Friday, 16 May 2025
NewsFeed

ดร.ชิดตะวัน เตือนประเทศไทยเปิดกาสิโน เสี่ยงตามรอยวิกฤติเศรษฐกิจเหมือนตุรกี

(7 มี.ค. 68) ดร.ชิดตะวัน ชนะกุล นักเศรษฐศาสตร์ชื่อดังได้ออกมาเตือนถึงผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากการเปิดกาสิโนในประเทศไทย โดยชี้ว่า ความเสี่ยงที่อาจตามมาคล้ายกับสถานการณ์ในตุรกี ซึ่งเกิดวิกฤติเศรษฐกิจจากการขยายตัวของธุรกิจที่ไม่ยั่งยืน

ดร.ชิดตะวัน กล่าวว่า การเปิดกาสิโนในไทยอาจส่งผลให้เกิดการพึ่งพิงการลงทุนจากต่างประเทศและการใช้จ่ายของภาครัฐที่สูงขึ้น ซึ่งหากไม่มีการควบคุมที่ดี อาจทำให้เศรษฐกิจตกต่ำและเกิดวิกฤติทางการเงินในระยะยาว โดยเฉพาะในสถานการณ์ที่เศรษฐกิจโลกมีความผันผวนสูง

เขายังแนะนำให้รัฐบาลไทยพิจารณาผลกระทบทางสังคมและเศรษฐกิจอย่างรอบคอบ รวมถึงการสร้างมาตรการป้องกันที่มีประสิทธิภาพเพื่อไม่ให้เกิดปัญหาซ้ำรอยวิกฤติจากการเปิดกิจการประเภทนี้ในหลายประเทศ

นักเศรษฐศาสตร์หลายคนเห็นด้วยกับดร.ชิดตะวัน ว่าหากไม่มีการจัดการอย่างรัดกุม การเปิดกาสิโนอาจทำให้เกิดผลกระทบที่ยากเกินคาดเดาและส่งผลเสียต่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจของไทยในอนาคต

ทั้งนี้ ประเทศตุรกี เปิดตัวกาสิโนอย่างเป็นทางการในปีที่ผ่านมา โดยคาดหวังว่าจะเป็นแหล่งดึงดูดนักท่องเที่ยวและกระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศ แต่ผลกระทบที่ตามมามีทั้งด้านเศรษฐกิจและสังคมที่ต้องจับตามอง

การเปิดกาสิโนในตุรกีทำให้เกิดการเติบโตของธุรกิจการพนันบางส่วน แต่ผลลัพธ์ที่ตามมานั้นไม่ได้ตรงตามที่คาดหวัง การลงทุนในอุตสาหกรรมนี้ไม่ได้สร้างผลประโยชน์ระยะยาวให้แก่เศรษฐกิจของประเทศ 

แม้จะมีรายได้จากการเปิดกาสิโน แต่ธุรกิจการพนันยังไม่สามารถขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศให้เติบโตได้อย่างยั่งยืน นอกจากนี้ยังเกิดการพึ่งพาภาคการพนันที่มีความเสี่ยงสูง ทำให้เศรษฐกิจของตุรกีเผชิญกับความไม่แน่นอนในช่วงเวลาต่อมา

นอกจากนี้ การเพิ่มขึ้นของกิจกรรมการพนันในตุรกีทำให้เกิดปัญหาผลกระทบทางสังคมที่รุนแรง โดยเฉพาะการเสพติดการพนันที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด กลุ่มคนที่ติดการพนันต้องเผชิญกับปัญหาหนี้สินและปัญหาครอบครัวที่เกิดขึ้นจากการสูญเสียเงินจำนวนมากในกาสิโน

ศิลปิน-นักแสดง-พิธีกรร่วมรับรางวัลสมาคมสื่อสร้างสรรค์เพื่อสังคม โล่ประกาศกิตติคุณ คนดีของแผ่นดิน 

สมาคมสื่อสร้างสรรค์เพื่อสังคม มอบโล่ประกาศกิตติคุณ 99 ท่าน ยกย่องเป็นคนดีของแผ่นดิน ประจำปี 2567

เมื่อวันที่ (5 มี.ค.68) สมาคมสื่อสร้างสรรค์เพื่อสังคม ร่วมกับ มูลนิธิทำความดีเพื่อความดี และสมาคมภาคีเครือข่ายธรรมาภิบาล พร้อมด้วย 10 องค์กรสื่อ จัดงานมอบโล่ประกาศกิตติคุณ ภายใต้โครงการ 'คนดีของแผ่นดิน' ประจำปี 2567 ให้กับบุคคล องค์กรภาครัฐและเอกชน ที่ทำความดีในด้านต่างๆ โดยมี พล.อ.กิตติ รัตนฉายา และพล.อ.จรัล กุลละวณิชย์ ร่วมเป็นประธานในพิธีมอบโล่ประกาศกิตติคุณ 'คนดีของแผ่นดิน' ประจำปี 2567 พร้อมกล่าวให้โอวาท และแสดงความยินดีแก่ผู้ได้รับโล่กิตติคุณในครั้งนี้

นายอภิรัฐ กุนกันไชย นายกสมาคมสื่อสร้างสรรค์เพื่อสังคม กล่าวว่า สมาคมสื่อสร้างสรรค์เพื่อสังคม ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 2565 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสนับสนุนส่งเสริมบุคคล องค์กรภาครัฐและเอกชนในการดำเนินกิจกรรมสร้างสรรค์เพื่อสังคม ด้วยการนำเสนอข้อมูลข่าวสารผ่านช่องทางเผยแพร่ของทางสมาคมอย่างต่อเนื่องตลอดปี 2567

โครงการ 'คนดีของแผ่นดิน' ประจำปี 25667 ขึ้น โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเชิดชูเกียรติแก่ บุคคล หรือองค์กร ซึ่งทำความดี ด้านต่างๆ ในช่วงปี 2567 เพื่อให้ ประชาชนและสังคม ได้รับรู้ ถึงบุคคล หรือองค์กร ซึ่งทำความดีอย่างต่อเนื่อง ด้วยการมอบโล่ประกาศกิตติคุณ และการเผยแพร่ข้อมูล ข่าวสารเพื่อ กระตุ้นบุคคลหรือองค์กร ให้ทำความดี และเป็นคนดีของแผ่นดิน อย่างภาคภูมิใจ และ เพื่อทำตามมติ คณะกรรมการสมาคม และ วัตถุประสงค์ ของ สมาคมสื่อสร้างสรรค์เพื่อสังคม

สำหรับบุคคลและองค์กร ที่ควรแก่การยกย่อง ให้เป็น 'คนดีของแผ่นดิน' โดยมีคุณสมบัติ 3 ประการ ได้แก่ 
1. เป็นผู้มีความคิด และการกระทำที่สร้างสรรค์ 
2. เป็นผู้มีธรรมาภิบาล
3. เป็นผู้ทำความดีเพื่อความดีอย่างต่อเนื่อง เป็นที่ประจักษ์

ซึ่งในครั้งนี้ สามารถสรรหา บุคคลหรือองค์กร ควรแก่การยกย่อง เป็นคนดีของแผ่นดิน ประจำปี 2567 ได้ จำนวน 99 ท่าน โดยมี ม.ร.ว.จัตุมงคล โสณกุล พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส ท่านสัญจัย จันทร์ผ่อง อธิบดีอัยการสำนักงานคดีอาญา ว่าที่พันตรี กรพด รุ่งหิรัญวัฒน์ สว. ชัชวาลล์ คงอุดม ทิน โชคกมลกิจ เปรมสุดา สันติวัฒนา ศิริ ว่าที่รต.ธนัท ชัชวาลย์ ดร.เกศริน เอกธวัชกุล ดร.สุรศักดิ์ โชติทินวัฒน์ ดร.วโรดม สิริสุข (ชายแฮ๊ค) เข้ารับโล่ประกาศเกียรติคุณ คนดีของแผ่นดิน ประจำปี 2568 ครั้งนี้ด้วย

คณะกรรมาธิการทหารฯ วุฒิสภา ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมศูนย์การทหารปืนใหญ่ ค่ายภูมิพล อำเภอเมือง จังหวัดลพบุรี

เมื่อวานนี้ (6 มี.ค.68) เวลา 16.30.น.คณะกรรมาธิการทหารและความมั่นคงของรัฐ วุฒิสภา ณ ศูนย์การทหารปืนใหญ่ นำโดย พลเอก สวัสดิ์ ทัศนา ประธานคณะกรรมาธิการ และนายสมบูรณ์ หนูนวล รองประธานคณะกรรมาธิการ คนที่หนึ่ง นายไชยยงค์ มณีรุ่งสกุล เลขานุการคณะกรรมาธิการ พร้อมด้วยอนุกรรมาธิการ ที่ปรึกษา นักวิชาการ และเลขานุการประจำคณะกรรมาธิการ ซึ่งพลตรี พิศิษฐ ปัญญานะ ผู้บัญชาการศูนย์ฯ และคณะผู้บังคับบัญชาศูนย์ฯ ได้ให้การต้อนรับและบรรยายสรุปเกี่ยวกับบทบาทของศูนย์การทหารปืนใหญ่ทั้งการจัดโครงสร้าง ความพร้อมรบความต่อเนื่องในการรบ และความทันสมัยของอาวุธยุทโธปกรณ์เพื่อรองรับกับภัยคุกคามในทุกมิติตั้งแต่ระดับยุทธวิธียุทธการจนถึงระดับยุทธศาสตร์ ซึ่งอดีตผู้บัญชาการทหารบกได้กล่าวไว้เมื่อปี 2525 ณศูนย์การทหารปืนใหญ่ว่า เหล่าทหารปืนใหญ่เป็นผู้กำหนดโชคชะตาของสนามรบจะแพ้หรือชนะอยู่ตรงนี้ ซึ่งสมดังคำกล่าวที่ว่า "ข้า คือราชาแห่งสนามรบ"

ในการนี้ คณะผู้บัญชาการศูนย์การทหารปืนใหญ่ได้นำคณะกรรมาธิการการทหารฯ เยี่ยมชมโครงการทหารพันธุ์ดีค่ายภูมิพลซึ่งมีพื้นที่โครงการจำนวน 52 ไร่เพื่อส่งเสริมให้กำลังพลมีความรู้ในการปลูกผักปลอดภัย ลดค่าใช้จ่ายในครัวเรือนและสร้างรายได้เสริม และส่งเสริมความเป็นอยู่ของประชาชนในพื้นที่ให้ดีขึ้นด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งการขยายเครือข่ายสู่ชุมชนโครงการชุมชนเบิกบานอาหารปลอดภัยโครงการทหารพันธุ์ดีค่ายภูมิพลมีโรงเรียนเข้าร่วมโครงการซึ่งได้รับงบประมาณจากกองทัพบกในการช่วยเหลือโรงเรียนที่เข้าร่วมโครงการชุมชนเบิกบานทหารปลอดภัยสำหรับเป็นวัตถุนำมาทำอาหารให้เด็กนักเรียนในพื้นที่ด้วยเช่นกัน

ทั้งนี้ ภารกิจของศูนย์การทหารปืนใหญ่ที่ครอบคลุมทางด้านวิทยาการของเหล่าทหารปืนใหญ่และการพัฒนาประเทศหน่วยจึงมีบทบาทที่สำคัญในการสนับสนุนโครงการต่าง ๆ ที่ส่งเสริมความเป็นอยู่ของประชาชนในพื้นที่ด้วยความมุ่งมั่นในการพัฒนาชุมชนและภาพรวมของการรักษาความมั่นภายในประเทศด้วย

เชียงใหม่-วิทยุการบินฯ เดินหน้าร่วมแก้ปัญหาหมอกควันไฟป่ามอบเครื่องเป่าลมทำแนวป้องกันไฟ ให้หมู่บ้านพื้นที่ภาคเหนือ

มนพร ห่วงประชาชนที่อาจได้รับผลกระทบจากปัญหาไฟป่าและหมอกควัน สั่งการวิทยุการบินฯ ร่วมกับ ทุกภาคส่วนมุ่งหาแนวทางแก้ไขปัญหาไฟป่าและหมอกควัน เพื่อบรรเทาปัญหาฝุ่น PM 2.5 อย่างต่อเนื่องสนับสนุนเครื่องเป่าลมทำแนวกันไฟ ให้กับหมู่บ้านในจังหวัดเชียงใหม่พร้อมสร้างแนวร่วมภาคประชาชนในการงดเว้นการจุดไฟบริเวณ แนวป่า ลดปัญหาหมอกควันไฟป่า สร้างความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อมให้ประชาชนในพื้นที่ภาคเหนือของประเทศไทย

นางมนพร เจริญศรี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่าช่วงเดือนมีนาคม – เมษายน ของทุกปี หลายพื้นที่ของประเทศมักประสบปัญหาไฟป่าและหมอกควันและปัญหา ฝุ่น PM 2.5 โดยเฉพาะพื้นที่ 9 จังหวัดภาคเหนือตอนบน  รัฐบาลจึงมีนโยบายให้ทุกหน่วยงานร่วมมือกันขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาดังกล่าวอย่างจริงจัง พร้อมเร่งขับเคลื่อนการดำเนินงานของทุกหน่วยงานให้เห็นผลเป็นรูปธรรม 

โดย บริษัท วิทยุการบินแห่งประเทศไทย จำกัด (บวท.) ได้ดำเนินโครงการแก้ไขปัญหาฝุ่นควัน PM2.5 ร่วมกับ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย สนับสนุนกระบวนการขนย้ายเศษวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตรข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ออกจากแปลง นำร่องพื้นที่ประมาณ 200 ไร่ ตำบลจางเหนือ อำเภอแม่เมาะ จังหวัดลำปาง 

และโครงการหมู่บ้านปลอดการเผาครั้งที่ 3 ร่วมกับ บริษัท เชียงใหม่วิสาหกิจเพื่อสังคม จำกัด สนับสนุนรางวัลหมู่บ้านปลอดการเผาให้กับหมู่บ้านที่เข้าร่วมโครงการในขนาดพื้นที่ 2,000 ไร่ และส่งมอบเครื่องเป่าลมทำแนวกันไฟเพื่อป้องกันไฟป่า ให้กับผู้แทนหมู่บ้านในจังหวัดเชียงใหม่ นอกจากนี้ยังได้สนับสนุนการปฏิบัติการบินแก้ไขปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5 ร่วมกับกรมฝนหลวงและการบินเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ อีกด้วย

นายณพศิษฏ์ จักรพิทักษ์ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ เปิดเผยว่า ในโอกาสครบรอบการดำเนินงานปีที่ 77 ของวิทยุการบินฯ จึงได้สนับสนุนเครื่องเป่าลม จำนวน 25 เครื่อง งบประมาณ 270,000 บาท ให้กับบริษัท เชียงใหม่วิสาหกิจเพื่อสังคม จำกัด เพื่อมอบให้กับหมู่บ้านในจังหวัดเชียงใหม่ นำไปต่อสู้กับไฟป่า 

ซึ่งเครื่องเป่าลมเป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพในการสร้างแนวกันไฟในพื้นที่ที่ไม่สามารถใช้อุปกรณ์ขนาดใหญ่ที่เข้าถึงได้ สามารถใช้เครื่องเป่าใบไม้ ออกจากหุบเขาแคบๆ ทางลาดชัน และพื้นที่อื่นๆ ที่เข้าถึงยาก เป็นการลดผลกระทบปัญหาหมอกควันไฟป่าที่ส่งผลต่อสุขภาพและคุณภาพชีวิตของประชาชน 

ทั้งนี้ วิทยุการบิน ขอร่วมเป็นอีกองค์กรหนึ่งในการป้องกันและแก้ไขปัญหามลพิษด้าน ฝุ่นควัน พร้อมขับเคลื่อนร่วมกับทุกภาคส่วนเพื่อส่งเสริมแนวทางการป้องกันและลดปัญหาฝุ่นควันอย่างยั่งยืน

‘น้องธีด้า’ ควงคุณแม่แชร์เคล็ดลับให้ลูกเรียนเก่ง - ได้ภาษา สานฝันจากลูกแม่ค้าขายยาคูลท์สู่การเป็นนักศึกษาแพทย์มหิดล

(7 มี.ค.68) นางสาวขวัญชนก จุ้ยสกุล หรือน้องธีด้า เยาวชนคนเก่งจากโรงเรียนชลกัลยานุกูล จ.ชลบุรี ลูกสาวแม่ค้าขายยาคูลท์ ซึ่งกำลังจะเข้าเป็นนักศึกษาแพทย์ มหาวิทยาลัยมหิดล ได้โพสต์คลิปผ่าน Tiktok : thida.himawari พร้อมคุณแม่ ร่วมแชร์วิธีการสอนลูกให้เป็นคนเก่งและมีความรับผิดชอบ โดยเริ่มต้นจากคำถามแรกที่ว่า แม่สอนภาษาอังกฤษให้น้องธีด้ายังไง

โดยคุณแม่ ได้ตอบว่า ได้เริ่มสอนตั้งแต่เด็กตัวเล็กๆ ที่เริ่มหัดพูด ด้วยประโยคง่าย ๆ สำหรับเด็ก พร้อม ๆ กับสร้างสิ่งแวดล้อมแห่งการเรียนรู้ เช่น การให้ดูการ์ตูนภาษาอังกฤษ แล้วก็พาไปดูหนังในโรงที่เป็นซาวด์แทร็กอย่างเดียว ในขณะเดียวกัน เวลาออกไปข้างนอกก็จะสื่อสารเป็นภาษาอังกฤษ ด้วยประโยคง่าย ๆ เพราะตัวคุณแม่เองก็ได้เก่งภาษาอังกฤษ จากนั้นพออายุประมาณ 4 – 5 ขวบ เมื่อถึงวัยเข้าเรียน ก็ให้เรียนหลักสูตร English Program ซึ่งก็ทำให้มีการพัฒนาที่ดีขึ้น นอกจากนี้ ช่วงที่อยู่ประมาณ ป.1 ก็ให้เรียนโฟนิกส์ (Phonics) หรือ วิธีการออกเสียงตัวอักษรภาษาอังกฤษ ซึ่งมองว่าเป็นสิ่งสำคัญในการที่ช่วยในเรื่องของการอ่านได้ดี และเพิ่มทักษะการอ่านด้วย

ขณะที่ คำถามต่อมา น้องธีด้า ถามว่า คุณแม่อยากให้หนูเป็นหมอตั้งแต่เด็กหรือไม่
ซึ่งคุณแม่ได้ตอบว่า ไม่ใช่เลย เพราะหากย้อนไปเทรนด์ในสมัยนั้น อยากให้ลูกเป็น แอร์โฮสเตส เพราะมองว่า การเป็นแอร์โฮสเตสได้เที่ยว และสมัยก่อนนั้น คนที่เป็นแอร์ฯ ดูดีมาก และคิดว่ารายได้สูงน่าจะสูงด้วย จึงอยากให้ลูกเป็นแอร์ แต่เมื่อวันหนึ่งลูกอยากเป็นหมอ ก็แล้วแต่ลูกจะเลือกและไม่ได้ห้าม

และเมื่อลูกมาบอกว่าอยากเป็นแพทย์ ก็ได้แต่บอกว่า มันยากนะ จะทำได้หรือ เพราะก่อนหน้านี้ไม่ใช่เด็กแนววิชาการที่มีผลงาน และไม่ค่อยได้เรียนพิเศษด้วย ดังนั้น จะมาหวังในรอบ 3 จึงมองว่าเป็นเรื่องยาก สำหรับคนที่ไม่ได้เตรียมตัวมาตั้งแต่ต้น แต่เมื่อลูกอยากจะเรียนหมอ ทางแม่ก็ไม่ห้ามและผลักดันและให้การสนับสนุนในทุกด้าน

สำหรับการสนับสนุนให้ลูกสาวได้เป็นนักศึกษาแพทย์จนสำเร็จนั้น ทางคุณแม่ บอกว่า ได้ช่วยหางานและกิจกรรมที่มีความเกี่ยวข้องกับทางการแพทย์ พร้อมกับหาข้อมูลในรอบพอร์ตฟอลิโอ ซึ่งอาจจะไม่ใช่ของแพทย์โดยตรง โดยไปดูว่า เขาไปทํากิจกรรมไหนมาบ้าง เพื่อเป็นตัวเสริม และไม่จําเป็นต้องเกี่ยวข้องกับการแพทย์ทุกอย่างก็ได้

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าคุณแม่จะไม่ห้าม และไม่อยากให้หยุดฝัน แต่ก็มีแอบกังวลอยู่บ้าง กลัวว่าลูกจะทำไม่ได้ พร้อมกับบอกว่าให้ลองวิชาชีพอื่นก่อนไหม กระทั่งพูดบ่อย ๆ  เข้าตัวน้องก็บอกว่า ตัวเขาเองยังไม่ละความพยายามเลย หลังจากนั้นเลิกกังวล พร้อมเฝ้ามองถึงความตั้งใจได้เห็นถึงความพยายาม และถึงวันนี้ยอมรับและภูมิใจในสิ่งที่น้องทำได้สำเร็จเป็นนักศึกษาแพทย์ตามที่ฝันไว้

สบส. เดินหน้าพัฒนาศักยภาพเจ้าหน้าที่ ส่งเสริมและควบคุมมาตรฐานการเรียนการสอนด้านบริการสุขภาพ 

กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ (กรม สบส.) กระทรวงสาธารณสุข เดินหน้าพัฒนาศักยภาพเจ้าหน้าที่กรม สบส. ที่ดำเนินงานด้านพัฒนา ควบคุมกำกับมาตรฐานการจัดการเรียนการสอนในหลักสูตรด้านการบริการเพื่อสุขภาพ เพื่อเพิ่มทักษะ ยกระดับคุณภาพบริการและสร้างความปลอดภัยของผู้รับบริการทั่วประเทศ

ดร.นายแพทย์ภานุวัฒน์ ปานเกตุ อธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ เผยว่า ปัจจุบันความต้องการบริการสุขภาพที่มีคุณภาพและความปลอดภัยเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยกรม สบส. ซึ่งเป็นหน่วยงานหลักในการควบคุม กำกับ มาตรฐานสถานประกอบการเพื่อสุขภาพ และส่งเสริมพัฒนาสถานประกอบการเพื่อสุขภาพให้มีคุณภาพ ภายใต้ พ.ร.บ.สถานประกอบการเพื่อสุขภาพ พ.ศ.2559 ได้ให้การรับรองหลักสูตรด้านการบริการเพื่อสุขภาพ(หลักสูตรผู้สูงอายุหรือผู้มีภาวะพึ่งพิง และหลักสูตรสปาและนวด) ซึ่งปัจจุบันมีทั้งหมด 17 หลักสูตรกลาง และเพื่อเป็นการกำกับติดตามและตรวจสอบคุณภาพ จึงจำเป็นจะต้องมีผู้ที่ทำหน้าที่ตรวจประเมินคุณภาพ

ซึ่งถือเป็นกลไกในการควบคุมตรวจสอบมาตรฐานดังกล่าว กรม สบส. โดยกองสถานประกอบการเพื่อสุขภาพ จึงได้จัดการสัมมนาพัฒนาศักยภาพเจ้าหน้าที่ในการส่งเสริมพัฒนา ควบคุมกำกับมาตรฐานการจัดการเรียนการสอน หลักสูตรด้านการบริการเพื่อสุขภาพแก่เจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบของกรม สบส. ทั้งส่วนกลางและส่วนภูมิภาค เพื่อส่งเสริมและควบคุมมาตรฐานการเรียนการสอนได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงยังเป็นการสร้างความเชื่อมั่นในคุณภาพด้านการบริการด้านสุขภาพอีกด้วย

ด้านทันตแพทย์อาคม ประดิษฐสุวรรณ รองอธิบดีกรม สบส. กล่าวต่อว่า การสัมมนาในครั้งนี้ เพื่อพัฒนาศักยภาพเจ้าหน้าที่ให้มีความรู้ความเข้าใจ และหลักเกณฑ์ในการปฏิบัติงานให้เป็นไปตามมาตรฐานที่กำหนดและแนวทางเดียวกัน โดยมีหัวข้อต่างๆ ได้แก่ การดำเนินการตามพ.ร.บ.โรงเรียนเอกชนนอกระบบ และพ.ร.บ.สถานประกอบการเพื่อสุขภาพ พ.ศ.2559 มาตรฐานการจัดการเรียนการสอน การยื่นขอรับรองหลักสูตรด้านการบริการเพื่อสุขภาพ การตรวจประเมินก่อน-หลังในการยื่นขอรับรองหลักสูตร และการฝึกปฏิบัติ เป็นต้น

สบส. รุดตรวจร้านนวด ย่านบางกะปิ เคลียร์เหตุลูกค้าถูกล่วงละเมิด

กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ (กรม สบส.) กระทรวงสาธารณสุข ส่งทีมเจ้าหน้าที่ลงตรวจร้านนวด ย่านบางกะปิ เคลียร์เหตุลูกค้าถูกล่วงละเมิดโดยหมอนวด ย้ำผู้ประกอบกิจการให้ควบคุมกำกับผู้ให้บริการอย่างใกล้ชิด หากมีการกระทำอนาจาร หรือล่วงละเมิดในร้าน ต้องรับผิดตามกฎหมายสถานประกอบการเพื่อสุขภาพ โดยอาจถูกระงับ หรือเพิกถอนใบอนุญาตประกอบกิจการได้

ทันตแพทย์อาคม ประดิษฐสุวรรณ รองอธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ (กรม สบส.) กระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ว่า จากกรณี ที่มีการเผยแพร่ข่าวผ่านสื่อถึง หญิงสาวรายหนึ่งซึ่งเข้ารับบริการจากร้านนวดเพื่อสุขภาพ ย่านบางกะปิ แต่กลับถูกหมอนวดชายกระทำอนาจารนั้น เมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา กรม สบส. ได้มอบหมายให้พนักงานเจ้าหน้าที่ของกองกฎหมาย ได้ลงพื้นที่ตรวจสอบข้อเท็จจริง ณ สถานประกอบการเพื่อสุขภาพดังกล่าว ซึ่งตั้งอยู่ในเขตบางกะปิ กรุงเทพฯ ซึ่งจากการตรวจสอบข้อมูลเบื้องต้นพบว่าสถานประกอบการเพื่อสุขภาพดังกล่าวมีการขออนุญาตประกอบกิจการอย่างถูกต้องกับ กรม สบส. พนักงานเจ้าหน้าที่ฯ จึงดำเนินการสอบถ้อยคำจากผู้เกี่ยวข้อง โดยผู้รับอนุญาตประกอบกิจการได้ให้ถ้อยคำต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ฯว่า ได้รับการติดต่อจากผู้รับบริการว่าได้มีการแจ้งความที่สถานีตำรวจนครบาลลาดพร้าว ซึ่งทางร้านก็ได้มีการเรียกตัวพนักงานชายรายดังกล่าวมาทำการสอบถาม โดยเจ้าตัวได้ให้การปฏิเสธ ทางร้านจึงได้นัดหมายพูดคุยกับผู้รับบริการที่สถานีตำรวจนครบาลลาดพร้าว  โดยผู้รับบริการได้ถอนแจ้งความ เนื่องจากผู้รับบริการได้พูดคุยเข้าใจกันแล้ว และได้รับคำขอโทษจนเป็นที่พอใจ รวมถึง ทางร้านให้ผู้ให้บริการรายดังกล่าวพ้นสภาพผู้ให้บริการขอทางร้านแล้ว ผู้รับบริการจึงไม่ติดใจเอาความแต่อย่างใด 

อย่างไรก็ตาม กรม สบส.ขอกำชับให้ผู้ประกอบกิจการสถานประกอบการเพื่อสุขภาพ ทั้งร้านนวด และสปา ให้ความสำคัญต่อความปลอดภัยของผู้รับบริการเป็นอันดับหนึ่ง ทั้งในด้านสถานที่ มาตรฐานการให้บริการ และการควบคุมกำกับผู้รับบริการให้ปฏิบัติตามมาตรฐาน ฯลฯ ซึ่งในกรณี ที่กรม สบส. ตรวจพบว่ามีการปล่อยปละละเลยให้เกิดการกระทำอนาจาร หรือล่วงละเมิดทางเพศในสถานประกอบการเพื่อสุขภาพแล้ว ผู้รับใบอนุญาตให้ประกอบกิจการฯ หรือเจ้าของร้านจะถือว่ามีความผิดตามพระราชบัญญัติสถานประกอบเพื่อสุขภาพ พ.ศ.2559 มาตรา 28 ฐานปล่อยให้มีการกระทำหรือบริการที่ขัดต่อกฎหมาย ความสงบเรียบร้อย และศีลธรรมอันดีในสถานประกอบการฯ ต้องระวางโทษปรับไม่เกิน 30,000 บาท และอาจได้รับโทษในการสั่งพักใช้ หรือเพิกถอนใบอนุญาต และในส่วนของผู้ให้บริการที่กระทำความผิด จะถูกตัดชื่อออกจากทะเบียนผู้ให้บริการ โดยจะไม่มีสิทธิ์ขึ้นทะเบียนประกอบอาชีพนวดอีกต่อไป และต้องรับโทษตามกฎหมายอาญา
ต่อไปด้วย

สมุทรปราการ-แสดงความยินดี 'ปิยนุช พาณิชย์พิศาล' ประธานชมรมโฮปฯ รับมอบโล่เกียรติยศเพื่อประกาศกิตติคุณในการทำความดี 'คนดีของแผ่นดิน'

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันที่ (6 มี.ค.68) นายอัครนันท์ พร้อมด้วย นางธัญยธรณ์ พาณิชย์พิศาล และนางสาวปิยนุช พาณิชย์พิศาล ประธานชมรมโฮปสะพานบุญแห่งความหวังและศรัทธา ร่วมพิธีบวงสรวงเปิดเนตรองค์พญาครุฑ โดยได้นำมาตั้งประดิษฐาน บริเวณริมน้ำ ณ วัดมหาวงษ์ ปากน้ำ อ.เมือง สมุทรปราการ เพื่อให้ประชาชนได้เข้ามากราบสักการะขอพรเพื่อความเป็นสิริมงคล

โดยได้นิมนต์พระสงฆ์ทรงสมณศักดิ์ จำนวน 10 รูป มาร่วมประกอบพิธีพระสงฆ์เจริญชัยมงคลคาถาและเจริญพระพุทธมนต์เพื่อความเป็นสิริมงคลแก่ผู้ที่เข้าร่วมในพิธี โดยมีครอบครัวพาณิชย์พิศาล ประธานในพิธี พร้อมทั้งคณะเจ้าหน้าที่ชมรมโฮปฯ คณะศิษย์ยานุศิษย์ตลอดจนประชาชนร่วมในพิธีครั้งนี้ จากนั้นได้ร่วมกันถวายภัตตาหารเพลแด่พระสงฆ์ทรงสมณศักดิ์และคณะสงฆ์ของทางวัดมหาวงษ์ที่มาร่วมประกอบพิธีอีกด้วย

นอกจากนี้ ทางครอบครัวพาณิชย์พิศาลและญาติสนิทต่างนำกระเช้าดอกไม้มามอบพร้อมทั้งร่วมแสดงความยินดีกับ นางสาวปิยนุช พาณิชย์พิศาล ประธานชมรมโฮปสะพานบุญแห่งความหวังและศรัทธา ที่ได้ รับมอบโล่ประกาศกิตติคุณ คนดีของแผ่นดิน จัดโดย สมาคมสื่อสร้างสรรค์เพื่อสังคม ยังสโมสรทหารบก ถนนวิภาวดี กรุงเทพมหานคร เมื่อวันที่ 5 มีนาคม ที่ผ่านมา

โดยท่าน พลเอก กิตติ รัตนฉายา ประธานในพิธีมอบโล่เกียรติยศเพื่อประกาศกิตติคุณในการทำความดี ซึ่งโล่ประกาศกิตติคุณ “คนดีของแผ่นดิน” เป็นรางวัลที่เชิดชูเกียรติ มอบแด่ผู้ที่ทำคุณประโยชน์แก่แผ่นดินและเป็นผู้ที่ช่วยเหลือสังคมโดยไม่หวังสิ่งตอบแทน 

นอกจากนี้การมอบโล่กิตติคุณนี้เพื่อเป็นขวัญและกำลังใจให้บุคคลเหล่านี้ได้มีกำลังใจในการประพฤติตนสร้างคุณงามความดี และอุทิศตนเพื่อช่วยเหลือผู้ที่ตกทุกข์ได้ยากและช่วยเหลือสังคมต่อไป

'อลงกรณ์' ชี้คาร์บอนเครดิตและไบโอเครดิตคือภารกิจที่ท้าทายอนาคตของประเทศไทย

นายอลงกรณ์ พลบุตร ประธานที่ปรึกษาของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและประธานสถาบันเอฟเคไอไอ.ปาฐกถาพิเศษหัวข้อ “คาร์บอนเครดิตและไบโอเครดิต :ภารกิจที่ท้าทายอนาคตของประเทศไทยภายใต้กรมป่าไม้และกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม“เมื่อวันที่ 6 มีนาคมที่ผ่านมาซึ่งเป็นประเด็นที่น่าสนใจจึงเห็นควรนำมาถ่ายทอดผ่านสื่อเพื่อประโยชน์ในการรับรู้ของสาธารณชน

โดยอดีตรัฐมนตรีอลงกรณ์ พลบุตร อดีตรองประธานสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ ปัจจุบันเป็นประธานที่ปรึกษาของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและรองประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์พรรคประชาธิปัตย์กล่าวว่า

“…ปัญหาโลกร้อนจากก๊าซเรือนกระจกและปัญหาการสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพเป็นปัญหาความยั่งยืนของโลกแต่ขณะเดียวกันก็เป็นปัญหาทางเศรษฐกิจการค้าระหว่างประเทศ…“

ประเทศไทยประกาศเป้าหมายจะต้องลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้ได้ร้อยละ 30-40 ภายในปี 2030 และเป็นกลางทางคาร์บอน(Carbon Neutrality) ในปี 2050 และปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ภายในปี 2065

ภายใต้อนุสัญญาสหประชาชาติ ว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (UNFCCC)
โดยประเทศไทยเป็นหนึ่งในประเทศที่เข้าร่วมให้ข้อเสนอการมีส่วนร่วมในการลด ก๊าซเรือนกระจก และการดำเนินงานด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ผ่านข้อเสนอการมีส่วนร่วมที่ประเทศกำหนด (NDC) 

ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์มอบแนวคิดว่า

“เราชนะธรรมชาติได้บางอย่าง แต่เราไม่สามารถกำหนดธรรมชาติได้ทุกอย่าง เป็นสิ่งที่เราต้องยอมรับความเป็นจริง ว่าทุกสิ่งที่เกิดขึ้นวันนี้คือการเปลี่ยนแปลงและต้องยอมรับว่าการเปลี่ยนแปลงนี้เกิดจากการกระทำของมนุษย์ด้วย” 

“เราต้องเปลี่ยนมุมมองของโลก หลายคนมองว่าการบริหารต้องมีมือดีทางเศรษฐศาสตร์ เพื่อความอยู่ดีกินดีของประชาชน แต่ตนมองว่าสิ่งที่สำคัญไม่แพ้กันคือเรื่องสิ่งแวดล้อมที่ประชาชนอาศัยอยู่ เพราะอย่างไรเราก็ต้องเจอกับการเปลี่ยนแปลงของสิ่งแวดล้อม”

จากวิสัยทัศน์ดังกล่าวจึงนำมาสู่ กรอบภารกิจ 6 ด้าน
1.ด้านทรัพยากรธรรมชาติ ป่าไม้และสัตว์ป่า ทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง
2.ด้านทรัพยากรน้ำทั้งระบบ
3.ด้านคุณภาพสิ่งแวดล้อม ขยะ และมลพิษ 
4. ด้านยุทธศาสตร์ แผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
5.ด้านความร่วมมือระหว่างประเทศ
6.ด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

โดยเฉพาะภารกิจสำคัญและเร่งด่วนคือการเพิ่มพื้นที่สีเขียวจะช่วยแก้ปัญหาโลกร้อนซึ่งยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี กำหนดให้มีพื้นที่สีเขียวทุกประเภท 55% ของพื้นที่ประเทศ ในจำนวนนี้เป็น
พื้นที่ป่า 40% ของพื้นที่ประเทศซึ่งเป็นแหล่งดูดกลับก๊าซเรือนกระจกที่สำคัญ
แบ่งเป็น
1.พื้นที่ป่าอนุรักษ์ 25% 
2.พื้นที่ป่าเศรษฐกิจ 15%

ปัจจุบันประเทศไทยมีพื้นที่ป่าไม้ราว 102,353,484 ไร่ หรือ 31.64% ของพื้นที่ประเทศจะต้องเพิ่มพื้นที่ป่าอีก 8.36 %หรือ 26.75 ล้านไร่

ป่าชุมชนเป็นอีกเป้าหมายหนึ่งในการเพิ่มแหล่งกักเก็บคาร์บอนโดยมีป่าชุมชนที่ได้รับอนุมัติจัดตั้งเป็นป่าชุมชนตามพระราชบัญญัติป่าชุมชน พ.ศ. 2562 จำนวนรวม 11,327 โครงการ 13,028 หมู่บ้าน มีเนื้อที่รวม 6,295,718 ไร่
ซึ่งแต่เดิมมีการใช้ประโยชน์พื้นที่ทรัพยากรของป่าชุมชน5 ประการคือ
1. ท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์โดยชุมชน/พักผ่อนหย่อนใจ
2. เก็บหาของป่า
3. ใช้ประโยชน์จากไม้ เพื่อการยังชีพและสาธารณะประโยชน์
4. ใช้บริการทางนิเวศ เช่น น้ำ
5. ส่งเสริมการศึกษาและการเรียนรู้ เพื่อเสริมสร้างจิตสำนึกด้านการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ

ส่วนแนวทางการพัฒนาใหม่ในการพัฒนาป่าชุมชน (Community Forest) สู่ป่าคาร์บอน (Carbon Forest)เพื่อเพิ่มพื้นที่สีเขียวลดโลกร้อนอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพและพัฒนาเศรษฐกิจชุมชนกว่า1.1หมื่นแห่งทุกภาคทั่วประเทศให้เป็น
1.แหล่งอาหารชุมชน (Community Food Bank)
2.แหล่งความหลากหลายทางชีวภาพ(Biodiversity Bank)
3.แหล่งคาร์บอน(Carbon Bank)
4.แหล่งท่องเที่ยวเชิงนิเวศ(Ecological Tourism)
5.แหล่งผลิตอาหารแบบสมาร์ทฟาร์ม(3F’s: Food Farm Forest)
โดยใช้รูปแบบการบริหารจัดการใหม่เน้นการมีส่วนร่วมของทุกภาคีในพื้นที่ด้วยโมเดล3หุ้นส่วน( 3‘P : Public-Private-People Partnership model)ซึ่งถอดบทเรียนจากโครงการสระบุรี แซนด์บ็อกซ์และโค้งตาบางโมเดล

จะเห็นได้ว่าการพัฒนาป่าชุมชนแนวใหม่นอกจากจะช่วยตอบโจทย์การลดโลกร้อนยังได้ให้ความสำคัญทางด้านความหลากหลายทางชีวภาพและไบโอ เครดิต

ประเทศไทยได้เริ่มจัดทำนโยบายและมาตรการระดับชาติด้านความหลากหลายทางชีวภาพ เพื่อเป็นกรอบและทิศทางการดำเนินงานเกี่ยวกับความหลากหลายทางชีวภาพในภาพรวมของประเทศ ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2541 เพื่อการอนุรักษ์และใช้ประโยชน์ความหลากหลายทางชีวภาพ สอดคล้องกับมาตรา 6 ของอนุสัญญาว่าด้วยความหลากหลายทางชีวภาพ ที่กำหนดให้ภาคีจัดทำนโยบายและกลยุทธ์ระดับชาติ เพื่ออนุรักษ์และใช้ประโยชน์ความหลากหลายทางชีวภาพอย่างยั่งยืน

ทั้งนี้โครงการสิ่งแวดล้อมแห่งสหประชาชาติ (UNEP) ได้ประเมินว่า GDP ของโลก กว่าครึ่งหนึ่งต้องพึ่งพาทรัพยากรธรรมชาติ

ขณะที่รายงานความยั่งยืน(Sustainability Trends 2024 )ระบุว่า Bio-Credits เป็นส่วนหนึ่งของเทรนด์ การเพิ่มจำนวนความหลากหลายทางชีวภาพ (Biodiversity Net Gain) เพื่อก่อให้เกิดความหลากหลายทางชีวภาพที่ยั่งยืน โดยไบโอเครดิตเป็นเครื่องมือทางการเงินที่สามารถตรวจสอบปริมาณ คุณภาพ ชนิดพันธุ์ ระบบนิเวศ และที่อยู่อาศัยผ่านการซื้อขายหน่วยความหลากหลายทางชีวภาพได้ ทำให้ทราบถึงการเพิ่มจำนวนของความหลากหลายทางชีวภาพในปัจจุบัน
 
ทั้งนี้ หลายหน่วยงานได้เริ่มมีความสนใจใน Bio-Credits เช่น สภาเศรษฐกิจโลก (World Economic Forum: WEF) เมื่อปี 2565 ได้ริเริ่มโครงการสำรวจศักยภาพของสินเชื่อความหลากหลายทางชีวภาพ (Biodiversity Finance) เพื่อปลดล็อกการจัดหาเงินทุนใหม่สำหรับผลลัพธ์เชิงบวกที่วัดได้สำหรับธรรมชาติและผู้ดูแลธรรมชาติ และสนับสนุนการพัฒนาตลาดสินเชื่อความหลากหลายทางชีวภาพโดยสมัครใจ แต่ก็ยังไม่สามารถทำ Biodiversity Finance ได้เต็มที่ เนื่องจากยังขาดมาตรฐานการออกไบโอเครดิต ที่เป็นมาตรฐานเดียวกันในระดับโลก

ด้วยเหตุนี้ จึงได้มีการก่อตั้งกลุ่มพันธมิตรเพื่อไบโอเครดิต (Biodiversity Credit Alliance) ขึ้นในปี 2565 โดยมีสมาชิกเป็นองค์กรจากภาคเอกชน องค์กรไม่แสวงหากำไร หน่วยงาน ภาครัฐ องค์กรระหว่างประเทศ และภาคส่วนอื่นๆ และได้รับการสนับสนุนจากโครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ (UNDP) โครงการสิ่งแวดล้อมแห่งสหประชาชาติ (UNEP) และสำนักงานความร่วมมือเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศแห่งสวีเดน (Sida)

ในส่วนประเทศไทย สำนักงานพัฒนาเศรษฐกิจจากฐานชีวภาพ (องค์การมหาชน) อธิบายถึง Bio-Credits (Biodiversity Credits) หรือ เครดิตความหลากหลายทางชีวภาพ ว่า เป็นหนึ่งนวัตกรรมที่มีการนำกลไกตลาดมาใช้ในการระดมทุนเพื่อดูแลธรรมชาติและรักษาความหลากหลายทางชีวภาพให้คงอยู่โดยมีลักษณะการทำงานที่คล้ายกับคาร์บอนเครดิตในตลาดภาคสมัครใจ (Voluntary Carbon Credits) ซึ่งเป็นการซื้อ - ขาย ระหว่างผู้ซื้อที่มีความยินดีในการจ่ายเพื่อปกป้องและฟื้นฟูความหลากหลายทางชีวภาพ และผู้ขายที่เป็นผู้ลงทุนดำเนินโครงการที่สามารถปกป้องและฟื้นฟูความหลากหลายทางชีวภาพได้

ซึ่งหลังจากนวัตกรรมของตลาดไบโอเครดิตเกิดขึ้น จะส่งผลให้เกิดการปกป้องหรือฟื้นฟูความหลากหลายทางชีวภาพ โดยสามารถนำผลลัพธ์ที่เป็นข้อมูลเชิงปริมาณมาแสดงเพื่อขอใบรับรอง ว่ามีการดำเนินงานที่เกิดขึ้นได้จริง และผู้ผลิตสามารถนำไบโอเครดิตที่อยู่ในใบรับรองไปขายให้ผู้ซื้อที่ยินดีจ่ายเงินได้
 
สถานการณ์ภัยคุกคามความหลากหลายทางชีวภาพของประเทศไทย แบ่งได้ดังนี้
1) พรรณไม้ จำนวนทั้งสิ้น 12,050 ชนิด มีชนิดพันธุ์ที่ถูกคุกคามจำนวน 999 ชนิด
2) สัตว์มีกระดูกสันหลัง จำนวนทั้งสิ้น 5,005 ชนิด มีชนิดพันธุ์ที่ถูกคุกคาม ประกอบด้วย ชนิดพันธุ์ใกล้สูญพันธุ์อย่างยิ่ง ใกล้สูญพันธุ์ และมีแนวโน้มใกล้สูญพันธุ์ จำนวน 676 ชนิด
3) จุลินทรีย์ก็อยู่ในภาวะถูกคุกคามเช่นกัน

ความหลากหลายทางชีวภาพกำลังถูกคุกคามและไบโอ เครดิตจะเป็นเครื่องมือสำคัญในการแก้ไขปัญหาดังกล่าวในพื้นที่ทรัพยากรป่าและป่าชุมชนเช่นกรณีตัวอย่าง“ทีมปรับป่าโดย มูลนิธิแม่ฟ้าหลวง ได้ริเริ่ม โครงการศึกษาความหลากหลาย ขึ้นเพื่อติดตามความสมบูรณ์ของป่าอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2547 – ปัจจุบัน โดยการเก็บข้อมูลและสำรวจพื้นที่ป่าดอยตุงอย่างต่อเนื่องมาเป็นระยะ อยู่ระหว่างดำเนินการโดยมีทีมทำงานเก็บข้อมูลที่เรียกว่า 'ทีมปรับป่า' ที่ร่วมกับผู้เชี่ยวชาญ และชุมชนร่วมกันทำงานได้ช่วยต่อยอดภูมิปัญญาของคนบนดอยตุงในการอยู่ร่วมกับผืนป่าอย่างยั่งยืนซึ่งเป็นหนึ่งในโมเดลตัวอย่าง

ประเทศไทยเป็นประเทศหนึ่งที่มีความหลากหลายทางชีวภาพสูงของโลก แต่ก็ยังมีภัยคุกคามต่อความหลากหลายทางชีวภาพ ที่เกิดจากมนุษย์และภัยธรรมชาติในหลายพื้นที่ ไบโอเครดิตจึงเป็นทางเลือกที่น่าสนใจ เพื่อประโยชน์ในการปกป้องและฟื้นฟูทรัพยากรความหลากหลายทางชีวภาพของประเทศไทยให้คงอยู่เป็นมรดกของลูกหลาน

กล่าวโดยสรุป คือ ปัญหาโลกร้อนจากก๊าซเรือนกระจกและปัญหาการสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพเป็นปัญหาความยั่งยืนของโลกแต่ขณะเดียวกันก็เป็นปัญหาทางเศรษฐกิจการค้าระหว่างประเทศโดยมีการกำหนดภาษีคาร์บอนเช่นภาษีระบบCBAMของสหภาพยุโรปที่จะส่งผลกระทบต่อการส่งออกของประเทศไทยและอีกไม่นานก็จะมีมาตรการทางด้านความหลากหลายทางชีวภาพเช่นเดียวกับภาษีคาร์บอน 
ดังนั้นคาร์บอน เครดิตและไบโอเครดิต จึงเป็นภารกิจที่ท้าทายต่ออนาคตความยั่งยืนของสิ่งแวดล้อมและเศรษฐกิจของประเทศไทยภายใต้บทบาทและความรับผิดชอบของกรมป่าไม้ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมซึ่งขอชื่นชมกรมป่าไม้ที่ได้พัฒนาบุคคลากรให้เกิดความรู้และทักษะในเรื่องคาร์บอน เครดิตและไบโอ เครดิต เป็นประโยชน์ต่อการลดคาร์บอนและเพิ่มความสมบูรณ์ของความหลากหลายทางชีวภาพมาอย่างต่อเนื่อง

คณะพาณิชย์ฯ มธ. ร่วมแสดงความยินดี ‘อานันท์ ปันยารชุน’ หลังเข้ารับพระราชทานปริญญาบัญชีดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์

คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี ม.ธรรมศาสตร์ ร่วมแสดงความยินดีแด่ ฯพณฯ อานันท์ ปันยารชุน   

ประกาศเกียรติ เชิดชู ผู้นำร่อง 
ประกาศก้อง คุณธรรม ย้ำโปร่งใส
ประกาศกล้า นายกฯ ประเทศไทย
เกียรติก้าวไกล สมัยสง่า พานิรันดร์

อันธรรมา ภิบาล ท่านวางหลัก
ให้แน่นหนัก ดั่งรากฐาน ท่านสร้างสรรค์
สดุดี ผู้สัตย์ซื่อ ชื่อ…อานันท์
เกียรติภูมิ ยึดมั่น สำคัญนาม
ประพันธ์โดย รศ.ดร.ศรายุทธ เรืองสุวรรณ รองคณบดีฝ่ายยุทธศาสตร์และการคลัง

คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ จัดงานเลี้ยงแสดงความยินดีแด่ ฯพณฯ อานันท์ ปันยารชุน ในโอกาสเข้ารับพระราชทานปริญญาบัญชีดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ ประจำปีการศึกษา 2566 เมื่อวันที่ 4 มีนาคม 2568 ณ InterContinental Bangkok (ราชประสงค์)

เพื่อเป็นเกียรติแด่ผู้นำที่ยึดมั่นในหลักธรรมาภิบาล และเป็นแบบอย่างของความซื่อสัตย์ โปร่งใส และความมุ่งมั่นในการพัฒนาประเทศไทย


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top