Friday, 16 May 2025
NewsFeed

ผู้บัญชาการทหารเรือ ตรวจเยี่ยมหมู่เรือฝึกนักเรียนนายเรือก่อนออกเดินทางไปฝึกภาคปฏิบัติในทะเลต่างประเทศ

พลเรือเอก จิรพล ว่องวิทย์  ผู้บัญชาการทหารเรือ ตรวจเยี่ยม หมู่เรือฝึกนักเรียนนายเรือ  บนเรือหลวงประจวบคีรีขันธ์ ซึ่งจอดเทียบท่า ณ ท่าเรือแหลมเทียน การท่าเรือสัตหีบ ฐานทัพเรือสัตหีบจังหวัดชลบุรี พร้อมทั้งมอบโอวาทแก่ นักเรียนนายเรือชั้นปีที่ 1 - 4 ที่จะเดินทางไปฝึกภาคปฏิบัติในทะเลต่างประเทศ ประจำปีการศึกษา 2567  

การฝึกภาคต่างประเทศของนักเรียนนายเรือมีวัตถุประสงค์เพื่อ - เพื่อฝึกอบรม นักเรียนนายเรือชั้นปีที่ 1-4 ให้มีความรู้พื้นฐานในวิชาชีพทหารเรือและมีขีดความสามารถที่จะปฏิบัติงานในเรือหลวงเมื่อสำเร็จการศึกษา รวมถึงเพิ่มพูนความสัมพันธ์อันดีกับประเทศต่าง ๆ ในโอกาสที่ หมู่เรือฝึกนักเรียนนายเรือ แวะเยี่ยมเมืองท่าต่างประเทศ รวมทั้งประชาสัมพันธ์ศิลปะและวัฒนธรรมให้เป็นที่รู้จักแก่ชาวต่างประเทศมากยิ่งขึ้น
  
สำหรับหมู่เรือฝึกนักเรียนนายเรือ มี เรือหลวงกระบุรี เรือหลวงเจ้าพระยา เรือหลวงประจวบคีรีขันธ์ ประกอบกำลังเป็น หมู่เรือฝึก ฯ มี พลเรือตรี บวร พรมแก้วงาม หัวหน้าฝ่ายศึกษาโรงเรียนนายเรือ เป็น ผู้บังคับหมู่เรือฝึกนักเรียนนายเรือ มีกำลังพล จำนวน 763 นาย ประกอบด้วย
- กองบังคับการหมู่เรือฝึก  จำนวน 76 นาย
- นักเรียนนายเรือ ชั้นปีที่ 1 - 4 จำนวน 338 นาย
-  กำลังพลเรือฝึก (เรือหลวงกระบุรี เรือหลวงเจ้าพระยา และเรือหลวง
ประจวบคีรีขันธ์) จำนวน 349 นาย

สำหรับการฝึกภาคปฏิบัติในทะเลต่างประเทศของนักเรียนนายเรือชั้นปีที่ 1 - 4 ประจำปีการศึกษา 2567 ในครั้งนี้กำหนดจัดขึ้นระหว่างวันที่ 24 กุมภาพันธ์ - 11 เมษายน 2568 โดยจอดแวะเยี่ยมเมืองท่าต่างประเทศ เพื่อเชื่อมสัมพันธไมตรีระหว่างกองทัพเรือไทยกับกองทัพเรือมิตรประเทศ จำนวน 3 เมืองท่า ได้แก่ เมืองท่าซูบิค ประเทศฟิลิปปินส์ เมืองท่าโอกินาวะ ประเทศญี่ปุ่น และเมืองท่าจ้านเจียง ประเทศจีน มีหัวข้อการฝึกที่สำคัญ อาทิ การฝึกนำเรือเทียบ-ออกจากเทียบ การฝึกยิงอาวุธประจำกาย การฝึกยิงอาวุธในทะเล การฝึกรับ-ส่งจากเฮลิคอปเตอร์ การฝึกสถานีรบ การฝึกรับ-ส่งสิ่งของในทะเล การฝึกพ่วงจูงเรือ การฝึกเก็บคนตกน้ำด้วยเรือใหญ่ และฝึกการแปรกระบวน เป็นต้น

‘ทรัมป์’ สั่งเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนเพิ่ม จาก 10% เป็น 20% อ้างจีนไม่แก้ปัญหาเรื่องลักลอบขนยาเสพติดเข้าสหรัฐฯ

(4 มี.ค. 68) โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐ ลงนามคำสั่งเก็บภาษีนำเข้าจากจีนเพิ่ม 2 เท่า จาก 10 % เมื่อ 4 กุมภาพันธ์ เป็น  20 % ซึ่งจะมีผลในวันที่ 4 มีนาคม 2568 (ตามเวลาท้องถิ่น) 

การเรียกเก็บภาษีนำเข้าจากจีนเพิ่มในครั้งนี้ เนื่องจากจีนล้มเหลวในการดำเนินการแก้ไขปัญหาการหลั่งไหลของเฟนทานิล ซึ่งเป็นสารตั้งต้นยาเสพติดเข้าประเทศสหรัฐฯ

โดยทาง กระทรวงพาณิชย์ของจีน ได้ออกมาตอบโต้เช่นเดียวกัน โดยมีการระบุว่า “ไร้ซึ่งเหตุผล และเป็นการสร้างความเสียหายต่อผู้อื่น”

เมื่อวันจันทร์ (3 มี.ค.) Global Times รายงานโดยอ้างแหล่งข่าวที่ไม่เปิดเผยชื่อ ระบุว่า จีนกำลังศึกษาและกำหนดมาตรการตอบโต้ โดยมีแนวโน้มขึ้นภาษีผลิตภัณฑ์ทางการเกษตรและอาหารของสหรัฐฯ

ด้านนักวิเคราะห์รายหนึ่ง กล่าวว่า ทางปักกิ่งยังคงหวังที่จะเจรจาสงบศึกกับรัฐบาลทรัมป์ แต่เนื่องจากไม่มีสัญญาณของการเจรจาการค้าใดๆ โอกาสที่ทั้งสองยักษ์ใหญ่ทางเศรษฐกิจจะปรองดองกันก็เริ่มริบหรี่ลง 

“สงครามการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ แต่การตัดสินใจของทรัมป์ในการเรียกเก็บภาษีในขณะนี้ถือเป็นการตัดสินใจที่ผิดพลาด” หวัง ตง ผู้อำนวยการบริหารสถาบันความร่วมมือและความเข้าใจระดับโลกแห่งมหาวิทยาลัยปักกิ่ง กล่าว

ทั้งนี้ สื่อของรัฐบาลจีน รายงานว่า เจ้าหน้าที่ระดับสูงของพรรคคอมมิวนิสต์จีน ได้ประชุมกันในวันเดียวกัน และให้คำมั่นว่าจะดำเนินการเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดแรงกระแทกจากภายนอกต่อเศรษฐกิจจีน

‘หมาแก่’ วิจารณ์ยับ ‘รัฐบาลลุงตู่’ บริหารไม่เป็น ซัด ประเทศเสียเวลาเกือบ 10 ปี โดยที่ไม่ได้อะไรเลย

เมื่อวันที่ (3 มี.ค. 68) นายดนัย เอกมหาสวัสดิ์ หรือ 'หมาแก่' พิธีกรชื่อดัง รายการเจาะลึกทั่วไทย อินไซด์ไทยแลนด์ กล่าวถึงการบริหารงานของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา อดีตนายกรัฐมนตรี ว่า จะให้ตนเองยอมรับการบริหารงานของรัฐบาลลุงตู่ เป็นเรื่องที่ยอมรับไม่ได้ เพราะทำให้ประเทศไทยเสียเวลาไปตั้งเกือบๆ 10 ปี โดยที่ไม่ได้อะไรกลับมาเลย เป็นเพียงแค่การปะผุชั่วครั้งชั่วคราวเท่านั้น ไม่ได้อะไรจริง ๆ 

อย่างแรก 9 ปีกว่าของลุงตู่ ในช่วงครึ่งแรก 4 ปีกว่า เป็นช่วงที่ลุงตู่มีอำนาจเต็ม มีมาตรา 44 ในมือ จะทําอะไรก็ได้ ทําอะไรก็ไม่ผิด จัดการได้ทุกปัญหา แม้สั่งในเรื่องที่ผิด ๆ ก็มีมาตรา 44 คุ้มครอง ถึงจะรู้ว่าผิด รู้ว่าประเทศเสียหาย ก็ทำได้หมด โดยไม่มีความผิดเพราะมีมาตรา 44 เป็นเกราะคุ้มครอง

นายดนัย ยังกล่าวต่อไปว่า ประเด็นที่น่าสนใจ ก็คือ ถ้ามีอำนาจพาวเวอร์ ฟูลขนาดนั้น ถ้ามีความจริงใจ และบริหารเป็น สิ่งที่ควรทำ คือ จะต้องแตะไปที่ปัญหาในเชิงโครงสร้าง เชิงระบบของประเทศ ซึ่งควรจะทำอะไรได้ตั้งมากมาย ยกตัวอย่างเช่น ปฏิรูปตํารวจ เมื่อครั้งตอนที่ทํารัฐประหารเมื่อปี 57 โดยอ้างว่า การเมืองเสื่อมโทรม จะต้องมีการปฏิรูปการเมือง แต่ถ้าจะปฏิรูปการเมืองก็ต้องใช้คนที่ไม่ใช่คนการเมือง ถ้าใช้คนการเมืองมาปฏิรูปการเมือง สุดท้ายมันก็ไปไหนไม่ได้ ดังนั้นคณะรัฐประหาร คสช. ต้องเข้ามาปฏิรูปการเมืองเอง

ทั้งนี้ แค่ช่วง 4 ปีแรกในอํานาจของของ คสช. ของลุงตู่ ซึ่งมีอำนาจเต็ม และมีมาตรา 44 ในมือ ลองย้อนไปดูว่า ในช่วงนั้นทําอะไรบ้างกับการปฏิรูปการเมือง หลังจากนั้นพอเข้ามาปีที่ 5 ปีที่ 6 เมื่ออํานาจมันหอมหวาน อยากจะอยู่ต่อ อยากจะมีอํานาจอีก ภายใต้วลีเท่ ๆ “อยู่เพื่อสานงานต่อ” และได้อยู่ต่ออีก 4 ปี ถามว่า ปฏิรูปการเมืองถึงไหน? 

“4 - 5 ปี ผ่านไป อยากจะอยู่ต่อ สุดท้ายก็ไปผสมพันธุ์กับนักการเมืองที่ตัวเองประณาม ก็ใช้นักการเมืองอาชีพ นักเลือกตั้งอาชีพ มาช่วยเป็นนั่งร้านทางการเมือง สร้างพรรคการเมืองให้กับลุงตู่ แล้วแบบนี้มันจะไปรูปอย่างไรละ”

นายดนัย ยังย้ำด้วยว่า หากมองในแง่ตัวบุคคล ในความเป็นตัวตนของลุงตู่ ก็นับว่าเป็นผู้สูงวัยที่น่ารัก แต่ในเชิงหลักการมองภาพรวมและมองไปที่ประเทศ เป็นเรื่องที่ตนยอมรับไม่ได้ และยืนยันว่า ในช่วง 9  - 10 ปี ที่อยู่ภายใต้อํานาจของลุงตู่ ประเทศไม่ได้อะไรเลย โดยเฉพาะในช่วง 4-5 ปีแรกที่มีอำนาจในมือ ก็ไม่ได้แก้ปัญหาในเชิงโครงสร้างของประเทศเลย สิ่งที่เห็นคือ การสร้างกลุ่มทุนผูกขาดกลุ่มใหม่ ๆ เท่านั้น  และ 4 ปีต่อมา อยากอยู่ต่อก็ไปใช้บริการนักเลือกตั้งอาชีพที่ตนเองเคยประณาม พร้อมทั้งอ้างความชอบธรรมในการทํารัฐประหาร สุดท้ายก็ไปผสมพันธุ์กับคนพวกนั้น สิ่งที่ควรทำอย่างการปฏิรูปตำรวจ ก็ไม่ทำ มิหนำซ้ำยังมีส่วนทำให้ตํารวจแย่กว่าเดิมอีก เช่นนี้แล้วจะให้ยอมรับได้อย่างไร 

และเมื่อพิจารณาถึงมิติของการแก้ปัญหาและการจัดการทางด้านเศรษฐกิจ ตลอดระยะเวลา 9 - 10 ปีที่ผ่านมา บริบริบทของโลกเปลี่ยนไปเยอะ ทั้งในระดับภูมิภาคอาเซียนด้วยกันและในระดับเอเชีย รวมทั้งในระดับสังคมโลกที่เป็นภาพใหญ่ ๆ จะเห็นได้ว่า ประเทศไทย ไม่ได้ปรับตัวตามบริบทของโลก ที่ถ้ามันเปลี่ยน และไม่ได้ตระหนักว่าเราจะต้องปรับตาม แม้จะรู้สึกว่า จะอยู่อย่างเดิมไม่ได้ แต่ก็ทําไม่เป็น โดยเฉพาะในเชิงของการปฏิรูปโครงสร้างทางเศรษฐกิจมีหรือไม่ และอย่ามาอ้างว่าได้ทำยุทธศาสตร์ 20 ปี แผนแม่บทแห่งชาติ 20 ปี ไปแล้ว เพราะสิ่งที่นำมากล่าวอ้างนั้น ล้วนแต่ทําโดยข้าราชการแก่ ๆ ทั้งนั้น โดยมีนักธุรกิจระดับแถวด้านหน้าของประเทศที่เขาก็คล้อยตามอยู่แล้ว ไปร่วมเขียนแผนประเทศ 20 ปี แล้วจะได้อะไรขึ้นมา

นราธิวาส-ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในกิจกรรมอันประเสริฐของพี่น้องมุสลิมในเดือนรอมฎอน 

(4 มี.ค.68) ที่ มัสยิดบันนังกาแย อำเภอจะแนะ จังหวัดนราธิวาส ได้จัดกิจกรรมพบปะระหว่างหน่วยงานภาครัฐและผู้นำศาสนา ตลอดจนพี่น้องมุสลิมในพื้นที่ และรับมอบสิ่งของละศีลอดในเดือนรอมฎอน จาก พลโท ไพศาล หนูสังข์ แม่ทัพภาคที่ 4/ผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ทั้งนี้เพื่อเป็นการส่งเสริมกิจกรรมสำคัญทางศาสนาในห้วงเดือนรอมฎอนอันประเสริฐ พร้อมทั้งส่งเสริมความเข้าใจอันดีระหว่างภาครัฐและประชาชน โดยแม่ทัพภาคที่ 4 กล่าวว่า ขอยึดมั่นในนโยบายที่วางไว้ ในห้วงเดือนรอมฎอนอันประเสริฐของพี่น้องไทยมุสลิม ที่จะให้เจ้าหน้าที่อำนวยความสะดวก สร้างความมั่นคงปลอดภัยในการประกอบศาสนกิจอย่างเต็มที่แก่ประชาชน เพื่อให้เดือนรอมฎอนผ่านพ้นไปได้ด้วยดี 

เจ้าหน้าที่และส่วนราชการพร้อมสนับสนุนและอำนวยความสะดวก แต่ทั้งนี้ต้องขอความร่วมมือผู้นำศาสนา ผู้นำท้องถิ่นทุกส่วนที่เกี่ยวข้องช่วยกันรณรงค์ชักชวนการทำความดีละเว้นความชั่วทั้งปวงสร้างความเข้าใจให้กับพี่น้องประชาชนร่วมกันสร้างสังคมสันติสุขให้เป็นเดือนรอมฎอนสันติสุข ปราศจากความรุนแรง อย่างไรก็ตามพร้อมให้การสนับสนุนและส่งเสริมอัตลักษณ์ความงดงามของคนในพื้นที่ ไม่ว่าจะเป็นการแต่งกายชุดมลายู หรือการประกวดซุ้มประตู ทั้งนี้ทุกกิจกรรมสามารถกระทำได้ตามความเหมาะสมโดยต้องไม่ละเมิดหรือผิดกฎหมายหรือปล่อยให้บุคคลที่สามมาทำกิจกรรมแอบแฝง ส่งผลกระทบความมั่นคงรวมถึงขอให้ผู้ปกครองให้ช่วยกันกำชับลูกหลานในเรื่องการเล่นจุดประทัดและดอกไม้ไฟเพราะก่อให้เกิดอันตรายเพราะเป็นการกระทำที่ผิดต่อหลักศาสนาและผิดกฎหมายอีกด้วย

ตำรวจ ปส. ทลายเครือข่ายผู้ค้ายาเสพติดรายสำคัญ

สืบเนื่องจากการแถลงนโยบายของรัฐบาล โดย นายกรัฐมนตรี นางสาว แพทองธาร ชินวัตร แถลงต่อรัฐสภาว่า ปัญหายาเสพติดเป็นนโยบายเร่งด่วน ที่นายกรัฐมนตรีให้ความสําคัญเป็นอย่างยิ่ง โดยเน้นการแก้ไขปัญหายาเสพติด อย่างเด็ดขาด ครบวงจร ตัดต้นตอการผลิตและจําหน่าย เน้นการร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้าน ในการสกัดกั้นลําเลียงยาเสพติด ปราบปรามและยึดทรัพย์ผู้ค้ารายสําคัญ และข้อสั่งการของ พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ที่เน้นการปราบปรามแหล่งพักยาเสพติดในพื้นที่ภาคกลางที่จะส่งมายังกรุงเทพมหานคร ประกอบกับนโยบาย ของ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผบ.ตร. ซึ่งกําชับการปราบปรามยาเสพติด อย่างเร่งด่วน

ภายใต้การอำนวยการของ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผบ.ตร, พล.ต.อ.ไกรบุญ ทรวดทรง รอง ผบ.ตร/ผอ.ศอ.ปส.ตร.,พล.ต.อ.ประจวบ  วงศ์สุข  รอง ผบ.ตร.(ปป) และ พล.ต.ท.สำราญ นวลมา, พล.ต.ท.อัคราเดช พิมลศรี และ พล.ต.ท.สรายุทธ สงวนโภคัย  ผู้ช่วย ผบ.ตร. ในฐานะ รอง ผอ.ศอ.ปส.ตร. บช.ปส. พล.ต.ท.สันติ ชัยนิรามัย ผบช.ปส. พร้อมด้วย พล.ต.ต.สมบูรณ์ เทียนขาว, พล.ต.ต.ออมสิน ตรารุ่งเรือง, พล.ต.ต.พรศักดิ์สุรสิทธิ์, พล.ต.ต.ธนรัชน์ สอนกล้า รอง ผบช.ปส., ผบก.ปส.1 - 4, ผบก.สกส. และ ผบก.ขส. ได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ตำรวจลงพื้นที่สืบสวนติดตามจับกุม และขยายผลเครือข่ายค้ายาเสพติดรายใหญ่และรายย่อย ทั่วทุกพื้นที่ของประเทศไทย รวมทั้งการขยายผลไปสู่การจับกุมเครือข่ายที่ยังหลบหนี และยึดทรัพย์ผู้ที่ให้การสนับสนุนและช่วยเหลือทุกราย

วันนี้ บช.ปส. ได้บูรณาการกำลังร่วมกับเจ้าหน้าที่ทหาร, นบ.ยส.35และ ป.ป.ส. โดย พล.ท.กัณห์ สถิตยุทธการ  ผู้อำนวยการศูนย์ประสานการปฏิบัติที่ 2 กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร, นายมานะ ศิริพิทยาวัฒน์ รองเลขาธิการ ป.ป.ส. ได้จัดกำลังเจ้าหน้าที่ลงพื้นที่ร่วมปิดล้อมตรวจค้นในพื้นที่ และจับกุมเครือข่ายยาเสพติดรายสำคัญของ บช.ปส. โดยมีการจับกุม ดังนี้
 
บก.สกส.

รายชื่อหน่วยร่วมปฏิบัติการ : นบ.ยส.35 นำโด พ.อ.ประณต  ศิริพันธ์ หน.ฝขว.นบ.ยส.35 และ พ.อ.อัศนัย  เมืองมูล หน.ฝนผ.นบ.ยส.35 คดี (ยาบ้า 7,990,000 เม็ด) (ผู้นำเสนอ  พ.ต.อ.จักริน พิริยะจิตตะ ผกก.3 บก.สกส.) เจ้าหน้าที่ กก.3 บก.สกส. ได้ร่วมกับเจ้าหน้าที่ขอ นบ.ยส.35 สืบสวนทราบว่าจะมีกลุ่มบุคคลซึ่งมีพฤติการณ์ลักลอบลำเลียงยาเสพติด จากพื้นที่ชายแดนภาคเหนือ และจะนำมาส่งให้ลูกค้าตามสั่งการของผู้ว่าจ้างในพื้นที่ กทม.และปริมณฑล โดยจะใช้รถยนต์ทะเบียน กธ 37xx พะเยา, รถยนต์ทะเบียน บม 16xx พะเยา และรถยนต์ ทะเบียน บพ 44xx พะเยา ใช้เส้นทางจากพื้นที่ชายแดน จว.เชียงราย ผ่าน จว.พะเยา - จว.แพร่ - จว.สุโขทัย -จว.พิษณุโลก -จว.พิจิตร - จว.นครสวรรค์ ปลายทางพื้นที่ กทม. และปริมณฑล จึงได้เฝ้าติดตามกลุ่มรถยนต์ดังกล่าวเรื่อยมา จนกระทั่งวันที่ 27 ก.พ.68 พบความเคลื่อนไหวของรถยนต์กลุ่มดังกล่าว ในพื้นที่ อ.พรหมพิราม จว.พิษณุโลก ลักษณะเป็นขบวนมีรถนำ/ตาม ทิ้งระยะประมาณ 2-3 กม. มุ่งหน้า จว.พิจิตร- จว.นครสวรรค์ จึงจัดชุดสะกดรอยติดตาม และได้ประสานเจ้าหน้าที่ตำรวจประจำด่านตรวจพยุหะคีรี ให้หยุดรถยนต์ทั้งสามคัน รถยนต์คันที่ 1 ทะเบียน บพ44xx พะเยา เลยด่านตรวจไป รถยนต์คันที่ 2 ทะเบียน บม 16xx พะเยาสามารถหยุดไว้ได้ที่ด่านตรวจ ส่วนรถยนต์คันที่ 3 ทะเบียน กธ 37xxพะเยา จอดริมถนนก่อนถึงด่านตรวจพยุหะคีรี เจ้าพนักงานตำรวจจึงแสดงตัวเพื่อเข้าตรวจค้น แต่รถยนต์คันดังกล่าวได้ขับขี่รถยนต์หลบหนี ทิศทางมุ่งหน้า อ.เมือง จว.นครสวรรค์ โดยสามารถหยุดรถคันดังกล่าวบริเวณริมถนนพหลโยธิน อ.เมือง จว.นครสวรรค์ ผลตรวจค้นพบ ยาบ้า 7,990,000 เม็ด ในห้องผู้โดยสาร ส่วนผู้ขับขี่เป็นชายวัยรุ่น ได้อาศัยความมืดวิ่งหลบหนีขณะเข้าจับกุม ต่อมาเวลาประมาณ 05.40 น. ชุดที่ติดตามรถยนต์คันที่ 1ทะเบียน บพ 44xx พะเยา สามารถจับกุมได้ที่โรงแรมฟ้าใส รีสอร์ต ต.ตาคลี อ.ตาคลี จว.นครสวรรค์ จึงได้นำตัวผู้ต้องหาพร้อมของกลางทั้งหมดส่งพนักงานสอบสวนดำเนินการตามกฎหมายต่อไป
 
บก.ปส.3
รายชื่อหน่วยร่วมปฏิบัติการ : 
1. บช.ก. นำโดย พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผบช.ก., พล.ต.ต.วิทยา ศรีประเสริฐภาพ ผบก.ป., พล.ต.ต.คงกฤช เลิศสิทธิกุล ผบก.ทล.
2. ทหาร : หน่วยข่าวกรองทางทหาร
3. นบ.ยส.35 คดี (ยาบ้า 5,000,000 เม็ด) (ผู้นำเสนอ พ.ต.อ.ทิวาพงษ์ พลูโต ผกก.2 ปส.3) จากการที่ กก.2 บก.ปส.3 ทำการจับกุม นายสรวุฒิฯ และพวกรวม 3 คน พร้อมยาบ้า 800,000 เม็ด, ไอซ์ 380 กก. และคีตามีน 265 กก. ในพื้นที่ อ.ศรีราชา จว.ชลบุรี นั้น เจ้าหน้าที่ กก.2 บก.ปส.3 ได้ทำการขยายผลอย่างต่อเนื่อง กระทั่งวันที่ 27 ก.พ.68 เจ้าหน้าที่ กก.2 บก.ปส.3 ได้ร่วมกับ บช.ก., บก.ป., บก.ทล. และเจ้าหน้าที่ทหาร ขกท.ศปก.นสศ. สืบสวนทราบว่าจะมีการลักลอบลำเลียงยาเสพติดจำนวนมากจากพื้นที่ชายแดนผ่านพื้นที่ อ.เชียงดาว - แม่แตง - สันทราย -เมืองเชียงใหม่ จว.เชียงใหม่ เข้าสู่พื้นที่ตอนใน โดยใช้เส้นทาง จว.เชียงใหม่ - ลำพูน - ลำปาง - กำแพงเพชร - นครสวรรค์ – ชัยนาท - สิงห์บุรี - อ่างทอง – พระนครศรีอยุธยา จึงได้ทำการเฝ้าระวัง จนพบความเคลื่อนไหวรถยนต์กลุ่มบุคคลในเครือข่าย โดยมีรถยนต์เก๋งมีลักษณะขับนำรถบรรทุก 6 ล้อ ซึ่งบรรทุกพืชผลทางการเกษตร ประเภทข้าวโพด เจ้าหน้าที่เฝ้าติดตาม ต่อมาวันที่ 28 ก.พ.68 รถบรรทุก 6 ล้อ ได้มาจอดหน้าปั๊มน้ำมัน ใน ต.หันสัง อ.บางปะหัน จว.พระนครศรีอยุธยา

เจ้าหน้าที่ได้แสดงตัวเพื่อทำการจับกุมพบมีนายนเรศฯ เป็นผู้ขับ เจ้าหน้าที่จึงได้ทำการตรวจค้นรถบรรทุก พบยาบ้า 5,000,000 เม็ด ซุกซ่อนอำพรางอยู่ใต้พืชผลทางการเกษตร (ข้าวโพด) และสกัดรถเก๋งที่ขับนำพบจับกุม น.ส.หมวยพองฯ จากนั้นเจ้าหน้าที่ได้ทำการขยายผล จับกุมชาย 2 คน ลงจากรถยนต์ตู้มาขับรถบรรทุกยาเสพติดดังกล่าว โดยมีรถเก๋งฟรีดอีก 1 คัน ลักษณะคุ้มกันการลำเลียงยาเสพติด ต่อมาพบว่ารถทั้ง 3 คัน ได้ขับติดตามกันไปจนถึง ต.คลองสอง อ.คลองหลวง 
จว.ปทุมธานี เจ้าหน้าที่จึงได้ทำการสกัดรถทั้ง 3 คัน โดยรถยนต์ฟรีดที่ขับในลักษณะคุ้มกันพบนายจอมพลฯ ได้ลงจากรถ และวิ่งลงป่าข้างทางหลบหนีไป และรถตู้ที่ขับตามมาแต่รถตู้ได้เร่งความเร็วและเสียหลักลงข้างทาง พบผู้ต้องหาจำนวน 2 คน เจ้าหน้าที่จึงได้ทำการตรวจค้นและจับกุมผู้ต้องหาทั้งหมด 6 คน พร้อมของกลางส่งพนักงานสอบสวน บก.ปส.3  ซึ่ง บก.ปส.3 จะได้ทำการขยายผลเพื่อติดตามผู้ต้องหาที่หลบหนีต่อไป

สำหรับการปราบปรามยาเสพติดของ บช.ปส. ตั้งแต่ 1 ต.ค.67 - ปัจจุบัน สามารถจับกุมขบวนการ
ค้ายาเสพติดทุกคดีได้ 524 คดี ผู้ต้องหา 520 คน ของกลางยาเสพติด คือ ยาบ้า 134,797,295 เม็ด, ไอซ์ 11,313 กก., เฮโรอีน 107 กก., คีตามึน 509 กก. และยาอี 575 เม็ด ยืดอายัดทรัพย์ผู้ค้ายาเสพติด 1,384,689,753 บาท

‘สนธิ’ ลั่นเดินหน้าสุดซอยสั่งสอนเด็กเมื่อวานซืน ‘Nailname’ ปมใช้ข้อมูลเท็จใส่ร้าย แถมฟ้องหมิ่นแก้เกี้ยว แต่สุดท้ายศาลยกฟ้อง

‘สนธิ’ ลั่นเดินหน้าสุดซอยฟ้อง Nailname ปมใช้ข้อมูลเท็จปั้นน้ำเป็นตัวประเด็น "สนธิ VS ทักษิณ ตำนานเพื่อนรักไม่ให้ยืมเงิน จุดเริ่มต้นสงครามเหลือง-แดง"

(4 มี.ค. 68) จากกรณีนางสาวรติศา วิเชียรพิทยา ยูทูบเบอร์สาวที่ใช้ชื่อว่า Nailname ที่เคยออกออกมาไลฟ์สดโดยมีหัวข้อว่า “สนธิ vs ทักษิณ ตํานานเพื่อนรักไม่ให้ยืมเงินจุดเริ่มต้นสงครามเหลือง-แดง” กระทั่งถูกนายสนธิ ลิ้มทองกุล ฟ้องหมิ่นประมาท และทางยูทูบเบอร์สาว ก็ได้ฟ้องหมิ่นประมาทนายสนธิด้วยเช่นเดียวกัน

ล่าสุด นายสนธิ ลิ้มทองกุล ได้ออกมาเปิดเผยถึงความคืบหน้ากรณีดังกล่าวว่า หลังจากที่คุณเนลเนม ได้ออกมาไลฟ์สด ด้วยการเอาข่าวที่ไหนมาก็ไม่รู้ มาบอกว่าสาเหตุที่ตนทะเลาะกับทักษิณ ชินวัตรเพราะว่าไปยืมเงินไม่ได้ จากนั้นก็ออกมาฟาดฟันทักษิณ พูดง่าย ๆ ก็คือ พูดง่าย ๆ ที่ตนออกมาประท้วงทักษิณนั้น เป็น เพราะว่าไปยืมเงินทักษิณแล้วทักษิณไม่ให้ ซึ่งไม่เป็นความจริง ดังนั้น ตนจึงฟ้องหมิ่นประมาท และจากการไต่สวนสวนมูลฟ้องแล้ว ในที่สุดศาลอาญาบอกมีมูล 

“ตอนที่เธอถูกฟ้องอยู่นั้น ทนายผมบอกว่า เธอติดต่อมาว่า จะขอไกล่เกลี่ย ขอขมาลาโทษแล้วเธอก็ไม่ติดต่อไปอีกเลย ที่เธอไม่ติดต่อมาอีก คือเธอก็สวมวิญญาณของคุณเดชา (ทนายเดชา กิตติวิทยานันท์) โดยไปฟ้องผมที่ศาลนนทบุรีว่า ระหว่างที่ผมพูดถึงเรื่องเธอนั้น ได้หมิ่นประมาทเธอหลายเรื่อง ผมก็สู้ด้วยการเข้าไปชี้แจง จนกระทั่งในที่สุดแล้วศาลนนทบุรี ก็มีคําสั่งออกมา ว่ายกฟ้อง เพราะศาลพิจารณาแล้วเห็นว่า สิ่งที่คุณเนลเนมยกมานั้น ไม่มีมูล”

ทั้งนี้ สุดท้ายแล้วปรากฏว่า ข้ออ้างข้อกล่าวหา ที่เนลเนม บอกว่าตนไปหมิ่นประมาทเธอ อย่างเช่นคําว่า “เด็กเมื่อวานซืน” เธอฟ้องด้วยนะว่าหาว่าหมิ่นเธอ ซึ่งศาลก็บอกว่า ในข้อเท็จจริงแล้วโจทย์ก็อายุน้อยกว่าจำเลยมาก การที่พูดว่าเด็กเมื่อวานซืนจึงไม่ใช่เรื่องผิด หรือแม้กระทั่งที่บอกว่าเธอเคยทํางานในร้านนวด เธอก็เห็นว่า เป็นการดูหมิ่น และด้อยค่า ทางศาลก็ได้ระบุว่า อาชีพหมอนวดเป็นอาชีพสุจริต ทั้งมีวิญญูชนทั่วไป ก็ไม่น่าจะคิดว่าผู้ประกอบเช่นนี้จะไม่สามารถทํางานสื่อได้ ข้อความส่วนนี้จึงไม่เป็นการหมิ่นประมาท

ส่วนคำว่า เด็กเมื่อวานซืน ซึ่งเป็นการพูดเชิงเปรียบเทียบมา เนื่องจากโจทย์มีอายุน้อยกว่า อีกทั้งยังมีประสบการณ์น้อยกว่าจำเลยมาก ซึ่งเป็นความจริงจึงไม่เป็นการหมิ่นประมาทโจทย์ และสุดท้ายแล้วศาลก็ยกฟ้อง 

ดังนั้น กระบวนการที่จะฟ้องตนให้คดีมีมูลแล้วนำเอาคดีมาแลกกันนั้น ก็ถือว่าล่มสลายไปแล้ว หลังจากนี้ ในส่วนคดีที่ตนเป็นโจทย์ฟ้องเนลเนมนั้นก็จะยังคงดำเนินต่อ โดยศาลท่านให้ดำเนินการเรื่องสืบพยานโจทย์ ซึ่งทางทนายได้แจ้งมาว่า คุณเนลเนมได้เลื่อนมาหลายครั้งแล้ว แต่หลังจากนี้ตนจะไม่ให้เลื่อนอีกแล้ว 

นายสนธิ ย้ำว่า สำหรับคดีที่ตนถูกฟ้องนั้น ก็จะสู้คดีโดยไม่ถอย แต่หากเป็นกรณีที่ตนฟ้องคนอื่น ถ้าอะไรที่ยอมได้ก็จะยอมให้ แต่ถ้าเป็นเรื่องที่ยอมไม่ได้ก็จะไม่ยอม จะไม่ไกล่เกลี่ยเด็ดขาด ต้องดำเนินการไปให้สุดซอย

‘เทพไท’ เปิดข้อดีล็อกเป้าอภิปราย ‘นายกฯเจนวาย’ คนเดียว แนะฝ่ายค้านใช้เวทีสภาวิจารณ์การทำงานของนายกรัฐมนตรีได้เต็มที่

(4 มี.ค. 68) นายเทพไท เสนพงศ์ อดีต สส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ โพสต์ผ่านเพจเฟซบุ๊ก ‘เทพไท - คุยการเมือง’ ในหัวข้อ อภิปราย 'อุ๊งอิ๊ง' คนเดียว ดีอย่างไร?

หลังจากพรรคประชาชน และพรรคร่วมฝ่ายค้าน ยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรี นางสาวแพทองธาร ชินวัตร เพียงคนเดียว ทำให้มีการวิพากษ์วิจารณ์ต่าง ๆ นานา ว่าเป็นการสับขาหลอกบ้าง ข้อสอบรั่วบ้าง ไม่มีข้อมูลเพียงพอบ้าง แต่เมื่อพรรคฝ่ายค้านตัดสินใจอภิปรายนางสาวแพทองธาร เพียงคนเดียว น่าจะมีผลทางการเมืองอยู่ 6 ประการ คือ

1. เป็นการทำลายกล่องดวงใจของนายทักษิณ เพราะนางสาวแพทองธารยังไม่รู้ด้วยซ้ำไปว่า การถูกอภิปรายไม่ไว้วางใจคืออะไร คนที่กังวลใจ เดือดเนื้อร้อนใจ หรือมีความหนักใจน่าจะเป็นนายทักษิณมากกว่า

2. เป็นการล็อกเป้า ให้นางสาวแพทองธารอยู่บนบัลลังก์เพื่อรับฟังการอภิปรายไม่ไว้วางใจตลอดเวลา ถ้ามีการอภิปรายรัฐมนตรีหลายคน อาจจะใช้โอกาสตอนที่อภิปรายรัฐมนตรีคนอื่น ๆ ชิ่งหนีออกจากสภากลับบ้านได้

3. เป็นการประจานวุฒิภาวะ และการตอบคำถามของนางสาวแพทองธาร ว่ามีความสามารถมากน้อยแค่ไหน เพราะที่ผ่านมาแค่ตอบกระทู้ถามสด ก็ยังบ่ายเบี่ยงหลีกเลี่ยง เมื่อเจอกับอภิปรายไม่ไว้วางใจไฟท์บังคับก็หนีไม่ออก

4. เป็นการวัดใจความเป็นเอกภาพของพรรคร่วมรัฐบาลว่า มีการแตกแถวบ้างหรือไม่  เพราะไม่มีคนของพรรคร่วมรัฐบาลถูกอภิปรายไม่ไว้วางใจ ทำให้การแลกคะแนนโหวตจึงไม่มี อาจทำให้มีสส.พรรคร่วมรัฐบาลโหวตแตกแถวก็เป็นไปได้ โดยเฉพาะกลุ่มผู้อาวุโสในพรรคประชาธิปัตย์

5. เป็นการเปิดหน้าทีมองครักษ์ว่าใครคือสาวก หรือองครักษ์ตัวจริง ทำหน้าที่ได้ถูกใจนายใหญ่และนายน้อยมากที่สุด จะได้บันทึกว่าการอภิปรายไม่ไว้วางใจครั้งนี้ มีการประท้วงมากที่สุดในประวัติศาสตร์การเมืองไทย

6. ได้ใช้โอกาสนี้ตีแผ่ เปิดโปงข้อมูล เกี่ยวกับการบริหารประเทศของนางสาวแพทองธาร ให้ประชาชนรับทราบถึงความรู้ความสามารถ และความเหมาะสมกับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี และเรื่องความไม่ชอบมาพากล ที่เกิดขึ้นในรัฐบาลชุดนี้ให้มากที่สุด

การอภิปรายไม่ไว้วางใจนางสาวแพทองธารในครั้งนี้ แม้ว่าจะได้ออกตัวว่าเป็นคนGen Y แต่การเป็นนายกรัฐมนตรีไม่ได้อยู่ที่เป็นคนเจนไหน แต่อยู่ที่ความรู้ความสามารถของคนที่จะมาเป็นนายกรัฐมนตรีมากกว่า พรรคร่วมฝ่ายค้านจะได้ใช้เวทีอภิปรายในสภาผู้แทนราษฎร วิพากษ์วิจารณ์การทำหน้าที่ของนายกรัฐมนตรีได้เต็มที่ ไม่ต้องรอให้เป็นผู้นำให้ได้ก่อน แล้วค่อยมาวิจารณ์กันตามความคิดของนางสาวแพทองธาร

กมธ.อุตสาหกรรม หนุน ‘เอกนัฏ’ เอาผิดทุนเทา - เร่งขจัดกากพิษ พร้อมเชื่อมั่นทิศทางขับเคลื่อนอุตสาหกรรมไทยเดินมาถูกทาง

(4 มี.ค. 68) นายอัครเดช วงษ์พิทักษ์โรจน์ สส.ราชบุรี เขต 4 และโฆษกพรรครวมไทยสร้างชาติ ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการการอุตสาหกรรม สภาผู้แทนราษฎร เปิดเผยถึงกรณีมหากาพย์วินโพรเสส ที่นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เลขาธิการพรรครวมไทยสร้างชาติ ได้ลงพื้นที่ไปดูการขนย้ายสารพิษอะลูมิเนียมดรอสว่า 

ปัญหาดังกล่าวเป็นปัญหาที่กระทบต่อพี่น้องประชาชนเป็นจำนวนมาก และการที่นายเอกนัฏ ได้ลงพื้นที่ไปติดตามปัญหาดังกล่าวด้วยตนเองก็เป็นสิ่งที่ดีที่สะท้อนให้เห็นว่าผู้บริหารกระทรวงอุตสาหกรรม เอาจริงเอาจังและใส่ใจในความเป็นอยู่ของคนในพื้นที่ หลังจากหน่วยงานในท้องถิ่นไม่ได้สามารถดำเนินการจัดการปัญหาดังกล่าว เพราะติดขัดทั้งในเรื่องงบประมาณ บุคลากร และขั้นตอนต่าง ๆ

ทั้งนี้สิ่งที่ตนอยากขอให้นายเอกนัฏ ดำเนินการต่อ คือ ในเรื่องของมาตรการป้องกันและปราบปรามผู้กระทำผิดทั้งในส่วนของกากพิษและกลุ่มทุนเทาที่ลักลอบทำธุรกิจผิดกฎหมาย ซึ่งในส่วนของการปราบปราม นายเอกนัฏได้มีการตั้งทีมสุดซอยขึ้นมาดำเนินการตรวจเข้มโรงงานที่ทำผิดกฎหมายแล้ว จะเห็นได้จากข่าวที่มีการจับกุมโรงงานอุตสาหกรรมที่กระทำผิดอย่างต่อเนื่อง ส่วนในด้านมาตรการการป้องกัน ทราบว่าขณะนี้นายเอกนัฏ กำลังร่างพระราชบัญญัติจัดการกากอุตสาหกรรม ทั้งนี้ตนขอให้เร่งผ่านกฎหมายได้อย่างราบรื่นโดยเร็ว

“มั่นใจว่าทิศทางการทำงานของนายเอกนัฏ เดินมาถูกทางแล้ว จึงขอเป็นกำลังใจให้ และขอให้มุ่งมั่นเดินหน้าปราบปรามผู้กระทำผิดต่อไป โดยเฉพาะกลุ่มทุนเทาที่ลักลอบทำธุรกิจผิดกฎหมาย โดยเฉพาะในเรื่องกากพิษอุตสาหกรรม ที่ปัจจุบันจัดเป็นปัญหาใหญ่ที่ส่งผลกระทบต่อชีวิตของพี่น้องคนไทยอย่างมาก และขอย้ำว่าที่ผ่านมานายเอกนัฏ มีผลงานที่ชัดเจน เป็นรูปธรรม ทำงานไว และการที่ลงมาจัดการปัญหา ลงพื้นที่อย่างต่อเนื่อง ก็เป็นข้อดีที่ทำให้ปัญหาต่าง ๆ ถูกแก้ไขได้เป็นอย่างดี” นายอัครเดช กล่าว

ปตท. มอบน้ำแข็งแห้ง 350,000 กก. แก่กรมฝนหลวงและการบินเกษตร เพื่อหนุนปฏิบัติการบินลดฝุ่น PM 2.5 ด้วยการทำฝนหลวงทั่วประเทศ

เมื่อเร็ว ๆ นี้ - บริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) (ปตท.) มอบน้ำแข็งแห้ง ให้แก่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ จำนวน 350,000 กิโลกรัม สนับสนุนปฏิบัติการบินลดฝุ่นและทำฝนหลวงทั่วประเทศ ปี 2568 ณ ศูนย์ปฏิบัติการฝนหลวงภาคตะวันออก จังหวัดระยอง 

น้ำแข็งแห้งดังกล่าว เกิดจากการนำก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่ได้จากกระบวนการแยกก๊าซธรรมชาติมาใช้ โดยมี นายสรไนย เลิศอักษร ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่แยกก๊าซธรรมชาติ บริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) เป็นผู้มอบ และ นายราเชน ศิลปะรายะ รองอธิบดีกรมฝนหลวงและการบินเกษตร ด้านปฏิบัติการ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นผู้รับมอบ 

ทั้งนี้ ปตท. ได้สนับสนุนน้ำแข็งแห้งเพื่อทำฝนหลวงมาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2541 จนถึงปัจจุบัน มากกว่า 14,275,000 กิโลกรัม เพื่อช่วยเพิ่มปริมาณน้ำในเขื่อน นำไปสู่การแก้ไขปัญหาภัยแล้งของภาคเกษตรกรรม การขาดแคลนน้ำอุปโภคบริโภคของประชาชน รวมถึงช่วยบรรเทาสถานการณ์ปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM2.5) เพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อประชาชน สิ่งแวดล้อม และประเทศต่อไป

มติบอร์ดน้ำเมา ผ่อนเกณฑ์ให้ 5 พื้นที่ เปิดทางขายเหล้า – เบียร์ 5 วันพระใหญ่

(4 มี.ค. 68) คณะกรรมนโยบายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ฯ เปิดทางขายเหล้า-เบียร์ 5 วันสำคัญศาสนาในบางพื้นที่ มีผลก่อน 11 พ.ค. 68 ส่วนข้อเสนอเรื่องของการขยายระยะเวลา ยังไม่ได้มีการพิจารณา

นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรีและ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) กล่าวภายหลังเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการนโยบายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แห่งชาติว่า ที่ประชุมเห็นชอบให้คงการห้ามขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในวันสำคัญทางศาสนาสำคัญ 5 วัน ได้แก่ วันมาฆบูชา วันวิสาขบูชา วันอาสาฬหบูชา วันเข้าพรรษา และวันออกพรรษา แต่ผ่อนคลายให้ขายได้ในบางสถานที่ ได้แก่

การขายในอาคารที่ให้บริการแก่ผู้โดยสารภายในสนามบินที่ให้บริการเที่ยวบินระหว่างประเทศ การขายในสถานบริการตามกฎหมายว่าด้วยสถานบริการ การขายในสถานประกอบการที่เปิดให้บริการในลักษณะที่คล้ายกับสถานบริการที่ตั้งอยู่ในพื้นที่หรือเป็นแหล่งท่องเที่ยว ทั้งนี้ตามที่ รมว.สาธารณสุขประกาศกำหนด โดยคำแนะนำของ รมว.มหาดไทย
การขายในโรงแรมตามกฎหมายว่าด้วยโรงแรม การขายในสถานที่ซึ่งใช้จัดกิจกรรมพิเศษระดับชาติหรือนานาชาติ และมีคนจำนวนมากไปทำกิจกรรมร่วมกัน ตามรายชื่อสถานที่ที่ รมว.สาธารณสุขประกาศกำหนด โดยคำแนะนำของ รมว.ท่องเที่ยวและกีฬา

โดยผู้ขายเครื่องดื่มแอกกอฮอล์ตามที่ได้รับการยกเว้นให้ขายได้ตามประกาศที่จะออกมานี้ต้องให้มีการคัดกรองและมาตรการที่จำเป็น เพื่อการรักษาความสงบเรียบร้อยของสังคม ความปลอดภัยของประชาชน และการจำกัดการเข้าถึงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่ไม่เหมาะสมของเด็กและเยาวชนด้วย

โดยขั้นตอนของการประกาศมาตรการนี้จะมีการนำมติที่ประชุมฯ ไปรับฟังความคิดเห็นภายใน 15 วัน หลังจากนั้นจะส่งให้กระทรวงสาธารณสุขให้การรับรอง และส่งกลับมาให้นายกรัฐมนตรีลงนามก่อนประกาศในราชกิจจานุเบกษา โดยขั้นตอนทั้งหมดจะแล้วเสร็จก่อนวันที่วิสาขบูชาที่ตรงกับวันที่ 11 พ.ค.2568 อย่างแน่นอน

ประกาศที่จะออกมาผ่อนคลายการจำหน่ายเครื่องดื่มแอกกอฮอล์ในครั้งนี้จะทำให้ครอบคลุมสถานที่ท่องเที่ยว และส่งเสริมมาตรการท่องเที่ยวตามการที่รัฐบาลประกาศให้เป็นปีท่องเที่ยวในปี 2568 อย่างใน กทม.ก็จะมีพื้นที่ท่องเที่ยวที่มีชาวต่างชาติจำนวนมากไปท่องเที่ยวได้ประโยชน์ เช่น ทองหล่อ และพัฒพงษ์ มาตรการนี้ไม่เกี่ยวข้องกับช่วงเทศกาลสงกรานต์ เนื่องจากเป็นการแก้ไขในส่วนที่เป็นวันสำคัญทางศาสนา” นายประเสริฐ กล่าว

สำหรับข้อเสนอเรื่องของการขยายระยะเวลาในการจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์นั้น ที่ประชุมครั้งนี้ยังไม่ได้มีการพิจารณา เนื่องจากหากจะแก้ไขในส่วนดังกล่าวต้องมีการแก้ไข พ.ร.บ.เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่เป็นกฎหมายใหญ่ ซึ่งต้องหารือกันในขั้นตอนต่อจากนี้


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top