Sunday, 18 May 2025
NewsFeed

PETA UK เล่นใหญ่!! บุกสถานทูตไทย เทน้ำกะทิใส่ตัวเอง สร้างภาพดึงดรามาใช้แรงงานลิงเก็บมะพร้าว

เมื่อวันที่ (13 ก.พ.68) กลุ่มนักเคลื่อนไหวจาก PETA UK จัดการประท้วงหน้าสถานเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงลอนดอน โดยราดตัวเองด้วยของเหลวที่ดูเหมือนน้ำกะทิ เพื่อแสดงจุดยืนต่อต้านอุตสาหกรรมกะทิของไทยที่ใช้แรงงานลิง พร้อมเรียกร้องให้ทั่วโลกคว่ำบาตรผลิตภัณฑ์จากการบังคับใช้แรงงานสัตว์

PETA Asia อ้างการเปิดเผยผลการตรวจสอบที่พบว่า ลิงถูกล่ามด้วยเชือกสั้นจนแทบขยับตัวไม่ได้ บางตัวถูกขังในกรงแคบและต้องเดินวนไปมาอย่างสิ้นหวังจนเกิดความเครียดรุนแรง "ลิงเหล่านี้ควรได้ใช้ชีวิตอิสระในธรรมชาติ ไม่ใช่ถูกจับมาทรมานเพื่อผลประโยชน์ทางธุรกิจ" เจ้าหน้าที่ PETA Asia กล่าว

PETA ระบุว่า พวกเขาเรียกร้องให้บริษัททั่วโลกหยุดสนับสนุนอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับการบังคับใช้แรงงานลิง และให้ประเทศไทยดำเนินมาตรการแก้ไขปัญหานี้อย่างจริงจัง

กองทุนดีอี อนุมัติงบ 2 พันล้านบาท หนุนพัฒนาดิจิทัล 3 ด้านสำคัญ การใช้เทคโนโลยี – ความปลอดภัย – พัฒนาบุคลากรดิจิทัล

บอร์ดกองทุนพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) อนุมัติวงเงิน 2,000 ล้านบาท เพื่อสนับสนุนโครงการพัฒนาเทคโนโลยีดิจิทัลที่มีศักยภาพสูง ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 โดยมีเป้าหมายในการยกระดับเศรษฐกิจและสังคมไทยให้ก้าวหน้าและเติบโตอย่างยั่งยืน พร้อมทั้งเสริมสร้างความมั่นคงในโลกดิจิทัลและเตรียมบุคลากรสู่ยุคดิจิทัลอย่างเต็มตัว

ภายใต้กรอบนโยบาย 3 ด้าน ได้แก่
📌 Digital Technology (High Impact & Scalability)
เน้นการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ประโยชน์ในเชิงธุรกิจและสังคม เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและขยายผลกระทบเชิงบวกอย่างกว้างขวาง ทั้งในภาคอุตสาหกรรม การศึกษา และบริการสาธารณะ โดยมุ่งส่งเสริมการพัฒนาแพลตฟอร์มดิจิทัล การใช้ปัญญาประดิษฐ์ (AI) และอินเทอร์เน็ตของสรรพสิ่ง

📌 Digital Trust & Security
เสริมสร้างความปลอดภัยและความเชื่อมั่นในโลกไซเบอร์ ด้วยการพัฒนาระบบป้องกันข้อมูลและการรักษาความปลอดภัยทางไซเบอร์ เพื่อป้องกันภัยคุกคามดิจิทัลและสร้างความมั่นใจให้กับผู้ใช้งาน

📌 Digital Manpower
มุ่งเน้นการพัฒนาบุคลากรดิจิทัล เพื่อเตรียมความพร้อมและเสริมสร้างทักษะที่จำเป็นสำหรับกำลังคนในยุคดิจิทัล ครอบคลุมทั้งทักษะเชิงเทคนิคและความคิดสร้างสรรค์ เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัลอย่างมีประสิทธิภาพ

กิจกรรมพิเศษ!
📅 วันที่ 26 กุมภาพันธ์นี้
กองทุนดีอี จัดกิจกรรม "คลินิกกองทุน"
เพื่อให้คำแนะนำและปรึกษาสำหรับผู้ที่สนใจยื่นขอทุน โดยจะแนะนำวิธีการดำเนินการและการเขียนข้อเสนออย่างไรให้มีประสิทธิภาพและน่าสนใจ

เปิดรับข้อเสนอโครงการ ปี 2568
ยื่นได้ตั้งแต่วันนี้ ถึง 10 มี.ค. 2568
เปิดโอกาสให้หน่วยงานภาครัฐ เอกชน สถาบันการศึกษา และผู้ประกอบการดิจิทัล ร่วมส่งข้อเสนอโครงการเพื่อพัฒนาศักยภาพดิจิทัล และต่อยอดไอเดียให้เป็นจริง

🔗 ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติม:
https://defund.onde.go.th
🔗 ระบบยื่นคำขอ ขอรับทุน:
https://defund-rt.onde.go.th/

ร่วมต่อยอดไอเดียสู่ความสำเร็จ ด้วยโอกาสพัฒนาดิจิทัลที่คุณไม่ควรพลาด!
มาร่วมพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมดิจิทัลไปด้วยกัน!

‘พีระพันธุ์’ คืนความเป็นธรรมให้ ‘เอกชัย ชาญประโคน’ หนุ่มพิการอดีตสตั๊นแมนตกยาก ซ้ำถูกบีบออกจากราชการ

สังคมนี้ยังมีความเป็นธรรม...อีกกรณีตัวอย่างที่ ‘พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค’ สามารถใช้กลไกภาครัฐผลักดันแก้ไขปัญหาเยียวยาความเดือดร้อนของประชาชนได้อย่างเป็นรูปธรรม นั่นคือ การให้ความช่วยเหลืออดีตนักแสดงคิวบู๊ที่พิการจากอาการเส้นเลือดในสมองแตก และถูกบีบให้ออกจากงานราชการอย่างไม่เป็นธรรม

ย้อนเรื่องราว ‘เอกชัย ชาญประโคน’ อายุ 39 ปี อดีตนักแสดงคิวบู๊หรือสตั๊นแมน ซึ่งประสบปัญหาพิการทางการเคลื่อนไหวจากอาการเส้นเลือดในสมองแตก เขาสอบติดพนักงานราชการตำแหน่งนักวิชาการอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม เมื่อปี 2560 แต่ทำงานได้เพียง 4 เดือน ก็ถูกหัวหน้าบีบบังคับให้เซ็นใบลาออกทั้งที่ไม่ได้ทำอะไรผิดและไม่แจ้งเหตุผล 

หลังจากถูกบีบให้ออกจากราชการ เอกชัย อาศัยเบี้ยคนพิการยังชีพ  และพยายามดิ้นรนหางานทำ แต่ไปสมัครทำงานที่ไหนก็ได้รับค่าจ้างในจำนวนที่น้อย ไม่เพียงพอต่อรายจ่าย ซ้ำยังไม่ได้รับความเป็นธรรมจากสถานที่ทำงาน จึงยื่นหนังสือร้องขอความเป็นธรรมไปยังสำนักนายกรัฐมนตรี แต่เรื่องก็เงียบหาย จนกระทั่งนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี (พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา) ได้รับมอบหมายให้มารับหน้าที่ประธานคณะกรรมการอำนวยความเป็นธรรมและเร่งรัดการปฏิบัติราชการในขณะนั้น

‘พีระพันธุ์’ ได้เร่งรัดให้มีการช่วยเหลือด้วยการประสานงานผ่านกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ และมอบหมายให้การเคหะแห่งชาติดำเนินการช่วยเหลือในส่วนที่เกี่ยวข้อง โดยเขาได้เล่าถึงแนวทางการช่วยเหลือนายเอกชัยไว้ว่า 

“คุณเอกชัยเขาก็ประสบกับปัญหาชีวิตลุ่ม ๆ ดอน ๆ  ขึ้น ๆ ลง ๆ เพราะความพิการ แล้วเขาก็โดนอะไรที่ไม่เหมาะสมมาหลายครั้ง เขาถูกเลิกจ้าง พูดง่ายๆ คือถูกบังคับให้ลาออกจากกระทรวงอุตสาหกรรม ซึ่งเขาไม่ได้รับความเป็นธรรม เขาก็เลยยื่นเรื่องไปที่สำนักนายกฯ นานแล้ว ระหว่างนั้นเขาก็สู้ชีวิตมาตลอด ท่านนายกฯ (พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา) มอบหมายให้ผมมาดูปัญหาเรื่องพวกนี้ ผมก็ได้พยายามติดต่อ  แล้วก็ได้รับความอนุเคราะห์จากท่านผู้ว่าการเคหะแห่งชาติ และท่านประธานบอร์ดการเคหะแห่งชาติ เราอยากจะให้เขามีงานทําที่มั่นคง แล้วมีบ้านพักอาศัยที่ราคาถูก  ซึ่งทางการเคหะแห่งชาติก็มีตรงนี้พอดี” 

การเคหะแห่งชาติได้ให้ความช่วยเหลือ เอกชัย ด้วยการพามาสมัครทำงานที่บริษัท เคหะสุขประชา จำกัด (มหาชน) บริษัทในเครือของการเคหะแห่งชาติ ได้รับเงินเดือน 15,000 บาท และพักอาศัยในโครงการบ้านเอื้ออาทรร่มเกล้า โดยเสียค่าเช่าเพียงเดือนละ 999 บาท ตามนโยบายรัฐบาล  

ปัจจุบัน เอกชัย ได้งานและที่อยู่ใหม่ที่เอื้ออำนวยกับสภาพร่างกายและการใช้ชีวิตมากกว่าเดิม  ชีวิตของเขาดีขึ้น และสามารถเชื่อมั่นได้ว่า ‘สังคมนี้ยังมีความยุติธรรม’ เพราะมีผู้คอยอำนวยความเป็นธรรมให้เกิดขึ้นได้จริง! กล่าวได้ว่าเป็นการ มอบชีวิตใหม่ ให้กับเขาอีกครั้ง

“ผมคิดว่าสังคมต้องเป็นอย่างนี้ สังคมต้องช่วยกันดูแล คนเราแต่ละคนไม่รู้อนาคตหรอก ตัวเราเองวันหนึ่งเราอาจจะเจออะไรลําบากอย่างนี้บ้างก็ได้ วันนี้เราไม่เจอ ก็ต้องช่วยคนที่เขาเจอ ต้องขอบคุณทุกท่านที่ช่วยกันนะครับ”

นี่คือคำพูดจากใจของ ‘พีระพันธุ์’ ผู้มุ่งมั่นอยากให้สังคมไทยเป็นสังคมที่ช่วยเหลือเกื้อกูลกันและไม่ทิ้งกัน 

เผยตัวจริงผู้บริหาร DeepSeek เหลียง เหวินเฟิง นักพัฒนา AI จีน ผู้อยู่เบื้องหลังคู่แข่งตัวฉกาจของ ChatGPT

(21 ก.พ.68) โลกกำลังจับตามอง 'DeepSeek' ปัญญาประดิษฐ์จากจีนที่กำลังสร้างแรงสั่นสะเทือนครั้งใหญ่ในอุตสาหกรรม AI ระดับโลก ถึงขั้นทำให้หุ้นของบริษัทยักษ์ใหญ่ในสหรัฐฯ ร่วงระนาว และถูกพูดถึงในระดับ 'Talk of the World' บางฝ่ายถึงกับกังวลว่าอาจเกิด 'AI War' ระหว่างจีนและสหรัฐฯ

ชื่อของ DeepSeek ถูกพูดถึงอีกครั้งเมื่อวันที่ 20 มกราคมที่ผ่านมา เมื่อประธานาธิบดีสีจิ้นผิงเป็นเจ้าภาพจัดประชุมสัมมนาด้านเทคโนโลยีและเศรษฐกิจที่กรุงปักกิ่ง โดยมีบรรดาผู้นำจากอุตสาหกรรมเทคโนโลยีของจีนเข้าร่วม ไม่ว่าจะเป็น Alibaba, BYD, Huawei, CATL, Xiaomi, Tencent, Meituan และแน่นอน DeepSeek

บุคคลที่ได้รับความสนใจเป็นพิเศษในงานนี้คือ เหลียง เหวินเฟิง (Liang Wenfeng) นักพัฒนา AI ชาวจีนวัย 40 ปี ผู้ก่อตั้ง DeepSeek และกลายเป็นบุคคลที่สื่อเทคโนโลยีทั่วโลกจับตามอง ในฐานะซีอีโอหนุ่มที่มีโอกาสเข้าร่วมประชุมกับผู้นำสูงสุดของประเทศเคียงข้างเจ้าของธุรกิจระดับแนวหน้า

เหลียงเกิดเมื่อปี 1985 ที่เมืองจ้านเจียง มณฑลกวางตุ้ง มีความหลงใหลในคณิตศาสตร์และเทคโนโลยีตั้งแต่เด็ก แม้ไม่ได้ศึกษาจากมหาวิทยาลัยในตะวันตก แต่เขาจบการศึกษาจาก มหาวิทยาลัยเจ้อเจียง (Zhejiang University) หรือ 'เจ้อต้า' เขาสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีในสาขาวิศวกรรมข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ และต่อปริญญาโทในสาขาวิศวกรรมข้อมูลและสื่อสาร ซึ่งเป็นสถาบันชั้นนำของจีนในสาขาวิศวกรรมข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ และวิศวกรรมข้อมูลและการสื่อสาร

หลังจากเรียนจบ เขาเริ่มต้นทำงานในแวดวงเทคโนโลยีที่หางโจว ก่อนขยายเส้นทางสู่เฉิงตู และก่อตั้งสตาร์ตอัปของตัวเอง ในช่วงชีวิตการทำงาน เหลียงตั้งรกรากอยู่ในหางโจว ซึ่งเป็นศูนย์กลางด้านเทคโนโลยีของจีน และเคยทำงานในนครเฉิงตู มณฑลเสฉวน ซึ่งเป็นอีกหนึ่งเมืองสำคัญด้านเทคโนโลยีของประเทศ 

ในปี 2015 เหลียงเข้าสู่โลกสตาร์ตอัปอย่างเต็มตัวด้วยการร่วมก่อตั้ง High-Flyer กองทุนเฮดจ์ฟันด์ประเภท Quantitative Hedge ที่ใช้ AI วิเคราะห์แนวโน้มตลาดและซื้อขายหลักทรัพย์โดยอัตโนมัติ ความสำเร็จจากธุรกิจนี้ทำให้เขาสั่งซื้อ หน่วยประมวลผลกราฟิก (GPU) ของ Nvidia นับพันชิ้น ตั้งแต่ปี 2021 เพื่อพัฒนา AI ของตัวเอง

DeepSeek ไม่ใช่แค่ AI ทั่วไป แต่มันสามารถแข่งขันกับ ChatGPT ได้อย่างสูสี โดยใช้ต้นทุนเพียง 6 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 200 ล้านบาท) ตามที่รายงานข่าวระบุ ซึ่งถือว่าต่ำกว่าที่บริษัท AI ตะวันตกใช้ไปหลายร้อยล้านดอลลาร์สหรัฐ

สิ่งที่ทำให้ DeepSeek เป็นที่จับตามองคือความสามารถในการพัฒนา AI ที่มีประสิทธิภาพสูง แม้จีนจะถูกสหรัฐฯ จำกัดการเข้าถึงชิปประมวลผลระดับสูงของ Nvidia แต่ทีมของเหลียงสามารถ "ปลดล็อกศักยภาพ" ของ GPU รุ่นเก่าให้ทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ

"วิศวกรของ DeepSeek รู้วิธีเพิ่มประสิทธิภาพของ GPU ที่มีอยู่ แม้ว่าจะไม่ใช่เทคโนโลยีล่าสุดก็ตาม" นักวิจัย AI ที่ใกล้ชิดกับบริษัทกล่าว

DeepSeek ยังเลือกใช้ โมเดลแบบเปิด (Open-Source) ซึ่งต่างจาก OpenAI ที่เน้นการปกป้องเทคโนโลยีของตัวเอง โดยเหลียงเชื่อว่าการแบ่งปันความรู้จะช่วยดึงดูดคนเก่งและสร้างวัฒนธรรมนวัตกรรมในวงการ AI

การที่เหลียงเป็นผู้บริหารด้าน AI เพียงคนเดียวที่ได้รับเชิญเข้าร่วมประชุมกับสีจิ้นผิง พร้อมกับผู้เชี่ยวชาญจากอุตสาหกรรมต่าง ๆ เช่น เทคโนโลยี การศึกษา วิทยาศาสตร์ วัฒนธรรม สุขภาพ และกีฬา เพื่อนำเสนอความคิดเห็นและข้อเสนอแนะต่อร่างรายงานของรัฐบาล

การเข้าร่วมประชุมระดับสูงของเหลียงตอกย้ำ เขาถือเป็นบุคคลสำคัญในยุทธศาสตร์ระดับชาติของจีน ท่ามกลางการแข่งขันทางเทคโนโลยีกับสหรัฐฯ ตลาด AI ของจีนคาดว่าจะมีมูลค่าถึง 5.6 ล้านล้านหยวน (765 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ) ภายในปี 2030 ตามการคาดการณ์ของ China International Capital Corp (CICC)

"ผมเชื่อว่านวัตกรรมคือหัวใจสำคัญ" เหลียงกล่าว "จีนเคยขาดความมั่นใจในการพัฒนา AI ระดับแนวหน้า แต่เราต้องกล้าที่จะลองและผลักดันให้ก้าวไปข้างหน้า ผมอยากแสดงให้โลกเห็นว่าจีนสามารถสร้างสรรค์สิ่งใหม่จากศูนย์ได้"

ฟิลิปปินส์บุกรังสแกมเมอร์กลางมะนิลา รวบผู้ต้องหากว่า 400 คน พบคนไทยเอี่ยว 2 ราย

(21 ก.พ.68) เจ้าหน้าที่ฟิลิปปินส์บุกตรวจค้นศูนย์ปฏิบัติการพนันออนไลน์ในกรุงมะนิลา จับกุมผู้ต้องหากว่า 400 คน โดยพบว่ามีชาวจีนเป็นผู้ควบคุมเครือข่าย  

คณะกรรมการต่อต้านองค์กรอาชญากรรมแห่งฟิลิปปินส์เปิดเผยเมื่อวันพฤหัสบดี (20 ก.พ.) ว่า ผู้ต้องหาประกอบด้วยชาวฟิลิปปินส์ 307 คน ชาวจีน 137 คน รวมถึงชาวเวียดนาม ไทย มาเลเซีย อินโดนีเซีย และไต้หวันอีกจำนวนหนึ่ง โดยมีคนสัญชาติไทย 2 รายที่ถูกจับกุมจากปฏิบัติการนี้  

ตามรายงานของสำนักข่าวบลูมเบิร์ก การสืบสวนเบื้องต้นพบว่า เครือข่ายดังกล่าวใช้แพลตฟอร์มการพนันกีฬาและการลงทุนเป็นเครื่องมือในการหลอกลวงเหยื่อชาวจีนและอินเดีย  

แม้ว่าฟิลิปปินส์จะสั่งห้ามธุรกิจพนันออนไลน์ที่มุ่งเป้าไปยังชาวจีนตั้งแต่ปีที่ผ่านมา แต่รัฐบาลยอมรับว่ายังคงมีชาวต่างชาติที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจดังกล่าวตกค้างอยู่ในประเทศเป็นจำนวนมาก และกำลังอยู่ในกระบวนการเนรเทศ

Sharp ปลุกตลาด!! ปรับกลยุทธ์เครื่องใช้ไฟฟ้า เจาะกลุ่มคนรุ่นใหม่ เปิดตัวสินค้าใหม่มากสุดรอบ 10 ปี ยกคุณภาพท้าชนแบรนด์จีน

(21 ก.พ.68) วิโรจน์ ทานัชฌาสัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท กรุงไทยการไฟฟ้า จำกัด ผู้ผลิตและทำตลาดเครื่องใช้ไฟฟ้าแบรนด์ชาร์ป (Sharp) ในไทยและอาเซียน เปิดเผยว่า ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา บริษัทฯ ได้ร่วมมือกับชาร์ป ประเทศญี่ปุ่น เพื่อพัฒนาเครื่องใช้ไฟฟ้าให้ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ยุคใหม่ โดยเฉพาะกลุ่มเครื่องใช้ไฟฟ้าขนาดเล็ก (Small Appliance) ที่ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้น โดยเน้นการออกแบบที่เรียบง่าย ใช้งานได้หลากหลาย และสามารถเป็นส่วนหนึ่งของเฟอร์นิเจอร์ภายในบ้าน

“ผู้บริโภคยุคใหม่ให้ความสำคัญกับดีไซน์และฟังก์ชันมากขึ้น เครื่องใช้ไฟฟ้าไม่ใช่แค่ของใช้ แต่ต้องเข้ากับการตกแต่งบ้านได้” วิโรจน์กล่าว พร้อมเสริมว่า “แนวทางนี้ยังช่วยตอกย้ำภาพลักษณ์ของแบรนด์ญี่ปุ่นที่ผู้บริโภคไทยให้ความไว้วางใจมาอย่างยาวนาน”

เปิดตัวสินค้าครั้งใหญ่ รับแผนปี 2568 Sharp เตรียมเปิดตัวสินค้าจำนวนมากที่สุดในรอบ 10 ปี โดยในไตรมาสแรกของปี 2568 จะเปิดตัวสินค้าใหม่ 5 รายการ ได้แก่

-พัดลม Sharp ขนาด 18 นิ้ว ดีไซน์ใหม่
-หม้อหุงข้าว Sharp CUBE รุ่น 1 ลิตร ออกแบบให้เข้ากับทุกครัวเรือน
-หม้อทอดไร้น้ำมัน Sharp รุ่น 4.2 ลิตร, 6.8 ลิตร และ 7 ลิตร รองรับไลฟ์สไตล์การทำครัวยุคใหม่
-เตารีดไอน้ำ Sharp 3 รุ่น พร้อมรุกตลาดเตารีดไอน้ำเต็มรูปแบบ
-เครื่องทำน้ำอุ่น Sharp รุ่น MODI (โมดี้) ขนาด 3,500 วัตต์ และ 4,500 วัตต์ ปรับดีไซน์ใหม่

หลังจากไตรมาสแรก บริษัทฯ ยังมีแผนทยอยเปิดตัวสินค้าเพิ่มเติมตามฤดูกาลตลอดปี

แม้ว่าตลาดเครื่องใช้ไฟฟ้าชิ้นเล็กจะเผชิญกับการแข่งขันสูง โดยเฉพาะจากแบรนด์จีนที่ใช้กลยุทธ์ราคาต่ำเป็นจุดขาย แต่ Sharp ยังคงรักษามาตรฐานคุณภาพแบบญี่ปุ่นและเน้นกลยุทธ์การออกแบบเพื่อสร้างความแตกต่าง

นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังต้องรับมือกับต้นทุนการผลิตที่เพิ่มขึ้นราว 5% จากปัจจัยต่าง ๆ เช่น ค่าแรงขั้นต่ำ อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ยังไม่มีแผนปรับราคาสินค้า

สำหรับตลาดรวมเครื่องใช้ไฟฟ้าชิ้นเล็กในไทย คาดว่าในปี 2568 จะยังเติบโตเล็กน้อยจากปัจจัยลบ เช่น กำลังซื้อที่ลดลงจากปัญหาหนี้ครัวเรือน อย่างไรก็ตาม Sharp ตั้งเป้าการเติบโตของธุรกิจไว้ที่ 5% เท่ากับปี 2567 ซึ่งมีรายได้ราว 16,000 ล้านบาท

ปัจจุบัน Sharp มีส่วนแบ่งการตลาดอันดับ 2 ในกลุ่มพัดลม (20% ของตลาดมูลค่า 7,000-8,000 ล้านบาท) และเป็นผู้นำตลาดหม้อหุงข้าว (ตลาดรวม 4,000 ล้านบาท) ที่ปัจจุบันยังครองส่วนแบ่งอันดับ 1 ในตลาด รวมถึงเตารีดที่มีมูลค่าตลาดราว 2,000 ล้านบาท

“เราจะเดินหน้าขยายตลาดผ่านช่องทางโมเดิร์นเทรด ทราดิชั่นนัลเทรด และออนไลน์ เพื่อให้เข้าถึงผู้บริโภคได้มากขึ้น” วิโรจน์กล่าว

เปิดแผน 'นกนางนวล' ภารกิจปราบ 'จีนเทา' เฟสแรกจับแก๊งคอลฯ เฟสสองมุ่งพนันออนไลน์

(21 ก.พ.68) การเข้ามามีบทบาทของหลิวจงอี้ในประเทศไทยทำให้หลายฝ่ายจับตาถึงภารกิจของเขาที่เดินทางเข้า-ออกไทยหลายรอบเพื่อเดินหน้าภารกิจในการปราบปรามจีนเทาตามแนวชายแดนไทย-เมียนมา ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของแผนปฏิบัติการ 'ปฏิบัติการนกนางนวล' (海鸥行动) ซึ่งชื่อปฏิบัติการนี้ได้รับการเปิดเผยในสื่อจีนเมื่อช่วงเดือนที่ผ่านมา

จากรายงานข่าวของเว็บไซต์ Caixin และสำนักข่าว Xinhua พบว่ามีการกล่าวถึงปฏิบัติการนกนางนวล เพิ่มมากขึ้นตั้งแต่ช่วงกลางเดือนมกราคมที่ผ่านมา โดยมีจีนเป็นผู้นำการปฏิบัติการนี้

ปฏิบัติการนกนางนวลครั้งแรกช่วงปี 2024 โดยเป็นส่วนหนึ่งของการประชุมแม่โขง-ล้านช้าง ซึ่งมีการจัดตั้งศูนย์ความร่วมมือบังคับใช้กฎหมายแม่น้ำล้านช้าง-แม่น้ำโขง ที่เมืองคุนหมิง มณฑลยูนนาน ประเทศจีน โดยมีคณะผู้แทนจากกระทรวงมหาดไทยกัมพูชา กระทรวงความมั่นคงสาธารณะของจีน กระทรวงความมั่นคงสาธารณะและกระทรวงกลาโหมลาว กระทรวงมหาดไทยเมียนมา สำนักงานตำรวจแห่งชาติของไทย และกระทรวงความมั่นคงสาธารณะของเวียดนามเข้าร่วมการประชุมครั้งนี้ด้วย นอกจากนี้ยังมีองค์กรระหว่างประเทศ เช่น สำนักงานว่าด้วยยาเสพติดและอาชญากรรมแห่งสหประชาชาติและองค์การตำรวจอาเซียนเข้าร่วมการประชุมครั้งนี้ด้วย

จากรายงานข่าวระบุว่า 'ปฏิบัติการนกนางนวล (海鸥行动) ระยะที่ 1' จะเป็นการร่วมมือระหว่างหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายจากหลายประเทศในภูมิภาคอาเซียน รวมถึงไทย กัมพูชา ลาว เมียนมา และเวียดนาม โดยมีจีนเป็นผู้นำการปฏิบัติการนี้ที่เริ่มตั้งแต่เดือนสิงหาคมถึงธันวาคม 2024 มีเป้าหมายหลักในการปราบปรามอาชญากรรมทางโทรคมนาคมและอาชญากรรมที่เกี่ยวข้อง เช่น การลักลอบขนอาวุธปืนและกระสุน ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของแผนความร่วมมือระยะห้าปีระหว่างประเทศในแม่น้ำล้านช้าง-แม่โขง (2023-2027)

ผลการดำเนินงานในระยะแรกของปฏิบัติการสามารถจับกุมผู้ต้องสงสัยได้มากกว่า 70,000 คน และช่วยเหลือเหยื่อจากคดีฉ้อโกงทางโทรคมนาคมได้มากกว่า 160 ราย โดยทางจีนได้ส่งข้อมูลและความร่วมมือกับประเทศต่าง ๆ ในการสืบสวนคดีฉ้อโกงและยืนยันหมายเลขโทรศัพท์ที่ต้องสงสัยหลายพันหมายเลข

จีนให้ความสำคัญกับการปราบปรามการฉ้อโกงทางอิเล็กทรอนิกส์และการพนันออนไลน์ที่มีผลกระทบอย่างรุนแรงต่อความปลอดภัยและชีวิตของพลเมืองของประเทศต่าง ๆ โดยเฉพาะในพื้นที่ชายแดนไทย-เมียนมา กรณีการฉ้อโกงนี้ทำให้เกิดความเสียหายต่อความมั่นคงในระดับภูมิภาคและเป็นอุปสรรคต่อความร่วมมือระหว่างประเทศในภูมิภาค

ในอนาคต ปฏิบัติการนกนางนวลระยะที่ 2 จะเริ่มขึ้นในปี 2025 โดยมุ่งเป้าไปที่การปราบปรามอาชญากรรมทางโทรคมนาคมและการพนันออนไลน์อย่างต่อเนื่อง พร้อมทั้งช่วยเหลือผู้ที่ตกเป็นเหยื่อจากอาชญากรรมเหล่านี้ โดยจะมีการร่วมมือกันระหว่างประเทศในภูมิภาคเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของประชาชนและความปลอดภัยของชีวิตและทรัพย์สินในระดับนานาชาติ

หลิวจงอี้เดินทางไปยังพื้นที่บริเวณชายแดนไทย-เมียนมาบ่อยครั้ง โดยในฝั่งเมียนมาไม่เพียงเป็นฐานปฏิบัติการของแก๊งคอลเซ็นเตอร์เท่านั้น แต่ยังเป็นแหล่งธุรกิจของคาสิโนพนันออนไลน์ด้วย สะท้อนว่าจีนอาจเตรียมเปิดปฏิบัติการ 'นกนางนวล' ระยะที่ 2 ในเร็วๆ นี้

ประธาน สว.แถลงต่อสื่อมวลชน กรณีกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือดีเอสไอ รับเรื่องจากกลุ่มตัวแทน สว.สำรอง

(21 ก.พ. 68) ที่อาคารรับรอง 2 โรงแรมสวนสนประดิพัทธ์ อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ นายมงคล สุระสัจจะ ประธานวุฒิสภา พร้อมด้วย พล.อ.เกรียงไกร ศรีรักษ์ รองประธานวุฒิสภา คนที่ 1 และสมาชิกวุฒิสภา หรือ สว. ร่วมแถลงต่อสื่อมวลชน กรณีกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือดีเอสไอ รับเรื่องจากกลุ่มตัวแทน สว.สำรอง และผู้สมัครรับเลือก สว. กว่า 40 คน ขอให้สอบสวนการได้มาซึ่ง สว. ปี 2567 เป็นคดีพิเศษ เพราะเชื่อว่าเป็นไปโดยมิชอบด้วยกฎหมาย

นายมงคล ประธานวุฒิสภา แถลงว่า ต้องขออภัยที่รบกวนสื่อมวลชนเพื่อแถลงข่าวด่วนเรื่องสำคัญที่สืบเนื่องจากได้รับข้อมูลข่าวสารว่า กรมสอบสวนคดีพิเศษเตรียมการเสนอให้คณะกรรมการสอบสวนคดีพิเศษรับเรื่องการตรวจสอบกระบวนการเลือกตั้ง วุฒิสมาชิก พ.ศ 2567 เป็นคดีพิเศษ ซึ่งตนรู้สึกว่ามีอะไรที่ไม่น่าจะถูกต้อง เพราะอำนาจในการสืบสวนตรวจสอบเลือกตั้งตามรัฐธรรมนูญ เป็นอำนาจของคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.)ที่เป็นองค์กรอิสระ ซึ่งรับเรื่องไว้แล้วและดำเนินการตรวจสอบ และเมื่อ สว.ได้รับการรับรองทำหน้าที่มา 6 เดือนให้ความร่วมมือกับ กกต.มาตลอด ในขณะที่สวเข้ามาอย่างถูกต้อง ตามรัฐธรรมนูญตามเงื่อนไขตามระเบียบที่ กกต.กำหนดไว้ และทำหน้าที่ของวุฒิสมาชิกอย่างตรงไปตรงมา ไม่ได้ไปฝักใฝ่ หรือเกี่ยวข้องกับผู้หนึ่งผู้ใด แต่อยู่ดีๆท่ามกลางความขัดแย้งต่างๆเกิดมีข่าวนี้ขึ้นมาตรวจสอบ ตนจึงคิดว่าไม่ใช่เรื่องที่ถูกต้อง

พล.ต.ต.ฉัตรวรรษ แสงเพชร สว. ประธานกรรมาธิการกิจการองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญฯ วุฒิสภา กล่าวว่า ได้ตรวจสอบข้อกฎหมายเกี่ยวกับการได้มาซึ่ง สว.ตามที่รัฐธรรมนูญกำหนด เป็นอำนาจหน้าที่กกต.พิจารณา แต่เนื่องจากทุกวันนี้จากข่าวด้านสื่อมวลชน ทำให้กระทบต่อความเชื่อมั่นของพี่น้องประชาชนต่อวุฒิสภาที่ได้มาจาก 20 กลุ่มอาชีพ ในการเข้ามาพิจารณาร่างกฎหมายต่างๆ และทราบว่าขณะนี้มีการดำเนินการจากผู้ที่ร้องเรียน ต่อดีเอสไอ ซึ่งตนไม่ทราบว่าอยู่ในขั้นตอนใดแต่ทราบจากกระแสข่าวว่าอยู่ในกระบวนการพิจารณาว่าจะรับหรือไม่รับ แต่ตามข้อกฎหมาย การดำเนินการของหน่วยงานภาครัฐต้องอยู่ภายใต้ขอบเขตและหน้าที่ตราบใดที่หน่วยงานหลักตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญไม่ได้มอบอำนาจจะพูดในลักษณะที่ทำให้สมาชิกวุฒิสภาโดยรวมเกิดความไม่เชื่อมั่นในกกต. จึงอยากจะฝากว่า การดำเนินการต่างๆ อยากจะขอไปยังผู้มีส่วนเกี่ยวข้องรับเรื่องดำเนินการ ไม่ว่าจะรับจากภาคเอกชนหรือหน่วยงานใดๆ ขอให้อยู่ในอำนาจหน้าที่ 

ซึ่งตนไม่ได้ให้ร้ายใครแต่จัดการให้ข่าวของพันตำรวจเอกทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม อาจทำให้วุฒิสภาเสื่อมเสียหรือทำให้สังคมเข้าใจผิด จึงขอทำความเข้าใจกับสื่อมวลชน ว่าสว.ได้มาโดยสุจริต โปร่งใส ทุกคนมีการแข่งขันแนะนำตัวตามที่รัฐธรรมนูญกำหนด แต่ความคิดที่กล่าวหาว่าเป็นอาชญากรข้ามชาติอั้งยี่ซ่องโจรเป็นข่าวที่เกินเลยความจริงไป

พ.ต.อ.เอกกอบ อัจนากิตติ สว.ในฐานะโฆษกกรรมาธิการการกฎหมายการยุติธรรม วุฒิสภา กล่าวว่า การได้มาซึ่งสว.ในครั้งนี้ได้มาโดยรัฐธรรมนูญ ไม่ได้มาโดยสมาคมหรืออั้งยี่ การกล่าวหาเกินเลยจากข้อเท็จจริงอันเป็นองค์ประกอบของความผิดตามกฎหมาย รัฐสภา คณะรัฐมนตรี องค์กรอิสระหรือหน่วยงานของรัฐก็ดี ต้องปฏิบัติการให้เป็นไปตามรัฐธรรมนูญและกฎหมาย เพื่อความสงบเรียบร้อยและความผาสุขของประเทศชาติและประชาชนเป็นหลัก การจะมากล่าวหาว่า องค์กรของรัฐซึ่งมีหน้าที่ ใช้อำนาจนิติบัญญัติแทนประชาชน เป็นกระบวนการที่มิชอบด้วยกฎหมายมีความมุ่งหมายที่ไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญเป็นการกล่าวหาใส่ความ ซึ่งผู้ใดก็ตามที่กล่าวหาใส่ความว่าสว.ที่ได้มาครั้งนี้โดยไม่มีความมุ่งหมายตามรัฐธรรมนูญ สมาคมอั้งยี่หรืออะไรก็แล้วแต่เป็นการใส่ความให้เกิดความเสียหายและบั่นทอนความเชื่อมั่นของประชาชนในกระบวนการนิติบัญญัติ ดังนั้นผู้ดำเนินการตรงนี้ต้องรับผิดชอบในสิ่งที่ทำไม่ว่าจะเอกชนหรือหน่วยงานของรัฐก็ดีหรือผู้บริหารบ้านเมืองก็ดีต้องรับผิดชอบ

พ.ต.อ.กอบ กล่าวว่า ผู้ที่เข้าสู่กระบวนการคัดเลือก สว.แต่ไม่ได้รับเลือกเข้ามา แต่มากล่าวหาว่ากระบวนการไม่ชอบด้วยกฎหมายต้องรับผิดชอบ ส่วนที่บอกว่าวิธีการที่ได้มาซึ่ง สว.ไม่ชอบนั้น ท่านก็เข้ามาในกระบวนการนี้ด้วย และมากล่าวหาดังนั้นความรับผิดชอบตรงนี้ไม่สามารถเป็นที่ยอมรับได้ ส่วนรายละเอียดของกฎหมายทุกคนคงรู้ว่าลักษณะกฎหมายเป็นอย่างไรจึงขอฝากทำความเข้าใจเรื่องนี้ให้ชัดเจน ว่ากฎหมายบ้านเมืองเป็นหลักในการปกครองบ้านเมือง และประการสำคัญขณะนี้มีกระบวนการจัดตั้งขึ้นมาเพื่อนำไปสู่การแก้ไขรัฐธรรมนูญด้วยวิธีการฉ้อฉลและบิดเบือนอำนาจทุจริตในวงกว้างและพยายามแก้เพื่อนำไปสู่วิกฤตรัฐธรรมนูญ ซึ่งรัฐธรรมนูญที่ใช้ในปัจจุบันพยายามแก้ปัญหาและขจัดคนไม่ดีทุจริตฉ้อฉลมาบริหารบ้านเมืองแต่ขบวนการนี้ย้อนกลับมาอีกครั้งเพื่อให้เกิดวิกฤตรัฐธรรมนูญให้ได้และทำให้ประชาชนเกิดความปั่นป่วนกระด้างกระเดื่อง ซึ่งเป็นสิ่งที่เราต้องช่วยกันเพื่อให้การดำรงอยู่ของการเคารพกฎหมายดำรงอยู่และผาสุขสงบเรียบร้อย ใครก็ตามที่บังอาจบิดเบือนฉ้อฉลไม่สามารถดำเนินการได้ต้องรับผิดชอบ

เมื่อถามว่า จะดำเนินการอย่างไรต่อไป  พล.ต.ต. ฉัตรวรรษ กล่าวว่า ฝ่ายกฎหมายกำลังพิจารณาดูกรอบในการดำเนินการทำได้แค่ไหนอย่างไร โดยจะประสาน กกต. เพื่อสอบถามเรื่องที่ตรวจสอบเรื่องร้องเรียนว่าดำเนินการไปถึงไหนเพื่อนำผลการตรวจสอบมาเป็นข้อมูลประกอบและรวบรวมกับข้อกฎหมายที่จะดำเนินการต่อไป

เมื่อถามว่า ส่วนรู้สึกอย่างไรที่ถูกกล่าวหา นายมงคล กล่าวว่า ไม่สบายใจ เพราะหน่วยงานที่มีอำนาจทำหน้าที่ตรวจสอบอยู่แล้ว พวกเราเองโดยเฉพาะตนและรองประธานวุฒิสภาทั้ง 3 ได้รับการตรวจสอบ และได้รับการโปรดเกล้าฯเป็นประธานวุฒิสภา โดยชอบด้วยรัฐธรรมนูญแล้ว ต่อมาได้ให้ความร่วมมือกับ กกต. ในการตรวจสอบขอข้อมูลอะไรมาก็ให้ กกต.ตรวจสอบตลอด หากพบผู้ใดกระทำผิดก็ได้ดำเนินการไปตามอำนาจหน้าที่ ของ กกต.ในฐานะหน่วยงานรับผิดชอบเรื่องนี้โดยตรง แต่เหตุไฉนหน่วยงานที่ไม่ได้มีอำนาจหน้าที่ อยู่ดีๆก็มาให้ข่าวมาออกข่าว ก่อให้เกิดความรู้สึกว่า เป็นหน้าที่ของเราในการปกป้องสิทธิ ศักดิ์ศรีของวุฒิสภาสมาชิก

สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นกลเกมการเมืองหรือไม่ พ.ต.อ.กอบ กล่าวว่า ถ้าจะมองให้รอบคอบการใช้กฎหมายมาอ้างอิงในการดำเนินคดีกับคณะวุฒิสมาชิกในครั้งนี้เป็นการใช้ข้อกฎหมายไม่ตรงตามข้อเท็จจริง การที่กลุ่มบุคคลกระทำการเช่นนนี้โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมดำเนินการ มองได้แล้วว่าเป็นเกมการเมืองหรือไม่ โดยการอ้างกฎหมายอาญามาใช้โดยมิชอบ เป็นการใช้กฎหมายเพื่อสร้างปัญหาให้กับการบริหารการปกครองบ้านเมือง มีกลุ่มคนที่ไม่สำนึกนำพาไม่เคารพกติกากฎเกณฑ์ของบ้านเมืองเพื่อสร้างวิกฤตรัฐธรรมนูญ การใช้กฎหมายอาญามาตรา 116 มาอ้างว่า กลุ่มที่สมัคร สว.ที่ได้รับการรับรองจากกกต.แล้ว ไปยุยงปลุกปั่นก่อให้เกิดความไม่สงบเรียบร้อยเพื่อให้ละเมิดกฎหมายบ้านเมือง อันนี้ถ้ามองด้วยหลักกฎหมายที่ถูกต้องผู้ที่ทำการนี้ เป็นพวกกล่าวหานำเรื่องไปให้ดีเอสไอต่างหาก ที่พยายามบั่นทอนความมั่นคง 3 เสาหลักของระบอบประชาธิปไตยเรามีอำนาจบริหารนิติบัญญัติและตุลาการ ซึ่งรัฐธรรมนูญให้อำนาจ ตรวจสอบถ่วงดุลกับ 3 อำนาจนี้ ดังนั้นการที่ ดีเอสไอ หรือรัฐมนตรี กล่าวหาเป็นการบิดเบือนและฉ้อฉลอำนาจตามรัฐธรรมนูญ จะเป็นการเมืองหรือไม่ท่านก็พิจารณาได้ ลักษณะอย่างนี้ไม่ควรเกิดขึ้นในบ้านเมืองเรา เพราะตอนนี้มีปัญหาเกิดขึ้นรอบด้าน ปัญหาที่คณะรัฐมนตรีต้องไปแก้ไขมากมายทำไมไม่ไปทำ มาสั่นคลอนกระบวนการนิติบัญญัติมันใช่หรือไม่

พ.ต.อ.กอบ กล่าวว่า รัฐสภาเป็นองค์กรใช้นิติบัญญัติแทนประชาชน จะมายุแยงยั่วยุ หรือปลุกปั่นประชาชน กล่าวหาฝ่ายนิติบัญญัติแสดงว่าบ้านเมืองไม่ได้ปกครองด้วยกฎหมาย เมื่อไม่มีการปกครองโดยใช้กฎหมายจะเอาหลักอะไรมาบริหารประเทศ อยากรู้ว่าจะแก้ปัญหารอบด้านแนวชายแดนอย่างไร ต้องให้ต่างประเทศมาช่วยแก้หรือชี้นำหรือไม่ ถ้ามีคนต่างด้าวมาทำผิดกฎหมายบ้านเมืองเราแล้วอยู่ๆไปทำสั่นคลอนกระบวนการยุติธรรมและยกฟ้องคดีสำคัญ ท่านรู้จักตู้ห่าวหรือไม่เป็นตัวอย่างเล็กๆที่ใช้อำนาจทุจริตเชิงประจักษ์ เป็นการกระทำปกติววิสันฉ้อฉลบิดเบือนกฎหมาย และกระบวนการนี้กลับมาอีกครั้งเพื่อแก้รัฐธรรมนูญ ปี2560 ซึ่งได้แก้ปัญหานี้ไปแล้วด้วยการกำหนดไม่ให้คนที่มีความไม่ซื่อสัตย์เข้ามา บริหารบ้านเมือง ประชาชนไม่ได้มีหน้าที่ปกป้องหรือรับใช้ การกระทำการเพื่อให้การเมืองอยู่ด้วยความสงบเรียบร้อยแต่ประชาชนมีหน้าที่ป้องกันคนดี ให้คนดีมีโอกาสปกครองบ้านเมืองตอนนี้ประชาชนสับสนเพราะมีคนปลุกปั่น โดยใช้กฎหมายบิดเบือน

“เราไม่อยากระบุบุคคล แต่ที่ปรากฎตามสื่อกลุ่มกระบวนการนี้กำเริบสืบสานไปเรื่อยๆไม่ให้มีการใช้อำนาจนิติบัญญัติโดยปกติเรียบร้อย และบ้านเมืองจะเกิดความวุ่นวาย เป็นวิกฤตรัฐธรรมนูญ จะได้แก้รัฐธรรมนูญอีกครั้งเพื่อให้กระบวนการนี้กลับมาพี่น้องยอมไหมครับ การที่สว. เข้ามาเป็นการปกป้องประโยชน์ประชาชนซึ่งเป็นหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญที่บอกไว้ว่าองค์กรไหนทำหน้าที่อะไรบ้าง กกต.มีหน้าที่ ตรวจสอบทำให้การเลือกตั้งเป็นไปโดยสุจริตเที่ยงธรรม ซึ่งเป็นสิ่งที่ต้องช่วยกันปกป้อง ส่วนคนที่ไม่มีหน้าที่และก่อความวุ่นวายในบ้านเมืองพวกนี้ต้องถูกดำเนินคดี จะเป็นกระบวนการจากอะไรก็ตาม ต้องดำเนินคดรและถูกตรวจสอบว่ามาอย่างไรมีองค์กรไหนอยู่เบื้องหลังทำอย่างไรให้เกิดความปั่นป่วนขึ้นมา” พ.ต.อ.กอบ กล่าว

พล.อ.เกรียงไกร ศรีรักษ์ รองประธานวุฒิสภา คนที่หนึ่ง กล่าวว่า กระบวนการนี้เป็นปมโยงกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ปี2560 มันไม่ค่อยปกติ จากนี้ไปจะมี สว.จำนวนหนึ่ง ใช้กระ

วุฒิสภา จัดโครงการสัมมนาสมาชิกวุฒิสภา ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 

เมื่อวานนี้ (20 ก.พ.68) ณ สถานพักฟื้นและพักผ่อนกองทัพบกสวนสนประดิพัทธ์ จ.ประจวบคีรีขันธ์ นายมงคล สุระสัจจะ ประธานวุฒิสภา เป็นประธานในพิธีเปิดโครงการสัมมนาสมาชิกวุฒิสภา ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 โดยมี พลเอก เกรียงไกร ศรีรักษ์ รองประธานวุฒิสภา คนที่หนึ่ง นายบุญส่ง น้อยโสภณ รองประธานวุฒิสภา คนที่สอง สมาชิกวุฒิสภา และผู้บริหารของสำนักงานเลขาธิการวุฒิสภาเข้าร่วมโครงการดังกล่าวอย่างพร้อมเพรียง โครงการนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเสริมสร้างความรู้ ความเข้าใจที่ถูกต้องต่อกระบวนงานนิติบัญญัติตามหน้าที่และอํานาจของวุฒิสภาที่รัฐธรรมนูญและกฎหมายกำหนด และเพื่อเสริมสร้างความสัมพันธ์อันดีระหว่างสมาชิกวุฒิสภา 

สำหรับการสัมมนาในวันนี้เป็นกิจกรรมสัมพันธภาพของสมาชิกวุฒิสภา ซึ่งได้รับเกียรติจาก รองศาสตราจารย์สมควร โพธิ์ทอง และทีมวิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิและมีประสบการณ์ด้านการทํากิจกรรมกลุ่มสัมพันธ์ เพื่อสร้างสรรค์มิตรภาพที่ดีต่อกัน อันจะยังให้การทำงานร่วมกันของสมาชิกวุฒิสภาเป็นไปได้อย่างราบรื่นและบรรลุวัตถุประสงค์ ก่อให้เกิดประโยชน์ต่อประเทศชาติและประชาชนตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญต่อไป รายละเอียดเพิ่มเติม https://www.facebook.com/share/p/1AuU63rNpi/?mibextid=oFDknk

สำนักงานตำรวจแห่งชาติขับเคลื่อนปราบปรามยาเสพติดอย่างมีประสิทธิภาพในทุกมิติ แถลงผลการจับกุมคดียาเสพติดรายสำคัญ 3 คดี

ตามที่ นายกรัฐมนตรีได้แถลงต่อรัฐสภาเมื่อวันที่ 12 ก.ย.67 ว่า รัฐบาลจะเร่งแก้ไขปัญหาอาชญากรรมที่สร้างความเดือดร้อนให้แก่ประชาชนใน 2 เรื่องที่สำคัญ ได้แก่ ยาเสพติด และอาชญากรรมออนไลน์ อย่างเด็ดขาดและครบวงจร นั้น 
 
ในส่วนของยาเสพติด พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์  ผบ.ตร., พล.ต.อ.ไกรบุญ ทรวดทรง รอง ผบ.ตร./ผอ.ศอ.ปส.ตร. และ พล.ต.อ.ประจวบ วงศ์สุข รอง ผบ.ตร./ประธานอนุกรรมการป้องกัน ปราบปรามการพักคอยยาเสพติดในพื้นที่ตอนใน และสกัดกั้นการลำเลียงยาเสพติดลงสู่พื้นที่ภาคใต้ ได้สั่งการให้ตำรวจภูธรภาค 1 ซึ่งรับผิดชอบพื้นที่ตอนในรอบ กทม.และปริมณฑล รวม 9 จว. ทำการสืบสวนหาข่าวเพื่อทำลายแหล่งพักคอยและรวบรวมยาเสพติดที่ลักลอบนำเข้ามาจากประเทศเพื่อนบ้านตามแนวตะเข็บชายแดนเข้ามายังพื้นที่ตอนในเพื่อรอเตรียมส่งต่อให้กับลูกค้า หรือที่เรียกกันว่า 'โกดัง' โดยตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค.67 - ปัจจุบัน ตำรวจภูธรภาค 1 ได้จับกุมคดียาเสพติดรวม 9,727 คดี ผู้ต้องหารวม 9,797 คน  ตรวจยึดของกลางที่สำคัญ ได้แก่ ยาบ้า รวม 35.1 ล้านเม็ด, ไอซ์ 2,870 กิโลกรัม, เคตามีน 36 กิโลกรัม และยาอี 273,349 เม็ด ซึ่งได้มีการแถลงผลการจับกุมอย่างต่อเนื่องไปแล้ว

ในวันนี้ ขอแถลงผลการจับกุมยาเสพติดรายสำคัญ ซี่งสามารถทำการจับกุมได้ในวันที่ 18 - 19 ก.พ.68 รวม 3 คดี

คดีที่ 1 จับกุมแหล่งพักคอย 'ทีมโกดังป่างิ้ว อ่างทอง' พร้อมยาบ้า 8.4 ล้านเม็ด ตำรวจภูธรภาค 1 นำโดย พล.ต.ท.สุรพล เปรมบุตร ผบช.ภ.1, พล.ต.ต.นราเดช ทิพย์รักษ์ รอง ผบช. ภ.1, พล.ต.ต.ชยานนท์ มีสติ รอง ผบช.ภ.1, พล.ต.ต.นฤนาท พุทไธสง ผบก.ภ.จว.พระนครศรีอยุธยา, พล.ต.ต.กิตติ สกุณี ผบก.ภ.จว.อ่างทอง, พล.ต.ต.วรชาติ แสนคำ ผบก.สส.ภ.1 และ พ.ต.อ.จักรพันธ์ โอสถากันต์ ผกก.ปพ.บก.สส.ภ.1 พร้อมกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจ บก.สส.ภ.1

กองบัญชาการตำรวจนครบาล นำโดย พล.ต.ท.สยาม บุญสม ผบช.น., พล.ต.ต.นพศิลป์ พูลสวัสดิ์ รอง ผบช.น., พล.ต.ต.พัลลภ แอร่มหล้า รอง ผบช.น. และ พล.ต.ต.โชติวัฒน์ เหลืองวิลัย ผบก.สส.บช.น.

สำนักงาน ปปส.ภาค 1 นำโดย นาย ทิพเมษฐ์ สังขวรรณะ ผู้อำนวยการสำนักงาน ปปส.ภาค 1 และ ว่าที่ร้อยตรี อากาศ ปานแย้ม นักวิเคราะห์นโยบายและแผนเชี่ยวชาญ สำนักงาน ปปส.ภาค 1

คดีนี้สืบเนื่องจาก เมื่อประมาณเดือน พ.ย.67 เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ทำการจับกุมเครือข่ายยาเสพติดในพื้นที่ อ.พระพุทธบาท จว.สระบุรี และได้มีการสืบสวนขยายผล กระทั่งทราบว่า ยาเสพติดดังกล่าวได้รับมาจากโกดังพัก ยาเสพติด ตั้งอยู่ในพื้นที่ ต.ป่างิ้ว อ.เมือง จว.อ่างทอง เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้เฝ้าติดตามตรวจสอบบริเวณโกดังดังกล่าวเรื่อยมา

ต่อมาในวันที่ 18 ก.พ.68 เวลาประมาณ 22.00 น. เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดจับกุม ได้ตรวจสอบพบว่า มีถุงพลาสติกสีดำจำนวนหลายถุงภายในมีสิ่งของบรรจุอยู่ ถูกวางไว้ภายในบริเวณโกดังดังกล่าว เชื่อว่า มียาเสพติดซุกซ่อนอยู่ภายในถุงพลาสติกสีดำ  และได้มีชาย 4 คน ขับขี่รถจักรยานยนต์เข้ามาภายในบริเวณโกดังดังกล่าวเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดจับกุม จึงได้แสดงตัวและเข้าทำการตรวจค้นภายในโกดัง ผลการตรวจค้น พบยาบ้า จำนวนประมาณ 8,400,000 เม็ด ซุกซ่อนมากับ ขิง ที่บรรจุรวมกันอยู่ภายในถุงพลาสติกสีดำเพื่อปิดบัง อำพราง จึงได้จับกุมชายทั้ง 4 รายดังกล่าวซึ่งพยายามหลบหนี จากการสอบถามผู้ต้องหารับสารภาพว่ากำลัง จะเตรียมแพคยาเสพติดดังกล่าวเพื่อส่งให้แก่ลูกค้า 

จึงได้ทำการขยายผลและสามารถจับกุมผู้ต้องหาซึ่งเป็นลูกค้าขณะนำรถยนต์มารอรับยาเสพติดได้อีก 1 ราย รวมทั้งสิ้น 5 ราย ซึ่งมีการแบ่งหน้าที่กันกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พร้อมทั้งตรวจยึดทรัพย์สินจากผู้ต้องหา ประกอบด้วย โทรศัพท์มือถือและยานพาหนะ รวมมูลค่ากว่า 1 ล้านบาท ซึ่งจะได้ทำการสืบสวนขยายผลต่อไป

สำหรับ ยาเสพติดของกลางทั้งหมดที่ตรวจยึดได้ในครั้งนี้ หากมีการนำไปจำหน่ายให้แก่ลูกค้าทั่วไป จะมีมูลค่ารวมสูงถึง 160,000,000 บาท

คดีที่ 2 จับกุมยาเสพติด เครือข่าย 'แจ็ค หนองไผ่' พร้อมยาบ้า 3.2 ล้านเม็ด คดีนี้สืบเนื่องจาก 1)กรณีเมื่อวันที่ 29 ต.ค.67 เวลาประมาณ 02.30 น. เจ้าพนักงานตำรวจ สภ.พัฒนานิคม จว.ลพบุรี ได้พบรถยนต์กระบะยี่ห้อโตโยต้า รุ่น วีโก้ สีดำ เสียหลักตกถนนบริเวณพื้นที่ ต.ดีลัง อ.พัฒนานิคม จว.ลพบุรี ภายในรถพบยาบ้า ประมาณ 3.2 ล้านเม็ด จึงได้ทำการตรวจยึดส่งพนักงานสอบสวน สภ.พัฒนานิคม จว.ลพบุรี ดำเนินคดีตามกฎหมาย    

2)กรณีเมื่อวันที่ 20 ธ.ค.2567 เวลาประมาณ 17.30 น. เจ้าพนักงานตำรวจ สภ.วิเศษชัยชาญ และ กก.สส.ภ.จว.อ่างทอง ได้ร่วมกันจับกุมผู้ต้องหาพร้อมด้วยของกลางยาบ้า จำนวน 957,980 เม็ด และไอซ์ น้ำหนัก 1,314.3 กรัม เหตุเกิดที่ ต.สาวร้องไห้ อ.วิเศษชัยชาญ จว.อ่างทอง นำส่งพนักงานสอบสวน สภ.วิเศษชัยชาญ ดำเนินคดีตามกฎหมาย

จากการสืบสวนขยายผลจากทั้ง 2 คดีดังกล่าว ทำให้ทราบว่า ยาเสพติดที่พบทั้ง 2 คดีนั้น มีรถยนต์กระบะยี่ห้อมาสด้าสีขาว ตู้ทึบ หมายเลขทะเบียน ผค 8917 เพชรบูรณ์ เป็นผู้ขนลำเลียงยาเสพติดมาจากเขตอีสานเหนือมาส่งแพร่กระจายในพื้นที่ จว.ลพบุรี และ จว.อ่างทอง จึงได้ทำการสืบสวนติดตามพฤติกรรมของรถยนต์กระบะตู้ทึบคันดังกล่าว

ต่อมาในวันที่ 19 ก.พ.68 เวลาประมาณ 16.30 น. พบรถยนต์กระบะยี่ห้อมาสด้า สีขาว ตู้ทึบ เชื่อว่ากำลังขนลำเลียงยาเสพติดจาก จว.เพชรบูรณ์ เข้ามายังพื้นที่ จว.ลพบุรี โดยมีรถยนต์ยี่ห้อฮอนด้า รุ่นโมบิลิโอ้ สีขาว ทะเบียน กบ 5079 เพชรบูรณ์ ทำหน้าที่รถนำ จึงได้ร่วมกันติดตามจนกระทั่งพบรถยนต์กระบะยี่ห้อมาสด้า สีขาว ตู้ทึบฯ มาจอดอยู่บริเวณบ้านหลังหนึ่ง อยู่ที่ ต.โคกลำพาน อ.เมืองลพบุรี จว.ลพบุรี จึงเข้าทำการตรวจค้นและจับกุมผู้ต้องหาจำนวน 4 คน ดังนี้
1. นายฐาปนพงศ์ (ขอสงวนนามสกุล) อายุ 27 ปี ภูมิลำเนาอยู่ที่ จว.ลพบุรี ทำหน้าที่เก็บรักษายาเสพติด และนำยาเสพติดจำหน่ายในพื้นที่ จว.ลพบุรี
2. นายเฉลิมพล (ขอสงวนนามสกุล) อายุ 34 ปี ภูมิลำเนาอยู่ที่ จว.ลพบุรี ทำหน้าที่เก็บรักษายาเสพติด และนำยาเสพติดจำหน่ายในพื้นที่ จว.ลพบุรี
3. นายเครดิต (ขอสงวนนามสกุล) อายุ 35 ปี ภูมิลำเนาอยู่ที่ จว.เพชรบูรณ์ ทำหน้าที่ลำเลียงยาเสพติดจากเขตอีสานเหนือมาส่งในพื้นที่ จว.ลพบุรี
4. นายจีรศักดิ์ (ขอสงวนนามสกุล) อายุ 43 ปี ภูมิลำเนาอยู่ที่ จว.เพชรบูรณ์ ทำหน้าที่เป็นรถนำระหว่างขนลำเลียงยาเสพติด

พร้อมทั้งตรวจยึดของกลางและอายัดทรัพย์สิน ดังนี้
1) ยาบ้า ประมาณ 3,200,000 เม็ด
2) รถยนต์กระบะยี่ห้อมาสด้า สีขาว ตู้ทึบ ทะเบียน ผค 8917 เพชรบูรณ์  (รถขนลำเลียง)
3) รถยนต์ยี่ห้อฮอนด้า รุ่นโมบิลิโอ้ สีขาว ทะเบียน กบ 5079 เพชรบูรณ์  (รถนำ)
4) รถยนต์ยี่ห้ออีซูซุ รุ่น MUX สีเทา หมายเลขทะเบียน 6 กม 5011 กรุงเทพมหานคร 
5) โทรศัพท์มือถือ 5 เครื่อง
6) อายัดเงินในบัญชีธนาคาร ชื่อบัญชี เฉลิมพล (ขอสงวนนามสกุล) จำนวน 521,790.84 บาท

จึงได้นำตัวผู้ต้องหาพร้อมของกลาง ส่งพนักงานสอบสวน สภ.เมืองลพบุรี ดำเนินการตามกฎหมาย

คดีที่ 3 ร่วมกับ บช.ปส. สกัดจับรถลำเลียงยาเสพติดเข้าสู่พื้นที่ตอนใน ได้ไอซ์ น้ำหนักประมาณ 2,464 กิโลกรัม คดีนี้สืบเนื่องจาก เมื่อวันที่ 19 ก.พ.68 เวลาประมาณ 06.00 น. เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.มหาราช ได้รับแจ้งจากเจ้าหน้าที่ตำรวจ บช.ปส. ว่าได้ติดตามรถต้องสงสัยเป็นรถยนต์ตู้ทึบ จำนวน 2 คัน มีรถนำและรถ  ปิดท้าย ขับตามกันมาตามถนนสายเอเชีย จากทางภาคเหนือมุ่งหน้า จว.ปทุมธานี โดยรถตู้ทึบดังกล่าวต้องสงสัยว่าเป็นรถที่ใช้ในการขนยาเสพติด จึงได้ประสานให้เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.มหาราช ตั้งจุดตรวจจุดสกัดรถดังกล่าว พ.ต.อ.วุฒิชัย สุคนธวิท ผกก.สภ.มหาราช จึงได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ตำรวจ ตั้งจุดตรวจจุดสกัดที่ตู้ยาม ต.02 ม.4 ต.ท่าตอ อ.มหาราช จว.พระนครศรีอยุธยา ต่อมาในวันเดียวกัน เวลาประมาณ 07.00 น. เจ้าหน้าที่ตำรวจได้สกัดจับรถยนต์ตู้ทึบ 2 คัน พร้อมรถติดตามอีก 1 คัน ตามข้อมูลที่ได้รับแจ้ง จากการตรวจค้นรถทั้ง 3 คัน พบมีวัตถุเป็นหีบห่อมีสิ่งของบรรจุไว้ ลักษณะคล้ายยาเสพติด อยู่ในรถยนต์ตู้ทึบทั้ง 2 คัน เมื่อแกะออกมาพบวัตถุเกร็ดใสคล้ายยาเสพติด (ไอซ์) ซึ่งจากการตรวจสอบด้วยน้ำยาเคมีพบว่าเป็น ไอซ์ น้ำหนักประมาณ 2,464 กิโลกรัม

จึงทำการจับกุมผู้ต้องหา 3 คน ได้แก่ 
1. นายพิษณุ (ขอสงวนนามสกุล) อายุ  26 ปี สัญชาติ ไทย ภูมิลำเนาอยู่ที่ จว.บุรีรัมย์  
 2. นายสุวิทย์ (ขอสงานนามสกุล)  อายุ 33 ปี สัญชาติ ไทย ภูมิลำเนาอยู่ที่ จ.บุรีรัมย์    
3. นายหล้า (ขอสงานนามสกุล)  อายุ 41 ปี สัญชาติ เมียนมาร์ 
พร้อมด้วยของกลาง 4 รายการ ได้แก่ 
1) รถยนต์กระบะ ตู้ทึบ ยี่ห้ออีซูซุ สีขาว ทะเบียน 1 ฒศ 6772 กรุงเทพฯ
2) รถยนต์กระบะ ตู้ทึบ ยี่ห้อ โตโยต้า สีขาว ทะเบียน 1ฒว 7280 กรุงเทพ


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top