Saturday, 10 May 2025
NewsFeed

‘ธัญญ่า’ ลั่น!! ขอฝากเนื้อฝากตัวในฐานะนักแสดง ‘หน้าใหม่’ หลังไปทำสวยที่เกาหลี ดีใจ!! ถูกทักเหมือน ‘ญาญ่า-เปาวลี’

(22 ก.ค. 66) ได้กลับมาเล่นละครอีกครั้งในรอบ 3 ปี สำหรับนักแสดง-พิธีกรสาว ‘ธัญญ่า ธัญญาเรศ เองตระกูล’ กับละครเรื่อง กรงดอกสร้อย ที่จัดงานแถลงข่าวเปิดตัวไปเรียบร้อย ณ ยูเนี่ยน โค อีเวนต์ สเปซ ชั้น G ศูนย์การค้ายูเนี่ยนมอลล์ ซึ่งเจ้าตัวก็กลับมารับบทเมียหลวงแนวที่ถนัด แต่บอกว่ามาเล่นครั้งนี้ไม่ได้บอก ‘เป๊ก สัณณ์ชัย เองตระกูล’ เพราะสามีอยากให้มีเวลาดูแลลูกมากกว่า

“เราในฐานะเมียหลวง เราก็ต้องหวงสามี ถึงแม้เขาจะมาก่อน แต่เราเป็นเมียแต่ง เราก็ต้องดูแลทรัพย์สมบัติให้ลูกเราในเรื่อง ก็จะมีตบตีกันเบา ๆ อินเนอร์ยากมาก (เสียงสูง) ไม่รู้จะหาตรงไหนมาอินเนอร์ (หัวเราะ) จริง ๆ คืออ่านบทค่ะ ทำความเข้าใจในตัวละครตัวนี้เท่านั้นเองค่ะ ก็ลุ้นเหมือนกันว่าคนจะพูดถึงเรายังไง เพราะไม่ได้รับละครมา 2-3 ปีแล้ว นี่ก็เป็นเรื่องแรกในระยะเวลา 3 ปีที่กลับมาเล่นละครค่ะ

ทำไมถึงใจอ่อนเหรอ เหมือนจริง ๆ เราก็คิดถึงละครนะคะ แต่ด้วยความที่งานเราค่อนข้างหลากหลาย ดูแลหลายสิ่งหลายอย่าง พิธีกรก็เยอะ แล้วลูกอีก ที่ผ่านมาก็เลยยังไม่ได้รับ แต่ด้วยความคิดถึง ก็เลยคุยกับเมย์ (เมย์ เฟื่องอารมย์) ว่าอาจจะต้องมีเรื่องเวลาที่อาจจะต้องอย่างนั้นอย่างนี้นิดนึง ด้วยความรับผิดชอบมันเยอะ พอคุยกันได้ก็เลยรับ พี่เป๊กไม่ได้ห้ามเล่นเป็นบทไหนก็ตามนะคะ แต่ไม่ค่อยอยากให้เล่นละคร เพราะอยากให้มีเวลาให้กับลูกมากกว่า เพราะลูกกำลังเป็นวัยรุ่นด้วย แต่ที่เรามารับเรื่องนี้ก็ไม่ได้บอกเขานะ (หัวเราะ) มารู้อีกทีก็ใกล้ปิดกล้องแล้ว เขาก็ไม่ได้ว่าอะไรหรอกค่ะ เพราะมารู้อีกทีก็ไม่ทันแล้ว เพราะที่ผ่านมาเราก็วิ่งค่อนข้างจะเยอะ รายการโน่นนี่ รับส่งลูกเองด้วย”

เผยเพิ่งไปทำสวยที่เกาหลีมาได้ 3 เดือน หน้าอาจจะยังไม่เข้าที่มาก “นักแสดงหน้าใหม่ค่ะ ฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะคะ (หัวเราะ) ถามว่าเข้าที่หรือยัง หมอบอกประมาณ 6 เดือนนะ ตอนนี้ก็ 3 เดือนค่ะ ก็อาจจะยังมีบวม ๆ นิดหน่อย คนก็ทักว่าเหมือนญาญ่า (อุรัสยา เสปอร์บันด์) บ้าง เหมือนเปาวลี (เปาวลี พรพิมล) บ้าง ไม่มีใครทักว่าเป็นเราเลย (หัวเราะ) ก็ดีใจส่วนนึงที่คนทักเราเป็นดาราที่เด็กกว่าเรา ก็โอเค แสดงว่าการที่เราไปทำสวยเกาหลีก็มีส่วนช่วยให้เราดูเด็กลงนิดนึง พี่เป๊กก็บอกว่าหน้าเด็ก อยากไปทำบ้าง ก็เลยบอกว่าเดี๋ยวไว้พาไป”

“ก็ปรึกษาคุณหมอว่าอยากที่จะทำให้หน้าตาสดใสขึ้น แต่ว่าไม่เปลี่ยนหน้าตา คุณหมอก็จัดเรียงไขมันใต้ตา และมีการดูดไขมันตรงเหนียงนิดนึง และลิฟติ้งยกกระชับค่ะ ซึ่งก็ทำเกี่ยวกับเรื่องผิวชุดใหญ่ พอเราอายุเยอะขึ้น ใกล้จะหลัก 5 แล้ว การเปลี่ยนแปลงของผิวก็ตามมา เราก็เลยไปดูแลชุดใหญ่สักนิดนึง ไปที่โรงพยาบาล DA ที่เกาหลี และมีการไปคุยธุรกิจกันด้วยค่ะ เหมือนทางบีบี คลินิกของเราก็มีการร่วมกัน เพราะเราก็มีคนไข้ที่อยากจะมาดูแลเรื่องความสวย อยากไปเกาหลี แต่ไม่กล้าไปเอง เราก็เลยคุยกันว่าทางเราจะดูแลพาไป เราก็เลยเป็นหนูทดลอง เป็นเคสตัวอย่างให้เห็นว่าเราไปทำแล้วเป็นยังไงบ้าง แต่ช่วงที่บวมคนก็อาจจะคิดว่าไปฉีดฟิลเลอร์เหรอ ไปทำจมูกเหรอ หลายคนคิดว่าเราไปทำโน่นทำนี่ แต่ไม่ได้เติมอะไรเลยค่ะ แค่เรื่องการยกกระชับให้มันดูสดใสขึ้นเท่านั้นเอง”

บอกสามีชม แต่ ‘ลียา’ ลูกสาวสุดที่รักบ่นอุบ “ก็ถือว่าพอใจนะคะ เพราะปัญหาที่เรามี ที่เรารู้สึกว่าอยากจัดการกับมันก็ได้ถูกจัดการออกไปแล้วค่ะ ก็อย่างเรื่องความหย่อนคล้อยค่ะ ก็ตามวัย ไม่ได้เติมอะไร แค่ยกกระชับ ผู้หญิงวัยใกล้เลข 5 ก็จะเข้าใจดี พี่เป๊กก็ชม แกก็พูดเหมือนกัน แซว ๆ กับเพื่อนบอกว่าเหมือนได้เมียใหม่ (หัวเราะ) ก็รู้สึกดี เพราะอุตส่าห์บินไปขนาดนั้น ถ้าบอกว่าไม่เปลี่ยนแปลงเลยนี่จะโกรธเลยนะ ก็อยากให้สดใสขึ้นแค่นั้นเอง ดีที่ทางคุณหมอที่เกาหลีไม่ได้ทำเยอะด้วย เรารู้สึกว่าตาเราเริ่มตก ก็เลยอยากไปเก็บนิดนึง แต่คุณหมอบอกว่ายังไม่ถึงเวลา ก็เลยยังไม่ทำให้ เขาก็มีเหตุผลว่าทำแล้วมันจะยังไง เราก็โอเค ก็ดีใจที่หมอทำให้เรานิดเดียว เอาให้สดใสขึ้นและหน้าเราไม่เปลี่ยน

ส่วนลูกสาว โอ้ย ลูกสาวเห็นตอนหน้าบวมก็บ่นใหญ่ บอกไปทำมาแล้วหน้าบวม เมื่อก่อนสวยกว่า ก็บ่นใหญ่เลย (หัวเราะ) แต่พอตอนนี้ก็ไม่บ่นแล้ว ก็เลยบอกว่าลียาชอบว่าหม่ามี๊แก่ ม่ามี๊ก็ต้องไปดูแลตัวเองสิแต่ก็ไม่อยากทำอะไรแล้วค่ะ ไม่ได้อยากเปลี่ยนอะไรในหน้าตาตัวเองอยู่แล้วค่ะ แค่อยากให้สดใสขึ้น ไม่ได้กลัวลูกโกรธหรอก แต่เราเองที่ไม่ได้อยากเป็นเจ้าแม่ศัลยกรรมที่ทำโน่นทำนี่ตลอดเวลา อย่างที่บอกว่าแค่สดใสขึ้นก็พอใจแล้ว”

บอก ‘หนิง ปณิตา ธรรมวัฒนะ’ ไม่ได้มาปรึกษาอะไรเพิ่ม เพราะน่าจะใจเย็นลงแล้ว “ช่วงหลังๆ เจอกันก็คุยแต่เรื่องงานค่ะ เมื่อวานก็เจอกัน หนิงมาเป็นกรรมการนางงาม เราก็ได้เชิญหนิงมา เราก็คุยกันแต่เรื่องงาน แต่ว่าเรื่องส่วนตัวไม่ได้คุยกันมาพักใหญ่แล้วค่ะ เพราะน่าจะเป็นเรื่องที่ตัวเขาเองก็เริ่มเย็นลงแล้ว เพราะก่อนหน้านั้นเป็นช่วงระยะใหม่ๆ อาจจะมีความรู้สึกว่าไม่รู้จะทำยังไงเหมือนต้องการที่ปรึกษา แต่ตอนนี้เขาเข้มแข็งแล้วค่ะ”

“ถามว่าเขามาอัปเดตอะไรบ้าง อันนี้ต้องรอเขาพูดเองดีกว่าว่ายังไง เพราะมันก็เป็นเรื่องส่วนตัวของเขา ซึ่งเราเองก็ให้กำลังใจสู้ๆ ก่อนหน้านี้เราก็โดนทัวร์ลงว่าอยู่ฝ่ายตรงข้าม บางคนเข้าใจว่าเราเข้าข้างอีกฝั่งนึง ซึ่งจริงๆ ไม่ใช่ค่ะ มันแค่เป็นการรู้จักกัน พอเขาส่งสารมา เราก็ส่งสารไปแค่นั้นเองค่ะ ส่วนการตัดสินใจจะเป็นยังไงก็แล้วแต่หนิงเลย แต่ถามว่านอยด์ไหม ไม่นอยด์ค่ะ เพราะมันไม่ใช่เรื่องของเรา เราก็มีแต่ความปรารถนาดี หวังดี จากนี้เรื่องราวเป็นยังไงก็ให้หนิงออกมาพูดเองดีกว่า”

‘ดร.เสรี’ แจง 8 ข้อ เหตุใด 14 ล้านเสียง ถึงลงคะแนนให้ ‘ก้าวไกล’ ลั่น!! ไม่มีใครกลั่นแกล้ง ‘พิธา’ ขอถาม “จะเป็น ส.ส. แล้วถือหุ้นสื่อทำไม”

(22 ก.ค.66) ดร.เสรี วงษ์มณฑา นักวิชาการด้านการตลาดและการสื่อสาร โพสต์เฟซบุ๊กว่า…

พูดกันจังว่าการที่ ‘พรรคก้าวไกล’ ได้คะแนนเยอะที่สุดนั้น แสดงว่าประชาชนสนับสนุนแนวทางของพรรคก้าวไกล ดังนั้นทุกฝ่ายต้องเคารพเสียงประชาชน ลองมาดูกันว่าคนลงคะแนนเสียงให้ พรรคก้าวไกลเพราะอะไร?

1. เบื่อลุง เพราะไปเชื่อวาทกรรมว่าลุงอยู่มา 8 ปีไม่มีอะไร ทั้ง ๆ ที่ผลงานลุงที่เป็นความจริงเชิงประจักษ์มีมากมาย
2. อยากให้มีการเปลี่ยนแปลง แต่ไม่รู้รายละเอียดว่าจะเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างไร จะดีหรือร้ายต่อประเทศอย่างไร
3. อยากได้สารพัดสวัสดิการในทางประชานิยมทั้งหลายที่พรรคก้าวไกลใช้หาเสียง แต่บัดนี้น่าจะรู้แล้วว่าหลายอย่างไม่ได้อย่างที่หาเสียงไว้
4. เด็ก ๆ จำนวนมากต้องการเสรีภาพแบบไร้ขอบเขต อยากให้พรรคก้าวไกลมาปลดแอกให้หลุดพ้นจากกฎเกณฑ์ที่เขามองว่ากดทับ
5. บางคนให้ความสำคัญกับเรื่องการเกณฑ์ทหาร ทั้งตัวเด็กหนุ่ม พ่อแม่ของเขา แฟนสาวของเขาที่ไม่อยากให้มีการเกณฑ์ทหาร
6. บางคนหลงรักพิธาแบบไม่สนใจคุณสมบัติ นิสัยอะไรทั้งนั้น ไม่สนใจว่าจุดยืนทางการเมืองบางเรื่องของพิธาเป็นเช่นไร
7. พ่อแม่บางคนเลือกตามที่ลูกบอก เพราะถูกลูกขู่จะทำเรื่องที่ไม่เหมาะสมบางอย่าง จึงต้องเลือกตามที่ลูกบอก
8. มีจำนวนหนึ่งที่มีอุดมการณ์ทางการเมืองเรื่องมาตรา 112 ตรงกับพรรคก้าวไกล ซึ่งน่าจะมีจำนวนน้อยกว่าเหตุผล 7 ข้อข้างต้น

แต่พรรคก้าวไกลกลับมาเน้นเรื่องการแก้ไขหรือยกเลิกมาตรา 112 ซึ่งไม่น่าจะใช่เหตุผลหลักที่ทำให้พรรคก้าวไกลชนะการเลือกตั้งได้ ส.ส. มากที่สุด 14 ล้านไม่ใช่เสียงข้างมาก และ 14 ล้านเสียงไม่ได้เลือกพรรคก้าวไกลเพราะต้องการให้พรรคก้าวไกลมาแก้มาตรา 112

บางคนถามว่าถ้าก้าวไกลชนะแล้ว ทำไมพิธาไม่ได้เป็นนายกรัฐมนตรี แสดงว่าไม่เข้าใจว่าเราไม่ได้เลือกนายกรัฐมนตรีโดยตรง เราเลือก ส.ส. มาเลือกนายกฯ คนที่ไม่เลือกก้าวไกลมีมากกว่าคนที่เลือกก้าวไกลถึง 2 เท่า แต่เอามาปั่นกันว่า ส.ว. ไม่ฟังประชาชน (หมายถึงประชาชน 14 ล้าน) แล้วเขาจะฟังประชาชนที่ไม่เลือกก้าวไกล ที่มีมากกว่าคนที่เลือกก้าวไกลถึง 2 เท่ากว่าล่ะ ไม่ใช่ประชาชนหรือไร ไม่มีใครกลั่นแกล้งพิธา อย่างที่สร้างวาทกรรมกัน และที่ถามให้ไปเลือกตั้งทำไม ก็อยากถามว่า แล้วจะเป็น ส.ส. ถือหุ้นสื่อไว้ทำไม

อย่าเอาแต่ใจเลยนะใช้สมองคิด วิเคราะห์ แยกแยะบ้างเถอะ ทุกอย่างที่เกิดขึ้นเพราะคนในพรรคก้าวไกลเองที่ทำผิดกฎหมาย และมีทัศนะเกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์ที่ประชาชนส่วนใหญ่ไม่เห็นด้วย ยอมรับกระบวนการรัฐสภา กระบวนการทางกฎหมายหน่อยนะ 

‘จันจิ’ ปลื้ม!! กระแส ‘มาตาลดา’ ดีเกินคาด จนคนจำตนได้ ลั่น!! “ทุกวันนี้ไม่มีใครเรียกชื่อแล้ว เรียกแต่คุณเพื่อนบ้าน”

(22 ก.ค. 66) เรียกว่าเป็นอีกแขกรับเชิญในละครมาตาลดา ที่ชาวเน็ตต่างพูดถึงสำหรับนักแสดงสาว ‘จันจิ จันจิรา’ ที่ไปไหนมาไหนก็มีคนตะโกนเรียกว่าเพื่อนบ้าน ล่าสุดได้มีโอกาสเจอสาว ‘จันจิ’ เจ้าตัวก็เผยความรู้สึกว่า

“ทุกวันนี้ไม่มีใครเรียกจันจิแล้ว เรียกว่าคุณเพื่อนบ้าน ไม่คิดว่าคนจะจำได้ด้วย แต่บังเอิญมันเป็นฉากที่ค่อนข้างคนจำได้ ก็ขอบคุณคนที่ติดตามและนึกถึงเรา

บทนี้ก็มีแซวว่าเล่นเป็นตัวเองหรือเปล่า คือมันมีความแก่น ๆ เหมือนเรา แต่เราไม่ได้ทำอาหารให้เขากินหรอก ไม่ซื้อจดโต๊ะจีนดีกว่า

ทางด้านเรทติ้งดีมากละครเรื่องนี้มันกลมกล่อม ก็ยินดีกับพี่จ๋าด้วยที่ทำละครรู้สึกดีและให้คนหันมาใส่ใจครอบครัวมากขึ้น มันเกินความคาดหมายจริง ๆ เพราะตัวละครที่ตนเล่นเป็นแขกรับเชิญ ด้วยความที่มันน้อยตนเลยจัดเต็มให้ ทางด้านเรื่องนี้ ‘มาริโอ้’ ก็ไม่ได้ดู ไม่ได้ช็อตฟิวเป็นเรื่องปกติ

ทางด้านความรักก็แฮปปี้ เผยมาริโอ้ชอบรถไม่ใช่ปัญหาเป็นเรื่องปกติที่ดี เขาแต่งรถหมดไปเยอะก็ไม่เป็นไรเงินเขาเอาเลย ตนก็สนับสนุน รถนุ่ม แอร์เย็นฉ่ำ บอกต่อรถมาริโอ้เสียบ่อยกลางแยกอโศกก็เลยมาแล้ว ซึ่งตนก็เป็นคนเข็น ก่อนขึ้นรถฝ่ายชายก็มีภาวนาสวดมนต์ไม่ให้รถดับแต่ว่าตอนนี้ดีขึ้นรถไม่ค่อยเสียแล้ว”

‘รองผู้ว่าฯ เชียงใหม่’ ยกวิกฤตหมอกควัน เป็นปัญหาเร่งด่วน หวังคลี่คลายได้ยั่งยืน ภายใต้ภาคีเครือข่ายรัฐ-เอกชน

ปฏิเสธไม่ได้ว่า ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ปัญหาไฟป่าและหมอกควัน เป็นปัญหาที่เกาะกินจังหวัดเชียงใหม่ ส่งผลกระทบทั้งในด้านเศรษฐกิจและสุขภาพ แม้ว่าภาครัฐจะพยายามแก้ไขแต่ปัญหาดังกล่าวก็ยังเกิดขึ้นทุกปี

นายชัชวาลย์ ปัญญา รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ กล่าวยอมรับว่า ปัญหาฝุ่น PM2.5 ที่เกิดจากไฟป่าและหมอกควัน เป็นปัญหาสำคัญของจังหวัดเชียงใหม่มายาวนานกว่า 10 ปี แม้ว่าทุกภาคส่วนทั้งภาครัฐและเอกชน จะพยายามแก้ไขปัญหาดังกล่าวอย่างต่อเนื่อง แต่ก็ยังไม่สำเร็จ นั่นเพราะเชียงใหม่มีพื้นที่กว่า 13 ล้านไร่ เป็นพื้นที่ป่า 9 ล้านไร่ หรือคิดเป็น 70% ของพื้นที่ทั้งหมด การเฝ้าระวังไม่ให้เกิดไฟป่าจึงเป็นเรื่องที่ยากลำบาก

จากข้อมูลในปีที่ผ่านมานั้น พบว่า พื้นที่จังหวัดเชียงใหม่เกิดจุดฮอตสปอต ในพื้นที่ราว 13,000 ไร่ ส่งผลให้มีฝุ่นพิษ PM2.5 เกินค่ามาตรฐาน ยาวนานกว่า 70 วัน และมีหลายครั้งที่ขึ้นไปอยู่อันดับหนึ่งของโลก แน่นอนว่า สิ่งที่เกิดขึ้นนั้น หน่วยงานที่รับผิดชอบล้วนไม่สบายใจและต้องการแก้ไขอย่างเร่งด่วน

อย่างไรก็ตาม ในห้วงเวลาที่เกิดไฟป่านั้น ทางหน่วยงานที่รับผิดชอบได้ดำเนินการทุกวิถีทาง เพื่อไม่ให้เกิดไฟป่าและหมอกควัน ไม่ว่าจะเป็น การจัดชุดเข้าไปดับไฟ และการประสานงานเครื่องบิน เพื่อปฏิบัติการดับไฟป่าทั้งภาคพื้นดินและภาคอากาศ 

ขณะเดียวกัน ยังได้รับความร่วมมือจากพี่น้องประชาชนในพื้นที่เข้าไปช่วยดับไฟ อีกทั้งยังมีหน่วยงานราชการส่วนท้องถิ่น ระดมรถฉีดน้ำ เพื่อลดฝุ่น PM2.5 ในพื้นที่เขตเมือง ลองทำมาแล้วทุกวิถีทาง แต่ก็แก้ไขปัญหาได้ในระดับหนึ่งเท่านั้น ซึ่งถือว่าไม่ประสบความสําเร็จเท่าที่ควร

รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ ย้ำว่า ไฟป่าหมอกควันเป็นความรับผิดชอบของทุกคน ที่ต้องช่วยกันดูแลไม่ให้เกิดขึ้น เพราะมีผลกระทบทั้งเรื่องเศรษฐกิจ เรื่องของสุขภาพ เรื่องของปัญหาสังคม เพราะอย่างที่ทราบกันดีว่า เชียงใหม่นั้นเป็นจังหวัดที่มีรายได้เกือบ 80% มาจากภาคท่องเที่ยวบริการ หากเมืองถูกปกคลุมด้วยหมอกควัน สุดท้ายใครจะอยากมาเที่ยว 

ที่ผ่านมา ต้องยอมรับว่า ต้นตอของไฟป่าในจังหวัดเชียงใหม่ส่วนใหญ่มาจากคนทั้งนั้น โดยสาเหตุประการแรกมาจากการเผาที่เพื่อเพาะปลูก ประการที่สอง เผาเพื่อหาของป่า และประการที่สาม เผาป่าล่าสัตว์ ซึ่งทั้งสามส่วนที่เป็นต้นตอของไฟป่า ทางภาครัฐได้พยายามดำเนินการแก้ไขแล้ว แต่ยังไม่ประสบความสำเร็จ 

อย่างไรก็ดี เป็นที่น่ายินดีว่า ขณะนี้ เริ่มมีภาคเอกชนเข้ามาช่วยในเรื่องการรับซื้อเศษวัชพืช และตอซังข้าวโพด จากเกษตรกร เพื่อนำไปใช้เป็นวัตถุดิบผลิตเชื้อเพลิงชีวมวล ซึ่งถือว่าเป็นการแก้ไขปัญหาที่ตรงจุดวิธีหนึ่งที่ เพราะการทำให้เกษตรกรมีรายได้จากการขายเศษตอซัง หวังว่าจะช่วยลดการเผาตอซังและเผาป่าได้อย่างเป็นรูปธรรม

แน่นนอนว่า การแก้ปัญหาฝุ่น PM2.5 ไม่ใช่เรื่องของใครคนใดคนหนึ่ง ปัญหานี้จะคลี่คลายได้จะต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ซึ่งการมีภาคีเครือข่ายที่เข้มแข็ง เกิดความร่วมแรงร่วมใจอย่างทรงพลัง จะสามารถแก้ไขปัญหาไฟป่าหมอกควันของจังหวัดเชียงใหม่ ได้สําเร็จอย่างยั่งยืน

‘ชลน่าน’ ลุยหารือ ‘ภูมิใจไทย’ ร่วมรัฐบาล ส่วนพลังประชารัฐ ชี้!! ยังไม่ถึงขั้นนั้น

(22 ก.ค. 66) ที่พรรคเพื่อไทย (พท.) นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว หัวหน้าพรรคพท.เปิดเผยถึงการพูดคุยกับพรรคภูมิใจไทย (ภท.) ในวันนี้ ว่า ไม่ได้เตรียมพร้อมอะไรมาก การพูดคุยเป็นการทำงานต่อเนื่องหลังจากที่ประชุม 8 พรรค ซึ่งมีทางเลือกให้ไปพูดคุยกับทาง ส.ว.และพรรคการเมืองเพื่อหาเสียงเพิ่มเติม แต่ไม่ใช่การตกลงกัน กติกาคือแค่พูดคุยมีแนวโน้มจะได้เสียงจาก ส.ว. หรือพรรคการเมืองเพิ่มเติมหรือไม่ จากนั้นค่อยเอามาพูดคุยกับ 8 พรรคร่วมจัดตั้งรัฐบาล เพราะที่ประชุมให้แนวทางเมื่อวาน ให้การบ้านไว้แบบนั้น ทั้งนี้ การติดต่อไปทางพรรคภท.เกิดขึ้นหลังจากคุยกับ 8 พรรคร่วมแล้ว โดยนายภูมิธรรม เวชยชัย รองหัวหน้าพรรค และนายประเสริฐ จันทรรวงทอง เลขาธิการพรรคเป็นผู้ติดต่อไป และเดิมทีพรรคพท.จะไปหาที่พรรคเองตามธรรมเนียมปฏิบัติที่ดี ในฐานะแกนนำมักจะไปส่งเทียบเชิญ เพื่อให้มาร่วมงาน แต่พรรคภท.ประกาศว่าเมื่อพท.เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล พรรคภท.ก็ยินดีเดินทางมาหาเอง ซึ่งก็ต้องขอบคุณพรรคภท.ด้วย 

นพ.ชลน่าน กล่าวอีกว่า ส่วนพรรคอื่น ๆ ยังไม่ได้พูดคุย เลือกติดต่อพรรคที่มีความเป็นไปได้ก่อน ไม่ติดต่อทั้งหมดพร้อม ๆ กัน เพราะการที่จะเพิ่มพรรคที่ 9 และ 10 มีเงื่อนไข ในการพูดคุยระหว่าง 8 พรรคร่วม ต้องดูพรรคที่เราไปส่งเทียบเชิญด้วยว่าเขารับเราได้หรือไม่ เพราะฟังจากแถลงการณ์แล้วเขาไม่เอา ซึ่งต้องไปพูดคุยเหตุและผลอีกที เชื่อว่าถ้าเอาประชาชนและประเทศเป็นที่ตั้งก็คงมีความหวัง 

เมื่อถามว่าได้ติดต่อพรรคพลังประชารัฐด้วยหรือไม่  นพ.ชลน่าน กล่าวว่า ยังไม่ถึงขั้นนั้น

พระพยอม แจง คนว่ามาเยอะ แต่ต้องทำใจให้เหมือน 'แผ่นดิน' ที่มันหนักแน่น ชี้ คำว่าแตะสถาบัน ตีโจทย์กันยังไง ถ้าแตะแบบ ‘แก้ไขปรับปรุง’ ควรแตะได้

เมื่อวานนี้ (21 ก.ค. 66) พระราชธรรมนิเทศ หรือ พระพยอม กลฺยาโณ เจ้าอาวาสวัดสวนแก้ว ได้กล่าวชี้แจงผ่านรายการ อมรินทร์ทีวี โดยระบุว่า..

"มีคนว่ามาเยอะ แต่ต้องทำใจให้เหมือน 'แผ่นดิน' ที่มันหนักแน่น...ส่วนคำว่าแตะสถาบัน ตีโจทย์กันยังไง ถ้าแตะแบบ ‘แก้ไขปรับปรุง’ ควรแตะได้"

>> สามารถติดตามรายเอียดเพิ่มเติมได้ที่ : https://www.youtube.com/watch?v=C6fiKiPnX14#bottom-sheet

รู้หรือไม่!? ‘ประเทศไทย’ ติดอันดับ 11 ของโลก ประเทศที่มี ‘ทอง’ และ ‘เงินทุนสำรอง’ มากที่สุด

🔍 รู้หรือไม่!? ‘ประเทศไทย’ ติดอันดับ 11 ของโลก ประเทศที่มี ‘ทอง’ และ ‘เงินทุนสำรอง’ มากที่สุด✨✨

‘พระราม 2’ แผ่นปูนใต้สะพานหน้ามหาชัยเมืองใหม่ ‘แตก’ เป็นวงกว้าง 'ส.ส.ก้าวไกล' จี้หน่วยงานเกี่ยวข้องเร่งตรวจสอบ หวั่นเกิดอันตราย!!

(22 ก.ค.66) นายณัฐพงษ์ สุมโนธรรม สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) พรรคก้าวไกล จังหวัดสมุทรสาคร ให้สัมภาษณ์กรณีแผ่นคอนกรีตบริเวณใต้สะพานต่างระดับหน้ามหาชัยเมืองใหม่แตกเป็นวงกว้างว่า มีชาวบ้านผู้ใช้รถใช้ถนนได้แจ้งมาว่าพบแผ่นปูนใต้สะพานต่างระดับมหาชัยเมืองใหม่ ถนนพระราม 2 จังหวัดสมุทรสาครแตกออกมาเป็นวงกว้างขนาดใหญ่ อาจจะทำให้เกิดอันตรายกับผู้ใช้รถใช้ถนนได้ ตนพร้อมด้วยทีมงานจึงได้ลงพื้นที่ไปตรวจสอบบริเวณดังกล่าว 

"จากการพบว่าบริเวณใต้สะพานต่างระดับหน้ามหาชัยเมืองใหม่ แผ่นปูนแตกเป็นวงกว้างมากดูแล้วหวั่นเกรงว่ารอยแตกอาจจะลุกลามแตกเพิ่มอีกได้ น่าหวาดเสียวมากสำหรับผู้ใช้รถใช้ถนนที่สัญจรผ่านเส้นทางนี้ ตลอดจนยังไม่เห็นมีหน่วยงานไหนเข้ามาดูแลหรือเตือนประชาชนเลย จึงขอฝากไปยังแขวงทางหลวงสมุทรสาคร หรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดเข้ามาตรวจสอบดูแลและแก้ไขโดยเร็วก่อนที่จะเกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิดขึ้นมาได้กับผู้ใช้รถใช้ถนน" นายณัฐพงษ์ กล่าว

‘ไก่เดือยทอง’ นำทีมโดย ‘แฮร์รี่ เคน’ และ ‘ซน ฮึง มิน’ มาถึงไทย เตรียมสู้ศึกนัดประวัติศาสตร์กับ ‘เลสเตอร์’

(22 ก.ค. 66) ความเคลื่อนไหวของแมตช์ประวัติศาสตร์ของสองสโมสรฟุตบอลชั้นนำจากอังกฤษที่จะทำศึกอุ่นเครื่องรายการพิเศษ ท็อตแนม ฮ็อตสเปอร์ พบ เลสเตอร์ ซิตี้ ในวันอาทิตย์ที่ 23 ก.ค. นี้ เวลา 17.00 น. ที่สนามราชมังคลากีฬาสถาน 

เมื่อคืนวันที่ 21 ก.ค. เวลาราว 22.45 น. สเปอร์ ได้เดินทางจากออสเตรเลียมาถึงท่าอากาศยาน ประเทศไทยตามหลัง เลสเตอร์ ซึ่งมาถึงแล้วก่อนหน้านี้ในวันเดียวกัน นำโดย อันเก ปอสเตโคกลู กุนซือคนใหม่ รวมถึงบรรดาผู้เล่นซูเปอร์สตาร์ในทีมชุดใหญ่อย่าง แฮร์รี เคน, ซน ฮึง-มิน, เจมส์ แมดดิสัน และริชาร์ลิซอน เป็นต้น โดยมีแฟน ๆ ‘ไก่เดือยทอง’ ทั้งชาวไทย และชาวต่างชาติมารอให้การต้อนรับจำนวนมาก

โดยในวันที่ 22 ก.ค. สเปอร์ จะมีกิจกรรมที่น่าสนใจทั้งไปถ่ายรูปที่เสาชิงช้าในเวลา 12.00 น. รวมถึงลงฝึกซ้อมที่สนามราชมังคลากีฬาสถานในเวลา 18.00 น. เป็นต้น ก่อนจะลงลับแข้งกับ เลสเตอร์ วันที่ 23 ก.ค.

ทั้งนี้การแข่งขันฟุตบอลนัดพิเศษระหว่าง สเปอร์ กับ เลสเตอร์ วันที่ 23 ก.ค. ผู้ที่สนใจเข้าร่วมชมการแข่งขันสามารถจองที่นั่งผ่านตัวแทนจำหน่ายบัตรอย่างเป็นทางการได้ทาง www.ticketmelon.com ราคาบัตรเริ่มต้นที่ 1,500 บาท, 2,500 บาท, 3,500 บาท, 4,500 บาท และ 5,500 บาท

‘ปอท.’ เตือน!! โพสต์-แชร์ข้อมูล เชิงคุกคามในโลกโซเชียล เรียกทัวร์ลงผู้อื่น ข่มขู่ให้หวาดกลัว ระวังโดนคดีทั้งแพ่ง-อาญา

(22 ก.ค. 66) พ.ต.อ.ศิริวัฒน์ ดีพอ รองผู้บังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (รอง ผบก.ปอท.) ในฐานะโฆษกกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง กล่าวว่าในปัจจุบัน การใช้สื่อสังคมออนไลน์แทบจะถือได้ว่าเป็นวิถีชีวิตประจำวันอย่างหนึ่งของคนไทย ซึ่งมักจะใช้สื่อสังคมออนไลน์เป็นพื้นที่ในการแสดงความคิดเห็น เผยแพร่ข้อมูลข่าวสาร รูปภาพ ตลอดจนคลิปวิดีโอต่าง ๆ ซึ่งบางครั้งอาจมีการด่าทอ หยอกล้อ หรือล้อเลียนผู้อื่น ด้วยความสนุก คึกคะนอง จนอาจเกินเลยสร้างบาดแผลทางจิตใจ หรือสร้างความเสียหาย เสื่อมเสียชื่อเสียงให้กับบุคคลอื่น ซึ่งในกรณีดังกล่าวมีกฎหมายคุ้มครองสิทธิของผู้อื่นมิให้ถูกละเมิด 

กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง โดย กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บก.ปอท.) จึงขอเตือนพี่น้องประชาชน เกี่ยวกับข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้อง กับการด่าทอ ล้อเลียน กลั่นแกล้ง กลั่นแกล้ง หรือ ข่มขู่ผู้อื่นทางสื่อสังคมออนไลน์ ที่ผู้กระทำผิดอาจถูกดำเนินคดีตามฐานความผิดที่ได้กระทำ ดังนี้

1.) การโพสต์ใส่ความบุคคลอื่นต่อบุคคลที่สามในประการที่น่าจะทำให้ผู้อื่นนั้นเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น หรือถูกเกลียดชัง อาจเข้าข่ายเป็นความผิดฐานหมิ่นประมาท ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 326 ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 20,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

2.) การโพสต์หมิ่นประมาทบุคคลอื่นโดยการโฆษณา (การโพสต์เป็นสาธารณะหรือบุคคลทั่วไปสามารถเข้าถึงได้) อาจเข้าข่ายเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 328 ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี และปรับไม่เกิน 200,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

3.) การโพสต์ภาพของผู้อื่นที่เกิดจากการสร้างขึ้น ตัดต่อ เติม หรือดัดแปลงด้วยวิธีการอื่นใด โดยประการที่น่าจะทำให้ผู้อื่นนั้นเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่นถูกเกลียดชัง หรือได้รับความอับอาย อาจเข้าข่ายเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 และที่แก้ไขเพิ่มเติม มาตรา 16 ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 200,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

4.) การข่มขู่ ขู่เข็ญ ผู้อื่นผ่านสื่อสังคมออนไลน์ ทำให้ผู้อื่นเกิดความกลัว ตกใจ อาจเข้าข่ายความผิดตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 392 ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 1 เดือน หรือปรับไม่เกิน 10,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

5.) การส่งต่อ แชร์ รีทวีต หรือรีโพสต์ ที่เข้าข่ายเป็นความผิด อาจเสี่ยงต่อการถูกฟ้องร้องดำเนินคดีเช่นเดียวกับผู้โพสต์ ในฐานะตัวการร่วม หรือผู้สนับสนุน ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 หรือ 86 แล้วแต่กรณี

ซึ่งนอกเหนือจากความผิดที่มีโทษทางอาญาแล้ว หากผู้เสียหายสามารถพิสูจน์ได้ว่าการกระทำของผู้กระทำผิด ทำให้ผู้นั้นได้รับความเสียหาย ไม่ว่าจะเป็นต่อชีวิตร่างกาย ทรัพย์สิน ชื่อเสียง หรือทางทำมาหาได้ ผู้ที่กระทำความผิดอาจถูกฟ้องร้องเรียกค่าสินไหมทดแทนทางแพ่ง เกี่ยวกับความรับผิดทางละเมิด ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 420 หรือมาตรา 423 แล้วแต่กรณีอีกด้วย

ดังนั้น พี่น้องประชาชนจะต้องระมัดระวังในการใช้สื่อสังคมออนไลน์ โดยเฉพาะการโพสต์หรือเผยแพร่ข้อมูลต่าง ๆ ที่อาจสร้างความเสียหายแก่บุคคลอื่น เพราะหากบุคคลที่ถูกกล่าวถึงไม่พอใจกับการกระทำดังกล่าว และได้รับความเสียหายจากการกระทำนั้น ท่านอาจถูกฟ้องร้องดำเนินคดีทั้งทางแพ่งและทางอาญาได้

สุดท้ายนี้ หากพี่น้องประชาชนได้รับความเสียหายจากการล้อเลียน กลั่นแกล้ง หรือหมิ่นประมาท ทางสื่อสังคมออนไลน์ สามารถแจ้งความร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนได้ที่สถานีตำรวจในท้องที่เกิดเหตุ หรือสถานีตำรวจในท้องที่ที่ท่านทราบการกระทำความผิด ได้ตลอด 24 ชั่วโมง


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top