Friday, 9 May 2025
NewsFeed

‘อิ้งค์ วรันธร-โบกี้ไลอ้อน-วี วิโอเลต-ส้ม มารี’ เตรียมขึ้นคอนเสิร์ตใหญ่ พร้อมโชว์สุดอลัง 7 ต.ค.นี้ แฟนคลับวอร์มนิ้วเตรียมกดบัตรได้เลย!!

การรวมตัวกันครั้งยิ่งใหญ่ของ 4 ควีนแห่งยุค ‘Ink Waruntorn • Bowkylion • Violette Wautier • Zom Marie’ ใน ‘The Concert presents 4 Queens Concert’ ที่ 4 ควีนจะมาโชว์บนเวทีเดียวกันครั้งแรก ในอิมแพ็ค ชาเลนเจอร์ฮอลล์ที่รองรับผู้ชมได้ถึง 15,000 คน

และนี่ นี่สิคือความเริ่ด!! คุณจะได้ชมโชว์ร่วมสุดอลังที่รับรองว่าไม่เคยรับชมมาก่อนไม่ว่าโลกนี้หรือโลกไหน พร้อมแขกรับเชิญสุดปัง ที่ถ้าเปิดไพ่ออกมา รับรองว่าต้องร้องกรี๊ด กรี๊ดสิคะ กรี๊ดมันออกมา

ศึกนี้ต่อให้หนักหนาแค่ไหน ก็ต้องพร้อม!!
ไปค่ะ ไปเตรียมกดบัตร 💅

🗓️ 7 ตุลาคม 2566
📍 Impact Challenger Hall 1
👑 กดบัตรพร้อมกันทางแอปพลิเคชันและเว็บไซต์ The Concert วันที่ 2 สิงหาคม 2566 เวลา 10.00 น.

ติดตามข้อมูลการซื้อบัตร ผังคอนเสิร์ต และรายละเอียดอื่น ๆ ได้ทาง
Facebook: 4 Queens Concert
Instagram: 4queensconcert
Twitter: @4QueensConcert
TikTok: @4queensconcert

‘อั๋น ภูวนาท’ โพสต์ฉะ คนที่คิดปิดฟ้าด้วยฝ่ามือ ลั่น!! อดทนอีกนิด ไม่ใช่พวกเราที่จะตายก่อน

(20 ก.ค. 66) ยังคงเป็นประเด็นการเมืองที่หลาย ๆ คนให้ความสนใจ สืบเนื่องจากกรณีที่ทางรัฐสภา ได้มีการเปิดโหวตนายกรัฐมนตรีคนที่ 30 ของประเทศไทยเมื่อวันที่ 19 กรกฎาคม 2566 ที่ได้มีการเสนอรายชื่อ พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล เป็นนายกฯ ซึ่งมีผลว่า พิธา ชวดตำแหน่งนายกอีกครั้ง อีกทั้งยังได้มีคำสั่งศาลรัฐธรรมนูญให้ พิธา หยุดปฏิบัติหน้าที่สมาชิกผู้แทนราษฎรชั่วคราว จากกรณีถือหุ้นสื่อ ITV จนกว่ามีคำวินิจฉัยใหม่

หลังการประชุมโหวตเลือกนายกฯ รอบที่ 2 เหล่าคนบันเทิงต่างออกมาเคลื่อนไหว รวมไปถึง 'อั๋น ภูวนาท' ซึ่งปกติเจ้าตัวก็ออกมาเคลื่อนไหวเรื่องการเมืองอยู่เป็นประจำ ล่าสุด โพสต์ภาพพร้อมข้อความว่า…

"2023 บันทึกไว้เตือนใจ ว่าเกิดอะไรขึ้นกับประเทศไทยจากกติกาที่เฮงซวยแบบไม่มีใครปฏิเสธได้ของกลุ่มคนที่คิดจะปิดแผ่นฟ้าด้วยฝ่ามือ ในนามของความถูกต้องที่อุปโลกน์ความชอบธรรม โดยไม่มองโลกที่เปลี่ยนไปอย่างเข้าใจ และฟังเสียงเจ้าของประเทศที่แท้จริง #รักเกินรักมักทำลาย อดทนอีกนิดนะครับ เพราะดูจากหน้าตาแล้วพวกเราไม่น่าจะเป็นฝ่ายที่ตายก่อน #ก็ว่าจะไม่แรง" 

งานนี้ชาวเน็ตเข้ามาคอมเมนต์จำนวนมาก เช่น รอบหน้าคงไม่ไปเลือกตั้งแล้วเสียเวลาและเสียความรู้สึกมาก, เสียดายเงินภาษีในการจัดการเลือกตั้งมาก รวมทั้งภาษีที่จ่ายไปเป็นเงินเดือนของพวก สว. กกต. และหน่วยงานรัฐทั้งหลายที่ไม่สุจริตในการทำงาน

เชื่อม ‘ขนส่ง-ลงทุน’ จากซีกโลกถึงซีกโลกผ่านไทยแลนด์ โปรเจกต์เปลี่ยนไทยให้เนื้อหอมที่ ‘จีน-สหรัฐฯ’ จ้อง!!

ถูกพูดถึงมาได้พักใหญ่กับโครงการเชื่อมระหว่างอ่าวไทยและอันดามัน หรือ ‘แลนด์บริดจ์’ (LandBridge) ของประเทศไทย ภายใต้รัฐบาลพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ซึ่งเป็นโปรเจกต์ท่าเรือนํ้าลึกฝั่งอ่าวไทย ในจังหวัดชุมพร เเละท่าเรือนํ้าลึกฝั่งอันดามัน จังหวัดระนอง โดยมีเส้นทางเชื่อมโยงท่าเรือทั้ง 2 เเห่ง ระยะทางประมาณ 90 กิโลเมตร 

แน่นอนว่าในโครงการนี้ ได้มีการวิเคราะห์ถึงโอกาสมหาศาลของไทย หากทำได้สำเร็จ โดยรายการหนุ่ยทอล์ก ดำเนินการโดยคุณหนุ่ย พงศ์สุข หิรัญพฤกษ์ พิธีกรไอทีและผู้ผลิตคอนเทนต์ชาวไทย ซึ่งได้พูดคุยกับแขกรับเชิญอย่างคุณกวี ชูกิจเกษม นักลงทุน VI / นักเขียน และนักวิเคราะห์ที่ได้รับการยอมรับในระดับประเทศ ปัจจุบันดำรงตำแหน่งรองกรรมการผู้จัดการ บริษัท หลักทรัพย์กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) เมื่อวันที่ 9 ก.ค.66 นั้น ได้ทำให้เห็นถึงความสำคัญของโครงการนี้มากยิ่งขึ้น ภายใต้ความขัดแย้งของ 2 ขั้วมหาอำนาจ ‘จีน-สหรัฐฯ’ ที่ยังคงเดินหน้าต่อเนื่อง

ทั้งนี้จากการสรุปคร่าว ๆ แล้ว ทั้งสองท่านได้พูดคุยกันถึงมูลเหตุแห่งความขัดแย้งในโลกของกลุ่มมหาอำนาจ ตั้งแต่เรื่องของพลังงานที่แย่งชิงกันมายาวนาน จนถึงวันนี้ได้พัฒนามาสู่การแย่งชิง ‘แร่หายาก’ (Rare Earth) ซึ่งเป็นความขัดแย้งใหม่เชิงภูมิศาสตร์ และนั่นก็ทำให้การมองหาพิกัดในการได้มาและถ่ายเทไปซึ่งทรัพยากรเหล่านี้ที่ตนมีไปสู่ประเทศอื่น ๆ จึงสำคัญมาก โดยเฉพาะในเรื่องของการขนส่ง

โครงการเชื่อมระหว่างอ่าวไทยและอันดามัน หรือ ‘แลนด์บริดจ์’ (LandBridge) ของประเทศไทย จึงถูกหยิบยกขึ้นมาถกกัน โดยทั้ง 2 ท่านได้ชี้ให้เห็นว่า แต่เดิมในอาเซียนจะมี ‘ช่องแคบมะละกา’ ที่เป็นพิกัดในการขนส่งสินค้ามาลงประเทศสิงคโปร์ ไม่ว่าจะเป็น พลังงาน สินค้าเกษตร หรือแม้แต่แร่หายาก 

แต่หากมีการขยายรากฐานเพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคมขนส่งเพื่อพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคใต้ เชื่อมโยงการขนส่งระหว่างอ่าวไทยกับทะเลอันดามัน ต่อยอดประโยชน์ที่ไทยตั้งอยู่ใจกลางคาบสมุทรอินโดจีนมาเป็นจุดยุทธศาสตร์ด้านการขนส่งและการค้าของเอเชีย ผ่านโครงการแลนด์บริดจ์นี้ รับรองได้ว่า ‘ไทย’ จะได้รับโอกาสใหม่ ๆ อย่างมหาศาล

แน่นอนว่า โครงการนี้จะทำให้ประเทศไทยได้เปรียบในเรื่องของการขนส่งสินค้าจากกลุ่มประเทศมหาอำนาจ ที่จะใช้เป็นทางลัดจาก ตะวันตก / ตะวันออกกลาง ไปเอเชียหรือไปสู่จีนได้ใกล้กว่ามะละกา แล้วก็สามารถแก้ปัญหาการแออัดของช่องทางคลองสุเอช รวมถึงช่องทางระหว่างแดนต่างๆ จากยุโรปไปถึงตะวันออกกลางและเอเชียภายใต้กรณีพิพาทจากสงคราม 

การเคลื่อนไหวตามข่าวที่เราได้เห็นกันชัดเจนแล้ว คือ ซาอุดีอาระเบีย ที่ได้มาคุยเจรจากับไทย ในการตั้งคลังน้ำมันขนาดใหญ่เทียบเท่าสิงคโปร์ รวมถึงการลงทุนในโครงการนี้ที่จะตามมาอีกมาก คือสัญญาณว่า ‘แลนด์บริดจ์’ ไม่ใช่แค่โครงการในประเทศไทย แต่เป็นโครงการที่โลกต้องใส่ใจ ภายใต้คำตอบที่ง่ายดายว่า โครงการนี้ขนส่งใกล้กว่าสิงคโปร์ และมีการโอกาสในการต่อยอดด้านการลงทุน สาธารณูปโภค และการขนส่งระหว่างสองซีกอ่าวอย่างมโหฬาร

ฉะนั้นหน้าที่ของรัฐบาลที่ต้องทำให้แลนด์บริดจ์เกิด คือ สร้างถนน สร้างรถไฟ สร้างท่อน้ำมัน กระจายต่อไปทางจีนได้เร็วเท่าไร โอกาสก็ยิ่งชัดขึ้น เพียงแต่ตอนนี้ก็คงไม่รู้ว่าจะเสร็จเมื่อไร แต่โครงการนี้เดินหน้าได้ไม่ยาก เนื่องจากถ้าเราสร้างคลังน้ำมันใหญ่ตรงนี้ได้ การสร้างท่อน้ำมันจากตรงนี้ไปยังประเทศที่โฟกัส ก็จะไม่ยาวมาก

ทั้งสองท่านมองอีกว่า นี่คือความสำคัญของประเทศไทย ในขณะที่จีนกับอเมริกาเขาทะเลาะกัน เพราะพิกัดบริเวณแลนด์บริดจ์ ถือเป็นจุดยุทธศาสตร์ที่สำคัญยิ่ง ถ้าหากอเมริกามาคุมตรงนี้ได้ ก็เหมือนกับได้ศูนย์กลางของโลกไปเลย นำเศรษฐกิจวิ่งไปอาเซียนได้ ไป EEC ได้ ไปจีนได้ ซึ่งตอนนี้ก็มีการสร้างรถไฟฟ้าความเร็วสูง วิ่งไปที่จีนข้างบนแล้วด้วย

ขณะเดียวกัน หากมองประเทศไทยที่กำลังจะเข้าสู่การเป็นฮับของอุตสาหกรรม EV ในย่านนี้ การมีแร่พลังงาน หรือแม้แต่แร่หายากใหม่ ๆ จากประเทศจีน ก็จะไหลมาหาไทยได้ง่ายขึ้น เพราะตรงนี้ก็จะอยู่ไม่ไกลจากเรา อีกทั้งไทยเรามี FTA กับจีน ก็ขนแร่มามาทางนี้ ผ่านรถไฟความเร็วสูงที่สามารถทำเชื่อมต่อได้เลย ซึ่งนี่ก็เหตุผลที่ทำไมรถไฟฟ้าจีนถึงได้มาเมืองไทย

แล้วนั่นก็เป็นเหตุผลที่ว่า ทําไมบรรดาค่ารถยนต์จีนอย่าง MG หรือแม้แต่ GWM ถึงเริ่มแห่มาไทย เพราะในอนาคตนอกจากที่ว่าไปข้างต้นแล้ว เขายังสามารถขนเอาแร่ลิเธียมจากอินโดนีเซีย และเวียดนาม มาบริเวณนี้ได้อีกด้วย

ดังนั้น หมากเกมนี้ รัฐบาลลุงตู่ เหมือนจะวางไว้เพื่อรับโอกาสหลายมิติ แต่มิติที่ใกล้สุดก็คือการให้ประเทศไทยกลายเป็นศูนย์กลางโรงผลิตรถไฟฟ้าโดยธรรมชาติ และเราจะกลายเป็นประเทศที่มีค่าเงินแพงกว่าสิงคโปร์ได้ในอนาคต หากเราทำพิกัดนี้สำเร็จ ถึงบอกว่าประเทศไทยเรามีความหวังมากเลยกับโครงการแลนด์บริดจ์ ซึ่งจะบอกเลยว่า อาจจะเจ๋งกว่า EEC เสียอีก 

ลุงตู่นี่แกก็ใช้ได้เหมือนกันนะเนี่ย
 

‘ใบเฟิร์น พิมพ์ชนก’ เผย ไม่มีปัญหากับ ‘หมู พิมพ์ผกา’ ยัน!! ไม่กระทบความสัมพันธ์ เชื่อ!! แม่ยังรักเหมือนเดิม

(20 ก.ค. 66) จากกรณีดรามาเรื่องราวความสัมพันธ์ที่ ‘แม่หมู พิมพ์ผกา’ อันฟอล IG ลูกชาย ‘นาย ณภัทร’ และแฟนสาว ‘ใบเฟิร์น พิมพ์ชนก’ อีกทั้งยังลบรูปทิ้งไป ก่อนแม่หมูจะออกมาบอกว่าเป็นคนบล็อกทั้งคู่เอง

ล่าสุด ‘ใบเฟิร์น พิมพ์ชนก’ ได้ออกมาเปิดใจถึงเรื่องนี้เป็นครั้งแรกว่า “อย่างที่ นาย ให้สัมภาษณ์ไปเมื่อวานเลย คือเราไม่ได้มีปัญหาอะไรกับคุณแม่เลย แล้วก็รับทราบปัญหานี้มาสักระยะหนึ่งแล้ว ก็เลยไม่ได้มีปัญหาอะไร ค่อนข้างเข้าใจทุกอย่าง และส่วนตัวเห็นข่าวแล้วไม่ตกใจ เพราะรับทราบปัญหานี้มาสักระยะหนึ่งก่อนที่ข่าวจะออก”

“หลังเกิดดรามา ก็มีคุยกับนาย คือเราซัพพอร์ตเขาเท่าที่ระยะทางเราทำได้ ระยะเรากับครอบครัว ให้เกียรติครอบครัวด้วย เพราะว่าเรื่องครอบครัวก็เซนซิทีฟ ในส่วนที่เราทำได้เราก็ทำทุกอย่าง และส่วนตัวก็ไม่ได้นอยด์เรื่องกระแสที่เกิดขึ้น แต่จะเป็นความรู้สึกที่เครียดเวลาเป็นห่วงตัวนายกับแม่มากกว่า”

ถามว่ามีได้คุยกับแม่หมูไหม ”จริง ๆ ก่อนเกิดเรื่องก็คุยกับคุณแม่ตลอด มีเข้าไปหา กินข้าว ส่งผลไม้โดยปกติของเราอยู่แล้ว แต่พอวันที่มีข่าวก็เข้าไปหาคุณแม่เหมือนกันแต่ก็ยังไม่ได้เจอ ถามว่าต้องเข้าหามากขึ้นไหม จริง ๆ เราเข้าหาคุณแม่อยู่แล้ว แต่รู้สึกว่าสุดท้ายเรื่องระยะเวลา และพื้นที่ที่แม่สบายใจก็มีผล สุดท้ายเมื่อไหร่ที่แม่โอเค เรายินดีตลอดเวลาอยู่แล้ว”

และที่หลายคนมองว่าคุณแม่โกรธเพราะนายติดแฟน สาวใบเฟิร์นก็ยืนยันว่า “ไม่จริงเลย เราก็เลยไม่ได้เดือดเนื้อร้อนใจ ก็คงไม่ติดแฟนแต่ส่วนใหญ่ติดงานทั้งคู่ ชีวิตตั้งแต่รู้จักกันมาต่างคนต่างก็ทำงานหนักแต่ไหนแต่ไรแล้ว เวลาเจอกันก็นับชั่วโมงได้ ก็เลยไม่ได้รู้สึกว่าอะไร โดยส่วนตัวรู้สึกว่าลำดับความสำคัญหรือสิ่งที่นายเขาให้ความสำคัญอันดับแรกในชีวิตเป็นแม่เสมอ ตั้งแต่เราเป็นเพื่อนกันจนถึงวันนี้ เลยรู้สึกว่าอะไรที่มันไม่จริง ไม่ใช่ เดี๋ยวมันก็ผ่านไป เราก็ไม่เจอกันบ่อยเลย ทำงานกันเยอะมาก ไหนจะทุกคนจะมีเส้นชีวิตของตัวเอง เราก็มีเพื่อนอีก พอเป็นเพื่อนกันมาก็เห็นชีวิตกันมานาน ก็เป็นความเข้าใจมากกว่า”

ส่วนที่มีคนมองว่าความรักของทั้งคู่มีส่วนทำให้คุณแม่เป็นแบบนี้ “คือมองว่าไม่ใช่เลย ความรักเป็นส่วนสำคัญที่จะช่วยให้ทุกอย่างผ่านพ้นไปได้ดีมากกว่า และที่นายเขาบอกว่าเราเข้าใจและเป็นพลังบวกให้เขา คือพอมันเริ่มจากความเข้าใจ แล้วก็อยู่บนความหวังดีที่มีให้มาตลอด คอยซัพพอร์ตแล้วก็ทางเฟิร์น ทางผู้จัดการส่วนตัว ก็จะบอกว่าไม่เป็นไร ช่วยกัน ประคองกัน บรรยากาศก็เลยค่อนข้างสบาย ไม่อยากให้เขาเครียดด้วย”

“เรื่องที่คุณแม่ป่วย คืออย่างแรกเลยเราเคารพพื้นที่ก่อน พื้นที่ของครอบครัวเขา ระยะของครอบครัวเขา แล้วเราก็อยู่ในที่ที่เราสามารถทำได้ ช่วยเหลือได้ ซัพพอร์ตได้ สุดท้ายก็เคารพเวลา การให้เวลาสำคัญที่สุด”

“ยืนยันว่าข่าวไม่กระทบจิตใจ เพราะข่าวหรืออะไรก็เป็นเพราะทุกคนยังไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น เราเห็นอยู่ว่านายเขาพยายามแค่ไหน ตั้งใจแค่ไหน แล้วก็รู้ว่ามันเปลี่ยนเรื่องที่ไม่มีใครอยากเป็นทุกข์ เฟิร์นรู้สึกว่าเราเห็นคนรอบตัวเราสำคัญที่สุด เพราะฉะนั้นข่าวหรืออะไรที่วันหนึ่งทุกคนเข้าใจ ได้ยินนายออกมาพูดก็จะเข้าใจเองว่ามันคืออะไร เพราะฉะนั้นตอนนี้เราปกป้องครอบครัวเราได้ ปกป้องสิ่งใดเราก็ทำสิ่งนั้นไปก่อน ส่วนความสัมพันธ์ของพวกเราโอเคมาก ๆ ยิ่งเข้าใจกันมากขึ้น แล้วก็ยิ่งอยู่ข้าง ๆ กัน”

ใบเฟิร์นยังเผยถึงเรื่องที่มีคอมเมนต์บอกให้หนีไป ให้นายปล่อยใบเฟิร์นไปด้วยว่า “ส่วนตัวก็เข้าใจ อย่างที่นายบอกมันก็เป็นอีกรูปแบบหนึ่งของความเป็นห่วง แต่ตอนนี้เราเชื่อว่าทุกคนพอได้รับรู้เรื่องราวแล้วเขาน่าจะเข้าใจมากขึ้น ซึ่งส่วนตัวก็ไม่ได้ซีเรียสกับคอมเมนต์มาก ก็เข้าใจเพราะเจอมาเรื่อย ๆ วันนี้เข้าใจและมองเห็นมุมมองของแต่ละคนมากกว่าแค่นั้นเอง ส่วนเรื่องความสัมพันธ์มันไม่ได้มีอะไรมากระทบ”

และเมื่อถูกถามว่าถ้าเข้าไปคุยกับแม่หมูแล้ว แม่หมูจะเข้าใจในความรักของเรามากขึ้นไหม สาวใบเฟิร์นก็เผยว่า "เฟิร์นรู้ว่าแม่รักเฟิร์น และแม่ก็รักนายตลอด (ก็ยังรักเฟิร์นเหมือนเดิม ?) แน่นอนค่ะ" ตอนนี้เราให้กำลังใจกัน ขอแค่ความเข้าใจ ความเห็นใจ ให้เวลาแม่ให้มากที่สุด

ใบเฟิร์น ยังยืนยันว่ายังจับมือ นาย ไม่ปล่อยแน่นอน หลังมีแฟน ๆ เป็นห่วงในเรื่องความสัมพันธ์ของทั้งคู่ ขอบคุณทุกความหวังดีและเป็นห่วงที่มีให้พวกเราก็จะพยายามทำให้ทุกอย่างผ่านไปด้วยดีที่สุด ทุกคนก็ทำเต็มที่ ยังไงก็ขอบคุณเป็นกำลังใจที่ดีมาก

‘ฐปณีย์’ เผย ได้รับหมายเรียกเป็น ‘พยาน’ คดีหุ้น ITV พร้อมชี้แจง หาก ‘กกต.-ศาลรัฐธรรมนูญ’ เรียกพบ

(20 ก.ค. 66) จากกรณีที่รายการข่าว 3 มิติ ทางช่อง 3 โดย ‘ฐปณีย์ เอียดศรีไชย’ ผู้สื่อข่าว 3 มิติ ได้ออกมาเปิดคลิปการประชุมผู้ถือหุ้นไอทีวี ที่จัดประชุมขึ้นเมื่อปลายเดือนเมษายนที่ผ่านมานั้น กระทั่งวานนี้ (19 กรกฎาคม) ศาลรัฐธรรมนูญ มีมติสั่งให้ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล หยุดปฏิบัติหน้าที่ ส.ส.แล้วนั้น

ล่าสุด ‘แยม’ ฐปณีย์ เอียดศรีไชย ได้โพสต์เฟซบุ๊ก ระบุว่า…

“วันที่ 25 ก.ค. 66 มีหมายเรียกจาก สน.ทุ่งสองห้อง ให้ ‘ฐปณีย์’ ไปเป็นพยานคดีหุ้นไอทีวี เตรียมพบกับ คดีหุ้น ITV EP.2”

‘เพื่อไทย’ หักดิบ!! ผสมข้ามขั้ว สลัด ‘ก้าวไกล’ จับตาแนวรบ ส.ว. ลุ้นหนัก ‘อนุทิน’ เข้าชิง

ก็ไม่เหนือความคาดหมายแต่ประการใด...ศาลรัฐธรรมนูญมีมติเอกฉันท์รับเรื่องจากคณะกรรมการการเลือกตั้งหรือ กกต. กรณีพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ถือหุ้นสื่อฯ ไอทีวี และมีมติ 7 ต่อ 2 ให้พิธาหยุดปฏิบัติหน้าที่ ส.ส.เอาไว้ก่อนตั้งแต่ 19 ก.ค.จนกว่าศาลจะมีคำวินิจฉัย...

ไม่กี่นาทีหลังคำสั่งศาลรัฐธรรมนูญเผยแพร่เป็นทางการ ‘ทิม พิธา’ ก็ประกาศอำกลางสภาฯ บอกกว่าจนกว่าจะพบกันใหม่..ท่ามกลางเสียงปรบมือกึกก้อง…

และในวันเดียวกันที่ประชุมรัฐสภามีมติประเภทตอกฝาโลงพิธา ด้วยการมีมติว่าการเสนอโหวตนายกฯนั้นเป็นญัตติและเสนอชื่อซ้ำอีกไม่ได้เหตุขัดข้อบังคับการประชุมรัฐสภา 2563 ข้อที่ 41 ด้วยคะแนน 394 ต่อ 312 งดออกเสียง 8 ไม่ลงคะแนน 1  

น่าสังเกตว่าคะแนน 312 ที่เห็นว่าเสนอชื่อพิธาซ้ำได้อีกนั้น น้อยกว่าคะแนนที่พิธาได้รับการโหวตเลือกเมื่อวันที่ 13 ก.ค. เพราะวันนั้นพิธาได้คะแนนสูงถึง 324 เสียง

สำหรับ ‘พิธา’ ก็ต้องฝ่าวิบากกรรมอีกหลายกรณี กรณีคดีหุ้นสื่อก็ต้องใช้เวลา 3-4 เดือนกว่าจะรู้ผลว่าจะได้กลับสภาฯ หรือต้องลาไกล

กรณีพรรคก้าวไกลนั้นนาทีนี้แม้จะยังไม่ยอมโยนผ้ายอมแพ้หรือประกาศตัวเป็นฝ่ายค้าน แต่เกมการเมืองเรื่องการจัดตั้งรัฐบาลไปตกอยู่ในมือของพรรคเพื่อไทยเรียบร้อยแล้ว...ทั้งพรรคเพื่อไทยและก้าวไกลอยู่ในสภาพกดดันทั้งคู่

พรรคก้าวไกลนั้นความกดดันคือ...จะเดินหน้าอย่างไร จบแค่นี้อย่างมีศักดิ์ศรีหรือเดินหน้าเกาะเอวพรรคเพื่อไทยขอเป็นรัฐบาลด้วย แล้วในที่สุดจะถูกสลัดออกมา...ให้สังคมและด้อมส้มรู้สึกสงสารมากขึ้น

ส่วนพรรคเพื่อไทย...รู้ดีว่าการเสนอชื่อนายกฯ โดยมีพรรคก้าวไกลร่วมรัฐบาลด้วยนั้นเสียงโหวตไม่ผ่านแน่นอน...ดังนั้นความกดดันคือถ้าพรรคก้าวไกลไม่สลัดออก ก็อาจจะต้องยอมเสนอชื่อนายกฯ ที่ไม่หวังผลได้ หรือเสนอให้รัฐสภาโหวตทิ้งไปสักชื่อหนึ่งก่อน ซึ่งอาจจะเป็นชัยเกษม นิติสิริ

แต่สายข่าวจากพรรคเพื่อไทยรายงานล่าสุดว่าจะพยายามเสนอชื่อแรกแล้วให้ผ่านเลย...ซึ่งแน่นอนที่สุดว่าพรรคเพื่อไทยต้องผสมข้ามขั้วกับพรรคภูมิใจไทยและพรรคพลังประชารัฐและพรรคอื่น ๆ อีกจำนวนหนึ่ง...เพื่อบีบให้พรรคก้าวไกลถอนตัวไปโดยอัตโนมัติตั้งแต่ตอนแรก

ทั้งนี้เต็งหนึ่งนายกฯ ของเพื่อไทยตอนนี้คือ เศรษฐา ทวีสิน คนที่เพจของพรรคกำลังทยอยปล่อยคลิปโชว์กึ๋นออกมารัวๆ...แต่อย่างไรก็ตามโอกาสของ ‘เสี่ยนิด-เศรษฐา’ จะถูกปิดตายทันทีถ้าเขายังยืนกรานในจุดยืน...มีเศรษฐาต้องมีก้าวไกล

ทั้งหลายทั้งปวงต้องยอมรับว่า...การจัดตั้งรัฐบาลสูตรที่ไม่มีพรรคก้าวไกลดูเหมือนจะง่ายขึ้น แต่จริง ๆ แล้วหาได้เป็นเช่นนั้นไม่ เพราะรัฐบาลใหม่ไม่เพียงเดิมพันอนาคตบ้านเมืองเท่านั้น ในส่วนของพรรคเพื่อไทยยังแบกเดิมพันการกลับบ้านของคนแดนไกลรวมอยู่ด้วย..และปัจจัยนี้คือราคาที่พรรคเพื่อไทยต้องจ่าย...จ่ายด้วยเงื่อนไขการต่อรองของพรรคร่วมรัฐบาล หรือแม้กระทั่งตำแหน่งนายกรัฐมนตรี...

วันที่ 27 ก.ค.รัฐสภานัดประชุมโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีอีกครั้ง สภากาแฟยังไม่ตัดชื่อ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หรือ ‘บิ๊กป้อม’ และ ‘อนุทิน ชาญวีรกูล’ ออกจากตัวเต็งนายกฯ คนที่ 30 โดยเฉพาะ อ.อนุทิน นั้นราคาหุ้นพุ่งแรงแซงลุงป้อมไปเป็นช่วงตัวแล้ว บรรดา ส.ว.หลายสายกำลังลุ้นหนักให้ถูกเสนอชื่อเข้าชิง

ทราบแล้วเปลี่ยน..!!

‘Say Hay Cafe Cuisine’ ร้านสไตล์ safari รสชาติอาหารดี มีน้องกระต่ายให้เล่นด้วย

‘Say Hay Cafe Cuisine’ ร้านอาหาร สไตล์สวนสัตว์ ย่านพุทธมณฑลสาย 7 นครปฐม อยู่ไม่ไกลจากเซ็นทรัล ศาลายา การตกแต่งของร้านจะออกไปทางสวนป่าเขตร้อน ที่นี่มีสัตว์น่ารักมากมาย ไม่ว่าจะเป็นฟลามิงโก จิงโจ้แคระ หงส์ นกกระตั้วพูดได้  เต่าสายพันธุ์ใหญ่ที่สุดในโลก ปลามังกร น้องกระต่าย ND แท้ และอื่น ๆเพียบ ฟิลเหมือนไปเที่ยวสวนสัตว์ ได้ถ่ายรูปโมเมนต์สวย ๆ พร้อมกับกินของอร่อยก่อนกลับบ้าน บอกเลยว่าเพลินมาก

ที่ร้านนี้มีเมนูอาหารไทยสไตล์ฟิวชั่น ทั้งเมนูแกง ยำ ผัด สปาเก็ตตี้ พิซซ่า สเต็ก มีให้เลือกหลากหลาย จุดเด่นคือรสชาติอาหารเข้มข้น กับวัตถุดิบพรีเมียม ที่ทำออกมาอร่อย และถูกปาก โดยเฉพาะเมนูแกงเขียวหวาน เครื่องแกงทำออกมาดีมาก รสชาติเผ็ดเล็กน้อย หอมกลิ่นเครื่องแกง จับคู่กับแป้งโรตี ทำออกมาได้อร่อยมาก

ทางด้านเครื่องดื่มก็มีทั้งแบบ Coffee และ Non Coffee เลือกจับคู่กับของหวานอย่างเค้กสไตล์โฮมเมด ทางร้านทำออกมาดีมาก อยากให้ลอง 'เค้กดับเบิ้ลโฟรมาจ' เค้กเมล่อนที่อร่อยมาก ความหวานแบบกำลังดี รับรองว่าโดนใจสายหวานอย่างแน่นอน 

ที่ร้านนี้เค้ามีโซน Pet-Friendly เตรียมไว้ให้ด้วย ใครอยากพาลูก ๆ สัตว์เลี้ยงไปด้วย สามารถแจ้งทางร้านไว้ได้เลย

ใครที่ทำกำลังมองหากิจกรรมดีต่อใจช่วงวันหยุด พักผ่อนไม่ไกลจากกรุงเทพฯ ถ่ายรูปสวยแบบฟิน ๆ กับสัตว์น้อยน่ารัก Say Hay Cafe & Cuisine ที่มาในคอนเซปแบบ Mini Zoo ก็น่าจะตอบโจทย์ โดยเฉพาะช่วงเย็นวันเสาร์-วันอาทิตย์ มีดนตรีเล่นสดให้ได้ฟังกันด้วย

ใครที่ขับรถเข้ามาร้านนี้ รบกวนขับช้า ๆ นิดนึง ระวังชนน้องกระต่าย เพราะที่นี่เค้าเลี้ยงแบบเปิด อาจจะมี กระโดดมาตัดหน้ารถของเราก็ได้

ข้อมูลเพิ่มเติม
Say Hay Cafe & Cuisine ร้านอาหารเซย์เฮย์
เปิดทุกวัน 11.00 - 21.00 (รับออเดอร์สุดท้าย 20:00 ทุกวัน)
โทร : 065-629-6142
ที่อยู่ : ตำบลหอมเกร็ด อำเภอสามพราน นครปฐม
https://goo.gl/maps/5Ln3gkWww4qptGVH9

‘เศรษฐา’ ลั่น!! หาก 'เพื่อไทย' เป็นแกนตั้งรัฐบาลจะไม่แตะ 112 คลุมเครือจับมือ ‘ก้าวไกล’ ต่อหรือไม่ ขอคุย 8 พรรคก่อน

(20 ก.ค.66) ที่พรรคเพื่อไทย (พท.) นายเศรษฐา ทวีสิน ประธานที่ปรึกษาหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทยและแคนดิเดตนายกฯ ให้สัมภาษณ์ถึงท่าทีของพรรคเพื่อไทย ในการเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล ภายหลังไม่สามารถเสนอชื่อนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคและแคนดิเดตนายกฯ พรรคก้าวไกล (ก.ก.) ได้อีกว่า วันนี้จะพูดคุยกันในเรื่องนี้ ส่วนจะมีความชัดเจนในการเสนอชื่อตนเป็นนายกฯ หรือไม่นั้น ต้องรอข้อสรุปจากการประชุม

เมื่อถามว่าเสียง ส.ว.ในการโหวตนายพิธา เมื่อวันที่ 19 ก.ค. ชัดเจนว่า ส.ว.ไม่เอาพรรคก้าวไกล การตั้งรัฐบาลโดยพรรคเพื่อไทย จะยังมีพรรคก้าวไกลหรือไม่ นายเศรษฐา กล่าวว่า ต้องให้ทีมเจรจาไปเจรจาก่อน ซึ่งจะทราบทิศทาง ขณะนี้เรายังมีเอ็มโอยูของ 8 พรรคร่วม ดังนั้นต้องพูดคุยและให้เกียรติกัน

เมื่อถามว่าขณะนี้พร้อมถูกเสนอชื่อเป็นนายกฯ ในการโหวตครั้งต่อไปหรือไม่ นายเศรษฐา กล่าวว่า ทางพรรคมีแคนดิเดตนายกฯ 3 คน ต้องรอให้มีมติจากกรรมการบริหารพรรค(กก.บห.) ว่าจะเป็นใคร ทั้งนี้ แคนดิเดตทุกคนมีความพร้อม

เมื่อถามว่า 8 พรรคร่วมยังเหนียวแน่นหรือไม่ นายเศรษฐา กล่าวว่าวันนี้ยังเป็นแบบนั้นอยู่ โดยคณะเจรจาอาจไปพูดคุยกันเย็นนี้หรือวันที่ 21 ก.ค. เชื่อว่าหลังจากนี้จะมีแนวทางว่าจะดำเนินการอย่างไรต่อ รวมถึงอาจมีการเปลี่ยนแปลงในแง่ของแกนนำจัดตั้งรัฐบาล

เมื่อถามว่าการดันนายพิธา เป็นนายกฯ ของพรรคร่วม ถือว่าสิ้นสุดแล้วหรือไม่ นายเศรษฐา กล่าวว่า ตามที่ฟังดูในทางกฎหมาย น่าจะเป็นเช่นนั้น

เมื่อถามว่าการโหวตชื่อนายกฯ เหมือนเป็นบรรทัดฐานว่าจะเสนอชื่อหนึ่งคนได้เพียงครั้งเดียว การมีพรรคก้าวไกลอยู่จะส่งผลให้โหวตนายกฯ ไปในทิศทางใด นายเศรษฐา กล่าวว่า การเสนอชื่อนายกฯ ครั้งต่อไปต้องคิดให้ดี ต้องเจรจาให้เหมาะสม เมื่อถามว่าส่วนตัวมองว่าควรจะแพ็กกับพรรคก้าวไกลต่อหรือไม่ นายเศรษฐา กล่าวว่า ต้องให้เกียรติคณะเจรจา เพราะตนไม่ได้อยู่ในคณะเจรจา

เมื่อถามว่าหากพรรคเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล จะทำอย่างไรไม่ให้ ม.112 เป็นปัญหา นายเศรษฐา กล่าวว่า มองว่าพรรคที่จะเสนอชื่อนายกฯ ครั้งต่อไป ต้องไม่มีเรื่องการแก้ไขหรือยกเลิก ม.112 ไม่อย่างนั้นจะไม่ได้รับการสนับสนุนจาก ส.ว.รวมถึงพรรคอื่น ดูก็รู้ว่าเรื่องอะไรเป็นอะไร

เมื่อถามว่ามองว่าวิธีใดที่จะทำให้มาตรา 112 ไม่อยู่ในเงื่อนไขที่จะทำให้คนเข้าใจพรรคเพื่อไทยมากที่สุดว่าเราไม่ได้หักพรรคก้าวไกล นายเศรษฐา กล่าวว่า ตนพูดแทนพรรคก้าวไกลไม่ได้ แต่พรรคเพื่อไทยคงต้องพูดคุยกัน ถ้าเราจะเป็นแกนนำ เรื่องนี้ต้องหยุดลงไป ส่วนความสัมพันธ์กับพรรคก้าวไกล ตนไม่แน่ใจเหมือนกันเพราะตนไม่เกี่ยวข้องกับการเจรจา แต่คิดว่าหากมีมาตรา 112 อยู่ คงไม่ได้รับการสนับสนุนจากหลาย ๆ พรรค

เมื่อถามว่าจะมีพรรคร่วมเข้ามาเติมเสียงเพิ่มขึ้นหรือไม่ นายเศรษฐากล่าวว่า คิดว่าอาจจะล้ำหน้าไปเล็กน้อย ต้องให้เกียรติ 8 พรรคร่วมก่อน เพราะ 8 พรรคปัจจุบันก็มีเสียงเยอะ แต่ต้องมาคุยกันอีกครั้งว่าจะตกลงกันอย่างไร อย่างไรก็ตาม เสียงสว.250 เสียงถือเป็นส่วนที่สำคัญในการสนับสนุนให้เป็นนายกฯ

เมื่อถามว่าตัวนายเศรษฐาจะต่อสายพูดคุยกับ สว.ได้หรือไม่ นายเศรษฐา กล่าวว่า ตนรู้จักสว.แค่คนสองคน เชื่อว่าเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องส่วนตัว คงเป็นเรื่องของหลักการมากกว่า ถ้าตกลงกันได้และพูดคุยกันรู้เรื่อง เชื่อว่าจะได้รับการสนับสนุนจากสว. คิดว่าอย่าเพิ่งข้ามขั้นดีกว่า วันนี้เรายังผูกมัดอยู่กับเอ็มโอยู และต้องให้เกียรติคณะกรรมการเจรจาว่าจะทำอย่างไรกันต่อไป ถ้าเจรจาแล้วเห็นเป็นอื่นก็ต้องกลับมาคุยในพรรคกันต่อ แล้วพิจารณาว่าต่อไปเราจะไปอย่างไรกับใคร

เมื่อถามว่าคิดหรือไม่ว่าตอนนี้เกมบีบให้พรรคเพื่อไทยต้องข้ามขั้ว นายเศรษฐา กล่าวว่า ต่างคนต่างคิดอยู่แล้ว แต่สำคัญที่สุดคือคนที่มีอำนาจตัดสินใจ กก.บห. คณะเจรจาร่วมต้องเป็นคนพิจารณาให้ดี ส่วนเรามีหน้าที่ที่ต้องทำต่างกัน วันนี้ตนเป็นแคนดิเดตนายกฯ ก็ต้องเตรียมพร้อมเรื่องเศรษฐกิจที่พรรคมอบหมายมา

อย่างไรก็ตาม ตอนนี้ 8 พรรคยังอยู่ด้วยกัน การจะมีการเปลี่ยนแปลงข้ามขั้ว หรือจะมีพรรคอื่นเข้ามาเสริมก็ต้องให้เกียรติกับคณะเจรจา ขอให้ใจเย็น มีอีกหลายวันก่อนถึงวันที่ 27 ก.ค. เราต้องให้เกียรติกับพรรคร่วม ซึ่งผลการโหวตเมื่อวันที่ 19 ก.ค.เป็นผลที่น่าผิดหวัง แต่ต้องยอมรับและเดินต่อไป ทั้งนี้ หาก กก.บห.มีทิศทางการจัดตั้งรัฐบาลอย่างไร ก็พร้อมทำตาม

เมื่อถามว่ามีการพูดถึงสูตรผลักให้พรรคก้าวไกล ไปเป็นฝ่ายค้าน วันนี้มองว่ายังต้องจับมือกับพรรคก้าวไกลไปจนกว่าจะสุดทางไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นหรือไม่ นายเศรษฐา กล่าวว่า ขึ้นอยู่กับว่าสุดคืออะไร สุดทางคือพรรคก้าวไกลไม่สามารถส่งนายกฯได้ ถือว่าสุดทางแล้วหรือยัง อันนี้ต้องฝากไปยังคณะเจรจาของ 8 พรรคว่า นี้คือสุดทางหรือยัง ถ้าสุดทางแล้วต้องมาพิจารณาว่าพรรคที่มีคะแนนอันดับสอง จะได้รับการมอบหมายหรือไม่ จะตกลงกันได้หรือไม่ อยากให้ทุกอย่างผ่านไปได้ด้วยดี เพราะถึงอย่างไรเรายังร่วมอุดมการณ์กันอยู่ดี

เมื่อถามว่าหากโหวตอย่างไรก็ไม่ได้ เพราะยังมีพรรคก้าวไกลอยู่ จำเป็นหรือไม่ที่ต้องผลักพรรคก้าวไกลออก นายเศรษฐากล่าวว่า ตนว่าทุกคนรู้อยู่ อย่าให้ตนตอบดีกว่า เมื่อถามย้ำว่าจะทำตามแนวทางของกก.บห.ยอมเป็นนายกฯ โดยที่ไม่มีพรรคก้าวไกลหรือไม่ นายเศรษฐากล่าวว่า อย่าไปถึงจุดนั้น จุดแรกคือ 8 พรรค ต้องตกลงกันให้ได้ก่อนว่าขั้นตอนต่อไปจะเป็นอย่างไร

หากมีมติออกมาว่าพรรคเพื่อไทยเป็นแกนนำ ก็ต้องประชุม กก.บห.ก่อน แล้วเลือกแคนดิเดตนายกฯ ต้องว่าไปตามขั้นตอน ยังมีเวลาอีกหลายวัน

เมื่อถามว่าในการหากเสนอชื่อนายเศรษฐา มั่นใจหรือไม่ว่าเสียง 8 พรรคจะเหมือนเดิม นายเศรษฐา กล่าวว่า ตนไม่ก้าวล่วง หากบอกว่าเขาโหวตให้แล้วเขากลับไม่โหวตให้ ดังนั้น ขอไม่ตอบดีกว่า เพราะต้องให้เกียรติพรรคร่วม

‘EA’ ผนึก ‘นางสาวถิ่นไทยงาม’ รณรงค์ใช้พลังงานสะอาด-ยานยนต์ไฟฟ้า ลดมลพิษ-ลด PM 2.5 ในแคมเปญ ‘EA Go Green Clean Energy’

(20 ก.ค. 66) บมจ.พลังงานบริสุทธิ์ ตอกย้ำสู่การเป็นผู้นำนวัตกรรมพลังงานสะอาด พร้อมสนับสนุน Sustainable Beauty รับเทรนด์ความสวยแบบรักษ์โลก ภายใต้คอนเซ็ปต์ ‘Go Green Clean Energy’ โดยมีนางสาวถิ่นไทยงาม ร่วมโปรโมต ปักธงรณรงค์สร้างพฤติกรรมใหม่ กระตุ้นการใช้ยานยนต์ไฟฟ้าสาธารณะ ลดมลภาวะชุมชนเมือง ลด PM2.5 แก้ปัญหารถติด สร้างคุณภาพชีวิตที่ดีอย่างยั่งยืน

นายสมโภชน์ อาหุนัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จำกัด (มหาชน) (EA) พร้อมด้วย นายอมร ทรัพย์ทวีกุล รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารและคณะผู้บริหาร โปรโมตแคมเปญ EA Go Green Clean Energy เชิญผู้เข้าประกวดนางสาวถิ่นไทยงาม ลงพื้นที่ถ่ายทำ Branding เดินหน้าสร้างพฤติกรรม ส่งเสริมการใช้พลังงานสะอาด-ยานยนต์ไฟฟ้าสาธารณะ ‘รถ-เรือ-ราง’ เชื่อมโยงการเดินทางได้ไกล ไร้มลพิษ

การขับเคลื่อนการใช้ระบบขนส่งสาธารณะพลังงานสะอาด โดยมีนางสาวถิ่นไทยงาม ร่วมโปรโมตจะเป็นแรงขับเคลื่อนให้เกิดการรับรู้สู่กลุ่มเป้าหมายได้หลากหลายยิ่งขึ้น เกิดการกระตุ้นและขยายโอกาสธุรกิจ โดยเฉพาะธุรกิจด้านนวัตกรรมยานยนต์ไฟฟ้า ในกลุ่มบริษัทพลังงานบริสุทธิ์ โดยมีการถ่ายทอด Branding ผ่านผลิตภัณฑ์ EA ที่ตอกย้ำการเป็นผู้นำนวัตกรรมพลังงานสะอาด ดังนี้

- MINE Bus ยานยนต์ไฟฟ้าขนส่งสาธารณะทางบก ที่มีการส่งมอบสู่ตลาด ให้บริการประชาชน แล้วกว่า 2,000 คัน และคาดว่าจะมีการส่งมอบอีกไม่ต่ำกว่า 3,000 คัน เพื่อรองรับการขนส่งสาธารณะเชิงพาณิชย์ คาดว่าจะลดปริมาณคาร์บอนไดออกไซต์ได้กว่า 320,000 Ton Co2 per year 

- MINE Mobility MT30 รถกระบะไฟฟ้า EV Mini Truck ที่ออกแบบด้วยกลยุทธ์ Respect Environment เพื่อส่งเสริมผู้ประกอบการธุรกิจรุ่นใหม่ ใส่ใจสิ่งแวดล้อม ซึ่งมีผู้ประกอบการหลายแห่งสนใจติดต่อเพื่อขอนำรถไปทดลองใช้ ทั้งด้านโลจิสติกส์, ด้านบริการขายอาหาร เป็นต้น

- MINE Smart Ferry มิติใหม่แห่งการโดยสารทางเรือ ที่เปิดให้บริการประชาชนสัญจรทางน้ำ ในแม่น้ำเจ้าพระยา แล้วกว่า 27 ลำ และมีเป้าหมายขยาย 44 ลำ ซึ่งคาดว่าสามารถลดปริมาณคาร์บอนไดออกไซต์ได้กว่า 8,800 Ton Co2 per year 

- MINE Locomotive หัวรถจักรไฟฟ้าพร้อมตู้แบตเตอรี่แยก (Power Car) นวัตกรรมยกระดับคมนาคมทางราง ตอบโจทย์พลังงานสะอาดยุคใหม่ 

ทั้งนี้ เพื่อสอดรับเทรนด์กระแสความสนใจด้าน Sustainable Beauty ความงามที่ยั่งยืน และกระตุ้นพฤติกรรมใช้ยานยนต์ไฟฟ้าสาธารณะมากขึ้น EA จึงได้ร่วมกับพันธมิตรนางสาวถิ่นไทยงามโปรโมต Branding สะท้อนการดำเนินธุรกิจ ผลิตภัณฑ์ ที่สร้างความยั่งยืนในทุกมิติ ด้วยความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม การดูแลสังคม และการดำเนินธุรกิจภายใต้การกำกับดูแลกิจการที่ดี อันนำไปสู่การส่งเสริมภาพจำให้กับสาธารณะชน ตอกย้ำความเป็นผู้นำด้านนวัตกรรมพลังงานสะอาดแห่งอนาคต (Future Leader)

'เพื่อไทย' รอ 'ก้าวไกล' นัดคุย 8 พรรค ลั่น!! ไม่ขอรบบนสมรภูมิที่แพ้แล้ว

(20 ก.ค. 66) ที่รัฐสภา นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว หัวหน้าพรรคเพื่อไทย (พท.) ให้สัมภาษณ์ถึงความคืบหน้าการจัดตั้งรัฐบาลของ 8 พรรคร่วม ว่า มติรัฐสภาวานนี้ (19 ก.ค.) ที่ตีความว่าการเสนอชื่อนายกรัฐมนตรีเป็นญัตติที่ไม่สามารถเสนอซ้ำได้ในสมัยประชุมเดียวกันได้ ทำให้ไม่สามารถเสนอชื่อ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล ซ้ำเป็นรอบสอง ไม่ควรเกิดขึ้นเพราะจะผูกมัดต่อไปในอนาคต แต่จะเป็นเพียงการผูกมัดแค่มาตรา 272 เมื่อเปลี่ยนไปใช้การมาตรา 159 แต่งตั้งนายกฯ ข้อผูกพันนี้จะลดไป อย่างไรก็ตาม ทราบว่าเบื้องต้นเลขาธิการของพรรคเพื่อไทย และเลขาฯ พรรคก้าวไกล พูดคุยกันแล้ว เราก็รอจะมีการนัดหมายเมื่อใด

เมื่อถามถึงความคิดเห็นของ นายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ อดีตประธานคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ นพ.ชลน่าน กล่าวว่า นายบวรศักดิ์ไม่เห็นด้วยกับผลการลงมติของรัฐสภา และยังแนะนำว่าใครเห็นว่าถูกละเมิดสิทธิ์สามารถไปร้องต่อผู้ตรวจการแผ่นดินได้

เมื่อถามว่า วันนี้ใช้คำว่าเพื่อไทยต้องรอพรรคก้าวไกลเพียงอย่างเดียวได้ใช่หรือไม่ หัวหน้าพรรค กล่าวว่า ต้องรอ ในฐานะที่เป็น 8 พรรคร่วม การตัดสินใจและท่าทีอยู่ที่พรรคก้าวไกลก่อน เมื่อถามย้ำว่า วันนี้พรรคเพื่อไทยไม่ปล่อยมือพรรคก้าวไกลใช่หรือไม่ นพ.ชลน่าน กล่าวว่า “ขณะนี้ยัง ยังอยู่”

เมื่อถามถึงการเสนอชื่อนายกฯ ครั้งต่อไป จะต้องเป็นของพรรคเพื่อไทยหรือไม่ นพ.ชลน่าน กล่าวว่า อยู่ที่การหารือที่จะเกิดขึ้นเร็วๆ นี้ โดยจะรอนัดหมาย อาจเป็นวันนี้หรือพรุ่งนี้ก็แล้วแต่เขาจะนัดหมายกัน

เมื่อถามว่า แกนนำพรรคก้าวไกลหลายคนไม่พอใจการทำงานของ นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานรัฐสภา นพ.ชลน่าน กล่าวว่า ไม่มีใครพอใจ ส่วนตัวก็ไม่พอใจเหมือนกัน จะเสนอญัตติโดยใช้เสียงข้างมากธรรมดาโดยไม่มีช่องทางที่ชอบด้วยข้อบังคับการประชุมรัฐสภา แต่เมื่อออกมาเช่นนั้นก็ต้องยอมรับ เพราะเราปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และระบบรัฐสภา ระบบเสียงข้างมาก ก็ต้องยึดถือ เพียงแต่ว่าสิ่งหนึ่งที่อาจมีความแคลงใจ คาใจและไม่พอใจ คือเสียงข้างมากไม่เป็นไปตามหลักนิติธรรม และจะทำให้ระบบรัฐสภามีปัญหาแน่นอน

“แต่บทเรียนครั้งนี้สามารถนำมาปรับปรุงแก้ไขได้ เมื่อหมดวาระของ ส.ว.ในวันที่ 11 พ.ค.67 เรามีความชอบที่จะแก้ไขข้อบังคับการประชุมสภาผู้แทนราษฎร โดยนำเรื่องการให้ความเห็นชอบนายกฯมากำหนดไว้ในข้อบังคับการประชุมสภาฯ อะไรที่เป็นข้อจำกัดในข้อบังคับการประชุมรัฐสภาไปบัญญัติไว้ในข้อบังคับการประชุมสภาฯ แทน” นพ.ชลน่าน กล่าว

เมื่อถามถึงความเป็นห่วงว่าการเสนอชื่อนายกฯ เป็นญัตติไม่สามารถเสนอชื่อซ้ำได้ในสมัยประชุมเดียวกันนั้น นพ.ชลน่าน กล่าวว่า เมื่อข้อบังคับถูกวินิจฉัยเช่นนี้ทุกคนเป็นห่วง ถ้าพรรคเพื่อไทยมีโอกาสได้เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลก็ตกภาระลำบาก 

เมื่อถามว่า พรรคเพื่อไทยห่วงว่าถ้ายังจับกับพรรคก้าวไกลแล้วเสนอชื่อรอบ 3 หรือรอบต่อ ๆ ไปจะไม่ผ่านเหมือนกันใช่หรือไม่ หัวหน้าพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า เสนอชื่อซ้ำก็ห่วงทุกมิติ ถ้าเขาเห็นว่าเราไม่ได้รับความเห็นชอบจากทุกฝ่าย ทุกคน ก็ยากมากที่จะฝ่าด่านไปได้ ดังนั้น หลักการคือ พรรคแกนนำไม่ว่าพรรคใดต้องแสวงหาความมั่นใจว่าเสนอไปแล้วจะผ่าน ไม่มีใครรบบนสมรภูมิที่แพ้ แล้วจะรบอีก เพราะเราก็จะเสียคนของเราไปด้วย โดยเฉพาะถ้าเรามีเพียงคนเดียวเราเสนอไม่ได้อีก มันก็จบ นี่คือปัญหา

เมื่อถามถึงกระแสข่าวพรรคก้าวไกลจะยื่นศาลรัฐธรรมนูญตีความ นพ.ชลน่าน กล่าวว่า สมควรยื่น อะไรที่ไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญควรดำเนินการ เมื่อถามว่า หากพรรคเพื่อไทยเสนอชื่อนายกฯ แต่ยังจับขั้วกับพรรคก้าวไกล ชื่อที่พรรคเพื่อไทยเสนอก็จะไม่ผ่าน นพ.ชลน่าน กล่าวว่า ข่าวก็คือข่าว ต้องรอพิสูจน์ว่าข่าวนั้นจะเป็นจริงหรือไม่ อย่างไรก็ตาม กรณีถ้าถึงคิวที่พรรคเพื่อไทยเป็นคนเสนอ คงไม่รอให้ชื่อของเราไม่ผ่าน ถ้ารอมติตรงนั้นเราก็แพ้อย่างเดียว

“ผมสงสารพรรคก้าวไกลที่ใช้ประเด็นเหล่านี้มาเป็นเงื่อนไข ขณะนี้ไม่ใช่แค่เรื่องมาตรา 112 แล้ว พรรคเพื่อไทยไม่มีความคิดก้าวล่วงสิทธิและเสรีภาพของพรรคก้าวไกล เราเป็นพรรคร่วมก็จริง การที่บอกว่าคุณไปลดหน่อย โน่นนี่นั่น เราไม่มีสิทธิ์ อยู่ที่การตัดสินใจของพรรคเขา” หัวหน้าพรรคเพื่อไทย กล่าว


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top