Friday, 9 May 2025
NewsFeed

‘ใบเฟิร์น พิมพ์ชนก’ อวดลุคร่วมงานที่ปักกิ่ง รัศมีความสวยเปล่งประกาย ดึงสายตาคนทั้งงาน

อีกหนึ่งนางเอกซุปตาร์แถวหน้าเมืองไทยอย่าง ‘ใบเฟิร์น-พิมพ์ชนก ลือวิเศษไพบูลย์’ ที่มีผลงานมากมายหลากหลายด้าน มีแฟนคลับหลงรักและติดตามจำนวนมาก ด้วยความสวยมาพร้อมความเก่งทำให้เธอนั้น ได้ร่วมงาน ‘BOTTEGA VENETA WINTER 23 BEIJING SHOW’ ที่กรุงปักกิ่ง 

ล่าสุดวันที่ 21 ก.ค. 66 สาวใบเฟิร์นได้โพสต์ภาพตัวเองในวันได้ร่วมงาน แต่งชุดเดรสสีดำ แต่งหน้าทำผมจัดเต็ม สวยเป๊ะจนคนบันเทิงในหลาย ๆ ประเทศยังอึ้งในความสวย แฟนคลับทั้งในและต่างประเทศ ก็ต่างกดไลก์และคอมเมนต์ชมสนั่นไอจีเลยทีเดียว

'เศรษฐา' ลั่นไม่กลัว 'ชูวิทย์' ขู่แฉปมที่ดิน ยืนยัน!! มั่นใจในความบริสุทธ์ของตัวเอง

(20 ก.ค.66) ที่พรรคเพื่อไทย นายเศรษฐา ทวีสิน แคนดิเดตนายกฯ พรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณีที่นายชูวิทย์ กมลวิศิษฐ์ อดีตนักการเมือง เตรียมแฉเกี่ยวกับเรื่องที่ดิน ว่า ตนเคยทำธุรกิจมานานก็มั่นใจว่าบริษัทเก่าที่ตนได้ทำมาก็ทำมาด้วยดี ไม่ได้มีปัญหาอะไร

เมื่อถามว่า กังวลหรือไม่ว่าเมื่อจะก้าวขึ้นมาเหมือนนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าและแคนดิเดตนายกฯพรรคก้าวไกลก็มีประเด็นที่จะถูกแฉเรื่อยๆ นายเศรษฐา กล่าวว่า เขาก็แฉกันมาตลอด ตั้งแต่วันแรกที่เดินเข้ามา เขาก็บอกว่าจะมีเรื่องที่จะแฉ แต่ก็ไม่เป็นไร ตนเข้าใจเมื่อมาอยู่จรงจุดนี้ก็ต้องระมัดระวัง ยืนยันว่าตนมั่นใจในความบริสุทธ์ของตัวเอง

ความสำเร็จรุ่น 2 'ใบห่อ' สยายปีกธุรกิจไกล เพราะยึดคำสอนพ่อ 'ซื่อสัตย์-รักษาสัญญา'

ห้างขายยาตราใบห่อ ตำนานยาสมุนไพรไทยที่ก้าวย่างสู่วัย 50 ยังแจ๋ว เพราะเป็นผู้นำด้านยาสมุนไพรไทย 1 ใน 5 ของประเทศ เดินหน้าแตกไลน์สินค้าเพิ่ม ดันแนวคิด 'สมุนไพรไทยกลางใจบ้าน' ยึดหลักนายห้างประสิทธิ์ อัคคะประชา ผู้ก่อตั้งที่เน้นย้ำ ต้องซื่อสัตย์กับลูกค้า รักษาสัญญา ผลิตยาสมุนไพรที่มีคุณภาพ เห็นผลและราคาไม่แพง เพื่อให้ใบห่อเป็นยาสมุนไพรไทยที่ทุกบ้านพึ่งพาได้ และยกระดับให้คนไทยมีสุขภาพดี

คุณอิศรา อัคคะประชา กรรมการบริหารและผู้จัดการฝ่ายการตลาด บริษัท ห้างขายยาตราใบห่อ จำกัด กล่าวถึงภาพรวมของการดำเนินธุรกิจในรุ่นที่ 2 ต่อจากคุณพ่อว่า ห้างขายยาตราใบห่อ เริ่มต้นขึ้นเมื่อประมาณ 50 ปีที่แล้ว โดยคุณพ่อของผม นายห้างประสิทธิ์ อัคคะประชา ได้ประกอบอาชีพเป็นลูกจ้างร้านสมุนไพรมาก่อน ซึ่งยาสมุนไพรในยุคนั้นจะเป็นรูปแบบชง ต้ม ดื่ม ทำให้มีรสชาติขมค่อนข้างไปทางยา ทานลำบาก คุณพ่อผมท่านมีความเป็นนักการตลาดอยู่ในตัวก็เลยมองเห็นช่องว่างทางการตลาด และหันมาเริ่มผลิตยาสมุนไพรในรูปแบบเม็ดเป็นเจ้าแรกของประเทศไทย ทำให้ยาสมุนไพรทานง่ายขึ้น โดยเฉพาะยาขมเม็ดตราใบห่อกลายเป็นผลิตภัณฑ์ยอดนิยมจากอดีตถึงปัจจุบัน 

ส่วนภาพรวมของตลาดสมุนไพรไทยในปัจจุบัน คุณอิศรา กล่าวว่า หลังจากช่วงโควิด19 ที่ผ่านมา เห็นว่าคนไทย หันมาสนใจในยาสมุนไพรไทยมากขึ้น ไว้วางใจมากขึ้น เช่น สมุนไพรฟ้าทะลายโจร ที่มีสรรพคุณส่วนช่วยบรรเทาอาการผู้ป่วยที่ติดเชื้อโควิด19 นอกจากนี้ยังเห็นว่าสังคมไทยกำลังเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุอย่างเต็มตัว ส่งผลให้ตลาดสมุนไพรไทยคึกคัก การแข่งขันค่อนข้างดุเดือดเนื่องจากมีผู้เล่นหน้าใหม่เข้ามาในตลาดมากขึ้น มีการออกสินค้าใหม่ ๆนวัตกรรมใหม่ ๆ ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อผู้บริโภค ซึ่งแต่ละแบรนด์ก็มีเอกลักษณ์ไม่เหมือนกัน 

สำหรับกลยุทธ์การตลาด คุณอิศรา กล่าวว่า "ในปัจจุบันห้างขายยาตราใบห่อ เริ่มทำตลาดออนไลน์มากขึ้น โดยมีแนวคิด สมุนไพรไทยกลางใจบ้าน เรามองคำว่าบ้าน หมายถึงลูกค้า ร้านขายยา ตัวแทนจำหน่าย หรือกระทั่งคนที่ทานยาสมุนไพรของเรา มองว่า 'ทุกคนล้วนเป็นครอบครัวเรา' เราต้องการส่งมอบคุณค่าด้วยการผลิตยาสมุนไพรที่มีคุณภาพดีให้กับทุกคน โดยใช้นวัตกรรมในการผลิตที่เป็นมาตรฐานเน้นในเรื่องความปลอดภัยเป็นสำคัญ มีการทดลองใช้ในทุกรอบการผลิตเพื่อส่งมอบคุณภาพให้กับลูกค้า ทานแล้วต้องเห็นผล ราคาจับต้องได้ เข้าถึงได้สะดวกเวลาที่คนเจ็บป่วยด้วยโรคไม่รุนแรง เช่น ไข้หวัด ร้อนใน ท้องผูก สามารถพึ่งพายาสมุนไพรเราได้ เนื่องจากเป็นยาสามัญประจำบ้านที่อยู่คู่คนไทยมานานเกือบ 50 ปี"

สำหรับผลิตภัณฑ์ใบห่อ ที่ได้รับความนิยม ได้แก่ ยาขมเม็ดตราใบห่อ และยาระบายตราใบแก้ว เป็นต้น ส่วนกลุ่มลูกค้าเป็นกลุ่มผู้สูงอายุ รองลงมาคือวัยทำงาน และวัยอื่นๆ ก็สามารถทานยาสมุนไพรของเราได้ ส่วนการตลาดที่สร้างการรับรู้ไปยังกลุ่มคนรุ่นใหม่ ทางใบห่อได้มีการออกถุงผ้าแฟชั่นสกรีนแบรนด์ตราใบห่อ สีสันวินเทจ ซึ่งได้รับความนิยมมาก นอกจากนี้เรายังได้เปิดช่องทางให้ข้อมูลความรู้ โดยมีเภสัชกรแผนไทยและแพทย์แผนไทย คอยให้คำแนะนำในการใช้ยาสมุนไพร ให้ความรู้ผ่านช่องทางออนไลน์ โดยสามารถพูดคุยกันได้แบบ Real Time อีกด้วย

ด้านเป้าหมายการเติบโตของใบห่อ คุณอิศรา กล่าวว่า แบ่งเป็น 3 ระยะ ได้แก่...

ในระยะต้น จะมีการปรับภาพลักษณ์แบรนด์ให้ชัดเจนขึ้นว่ามีสินค้าหลากหลายชนิดที่เหมาะสมกับกลุ่มเป้าหมาย 

ระยะที่สอง จะมุ่งเน้นไปที่การปรับปรุงคุณภาพและการผลิต พัฒนาโรงงานให้ได้มาตรฐานมากยิ่งขึ้น และมีการขยับตลาดจากในประเทศไปต่างประเทศ 

และระยะที่ 3 ในระยะยาว มองว่าตราใบห่อไม่ได้ขายแค่ยาสมุนไพรแล้ว สามารถออกผลิตภัณฑ์อื่นๆ ที่เกี่ยวกับสุขภาพ เช่น อาหารเสริม โดยมองเป็นธุรกิจ Health Care เพิ่มเติม นอกจากเรื่องเป้าหมายผลกำไรของบริษัทฯ แล้วการส่งคืนกลับสู่สังคมก็เป็นเป้าหมายสำคัญที่ใบห่อได้ส่งเสริมมาโดยตลอด โดยเฉพาะเรื่องกีฬามวย ใบห่อยังให้การสนับสนุนวงการมวยไทยที่สืบสานมาจากคุณพ่อ และได้ต่อยอดในการสนับสนุนกีฬาฟุตบอลเพิ่มเติม และการสนับสนุนอุปกรณ์กีฬาให้กับชุมชนที่ขาดแคลนมากขึ้น

ส่วนความท้าทายใหม่ๆ ของห้างขายยาตราใบห่อ คุณอิศรา กล่าวว่า เร็วๆ นี้ใบห่อจะมีการออกสินค้าเป็นชุดเครื่องหอมสำหรับนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาเที่ยวประเทศไทย สอดรับกระแส Soft Power ที่กำลังมาแรง โดยเฉพาะสมุนไพรไทยหลายตัวที่เป็นที่ต้องการของต่างประเทศ เช่น กระชายดำ ขมิ้นชัน ถือเป็นโอกาสของผู้ประกอบการไทยตอนนี้ใบห่อก็ส่งออกฟ้าทะลายโจรไปยังรัสเซียซึ่งได้รับการตอบรับที่ดีมาก  

นอกจากนี้ ใบห่อยังได้เตรียมเปิดร้านอาหารและคาเฟ่ ชื่อว่า 'หอมปรุง' ตั้งอยู่บริเวณถนนจักรวรรดิ เขตสัมพันธวงศ์จุดเด่นคือ เป็นร้านอาหารและคาเฟ่ที่ใช้วัตถุดิบสมุนไพรเครื่องเทศ มาปรุงเป็นเมนูอาหารต่างๆ โดยเชฟฝีมือดี ทั้งเมนูหลัก ขนมหวาน และเครื่องดื่ม คาดว่าจะได้ลิ้มลองรสชาติและสัมผัสบรรยากาศร้านย่านเมืองเก่าในช่วงปลายปีนี้อย่างแน่นอน

‘มัลลิกา’ เผย แค่ถอย 112 ‘ก้าวไกล’ ก็ได้ไปต่อ ชี้!! เพราะความดื้อดึง ‘พิธา’ จึงชวดเก้าอี้นายกฯ

เมื่อไม่นานนี้ รายการ ‘แฉ’ ซึ่งได้เชิญคุณมัลลิกา บุญมีตระกูล มหาสุข อดีต ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ มาพูดถึงประเด็นของ ม.112 ว่าเหตุใดพรรคก้าวไกล จึงไม่ยอมถอยนั้น มีสาระสำคัญ ระบุว่า...

“คุณพิธามีสิทธิเป็นนายกฯ แค่ถอยเรื่อง ม.112 ปัญหาก็คือ ถ้าเราจะบริหารประเทศ โดยเอาอคติตัวเอง หรืออุดมคติของตัวเองเป็นศูนย์กลาง ในขณะที่โลกกำลังเปลี่ยนไป หรือในขณะที่ประเทศกำลังมีปัญหา หรือกำลังจะเกิดวิกฤตหากเราเป็นผู้นำ เราจะตัดสินใจเลือกเอาอุดมการณ์ของตัวเอง เอาอัตตาของตัวเองก่อน หรือเราจะเลือกประเทศชาติก่อน มันคือการตัดสินใจ ในยามนี้คุณพิธาต้องมีภาวะผู้นำ และเช่นเดียวกันกับคนอื่นๆ ที่เขาหาเสียงกันมาเหมือนกันอย่างกรณีของพรรคเพื่อไทย คุณควรให้ความเป็นธรรมกับเขาด้วย พรรคเพื่อไทยเขาไม่ได้หาเสียง ม.112 มาก่อน จู่ๆคุณจะมัดรวมเขาไม่ได้ เขาต้องคิดเหมือนคุณก่อน”

“เพราะฉะนั้น ณ เวลานี้ คุณพิธาและพรรคก้าวไกล อยู่ในภาวะที่จะต้องตัดสินใจ ไม่ใช่ไปโยนให้คนอื่นเขาต้องรับเคราะห์รับบาปในสิ่งที่คุณเองนั้นไม่ยอมเปลี่ยนแปลง ประเทศชาติจะไปข้างหน้าได้ จะต้องมีความหลอมรวม ต้องมีการลดลาวาศอกกัน เพราะว่าเราไม่สามารถไล่ใครคนใดคนหนึ่งออกจากประเทศนี้ได้ ทุกคนต้องอยู่ร่วมกัน ไม่ว่าคุณจะเป็นคนดี หรือคนไม่ดี เพราะฉะนั้น คนที่จะเป็นผู้นำ ซึ่งจะต้องเป็นผู้ตัดสินใจด้วยวุฒิภาวะ และมีความรับผิดชอบมากกว่าผู้อื่น”

เมื่อถามว่า หากคุณพิธายอมถอยเรื่องแก้ ม.112 แปลว่าในประเด็นของการถือหุ้นสื่อ ITV ที่ทำให้ขาดคุณสมบัติ ก็ไม่มีใครติดขัดในเรื่องนี้แล้วใช่หรือไม่? คูณมัลลิกาตอบว่า…

“ในกรณี ม.112 นี้ เนื่องจากว่าพรรคภูมิใจไทยไม่สนับสนุนพรรคที่จะแก้ ม.112 หากการที่พรรคก้าวไกลยอมถอย ก็อาจจะได้เสียงสนับสนุนเพิ่มขึ้นอีกหลายเสียงจากพรรคภูมิใจไทย เพราะพรรคภูมิใจไทยเขาไม่สนใจเรื่องอื่น ส่วนส.ว.หลายท่านเขาติดเรื่อง ม.112 เช่นกัน และก็อาจจะติดเรื่องคุณสมบัติด้วย ด้านพรรคประชาธิปัตย์ก็ติดแค่เรื่องม.112 เช่นกัน ส่วนเรื่องอื่นๆ ก็ค่อยไปว่ากันในภายหน้า เพราะฉะนั้นก็หมายความว่า หากพรรคก้าวไกลยอมถอยเรื่องม.112 โอกาสที่จะได้รับเสียงสนับสนุนในการจัดตั้งรัฐบาล ย่อมมีมากกว่าการที่ไม่ยอมเปลี่ยนแปลงอะไรเลย เพราะจากเสียงของ ส.ส.แล้ว ยังอาจจะได้เสียงสนับสนุนที่ชัดเจนจากประชาชนอีกด้วย”

“อีกทั้งทุกวันนี้ พูดกันตรงๆ ประชาชนจำนวนหนึ่งก็ไม่คิดว่า เรื่อง ม.112 จะไปไกลจนสุดโต่งขนาดนี้ด้วย ทุกคนรวมถึงตัวดิฉันที่ดีเบตมาตลอด ดิฉันบอกว่า การที่คุณจะแก้ ม.112 มันเท่ากับยกเลิกนะ เพราะมันผิดกฎหมายรัฐธรรมนูญ ร่างที่เขายื่นดิฉันอ่านหมดแล้ว ว่าการยกเลิกให้โทษ มันเทียบเท่ากับประชาชนเลย เป็นการยกเรื่องนี้ออกจากหมวดความมั่นคง กรณีที่พระมหากษัตริย์ไม่ได้อยู่ในหมวดความมั่นคง ก็เหมือนกับการลดสถานะพระมหากษัตริย์ลงมาเทียบเท่ากับประชาชนคนธรรมดาเลย ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่เหมาะสม เพราะพระมหากษัตริย์ต้องได้รับการเทิดทูนเอาไว้เหนือเกล้า”

“อีกประเด็นหนึ่งก็คือ ‘ศาลอาญาระหว่างประเทศ’ หรือ ‘ICC’ ซึ่งบนเวทีดีเบตไม่ค่อยได้ถูกพูดถึงมากนัก เนื่องจากเป็นเรื่องระหว่างประเทศ พอ ส.ส. และ ส.ว.อภิปรายกันในสภาฯ มันชัดยิ่งกว่าชัดอีก เพราะในสภาฯ มันโกหกกันไม่ได้มันมีหลักฐานทั้งหมด ทีนี้ ศาล ICC ก็ปรากฎว่า คุณปิยบุตร แสงกนกกุล ผู้นำทางจิตวิญญาณของคุณพิธา และพรรคก้าวไกล เป็นคนประกาศเองว่า หากคุณพิธาเป็นนายกฯ เขาจะพาไปลงนาม ICC เพราะการลงนาม ICC คือการเอาประมุขของประเทศนั้นๆ ที่ลงนาม ไปถูกไต่สวนในศาลอาญาระหว่างประเทศ ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่สมควร เพราะนี่คือการแทรกแซงจากต่างประเทศ”

รัฐฟลอริด้าประกาศ มหันตภัยจาก 'วัคซีน mRNA' ที่แท้ถูกสร้างมาเป็นอาวุธชีวภาพทำลายชีวิตผู้คน .

(21 ก.ค.66) ผู้ใช้ Blockdit 'ปฐมพงษ์ โพธิ์ประสิทธินันท์' ได้โพสต์ข้อความ ระบุว่า...

รัฐฟลอริด้ามีความกล้าหาญมากที่ออกมาแถลงว่าวัคซีน mRNA ที่ใช้ฉีดแก้โควิด-19 นั้น เป็นอาวุธชีวภาพที่เป็นอันตรายต่อชีวิตผู้ถูกฉีดมากกว่าเป็นคุณและกำลังดำเนินการเพื่อประกาศให้เป็นสิ่งผิดกฎหมายภายในรัฐ (Florida declare mRNA Covid shots a ‘Bio-Weapon’.  Legislation looking to be passed to make it ILLEGAL to administer any mRNA Covid-19 Vaccine to anybody in the state)

เห็นหรือยังครับ? คำว่า *ทฤษฎีสมคบคิด* (Conspiracy Theory) เป็นวาทกรรมที่ CIA สร้างขึ้นมาเพื่อสกัดมิให้คนเชื่อเมื่อมีคนแฉอาชญากรรมของยิวไซออนิสต์ที่คิดครองโลก 

ข่าวใดก็ตามที่ถูกตราว่าเป็นทฤษฎีสมคบคิด วิญญูชนไทยต้องศึกษาให้ลึกหรือต้องวิจัย แล้วจะเข้าใจความจริงเอง ไม่ต้องรอให้ฝรั่งมาชี้นิ้วว่าควรจะเป็นอย่างไร จักรวรรดิ์นิยมอเมริกานี้เติบโตมาพร้อม ๆ กับนโยบายลดจำนวนประชากรโลก 

ถือว่าทีมผู้บริหารรัฐฟลอริด้ากล้าหาญมากครับ กล้าหาญมากว่าประเทศไทยที่นักการเมืองส่วนใหญ่ถูกล้างสมองด้วยข่าวโฆษณาชวนเชื่อ ไม่มีวิจารณญาณมากพอจะแยกแยะ 

น่าจะเรียกว่าเป็น *ประเทศฟลอริด้า* กันได้แล้วนะครับเพราะนโยบายแตกต่างจากรัฐบาลกลางอย่างสิ้นเชิง เมื่อเปโตรดอลล่าร์ล่มสลายลง ถ้าจะแยกตัวไปเป็นเอกราช ก็ขอให้สำเร็จ

ตอนนี้ เชื่อหรือยังว่าโควิด-19 มาพร้อมๆ กับนโยบายลดจำนวนประชากรโลก? แน่นอนครับ ขอให้ค้นคว้ากันเองและตัดสินใจเองว่าจะเชื่อหรือไม่เชื่อ

ลุยโครงการ ‘Green Hospital ต้นแบบ’ ขับเคลื่อนบริการทางการแพทย์ด้วยพลังงานสะอาด

(21 ก.ค. 66) บมจ.พลังงานบริสุทธิ์ (EA) จรดปากกาเซ็นเอ็มโอยูร่วมกับ ‘กรมการแพทย์’ ลุยโปรเจกต์พัฒนาโรงพยาบาลตามแนวทาง Green and Clean Hospital ต้นแบบ พร้อมเดินหน้าผลิตไฟฟ้าด้วยพลังงานสะอาด ยกระดับด้วยระบบกักเก็บพลังงานที่มีประสิทธิภาพ พร้อมขับเคลื่อนการขนส่งและบริการทางการแพทย์ ด้วยยานยนต์ไฟฟ้าและสถานนีชาร์จด้วยจุดบริการที่ครอบคลุม กว่า 500 สถานีชาร์จ เล็งขยายสถานีฯ ตอบโจทย์แผนยุทธศาสตร์ EV แห่งชาติ สร้างความยั่งยืน-เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมของประเทศ

กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข ร่วมกับ บริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จำกัด (มหาชน) (EA) ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ ‘โครงการพัฒนาโรงพยาบาลตามแนวทางการดำเนินงาน Green and Clean Hospital ต้นแบบ’ โดยมีนายแพทย์ธงชัย กีรติหัตถยากร อธิบดีกรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข, นายสมโภชน์ อาหุนัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และนายอมร ทรัพย์ทวีกุล รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ผู้แทนจาก บริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จำกัด (มหาชน) (EA) ร่วมลงนาม

นายแพทย์ธงชัย กีรติหัตถยากร อธิบดีกรมการแพทย์ กล่าวว่า กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข มีโรงพยาบาล/สถาบันในสังกัดให้บริการรักษาโรคที่ยุ่งยากซับซ้อนแก่ประชาชน และมีการมุ่งมั่นพัฒนาการบริการรักษา รวมถึงบริการด้านอื่นๆ จึงมีความประสงค์จะร่วมกับหน่วยงานต่างๆ ศึกษา และพัฒนาระบบบริหารจัดการพลังงานสะอาดแบบบูรณาการที่เหมาะสมตามแนวทางการดำเนินงาน Green and Clean hospital ซึ่งเป็นการยกระดับให้หน่วยงานสาธารณสุขภายใต้กรมการแพทย์บริหารจัดการสิ่งแวดล้อมในโรงพยาบาล ตามมติคณะรัฐมนตรี วันที่ 22 มีนาคม2565 เห็นชอบแนวทางประหยัดพลังงานโดยให้หน่วยงานภาครัฐลดการใช้ไฟฟ้าและน้ำมันเชื้อเพลิงลงร้อยละ 20 และเร่งผลักดันให้นำมาตรการด้านพลังงาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งให้หน่วยงานราชการเร่งดำเนินการติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ (solar rooftop) ในลักษณะร่วมมือกับภาคเอกชน เพื่อลดภาระการใช้จ่ายและเป็นแบบอย่างที่ดีให้แก่ภาคเอกชนและประชาชนต่อไป

กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วยบริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จำกัด ที่ให้ความร่วมมือในการที่จะคิดค้นและริเริ่ม ศึกษาพัฒนา สนับสนุน และแลกเปลี่ยนข้อมูลของโครงการฯ ทั้ง 3 ด้าน ดังนี้ ด้านที่ 1 ระบบผลิตไฟฟ้าด้วยเซลล์แสงอาทิตย์ (Solar) ด้านที่ 2 ระบบกักเก็บพลังงานเพื่อรองรับการใช้พลังงานไฟฟ้าของหน่วยงาน และด้านที่ 3 การพัฒนาดัดแปลงยานยนต์ไฟฟ้าสำหรับการให้บริการทางการแพทย์ในพื้นที่ต่างๆ โดยใช้หลักการความยั่งยืนและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมได้อย่างมีประสิทธิภาพและไม่ส่งผลกระทบต่อชุมชนโดยรอบ รวมถึงเป็นแบบอย่างที่ดีให้แก่ผู้มาใช้บริการในการรณรงค์และขยายผลสู่สังคมต่อไป

นายสมโภชน์ อาหุนัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จำกัด (มหาชน) (EA) เปิดเผยว่า บริษัทฯ และบริษัทย่อยในกลุ่มพลังงานบริสุทธิ์ วางกลยุทธ์ด้าน EA Eco System เป็นแนวทางหลักในการขยายธุรกิจ และสร้างความโตที่แข็งแกร่ง ด้วยการผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าพลังงานสะอาดครบวงจร พัฒนาแบตเตอรี่และระบบกักเก็บพลังงานจากนวัตกรรม Amita Technology เชื่อมโยงสู่การให้บริการสถานีอัดประจุไฟฟ้า EA Anywhere รวมถึงพัฒนายานยนต์ไฟฟ้า ภายใต้แบรนด์ MINE Mobility ที่ตอบโจทย์ผู้ใช้งานที่หลากหลาย ตรงวัตถุประสงค์เป้าหมายของกลุ่มผู้ใช้งาน และมีระบบบริหารจัดการพลังงานที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน

เพื่อเป็นการยกระดับให้หน่วยงานสาธารณสุขภายใต้กรมการแพทย์บริหารจัดการสิ่งแวดล้อมในโรงพยาบาล โดยใช้หลักการความยั่งยืนและเป็นมิตรกับส่งแวดล้อมได้อย่างมีประสิทธิภาพ และไม่ส่งผลกระทบต่อชุมชนโดยรอบ รวมถึงเป็นแบบอย่างที่ดีให้แก่ผู้มาใช้บริการในการรณรงค์และขยายผลสู่สังคมได้ต่อไป EA จึงได้ร่วมกับ กรมการแพทย์ ลงนามบันทึกข้อตกลง ในการร่วมกันศึกษาและพัฒนาระบบการบริหารจัดการพลังงานสะอาดแบบบูรณาการที่เหมาะสมตามแนวทางการดำเนินงาน Green and Clean Hospital ด้วยโรดแมปดังนี้

1. Renewable Power การพัฒนาและติดตั้ง ระบบ Solar System มุ่งเน้นผลิตไฟฟ้า ด้วยพลังงานสะอาด

2. Energy Storage System เพิ่มความมั่นคงด้านพลังงานให้มีเสถียรภาพ ด้วยระบบกักเก็บพลังงาน เทคโนโลยีจากAmita Technology

3. EV & Charging Station การยกระดับขนส่งและการให้บริการทางการแพทย์ ด้วยยานยนต์ไฟฟ้าที่ออกแบบพิเศษสำหรับการบริการด้านสาธารณสุข พร้อมขยายสถานีอัดประจุไฟฟ้า EA Anywhere ครบคลุมเส้นทางการให้บริการ

“มั่นใจว่าการเซ็นเอ็มโอยูในครั้งนี้ระหว่าง EA กับกรมการแพทย์ จะมีส่วนสำคัญในการสนับสนุนให้กรมการแพทย์กระทรวงสาธารณสุข ไปสู่เป้าหมาย Green and Clean Hospital ในอนาคต ช่วยลดต้นทุนค่าใช้จ่ายด้านพลังงานถือเป็นการมุ่งสู่พลังงานสะอาด ตอบโจทย์ความยั่งยืนเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม” นายสมโภชน์กล่าว

‘ซุ้มหมู’ ทุเรียนพันธุ์พื้นเมืองโบราณจากบรรพบุรุษ อายุ 217 ปี สีขาวนวลเนื้อแน่น คุณภาพเน้นๆ ขึ้นแท่นรุกขมรดกของแผ่นดิน

(21 ก.ค. 66) ภายในสวนทุเรียน หมู่ 3 บ้านหัวกาหมิง ตำบลทุ่งนุ้ย อำเภอควนกาหลง จังหวัดสตูล อิหม่ามผู้นำศาสนาอิสลามพร้อมชาวบ้าน มาร่วมสวดดุอาร์ขอพรให้กับนางสาวอรัญนาถ ฉลาดเลิศ อายุ 53 ปี เจ้าของสวนทุเรียนโบราณอายุ 217 ปี ที่ทำนูหรี ด้วยการใช้ทุเรียนโบราณอายุ 217 ปีจำนวน 50 ลูก (ซึ่งประเพณีงานบุญจัดเลี้ยงอาหารอย่างไม่เป็นทางการ) โดยทางเจ้าของสวนต้องการจะทำบุญเลี้ยงและขอบคุณบรรพบุรุษ ที่มอบต้นทุเรียนโบราณพันธุ์ ‘ซุ้มหมู’ ให้มีผลผลิตในแต่ละปีไม่น้อยกว่า 10,000 ลูก เช่นเดียวกันกับปีนี้ที่ให้ผลผลิตมากถึง 2 รุ่น

ปัจจุบันทุเรียนโบราณต้นนี้ตั้งเด่นตระหง่านเพียงต้นเดียวสูงขนาด ตึก 8 ชั้น และใหญ่มากถึง 21 คนโอบ ได้รับความนิยมจากผู้บริโภคทั้งใกล้และไกล สั่งซื้อกันไม่ขาดสาย ด้วยสายพันธุ์ที่มีรสชาติเนื้อครีม หวานกำลังดีไม่มีกลิ่นแรงทำให้หลายคนติดใจ สั่งซื้อในราคากิโลกรัมละ 80 บาทและสั่งต้นพันธุ์ขายในราคาต้นละ 600 บาทเพื่อไปปลูก

นางสาวอรัญนาถ ฉลาดเลิศ เจ้าของสวนทุเรียนโบราณ บอกว่า ปกติทุกปีจะทำนูหรีเพื่อเลี้ยงญาติพี่น้องและทำบุญให้กับบรรพบุรุษที่มอบต้นทุเรียนโบราณนี้มาให้มีผลผลิตดีทุกปี และยืนต้นสง่า งดงามจนเป็นที่รู้จักกล่าวขานไปทั่วประเทศถึงอายุที่ยืนยาว

นางอภิวันท์ ทองแท่น เกษตรอำเภอควนกาหลง พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่สำนักงานเกษตรอำเภอควนกาหลง บอกว่า ทุเรียนพันธุ์พื้นเมือง ‘ซุ้มหมู’ มีสีขาวนวล แต่เนื้อแน่นหนา ไม่ขม กลิ่นไม่ฉุนแรง ทางเจ้าของสวน มีความตั้งใจจะอนุรักษ์ ดูแลทุเรียนพันธุ์ดังกล่าวเป็นอย่างดี เพื่อให้ลูกหลานและผู้คนที่หลงใหลในการลิ้มรสทุเรียนพันธุ์พื้นเมืองได้ชิม

ทุเรียนบ้านโบราณพันธุ์ซุ้มหมู ความเป็นมาอดีตจุดนี้เคยเป็นสถานที่อยู่ของหมูป่า และตกทอดจากรุ่นสู่รุ่นตั้งแต่ พ.ศ.2349 สมัยรัชกาลที่ 5 ราคาสูงกว่าทุเรียนบ้านทั่วไปเนื่องจากมีความพิเศษตรงที่เนื้อของทุเรียน แม้จะเป็นสีขาวนวล แต่เนื้อแน่นหนา ไม่ขม กลิ่นไม่ฉุนแรงเหมือนทุเรียนบ้านทั่วไปและกรอบนอกนุ่มใน เม็ดเล็ก ลูกมีหลายขนาด ซึ่งเจ้าของต้องรอให้สุกหล่นจากต้นเท่านั้นถึงจะเก็บมากินหรือจำหน่ายได้ เนื่องจากต้นมีความสูงใหญ่มากต้นทุเรียนบ้านโบราณ พันธุ์ซุ้มหมูนี้ยังได้รับประกาศเกียรติบัตรการันตีจากอธิบดีกรมส่งเสริมวัฒนธรรม กระทรวงวัฒนธรรม ให้เป็นรุกขมรดกของแผ่นดินใต้ร่มพระบารมี เมื่อวันที่ 23 กรกฎาคม 2561

‘หลักบวร - อ่านออกเขียนได้ - ผู้นำทางวิชาการ’ กุญแจความสำเร็จของโครงการโรงเรียนดีมีทุกที่

เป็นระยะเวลา 2 ปีแล้ว ที่ทางโครงการโรงเรียนดีมีทุกที่ ซึ่งจัดทำโดยมูลนิธิเอเชีย และเหล่าพันธมิตร ได้ร่วมกันค้นหาโรงเรียนที่มีผู้อำนวยการเป็นผู้นำทางวิชาการ ได้รับการสนับสนุนให้มีการกระจายอำนาจในการจัดการศึกษา และสามารถบริหารจัดการทรัพยากรที่มีประสิทธิภาพ จากทั่วประเทศไทย เพื่อเป็นการกระตุ้นให้เกิดพลังบวกในสังคม และผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่ยั่งยืน ซึ่งจากการดำเนินงานที่ผ่านมาสามารถสรุปถอดบทเรียนได้ 3 ข้อ ที่เป็นปัจจัยทำให้โรงเรียนประสบความสำเร็จคือ 1.การใช้หลักบวร (บ้านวัดโรงเรียน), 2.ทักษะการอ่านออกเขียนได้ และ 3. ผู้นำทางวิชาการที่ยอดเยี่ยม

ดร.รัตนา แซ่เล้า เจ้าหน้าที่โครงการอาวุโส ฝ่ายนโยบายและวิจัย มูลนิธิเอเชีย ได้กล่าวว่า โครงการโรงเรียนดีมีทุกที่เป็นการนำเสนอโรงเรียนต้นแบบที่มีผู้นำทางวิชาการที่เข้มแข็ง เป็นตัวอย่างความสำเร็จของการบูรณาการความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ ผู้บริหาร ครู นักเรียน ผู้ปกครอง และชุมชนท้องถิ่น สร้างผลสัมฤทธิ์ทางการศึกษาอย่างเป็นรูปธรรมได้แม้ว่าจะอยู่ในบริบททางสังคมที่แตกต่างกัน ด้วยมุ่งหวังให้เกิดแรงบันดาลใจในการขับเคลื่อนการพัฒนาการศึกษาไทยในทุกมิติ โดยตลอดระยะเวลา 2 ปีที่ผ่านมา ได้มีการจัดทำโครงการฯ ใน 18 โรงเรียน จาก 7 จังหวัด ซึ่งประกอบด้วยกรุงเทพมหานคร, เชียงใหม่, ลำพูน, กาญจนบุรี, ระยอง, มหาสารคาม และเชียงราย สามารถสรุปถอดบทเรียนได้ 3 ข้อ ที่เป็นปัจจัยทำให้โรงเรียนประสบความสำเร็จคือ 

1) การใช้หลักบวร (บ้านวัดโรงเรียน) หรือชุมชนเข้มแข็งมาผสานสัมพันธ์ในการพัฒนาเด็ก เกิดเป็นโรงเรียนแห่งการเรียนรู้ พัฒนาทั้งในด้านวิชาการ วิชาชีพ และวิชาชีวิต ได้แก่ 

1.1) รร.วัดทุ่งลาดหญ้า ‘ลาดหญ้าวิทยา’ อ.เมืองกาญจนบุรี จ.กาญจนบุรี ซึ่งมีพระครูสิทธิกิจจานุวัตร เป็นผู้ทำนุบำรุงการศึกษาให้เป็นรากฐานของชุมชน ภายใต้ความร่วมมือของบ้าน ซึ่งมีผู้ปกครองและผู้นำชุมชนช่วยกันส่งเสริมพัฒนา และโรงเรียน ซึ่งเป็นหน้าที่ของครูผู้สอนให้ความรู้นักเรียน 

1.2) รร.บ้านห้วยต้มชัยยะวงศาอุปถัมภ์ อ.ลี้ จ.ลำพูน ที่ก่อสร้างขึ้นมาเพื่อให้นักเรียนส่วนใหญ่ซึ่งเป็นชาวกะเหรี่ยง (ปกาเกอะญอ) ได้รับการศึกษา เปิดสอนเป็นทั้งโรงเรียนปริยัติธรรมและฆราวาส เมื่อมีกิจกรรมต่าง ๆ ทางวัดก็จะให้ความร่วมมือสนับสนุน ส่งพระภิกษุไปให้ความรู้นักเรียน มีการสอนคุณธรรมควบคู่กับความรู้ทั่วไป ทำให้สังคมอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข

2) ทักษะการอ่านออกเขียนได้ เป็นพื้นฐานสำคัญของการศึกษา ทำให้เด็กสามารถเรียนรู้ในวิชาต่าง ๆ อย่างมีคุณภาพ และสามารถศึกษาต่อในระดับที่สูงขึ้น ได้แก่ 

2.1) รร.ฤทธิยะวรรณาลัย (ประถม) เขตสายไหม กทม. ซึ่งได้มีการส่งเสริมเรื่องการอ่าน เพราะในปัจจุบันเด็กสามารถหาความรู้ได้จากอินเทอร์เน็ต โดยให้ความสำคัญตั้งแต่ชั้น ป.1 เมื่อโตขึ้นชั้น ป.2-ป.6 ก็จะเพิ่มเป็นอ่านคล่องเขียนคล่อง, การอ่านรู้เรื่อง, สามารถอ่านและจับหรือสรุปใจความได้ มีการทดสอบตลอดปี รวมถึงมีการจัดทำโครงการรักการอ่าน และ กิจกรรมโลกนิทาน, สำนวนชวนอ่าน, สนามหญ้าชวนอ่าน เป็นต้น 

2.2) รร.บ้านปางแดง อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่ เป็นโรงเรียนตั้งอยู่บนดอยสูง มีนักเรียนเป็นกลุ่มชาติพันธุ์แบบ 100% รูปแบบการศึกษาเป็นแบบพหุวัฒนธรรม เรียนควบคู่กันไปแบบ 2 ภาษาคือภาษาถิ่นและภาษาไทย เพิ่มเติมด้วยภาษาอังกฤษและจีน โดยมีคุณครูชาติพันธุ์บางส่วนที่อาศัยอยู่ในหมู่บ้านเป็นผู้สอน นอกจากนี้ยังมีโครงการพี่สอนน้อง เพื่อนสอนเพื่อน ซึ่งในปัจจุบันนักเรียนสามารถฟังพูดอ่านและเขียนภาษาไทยได้เป็นอย่างดี

3) ผู้นำทางวิชาการที่ยอดเยี่ยม เป็นผู้ขับเคลื่อนหรือคอยผลักดัน ในการส่งเสริมศักยภาพความสามารถ ของเด็กในด้านการศึกษาและอื่นๆ ได้แก่ 

3.1) รร.สารคามพิทยาคม อ.เมือง จ.มหาสารคาม เป็นโรงเรียนมัธยมขนาดใหญ่พิเศษ ซึ่งมีผู้นำทางวิชาการที่เข้มแข็ง ที่ผ่านมามีการนำเทคโนโลยีมาส่งเสริมให้นักเรียนได้รู้จัก ซึ่งถือเป็นการเรียนรู้ตลอดชีวิต โดยเฉพาะในช่วงสถานการณ์โควิด-19 ได้แนะนำให้นักเรียนเข้าไปใช้บริการที่เว็บไซต์ www.thailandlearning.org ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มรวบรวมแหล่งเรียนรู้ออนไลน์จากทั่วโลก ที่สามารถใช้บริการได้ 24 ชั่วโมง โดยไม่มีค่าใช้จ่าย 

3.2) รร.วัดถนนกะเพรา อ.แกลง จ.ระยอง เป็นโรงเรียนพื้นที่นวัตกรรมการศึกษา ที่เกิดขึ้นตามพระราชบัญญัติพื้นที่นวัตกรรมการศึกษาปี 2562 ที่ได้นำความอิสระในการสร้างหลักสูตรมาเปิดโอกาสให้ตัวเอง มีจุดเน้นในการจัดการศึกษาว่าโรงเรียนสร้างสรรค์ นวัตกรน้อยสู่สากล มุ่งหวังจะให้นักเรียนมีความคิดสร้างสรรค์ รู้จักต่อยอดอาชีพในชุมชน   

ซึ่งทั้งหมดที่กล่าวมาในข้างต้น ถือเป็นผลที่ได้รับจากการจัดทำโครงการโรงเรียนดีมีทุกที่ ในตลอดระยะ เวลาที่ผ่านมา ซึ่งอาจจะมีเรื่องที่น่าสนใจอีกหลายอย่างที่สามารถนำมาเป็นบทเรียน หรือต่อยอดให้กับนักวิชาการ, ผู้อำนวยการโรงเรียน หรือหน่วยงานราชการต่าง ๆ โดยผู้สนใจสามารถติดตามความเคลื่อนไหวได้ที่ Facebook : โรงเรียนดีมีทุกที่ หรือสอบถามที่โทรศัพท์ 062-7341267

‘สตาร์บัคส์’ ร่วมกับ ‘BLACKPINK’ เปิดตัวเครื่องดื่มเมนูพิเศษ พร้อมสินค้าสุดลิมิเต็ด!! เอาใจคอกาแฟและเหล่าบลิ๊งค์ไทย

‘สตาร์บัคส์’ ร่วมกับ ‘BLACKPINK’ กลุ่มศิลปินหญิง K-POP ชื่อดังระดับโลก เปิดประสบการณ์ใหม่ พร้อมสร้างความตื่นเต้นให้กับกลุ่มแฟนคลับ หรือบลิ๊งค์ในประเทศไทย โดยความร่วมมือสุดพิเศษนี้ ประกอบไปด้วย การเปิดตัวเครื่องดื่มแฟรบปูชิโน่ ที่มาในธีม BLACKPINK พร้อมคอลเล็กชันดริ๊งก์แวร์และไลฟ์สไตล์แอคเซสซอรี่ดีไซน์พิเศษจำนวนจำกัด ซึ่งจะมีจำหน่ายที่ร้านสตาร์บัคส์ทุกสาขาทั่วประเทศ ตั้งแต่วันที่ 25 กรกฎาคม หรือจนกว่าสินค้าจะหมด

คอลเล็กชัน BLACKPINK + STARBUCKS® ในปีนี้โดดเด่นยิ่งขึ้นด้วยความสดใส มีชีวิตชีวา ชวนให้ชาวบลิ๊งค์และกลุ่มแฟนคลับสตาร์บัคส์ที่รอติดตามได้ตื่นเต้นไปกับสไตล์อันเป็นเอกลักษณ์ของกลุ่มศิลปินที่ครองใจคนทั่วโลกอย่าง BLACKPINK

“BLACKPINK มีความหมายเปรียบเสมือนกับความจริงใจ ความกล้าหาญ และความมั่นใจ คุณสมบัตินี้ทำให้พวกเขาเป็นแรงบันดาลใจสำหรับทุกคนไม่ว่าจะอยู่ที่ใดบนโลก เรารู้สึกตื่นเต้นเป็นอย่างมากที่ได้ร่วมงานกับหนึ่งในตัวแทนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเจเนอเรชันนี้ ซึ่งสอดคล้องกับเป้าหมายของเราในการยกระดับลูกค้าและแฟนๆ ผ่านการเชื่อมต่อกับผู้คนเพื่อสร้าง ประสบการณ์สตาร์บัคส์ ที่น่าจดจำ” นางเอ็มมี่ กาน รองประธานอาวุโสและประธาน สตาร์บัคส์ เอเชีย แปซิฟิก กล่าว “ด้วยความมุ่งมั่นของเราในการส่งมอบประสบการณ์ที่เหนือชั้น ความร่วมมือครั้งนี้จะนำพลังและความตื่นเต้นใหม่ๆ มาสู่ลูกค้าของเรา ให้กล้าโอบรับความเป็นตัวของตัวเองและแสดงออกอย่างกล้าหาญ การร่วมมือครั้งนี้ยังเป็นข้อพิสูจน์ถึงความตั้งใจของสตาร์บัคส์ ที่จะค้นหาโอกาสที่ไร้ขีดจำกัดอย่างต่อเนื่อง เพื่อเสริมสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้าให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น”

และนับเป็นครั้งแรกที่ลูกค้าจะได้สัมผัสประสบการณ์เครื่องดื่มสุดพิเศษ แบล็กพิงก์ สตรอว์เบอร์รี ช็อกโก ครีม แฟรบปูชิโน่ เครื่องดื่มปั่นที่แฝงไปด้วยกลิ่นอายของศิลปินคนโปรด โดดเด่นด้วยสีดำและสีชมพู มาจากการผสมผสานน้ำเชื่อมสตรอว์เบอร์รีและซอสดาร์ค ช็อกโกแลต เข้ากับนมข้าวโอ๊ตและเกล็ดช็อกโกแลต พร้อมตกแต่งด้านบนด้วยวิปครีมสีชมพูอ่อนและช็อกโกแลตรูปหัวใจอันเป็นเอกลักษณ์ ชวนให้นึกถึงความเก๋มีสไตล์ของ ‘Born Pink’ อัลบั้มล่าสุดของ BLACKPINK ซึ่งแฟนคลับ จะสามารถสัมผัสได้ถึงสปิริตอันแรงกล้าของ BLACKPINK ผ่านเครื่องดื่มสุดพิเศษที่จะช่วยเติมความสดชื่นระหว่างวันได้อย่างดีเยี่ยม

แฟนๆ จะได้ตื่นตาตื่นใจไปกับเฉดสีชมพูของคอลเล็กชัน BLACKPINK + STARBUCKS® ที่ประกอบไปด้วยดริ๊งก์แวร์ทั้งหมด 11 แบบเและไลฟ์สไตล์แอคเซสซอรี่ 5 แบบ ด้วยดีไซน์โดดเด่นเน้นการใช้โทนสีที่ตัดกันอย่างสีดำและสีชมพูอันเป็นเอกลักษณ์ของ BLACKPINK รวมไปถึงลวดลายกราฟฟิตี้ (graffiti) สุดเก๋ โดยสินค้าคอลเล็กชั่นลิมิเต็ดนี้สะท้อนพลังที่เต็มเปี่ยม แต่ยังแฝงกลิ่นอายความขี้เล่น พร้อมแสดงออกถึงความมั่นใจ และความสนุกให้กับช่วงเวลาแสนพิเศษนี้

ลูกค้าสามารถเลือกซื้อและสะสมดริ๊งก์แวร์ใบโปรดไม่ว่าจะเป็นแก้วที่สามารถนำกลับมาใช้ซ้ำได้ (Reusable Cup) แก้วน้ำ และดริ๊งก์แวร์ที่มาในเฉดสีอันเป็นเอกลักษณ์ของ BLACKPINK เติมความสดใสด้วยลวดลายการวาดสนุกๆ หรือทัมเบลอร์บลิ๊งค์ที่จะช่วยเพิ่มความเปล่งประกายให้กับชีวิตประจำวัน โดยคอลเล็กชันนี้มีดีไซน์สะดุดตาและเชิญชวนแฟนๆ ให้หันมาใช้แก้วที่นำกลับมาใช้ซ้ำได้ด้วยการนำแก้วมาเอง (Bring your own Cup) แทนการใช้แก้วใช้ครั้งเดียว (Single-use) พร้อมมีส่วนร่วมไปกับการรักษ์โลกของเรา

นอกจากนี้ ยังมีสินค้าไลฟ์สไตล์ ลิมิเต็ด อิดิชัน ที่โดดเด่นด้วยลายพิมพ์สไตล์ BLACKPINK อันเป็นเอกลักษณ์ อาทิ กระเป๋าผ้า เสื่อโยคะ ซองใส่พาสปอร์ต และพวงกุญแจ

พิเศษ สำหรับสมาชิก Starbucks® Rewards สามารถช้อปสินค้าคอลเล็กชันพิเศษนี้ได้ก่อนใคร พร้อมรับดาว 2 เท่า ในวันที่ 24 กรกฎาคม ที่ร้านสตาร์บัคส์ทุกสาขาทั่วประเทศ นอกจากนี้ ลูกค้ายังสามารถช้อปสินค้าจากที่บ้านได้ง่ายๆ ที่ร้านค้าออนไลน์ของสตาร์บัคส์ทาง Shopee Mall และ LazMall ตั้งแต่วันที่ 26 กรกฎาคม เป็นต้นไป หรือจนกว่าสินค้าจะหมด และสำหรับสมาชิก Starbucks® Rewards ระดับ Gold และ Green รับแก้ว BLACKPINK Reusable Cup แบบเย็น ขนาด 16 ออนซ์ 1 ใบ เมื่อซื้อเครื่องดื่ม แบล็กพิงก์ สตรอว์เบอร์รี ช็อกโก ครีม แฟรบปูชิโน่ (BLACKPINK Strawberry Choco Cream Frappuccino® Blended Beverage) ขนาดใดก็ได้ 1 แก้ว คู่กับเครื่องดื่มขนาด 12 ออนซ์ขึ้นไป หรือขนมประเภทใดก็ได้ รวมมูลค่าตั้งแต่ 350 บาทขึ้นไป/ใบเสร็จ (ขอสงวนสิทธิ์จำกัดจำนวน 2 สิทธิ์/สมาชิก) ตั้งแต่วันที่ 2 – 3 สิงหาคม 2566 หรือจนกว่าสินค้าจะหมด ที่ร้านสตาร์บัคส์ทุกสาขาและบริการ Drive Thru

‘อนันดา’ ข้อกระดูกเสื่อมเหมือนคนอายุ 70 บอก “ต้องรักษาเรื่อย ๆ ทำใจมาตั้งนานแล้ว”

ถึงกับต้องเดินขากะเผลก มาร่วมงานบวงสรวงละคร สำหรับ ‘อนันดา เอเวอร์ริ่งแฮม’ งานนี้เจ้าตัวได้เผยสาเหตุว่า ถ่ายละครติดกันนาน 3 วัน ทำให้มีอาการเจ็บขา อีกทั้งยังมีปัญหาสุขภาพเกี่ยวกับกระดูก จากอุบัติเหตุรถมอเตอร์ไซค์คว่ำเมื่อ 10 ปีที่แล้ว

โดยอนันดา เผยว่า “ตั้งแต่มอเตอร์ไซค์คว่ำเมื่อ 10 ปี ที่แล้ว กระดูกเหมือนโดนบด มันกลับมาเหมือนเดิมไม่ได้ ที่กลับมาก็ไม่ได้เป็นทรงกระดูก ที่ไปผ่าล่าสุดเพราะมีผังผืด ก็ต้องเข้าไปเคลียร์ เผื่อให้เจ็บน้อยลง แต่หมอเขาก็บอกมาตลอดว่าข้อของเราเหมือนคนอายุ 70 เสื่อม ๆ ไปแล้ว ก็ทำใจกี่ปี ๆ ก็ต้องกลับมารักษา มันก็เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตไปแล้วทำใจมาตั้งนานแล้ว ต้องเข้าไปให้หมอวินิจฉัยเรื่อย ๆ การผ่าตัดเป็นตัวเลือกสุดท้ายของหมอ เพราะปัญหามันเปลี่ยนไปเรื่อย ๆ อย่างล่าสุดก็มีกระดูกงอกใต้เท้า โดนเส้นประสาท เดินแล้วเหมือนไฟช็อต ก็ผ่าเพื่อเคลียร์ข้อ ตอนนี้ก็กลายเป็นปัญหาเอ็นมันหดตัว ข้อกระดูกอื่น ๆ ก็เริ่มล็อก ที่คุยก็อาจจะเป็นการตัดเอ็นให้ขาดไปเลย”

อนันดา กล่าวต่อว่า “ถามว่ากลัวไหม ไม่กลัวเพราะอยู่มา 10 กว่าปีแล้ว การนวดก็ช่วยได้ ตอนนี้ต้องไปคุยกับหมอว่ายังไงบ้าง ยังไม่ตัดสินใจผ่า ถ้ามันมีปัญหาก็อาจจะผ่า ปัญหาที่มีก็แค่ปวด"


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top