 

การคัดแยกเหยื่อโดยสหวิชาชีพและการสืบสวนขยายผลของเจ้าหน้าที่ตำรวจพบว่า ใน 119 คน มีคนที่เกี่ยวข้องกับการก่ออาชญากรรมแก๊งคอลเซ็นเตอร์จำนวน 100 คน ซึ่งเป็นเด็กและเยาวชน จำนวน 4 คน อยู่ระหว่างการดำเนินการของสหวิชาชีพ และอีก 15 คนอยู่ระหว่างการรวบรวมพยานหลักฐานเพื่อดำเนินคดีต่อไป ซึ่งศาลอาญาได้อนุมัติออกหมายจับจำนวน 102 คน โดยเป็นคนไทย 100 คน และขยายผลไปยังหัวหน้าแก๊งชาวจีนอีก 2 คน ในข้อหา "ร่วมกันมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ, ร่วมกันเป็น อั้งยี่, ซ่องโจร, ร่วมกันฉ้อโกงประชาชน และร่วมกันนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูล คอมพิวเตอร์ที่บิดเบือนหรือ ปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วนหรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จโดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชน” ตามคำร้องขอของคณะพนักงานสืบสวนสอบสวนเมื่อวันที่ 3  มีนาคม 2568 

จากการสัมภาษณ์และคัดแยกกลุ่มตามสถานที่ที่บุคคลเหล่านี้ไปทำงานในประเทศกัมพูชา พบว่าคนไทยที่ทำงานที่ตึกภูมิตาสวน สามารถออกหมายจับคนไทย 100 ราย และบอสชาวจีน 2 ราย ในการหลอกลงทุนเทรดหุ้น โรแมนซ์สแกม เว็บพนันออนไลน์ การหลอกเป็นเจ้าหน้าที่การไฟฟ้าและกรมที่ดิน ส่วนอาคาร K2 พบคนไทยจำนวน 15 คน ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการรวบรวมพยานหลักฐานเพื่อดำเนินคดีต่อไป

ทั้งนี้ พล.ต.อ.ธัชชัยฯ กล่าวว่า ขอขอบคุณนายกรัฐมนตรีฮุน มาแณต ของกัมพูชา ที่ให้ความร่วมมือในการปฏิบัติการกวาดล้างแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ซึ่งครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่สามารถดำเนินคดีในข้อหาหนักกับคนไทยที่ไปร่วมกับชาวต่างชาติตั้งแก๊งคอลเซ็นเตอร์หลอกคนไทยในประเทศกัมพูชา ที่มีโทษสูงสุดถึง 15 ปี จากนี้ไป จะไม่มีพวกกลุ่มคนไทยขายชาติใช้ช่องทางการตกเป็นเหยื่อค้ามนุษย์เพื่อหลบหนีการกระทำความผิดอีกต่อไป และทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติ จะเอาตัวคนไทยขายชาติเหล่านี้มาลงโทษในประเทศไทยในข้อหาองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติและความผิดอื่นทุกข้อหาที่เกี่ยวข้องอย่างเด็ดขาดและถึงที่สุดทุกคน 

ต่อจากนี้ ถ้ามีโทรศัพท์ หรือข้อความจากกลุ่มคนไทยขายชาติพยายามมาหลอกลวงท่านใด ให้ช่วยบอกคนไทยขายชาติเหล่านั้นระวังตัวให้ดี ตำรวจจะไปเอาตัวมาลงโทษอย่างสาสมเหมือนอย่างเช่นคดีคนไทย 119 คนนี้

สำนักงานตำรวจแห่งชาติจะดำเนินการยุทธการระเบิดสะพานโจรอย่างจริงจังและต่อเนื่องในการทำลาย 3 เสาหลักของแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ได้แก่ สัญญาณโทรศัพท์เน็ต บัญชีธนาคาร คนที่กระทำความผิด และคนไทยขายชาติ 

วันนี้เสาที่ 3 ของแก๊งคอลเซ็นเตอร์คนไทยขายชาติได้ถูกตัดขาดโดยการดำเนินคดีข้อหาหนัก ในข้อหาอาชญากรรมข้ามชาติและความผิดที่เกี่ยวข้อง การทำลาย 3 เสาหลัก ทั้ง 3 เสานี้จะทำอย่างต่อเนื่อง จริงจัง จนกว่าแก๊งคอลเซ็นเตอร์จะหมดไปจากประเทศไทย ตามนโยบายของรัฐบาล โดย น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี

เชียงใหม่-รมช.เกษตรฯเปิด 'งานวันถ่ายทอดเทคโนโลยี ปอยข้าวสาลีล้านนา ครั้งที่ 5'

 

เมื่อวานนี้ (5 มี.ค.68) ณ ศูนย์วิจัยข้าวสะเมิง อำเภอสะเมิง จังหวัดเชียงใหม่ นายอัครา พรหมเผ่า รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นประธานเปิดงานวันถ่ายทอดเทคโนโลยี ปอยข้าวสาลีล้านนา ครั้งที่ 5 ซึ่งกรมการข้าว กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ พร้อมด้วย ศูนย์วิจัยข้าวสะเมิง และ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ร่วมกันจัดขึ้น เพื่อประชาสัมพันธ์การผลิตข้าวสาลีและธัญพืชเมืองหนาวในประเทศประเทศไทย  และเป็นการถ่ายทอดองค์ความรู้เกี่ยวกับเทคโนโลยีการผลิตและการแปรรูปผลิตภัณฑ์ต้นแบบจากธัญพืชเมืองหนาว โดยมี โดยมี นายณัฏฐกิตติ์ ของทิพย์ อธิบดีกรมการข้าว พร้อมด้วย นายศิริพงษ์ นำภา นายอำเภอสะเมิง ส่วนราชการ ผู้ประกอบการ ตลอดจนประชาชนและเกษตรกรชาวอำเภอสะเมิง เข้าร่วมงาน

นายอัครา พรหมเผ่า รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวว่า ปัจจุบันไทยมีการนำเข้าข้าวสาลีจากต่างประเทศเป็นจำนวนมาก อีกทั้งเมื่อปี 2021 ที่ผ่านมา รัสเซียและยูเครน ส่งออกข้าวสาลี วัตถุดิบสำคัญในการผลิตขนมปังเป็นสัดส่วนสูงถึง 30% ของตลาดโลกโดยมีมากกว่า 50 ประเทศที่ต้องพึ่งพาการส่งออกจากทั้งสองประเทศนี้ อีกทั้งอินเดียเป็นประเทศผู้ส่งออกข้าวสาลีรายใหญ่อันดับ 2 ของโลก ได้ประกาศห้ามส่งออกข้าวสาลีเนื่องจากเกิดภาวะภัยแล้ง ส่งผลกระทบทำให้เกิดความขาดแคลนข้าวสาลีทั่วโลก 

โดยในปีนี้กรมการข้าวและศูนย์วิจัยข้าวสะเมิงได้มีการเปิดตัวข้าวบาร์เลย์ ที่ได้มีการพัฒนาสายพันธุ์เป็นรุ่นที่ 2 จนมีความเหมาะสมกับประเทศไทย มีความแข็งแรง ทนต่อโรค และให้ผลผลิตต่อไร่ที่ดี  ซึ่งในพื้นที่ภาคเหนือของไทยยังมีพื้นที่อีกมากสำหรับรองรับการส่งเสริมการปลูกพืชเมืองหนาว  ดังนั้น กรมการข้าวจึงได้นำนโยบายของกระทรวงเกษตรสหกรณ์ในการขยายผลการปลูกพืชเมืองหนาวทดแทนการปลูกข้าวในช่วงฤดูหนาว ไม่ว่าจะเป็นข้าวบาร์เลย์ ข้าวสาลี ข้าวโอ๊ต และมอลต์ เพราะได้ราคาที่สูงกว่า และปัจจุบันกำลังเป็นที่ต้องการของตลาด ทั้งในส่วนที่เป็นเมล็ดพันธุ์และผลิตภัณฑ์แปรรูป โดยหากเกษตรกรสนใจก็สามารถมาซื้อเมล็ดพันธุ์ได้ที่กรมการข้าว หรือหากมีการรวมกลุ่มกันเป็นศูนย์ข้าวชุมชน หรือเกษตรกรแปลงใหญ่ กรมการข้าวก็จะสนับสนุนเมล็ดพันธุ์มาให้ในราคาที่ถูกลง หรือไม่มีค่าใช้จ่ายตามความเหมาะสมของแต่ละพื้นที่

นายอัครา กล่าวอีกว่า คาดว่าในอนาคตจะมีความต้องการธัญพืชเมืองหนาวเป็นจำนวนมาก เนื่องจากขณะนี้ พ.ร.บ.สุราชุมชน ได้ผ่านการพิจารณาจากสภาผู้แทนราษฎรแล้ว และกำลังอยู่ในขั้นตอนของการพิจารณาจากสมาชิกวุฒิสภา ทั้งนี้ เมื่อกฎหมาย พ.ร.บ.สุราชุมชน ได้รับการอนุมัติแล้ว  กรมการข้าวจะช่วยส่งเสริมในการนำเมล็ดธัญพืชจากศูนย์ข้าวชุมชนและเกษตรกรแปลงใหญ่มาแปรรูปเป็นสุราชุมชน และยังมีการประกันราคาให้อีกด้วย  

ในวันนี้ต้องขอขอบคุณหน่วยงานกรมการข้าวที่ได้เห็นความสำคัญของการพัฒนางานวิจัยทางด้านข้าวสาลีและธัญพืชเมืองหนาว รวมทั้งสนับสนุนงบประมาณให้ดำเนินการวิจัยเรื่อง การพัฒนาศักยภาพการผลิตธัญพืชเมืองหนาวสู่เศรษฐกิจสร้างสรรค์มูลค่าสูง ซึ่งมีศูนย์วิจัยข้าวสะเมิง กองวิจัยและพัฒนาข้าว เป็นศูนย์หลักในการดำเนินการ และหน่วยงานราชการในพื้นที่ทุกภาคส่วนทึ่เกี่ยวข้อง

ซึ่งจะนำไปสู่การพัฒนาศักยภาพการผลิตธัญพืชเมืองหนาวสู่เศรษฐกิจสร้างสรรค์มูลค่าสูงได้ในอนาคต

นายณัฏฐกิตติ์ ของทิพย์ อธิบดีกรมการข้าว กล่าวว่า ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ มีหน้าที่ส่งเสริม ส่งเสริมการผลิตสินค้าเกษตรและอาหารที่มีประสิทธิภาพ เสริมสร้างความมั่นคงด้านอาหารและพลังงานอย่างเหมาะสมและยั่งยืน สามารถสร้างมูลค่าเพิ่มสอดคล้องกับความต้องการของตลาด และมีมาตรฐานปลอดภัยต่อผู้บริโภคทั้งภายในและต่างประเทศ รวมทั้งส่งเสริมให้มีการวิจัย พัฒนา และถ่ายทอดเทคโนโลยีด้านการเกษตรที่เหมาะสม นั้น

กรมการข้าว เป็นหน่วยงานหนึ่งที่ได้รับการสนับสนุนงบประมาณ สำหรับการวิจัยในโครงการ “การพัฒนาศักยภาพการผลิตธัญพืชเมืองหนาวสู่เศรษฐกิจสร้างสรรค์มูลค่าสูง” โดยศูนย์วิจัยข้าวสะเมิงเป็นศูนย์หลักในการวิจัยและพัฒนาธัญพืชเมืองหนาวไทย ร่วมกับศูนย์วิจัยข้าวเชียงใหม่ ศูนย์วิจัยข้าวแม่ฮ่องสอน ศูนย์วิจัยข้าวแพร่ ศูนย์วิจัยข้าวเชียงราย ศูนย์วิจัยข้าวพิษณุโลก มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ มหาวิทยาลัยแม่โจ้ และมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา 

โดยทางโครงการ ฯได้จัดงาน“งานวันถ่ายทอดเทคโนโลยี ปอยข้าวสาลีล้านนา ครั้งที่ 5” ในวันที่ 5 มีนาคม 2568 ณ ศูนย์วิจัยข้าวสะเมิง จังหวัดเชียงใหม่ มีผู้เข้างานทั้งหมด 1,300 ราย  ภายในงานมีกิจกรรม นิทรรศการด้านพันธุ์ และเทคโนโลยีการผลิต การสาธิตและการแปรรูปผลิตภัณฑ์จากธัญพืชเมืองหนาว การประกวดภาพถ่าย และการแข่งขันประกอบอาหารจากธัญพืช เมืองหนาว การสาธิตอาหารแนวใหม่สไตล์ฟิวชั่นล้านนา (Fusion Food Lanna) กิจกรรมกาดมั่ว ตลาดนัดล้านนา กิจกรรมชุมชนพบปะกันระหว่างนักวิจัย ผู้ผลิต และผู้ประกอบการ ที่ใช้ประโยชน์ธัญพืชเมืองหนาว

ทั้งนี้เพื่อเป็นการประชาสัมพันธ์การผลิตข้าวสาลีในประเทศไทยและเป็นการจัดแสดงเชื้อพันธุกรรมข้าวสาลี ข้าวบาร์เลย์ และโอ๊ตมากกว่า 700 พันธุ์ให้แก่ผู้ประกอบการและผู้ที่สนใจ รวมทั้งเป็นการเปิดตัวข้าวบาร์เลย์สายพันธุ์ดีเด่น FNBL#140 เพื่อการทำมอลต์ ที่จะเตรียมรับรองพันธุ์ในปีงบประมาณ 2569 เนื่องจากไทยไม่มีพันธุ์รับรองข้าวบาร์เลย์ ตั้งแต่ปี 2528 นานมากกว่า 40 ปี โดยสายพันธุ์นี้ต้านทานโรคใบจุด รวมทั้งมีศักยภาพการให้ผลผลิตสูงสุด 339 กก./ไร่ ซึ่งให้ผลผลิตมากกว่าพันธุ์เดิมร้อยละ 20 ที่รับรองพันธุ์ไว้ เมื่อปี 2528 และที่สำคัญมีคุณภาพเพื่อการทำมอลต์ตามมาตรฐานสากล

นายศิริพงษ์ นำภา นายอำเภอสะเมิง จังหวัดเชียงใหม่ กล่าวว่าอำเภอสะเมิง เป็นอำเภอหนึ่งใน 25 อำเภอ ของจังหวัดเชียงใหม่ มีสถานที่ท่องเที่ยวทั้งธรรมชาติ ประเพณี ศิลปะ วัฒนธรรมพื้นถิ่น และเลื่องลือไกล จะเป็นเรื่อง บรรยากาศราวกับอยู่ในสวิสเซอร์แลนด์ จนเป็นที่มาของคำขวัญอำเภอคือ “สตรอเบอรี่รสเยี่ยม ภูเขาสูงเทียมฟ้า ดอกไม้นานาพันธุ์ บรรยากาศสวิส ฯ เศรษฐกิจพอเพียง” 

อำเภอสะเมิงมีพืชเศรษฐกิจ ที่สำคัญ ได้แก่ สตรอเบอรี่ กระเทียม กล้วยน้ำว้า ส้ม ดอกไม้เมืองหนาว ดอกเก็กฮวย หญ้าหวาน รวมถึงพืชผักปลอดสารพิษ นักท่องเที่ยวมักจะนิยมมาเที่ยวสัมผัส ไร่สตรอเบอรี่ ทุ่งดอกเก็กฮวย ช่วงตั้งแต่เดือน พ.ย.ไปจนถึง ก.พ.ของทุกปี รวมถึง ทุ่งข้าวสาลี ณ ศูนย์วิจัยข้าวสะเมิงแห่งนี้ ซึ่งแต่เดิมเรารู้จักในชื่อ โครงการในพระราชประสงค์ที่ 7 ตามพระราชประสงค์ของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการวิจัยข้าวสาลีและธัญพืชเมืองหนาวอื่น ๆ

จึงเป็นการดี ที่ในการจัดงานครั้งนี้ อำเภอสะเมิงจะได้มีโอกาส เผยแพร่ผลงานด้านการเกษตร ที่เกี่ยวกับธัญพืชเมืองหนาว อีกทางหนึ่ง อันจะก่อให้เกิดประโยชน์ทางด้านเศรษฐกิจสืบต่อไป

‘มิลลิ’ สุดทนปมถูกเกรียนคีย์บอร์ดหมิ่นประมาทในโซเชียล เตือนครั้งสุดท้าย!! เตรียมจัดการชาวเน็ตเมนต์ด้วยถ้อยคำรุนแรง

มิลลิ ตั้งโต๊ะแถลงข่าว กรณีถูกเกรียนคีย์บอร์ดหมิ่นประมาทในโซเชียล ท้อจนร้องไห้ วอนคิดถึงใจกันบ้าง – ต้นสังกัดเทกแอ็กชัน ปกป้องศิลปิน

จากกรณีที่ค่าย YUPP! เคยออกแถลงการณ์ไปเมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายน 2567 ซึ่งมีการเตือนผู้ใช้งานโซเชียลมีเดียที่มีการแสดงความคิดเห็นในลักษณะดูหมิ่นด้วยถ้อยคำรุนแรงต่อศิลปิน มิลลิ ดนุภา คณาธีรกุล หรือ 'MILLI' โดยต้นสังกัดขอให้หยุดการกระทำเหล่านั้น แต่ยังพบว่าปัจจุบันมีผู้ที่ยังทำพฤติกรรมดังกล่าวเป็นจำนวนมาก

ล่าสุดเมื่อวันที่ (5 มี.ค.68) ที่ห้อง Sukhumvit โรงแรม Sheraton Grande Sukhumvit ค่าย YUPP! นำโดย 3 ผู้บริหาร ต้าร์ สักกพิช มากคุณ, โจ้ ศวิชญ์ สุวรรณกุล และ ฟลุ๊ค-พลกฤต ศรีสมุทร พร้อมด้วยศิลปิน มิลลิ และ ทนายชัยณรงค์ บุญสันติ์ ตั้งโต๊ะแถลงข่าวความชัดเจน ส่งสัญญาณเป็นครั้งสุดท้ายถึงผู้ที่กระทำการดังกล่าว

โดย มิลลิ เผยก่อนว่า “จริงๆ หนูเห็นคอมเมนต์เหล่านั้นมาตลอด เนื่องจากเป็นคนชอบเสิร์ชแฮชแท็กชื่อตัวเอง เพื่อที่จะเข้าไปอ่านคอมเมนต์หรือฟีดแบ็กต่าง ๆ ซึ่งก็จะเห็นทั้งหมดเท่าที่เราพอจะเห็นได้ จากประสบการณ์ที่ผ่านมาอาจจะทำให้เราเติบโตและจิตใจแข็งแกร่งขึ้น แต่สุดท้ายเวลาเราเจอคอมเมนต์ที่แย่ ๆ มันก็กระทบกับจิตใจเราโดยตรง ตัวหนูเองก็เสียใจเหมือนกัน”

จริง ๆ หนูเป็นคนที่ชอบให้คนเข้ามาติชมผลงาน เพราะจะได้นำไปปรับปรุงแก้ไขและพัฒนาให้ดีขึ้น แต่ว่าในกรณีนี้จะเป็นคำพูดที่กระทบกระเทือนจิตใจพอสมควร เลยอยากจะให้ทุกคนคิดถึงใจหนูบ้าง บางทีถ้ามันแรงเกินไปหนูก็แอบรับไม่ไหวเหมือนกันค่ะ”

“เรื่องคอมเมนต์ในทางเสียหาย จริง ๆ เกิดขึ้นมาโดยตลอด แต่ก็จะมีช่วงหนึ่งที่หายไปเพราะว่าหนูไม่ได้ปล่อยผลงานอะไรออกมา แต่พอกลับมามีกิจกรรมอีกครั้ง คอมเมนต์เหล่านั้นก็กลับมาอีก หนูยอมรับว่าคอมเมนต์แย่ ๆ ที่อ่านเจอ ทำให้รู้สึกท้อและเสียใจถึงขั้นร้องไห้ เพราะการร้องไห้มันก็เป็นสิ่งหนึ่งที่ทำให้เราเบาบางลงได้ในทางด้านอารมณ์”

“แล้วที่หนูผ่านช่วงเวลาแบบนั้นมาได้ก็เพราะคนรอบตัว ทั้งครอบครัวและค่าย หนูมีความเชื่อว่าในขณะที่มีคนไม่ชอบเราก็ยังมีคนชอบเราอยู่ แฟนคลับของหนูก็น่ารักกับหนูมาก ๆ เป็นกำลังใจในทุก ๆ วันไม่ว่าหนูจะสุขหรือเศร้า ที่ผ่านมาได้ก็เพราะพวกเขาด้วยค่ะ”

“หนูเลยคิดว่าวิธีการจัดการในลักษณะวันนี้ที่เกิดการแถลงข่าวขึ้น หรือให้ทางค่ายมาช่วยจัดการเป็นวิธีการที่ดีที่สุดแล้ว ตัวหนูเองก็เห็นด้วย เราได้มีการประชุมและไตร่ตรองกันอย่างรอบคอบแล้ว ที่สำคัญหนูยังแฮปปี้กับการทำงานเพลงอยู่ เลยพยายามจะไม่เอาเรื่องพวกนี้มาบั่นทอนตัวเองค่ะ”

“ถามว่าพวกคอมเมนต์แรงๆ ต่าง ๆ มีผลทำให้เราไม่กล้าที่จะโพสต์ความเห็นส่วนตัวลงในโซเชียลอีกไหม จากประสบการณ์ที่ผ่านมาหนูค่อนข้างไตร่ตรองเยอะขึ้นมากๆ ในการที่จะโพสต์อะไรแต่ละครั้ง มันก็อาจจะมีผลกระทบนิดหน่อย ด้วยเพราะว่าเราคิดมากๆ ก่อนที่จะโพสต์อยู่แล้ว แน่นอนว่ามันไม่ได้ลดความเป็นตัวตนของเรา เพราะหนูเชื่อว่าการเป็นตัวตนเราสามารถเติบโตขึ้นได้ เป็นเวอร์ชันที่ดีที่สุดของเราได้ในทุก ๆ วัน หนูรู้สึกว่านอกจากตัวเองจะเติบโตทางด้านจิตใจแล้ว เราก็ควรพัฒนาตัวเองในเรื่องของการคิดก่อนพูดด้วย ซึ่งหนูก็กำลังพัฒนาให้มันดีขึ้นเรื่อย ๆ ค่ะ”

ทนายชัยณรงค์ กล่าวว่า “ทางค่ายเคยมีหนังสือชี้แจงเกี่ยวกับข้อความที่คนแสดงความคิดเห็น ว่ามีความรุนแรงแบบไหน ลักษณะข้อความที่เกิดขึ้นถามว่ามันเข้าข่ายข้อกฎหมายไหม มันก็มีตั้งแต่เรื่องการดูหมิ่น หมิ่นประมาท การนำข้อมูลที่เป็นเท็จเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ ซึ่งต้องเรียนว่าทางค่ายและศิลปินเองไม่มีเจตนาที่จะโต้ตอบด้วยความรุนแรง หรือให้เกิดเรื่องเกิดราวกับผู้ที่แสดงความคิดเห็น เพราะว่านโยบายของทางค่ายต้องการสร้างสรรค์เรื่องเพลง นำศิลปินไทยเข้าสู่เวทีโลก”

“แต่ในปัจจุบันเราต้องเข้าใจว่าการแสดงความคิดเห็นผ่านสื่อโซเชียลต่างๆ ทำได้ง่ายมาก คลิกเดียวแสดงข้อความออกไปด้วยอารมณ์หรืออะไรก็ตามแต่ สิ่งนี้มันกระทบกระเทือนทั้งค่ายและศิลปิน แล้วถ้ามันไปกระทบคนอื่นจนทำให้เกิดความเสียหาย คุณเองก็ต้องรับผิดชอบข้อความที่คุณแสดงความคิดเห็นออกไปด้วย ที่ผ่านมาทางค่ายและศิลปินก็พยายามดูข้อความเหล่านั้น ส่วนว่าจะเข้ากรณีไหนตัวค่ายจะเป็นคนพิจารณาและทบทวน เพื่อไม่ให้เหตุการณ์มันเกิดซ้ำรอยอีก ส่วนมาตรการจะเป็นอย่างไรก็ต้องดูเป็นแต่ละกรณีไป เพราะทางค่ายไม่ได้มีนโยบายที่จะเล่นแบบตาต่อตาฟันต่อฟันแบบนั้น”

“สำหรับในเรื่องของการติชม ถ้าเป็นการติเพื่อก่อ ทางศิลปินและค่ายรับได้ แต่ไม่ใช่ว่าติแล้วทำให้คนอื่นดูถูกเกลียดชัง หรือไปด้อยค่าเขาไม่ว่าจะเป็นค่ายหรือศิลปินก็ตามแต่ ตรงนี้เน้นย้ำว่าต้องรับผิดชอบในสิ่งที่คุณทำด้วย เพราะว่าไม่ใช่คุณเห็นคนเดียว แต่คนอื่นเห็นข้อความเหล่านั้นด้วย”

“จริงๆ เรื่องแบบนี้ไม่ได้เกิดขึ้นแค่กับมิลลิหรือค่าย YUPP! แต่ศิลปินทุกคน ทุกค่าย ดารา และเกือบทุกวงการ เจอกันหมด ถึงอยากย้ำเตือนไว้เวลาคนที่จะทำแบบนี้ต้องเก็บกลับไปคิดว่าสิ่งที่คุณทำมันติดอยู่ในระบบคอมพิวเตอร์ ซึ่งปัจจุบันกฎหมายนี้ตามเรื่องนี้อยู่แล้ว ไม่ใช่ว่าปล่อยนิ่งดูดาย แน่นอนว่าเราอาจจะห้ามคนคอมเมนต์ไม่ได้ แต่อาจจะเป็นเสียงที่เรากำลังจะบอกออกไปให้ฉุกคิด”

ด้าน ต้าร์ สักกพิช หนึ่งในผู้บริหาร เผยว่า “ถามว่าฟางเส้นสุดท้ายคืออะไรถึงต้องออกมาตั้งโต๊ะแถลงข่าว ปัจจุบันทางค่ายโฟกัสเรื่องงานกับมิลลิมากๆ แล้วเราก็ห่างหายจากการกล่าวโทษกล่าวร้ายคนอื่นในอดีตมานานมากๆ แล้ว เรารู้สึกว่าตอนนี้อยากให้ทุกคนโฟกัสที่งานมากกว่า ส่วนคอมเมนต์ที่ไม่ได้เกี่ยวกับสิ่งที่เราทำ มันก็อาจจะทำร้ายจิตใจมิลลิได้ ทางค่ายเลยมีความจำเป็นที่ต้องออกมาแอ็กชันในวันนี้”

“ส่วนเดดไลน์หรือมาตรการจริงจังในการจัดการกับเรื่องนี้ก็จะเริ่มพิจารณากันตั้งแต่วันนี้เลย เราอยากแสดงจุดยืนในการเข้ามาปกป้องศิลปิน เพราะที่ผ่านมาค่ายก็เคยมีการชี้แจงออกไปแล้ว แต่อย่างมิลลิบอกว่าคอมเมนต์พวกนั้นก็จะหายไปสักพัก แต่พอเรากลับมาทำงานอย่างเข้มข้นเขาก็จะกลับมาอีก ถามว่าเป็นคนเดิม ๆ ไหม อันนี้ตอบยาก แต่ว่าลักษณะการคอมเมนต์จะคล้าย ๆ เดิม คือไม่ได้เกี่ยวกับงานหรือคอนเทนต์ที่เราปล่อยออกไป แต่ก็คิดว่ามาตรการนี้ที่เป็น Final Warning ของเราก็น่าจะช่วยให้เขาได้คิดมากขึ้น ว่าเรามีแอ็กชันที่มากขึ้นแล้ว”

สหรัฐฯ หยุดแบ่งปันข่าวกรอง ‘รัสเซีย’ ให้ ‘ยูเครน’ แต่ ‘ทรัมป์’ อาจหวนช่วยหากมีการเจรจาสันติภาพ

(6 มี.ค. 68) สำนักข่าว The Guardain รายงานว่า สหรัฐอเมริกาได้หยุดให้ข้อมูลข่าวกรองแก่ยูเครน หลังจากโดนัลด์ ทรัมป์สั่งระงับการช่วยเหลือทางทหารเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา และนี่ถือเป็นความเสียหายครั้งใหญ่ต่อยูเครนในสงครามกับรัสเซีย 

เจ้าหน้าที่ยูเครนกล่าวว่า สหรัฐฯ จะไม่ให้ข้อมูลเป้าหมายภายในรัสเซียอีกต่อไป ซึ่งส่งผลกระทบต่อการโจมตีด้วยโดรนระยะไกล รวมถึงการติดตามเครื่องบินทิ้งระเบิด และขีปนาวุธของรัสเซีย

มีรายงานขัดแย้งกันว่า การระงับนี้รวมถึงข้อมูลการเคลื่อนไหวของกองทัพรัสเซียในพื้นที่ยึดครองของยูเครนหรือไม่ แหล่งข่าวรายหนึ่งบอกว่า สหรัฐฯ 'หยุดให้ข้อมูลข่าวกรองโดยสิ้นเชิง' ซึ่งส่งผล 'ร้ายแรง' ต่อความสามารถในการสู้รบกับรัสเซีย

ไมค์ วอลซ์ ที่ปรึกษาความมั่นคงแห่งชาติของทำเนียบขาว กล่าวว่า ทรัมป์อาจพิจารณากลับมาให้การช่วยเหลือ หากมีการเจรจาสันติภาพและมาตรการสร้างความเชื่อมั่นกับรัสเซีย

โวโลดีมีร์ เซเลนสกี ประธานาธิบดียูเครน กล่าวเมื่อวันพุธว่า มีความเคลื่อนไหวในเชิงบวกกับสหรัฐฯ และคาดว่าจะมีผลลัพธ์ในการเจรจาเร็ว ๆ นี้ ซึ่งเขาพยายามฟื้นฟูความสัมพันธ์กับสหรัฐฯ หลังจากการพบกับทรัมป์ และรองประธานาธิบดีเจดี แวนซ์ ซึ่งเต็มไปด้วยความตึงเครียด โดยทรัมป์ตำหนิเซเลนสกีต่อหน้าสาธารณะว่าไม่ต้องการข้อตกลงกับรัสเซีย ซึ่งต่อมา เซเลนสกีได้ส่งจดหมายขอโทษและแสดงความพร้อมในการเจรจา

ทรัมป์กล่าวถึงจดหมายดังกล่าวในการปราศรัยต่อสภาคองเกรสว่าเป็นสิ่งสำคัญ และยังเผยว่าสหรัฐฯ ได้รับสัญญาณบวกจากรัสเซียว่าพร้อมเจรจาสันติภาพ

นักวิเคราะห์ในยูเครนมองว่าข้อตกลงนี้ไม่น่าจะเกิดขึ้นได้ง่าย เนื่องจากทำเนียบขาวยังไม่เรียกร้องเงื่อนไขใด ๆ จากรัสเซีย และดูเหมือนจะพร้อมยอมรับข้อเรียกร้องของวลาดิเมียร์ ปูติน ที่ต้องการให้ยูเครนยอมสละดินแดน ลดขนาดกองทัพ และเป็นกลางภายใต้รัฐบาลใหม่ ซึ่งการยอมอ่อนข้อจะไม่ได้ผล พร้อมกับมองว่าสหรัฐฯ ได้เปลี่ยนข้างไปสนับสนุนเครมลินแล้ว

ทั้งนี้ นับตั้งแต่เริ่มการเจรจาสันติภาพระหว่างสหรัฐฯ กับรัสเซียที่ซาอุดีอาระเบีย เครมลินได้เพิ่มการโจมตีโครงข่ายพลังงานและโครงสร้างพื้นฐานของพลเรือนยูเครน ส่งโดรนถึง 267 ลำในวันครบรอบ 3 ปีของการรุกรานเต็มรูปแบบเมื่อเดือนที่แล้ว และอีก 181 ลำพร้อมขีปนาวุธเมื่อวันพุธ ทำให้ชายวัย 73 ปีเสียชีวิตในภูมิภาคโอเดสซา และบ้านเรือนเสียหาย 20 หลัง

เปิดเอกสารบันทึกประชุม กมธ. กฎหมาย ฉบับจริง ยืนยัน ไม่พบข้อความบางประเทศพร้อมรับตัวอุยกูร์

(6 มี.ค. 68) จากกรณีนายกัณวีร์ สืบแสง สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเป็นธรรม ได้อ้างการจดชวเลขการประชุม กมธ.กฎหมายเมื่อวันที่ 10 กรกฎาคม 2567 ซึ่งผู้แทนกระทรวงการต่างประเทศให้ข้อมูลเกี่ยวกับชาวอุยกูร์ที่ถูกกักตัวในไทยว่า มีบางประเทศแสดงความพร้อมรับชาวอุยกูร์ไปตั้งถิ่นฐาน อย่างเช่น สหรัฐ สวีเดน ออสเตรเลีย

ล่าสุด เพจเฟซบุ๊ก วันนี้พรรคส้มโกหกอะไร ได้โพสต์เอกสารบันทึกการประชุม กมธ.กฎหมายฯ โดยระบุว่า ทุกคนคะ บันทึกการประชุมครั้งที่ 24 วันที่ 10 ก.ค. 67 กมธ.กฎหมาย การยุติธรรมและสิทธิมนุษยชน สภาผู้แทนราษฎร ฉบับจริงที่มีลายน้ำและเผยแพร่ในเว็บไซต์ของรัฐสภา ไม่พบข้อความหรือเอกสารที่ทาง สส.กัณวีร์ และ ช่อ พรรณิการ์ อ้างถึงว่า "บางประเทศก็แสดงความพร้อมรับชาวอุยกูร์ไปตั้งถิ่นฐาน อย่างเช่น สหรัฐ สวีเดน ออสเตรเลีย"

จึงขอถามกับไปที่พี่ทั้ง 2 ว่า เอกสารที่เอามาโชว์คือเอกสารอะไร ทำไมไม่มีตราประทับ และ ทำไมเนื้อหาต่างจากเอกสารฉบับจริง

ลิงก์ฉบับจริง https://www.parliament.go.th/.../105/news/114/1_114.pdf

บีโอไอ จับมือสมาคม PCB ไต้หวัน ดึงลงทุนครั้งใหญ่ เผย 3 ปี คลื่นลงทุน PCB เข้าไทยกว่า 2 แสนล้านบาท

(6 มี.ค. 68) สมาคมแผ่นวงจรพิมพ์ไต้หวัน (TPCA) นำสมาชิกกว่า 60 ราย เดินทางเยือนไทย พร้อมจับมือบีโอไอ และสมาคมแผ่นวงจรพิมพ์ไทย (THPCA) ร่วมจัดสัมมนาใหญ่ 'TPCA Thailand PCB Forum 2025' เตรียมพร้อมรองรับคลื่นลงทุนอุตสาหกรรม PCB ครั้งใหญ่ รับกระแส AI บูม เผย 3 ปี เงินลงทุนเข้าไทยกว่า 2 แสนล้านบาท เร่งสร้างเครือข่ายภาครัฐ - เอกชน เตรียมบุคลากรรองรับอุตสาหกรรม ยกระดับไทยฐานผลิต PCB ชั้นนำของโลก

นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เปิดเผยว่า ท่ามกลางกระแสการลงทุนในประเทศไทยของกลุ่มอุตสาหกรรมแผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์ (PCB) ที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างมากในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา สมาคมแผ่นวงจรพิมพ์ไต้หวัน (Taiwan Printed Circuit Association: TPCA) ได้จัดทัพนำสมาชิกซึ่งเป็นผู้ผลิต PCB ชั้นนำ 

พร้อมทั้งกลุ่มผู้ผลิตชิ้นส่วนที่เกี่ยวข้องตลอดซัพพลายเชนกว่า 60 ราย เดินทางเยือนประเทศไทย เพื่อศึกษาลู่ทางการลงทุน โดยได้ร่วมกับบีโอไอ และสมาคมแผ่นวงจรพิมพ์ไทย (Thailand Printed Circuit Association: THPCA) จัดงาน 'TPCA Thailand PCB Forum 2025' ที่โรงแรมอวานี สุขุมวิท กรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 5 มีนาคม 2568 เพื่อเป็นเวทีแลกเปลี่ยนข้อมูลการลงทุน และสร้างเครือข่ายความร่วมมือในการพัฒนาอุตสาหกรรม PCB ในประเทศไทยให้เติบโตอย่างแข็งแกร่ง รวมทั้งความร่วมมือในการเตรียมพร้อมด้านสาธารณูปโภคและบุคลากรทักษะสูง โดยมีผู้เข้าร่วมงานทั้งสิ้นกว่า 200 ราย

แผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์ (PCB) ถือเป็นหัวใจสำคัญของอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ทุกชนิด และเป็นอุตสาหกรรมพื้นฐานในการต่อยอดไปสู่อุตสาหกรรมเป้าหมายอื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็นยานยนต์ไฟฟ้า โทรคมนาคม อุปกรณ์การแพทย์ เครื่องใช้ไฟฟ้าอัจฉริยะ คอมพิวเตอร์ ระบบดิจิทัล ระบบอัตโนมัติและหุ่นยนต์ โดยในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา (พ.ศ. 2565 - 2567) มีผู้ผลิต PCB และ PCBA

รวมทั้งผู้ผลิตวัตถุดิบสำคัญ เช่น Copper Clad Laminate และ Prepreg ขอรับการส่งเสริมการลงทุนจากบีโอไอจำนวนกว่า 130 โครงการ มูลค่าเงินลงทุนรวมกว่า 202,000 ล้านบาท ส่งผลให้ประเทศไทยขึ้นมาเป็นผู้ผลิต PCB อันดับ 1 ของภูมิภาคอาเซียน และติดอันดับ Top 5 ของโลก โดยมีผู้ผลิตรายใหญ่จากไต้หวันที่ได้รับการส่งเสริม เช่น ZDT, Unimicron, Compeq, WUS, Gold Circuit, Unitech, Dynamic เป็นต้น ซึ่งกลุ่มนี้จะผลิต PCB ที่มีเทคโนโลยีขั้นสูง ทั้ง High-Density Interconnect PCB, Flexible PCB และ Multilayer PCB ที่ใช้กับผลิตภัณฑ์ AI และอิเล็กทรอนิกส์ขั้นสูงต่าง ๆ โดยผู้ผลิต PCB ส่วนใหญ่ตั้งโรงงานอยู่ที่จังหวัดปราจีนบุรี พระนครศรีอยุธยา และสมุทรปราการ และโรงงานส่วนใหญ่จะเริ่มเดินสายการผลิตในปีนี้

“ปัญหาความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ที่รุนแรงขึ้นในช่วงที่ผ่านมา ทำให้เกิดการเคลื่อนย้ายฐานการผลิตครั้งใหญ่ในอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมยุทธศาสตร์ของโลก ผู้ผลิตจำนวนมากตัดสินใจเข้ามาลงทุนในไทย โดยเฉพาะกลุ่มผู้ผลิต PCB ทั้งจากจีน ไต้หวัน ฮ่องกง และญี่ปุ่น 

เพราะมองเห็นจุดแข็งของไทยที่มีความพร้อมด้านโครงสร้างพื้นฐาน นิคมอุตสาหกรรม ระบบไฟฟ้าที่เสถียร ศักยภาพด้านพลังงานสะอาด ซัพพลายเชนที่แข็งแกร่ง บุคลากรที่มีคุณภาพ รวมถึงมาตรการสนับสนุนจากภาครัฐ ส่งผลให้ไทยเป็นจุดหมายสำคัญของการลงทุนผลิตและส่งออก PCB ไปยังตลาดโลก” นายนฤตม์ กล่าว

สวนนงนุชพัทยา ทุ่มงบประมาณจัดกิจกรรมประกวดถ่ายภาพมากกว่า 1ล้านบาท เป็นปีที่3

(6 มี.ค.68) สวนนงนุชพัทยา โดยนายกัมพล ตันสัจจา ประธานสวนนงนุชพัทยา นายสุวิชา เปรมใจชื่น ประธานกรรมการบริหารบริษัท โฟโต้ ไฟล์ จำกัด นายจตุรงษ ภัทรโพธิแก้ว นายกสมาคมถ่ายภาพกรุงเทพ และนายวรรณพงษ์ สุรโรจน์ประจักษ์ National and lnternational Photo Competition Judge & Multi Award-Winning Photographer ร่วมกันแถลงข่าวการจัดกิจกรรมการประกวดภาพถ่ายสวนสวยครั้งที่ 3ในหัวข้อ“Wonderful Nongnooch Garden มหัศจรรย์ทั้งปี..ที่สวนนงนุชพัทยา 1ใน10 สวนสวยที่สุดในโลก”ร่วมประกวดชิงเงินรางวัลเกือบ1 ล้านบาท

นายกัมพล กล่าวว่าการจัดกิจกรรมในปีที่ผ่านมาได้รับเสียงตอบรับเป็นอย่างดีจาก ช่างภาพมืออาชีพ มือสมัครเล่น นักศึกษา และนักท่องเที่ยวทั่วไป ซึ่งทางสวนนงนุชพัทยามีการพัฒนาและสร้างสิ่งใหม่ๆทำให้มีสวนสวยมากกว่า 60 สวน จึงเป็นโอกาสของผู้ที่ชื่นชอบในการถ่ายภาพได้มาโชว์เทคนิคการถ่ายภาพเพื่อชิงรางวัลกับทางสวนนงนุชพัทยาสวนสวยที่ได้รับการยกย่องจากนักท่องเที่ยวทั่วโลก

โดยได้แบ่งหัวข้อในการประกวดออกเป็น 4หัวข้อดังนี้
 1. ภาพถ่ายจากกล้องถ่ายภาพทั่วไปรวมถึงอุปกรณ์โทรศัพท์มือถือและมีรางวัลพิเศษสำหรับภาพถ่ายเซลฟี่ตัวเองในปีนี้
 2. ภาพถ่ายทางอากาศด้วยอุปกรณ์โดรน(Drone)
 3. ภาพสร้างสรรค์จากปัญญาประดิษฐ์ Nongnooch’s AI-Based Imageให้มีการใช้ภาพถ่ายจริงที่เกิดขึ้นที่สวนนงนุชพัทยา ควบคู่ไปกับการใช้เทคโนโลยี AI ที่สามารถป้อนคำสั่งทั้งจาก Keywords ต่างๆ ระยะเวลาประกวดระหว่างวันที่ 13 มีนาคม ถึง 31 สิงหาคม 2568 ผู้ที่สนใจส่งผลงานเข้าประกวดดูรายละเอียดและวิธีสมัครได้ที่ https://www.nongnoochpattaya.com/th


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top