Friday, 16 May 2025
NewsFeed

‘Overtourism’ นักท่องเที่ยวล้นเมืองส่อวิกฤต เหตุทำลายวิถีชีวิตคนท้องถิ่น - แย่งชิงทรัพยากร

(8 มี.ค. 68) แม้ว่า การท่องเที่ยวจะเป็นเครื่องมือสำคัญในการกระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจ ส่งเสริมการแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรม และสนับสนุนความพยายามในการอนุรักษ์ที่ปกป้องสถานที่ที่น่าทึ่งที่สุดในโลก อย่างไรก็ตาม เมื่อการพัฒนาด้านการท่องเที่ยวได้รับการจัดการที่ไม่ดี การเติบโตที่ไม่ได้รับการควบคุมอาจครอบงำจุดหมายปลายทาง และส่งผลกระทบเชิงลบต่อสิ่งแวดล้อม ชุมชนในท้องถิ่น และประสบการณ์ของผู้เยี่ยมชม ปัญหานี้ซึ่งเรียกว่าการท่องเที่ยวมากเกินไป เป็นความท้าทายเร่งด่วนสำหรับจุดหมายปลายทางยอดนิยมหลายแห่งของโลก

ภาวะนักท่องเที่ยว (Over tourism) ล้นเมืองเกิดขึ้นเมื่อมีนักท่องเที่ยวจำนวนมากเกินไปหลั่งไหลไปยังเมืองจุดหมายปลายทาง จนเกินความสามารถในการจัดการอย่างยั่งยืนของเมืองซึ่งเป็นจุดหมายปลายทาง และนำไปสู่ผลกระทบเชิงลบ เช่น นักท่องเที่ยวแออัด สิ่งแวดล้อมเสื่อมโทรม โครงสร้างพื้นฐานตึงเครียด คุณภาพชีวิตของผู้อยู่อาศัยลดลง และทำให้ประสบการณ์ดี ๆ ของผู้มาเยือนลดลง แต่จำนวนนักท่องเที่ยวที่มากเกินไปนั้นมีอยู่เท่าไร คำตอบนั้นไม่ชัดเจนนัก เนื่องจากแต่ละสถานที่มีเกณฑ์ที่แตกต่างกัน ความสามารถในการรองรับนักท่องเที่ยวของจุดหมายปลายทางนั้นขึ้นอยู่กับปัจจัยต่าง ๆ  เช่น โครงสร้างพื้นฐาน ความพร้อมของทรัพยากรธรรมชาติ ความสามารถในการฟื้นตัวของสิ่งแวดล้อม พื้นที่ทางกายภาพ และการรับรู้ของชุมชน จุดเปลี่ยนเกิดขึ้นเมื่อผลกระทบเชิงลบของการท่องเที่ยวมีมากกว่าประโยชน์ที่ได้รับ ซึ่งบ่งชี้ถึงความจำเป็นในการมีกลยุทธ์การจัดการที่ดีกว่า

การวางแผนเชิงกลยุทธ์และการจัดการเชิงรุกเป็นสิ่งจำเป็นในการป้องกันปริมาณนักท่องเที่ยวมากจนเกินไป จุดหมายปลายทางที่ยั่งยืนต้องสร้างสมดุลระหว่างการเติบโตทางเศรษฐกิจกับการจัดการทรัพยากร การอนุรักษ์ ความเพลิดเพลินของนักท่องเที่ยว และความพึงพอใจของผู้อยู่อาศัย ผ่านการศึกษาขีดความสามารถในการ รองรับ และการสำรวจผู้อยู่อาศัยเราช่วยให้จุดหมายปลายทางต่างๆ ติดตามผลกระทบของการท่องเที่ยวและทำความเข้าใจถึงผลที่ตามมาของการเติบโต เพื่อแจ้งนโยบายและริเริ่มต่าง ๆ ปัญหานักท่องเที่ยวมากจนเกินไปได้รับความสนใจทั่วโลกในปี 2016 เมื่อ Skift เผยแพร่บทความเรื่อง “การสำรวจอันตรายที่กำลังจะมาถึงของการท่องเที่ยวมากเกินไป” ซึ่งกล่าวถึงอันตรายจากการท่องเที่ยวมากเกินไปในจุดหมายปลายทางยอดนิยม ในช่วงหลายปีต่อมา คำว่า "การท่องเที่ยวมากเกินไป" ปรากฏอยู่ในพาดหัวข่าวสื่อต่างๆ มากมายทั่วโลก เนื่องจากการท่องเที่ยวระหว่างประเทศเติบโตอย่างรวดเร็วและทวีคูณ โดยเพิ่มขึ้นมากกว่าสองเท่าระหว่างปี 2000 ถึง 2019  ความจำเป็นในการจัดการการเติบโตนี้อย่างมีความรับผิดชอบมากขึ้นจึงไม่สามารถละเลยได้

ในขณะที่ดูเหมือนว่า ปริมาณนักท่องเที่ยวกำลังจะเกินการควบคุม อุตสาหกรรมนี้กลับต้องประสบกับภาวะตกต่ำที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนอันเนื่องจากการระบาดของ COVID-19 การฟื้นตัวของอุตสาหกรรมนี้เป็นโอกาสในการคิดทบทวนรูปแบบการท่องเที่ยวแบบดั้งเดิม อย่างไรก็ตาม เมื่อข้อจำกัดในการเดินทางถูกยกเลิก ผู้คนต่างก็อยากออกไปข้างนอก และการท่องเที่ยวก็ฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว ภายในสิ้นปี 2024 มีจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่มาเยือนจนเกินระดับก่อนเกิดโรคระบาด น่าเสียดายที่ปัญหาที่เกี่ยวข้องกับนักท่องเที่ยวมากจนเกินไปได้กลับมาเกิดขึ้นอีกครั้ง ซึ่งเน้นย้ำถึงความจำเป็นเร่งด่วนในการจัดการจำนวนผู้เยี่ยมชมและปกป้องความสมบูรณ์ของจุดหมายปลายทางยอดนิยม จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางมาในจุดหมายปลายทางยอดนิยมเติบโตอย่างรวดเร็ว ประเทศต่าง ๆ เช่น ไทย เซเชลส์ และกรีก มีนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นอย่างมาก โดยจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเพิ่มขึ้นมากกว่าสองเท่าในช่วงทศวรรษก่อนเกิด COVID-19 จุดหมายปลายทางยอดนิยมบางแห่ง เช่น สาธารณรัฐโดมินิกัน มีนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นแซงหน้าจำนวนนักท่องเที่ยวก่อนเกิด COVID-19 ไปแล้ว 

ผลกระทบเชิงลบจากปริมาณนักท่องเที่ยวมากจนเกินไป

- ความแออัดและความแออัดยัดเยียดอย่างรุนแรง จนส่งผลให้ประสบการณ์ที่ดีของนักท่องเที่ยวและผู้อยู่อาศัยลดน้อยลง ถนนหนทางอาจติดขัด นักท่องเที่ยวต้องยืนรอคิวยาวเพื่อเข้าชมสถานที่ท่องเที่ยวต่าง ๆ และเป็นไปไม่ได้เลยที่จะถ่ายภาพสถานที่ที่มีชื่อเสียงโดยไม่มีนักท่องเที่ยวเป็นฉากหลัง
- การชำรุดเสื่อมโทรมของแหล่งท่องเที่ยว เนื่องจากเต็มไปด้วยนักท่องเที่ยว โครงสร้างพื้นฐานและสถานที่ทางธรรมชาติและวัฒนธรรมจึงชำรุดเสื่อมโทรมเร็วขึ้น การใช้ถนน เส้นทาง และสิ่งอำนวยความสะดวกสาธารณะอย่างต่อเนื่องอาจทำให้สถานที่เสื่อมโทรมอย่างรวดเร็วหากไม่ได้รับการบำรุงรักษาตามปกติ
- ความไม่พอใจของชุมชน แม้ว่าความแออัดและความเสียหายทางกายภาพอาจเป็นอาการที่เห็นได้ชัดที่สุดของการท่องเที่ยวมากเกินไป แต่ก็ไม่ใช่ผลกระทบเชิงลบเพียงอย่างเดียว การท่องเที่ยวมีศักยภาพอย่างมากในการปรับปรุงคุณภาพชีวิตของคนในท้องถิ่นและขับเคลื่อนการพัฒนาเศรษฐกิจ แต่การเติบโตที่ไม่ได้รับการควบคุมอาจส่งผลในทางตรงกันข้าม การหลั่งไหลเข้ามาของนักท่องเที่ยวอาจทำให้ค่าครองชีพสูงขึ้น ทำให้ยากต่อการหาที่อยู่อาศัยราคาไม่แพง และทำให้ผู้อยู่อาศัยต้องอพยพ แม้จะมีรายได้จำนวนมากจากการท่องเที่ยว แต่คนในท้องถิ่นหลายคนรู้สึกว่าถูกละเลยจากเศรษฐกิจนักท่องเที่ยวที่กำลังเฟื่องฟู ทำให้ต้องทำงานที่มีค่าจ้างต่ำในขณะที่กำไรส่วนใหญ่เป็นประโยชน์ต่อนักลงทุนภายนอกและบริษัทขนาดใหญ่ ความแตกต่างนี้ก่อให้เกิดความขุ่นเคืองในหมู่ผู้อยู่อาศัย และเพิ่มความตึงเครียดทางสังคมเนื่องจากพวกเขารู้สึกว่าการท่องเที่ยวทำให้คุณภาพชีวิตของพวกเขาแย่ลง พฤติกรรมของนักท่องเที่ยวอาจทำให้สถานการณ์เลวร้ายลงได้หากไม่เคารพประเพณีท้องถิ่น ทำลายสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ หรือรบกวนวิถีชีวิตของคนในท้องถิ่น 

- การแย่งชิงทรัพยากร เมื่อจำนวนนักท่องเที่ยวเพิ่มมากขึ้น ความต้องการน้ำ การจัดการขยะ และพลังงานอาจสูงเกินกว่าทรัพยากรที่มีอยู่ ซึ่งอาจนำไปสู่ปัญหาขาดแคลน ราคาที่สูงขึ้น และความต้องการที่แข่งขันกันสูง ซึ่งทำให้ชุมชนท้องถิ่นไม่พอใจมากขึ้น 
- ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและความเสื่อมโทรมของระบบนิเวศ เมื่อจุดหมายปลายทางได้รับความนิยมมากขึ้น ระบบนิเวศทางธรรมชาติก็ถูกปรับเปลี่ยนให้รองรับรีสอร์ท ท่าจอดเรือ และโครงสร้างพื้นฐานด้านการท่องเที่ยวอื่น ๆ การพัฒนาด้านการท่องเที่ยวอาจทำลายแหล่งที่อยู่อาศัยที่สำคัญของสัตว์ป่า เช่น ป่าชายเลนและ ชายหาดที่วางไข่ ของเต่าทะเลได้ หากไม่ได้รับการควบคุมอย่างเหมาะสม หากไม่มีระบบบำบัดน้ำเสียและบำบัดน้ำที่เหมาะสม รวมถึงการผลิตพลังงานอย่างยั่งยืน การพัฒนาเหล่านี้อาจสร้างความเสียหายต่อสิ่งแวดล้อมเมื่อดำเนินการแล้ว 

การขาดการวางแผนและกฎระเบียบที่เหมาะสมอาจทำให้จุดหมายปลายทางต่างๆ ต้อนรับนักท่องเที่ยวมากเกินกว่าที่จะรองรับได้ ส่งผลให้เกิดผลกระทบที่เป็นปัญหาดังที่กล่าวไว้ข้างต้น เช่น ระบบการจัดการขยะที่ล้นเกิน ถนนที่ติดขัด และคนในท้องถิ่นไม่ได้รับผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจจากการท่องเที่ยว เพื่อต่อสู้กับปัญหาการท่องเที่ยวล้นเกิน จุดหมายปลายทางต่างๆ จะต้องดำเนินการตามแผนการจัดการการท่องเที่ยวที่ครอบคลุมซึ่งสร้างสมดุลระหว่างผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจกับความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อม ประสบการณ์ของผู้เยี่ยมชม และความเป็นอยู่ที่ดีของชุมชน จุดหมายปลายทางที่เป็นแหล่งท่องเที่ยวยอดนิยมหลายแห่งกำลังดำเนินการตามมาตรการต่าง ๆ เพื่อจัดการจำนวนนักท่องเที่ยวและบรรเทาผลกระทบจากภาวะนักท่องเที่ยวล้นเมือง มาตรการที่ใช้ทั่วโลกเพื่อรับมือกับปัญหาการท่องเที่ยวมากเกินไป
การถกเถียงเกี่ยวกับปัญหาการท่องเที่ยวมากเกินไปกำลังทวีความรุนแรงมากขึ้นกว่าเดิม เนื่องจากนักท่องเที่ยวแห่ไปยังเมืองยอดนิยมเกินขีดความสามารถของตน

เมืองเวนิสของอิตาลี ซึ่งเป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในโลก เริ่มเก็บค่าธรรมเนียมเข้าชม 5 ยูโรสำหรับนักท่องเที่ยวแบบไปเช้าเย็นกลับ เริ่มตั้งแต่วันที่ 25 เมษายน 2024 เป็นต้นไป แม้ว่าค่าธรรมเนียมจะเรียกเก็บเฉพาะ 29 วันที่มีนักท่องเที่ยวหนาแน่นที่สุดระหว่างเดือนเมษายนถึงกรกฎาคม 2024 แต่รัฐบาลอิตาลีอาจขึ้นค่าธรรมเนียมเป็น 10 ยูโร ในการควบคุมจำนวนนักท่องเที่ยวขาเข้า กรุงอัมสเตอร์ดัม เมืองหลวงของเนเธอร์แลนด์ได้ประกาศเมื่อวันที่ 26 มิถุนายน 2024 ว่ามีแผนจะเริ่มลดจำนวนเรือที่สามารถแวะจอดที่ท่าเรือหลักในช่วงไม่กี่ปีข้างหน้า ซึ่งเป็นการเคลื่อนไหวเพื่อป้องกันการท่องเที่ยวจำนวนมากที่เกิดจากเรือสำราญ เทศบาลกรุงอัมสเตอร์ดัมได้ประกาศไปแล้วเมื่อเดือนเมษายนว่า ได้ตัดสินใจห้ามการก่อสร้างอาคารโรงแรมใหม่ในเมืองเพื่อจำกัดจำนวนการพักค้างคืนต่อปีให้อยู่ที่ 20 ล้านการเข้าพัก เมืองนี้รองรับการพักค้างคืน 20,665,000 ครั้งในปี 2023 ในทำนองเดียวกัน แหล่งท่องเที่ยวยอดนิยมของสเปนอย่างนครบาร์เซโลนาได้ประกาศเมื่อวันที่ 21 มิถุนายน 2024 ว่าตั้งใจจะห้ามการเช่าระยะสั้นสำหรับนักท่องเที่ยวทั้งหมด เนื่องจากต้องการควบคุมต้นทุนที่อยู่อาศัยที่พุ่งสูงขึ้น และมอบทางเลือกที่อยู่อาศัยราคาไม่แพงให้กับคนในท้องถิ่นอีกครั้ง นครบาร์เซโลนาวางแผนที่จะหยุดออกใบอนุญาตการเช่าระยะสั้นใหม่ โดยอพาร์ตเมนต์วันหยุดทั้งหมด 10,101 แห่งที่ลงทะเบียนกับเมืองในปัจจุบันจะถูกสั่งห้ามภายในเดือนพฤศจิกายน 2028 ปัจจุบัน อุทยานแห่งชาติในสหรัฐอเมริกากำหนดให้ผู้เยี่ยมชมต้องทำการจองเข้าชมล่วงหน้าเพื่อควบคุมจำนวนผู้เข้าชมในแต่ละวัน และป้องกันไม่ให้มีผู้คนหนาแน่นเกินไป ในกรณีส่วนใหญ่ จำเป็นต้องทำการจองเฉพาะในช่วงฤดูท่องเที่ยวสูงสุดเท่านั้น ในปี 2024 อุทยานแห่งชาติโยเซมิตีได้นำนโยบายการจองมาใช้อีกครั้ง ซึ่งครั้งหนึ่งเคยถูกยกเลิกเนื่องจากการคัดค้านจากธุรกิจและผู้มีส่วนได้ส่วนเสียอื่น ๆ ในพื้นที่

ในเอเชีย ประเทศไทยตัดสินใจถอนแผนที่ก่อให้เกิดข้อโต้แย้งอย่างมากในการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมการท่องเที่ยว 300 บาท (ประมาณ 8.2 ดอลลาร์สหรัฐ) จากนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้าประเทศทางอากาศ โดยรัฐบาลไทยได้ชี้แจงในเบื้องต้นว่า จุดประสงค์ของค่าธรรมเนียมดังกล่าวก็เพื่อช่วยให้แน่ใจว่า จะทำให้ได้นักท่องเที่ยวเชิงคุณภาพมากขึ้น โดยจะไม่ส่งผลกระทบต่อผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในท้องถิ่น อย่างไรก็ตาม ข้อเสนอดังกล่าวถูกยกเลิกไปหลังจากได้รับการวิพากษ์วิจารณ์จากธุรกิจเอกชนที่เกี่ยวข้อง ในญี่ปุ่น รัฐบาลญี่ปุ่นกำลังพิจารณาปรับขึ้นภาษีนักท่องเที่ยวระหว่างประเทศจาก 1,000 เยน (7 ดอลลาร์สหรัฐ) ในปัจจุบันเป็น 3,000 หรือ 5,000 เยน (20 ดอลลาร์สหรัฐ/35 ดอลลาร์สหรัฐ) เพื่อแก้ไขปัญหาการท่องเที่ยวมากเกินไป อีกทั้งมีการพูดคุยหารือกันมากมายเกี่ยวกับการจัดเก็บภาษีที่พักในแหล่งท่องเที่ยว และเทศบาลบางแห่งกำลังหารือถึงการนำระบบการคิดราคาแบบ 2 ระดับมาใช้ 

ซึ่งจะมีการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมจากนักท่องเที่ยวต่างชาติในอัตราที่สูงขึ้น เมื่อไม่นานมานี้ ปราสาทฮิเมจิซึ่งเป็นมรดกโลกของยูเนสโกในเมืองฮิเมจิ จังหวัดเฮียวโงะ ได้รับความสนใจจากสาธารณชนเป็นอย่างมาก เมื่อนายกเทศมนตรีเมืองฮิเมจิเสนอแผนนำระบบการคิดราคาแบบ 2 ระดับมาใช้สำหรับผู้เยี่ยมชมปราสาท ในระหว่างการประชุมนานาชาติที่จัดขึ้นในเมือง ภายใต้ระบบที่เสนอนี้ ค่าธรรมเนียมเข้าชมจะขึ้นจาก 1,000 เยน (ประมาณ 6 เหรียญสหรัฐ) เป็นประมาณ 30 เหรียญสหรัฐสำหรับผู้เยี่ยมชมจากนอกเมือง ในขณะที่พลเมืองฮิเมจิจะลดลงเล็กน้อยเป็น 5 เหรียญสหรัฐ แม้จะมีข้อโต้แย้ง แต่การเรียกเก็บเงินจากชาวต่างชาติมากกว่าผู้อยู่อาศัยในท้องถิ่นนั้นไม่ใช่เรื่องแปลกในส่วนอื่น ๆ ของโลก 

ตัวอย่างเช่น ที่ทัชมาฮาลของอินเดียและนครวัดของกัมพูชา นักท่องเที่ยวต่างชาติต้องจ่ายค่าเข้าชมในราคาที่สูงขึ้นอยู่แล้ว ปัญหาจำนวนนักท่องเที่ยวมากจนเกินไปสามารถสร้างความเสียหายให้กับประเทศไทยได้เช่นกัน ซึ่งจะเป็นความเสียหายที่เกิดขึ้นในระดับเดียวกับคนไทยเท่านั้นที่สามารถอดทนกับคำว่า ‘ไม่เป็นไร’ เช่นปัญหาที่ยากจนเกือบจะเกินแก้ไข ดังเช่นกรณี ‘ปาย’ ซึ่งรัฐบาลไทยโดยกระทรวงท่องเที่ยวและกีฬาต้องเริ่มศึกษาข้อเท็จจริงและสรุปเป็นแนวทางในการกำหนดมาตรการป้องกันซึ่งจะดีกว่าการรอเพื่อปล่อยให้สถานการณ์คลี่คลายไปเองเช่นทุกวันนี้

‘หวัง อี้’ ตอกกลับสหรัฐฯ เรื่องภาษี-นโยบายกดดัน คิดให้ดีก่อนใช้โทสะตอบแทนไมตรี

(7 มี.ค. 68) สำนักข่าวซินหัว รายงานว่า หวัง อี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของจีน แถลงข่าวนอกรอบการประชุมครั้งที่ 3 ของสภาผู้แทนประชาชนแห่งชาติ (NPC) ชุดที่ 14 เกี่ยวกับกรณีสหรัฐฯ กำหนดการจัดเก็บภาษีศุลกากรเพิ่มเติมกับสินค้าจีน โดยใช้ประเด็นเฟนทานิลเป็นข้ออ้าง

ก่อนหน้านี้ สหรัฐอเมริกาได้ประกาศกำหนดการจัดเก็บภาษีศุลกากรเพิ่มเติมกับสินค้าจีนหลายรายการ โดยอ้างว่าการดำเนินการดังกล่าวเป็นมาตรการเพื่อจัดการกับปัญหาการแพร่ระบาดของยาเฟนทานิล (Fentanyl) ในประเทศ

เจ้าหน้าที่สหรัฐฯ ระบุว่าการนำเข้าวัตถุดิบจากจีนที่ใช้ในการผลิตยาเฟนทานิลมีส่วนเกี่ยวข้องกับการเพิ่มขึ้นของปัญหายาเสพติดในประเทศ ดังนั้นการจัดเก็บภาษีเพิ่มเติมจึงถูกมองว่าเป็นวิธีหนึ่งในการลดปริมาณการนำเข้าและควบคุมการแพร่ระบาดของยาเสพติดดังกล่าว

อย่างไรก็ตาม มาตรการดังกล่าวได้รับการวิพากษ์วิจารณ์จากรัฐบาลจีน ซึ่งมองว่าการใช้ภาษีเป็นเครื่องมือทางการค้าผ่านประเด็นยาเสพติดอาจไม่เป็นธรรม จีนเรียกร้องให้สหรัฐฯ ทบทวนมาตรการดังกล่าวและหันมาใช้วิธีการที่สร้างสรรค์และร่วมมือกันในการแก้ไขปัญหายาเสพติด

หวัง อี้ เน้นย้ำว่าสหรัฐฯ ควรพิจารณาการกระทำของตนเองและหลีกเลี่ยงการใช้มาตรการที่ไม่เป็นธรรม ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ เขายังเรียกร้องให้สหรัฐฯ แสดงความเคารพต่อความร่วมมือ และความพยายามของจีนในการแก้ไขปัญหายาเสพติด

การแถลงครั้งนี้เกิดขึ้นหลังจากที่สหรัฐฯ ประกาศแผนการจัดเก็บภาษีศุลกากรเพิ่มเติมกับสินค้า ซึ่งจีนได้แสดงความไม่พอใจและคัดค้านอย่างหนักแน่นต่อคำขู่ดังกล่าว โดยย้ำว่าสหรัฐฯ ไม่ควรใช้ประเด็นนี้เป็นข้ออ้างในการกีดกันทางการค้า

ทั้งนี้ หวัง อี้ สรุปว่าความร่วมมือและความเข้าใจระหว่างประเทศเป็นสิ่งสำคัญในการแก้ไขปัญหาระดับโลก และการตอบสนองด้วยมาตรการที่ไม่เป็นธรรมจะไม่เป็นประโยชน์ต่อฝ่ายใด

นายอำเภออินโดนีเซีย ลั่นขอบริจาคเงินเดือนทั้งหมดช่วยผู้ยากไร้ เพื่อสร้างแรงบันดาลใจและก้าวสู่การเปลี่ยนแปลงของสังคม

(7 มี.ค.68) ฟาห์มี มูฮัมหมัด ฮานิฟ (Fahmi Muhammad Hanif) นายอำเภอเมืองปูร์บาลิงงา ซึ่งเป็นเมืองที่ตั้งอยู่ในจังหวัดจาการ์ตา ของประเทศอินโดนีเซีย ออกมาประกาศอย่างเป็นทางการว่าจะบริจาคเงินเดือนทั้งหมดของตนเองให้กับผู้ยากไร้ และองค์กรการกุศลที่ช่วยเหลือผู้ด้อยโอกาสในสังคม

โดยในการประกาศที่เผยแพร่ผ่านสื่อสังคมออนไลน์ของฟาห์มี ระบุว่า “การช่วยเหลือสังคมและแบ่งปันสิ่งที่เรามีเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในชีวิต” เขาเชื่อว่าเงินเดือนที่ได้รับในแต่ละเดือนนั้นสามารถนำไปช่วยเหลือคนที่เดือดร้อน และต้องการความช่วยเหลือมากกว่าแค่การเก็บสะสมไว้เป็นของตัวเอง

การบริจาคเงินเดือนทั้งหมดนี้จะช่วยสนับสนุนโครงการต่างๆ ที่มีเป้าหมายในการลดช่องว่างทางเศรษฐกิจ และยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้ที่อยู่ในสภาพยากจน โดยเขามุ่งหวังที่จะสร้างแรงบันดาลใจให้กับผู้อื่นในการร่วมแบ่งปันพร้อมเข้ามาช่วยเหลือสังคม

ฟาห์มียังเสริมว่า “การเป็นส่วนหนึ่งของการเปลี่ยนแปลงในสังคม คือการมีส่วนร่วมในการแก้ปัญหาสังคมอย่างจริงจัง” โดยเขาได้กำหนดให้โครงการการกุศลนี้เป็นส่วนหนึ่งของเป้าหมายในการสร้างความเปลี่ยนแปลงที่ยั่งยืนในชุมชนและประเทศ

ทั้งนี้ บริจาคเงินเดือนทั้งหมดของฟาห์มี มูฮัมหมัด ฮานิฟ ได้รับความชื่นชมเป็นอย่างมาก ทั้งจากสาธารณชนและคนในวงการต่างๆ ซึ่งมองว่าเป็นตัวอย่างที่ดีของผู้นำที่ใส่ใจต่อความยากจนและสังคม

‘เอกนัฏ’ เยือนจีน ปูทางอุตสาหกรรมไทยเติบโต ชูแนวทางยกระดับไทย-จีน เพื่อความยั่งยืนในอนาคต

(7 มี.ค. 68) นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม และ นายอัครเดช วงษ์พิทักษ์โรจน์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดราชบุรี เขต 4 พรรครวมไทยสร้างชาติ พร้อมคณะ ได้เดินทางเยือนสาธารณรัฐประชาชนจีนระหว่างวันที่ 4-7 มีนาคม 2568 ที่ผ่านมา เพื่อยกระดับความร่วมมือทางการค้าการลงทุนระหว่างไทยและจีน โดยเฉพาะในด้านอุตสาหกรรมใหม่และเทคโนโลยีที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว

การเยือนในครั้งนี้ได้มีการหารือกับ รองผู้ว่าการมณฑลอานฮุย เพื่อขยายความร่วมมือในโครงการ Two Country, Twin Parks ซึ่งเป็นการพัฒนานิคมอุตสาหกรรมร่วมระหว่างมณฑลอานฮุยของจีนและประเทศไทย เพื่อส่งเสริมการลงทุนจากจีนในประเทศไทย โดยมุ่งเน้นไปที่การพัฒนาอุตสาหกรรมใหม่ เช่น พลังงานสะอาด (Clean Energy), เทคโนโลยี AI และอุตสาหกรรมดิจิทัลใหม่ๆ ที่จะช่วยส่งเสริมการเติบโตอย่างยั่งยืนในอนาคต

นอกจากนี้ คณะจากกระทรวงอุตสาหกรรมยังได้มีการหารือกับผู้บริหารระดับสูงของ บริษัท GAC Aion, Huawei และ BYD บริษัทชั้นนำของจีนที่มีความเชี่ยวชาญในด้านยานยนต์ไฟฟ้า, อุปกรณ์เทคโนโลยี และพลังงานสะอาด โดยในระหว่างการพบปะกัน ผู้บริหารของทั้งสามบริษัทได้แสดงความสนใจที่จะเพิ่มการลงทุนในประเทศไทย รวมทั้งเสนอแผนพัฒนาทักษะแรงงานไทยให้พร้อมรองรับอุตสาหกรรมใหม่ๆ เช่น ยานยนต์ไฟฟ้าและพลังงานสะอาด

นายอัครเดช กล่าวว่า “การหารือในครั้งนี้ได้รับการต้อนรับจากบริษัทชั้นนำของจีนอย่างดีเยี่ยม ซึ่งจะช่วยผลักดันให้ประเทศไทยสามารถเปลี่ยนผ่านสู่อุตสาหกรรมใหม่ได้อย่างยั่งยืน ไม่ว่าจะเป็นเทคโนโลยี AI หรืออุตสาหกรรมสะอาด ซึ่งจะสร้างโอกาสใหม่ให้กับประเทศและภาคธุรกิจไทยในอนาคต”

สำหรับการเยือนจีนในครั้งนี้ถือเป็นก้าวสำคัญในการพัฒนา และยกระดับความร่วมมือทางอุตสาหกรรมระหว่างประเทศไทยกับจีน ซึ่งจะช่วยเปิดโอกาสให้ธุรกิจไทยเติบโตในอุตสาหกรรมที่มีศักยภาพสูงและรองรับความท้าทายของยุคดิจิทัลได้อย่างยั่งยืน

รอง ผบ.ตร.แถลงผลการจับกุมผู้ต้องหา 2 ราย ซุกซ่อนบุหรี่ไฟฟ้า 35,600 ชิ้น พร้อมอุปกรณ์ที่ใช้ในการเปิดร้านจำหน่ายบุหรี่ไฟฟ้า ภายในบ้านพัก

(7 มี.ค.68) เวลา 09.00 น. พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) มอบหมายให้ พล.ต.อ.ประจวบ วงศ์สุข รอง ผบ.ตร. ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ผอ.ศปปง.ตร.) เป็นประธานแถลงผลการตรวจค้นจับกุมแหล่งซุกซ่อนบุหรี่ไฟฟ้ารายใหญ่ โดยมี พล.ต.ท.อัคราเดช พิมลศรี ผู้ช่วย ผบ.ตร. , พล.ต.ต.นพศิลป์ พูลสวัสดิ์ รอง ผบช.น. , พล.ต.ต.กิตนิ์ธเนศ ธนนันท์ทวีสิน ผบก.ภ.จว.นนทบุรี ,พล.ต.ต.โชติวัฒน์ เหลืองวิลัย ผบก.สส.บช.น. , พล.ต.ต.พัฒนศักดิ์ บุบผาสุวรรณ ผบก.ปคบ. , พล.ต.ต.สรัลพัฒน์ ยศสมบัติ ผบก.กต.2 และผู้เกี่ยวข้องร่วมแถลง ณ บ้านพักในหมู่บ้านแห่งหนึ่ง ต.ไทรม้า อ.เมือง จ.นนทบุรี

ทั้งนี้ ช่วงประมาณต้นเดือนมีนาคม 2568 ได้มีพลเมืองดีเข้ามาให้ข้อมูลแก่เจ้าหน้าที่ตำรวจ ว่ามีการขนย้ายบุหรี่ ไฟฟ้าจำนวนมากออกจากร้านที่ลักลอบจำหน่ายบุหรี่ไฟฟ้า บริเวณพื้นที่กรุงเทพมหานครและพื้นที่ข้างเคียง เจ้าหน้าที่ตำรวจเชื่อว่าเป็นการขนออกเพื่อหลบเลี่ยงการถูกตรวจค้นจับกุม ในช่วงที่มีความเข้มข้นในการระดมกวาดล้างการกระทำความผิดเกี่ยวกับบุหรี่ไฟฟ้า จึงได้ทำการสืบสวนติดตามเรื่อยมา จนกระทั่งทราบว่ามีการขนบุหรี่ไฟฟ้านำมาเก็บซุกซ่อนไว้ในบ้านพักในหมู่บ้านแห่งหนึ่ง ต.ไทรม้า อ.เมือง จ.นนทบุรี ซึ่งพบว่าบ้านหลังดังกล่าวมีการใช้สิ่งของปกปิดอำพรางรั้วไว้อย่างมิดชิด จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจ กองบังคับการสืบสวนสอบสวน กองบัญชาการตำรวจนครบาล ได้รวบรวมพยานหลักฐานเพื่อขอหมายค้นต่อศาลจังหวัดนนทบุรี และศาลได้อนุมัติหมายค้น 

ล่าสุดวันนี้ (7 มีนาคม 2568) เจ้าหน้าที่ตำรวจได้สนธิกำลังกันเข้าทำการตรวจค้นบ้านหลังดังกล่าว ผลการตรวจค้นพบของกลางเป็นบุหรี่ไฟฟ้าจำนวนหลายยี่ห้อคละกัน ประมาณ 35,600 ชิ้น รวมมูลค่ากว่า 1 ล้านบาท และยังตรวจพบอุปกรณ์ที่ใช้ในการเปิดร้านจำหน่ายบุหรี่ไฟฟ้าอีกจำนวนหนึ่ง การปฏิบัติการในครั้งนี้ เจ้าหน้าที่ตำรวจได้จับกุมผู้ต้องหา 2 ราย แจ้งข้อหา “ฝ่าฝืนคำสั่งคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค ขายสินค้าที่คณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคสั่งห้ามขาย (บุหรี่ไฟฟ้าและน้ำยาสำหรับเติมบุหรี่ไฟฟ้า)” ตามคำสั่งคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค ที่ 9/2558 และ “ซ่อนเร้น ช่วยจำหน่าย ช่วยพาเอาไปเสีย ซื้อ รับจำนำ หรือรับไว้โดยประการใดซึ่งของอันตนพึงรู้ว่าเป็นสิ่งต้องห้ามนำเข้าในราชอาณาจักร” ตามมาตรา 256 พ.ร.บ.ศุลกากร พ.ศ.2560 

เบื้องต้นหนึ่งในผู้ต้องหาให้การว่าเป็นเจ้าของร้านจำหน่ายบุหรี่ไฟฟ้าแห่งหนึ่งในกรุงเทพมหานคร และรับคำสั่งมาจากผู้สั่งการให้ทำการเก็บรักษาบุหรี่ไฟฟ้าของกลางไว้ จากนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดจับกุมจะได้มีการขยายผลอย่างต่อเนื่องไปสู่การจับกุมผู้ร่วมขบวนการรายอื่นมารับโทษตามกฎหมายต่อไป

พล.ต.อ.ประจวบฯ กล่าวว่า ภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาดของบุหรี่ไฟฟ้าในปัจจุบัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มเด็ก เยาวชน นักเรียน นักศึกษา พื้นที่ใกล้โรงเรียนหรือสถานศึกษา รวมถึงสถานบริการ สถานประกอบการ และพื้นที่สาธารณะในหลายพื้นที่ ส่งผลกระทบต่อสุขภาพร่างกายของผู้ใช้บุหรี่ไฟฟ้าเอง หรือผู้อื่น สร้างความเดือดร้อน รำคาญแก่ประชาชนใกล้เคียง รัฐบาล โดย น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และ พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ได้ให้ความสำคัญต่อสถานการณ์การแพร่ระบาดของบุหรี่ไฟฟ้าดังกล่าว จึงกำหนดนโยบายให้มีการระดมกวาดล้างจับกุมผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับบุหรี่ไฟฟ้าในทุกมิติ ซึ่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติ นำโดย พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผบ.ตร. สั่งการให้กำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจทุกหน่วย ระดมกำลังกวาดล้างจับกุมในทุกพื้นที่อย่างต่อเนื่องและเคร่งครัด และติดตามการขับเคลื่อนให้มีผลการปฏิบัติในทุกมิติอย่างเป็นรูปธรรม

เชียงใหม่-ท่าอากาศยานเชียงใหม่จัดพิธีทำบุญครบรอบ 37 ปี แห่งการดำเนินงาน

ท่าอากาศยานเชียงใหม่ (ทชม. )ฉลองครบรอบ 37 ปี แห่งการดำเนินงานในฐานะศูนย์กลางการเดินทางทางอากาศที่สำคัญของภาคเหนือ พร้อมมุ่งสู่อนาคต ด้วยแผนพัฒนาที่จะรองรับการเติบโตของอุตสาหกรรมการบินและการท่องเที่ยวที่ขยายตัวอย่างต่อเนื่อง

(7 มี.ค.68) ท่าอากาศยานเชียงใหม่ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) (ทชม.ทอท.) ครบรอบ 37 ปีการดำเนินงานในวันที่ 1 มีนาคม 2568  ได้จัดพิธีทำบุญ เพื่อความเป็นสิริมงคลแก่ลแก่พนักงาน ลูกจ้างและผู้ที่ปฏิบัติงาน โดยมีนาวาอากาศโท รณกร เฉลิมแสนยากร ผู้อำนวยการท่าอากาศยานเชียงใหม่ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) เป็นประธานในพิธีทำบุญ พร้อมด้วนหัวหน้าส่วนราชการ สายการบิน ผู้ประกอบการ ตลอดจนผู้บริหาร และพนักงานลูกจ้างท่าอากาศยานเชียงใหม่ เข้าร่วมพิธี อย่างพร้อมเพรียง สะท้อนถึงความร่วมมือของทุกภาคส่วนในการพัฒนาท่าอากาศยานเชียงใหม่ให้เป็นศูนย์กลางการบินที่สำคัญของภูมิภาค ณ อาคารอเนกประสงค์ ท่าอากาศยานเชียงโหม่

นาวาอากาศโท รณกร เฉลิมแสนยากร ผู้อำนวยการท่าอากาศยานเชียงใหม่ กล่าวว่า ท่าอากาศยานเชียงใหม่เป็นท่าอากาศยาน 1 ใน 6 แห่ง ภายใต้การกำกับดูแลของ ทอท.ได้รับโอนกิจการจากกรมการบินพาณิชย์มาอยู่ในความดูแลของการท่าอากาศยานแห่งประเทศไทย เมื่อวันที่ 1 มีนาคม 2531 และได้กลายเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวของจังหวัดเชียงใหม่และภาคเหนือ โดยปัจจุบันรองรับผู้โดยสารมากกว่า 10 ล้านคนต่อปี และมีเส้นทางบินเชื่อมต่อทั้งในและต่างประเทศ รวมถึงสายการบินชั้นนำที่ให้บริการอย่างต่อเนื่อง 

ปัจจุบันท่าอากาศยานเชียงใหม่ให้บริการเส้นทางการบินระหว่างประเทศ 21 เส้นทาง ให้บริการโดย 24 สายการบิน และให้บริการเส้นทางการบินภายในประเทศ 11 เส้นทาง ให้บริการโดย 6 สายการบิน ซึ่งสายการบินน้องใหม่ล่าสุดที่กำลังจะเริ่มให้บริการในวันที่ 27 มีนาคม 2568 คือสายการบินเฉิงตูแอร์ไลน์ ทำการบินเส้นทาง เฉิงตู-เชียงใหม่-เฉิงตู และมีสายการบินจากตะวันออกกลางอยู่ระหว่างการดำเนินการขอใบอนุญาต เพื่อทำการบินในช่วงปลายปีนี้ 

สำหรับผลการดำเนินงานในปี 2567 ท่าอากาศยานเชียงใหม่มีผลการดำเนินงานที่สะท้อนถึงการฟื้นตัวและเติบโตของภาคการบินและการท่องเที่ยว จำนวนเที่ยวบินพาณิชย์ 59,493 เที่ยวบิน เพิ่มขึ้นจากปี 2566 ร้อยละ 6.88  จำนวนผู้โดยสาร 9,082,071 คน เพิ่มขึ้นจากปี 2566 ร้อยละ 10.43 ปริมาณสินค้า 5,478,134 กิโลกรัม เพิ่มขึ้นจากปี 2566 ร้อยละ 4.23 

และเพื่อรองรับการเติบโตในอนาคต ท่าอากาศยานเชียงใหม่มีแผนพัฒนาขยายศักยภาพการรองรับผู้โดยสารให้เพิ่มขึ้นเป็น 20 ล้านคนต่อปี โดยมีการดำเนินโครงการพัฒนาใน 2 ระยะ ดังนี้ ระยะที่ 1: เพิ่มขีดความสามารถจาก 8.5 ล้านคนต่อปี เป็น 16.5 ล้านคนต่อปี ระยะที่ 2: ขยายเพิ่มเป็น 20 ล้านคนต่อปี

ในส่วนของโครงการพัฒนาท่าอากาศยานเชียงใหม่ ระยะที่ 1 ปัจจุบันอยู่ระหว่างกระบวนการสำรวจและออกแบบโครงการพัฒนาระยะที่ 1 ควบคู่กับการดำเนินการโครงการศึกษาและจัดทำรายงานการเปลี่ยนแปลงรายละเอียดโครงการ ในรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม โครงการพัฒนาท่าอากาศยานเชียงใหม่ : แผนพัฒนาท่าอากาศยานเชียงใหม่  

โดยโครงการพัฒนาไม่เพียงมุ่งเน้นด้านโครงสร้างพื้นฐาน แต่ยังให้ความสำคัญกับอัตลักษณ์ล้านนา การพัฒนาการให้บริการ และความสะดวกสบายของผู้โดยสาร รวมถึงการรองรับระบบขนส่งมวลชน เช่น โครงการรถไฟฟ้า และการปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานด้านจราจรบริเวณโดยรอบ 

ผู้อำนวยการท่าอากาศยานเชียงใหม่ กล่าวอีกว่า “ตลอด 37 ปีที่ผ่านมา ท่าอากาศยานเชียงใหม่ เป็นกลไกหนึ่งในการส่งเสริม สนับสนุน ผลักดันให้มีการเจริญเติบโตในทุกมิติของจังหวัดเชียงใหม่และภาคเหนือ เรามุ่งมั่นที่จะพัฒนาสนามบินให้ทันสมัย สะดวกสบาย และปลอดภัย รองรับการขยายตัวของอุตสาหกรรมการบิน และส่งเสริมเศรษฐกิจการท่องเที่ยวของไทยให้เติบโตอย่างยั่งยืน"

ท่าอากาศยานเชียงใหม่ยังมีแผนพัฒนาต่อเนื่องในอนาคต โดยมุ่งเน้นการขยายอาคารผู้โดยสาร การพัฒนาเทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการให้บริการ และมาตรการเพื่อความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อม อาทิ การใช้พลังงานสะอาดและการลดการปล่อยคาร์บอนสู่บรรยากาศ เพื่อให้สนามบินเติบโตอย่างมีความรับผิดชอบต่อสังคมอยู่เคียงข้างกับชุมชนและสิ่งแวดล้อม เป็นศูนย์กลางการบินระดับภูมิภาคที่พร้อมรับการเติบโตของอุตสาหกรรมการเดินทางและการท่องเที่ยวในระดับสากล

สมุทรปราการ-อรัญญา สุวรรณบุตร นายกเทศมนตรีตำบลแพรกษา แถลงนโยบายต่อสภาพร้อมเดินหน้าพัฒนาท้องถิ่น

(7 มี.ค.68) สภาเทศบาลตำบลเเพรกษา ได้จัดการประชุมสภาเทศบาลตำบลเเพรกษา สมัยวิสามัญ ครั้งที่ 1 ประจำปี พ.ศ. 2568 โดยมี นายธนกฤษ ศิรกุลวัฒน์ รองประธานสภาเทศบาลตำบลแพรกษา เป็นประธานเปิดการประชุมสภาฯ โดยมีคณะผู้บริหาร คณะสมาชิกสภาเทศบาล 

พร้อมด้วย นายวรรณวุฒิ มาสุข รองปลัดเทศบาล รักษาราชการแทนปลัดเทศบาล หัวหน้าส่วนราชการ เข้าร่วมประชุมกันอย่างพร้อมเพรียง ณ ห้องประชุมสภา ชั้น 5 สำนักงานเทศบาลตำบลแพรกษา อำเภอเมืองสมุทรปราการ 

โดยนางอรัญญา สุวรรณบุตร นายกเทศมนตรีตำบลแพรกษา ได้กล่าวแถลงนโยบายต่อที่ประชุมสภาเทศบาลตำบลแพรกษา ถึงนโยบายที่จะดำเนินการขับเคลื่อนพร้อมทั้งการพัฒนาท้องถิ่นและสานงานต่อให้แล้วเสร็จ เพื่อให้ประชาชนได้รับประโยชน์อย่างสูงสุด 

ประกอบด้วยนโยบายทั้ง 7 ด้าน คือ1. ด้านการศึกษา ระดับปฐมวัย ,ระดับประถมศึกษา ,ระดับมัธยมศึกษา และระดับอาชีวศึกษา 2. ด้านเศรษฐกิจ 3.ด้านคุณภาพชีวิตและสิ่งแวดล้อม 4.ด้านสาธารณสุข 5. ด้านโครงสร้างพื้นฐานและสาธารณูปโภค 6. ด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรม 7. ด้านความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน

อย่างไรก็ตาม นางอรัญญา สุวรรณบุตร นายกเทศมนตรี ยังได้กล่าวต่อที่ประชุมอีกว่า จะดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ ที่กฎหมายบัญญัติให้กระทำได้ด้วยความทุ่มเท มุ่งมั่น และตั้งใจ เพื่อให้งานมีประสิทธิภาพ มีความยั่งยืน และเกิดประโยชน์สูงสุดต่อพี่น้องประชาชนต่อไป

 

เชียงใหม่-แถลงผลการจับกุมผู้ต้องหาคดียาเสพติดรายสำคัญ 2 คดี ของกลางยาบ้าจำนวน 6,996,000เม็ด 

(7 มี.ค.68) เวลา 11.00 น. ตำรวจภูธรภาค 5 แถลงการณ์จับกุมคดียาเสพติดรายสำคัญ 2 คดี

1. สภ.สบปราบ จ.ลำปาง จับกุมผู้ต้องหาพร้อมของกลางยาบ้า 6,000,000 เม็ด  2. สภ.ห้วยไร่ จ.แพร่ ตรวจยึดยาบ้า 996,000 เม็ด โดยมี พล.ต.ท.กฤตธาพล ยี่สาคร ผบช.ภ.5 เป็นประธานการแถลงข่าว ณ ลานแถลงข่าว อาคารกองบังคับการสืบสวนสอบสวน ตำรวจภูธรภาค 5 อ.เมืองเชียงใหม่ จ.เชียงใหม่

ตามนโยบายรัฐบาล สั่งการให้หน่วยงานของรัฐที่ทำหน้าที่ในการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด บูรณาการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยการอำนวยการของ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผบ.ตร, พล.ต.อ.ไกรบุญ ทรวดทรง,พล.ต.อ.ธนา ชูวงศ์, พล.ต.อ.ประจวบ วงศ์สุข รอง ผบ.ตร., พล.ต.ท.สำราญ นวลมา ผู้ช่วย ผบ.ตร., พล.ต.ท.ภาณุรัตน์ หลักบุญ เลขาธิการ ป.ป.ส. และ พล.ท.กิตติพงษ์ แจ่มสุวรรณ มทภ.3 ได้รับบัญชาและข้อสังการนำไปสู่การปฏิบัติ

ตำรวจภูธรภาค 5 โดย พล.ต.ท.กฤตธาพล ยี่สาคร ผบช.ภ.5, พล.ต.ต.พิเชษฐ จีระนันตสิน, พล.ต.ต.นพดล กรึงไกร,พล.ต.ต.พรพิทักษ์ รู้ยืนยง, พล.ต.ต.ธนะรัชต์ ชุ่มสวัสดิ์, พล.ต.ต.พิชญา บุญขจร, พล.ต.ต.ธวัชชัย พงษ์วิวัฒนชัย รอง ผบช.ภ.5, พล.ต.ต.วรพงศ์ คำลือ ผบก.สส.ภ.5, พล.ต.ต.ภูมิปัญญ์ญา นวตระกูลพิสุทธิ์ ผบก.ภ.จว.ลำปาง และพล.ต.ต.พงษ์เดช คำใจสู้ ผบก.ภ.จว.แพร่ ฝ่ายทหาร นบ.ยส.35 โดย พล.ท.กิตติพงศ์ ชื่นใจชน มทน.๓/ผบ.นบ.ยส.35 ฝ่ายปกครอง โดย นายซุติเดช มีจันทร์ ผวจ.ลำปาง นายสมชัย เลิศประสิทธิพันธ์ ผวจ.แพร่ สำนักงาน ปปส.ภาค 5โดย นายธันวา ผุดผ่องผอ.ปปส.ภาค 5 

แถลงผลการสืบสวนจับกุมผู้ต้องหาคดียาเสพติดรายสำคัญ จำนวน 2 คดี 1. กรณี สภ.สบปราบ จว.ลำปาง จับกุมผู้ต้องหา 1 คน พร้อมของกลางยาบ้าจำนวน 6,000,000 เม็ด 2. กรณี สภ.ห้วยไร่ จว.แพร่ ตรวจยึดของกลางยาบ้าจำนวน  996,000 เม็ด รวมของกลางยาบ้าจำนวน  6,996,000เม็ด แก้ไขปัญหายาเสพติดในทุกมิติ

คดีที่ 1 สืบเนื่องเมื่อวันที่  4 มี.ค.68 เวลาประมาณ 22.00 น. เจ้าหน้าที่ตำรวจด่านตรวจยาเสพติดสบปราบได้รับแจ้งจากสายลับ(ขอปิดนาม) ว่าจะมีกลุ่มขบวนการลักลอบลำเลียงยาเสพติดจำนวนมากผ่านพื้นที่ของ อ.สบปราบโดยจะใช้เส้นทางผ่านด่านตรวจยาเสพติดสบปราบ จึงได้รายงานให้ผู้บังคับบัญชาทราบตามลำดับชั้น และได้สั่งการให้เฝ้าสืบสวนติดตามตรวจดูรถตามที่ได้รับแจ้ง

ต่อมาเวลาประมาณ 23.00 น. ของวันเดียวกัน มีรถยนต์กระบะ หมายเลขทะเบียน บว1067 กำแพงเพชร ขับเข้ามายังด่านตรวจยาเสพติดสบปราบ ซึ่งมีลักษณะตรงกับที่สายลับแจ้ง เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดคัดกรองรถจึงให้สัญญาณ ชิดขอบทางด้านซ้ายเพื่อทำการขอตรวจค้นรถคันดังกล่าว พบนายฐานพัฒน์ อายุ 38ปี เป็นผู้ขับขี่ จากการสอบถามทราบว่าจะเดินทางไป จว.กำแพงเพชร ขณะที่ทำการตรวจพบความผิดปกติเนื่องจาก นายฐานพัฒน์ ได้ใช้แอปพลิเคชันไลน์ติดต่อสื่อสารกับบุคคลอีกคนหนึ่งค้างไว้ ซึ่งเชื่อได้ว่ามีการลักลอบนำสิ่งของผิดกฎหมาย และจึงได้ทำการขอตรวจค้นตัวนายฐานพัฒน์ และรถคันดังกล่าว ผลการตรวจค้นไม่พบสิ่งของผิดกฎหมายใดๆ

ต่อมาเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดจับกุม พร้อมพวกได้แบ่งกำลังออกตรวจสอบตามเส้นทางที่คาดว่า รถเป้าหมายจะจอดหลบจนเดินทางมาถึง ปั๊มน้ำมัน ปตท.สาขาสบปราบ จว.ลำปาง ได้พบรถบรรทุก  6 ล้อ ตู้ทึบ ทะเบียน 700-4340 กทม.จึงแสดงตัวขอตรวจสอบ พบนายนันท์นลิน อายุ  27 ปี แสดงตนเป็นเจ้าของรถ/ผู้ขับขี่ เมื่อสอบถามทราบว่าจะเดินทางไปจว.ลำปาง และขณะสอบถามแสดงอาการมีพิรุธ ลุกลี้ลุกลน พูดจาวกวนไปมาคล้ายลักลอบนำสิ่งของผิดกฎหมายมาด้วยจากการตรวจสอบเส้นทางเดินรถโดยละเอียดทราบว่าได้ขัดแย้งกัน และจากการซักถาม นายนันท์นลิน ผู้ขับขี่ โดยละเอียดได้รับสารภาพกับเจ้าหน้าที่ตำรวจว่า ได้รับจ้างบรรทุกสิ่งของจาก จว.ลำพูน ไปส่งปลายทาง จว.อ่างทอง เจ้าหน้าที่ชุดจับกุม จึงได้เชิญตัวนายนันท์นลิน พร้อมนำรถบรรทุก 6ล้อคันดังกล่าว มาที่ด่านตรวจยาเสพติด สถ.สบปราบ เพื่อทำการตรวจค้นอย่างละเอียด ก่อนทำการตรวจค้นเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดจับกุมได้แสดงความบริสุทธิ์ใจ ให้นายนันท์นลิน เป็นที่เรียบร้อยและให้ความยินยอม

ผลการตรวจค้นพบเป็น ยาเสพติดให้โทษประเภทที่ 1(เมทแอมเฟตามีน) จำนวนรวมประมาณ 6,000,000 เม็ด จึงได้ทำการจับกุมผู้ต้องหา และนำของกลางทั้งหมด นำส่ง พงส.สภ.สบปราบ เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมาย และหาตัวผู้กระทำผิดต่อไป

คดีที่ 2 สืบเนื่องเมื่อวันที่  5 มี.ค.68 เวลาประมาณ13.00 น. เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดตรวจยึด ได้รับคำสั่งจากผู้บังคับบัญชาให้ตั้งจุดตรวจสกัดกั้นยาเสพติด ณ บริเวณหน้าด่านตรวจเอกซเรย์ห้วยไร่ ต่อมาเวลาประมาณ 15.20 น. ได้มีนายธีระพลฯ อายุ 28 ปี ผู้ขับขี่ รถบรรทุก 6 ล้อ ทะเบียน 70-5070 พะเยา ได้มาแสดงตนต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อขอให้เจ้าหน้าที่นำรถเข้าอุโมงค์เอกซเรย์ เนื่องจากเกิดความสงสัยว่า สิ่งของที่บรรทุกมา จากผู้ว่าจ้างใน อ.แม่สาย จว.เชียงราย และต้องนำไปส่งยังพื้นที่ปลายทาง จว.พัทลุง อาจเป็นสิ่งของ ผิดกฎหมาย 

ผลการตรวจพบเป็นยาเสพติดให้โทษประเภทที่ 1 (เมทแอมเฟตามีน) ซุกซ่อนอยู่ในเครื่องเกียร์รถยนต์และถังปั๊มลม วางอยู่บริเวณท้ายรถบรรทุก รวมยาเสพติดจำนวน 996,000เม็ด เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดตรวจยึด จึงได้ทำการตรวจยึดของกลางทั้งหมดนำส่ง พงส.สภ.ห้วยไร่ เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมาย และหาตัวผู้กระทำผิดต่อไป

ตำรวจภูธรภาค 5 ได้บูรณาการร่วมกับหน่วยงานทุกภาคส่วน ทั้งฝ่ายตำรวจ ฝ่ายทหาร ฝ่ายปกครอง สำนักงาน ป้องกันและปราบปรามยาเสพติด ได้นำบัญชาและข้อสั่งการของรัฐบาล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม และสำนักงานตำรวจแห่งชาติในการสกัดกั้นการลำเลียงยาเสพติดไม่ให้เข้าไปสู่พื้นที่ตอนในอย่างเข้มข้นและจริงจัง และนำไปสู่การปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรม

สรุปผลการจับกุมยาเสพติด ของ ตำรวจภูธรภาค 5 ห้วงตั้งแต่ 1ต.ค.67-5มี.ค.68 จับกุมคดียาเสพติด จำนวน 9,784 คดี คดียาเสพติดรายสำคัญ 92 คดี ตรวจยึดของกลางยาเสพติด- ยาบ้า 82 ล้านเม็ดเศษ ไอซ์  6,249 กิโลกรัมเศษ เฮโรอีน 148 กิโลกรัมเศษ เคตามีน 805 กิโลกรัมเศษฝิ่น 43กิโลกรัมเศษ ตรวจยึดทรัพย์สินที่เกี่ยวกับยาเสพติดมูลค่าทรัพย์สินประมาณ 298 ล้านบาทเศษ

กาฬสินธุ์-ม.กาฬสินธุ์เปิดประชุมวิชาการระดับชาติ-นานาชาติ ครั้งที่ 3 

มหาวิทยาลัยกาฬสินธุ์จัดประชุมวิชาการระดับชาติและนานาชาติ มหาวิทยาลัยกาฬสินธุ์ ประจำปี 2568 ครั้งที่ 3 หัวข้อ “นวัตกรรมและเทคโนโลยีเพื่อการพัฒนาเชิงพื้นที่อย่างยั่งยืน”

(7 มี.ค.68) ที่อาคารกิจการนักศึกษา มหาวิทยาลัยกาฬสินธุ์ (พื้นที่ในเมือง) รองศาสตราจารย์ ดร.คมกฤต เล็กสกุล รองผู้อำนวยการ สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.) เป็นประธานในพิธีเปิดโครงการประชุมวิชาการระดับชาติและนานาชาติ มหาวิทยาลัยกาฬสินธุ์ ประจำปี 2568 ครั้งที่ 3 หัวข้อ“นวัตกรรมและเทคโนโลยีเพื่อการพัฒนาเชิงพื้นที่อย่างยั่งยืน” (INNOVATION AND TECHNOLOGY FOR SUSTAINABLE AREA-BASED DEVELOPMENT: KSU INNO-TECH 2025 FOR SABD) โดยมีนายผดุงศักดิ์ อิ่มเอิบ รองผู้ว่าราชการจังหวัดกาฬสินธุ์ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.กีรวิชญ์ เพชรจุล รักษาราชการแทนอธิการบดีม.กาฬสินธุ์ นายวิทยา ปัญจมาตย์ ผอ.ทสจ.กาฬสินธุ์ คณะผู้บริหาร หัวหน้าส่วนราชการ ผู้ทรงคุณวุฒิ นักวิชาการ นักวิจัย คณาจารย์และนักศึกษาทั้งในประเทศและต่างประเทศเข้าร่วมกิจกรรมพิธีเปิดและประชุม  

ซึ่งการประชุมครั้งนี้ประกอบไปด้วยกิจกรรมสำคัญ ได้แก่ การปาฐกถาพิเศษ โดยวิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิจากทั้งในประเทศและต่างประเทศ การนำเสนอผลงานวิจัยระดับชาติและนานาชาติ ครอบคลุมหลากหลายสาขาวิชา และนิทรรศการทางวิชาการและนวัตกรรม ที่นำเสนอผลงานวิจัยและนวัตกรรมที่สามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้จริง

ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.กีรวิชญ์ เพชรจุล รักษาราชการแทนอธิการบดี ม.กาฬสินธุ์ ในนามผู้แทนคณะกรรมการดำเนินโครงการประชุมวิชาการระดับชาติและนานาชาติ มหาวิทยาลัยกาฬสินธุ์ ประจำปี 2568 ครั้งที่ 3 หัวข้อ“นวัตกรรมและเทคโนโลยีเพื่อการพัฒนาเชิงพื้นที่อย่างยั่งยืน” กล่าวว่า มหาวิทยาลัยกาฬสินธุ์มุ่งมั่นที่จะเป็นศูนย์กลางในการพัฒนาความรู้และนวัตกรรม เพื่อส่งเสริมการพัฒนาทางวิชาการและสังคมอย่างยั่งยืน การประชุมวิชาการในครั้งนี้จัดขึ้นภายใต้หัวข้อ "นวัตกรรมและเทคโนโลยีเพื่อการพัฒนาเชิงพื้นที่อย่างยั่งยืน" โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นเวทีสำหรับนักวิจัย นักวิชาการ คณาจารย์ นักศึกษา และผู้สนใจจากทั้งในประเทศและต่างประเทศ ได้แลกเปลี่ยนองค์ความรู้และประสบการณ์เกี่ยวกับนวัตกรรมและเทคโนโลยีที่สามารถนำไปใช้พัฒนาเชิงพื้นที่อย่างเป็นระบบและยั่งยืน

'มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง เสริมสร้าง อนาคตเด็กไทย' มอบทุนการศึกษาให้แก่นักเรียนในถิ่นทุรกันดารพื้นที่จังหวัดกาญจนบุรี รุ่นที่ 3 (ครั้งที่ 3) ประจำปี พ.ศ. 2568 

(7มี.ค.68) มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง นำโดย นายนิพนธ์ ลีละศิธร กรรมการ พร้อมด้วย นางสาวดวงชุตา ติยะพจนพรกุล ผู้ช่วยผู้จัดการฝ่ายสังคมสงเคราะห์ นำทีมแผนกส่งเสริมการศึกษาและอาชีพลงพื้นที่จังหวัดกาญจนบุรี มอบทุนการศึกษาระดับมัธยมศึกษาสำหรับเยาวชนโรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดน รุ่นที่ 3 (ครั้งที่ 3) ประจำปี พ.ศ. 2568 ประกอบด้วย โรงเรียนราชประชานุเคราะห์ 45  อำเภอพนมทวน โรงเรียนร่มเกล้า กาญจนบุรี (ในโครงการพระราชดำริ) โรงเรียนทองผาภูมิวิทยา โรงเรียนสมาคมป่าไม้แห่งประเทศไทยอุทิศ โรงเรียนบ้านเกริงกระเวีย โรงเรียนบ้านห้วยเสือ อำเภอทองผาภูมิ และโรงเรียนอุดมสิทธิศึกษา อำเภอสังขละบุรี รวม 7 แห่ง จำนวน 60 ทุน รวมงบประมาณทั้งสิ้น 450,000 บาท (สี่แสนห้าหมื่นบาทถ้วน) พร้อมกันนี้ มูลนิธิฯ ได้สนับสนุนเงินค่าพาหนะ สำหรับโรงเรียนที่นำนักเรียนเดินทางมารับทุนฯ ในครั้งนี้ รวมจำนวน 9,000 บาท (เก้าพันบาทถ้วน) นอกจากนี้ ยังได้มอบกระปุกออมสิน พร้อมปฏิทินแขวนมูลนิธิฯ บรรจุถุง ให้แก่นักเรียนที่มารับทุนฯ โดยมี ผู้อำนวยการโรงเรียน คณะครู อาจารย์ และผู้แทนนักเรียนจากโรงเรียนต่างๆ ร่วมรับมอบ ณ โรงเรียนทองผาภูมิวิทยา อำเภอทองผาภูมิ จังหวัดกาญจนบุรี

การมอบทุนการศึกษา เป็นหนึ่งในนโยบายหลักของมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง เพื่อช่วยเหลือสังคม “สร้างชีวิต” ให้เยาวชนมีโอกาสเท่าเทียมทางการศึกษา เติมเต็มความหวังเป็นอนาคตของครอบครัวสังคม และประเทศชาติ โดยตลอดระยะเวลากว่า 115 ปี ที่มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ได้ขยายขอบข่ายโครงการต่าง ๆ ออกไปอย่างกว้างขวาง ไม่เพียงแต่บำบัดทุกข์ บำรุงสุข แก่ผู้ตกทุกข์ได้ยากโดยไม่จำกัดเชื้อชาติ ศาสนา เท่านั้น แต่ยังได้พัฒนาคุณภาพชีวิตอีกในหลายทาง เพื่อเป็นองค์กรสาธารณกุศลที่ช่วยเหลือประชาชนครบวงจรในทุกๆ ด้าน ต่อไป ดังปณิธาน มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ช่วยชีวิต รักษาชีวิต สร้างชีวิต”

ติดตามข่าวสาร และกิจกรรมการช่วยเหลือของมูลนิธิป่อเต็กตึ๊งได้ที่เว็บไซต์ www.pohtecktung.org ได้ที่เฟซบุ๊ก แฟนเพจ www.facebook.com/atpohtecktung


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top