Sunday, 18 May 2025
NewsFeed

ผบ.ตร. ประชุมติดตามสถานการณ์และการแก้ปัญหาคนต่างด้าวกระทำผิดกฎหมาย วาง 4 ขั้นตอนแก้ไขปัญหาเร่งด่วนทุกพื้นที่ สั่งลงดาบตำรวจทำผิดตามนโยบายนายกรัฐมนตรี มอบ "พล.ต.ท.สำราญฯ" กำกับดูแล

(20 ก.พ. 68) เวลา 10.00 น. พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) เป็นประธานการประชุมติดตามการแก้ไขปัญหาคนต่างด้าวหลบหนีเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย และคนต่างด้าวถูกหลอกลวง หรือประกอบธุรกิจผิดกฎหมาย และอาชญากรรมข้ามชาติ โดยมี พล.ต.อ.ธนา ชูวงศ์ รอง ผบ.ตร. , พล.ต.ท.สำราญ นวลมา ผู้ช่วย ผบ.ตร. , พล.ต.ท.อิทธิพล อิทธิสารรณชัย ผู้ช่วย ผบ.ตร. , พล.ต.ท.สรายุทธ สงวนโภคัย ผู้ช่วย ผบ.ตร. และผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั่วประเทศเข้าร่วมประชุม ณ ศปก.ตร. อาคาร 1 สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และทางระบบประชุมทางไกล 

ในที่ประชุมฯ ผบ.ตร. ได้ประชุมติดตามสถานการณ์และข้อมูลเชิงวิเคราะห์ จึงได้สั่งการให้เร่งรัดการปฏิบัติในการตรวจสอบชาวต่างชาติที่เดินทางเข้ามาในประเทศไทย และประกอบกิจกรรมต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นพื้นที่ใดก็ตาม เพื่อตอบข้อเคลือบแคลงของพี่น้องประชาชนและสังคม หากพบการกระทำผิดให้ดำเนินการตามกฎหมาย โดยมอบหมายให้ พล.ต.ท.สำราญ นวลมา ผู้ช่วย ผบ.ตร. กำกับดูแลการปฏิบัติ โดยเน้นย้ำการปฏิบัติใน 4 ขั้นตอน ได้แก่
1. ตรวจสอบ : ให้หน่วยปฏิบัติที่เกี่ยวข้องตรวจสอบข้อมูลชาวต่างชาติเดินทางเข้ามาในประเทศไทยในทุกมิติ รวมทั้งตรวจสอบข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้อง เพื่อดำเนินการอย่างเข้มงวดโดยไม่กระทบกับการท่องเที่ยว 
2. ปฏิบัติการ : ให้หน่วยที่เกี่ยวข้องประสานการปฏิบัติ ลงพื้นที่ตรวจสอบชาวต่างชาติที่พำนักในพื้นที่ เช่น ที่พัก แผนการท่องเที่ยว การรวมกลุ่มประกอบกิจกรรม หรือพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม เป็นต้น
3. บังคับใช้กฎหมาย :  หากพบมีการทำความผิดของชาวต่างชาติ ต้องดำเนินการตามกฎหมายอย่างเข้มงวดทันที
4. ประชาสัมพันธ์ : สร้างการรับรู้และความเข้าใจที่ถูกต้อง เพื่อตอบคำถาม ลดความเคลือบแคลงสงสัยของสังคมและประชาชน และให้ข้อเท็จจริงปรากฏต่อสื่อต่าง ๆ 

นอกจากนี้ ในที่ประชุมได้ติดตามสถานการณ์ด้านการข่าวเชิงวิเคราะห์ แนวโน้มสถานการณ์การกระทำความผิดของคนต่างด้าวและแก๊งคอลเซ็นเตอร์พื้นที่จังหวัดเฝ้าระวัง เส้นทาง และรูปแบบการกระทำความผิด รวมทั้งผลการดำเนินการด้านกฎหมายและกลไกการส่งต่อระดับชาติ โดย ผบ.ตร.กำชับทุกพื้นที่/จังหวัด ปรับแผนการปฏิบัติและติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด เนื่องจากแก๊งคอลเซ็นเตอร์เริ่มมีความเคลื่อนไหวจากมาตรการต่าง ๆ จะต้องมีการวางแผนล่วงหน้ารับมือในทุกมิติ 

ทั้งนี้ ผบ.ตร. กำชับเข้มงวด หากพบตำรวจรายใดเกี่ยวข้องในการกระทำผิด เอื้อประโยชน์ ประพฤติมิชอบด้วยกฎหมาย จนเกิดความเสียหายต่อภาพลักษณ์ของหน่วยพื้นที่ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และประเทศชาติ ให้ดำเนินการทางปกครอง วินัย และอาญาเด็ดขาด ซึ่งเป็นไปตามนโยบายของ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี กำชับหากพบเจ้าหน้าที่กระทำผิดให้ดำเนินการตามกฎหมายทันที 

พร้อมกันนี้ ผบ.ตร.ขอให้ผู้บังคับบัญชาถ่ายทอดข้อสั่งการและเจตนารมณ์ของนายกรัฐมนตรี และ ผบ.ตร.ไปยังเจ้าหน้าที่ตำรวจในสังกัดทุกนาย โดยให้คำนึงถึงประโยชน์ของชาติบ้านเมืองเป็นสำคัญ ขอให้ตั้งใจปฏิบัติหน้าที่ ไม่เพิกเฉยต่อปัญหาของประเทศ และต้องไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยว พัวพันกับการกระทำผิดเด็ดขาด และขอบคุณตำรวจทุกนายที่ร่วมปฏิบัติหน้าที่ ขอให้ตั้งใจทำงาน รักษาความดี ร่วมกันแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนและประเทศชาติต่อไป

‘สุริยะ’ เผยเตรียมเปิดสายสีชมพูเข้า 'เมืองทองธานี' ปักหมุดนั่งฟรี 1 เดือน เริ่มให้บริการมิถุนายนนี้

‘สุริยะ’ เผยรถไฟสายสีชมพูส่วนต่อขยาย ช่วงสถานีศรีรัช – เมืองทองธานี เตรียมเปิดให้ประชาชนนั่งฟรี 1 เดือน เริ่มปลายเดือน มิ.ย. 68 ก่อนเปิดเต็มรูปแบบ 19 ก.ค.นี้ ยันเข้าร่วมมาตรการ 20 บาทตลอดสาย เดินทางสะดวกไปอิมแพ็คฯ – ทะเลสาบเมืองทอง

(20 ก.พ. 68) นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยถึงความคืบหน้าโครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพูส่วนต่อขยาย ช่วงสถานีศรีรัช – เมืองทองธานี จำนวน 2 สถานี รวมระยะทาง 3 กิโลเมตร (กม.) วงเงินลงทุน 4,072 ล้านบาทว่า จากข้อมูล ณ สิ้นเดือนมกราคม 2568 ภาพรวมโครงการมีความก้าวหน้า 85.97% แบ่งเป็น งานโยธา 87.88% และงานระบบฯ 82.22% เร็วกว่าแผน 2.17%

ทั้งนี้ คาดการณ์ว่า จะเข้าสู่กระบวนการทดสอบเดินรถเสมือนจริงในช่วงปลายเดือนพฤษภาคม 2568 จากนั้นในช่วงปลายเดือนมิถุนายนจะเปิดให้ประชาชนทดลองใช้บริการฟรี 1 เดือน ก่อนที่จะเปิดให้บริการเต็มรูปแบบในวันที่ 19 กรกฎาคม 2568 ในอัตราค่าโดยสาร 15-22 บาท และจะเข้าร่วมมาตรการค่ารถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสายภายในเดือนกันยายน 2568 ต่อไป

นอกจากนี้ การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) ได้รายงานยอดใช้บริการของผู้โดยสารรถไฟฟ้าสายสีชมพูส่วนหลัก ช่วงแคราย – มีนบุรี ระบุว่า ในช่วงเดือนมกราคม 2568 มีผู้ใช้บริการรวม 2,108,209 คน – เที่ยว เฉลี่ยวันละ 68,007 คน- เที่ยว (วันที่ 25 – 31 มกราคม 2568 ให้บริการโดยไม่คิดค่าโดยสาร) ขณะที่ในช่วงวันที่ 1-17 กุมภาพันธ์ 2568 มียอดใช้บริการรวม 1,022,667 คน – เที่ยว เฉลี่ยวันละ 36,524 คน – เที่ยว (วันที่ 14 – 17 กุมภาพันธ์ 2568 ยังไม่รวม EMV) อย่างไรก็ตาม เชื่อว่า ปริมาณผู้โดยสารมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องแน่นอน

สำหรับโครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพูส่วนต่อขยาย ช่วงสถานีศรีรัช – เมืองทองธานี เป็นระบบรถไฟฟ้า Monorail เหมือนกับโครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพู ช่วงแคราย – มีนบุรี (ส่วนหลัก) ที่เปิดให้บริการไปแล้ว นับเป็นอีกหนึ่งโครงข่ายของระบบขนส่งด้วยรถไฟฟ้าที่ครอบคลุมการเดินทางในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล ซึ่งจะสนับสนุนให้ประชาชนใช้บริการรถขนส่งสาธารณะมากขึ้น รวมถึงช่วยลดปริมาณจราจรบนถนนแจ้งวัฒนะ และลดปัญหาฝุ่น PM 2.5 ในเขตเมือง

นอกจากนี้ มีการก่อสร้างทางเดิน Skywalk เชื่อมต่อระหว่างสถานีและอาคารชาเลนเจอร์ เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับผู้ใช้บริการรถไฟฟ้าที่จะเดินทางไปร่วมงาน Expo คอนเสิร์ต หรือ Event ต่าง ๆ ที่อิมแพคเมืองทองธานี โดยผู้ใช้บริการจะต้องลงที่สถานีอิมแพ็คเมืองทองธานี (MT01) และใช้ทางออกที่ 3 เพื่อเดินทางต่อไปยังอาคารชาเลนเจอร์ อิมแพคอารีน่า เมืองทองธานี

‘พระสังฆราช (ศรี)’ สมเด็จพระสังฆราช 2 กรุง ผู้ยึดมั่นในความสัตย์แห่งบรรพชิต เพื่อมุ่งสู่อเสขภูมิอันแท้จริง

ครั้งเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่ ๒ ในปี พ.ศ. ๒๓๑๐ มีพระภิกษุนามว่า “พระอาจารย์ศรี” แห่งวัดพนัญเชิง ได้หนีภัยสงครามไปพำนักอยู่ ณ จังหวัดนครศรีธรรมราช เมื่อถึงปี พ.ศ. ๒๓๑๒ “สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี” เสด็จฯ ไปตีเอาเมืองนครศรีธรรมราช ได้พบพระอาจารย์ท่านนี้ นัยว่าเนื่องจากพระอาจารย์ศรีเป็นผู้แตกฉานในบาลี รู้แจ้งแทงตลอดในพระธรรมคำสอนทั้งหลายเป็นที่ยอมรับ จึงได้นิมนต์ท่านให้มาจำพรรษาอยู่ ณ วัดบางหว้าใหญ่ (วัดระฆังโฆษิตาราม) ซึ่ง ณ ขณะนั้นเป็นวัดสำคัญคู่กรุงธนบุรี ก่อนจะทรงสถาปนาเป็นพระอาจารย์ท่านขึ้นเป็นสมเด็จพระสังฆราช นับเป็นสมเด็จพระสังฆราชพระองค์ที่ ๒ แห่งกรุงธนบุรี

แต่ทว่าสมเด็จพระสังฆราช (ศรี) นั้น ทรงได้พบเคราะห์กรรมใหญ่หลวงใน พ.ศ. ๒๓๒๔ ช่วงปลายกรุงธนบุรี ตามบันทึกในหน้าประวัติศาสตร์เหตุครั้งนั้นเกิดขึ้นจากพระราชปุจฉาของสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีนั่นเอง 

เรื่องนี้นับมาจากครั้งเสร็จศึกอะแซหวุ่นกี้ราวปี พ.ศ. ๒๓๑๙ สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี ทรงเริ่มต้นเจริญพระกรรมฐาน ณ พระอุโบสถวัดบางยี่เรือใต้ โดยทรงทำบุญแล้วตั้งพระสัตยาธิษฐาน มีบันทึกไว้พระราชพงศาวดารฉบับพระราชหัตถเลขาดังนี้

“เดชะผลทานบูชานี้ ขอจงยังพระลักขณะพระปีติทั้งห้าจงบังเกิดแก่ข้าพเจ้าแล้วอย่าได้อันตรธาน และพระธรรมซึ่งยังมิได้บังเกิดนั้น ขอจงบังเกิดภิญโญภาพยิ่งๆ ขึ้นไป อนึ่ง ขอจงเป็นปัจจัยแก่พระปรมาภิเษกสมโพธิญาณในอนาคตกาลภายภาคหน้า” ซึ่งหลังจากนั้นก็ได้มีเหตุแห่งปาฏิหาริย์อย่างต่อเนื่องจนพระองค์เชื่อว่าพระองค์ทรงบรรลุโสดาบัน !!! และนั่นคือปัจจัยหนึ่งแห่งเหตุวุ่นวายในปลายรัชกาล

จากพงศาวดารกรุงธนบุรี บันทึกว่า สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีทรงคร่ำเคร่งทำกรรมฐาน จนเข้าใจว่าทรงบรรลุเป็นพระอริยบุคคล จึงทรงมีปุจฉาถามพระผู้ใหญ่หลายๆ รูปว่า พระสงฆ์จะไหว้คฤหัสถ์ที่เป็นพระโสดาบันได้หรือไม่ ? 

มีพระผู้ใหญ่สองรูปคือ พระรัตนมุนี (แก้ว) กับพระวันรัตน์ (ทองอยู่) ถวายพระพรว่า พระสงฆ์ไหว้คฤหัสถ์ที่เป็นพระโสดาบัน “ได้” จึงทำให้ทรงโปรดพระสงฆ์สองรูปนี้มาก ส่วนพระผู้ใหญ่ ๓ รูปที่ถวายพระพรว่า “ไม่ได้” ประกอบด้วย สมเด็จพระสังฆราช (ศรี)  พระพุฒาจารย์ วัดบางหว้าน้อย (วัดอมรินทราราม) และพระพิมลธรรม วัดโพธาราม (พระเชตุพนฯ) ประกอบเหตุตามหลักในพระพุทธศาสนาความว่า

“ถึงมาตรว่าคฤหัสถ์เป็นพระโสดาก็ดี แต่เป็นหินเพศต่ำ อันพระสงฆ์ถึงเป็นปุถุชน ก็ตั้งอยู่ในอุดมเพศอันสูง เหตุทรงผ้ากาสาวพัสตร์ และพระจตุปาริสุทธิศีลอันประเสริฐ ซึ่งจะไหว้นบคฤหัสถ์ อันเป็นพระโสดานั้นก็บ่มิควร”

จากข้อวิสัชชนาดังกล่าวทำให้ สมเด็จพระสังฆราช (ศรี) พร้อมๆ กับพระพุฒาจารย์ และพระพิมลธรรม ถูกถอดมาเป็นพระอนุจร แล้วนำไปเฆี่ยน และให้ไปใช้แรงงาน ณ วัดหงส์รัตนาราม โดยสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีทรงตั้งพระโพธิวงษ์ (ชื่น) วัดหงส์รัตนารามขึ้นเป็นสมเด็จพระสังฆราชแทน

ขออธิบายเรื่อง พระโสดาบันเพศคฤหัสถ์ ทำไม ? จึงยังต้องไหว้พระภิกษุสามเณรปุถุชนซึ่งเป็นเพศบรรพชิต โดยผมขอยกเหตุผลมาจากมิลินทปัญหา พระเจ้ามิลินท์ได้ทรงมีปุจฉาถามพระนาคเสนเมื่อปุถุชนบรรลุโสดาบัน เหตุใดบรรพชิตจึงไม่ไหว้ปุถุชนผู้นั้นทั้ง ๆ ที่ได้บรรลุแล้วซึ่งโลกุตรธรรม ?  โดยพระนาคเสนได้วิสัชชนาเรื่องนี้ไว้ว่า 

“เพศบรรพชิตอันเป็นสมณะนั้นประกอบด้วยคุณสมบัติภายใน ๒๐ ประการคือ ๑.) เสฏฐภูมิสโย เป็นผู้ตั้งอยู่ในภูมิอันประเสริฐ ประกอบด้วยกรุณา และความสัตย์เป็นต้น ๒.) อคฺโคนิยโม คือ นิยมในกิจอันประเสริฐ ๓.) จาโร มีความประพฤติชอบ ๔.) วิหาโร มีวิหารธรรมและอิริยาบถอันสมควร ๕.) สญฺญโม สำรวมอินทรีย์ ๖.) สํวโร สำรวมในปาฏิโมกข์สังวรศีล ๗.) ขนฺติ ความอดทน ๘.) โสรจฺจํ ความเป็นผู้สงบเสงี่ยม ๙.) เอกันตาภิรติ ยินดีในธรรมเป็นอันแท้ ๑๐.) เอกันตจริยา ประพฤติธรรมเที่ยงแท้ ๑๑.) ปฏิสลฺลินี มีปกติเข้าที่หลีกเร้น ๑๒.) หิริ มีความละอายบาป ๑๓.) โอตฺตปฺป มีความเกลียดกลัวบาป ๑๔.) วิริยํ มีความเพียร ๑๕.) อปฺปมาโท มีความไม่ประมาท ๑๖.) อุทฺเทโส บอกกล่าวเล่าเรียนบาลี ๑๗.) ปริปุจฺฉา เล่าเรียนบอกกล่าวอรรถกถา ๑๘.)สีลาภิรติ ความยินดีในคุณธรรมมีศีล ๑๙.) นิราลยตา ความไม่มีความอาลัย และ ๒๐.) สิกขาปทปาริปูรี เป็นผู้บำเพ็ญสิกขาบทให้เต็มบริบูรณ์ ซึ่งในสุดท้ายนี้ยังประกอบด้วยเครื่องหมายภายนอกของผู้เป็นสมณะ ได้แก่ ภณฺทาภาโร เป็นผู้ทรงผ้ากาสาวพัตร และมุณฺฑภาโว เป็นผู้มีศีรษะโล้น” 

โดยพระนาคเสนอธิบายเพิ่มเติมว่าสมณะประกอบด้วยคุณสมบัติเหล่านี้ เต็มบริบูรณ์แล้ว ไม่ขาดตกบกพร่อง กำลังดำเนินไปเพื่ออเสขภูมิ เพื่อพระอรหัตผล ภิกษุเหล่านั้นอยู่ ในฐานะเสมอด้วยพระอรหันต์ขีณาสพ แต่อุบาสกผู้โสดาบันไม่มีคุณสมบัติเหล่านั้น ภิกษุทั้งหลายมีสิทธิฟังพระปาฏิโมกข์ แต่อุบาสกผู้เป็นโสดาบันไม่มีสิทธิ ภิกษุมีสิทธิเป็นพระอุปัชฌาย์ ให้ การบรรพชาอุปสมบทแก่กุลบุตร ทำให้พระศาสนาเจริญมั่นคง แต่อุบาสกผู้เป็นโสดาบันไม่มีสิทธิเช่นนั้น ภิกษุมีสิทธิและหน้าที่ในการรักษาสิกขาบทน้อยใหญ่ ให้บริสุทธิ์บริบูรณ์ แต่อุบาสกผู้เป็นโสดาบันไม่มีอำนาจหน้าที่เช่นนั้น... พระนาคเสนได้ยกตัวอย่างประกอบเพิ่มเติมว่า “เหมือนเจ้าชายผู้ได้ศึกษา ศิลปวิทยายุทธจากปุโรหิตาจารย์ประจำราชสกุล ต่อมาแม้เมื่อเจ้าชายนั้นได้รับ พระบรมราชาภิเษกเป็นพระราชาแล้ว ก็ยังคงเคารพปุโรหิตนั้นในฐานะเป็นอาจารย์อยู่อย่างเดิม” 

เพราะฉะนั้น การไหว้ จึงไหว้ด้วยความเหมาะสม ไม่ได้ไหว้ ไปเจาะจงที่ตัวบุคคล เป็นสำคัญ แต่ไหว้ในความประเสริฐของเพศบรรพชิตเป็นสำคัญ จบคำอธิบายไว้ตรงนี้ แล้วกลับมาเรื่องของ สมเด็จพระสังฆราช (ศรี) กันต่อ 

เมื่อเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกทรงปราบดาภิเษกขึ้นเป็นพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก เมื่อ พ.ศ. ๒๓๒๕ ก็ทรงโปรดเกล้าฯ ให้ถอดยศสมเด็จพระสังฆราช (ชื่น) วัดหงส์รัตนาราม ลงเป็น พระธรรมธีรราชมหามุนี โดยทรงมีพระปรารภว่า "มีความรู้มาก เสียดายแต่ว่ามีสันดานสอพลอ" ทรงมีดำรัสว่า 

“สมเด็จพระสังฆราช (ชื่น) วัดหงส์ ซึ่งเจ้ากรุงธนบุรีตั้งขึ้นใหม่นั้นก็เป็นพวกอาสัตย์สอพลอพลอยว่าตาม นายแก้ว นายทอง อยู่ไปมิได้เป็นต้นเหตุ แต่รู้พระไตรปิฎกมาก เสียดายอยู่ อย่าให้สึกเลย และที่พระวันรัตนั้นว่างอยู่หาตัวมิได้ จึงโปรดตั้งให้เป็นพระธรรมธีรราชมหามุนี (ชื่น) ว่าที่พระวันรัต ซึ่งรองจากสมเด็จพระสังฆราช” 

รับสั่งให้ พระรัตนมุนี (แก้ว) สึกจากพระ แต่ยังทรงเมตตาให้เข้ารับราชการเป็น “พระอาลักษณ์” เป็นผู้ขนานพระนามพระองค์เจ้าต่างกรม  ส่วนพระวันรัต (ทองอยู่) ให้สึกจากพระ แล้วโปรดเกล้า ฯให้ไปเป็น “หลวงอนุชิตพิทักษ์” อยู่ในกรมมหาดไทย 

ส่วนพระราชาคณะทั้งปวงนั้น ที่เออออไปด้วยกลัวพระราชอาชญาจากสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีนั้น ทรงพระกรุณาให้ยกโทษเสียทั้งสิ้น แต่ที่พระธรรมโคดมนั้นต้องกับพระสัพพัญญูเจ้า จึงดำรัสให้แปลงนามเสียใหม่ โปรดให้พระเทพกวีเลื่อนขึ้นเป็นที่พระธรรมอุดม ให้พระธรรมโฆษาวัดปากน้ำ เป็นพระเทพกวี ให้มหานากเปรียญเอก วัดบางหว้าใหญ่ (วัดระฆังฯ) เป็นพระพุทธโฆษาจารย์ ให้มหาเรืองข้าหลวงเดิมวัดบางหว้าใหญ่ (วัดระฆังฯ) เป็นพระเทพมุนี ให้มหาเกสรเปรียญโทวัดโพธาราม (วัดพระเชตุพนฯ) เป็นพระญาณสิทธิ์ ฯลฯ

จากนั้นก็โปรดสถาปนาพระอาจารย์ศรี วัดบางหว้าใหญ่ (วัดระฆังโฆสิตาราม) ขึ้นดำรงสมณศักดิ์ที่ "สมเด็จพระสังฆราช" พระพุฒาจารย์ และพระพิมลธรรมนั้น ก็ทรงโปรดเกล้าฯ ให้คืนสมณศักดิ์ และตำแหน่งดังเดิม พร้อมให้กลับไปครองวัดเก่าที่เคยสถิต 

พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชและกรมพระราชวังบวรสถานมงคลทรงมีพระดำรัสสรรเสริญว่า “พระผู้เป็นเจ้าทั้ง ๓ นี้มีสันดานสัตย์ซื่อมั่นคง ดำรงรักษาพระพุทธศาสนาโดยแท้ มิได้อาลัยแก่ร่างกายและชีวิต ควรเป็นที่นับถือไหว้นบเคารพสักการบูชา แม้มีข้อสงสัยสิ่งใดในพระบาลีภายหน้า จะให้ประชุมพระราชาคณะไต่ถาม ถ้าพระผู้เป็นเจ้าทั้ง ๓ ว่าอย่างไรแล้ว พระราชาคณะอื่นๆ จะว่าอย่างอื่นไป ก็คงจะเชื่อถ้อยคำพระผู้เป็นเจ้าทั้ง ๓ ซึ่งจะเชื่อถ้อยฟังความตามพระราชาคณะอื่นๆ ที่เป็นพวกมากนั้นหามิได้” 

ทั้งยังทรงโปรดเกล้าฯ ให้พระสงฆ์วัดบางหว้าใหญ่ (วัดระฆังฯ) และวัดโพธาราม (วัดพระเชตุพนฯ) เข้ามารับบิณฑบาตในพระราชวังทั้ง ๒ พระอาราม ให้ผลัดเวรกันวัดละ ๗ วัน เป็นนิจกาล ให้รื้อตำหนักทองของสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีนั้นไปปลูกเป็นกุฎีถวายสมเด็จ ฯ พระสังฆราช (ศรี) 

สมเด็จพระสังฆราช (ศรี) หลังจากได้ครองสมณศักดิ์ที่สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก หนที่ ๒ ก็เป็นกำลังสำคัญในการทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาในช่วงสร้างกรุง พระองค์มีกรณียกิจสำคัญในการสังคายนาพระไตรปิฎกครั้งแรกของกรุงรัตนโกสินทร์ในปี พ.ศ.๒๓๓๑ และเป็นการสังคายนาพระไตรปิฎกครั้งที่ ๒ ของสยามประเทศ สมเด็จพระสังฆราชได้เลือกพระราชาคณะฐานานุกรม เปรียญอันดับที่เล่าเรียนพระไตรปิฎกได้พระสงฆ์ ๒๑๘ รูป กับราชบัณฑิตยาจารย์ ๓๒ คน ทำการสังคายนาที่วัดนิพพานาราม แบ่งพระสงฆ์ออกเป็น ๔ กอง ดังนี้ สมเด็จฯ เป็นแม่กองชำระพระสุตตันปิฎก พระวันรัต เป็นแม่กองชำระพระวินัยปิฎก พระพิมลธรรม เป็นแม่กองชำระพระสัททาวิเศส และพระธรรมไตรโลก (ชื่น) เป็นแม่กองชำระพระปรมัตถปิฎก โดยสังคายนาที่วัดนิพพานาราม (วัดมหาธาตุฯ) ใช้เวลา ๕ เดือน จึงแล้วเสร็จ

สมเด็จพระสังฆราช (ศรี) ทรงดำรงทรงดำรงตำแหน่งหนที่ ๒ เมื่อปี พ.ศ.๒๓๒๕ จนกระทั่งประชวรถึงสิ้นพระชนม์ในวันที่ ๑๖ เดือน สิงหาคม พ.ศ. ๒๓๓๗ รวมระยะเวลา ๑๒ ปี

“รื้อ ลด ปลด สร้าง พลังงานไทย” เปิด 10 ผลงานเด่น ‘พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค’ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีพลังงาน ในรอบปี 2567 มีอะไรบ้าง ไปส่องกันเลย

“รื้อ ลด ปลด สร้าง พลังงานไทย” เปิด 10 ผลงานเด่น ‘พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค’ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีพลังงาน ในรอบปี 2567 มีอะไรบ้าง ไปส่องกันเลย

‘ลุงตู่' อวยพร ‘ธนกร-แคทลีน’ ก่อนจูงมือเข้าสู่พิธีมงคลสมรส 22 ก.พ.นี้

‘ลุงตู่’ อวยพร ‘ธนกร-แคทลีน’ รักดูแลกันตลอดไป ก่อนพิธีมงคลสมรส 22 ก.พ.นี้ เผยเชิญ ‘ทักษิณ’ ร่วมงานด้วย

(20 ก.พ. 68) นายธนกร วังบุญคงชนะ รองหัวหน้าพรรค และ สส.บัญชีรายชื่อ พรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) ได้เผยแพร่ภาพในโซเชียล เข้าพบ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา องคมนตรี เพื่อขอพรและเชิญร่วมพิธีมงคลสมรสของตนกับ น.ส.แคทลีน มาลีนนท์ 

ที่จะจัดขึ้นในวันที่ 22 ก.พ.ที่ห้องแกรนด์บอลรูม เดอะ ริทซ์-คาร์ลตัน บางกอก ในเวลา 18.00 น.

โดยนายธนกร เปิดเผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ ได้ชมว่าที่เจ้าสาวว่าสวย เป็นคนเก่ง ทำงานเก่ง เห็นทั้งคู่รักกันมานานแล้ว และอวยพรขอให้รักกันตลอดไป คอยดูแลซึ่งกันและกัน

ในข่าวรายงานว่า ในพิธีมงคลสมรส น.ส.แคทลีน ยังได้เชิญ นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ร่วมด้วย

สำนักงานตำรวจแห่งชาติอาลัยและสดุดี 2 ตำรวจกล้า สภ.ยะรัง จ.ปัตตานี ถูกคนร้ายลอบยิงเสียชีวิตขณะปฏิบัติหน้าที่ 

(20 ก.พ.68) พล.ต.ต.วรศักดิ์ พิสิษฐบรรณกร ผู้บังคับการกองสารนิเทศ เปิดเผยว่า สำนักงานตำรวจแห่งชาติสูญเสียตำรวจน้ำดีจากเหตุคนร้ายลอบยิงเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.ยะรัง จ.ปัตตานี เสียชีวิตขณะปฏิบัติหน้าที่ จำนวน 2 นาย โดยเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อเวลาประมาณ 23.25 น. ของวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2568 ที่ผ่านมา ขณะที่ จ.ส.ต.เดโช เขียวแก้ว ผบ.หมู่ (ป.) และ ส.ต.ต.ทรงชัย จันทรภาพ ผบ.หมู่ (ป.) สภ.ยะรัง จ.ปัตตานี ปฏิบัติหน้าที่ชุดสายตรวจ 20 ออกตรวจพื้นที่รับผิดชอบโดยรถจักรยานยนต์สายตรวจ หลังได้รับการร้องเรียนจากชาวบ้านว่ามีการมั่วสุมยาเสพติดในซอยหลังสถานตรวจสภาพรถยะรัง หมู่ 3 อ.ยะรัง จ.ปัตตานี เมื่อถึงสถานที่เกิดเหตุ มีกลุ่มคนร้ายใช้อาวุธปืนลอบยิงใส่เจ้าหน้าที่ตำรวจทั้ง 2 นาย เป็นเหตุให้ จ.ส.ต.เดโชฯ และ ส.ต.ต.ทรงชัยฯ เสียชีวิต 

สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และกองสารนิเทศ ขอสดุดีตำรวจกล้าทั้ง 2 นาย ปฏิบัติหน้าที่ผู้พิทักษ์สันติราษฎร์อย่างเต็มความสามารถ พลีชีพในหน้าที่ 'ตำรวจ' รักษาความสงบสุข ป้องกันปราบปรามอาชญากรรมในพื้นที่ชายแดนภาคใต้จนวาระสุดท้ายของชีวิต ซึ่ง พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ แสดงความเสียใจต่อครอบครัวของตำรวจทั้ง 2 นาย พร้อมสั่งดูแลสิทธิประโยชน์อย่างเต็มที่

ทั้งนี้ กรณี จ.ส.ต.เดโช เขียวแก้ว ผบ.หมู่ (ป.) สภ.ยะรัง จ.ปัตตานี จะได้รับเงินช่วยเหลือเบื้องต้น 2,460,960 บาท พิจารณาความชอบพิเศษ เลื่อนเงินเดือนไม่เกิน 7 ขั้น และเลื่อนยศเป็น 'พ.ต.อ.' และ ส.ต.ต.ทรงชัย จันทรภาพ ผบ.หมู่ (ป.) สภ.ยะรัง จ.ปัตตานี ได้รับเงินช่วยเหลือเบื้องต้น 2,289,540 บาท พิจารณาความชอบพิเศษ เลื่อนเงินเดือนไม่เกิน 7 ขั้น และเลื่อนยศเป็น 'ร.ต.อ.'

ตำรวจ ปส. ทลายเครือข่าย 'ตาต้าท่าขี้เหล็ก'

สืบเนื่องจากการแถลงนโยบายของรัฐบาล โดย นายกรัฐมนตรี นางสาว แพทองธาร ชินวัตร แถลงต่อรัฐสภาว่า ปัญหายาเสพติดเป็นนโยบายเร่งด่วน ที่นายกรัฐมนตรีให้ความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง โดยเน้นการแก้ไขปัญหายาเสพติดอย่างเด็ดขาด ครบวงจร ตัดต้นตอการผลิตและจำหน่าย เน้นการร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้าน ในการสกัดกั้นลำเลียงยาเสพติด ปราบปรามและยึดทรัพย์ผู้ค้ารายสำคัญ และข้อสั่งการของ พ.ต.อ.ทวีสอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวง ยุติธรรม ที่เน้นการปราบปรามแหล่งพักยาเสพติดในพื้นที่ภาคกลางที่จะส่งมายังกรุงเทพมหานคร ประกอบกับนโยบายของ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผบ.ตร.ซึ่งกำชับการปราบปรามยาเสพติด อย่างเร่งด่วน

ภายใต้การอำนวยการของ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผบ.ตร., พล.ต.อ.ประจวบ วงศ์สุข รอง ผบ.ตร./ประธานอนุกรรมการป้องกัน ปราบปรามการพักคอยยาเสพติดในพื้นที่ตอนใน และการสกัดกั้นการลำเลียงยาเสพติดลงสู่พื้นที่ภาคใต้, พล.ต.อ.ไกรบุญ ทรวดทรง รอง ผบ.ตร./ผอ.ศอ.ปส.ตร., พล.ต.ท.สำราญ นวลมา, พล.ต.ท.อัคราเดช พิมลศรี, พล.ต.ท.สรายุทธ สงวนโภคัย ผู้ช่วย ผบ.ตร. ในฐานะ รอง ผอ.ศอ.ปส.ตร.

สำนักงาน ป.ป.ส. โดย พล.ต.ท.ภาณุรัตน์หลักบุญ เลขาธิการ ป.ป.ส.

บช.ปส. โดย พล.ต.ท.สันติ ชัยนิรามัย ผบช.ปส., พล.ต.ต.สมบูรณ์ เทียนขาว, พล.ต.ต.ออมสิน ตรารุ่งเรือง, พล.ต.ต.พรศักดิ์ สุรสิทธิ์, พล.ต.ต.ธนรัชน์ สอนกล้า รอง ผบช.ปส., พล.ต.ต.นพสิทธิ์ มิตรภักดี ผบก.ปส.1 ได้สั่งการให้ เจ้าหน้าที่ตำรวจสืบสวนติดตามจับกุมกลุ่มผู้ลักลอบลำเลียงยาเสพติดรายใหญ่ เข้ามาซุกซ่อนในพื้นที่ตอนในเพื่อรอกระจายไปยังพื้นที่ต่างๆ

เมื่อวันที่ 29 มิ.ย.67 บก.ปส.1 ได้ทำการจับกุมผู้ต้องหาเครือข่ายยาเสพติด“ตาต้าท่าขี้เหล็ก” จำนวน 2 คน และทำการสืบสวนอย่างต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน ต่อมาทราบว่าเครือข่ายตาต้าท่าขี้เหล็ก ยังมีความเคลื่อนไหวใน การลักลอบลำเลียงยาเสพติดจากพื้นที่ภาคเหนือสู่พื้นที่ตอนในของประเทศ และปริมณฑล โดยใช้ประเทศไทยเป็นทางผ่านในการส่งออกไปต่างประเทศ จึงได้ทำการสืบสวนกลุ่มเครือข่ายดังกล่าวเรื่อยมาจนกระทั่งเมื่อวันที่ 19 ก.พ.68 พบพฤติการณ์กลุ่มผู้ถูกจับมีการเดินทางจากภาคเหนือเข้าสู่พื้นที่ตอนใน และมีการใช้ยานพาหนะรถยนต์กระบะตู้ทึบในการบรรทุกยาเสพติด โดยอำพรางเป็นรถขนส่งสินค้าทั่วไป ใช้ลักลอบลำเลียงยาเสพติด จึงบูรณาการ สภ.มหาราช ภ.จว.พระนครศรีอยุธยา ในการตั้งจุดตรวจจุดสกัดเพื่อตรวจสอบพฤติการณ์ดังกล่าว ผลการตรวจสอบ พบยาเสพติด(ไอซ์) ของกลาง จำนวน 2,464 กิโลกรัม ซุกซ่อนมาในรถยนต์กระบะตู้ทึบจำนวน 2 คัน และรถยนต์ โตโยต้า รุ่นแคมรี่ จำนวน 1 คัน จับกุมผู้ต้องหาได้ 3 คน ยึดรถยนต์ของกลาง จำนวน 3 คัน โทรศัพท์มือถือ จำนวน 6 เครื่อง โดยกล่าวหาว่า “ร่วมกันจำหน่ายยาเสพติดให้โทษประเภท 1 (ไอซ์) โดยการมีไว้เพื่อจำหน่ายโดยไม่ได้รับอนุญาต อันเป็นการกระทำเพื่อการค้า ก่อให้เกิดการแพร่กระจายในกลุ่มประชาชน และทำให้เกิดผลกระทบต่อความมั่นคงของรัฐหรือความปลอดภัยของประชาชนทั่วไป” จับกุมผู้ต้องหาทั้งหมดบริเวณทางหลวงหมายเลข 32 สายเอเชีย กม.46+600 ป้อมตำรวจมหาราช ต.ท่าตอ อ.มหาราช ต่อเนื่อง กม.37+500 ต.ตานิ่ม อ.บางปะหัน จ.พระนครศรีอยุธยา

ทรัมป์เผยแผนตั้ง 'External Revenue’ เก็บภาษีต่างชาติแทนเงินจากคนอเมริกัน

(21 ก.พ.68) ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เตรียมยกเลิกกรมสรรพากรของสหรัฐฯ (IRS) และมีแผนจัดตั้ง External Revenue Service (ERS) ซึ่งจะมุ่งเน้นการจัดเก็บรายได้จากภาษีศุลกากรและธุรกรรมจากต่างประเทศ แทนการเก็บภาษีจากประชาชนและธุรกิจภายในประเทศ

โฮเวิร์ด ลัทนิค (Howard Lutnick) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์คนใหม่ของทรัมป์ เปิดเผยกับ Fox News ว่า “เป้าหมายของทรัมป์คือการยกเลิก IRS และให้คนนอกเป็นผู้จ่ายภาษีแทน”

รัฐบาลทรัมป์ต้องการให้ ERS ดูแลการจัดเก็บภาษีศุลกากรและกำจัดช่องโหว่ทางภาษี โดยทรัมป์ให้คำมั่นว่าจะสามารถสร้างรายได้ 1 ล้านล้านดอลลาร์ จากมาตรการนี้ พร้อมทั้งมอบหมายให้ "DOGE Task Force" ของอีลอน มัสก์ ค้นหาการทุจริตและความสูญเปล่าในระบบเศรษฐกิจ ซึ่งคาดว่าจะสามารถเพิ่มรายได้อีก 1 ล้านล้านดอลลาร์

ทรัมป์เคยกล่าวถึงแนวคิดนี้ตั้งแต่ต้นปี 2024 แต่ไม่ได้ระบุชัดเจนว่า IRS จะถูกยกเลิกทั้งหมดหรือเพียงแค่ลดบทบาท

แม้ว่าทรัมป์จะกล่าวว่าภาษีศุลกากรเป็นรายได้จากต่างชาติ แต่นักเศรษฐศาสตร์เตือนว่าภาษีเหล่านี้มักถูกผลักภาระให้กับบริษัทและผู้บริโภคในสหรัฐฯ เอง 

ตามรายงานของ Axios หน่วยงานที่ดูแลการจัดเก็บภาษีศุลกากรในปัจจุบันคือกรมศุลกากรและป้องกันชายแดนสหรัฐฯ (CBP) ไม่ใช่ IRS ขณะที่ทรัมป์ยังคงยืนยันว่า "Tariff เป็นคำที่ไพเราะที่สุดในพจนานุกรมของผม"

ในเดือนกุมภาพันธ์ 2024 ทรัมป์เสนอให้เก็บภาษีศุลกากร 25% สำหรับสินค้านำเข้าทั้งหมดจากเม็กซิโกและแคนาดา และ 10% สำหรับสินค้าจากจีน อย่างไรก็ตาม เขายอมระงับมาตรการกับเม็กซิโกและแคนาดาชั่วคราวเพื่อลดแรงกดดันทางเศรษฐกิจ นักเศรษฐศาสตร์เตือนว่าหากมาตรการดังกล่าวมีผลบังคับใช้ อาจทำให้ต้นทุนสินค้าสูงขึ้นถึง 272,000 ล้านดอลลาร์ต่อปี และก่อให้เกิดภาวะเงินเฟ้อ

ทรัมป์ยังเสนอให้ ERS ดูแลภาษีจาก เรือสำราญต่างชาติ เรือบรรทุกน้ำมัน และผู้ผลิตเครื่องดื่มแอลกอฮอล์จากต่างประเทศ ซึ่งก่อนหน้านี้ไม่ต้องเสียภาษีในสหรัฐฯ โดยลัทนิคยืนยันว่า 'ภาษีเหล่านี้จะถูกเก็บภายใต้รัฐบาลทรัมป์'

ในขณะที่ทรัมป์ผลักดัน ERS เขายังเคยกล่าวถึงแนวคิดการยกเลิกภาษีเงินได้ ซึ่งอาจทำให้ IRS หมดบทบาท อย่างไรก็ตาม IRS ยังเป็นผู้จัดเก็บภาษีเงินเดือน ภาษีประกันสังคม และภาษีมรดก ซึ่งเป็นแหล่งรายได้สำคัญของรัฐบาล

แม้ว่าทรัมป์จะมุ่งเปลี่ยนแปลงระบบภาษีให้พึ่งพารายได้จากภายนอก แต่ในทางปฏิบัติ ภาษีศุลกากรยังคงเป็นภาระของภาคเอกชนและประชาชนสหรัฐฯ การปฏิรูปครั้งนี้อาจเผชิญแรงต้านจากภาคธุรกิจและนักเศรษฐศาสตร์ที่มองว่าเป็นนโยบายที่เสี่ยงต่อเศรษฐกิจของประเทศ

โป๊ปฟรานซิสป่วยหนัก ตรัสชัด ‘อยู่ได้อีกไม่นาน’ ทหารสวิสการ์ดซ้อมพิธีการรับมือ กรณีสิ้นพระชนม์

(21 ก.พ.68) นครรัฐวาติกันอยู่ในภาวะเตรียมพร้อม หลังสมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิส วัย 88 ปี ทรงมีปัญหาสุขภาพรุนแรง โดยก่อนหน้านี้พระองค์ตรัสว่า "ข้าพเจ้าอยู่ได้อีกไม่นานจากปัญหาสุขภาพโรคปอดบวม" ทำให้หน่วยสวิสการ์ด ซึ่งเป็นกองกำลังรักษาความปลอดภัยของวาติกัน เริ่มซักซ้อมพิธีศพเพื่อเตรียมรับมือกับสถานการณ์ที่อาจเกิดขึ้น

การเตรียมความพร้อมเกิดขึ้นหลังจากสมเด็จพระสันตะปาปาถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลในกรุงโรมอย่างเร่งด่วนเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา เนื่องจากอาการเจ็บหน้าอกอย่างรุนแรง แพทย์วินิจฉัยว่าพระองค์ทรงติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจอย่างซับซ้อน ส่งผลให้นครรัฐวาติกันต้องยกเลิกหรือเลื่อนการเข้าเฝ้าหลายรายการในสัปดาห์นี้

วาติกันออกแถลงการณ์ยืนยันว่า สมเด็จพระสันตะปาปาทรงเป็นโรคปอดบวมและมีการติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจ ซึ่งเกี่ยวข้องกับหลอดลมอักเสบจากอาการหอบหืด ทำให้ต้องใช้ยาปฏิชีวนะประเภทคอร์ติโซน ทั้งนี้ พระองค์เคยผ่านการผ่าตัดเอาปอดบางส่วนออกเมื่อหลายปีก่อน ทำให้การติดเชื้อในครั้งนี้เป็นเรื่องที่น่ากังวล

ล่าสุด เมื่อคืนวันพฤหัสบดีที่ 20 กุมภาพันธ์ (ตรงกับ 02.00 น. วันศุกร์ที่ 21 กุมภาพันธ์ ตามเวลาไทย) สำนักวาติกันแถลงอัปเดตอาการของสมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิสว่า "อาการมีพัฒนาการดีขึ้นเล็กน้อย พระองค์ไม่มีไข้ และค่าการทำงานของระบบไหลเวียนโลหิตยังคงที่ ในช่วงเช้า สมเด็จพระสันตะปาปาทรงรับศีลมหาสนิทและปฏิบัติพระภารกิจตามปกติ"

มัตเตโอ บรูนี่ ผู้อำนวยการสื่อมวลชนวาติกัน ระบุว่า พระอาการของพระองค์เป็น 'ปอดอักเสบเฉพาะที่' หมายถึงการติดเชื้อในปอดที่เกิดขึ้นเป็นบริเวณจำกัด ไม่ใช่การติดเชื้อที่แพร่กระจาย นอกจากนี้ การหายใจของพระองค์เป็นปกติและพระหทัยเต้นเป็นจังหวะปกติ สร้างความหวังว่าพระองค์จะทรงฟื้นตัวได้ในเร็ววัน

จีนส่งตัว 200 ผู้ต้องสงสัยฉ้อโกงกลับจากเมียนมา เปิดฉากล่าต่อเนื่องขบวนการโกงข้ามพรมแดน

เจ้าหน้าที่ตำรวจจีนได้นำตัวพลเมืองจีน 200 ราย ซึ่งต้องสงสัยว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับการฉ้อโกง กลับสู่จีนเมื่อวันพฤหัสบดี (20 ก.พ.68) หลังจากถูกส่งตัวจากเมืองเมียวดี ประเทศเมียนมา  

ปฏิบัติการครั้งนี้เกิดขึ้นภายใต้ความร่วมมือด้านการบังคับใช้กฎหมายระหว่างจีน เมียนมา และไทย โดยผู้ต้องสงสัยทั้งหมดถูกส่งตัวมายังประเทศไทยก่อน จากนั้นจึงขึ้นเที่ยวบินเช่าเหมาลำหลายเที่ยวเพื่อเดินทางไปยังท่าอากาศยานนานาชาติหนานจิงลู่โข่ว ในนครหนานจิง มณฑลเจียงซู ทางตะวันออกของจีน  

กระทรวงความมั่นคงสาธารณะของจีนเปิดเผยว่า การส่งตัวครั้งนี้ถือเป็นความสำเร็จครั้งสำคัญในการต่อสู้กับอาชญากรรมทางโทรคมนาคม ซึ่งกำลังเป็นปัญหาระดับภูมิภาคและต้องอาศัยความร่วมมือจากหลายประเทศ  


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top