Friday, 9 May 2025
NewsFeed

‘อี้ แทนคุณ’ ย้อนถาม “จะให้เลือกตั้งทำไม ถ้าคุณยังถือหุ้นสื่ออยู่” ชี้ ‘พิธา’ ชวดนายกฯ ควรโทษตัวเองหยุดปลุกปั่นสร้างแตกแยก

(20 ก.ค. 66) ดร.แทนคุณ จิตต์อิสระ รักษาการประธานคณะกรรมการส่งเสริมสิทธิมนุษยชน และความเสมอภาคระหว่างเพศ พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงการประชุมรัฐสภาที่ถกกันกว่า 7 ชั่วโมงโดยผลโหวตไม่สามารถเสนอชื่อ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ เป็นนายกรัฐมนตรีได้อีกครั้ง และหลังศาลรัฐธรรมนูญมีมติ 7:2 รับคดีที่ กกต.ร้องให้วินิจฉัยคุณสมบัติ ส.ส.นั้น เกิดจากเหตุเพราะนายพิธา ขาดธรรมาภิบาลในตัวเอง เป็นคน ‘ทุศีล’ มีมลทิน รู้ทั้งรู้ว่าห้ามถือหุ้นสื่อ ITV ที่ยังคงสถานะความเป็นหุ้นสื่ออยู่ แต่ก็จงใจฝ่าฝืนกฎหมาย 

หรือเป็นเพราะเชื่อกุนซือด้านกฎหมายคนเดียวกันที่เคยแนะนำนายธนาธร จนเป็นเหตุให้เจริญรอยตามกันใช่หรือไม่? ทั้งการสิ้นสมาชิกภาพ ถูกตัดสิทธิและถูกดำเนินคดีอาญามาตรา 151 อันเป็นวิบากกรรม ที่นายพิธา ทำตัวเองล้วน ๆ ไม่เกี่ยวกับใครคนอื่นเลย 

หากจะโทษจงโทษตัวเองที่ไม่รอบคอบพอและตีความกฎหมายตามใจตนเอง และควรหยุดนำมาสร้างวาทกรรมโจมตี ยุยงปลุกปั่นให้เกิดความเกลียดชังกันในหมู่ประชาชน เกลียดชังองค์กรอิสระและเจ้าหน้าที่ของรัฐฯ ที่ต้องทำหน้าที่อย่างตรงไปตรงมาตามที่กฎหมายบัญญัติไว้ โดยควรให้สติให้ปัญญาในการเคารพกฎหมายไม่ใช่เป็นฝ่ายออกกฎหมายแต่กลับทำลายกฎหมายเสียเอง  

ขอย้ำประเทศไทยเป็น ‘นิติรัฐ’ ไม่ใช่ ‘นิติด้อมส้ม’ มีกฎหมายไม่ใช่กฎหมู่ และประชาชนตาสว่างเยอะแล้วหลังจับโป๊ะ เครือข่ายก้าวไกลและพวกใช้ IO หรือปฎิบัติการทางข้อมูลข่าวสารคุกคามกระบวนการยุติธรรม ศาล กกต. ส.ว.และคนเห็นต่างแบบล่าแม่มด

ทั้งหมดนี้ ล้วนเป็นวิบากกรรมที่นายพิธา หลอกตัวเองมาตลอดว่าตนไม่ผิด 

“ผมจึงขอเตือนสตินายพิธาว่า ควรใช้ชีวิตที่เหลืออยู่ กลับใจสำนึกในความผิดที่ตนก่อไว้อย่าสร้างกรรมเพิ่มและสำนึกในบุญคุณประเทศชาติบ้านเมืองทำตัวให้เป็นแบบอย่างที่ดีในการเคารพกฎหมายไม่ด้อยค่าประเทศ ไม่ด้อยค่าสถาบันหลักของชาติ หยุด ‘โทษคนอื่น’ ให้คนเข้าใจผิดเพื่อสร้างความแตกแยกในสังคม และพิจารณาตนเองว่าคุณทำผิดอะไรบ้าง รู้ทั้งรู้ว่าคุณทำในสิ่งที่กฎหมายหัามไว้ แล้วจะให้มีเลือกตั้งไปทำไม คุณมีการไปรับรองผู้สมัคร ส.ส.ในฐานะหัวหน้าพรรคทำไม ให้ต้องเสียเวลาสภาสองวันทำไม และสุดท้ายโทษคนอื่นทำไม ทั้งหมดนี้ หากเกิดความเสียหายต่อบ้านเมืองคือต้นทุนที่แท้จริงที่นายพิธาและพรรคก้าวไกลต้องจ่าย” ดร.แทนคุณ กล่าว

'ขัตติยา' กระทุ้ง 5 ประเด็นกองทุนประกันสังคม หลังพบติดลบหลายหมื่นล้าน ทวงถามวิธีแก้ไข

(20 ก.ค.66) ขัตติยา สวัสดิผล ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ได้อภิปรายในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร พิจารณารับทราบรายงานของผู้ตรวจสอบบัญชีและรายงานการเงินกองทุนประกันสังคม สำนักงานประกันสังคม ปี 2564 ถามผู้บริหารถึงปัญหารายได้เฉลี่ยกองทุนประกันสังคมติดลบหลายหมื่นล้านจะมีวิธีแก้ไขปัญหาอย่างไร และจะบริหารกองทุนอย่างให้โปร่งใสมั่นคงและผู้จ่ายเงินสมทบสามารถตรวจสอบการใช้จ่ายได้

1. กองทุนประกันสังคมถูกตั้งขึ้นมาเพื่อเป็นหลักประกันและความมั่นคงให้ผู้ใช้แรงงาน โดยเป็นความไว้วางใจที่ภาคแรงงานมีให้กับภาครัฐ แต่สถานการณ์ปัจจุบัน มีคำถามจากผู้ประกันตนที่ต้องจ่ายเงินสมทบว่า กองทุนประกันสังคมนี้ยังเป็นหลักประกัน ยังมีความมั่นคงและความไว้วางใจที่มีให้กับกองทุนนี้อยู่หรือไม่

2. ความท้าทายปัญหาของกองทุนประกันสังคม มี 2 ประการคือ 1. ช่วงสถานการณ์โควิด รัฐบาลพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา เอาเงินจากกองทุนประกันสังคมไปเยียวยาผู้ตกงานจำนวนมหาศาล จนเกิดคำถามว่าขณะนี้กองทุนเหลือเงินอยู่เท่าใด และ 2. สังคมไทยเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ ในอนาคตอันใกล้ต้องใช้เงินจำนวนมากเพื่อดูแลเป็นบำเหน็จบำนาญและค่ารักษาพยาบาล กองทุนนี้จะมีเงินทุนเพียงพอหรือไม่

3. แรงงานผู้ประกันตนจ่ายเงินสมทบเข้ากองทุนประกันสังคมเดือนละ 5 เปอร์เซ็นต์ สูงสุด 750 บาท ซึ่งถือว่าน้อยมากไม่พอจะเป็นเงินออมในอนาคต แต่ขณะเดียวกันก็เป็นภาระหนักของพี่น้องที่ต้องจ่ายเงินในสภาวะเศรษฐกิจเช่นนี้ แต่กองทุนประกันสังคมต้องสร้างความเชื่อมั่นให้ได้ว่า เงินก้อนนี้จะเป็นหลักประกันในอนาคตให้เขาได้จริงๆ สำนักงานประกันสังคมต้องบริหารงานให้โปร่งใสและตรวจสอบได้

4. กองทุนประกันสังคม มียอดรายได้เฉลี่ยต่ำกว่ารายจ่ายอย่างมีนัยยะสำคัญ โดยเฉพาะปี 2563 ติดลบ 6.5 พันล้าน ปี 2564 ติดลบ 2.8 หมื่นล้านบาท ซึ่งเราจะเห็นได้ว่ามีปัญหาติดลบมากขึ้นทุกปี แต่ไม่มีคำตอบชัดเจนจากผู้บริหารกองทุนประกันสังคมว่า จะแก้ไขปัญหาอย่างไร

5. ประชาชนผู้จ่ายเงินสมทบเข้ากองทุนประกันสังคม ต่างคาดหวังที่จะมีหลักประกันและความมั่นคงที่จะได้จากสำนักงานประกันสังคม และกองทุนประกันสังคม ดังนั้น จึงต้องขอให้กองทุนพิจารณาปรับเปลี่ยนการบริหารงาน เพื่อสร้างความมั่นคง สร้างหลักประกันให้สมกับความไว้วางใจ ที่ภาคแรงงานภาคเอกชนที่มีให้กับภาครัฐต่อไป 

'แจ็คสัน หวัง' เปิดสเป๊ก 'ชอบสาวผมสวย' ในงาน 'PANTENE BEST HAIR' ที่ไทย

(20 ก.ค. 66) มาพร้อมกับรอยยิ้มให้เหล่าอากาเซ่ได้ฟินกันอีกแล้ว สำหรับ ศิลปินดังระดับโลก ‘แจ็คสัน หวัง’ หนึ่งในสมาชิกวง GOT7 ที่ล่าสุดมางานแถลงข่าวกิจกรรม ‘PANTENE BEST HAIR with Jackson Wang’ ที่ปรากฏตัวมาในลุคสุดเท่ โชว์ผมสวยสุขภาพดีได้อย่างหวัง ก่อนจะไปพบกับแฟน ๆ ในกิจกรรมช่วงเย็นกันต่อ

โดย ‘แจ็คสัน’ ได้เผยถึงการมาร่วมงานกับแพนทีนในครั้งนี้ว่า มีความเชื่อมโยงกัน เพราะทุกวันในการทำงานก็มีการทำร้ายผมอยู่แล้ว ไม่ว่าจะแฮร์ลุค หรือแฮร์สไตล์ ส่วนเบื้องหลังในการถ่ายโฆษณาในครั้งนี่ก็สะท้อนความเป็นตัวตนมาก ๆ

เมื่อถามถึงผมของสาวๆ ว่าต้องเป็นแบบไหนถึงจะโดนใจพี่แจ็ค เจ้าตัวก็ว่า “ผมที่มีสุขภาพดี มีความเป็นธรรมชาติ และเรียบลื่นดูสวย”

‘อนุรัตน์’ หวั่นชาวพะเยาเผชิญภัยแล้ง วอนรัฐฯ พิจารณางบวางระบบประปาท้องถิ่น

(20 ก.ค. 66) นายอนุรัตน์ ตันบรรจง ส.ส. เขต 2 จังหวัดพะเยา ในอำเภอจุน ในอำเภอพูซาน อำเภอเชียงคำ กล่าวหารือถึงในที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรว่า ได้รับแจ้งจากพี่น้องประชาชนใน 4 ตำบล ประกอบด้วย ตำบลลอ ตำบลหิน ตำบลห้วยยางขาว และตำบลห้วย  ถึงสถานการณ์ปริมาณน้ำเพื่อการอุปโภค บริโภค รวมถึงเกษตร แหล่งน้ำในอำเภอจุนใน ที่ยังต้องพึ่งพิงจากธรรมชาติ โดยการขุดสระ เพื่อกักเก็บน้ำไว้ แต่ขณะนี้ประชาชนกำลังได้รับความเดือดร้อน เนื่องจากเกิดปัญหาภัยแล้ง น้ำในสระมีปริมาณไม่เพียงพอที่จะสูบขึ้นมาใช้ในการอุปโภค บริโภค ปัญหาที่ตามมาคือ น้ำในการใช้เพื่อการเกษตรไม่เพียงพอ เช่นเดียวกัน เนื่องจากประชาชนทั้ง 4 ตำบลนี้ มีอาชีพทำเกษตรกร ทำสวน ทำไร่ เป็นหลัก 

“ผมขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องผลักดันงบประมาณ ส่งเสริมให้เกิดการโครงการวางท่อน้ำ HDPE จัดทำน้ำประปาระดับชุมชน เพื่อให้ประชาชนเข้าถึงแหล่งน้ำสะอาด มีน้ำใช้ แต่ในขณะนี้พบว่า ยังขาดงบประมาณในการที่จะทำการวางท่อ เพื่อการผลิตน้ำปะปาที่จะป้อนให้กับประชาชนได้ใช้น้ำประปา ขอให้หน่วยงานเร่งดำเนินการพิจารณาโดยด่วน เพื่อเป็นการแก้ปัญหาระยะยาว” นายอนุรัตน์ กล่าว

นายอนุรัตน์ กล่าวต่อว่า ถนนสาย 1021 เป็นถนนที่เชื่อมต่อจาก อำเภอจุนสู่ อำเภอเชียงคำ ใน กมที่ 70+300 -กมที่ 71+400 เป็นแยกเชียงบาน เป็นจุดเสี่ยงสำคัญ ที่ประชาชนได้ประสบอุบัติเหตุ อย่างที่เรียนไว้ข้างต้นครับ กมที่ 70+300 -กมที่ 71+400 ตนขอให้ขยายเป็นถนนสี่เลน และมีสัญญาณไฟจราจร ให้เกิดความปลอดภัยแก่ผู้ใช้รถใช้ถนน 

‘เท่ง เถิดเทิง’ ย้อนอดีตเล่าชีวิตก่อนจะมาเป็นตลกดัง เผย ต้องหาเงินเลี้ยงดูครอบครัวมาตั้งแต่อายุ 11 ขวบ

(20 ก.ค. 66) เป็นตลกชื่อดังที่มีประสบการณ์ชีวิตที่โลดโผน และสร้างชื่อขึ้นมาได้ด้วยความมุมานะจริงๆ สำหรับตลกร้อยล้านอย่าง ‘เท่ง-พงษ์ศักดิ์ พงษ์สุวรรณ’ หรือ ‘เท่ง เถิดเทิง’ และเป็นที่ทราบกันดีว่าก่อนจะมีชื่อเสียงโด่งดังอย่างเช่นทุกวันนี้ เจ้าตัวนั้นผ่านอาชีพการงานที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นการแสดงลิเก การเล่นตลกคาเฟ่ เป็นต้น

ล่าสุดเจ้าตัวได้มาย้อนเล่าชีวิตในอดีต ผ่านทางรายการ โต๊ะหนูแหม่ม กับพิธีกรตัวแม่ หนูแหม่ม สุริวิภา พร้อมเผยอาชีพแรกที่เคยทำมาก่อนจะเป็นตลกมหาชนอย่างทุกวันนี้

>> ก่อนจะมาเป็นตลกมหาชน เคยทำอาชีพอะไรมาก่อน?
ก่อนหน้าที่จะเข้าสู่วงการบันเทิงเราเคยทำอาชีพรับจ้างขี่สามล้อมาก่อน ตั้งแต่อายุประมาณ 11-12 จุดเริ่มต้นที่เราทำเพราะว่ามันได้เงิน แล้วเรารู้สึกว่าปั่นสามล้อมาเอามาให้พ่อกับแม่ 30 บาท มันสามารถจุนเจือครอบครัวได้ซื้อกับข้าวได้เลย ซึ่งตอนนั้นเราไม่ได้เรียนหนังสือต่อ เพราะต้องเป็นลิเก เราก็เอาแค่อ่านออกเขียนได้พอจบ ป.4 พอ เราก็ยินดีที่จะออกมาเพื่อขับสามล้อ จนเราเก็บหอมรอมริบซื้อจักรยานให้พี่ชายคนโต เพราะตอนนั้นเค้าเรียนอยู่คนเดียว เป็นความหวังของครอบครัว

และเราก็ดาวน์จักรยานให้เขาคันนึงและส่งให้จนครบ หลังจากนั้นก็มีคนแนะนำให้เราไปล้างจานเพราะมันได้เงินรายได้ดี ซึ่งทำ 20 วันเราก็สามารถจ่ายค่าจักรยานได้ทั้งหมด จากงานแค่ 20 วันจนกลายมาเป็นอาชีพให้กับเราถึง 4 ปี อยู่ทางภาคอีสานได้สักพัก ก็ไปอยู่ที่ใต้อีก 7 ปี

>> เสียดายไหมที่ไม่ได้เรียนหนังสือ?
ต้องบอกตามตรงว่าเวลาเราไปเห็นคนในสถานที่ตามราชการเรา รู้สึกว่าเราโชคดีมากถ้าเรียนจบมาทำงานแบบนี้คงไม่ใช่ทาง เลยไม่เสียดายเลย จนได้มาเล่นลิเก แต่วันที่เข้ามาในกรุงเทพเราไม่ได้ตั้งใจจะมาหางานทำเพราะตั้งใจแค่มาหาเงินเท่านั้น วันแรกเค้าให้ไปเก็บของก่อนแต่ให้ค่าตัวมา 150 บาท ตอนนั้นบอกกับตัวเองว่าเรารวยแล้ว จนอยู่มาเรื่อย ๆ เลยได้มาเป็นตัวเล่น

>> เป็นตัวเล่นจากพรสวรรค์หรือพรแสวง?
ผมว่าน่าจะทั้งสองอย่าง ซึ่งก็จะใช้เวลาไม่นาน ก็ได้มาอยู่กับ พี่หม่ำ ในเวิร์คพอยท์ จุดเริ่มต้นเราได้มาเป็นตัวแจ้งในรายการชิงร้อยชิงล้าน จนมีคนรู้จักมากขึ้น

>> จนวันหนึ่งได้มาเป็นผู้กำกับภาพยนตร์?
แล้วก็เก็บเกี่ยวประสบการณ์ แต่ตอนแรกเราไม่ได้อยากเป็นผู้กำกับ แต่ก็ได้ทำอะไรหลายอย่างไม่ว่าจะเป็นการเขียนบทเอง

>> ในที่สุดก็ได้เป็นนักร้อง 100 ล้านวิว?
ตอนแรกเราก็คิดว่าเราทำได้หลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นลิเก เดินเล่นตลก ก็เลยคิดว่าอยากลองทำเพลงสนุก ๆ จากจุดเล็ก ๆ ก็กลายเป็นความภาคภูมิใจให้กับตัวเราเอง

22 กรกฎาคม พ.ศ. 2460 ในหลวงรัชกาลที่ 6 ทรงตัดสินพระราชหฤทัย นำประเทศไทยเข้าร่วมในสงครามโลกครั้งที่ 1

วันนี้เมื่อกว่า 105 ปีมาแล้ว เป็นวันที่พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 ทรงตัดสินพระราชหฤทัย นำประเทศไทยเข้าร่วมในสงครามโลกครั้งที่ 1

สงครามโลกครั้งที่ 1 เกิดขึ้นในช่วงระหว่างปี พ.ศ. 2457-2461 โดยเป็นความขัดแย้งระหว่าง ฝ่ายสัมพันธมิตร ซึ่งมีประเทศอังกฤษ ฝรั่งเศส และรัสเซีย เป็นผู้นำ กับฝ่ายมหาอำนาจกลาง ซึ่งมีเยอรมนี และออสเตรีย-ฮังการี เป็นผู้นำในเหตุการณ์ครั้งนั้น ประเทศสยาม ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ดำเนินนโยบายรักษาความเป็นกลางอย่างเคร่งครัด

กระทั่งในปี พ.ศ. 2460 พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงเห็นว่าฝ่ายมหาอำนาจกลางได้ละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศ และปราศจากมนุษยธรรม ส่งผลให้เมื่อวันที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2460 พระองค์ทรงตัดสินพระราชหฤทัยประกาศสงครามต่อฝ่ายมหาอำนาจกลาง และเข้าร่วมกับฝ่ายสัมพันธมิตร พร้อมทั้งส่งกองทหารอาสาไปร่วมรบณ สมรภูมิทวีปยุโรป

ภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 1 สิ้นสุดลง เมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2461 โดยฝ่ายสัมพันธมิตรได้รับชัยชนะพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระราชดำริให้สร้างถาวรวัตถุ เพื่อเป็นอนุสรณ์ถึงเหตุการณ์ดังกล่าว 

เป็นที่มาของการโปรดเกล้าฯ ให้สร้างวงเวียน ที่เป็นอนุสรณ์สถานแห่งแรกของประเทศไทยขึ้น โดยทำการสร้างบริเวณถนน 3 สาย (ปัจจุบันคือ ถนนไมตรีจิตต์ ถนนมิตรพันธ์ และถนนสันติภาพ) ซึ่งอยู่ในท้องที่อำเภอป้อมปราบศัตรูพ่าย ต่อมาได้พระราชทานนามวงเวียนว่า ’22 กรกฎาคม’

ปัจจุบัน วงเวียน 22 กรกฎาคม กลายเป็นแหล่งการค้าของกรุงเทพมหานครชั้นใน ทั้งนี้ที่บริเวณวงเวียน ยังปรากฎป้ายหินที่จารึกเป็นภาษาไทยและภาษาจีน มีใจความว่า...

อนุสรณ์แห่งนี้เป็นวงเวียนแห่งแรกของประเทศไทย สร้างเพื่อให้ประชาชนชาวไทยได้น้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ผู้ทรงนำประเทศไทยเข้าสู่สงครามโลกครั้งที่ 1 ร่วมกับฝ่ายสัมพันธมิตรเมื่อวันที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2460 ก่อนจะได้รับชัยชนะในเวลาต่อมา

21 กรกฎาคม พ.ศ. 2512 ‘นีล อาร์มสตรอง’ มนุษย์คนแรก เหยียบลงบนพื้นผิวดวงจันทร์

วันนี้ เมื่อ 54 ปีก่อน นีล อาร์มสตรอง เหยียบลงบนพื้นผิวดวงจันทร์เป็นคนแรกของโลก พร้อมคำกล่าวขณะที่ก้าวลงบนดวงจันทร์ว่า "นี่เป็นก้าวเล็กๆ ของชายคนหนึ่ง แต่เป็นก้าวกระโดดครั้งยิ่งใหญ่ของมนุษยชาติ"

เรือโท นีล ออลเดน อาร์มสตรอง (Neil Alden Armstrong) 5 สิงหาคม พ.ศ. 2473 — 25 สิงหาคม พ.ศ. 2555 เป็นนักบินอวกาศชาวอเมริกัน และเป็นมนุษย์ที่ได้ชื่อว่าเหยียบพื้นผิวดวงจันทร์คนแรกของโลก

นีล อาร์มสตรอง เกิดที่เมืองวาปาโคเนตา รัฐโอไฮโอ ชื่นชอบเรื่องการขับเครื่องบินมาตั้งแต่ยังเด็กๆ เรียนการขับเครื่องบินครั้งแรกเมื่อตอนอายุ 15 ปีแล้วได้รับใบอนุญาตนักบินเมื่อตอนอายุ 16 ปี และเป็นนักบินทดสอบให้กับองค์การนาซามาก่อน เขาได้รับคัดเลือกเป็นนักบินอวกาศเมื่อปี พ.ศ. 2505 (ค.ศ. 1962) และปฏิบัติภารกิจหลายภารกิจในโครงการเจมินีและโครงการอะพอลโล และยังเคยเป็นนักบินในกองทัพสหรัฐ ปฏิบัติภารกิจ 78 ครั้งในสงครามเกาหลี

พ.ศ. 2512 (ค.ศ. 1969) เขาเป็นผู้บัญชาการของโครงการอะพอลโล 11 ซึ่งมีเป้าหมายนำยานไปจอดบนดวงจันทร์โดยสมาชิกในทีมคือ เอ็ดวิน อัลดริน และไมเคิล คอลลินส์

เขากล่าวประโยคนี้เมื่อเหยียบลงบนพื้นผิวของดวงจันทร์

That’s one small step for man, one giant leap for mankind. นี่เป็นก้าวเล็ก ๆ ของชายคนนึง แต่เป็นก้าวกระโดดครั้งยิ่งใหญ่ของมนุษยชาติ

วันที่ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2555 อาร์มสตรองได้เสียชีวิตในซินซินนาติ รัฐโอไฮโอ ขณะอายุได้ 82 ปี เนื่องด้วยภาวะแทรกซ้อนภายหลังการผ่าตัดบายพาสหลอดเลือดหัวใจ บารัก โอบามา ประธานาธิบดีสหรัฐได้กล่าวยกย่องอาร์มสตรองว่าเป็น 'บุรุษชาว'

อนึ่ง นีล อาร์มสตรอง เคยเดินทางมาเยือนประเทศไทย และ หนึ่งในสถานที่มาเยือนนั้นคือที่ โรงเรียนสิรินธร จังหวัดสุรินทร์ ในต้นฤดูฝน พ.ศ. 2512 มีนักเรียนชื่อ อรนุช ภาชื่น และ พรเพ็ญ เพียรชอบ และเพื่อนรวม 6 คน ได้เขียนจดหมายเป็นภาษาอังกฤษส่งไปยังนีล อาร์มสตรอง ซึ่งแปลความเป็นภาษาไทยได้ว่า “เราต้องการรู้เรื่องราวเกี่ยวกับอะพอลโล 11 และคิดว่านักบินอวกาศจะเป็นผู้สามารถเล่าให้เราฟังได้มากที่สุดและดีที่สุด” ในที่สุดก็ประสบผลสำเร็จหลังการประสานงาน เมื่อสำนักงานข่าวสารอเมริกัน บรรจุโรงเรียนสิรินธร จังหวัดสุรินทร์ ไว้ในรายการเยือนประเทศไทยอีกจุดหนึ่งด้วย โดยในเดือนกรกฎาคม ปี 2512 นีล อาร์มสตรอง กลับจากดวงจันทร์ไม่นาน ก็ได้มายืนถ่ายรูปกับครูและนักเรียน ณ โรงเรียนประจำจังหวัดในภาคอีสาน นามว่า “ร.ร.สิรินธร จ.สุรินทร์”

ในการเดินทางมายังประเทศไทยอย่างเป็นทางการนั้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ทรงพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์อันเป็นที่เชิดชูยิ่งช้างเผือก ชั้น ตริตราภรณ์ช้างเผือก ให้แก่เขาด้วย

"ผมรอประเทศไทยเจริญไม่ทัน" ประโยคหดหู่ของเด็กไทยใน ตปท.

(20 ก.ค. 66) นายวรา ตั้งทัศนา คอนเทนต์ครีเอเตอร์ชื่อดัง โพสต์เฟซบุ๊ก ‘Slang A-hO-lic’ ที่มีผู้ติดตามกว่า 1.6 ล้านคน เกี่ยวกับเรื่องมุมมองของคนรุ่นใหม่ในต่างประเทศต่อประเทศไทย โดยระบุว่า…

“ผมรอประเทศไทยเจริญไม่ทัน!” 😔นี่คือ ประโยคนึงที่ผมฟังแล้วสะอึกมาก 

ตอนสัมภาษณ์เด็กไทยที่ต่างประเทศ ถึงสาเหตุว่า…ทำไมตัดสินใจย้ายประเทศมาที่นี่ คือมันเป็นทั้งความเศร้า สะอึก ท้อแท้ แต่เต็มไปด้วยความรู้สึก 108 เลยแบบ…

คืออย่าเข้าใจผิดนะ (คนให้สัมภาษณ์บอกว่า..) “ผมก็รักประเทศไทยนะเว้ยยยย” ผู้คนน่ารัก เป็นมิตร อาหารอร่อยยย แต่ถ้าเราจะต้องมีครอบครัว มีลูกสักคน มันต้องดูคุณภาพชีวิตด้วยปะ

- การที่ลูกได้เรียนโรงเรียนใกล้บ้าน
- การที่ลูกเดินไปโรงเรียนได้
- การที่ไม่ต้องทนรถติด
- การที่มีรถขนส่งมวลชนทั่วถึง
(ผมก็ไม่ต้องเสียเวลาไปกับการจราจร จริงมั้ย?)

- การที่ทุกคนมีน้ำสะอาดกินฟรี/ มีอากาศดี ๆ หายใจ
คือ เรื่องพวกนี้(แม่ง)เป็นเรื่องที่เรียบง่ายมากเลยนะ แต่ที่ไทยกลับให้ไม่ได้ 😔

“ผมรอประเทศไทยเจริญไม่ทันจริง ๆ พี่”

เป็นประโยคที่เศร้า หดหู่ ได้ยินแล้วท้อแท้  และน่าเสียดายมากเลยย แต่ทั้งหมด มันคือความจริง…

ที่ เ ถี ย ง ไ ม่ อ อ ก ! 🥲

นอกจากนี้เจ้าของโพสต์ยังได้เขียนข้อความเพิ่มเติมใต้คอมเมนต์อีกว่า…

ความรู้สึกทุกครั้งที่กลับจากต่างประเทศ ก่อนขึ้นเครื่องต้องถอนหายใจ 1 เฮือก อารมณ์แบบ กลับสู่ความเป็นจริงแล้วสินะ…

ทำไมการได้เดินริมฟุตบาทกว้าง ๆ อากาศดี ๆ น้ำสะอาดดื่มฟรี ระบบขนมวลชนที่เข้าถึงทุกที่ มันถึงกลายเป็น honeymoon period ไปได้(วะ)

(ตัดเรื่องอากาศเย็นออกไปละกันนะ) คือบ้านเรา มันก็ควรจะทำได้ปะวะ มันควรเป็นเรื่องพื้นฐานที่ทุกคนควรได้สัมผัส ใช้ได้จนชิน ได้รู้สึกว่ามันคือเรื่องปกติ

ไม่ใช่บอกว่าสเน่ห์เมืองคือ อาหารริมฟุตบาทที่เละเทะ ยิ่งสกปรกยิ่งอร่อย และรบกวนคนเดินทางเท้าแบบทุกวันนี้ คือมันกลายเป็นฟีลว่า คนไทยต้องทน ๆ กันไป เก็บเงินสักก้อนแล้วสิ้นปีค่อยไปหาหาความสุขสั้น ๆ ใหม่

ทั้ง ๆ ที่…เราควรได้รับความสุขนั้นทุกวัน ในบ้านของเราเอง…
 

เลือกกัปตันคุมเครื่องบินที่ไร้ประสบการณ์ แลกที่นั่งชั้นธุรกิจตามสัญญาเมื่อได้รับโหวต

เมื่อไม่นานมานี้ ผู้ใช้ TikTok บัญชี @vanich2023 ได้แชร์คลิปวิดีโอของชาวต่างชาติท่านหนึ่ง ที่ออกมาพูดในหัวข้อ ‘ประชาธิปไตย’ โดยในคลิประบุไว้ว่า…

ตอนเป็นเด็ก ผมถูกสอนมาว่า ‘ประชาธิปไตย’ ดีที่สุด เมื่อโหวตให้คน 1 คน ในการลงคะแนนเสียงตอนเลือกตั้ง คุณจะได้ ‘รัฐบาลที่ดี’ แต่ตอนนี้ผมโตขึ้น เลยรู้ว่าผมคิดผิด คนมีสิทธิ์ทั่ว ๆ ไป ไม่รู้วิธีการโหวต เลยทำให้ประชาธิปไตยไม่ได้ผล ดังตัวอย่างนี้...

สมมติคุณกำลังขึ้นเครื่องบิน ก่อนจะบิน คุณและผู้โดยสารต้องลงคะแนนเลือกกัปตัน ซึ่งมีผู้สมัครอยู่ 2 คน โดยคนแรกพูดว่า “ถ้าคุณให้ผมขับเครื่องบิน ผมจะทำตามกฎการบินสากล และบินที่ความสูง 30,000 ฟุต” ส่วนคนที่ 2 พูดว่า “ถ้าคุณให้ผมขับเครื่องบิน คุณจะได้นั่งชั้นธุรกิจ” 

ในโลกทุกวันนี้ คนส่วนใหญ่มักโหวตตามความรู้สึก ไม่ค่อยมีข้อมูล ตามธรรมชาติเขาจะโหวตคนที่สัญญาว่าจะให้เขา ‘นั่งชั้นธุรกิจ’ 

ประชาธิปไตยจะเลือกคนแย่ ๆ ที่ไม่เคยขับเครื่องบิน ก่อนที่คุณจะรู้ตัว เครื่องบินก็ตกซะแล้ว 

ผมเชื่อว่า ‘การบริหารรัฐบาล’ ก็เหมือนการ ‘ขับเครื่องบิน’ ซึ่งมันยาก และต้องใช้ประสบการณ์หลาย ๆ ปี 

ภาษี, อาวุธนิวเคลียร์, ภูมิศาสตร์การเมือง, สุขภาพ, และชายแดน ปัญหาเหล่านี้ต้องการ ‘มืออาชีพ’ จำเป็นต้องใช้เวลากว่า 10 ปี ในการบินเครื่องบินนี้ แต่รัฐบาลของเราที่ใคร ๆ ก็สามารถโหวตได้ และใคร ๆ ก็เป็นได้นั้น เป็นประชาธิปไตยที่เปลี่ยนรัฐบาลทุก ๆ 4 ปี หากแต่ปัญหาเหล่านี้ต้องใช้เวลาแก้ไข 20 ปี 

ฉะนั้น แม้ประชาธิปไตยจะเป็นแนวคิดที่ดี แต่มันเป็นแนวคิดที่ดีที่สุดจริงเหรอ? 

ลองดู ‘จีน’ และ ‘อินเดีย’ เป็นตัวอย่าง อย่างจีนมีรัฐบาลกลาง ที่ทำให้คนกว่า 300 ล้านคนพ้นจากความยากจน แต่อินเดียมีประชาธิปไตย ที่มีคนยากจนกว่า 300 ล้านคน 

ผมไม่ชอบจีน แต่ทำไมพวกเขาถึงประสบความสำเร็จ? อย่าเพิ่งเข้าใจผมผิด เผด็จการไม่ใช่คำตอบ ไม่มีทางเป็นได้ แต่เป็นประชาธิปไตยทางเลือกที่คุ้มกับการลอง ภายใต้การปกครองประเทศโดยใช้ผู้ชำนาญวิชาการด้านต่าง ๆ กลายเป็นระบอบของคนที่มีความรู้

อย่าปล่อยให้ปัญหานี้เรื้อรังในโลกประชาธิปไตย ที่บรรดานักการเมืองใช้ข่าวปลอม การโกหก ความกลัว รวมถึงใช้เงินเพื่อสร้างความสนใจ ระบบประชาธิปไตย ทำให้คนลงคะแนนเชื่อเป็นล้าน ๆ คน 

เราโหวตให้คนที่สัญญาว่าจะให้เรานั่งชั้นธุรกิจ แต่ไม่รู้วิธีขับเครื่องบิน ถึงเวลามาซ่อมประชาธิปไตยกันเถอะ ก่อนที่เครื่องบินจะพาเราตก 


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top