Sunday, 11 May 2025
NewsFeed

เปิดสูตรใหม่ 312 ผสานเสียง 9 พรรค กึ่งรัฐบาลปรองดอง เชื่อ ‘ส.ว.’ หนุนพรึ่บ

หลังจากเมื่อวันที่ 22 พ.ค. 66 ที่ทั้ง 8 พรรคนำโดย ‘พรรคก้าวไกล’ ลงนามในแถลงการณ์ร่วมหรือ ‘MOU’ จนถึงวันนี้ 22 ก.ค. 66 รวมสองเดือนพอดี… ก็ต้องฟันธงว่า MOU ที่ว่า กำลังจะถูกฉีกลงในไม่กี่เพลาข้างหน้านี้… ถูกฉีกลงพร้อมกับพรรคอย่างน้อย 2 ใน 8 พรรค คือ ‘ก้าวไกล’ และ ‘ไทยสร้างไทย’ ที่จะต้องออกจากสมการ

ถ้าทวนความทวนสถานการณ์สั้น ๆ จะพบว่า...

เมื่อวันที่ 20 ก.ค. 66 นายเศรษฐา ทวีสิน แสดงความพร้อมมากที่จะเป็นนายกรัฐมนตรีของพรรคเพื่อไทย และเป็นครั้งแรกที่เขาพูดเสียงดังฟังชัดว่า… การแก้ไขหรือยกเลิกประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 เป็นอุปสรรคในการจัดตั้งรัฐบาล เพราะ ส.ว.ไม่เล่นด้วย

จนกระทั่ง ในวันศุกร์ที่ 21 ก.ค. 66 พรรคก้าวไกลยกธงขาวเลิกเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล โยนเผือกร้อนให้พรรคเพื่อไทย โดยที่ตัวเองขอลงเรือร่วมรัฐบาลต่อไป ขณะที่พรรคเพื่อไทยออกแถลงการณ์รับลูก 4 ข้อ โดยมีข้อสำคัญที่แสดงความเหนือชั้นว่า ถ้าหาเสียงจาก ส.ว.ไม่พอที่จะได้รับเลือกนายกฯ จะไปขอเสียงจากพรรคการเมืองอื่นเพิ่มเติม

วันเดียวกันกับที่ประชุม 8 พรรค… แถลงที่จะเดินหน้าร่วมจัดตั้งรัฐบาลต่อไป พรรคก้าวไกลขอให้พรรคเพื่อไทยไปสอบถาม ส.ว.ว่าจะให้พรรคก้าวไกลลดเพดานเรื่องมาตรา 112 แค่ไหน อย่างไร… ขณะที่คุณหมอชลน่าน ศรีแก้ว หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ประกาศว่า คำตอบสุดท้าย หากดำเนินการอย่างเต็มที่แล้วยังไม่สำเร็จ อาจจะมีบางพรรคต้องออกจากสมการนี้… 

ไม่เพียงเท่านั้น พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียาเวส หัวหน้าพรรคเสรีรวมไทยยังแถลงตบท้าย… โดยมีสาระสำคัญฟังได้ว่า อยากให้พรรคก้าวไกล ‘เสียสละ’

เป็นอย่างไรบ้างครับ ท่านผู้อ่านคุณผู้ฟัง มันชัดยิ่งกว่าชัดว่า พรรคเพื่อไทยกับพรรคก้าวไกล ไปด้วยกันลำบากแล้ว เพียงแต่ว่ายังไม่มีใครกล้าเอ่ยปากบอกเลิก เลยต้องลากลู่ถูกังกันไป เหมือนคู่รักหนุ่มสาวที่ไปด้วยกันไม่ได้แล้ว แต่อยากให้อีกฝ่ายเป็นฝ่ายบอกเลิกก่อนเท่านั้นแหละ

อย่างไรก็ตาม ในท้ายที่สุด ก็ถึงจุดแยกทาง บนทาง 3 แพร่ง เหมือนที่นายสุทิน คลังแสง ขุนพลพรรคเพื่อไทยบอกกับบางสำนักนั่นแหละว่า… จำเป็นต้องตัดพรรคก้าวไกลออก เพื่อให้ทุกอย่างเดินหน้าต่อไปได้ แบบว่า ‘เจ็บแต่จบ’ และพยายามจบให้ได้ภายในวันที่ 27 ก.ค.นี้

สายข่าวเปิดเผยกับ ‘เล็ก เลียบด่วน’ ว่า นาทีนี้สูตรรัฐบาลใหม่มีทั้งหมด 9 พรรค รวมกันได้ 312 เสียง โดยมีนายเศรษฐา ทวีสิน เป็นนายกรัฐมนตรี ประกอบด้วย

- พรรคเพื่อไทย 141 เสียง
- พรรคภูมิใจไทย 71 เสียง
- พรรคพลังประชารัฐ 40 เสียง
- พรรครวมไทยสร้างชาติ 36 เสียง
- พรรคชาติไทยพัฒนา 10 เสียง
- พรรคประชาชาติ 9 เสียง
- พรรคเพื่อไทรวมพลัง 2 เสียง
- พรรคชาติพัฒนากล้า 2 เสียง
- พรรคเสรีรวมไทย 1 

ส่วนผสมนี้ มีความเป็นไปได้มากที่สุด เป็นการผสมข้ามขั้ว ทุกพรรคไม่มีใครแตะต้องข้องแวะมาตรา 112 เป็นกึ่งๆ รัฐบาลปรองดอง สูตรนี้รับประกันซ่อมฟรีว่า ส.ว.หนุนพรึ่บ อย่างน้อย 200 เสียง เพราะมีทั้งพรรคลุงป้อมและพรรคลุงตู่ผสมอยู่ด้วย ถึงแม้ว่าวันนี้ลุงตู่จะวางมือแล้ว และบางกระแสระบุว่าลุงป้อมเองอาจไม่รับตำแหน่งใด ๆ อีกก็ตาม

ทั้งนี้ เหตุที่ยังไม่นับพรรคประชาธิปัตย์อยู่ในสูตรผสม เพราะหากในวันที่ 6 ส.ค. 66 หัวหน้าพรรคคนใหม่เป็น นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ พรรคประชาธิปัตย์ก็คงไม่เข้าร่วมรัฐบาล

แต่ก็นั่นแหละ สูตรนี้เกิดขึ้นวันไหน พรรคเพื่อไทยก็ต้องยอมเจ็บแต่จบเพื่อชาติ เพราะม็อบด้อมส้มคงจะพรึ่บหน้าพรรคเพื่อไทยหรือหน้ารัฐสภา

อย่างไรก็ตาม สายข่าวรายงานว่า หากพรรคเพื่อไทยยังไม่สามารถดำเนินการได้ทันภายในวันที่ 27 ก.ค.นี้ ที่ประธานรัฐสภานัดประชุมไว้ ก็อาจจะประสานงานให้เลื่อนไปเป็นสัปดาห์ต่อไป ราว ๆ วันที่ 2 หรือ 3 ส.ค.

ซึ่งเมื่อได้ตัวนายกฯ คนใหม่แล้ว ก็เดินหน้าฟอร์มรัฐบาล...

ขณะที่ราว ๆ กลางเดือน ส.ค. เขาปิดกันให้แซ่ดว่า… ได้เวลา ‘คนแดนไกล’ จะเดินทางกลับบ้าน!!

ผบ.ตร.พร้อมนายกสมาคมแม่บ้านตำรวจ ลงตรวจเยี่ยมแม่บ้านตำรวจจังหวัดลำพูน จัดฝึกอบรมการปักผ้าให้ครอบครัวตำรวจ ชื่นชมความสำเร็จ สามารถนำไปต่อยอด สร้างอาชีพ สร้างรายได้เกิดความยั่งยืน

วันนี้ (22 ก.ค.66) พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. พร้อมด้วยคุณสุมนา กิตติประภัสร์ นายกสมาคมแม่บ้านตำรวจ เดินทางไปตรวจเยี่ยมโครงการฝึกอบรมการปักผ้าชมรมแม่บ้านตำรวจภูธรภาค 5  โดยมี พล.ต.ท.ปิยะ ต๊ะวิชัย ผบช.ภ.5 , พล.ต.ต.บุณยวัต เกิดกล่ำ ผบก.ภ.จว.ลำพูน , คุณพิยดา ต๊ะวิชัย ประธานชมรมแม่บ้านตำรวจภูธรภาค 5 , คุณรุ้งดารา เกิดกล่ำ ประธานแม่บ้านตำรวจภูธรจังหวัดลำพูน และแขกผู้เกียรติเข้าร่วม  ณ ห้องประชุมตำรวจภูธรจังหวัดลำพูน 

โครงการฝึกอบรมการปักผ้าชมรมแม่บ้านตำรวจภูธรภาค 5 เป็นการดำเนินการภายใต้แนวคิดของ คุณสุมนา กิตติประภัสร์ นายกสมาคมแม่บ้านตำรวจ ที่ขับเคลื่อนผ่านโครงการ “ปันรักษ์ ขวัญดาว” เพื่อส่งเสริมให้ข้าราชการตำรวจมีความรู้ สามารถนำไปต่อยอดฝึกอาชีพ เพิ่มพูนรายได้ให้ครอบครัว สามารถผลิตเป็นของใช้ภายในครัวเรือน สินค้าใช้เอง ทำเป็นของชำร่วย ของฝาก จำหน่ายได้ เพิ่มรายได้ให้ครอบครัวตำรวจ

การฝึกอบรมที่จัดขึ้นที่จังหวัดลำพูนครั้งนี้ เป็นครั้งที่ 4 ของโครงการแล้ว โดยมีคุณกัลยา ศรีกุดหว้า ข้าราชการครูชำนาญการพิเศษ โรงเรียนธาตุนารายณ์วิทยา จังหวัดสกลนคร และคุณรุจิอร ขันเงิน แม่บ้านตำรวจภูธรจังหวัดสกล เป็นวิทยากร สอนเทคนิคให้ความรู้ต่างๆ 

พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ และ คุณสุมนา กิตติประภัสร์ ได้ให้โอวาท พร้อมพูดคุย ทักทาย แม่บ้านตำรวจภูธรจังหวัดลำพูน ซึ่งบรรยายกาศการอบรมเต็มไปด้วยรอยยิ้ม ทุกรายที่เข้าอบรมต่างมีความตั้งใจอบรม จดจำเทคนิคการปักผ้าต่างๆ และขอบคุณ ผบ.ตร.นายกสมาคมแม่บ้านตำรวจ ผู้บังคับบัญชา ที่นำโอกาสดีๆ มามอบให้ เพื่อต่อยอดทางอาชีพ เป็นรายได้เสริมให้ครอบครัว 
    
ผบ.ตร.กล่าวว่า “ดีใจที่ได้มาตรวจเยี่ยมการดำเนินของแม่บ้านตำรวจภูธรภาค 5 และแม่บ้านตำรวจภูธรจังหวัดลำพูน ได้เห็นถึงความสำเร็จที่จะเกิดขึ้น ขอชื่นชมในความสำเร็จของชมรมแม่บ้านตำรวจภูธรภาค 5 ซึ่งจะเป็นการพัฒนาฝีมือและหารายได้ให้กับครอบครัว โดยการใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์ และสร้างสรรค์สิ่งดีๆ ให้แก่สังคม และขอชื่นชมผู้บังคับการ และประธานชมรมแม่บ้านตำรวจภูธรจังหวัดลำพูน ซึ่งมีส่วนสนับสนุน และขอให้การดำเนินการของแม่บ้านตำรวจฯ ลำพูนประสบความสำเร็จ”

นายกสมาคมแม่บ้านตำรวจ กล่าวว่า “ ภ.5 เป็นตัวแทนของความสำเร็จของโครงการ ปันรัก ขวัญดาว การฝึกอบรมการปักผ้าฯ ในวันนี้ แสดงให้เห็นว่าถ้าเราตั้งใจจริง สามารถทำได้  โอกาสเล็กๆ ที่มี มันมีโอกาสใหญ่ๆ รออยู่ ถ้าเราหมั่นฝึกฝนและพัฒนาตนเอง วันหนึ่งเราจะประสบความสำเร็จ ได้กำชับให้รักษาสิ่งดีๆ และส่งต่อให้รุ่นต่อๆ ไป ไม่ใช่เพื่อใคร แต่เพื่อครอบครัวของตำรวจ และสังคม ทั้งหมดที่เห็นในวันนี้ แสดงถึงความเข้มแข็ง ความยั่งยืน ตอบสนองนโยบายของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และสมาคมแม่บ้านตำรวจ ที่ต้องการส่งเสริมอาชีพสร้างรายได้ให้ครอบครัวตำรวจอย่างยั่งยืน ไม่ใช่เพียงแค่การมอบสิ่งของ แต่เราได้มอบวิชาความรู้ เรามอบอาชีพ ให้ไปด้วย ขอบคุณที่เดินมาด้วยกันจนถึงวันนี้”

‘น็อต วรฤทธิ์’ ลั่น!! 14 ล้านเสียงที่เลือกคุณมา ไม่ใช่ทุกคนที่ต้องการจะเปลี่ยน ม.112

เมื่อวานนี้ (21 ก.ค. 66) น็อต วรฤทธิ์ เฟื่องอารมย์ นักแสดงและพิธีกรชาวไทย ได้กล่าวถึงความสุดโต่งของพรรคก้าวไกล เช่น ยกเลิกเกณฑ์ทหาร และ ม.112 ระหว่างออกรายการ แฉ โดยระบุว่า… 

"14 ล้านเสียงที่เลือกคุณมา ไม่ใช่ทุกคนที่ต้องการจะเปลี่ยน ม.112 แต่เขาซื้อนโยบายส่วนหนึ่งของคุณ อย่างเรื่อง 3,000 บาท หรือยกเลิกเกณฑ์ทหาร แต่ถ้าคุณบอกต้องเปลี่ยนเพื่อให้ตามทันโลก...ประเทศไทย ก็เป็นประเทศไทย เรามีรากเหง้าของเรา"

‘แดน-แพทตี้’ พาทัวร์บ้านใหม่ เรียบแต่หรูมีอยู่จริง แค่บานประตูช่องลม ราคาก็พุ่งไปกว่าครึ่งล้านแล้ว!!

(22 ก.ค. 66) เป็นคู่สามีภรรยาที่น่ารักมากๆ สำหรับ ‘แดน วรเวช’ กับ ‘แพทตี้ อังศุมาลิน’ เพราะมีโมเมนต์หวานๆ มาให้แฟนๆ ให้เห็นตลอดๆ เรียกว่าคนโสดที่เห็นมีเหม่อลอยกันไปเลย ก่อนหน้านี้ แดน-แพทตี้ ได้อัปเดตบ้านหลังใหญ่ที่ทั้งสองได้ช่วยกันสร้างช่วยกันออกไอเดียตั้งแต่เริ่มต้น จนวันนี้บ้านหรูเสร็จสมบูรณ์เข้าอยู่ได้แล้ว 

ซึ่งในช่องยูทูป DanPattie EP ล่าสุด เป็นการพาทัวร์ทุกมุมบ้าน บอกเลยว่าสวยน่าอยู่ทุกมุมจริงๆ ซึ่ง แพทตี้ ได้บอกว่าบ้านหลังนี้สร้างเป็นสไตล์นอร์ดิก ได้ใกล้ชิดกับธรรมชาติแบบเต็ม ๆ ผ่านกระจก และเป็นการตกแต่งที่ใช้เฟอร์นิเจอร์แบบน้อยชิ้นแต่ทุกชิ้นถูกเลือกมาแล้วมาใช้สอยได้ทุกวัน

นอกจากนี้ แพทตี้ ยังเม้าท์สามีสุดหล่อกับการทุ่มควักเงินกว่าครึ่งล้านทำบานประตูช่องลม ซึ่งก็ถือว่าเป็นการลงทุนที่คุ้มค่ามากเพราะออกมาสวยงาม สร้างบรรยากาศชิล ๆ ให้กับบ้านได้มีลมผ่านนั่งสบาย ๆ อีกด้วย

ที่สำคัญ แดน-แพทตี้ ยังได้พาทัวร์ห้องนอนที่เรียบ ๆ แต่มีมุมสวนแบบญี่ปุ่นไว้บนระเบียง ห้องน้ำที่สามารถมองดูดาวได้ และมุมพักผ่อนอีกหลายมุมของบ้าน ต้องบอกว่าสวยงามจริง ๆ ดูแบบเต็ม ๆ ที่ DanPattie

ตำรวจดีเดย์ บุกค้น 1,600 จุด ทั่วประเทศ จับกุมอาวุธปืนกว่า 900 กระบอก กระสุนเกือบ 50,000 นัด ตั้งเป้าลดความรุนแรงอาชญากรรม และการกระทำผิดกฎหมาย

เจ้าหน้าที่ตำรวจระดมกวาดล้างอาวุธปืนทั่วประเทศ นำหมายค้นเข้าตรวจค้นผู้มีพฤติกรรมเกี่ยวข้องกับการจำหน่าย ดัดแปลง ซื้อขาย และเกี่ยวข้องกับอาวุธปืน อาวุธสงคราม กว่า 1,600 จุด วิสามัญคนร้ายมีหมายจับข้อหาพยายามฆ่าเจ้าพนักงาน เสียชีวิต 1 ราย จับกุมผู้กระทำผิดเกือบ 1,000 คน และตรวจยึดอาวุธปืนเครื่องกระสุนปืนผิดกฎหมายจำนวนมาก ตั้งเป้าลดความรุนแรงของอาชญากรรมและการกระทำผิดกฎหมาย  

วันนี้ 22 กรกฎาคม 2566 ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เปิดเผยว่า ตามที่ พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ได้กำหนดมาตรการป้องกันปราบปรามอาชญากรรมและบังคับใช้กฎหมายว่าด้วยการจราจรทางบกและความผิดอื่นที่เกี่ยวกับรถหรือการใช้ทาง ระหว่างวันที่ 1 ก.ค.-30 ก.ย.66 นั้น

ในส่วนของมาตรการป้องกันปราบปราม พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ดูแลงานป้องกันปราบปราม ได้กำหนดให้ทุกหน่วยเพิ่มความเข้มในการบังคับใช้กฎหมายห้วงไตรมาสสุดท้ายของปีงบประมาณ พ.ศ.2566 โดยมีเป้าหมาย เช่น ความผิดเกี่ยวกับผู้มีอิทธิพล มือปืนรับจ้าง ความผิดเกี่ยวกับอาวุธปืน อาวุธสงคราม เครื่องกระสุนปืน และการลักลอบจำหน่ายอาวุธปืนโดยผิดกฎหมาย และมอบหมายให้ พล.ต.ท.สำราญ นวลมา ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ควบคุมการปฏิบัติในภาพรวม 
 
ซึ่ง พล.ต.ท.สำราญฯ ได้สั่งการให้มีการแลกเปลี่ยนข้อมูลเครือข่ายผู้มีพฤติกรรมเกี่ยวข้องกับอาวุธปืนผิดกฎหมายระหว่างหน่วยงานต่างๆ ประกอบด้วย กองบัญชาการตำรวจนครบาล ตำรวจภูธรภาค 1-9 กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง กองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด กองบัญชาการตำรวจท่องเที่ยว สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี กองบัญชาการตำรวจตระเวนชายแดน ฝ่ายปกครอง และภาคประชาชน ทำให้ได้ข้อมูลผู้กระทำผิดจำนวนมาก นอกจากนี้ กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ยังได้ส่งเป้าหมายการสืบสวนขยายผลผู้ลักลอบจำหน่ายอาวุธปืนออนไลน์ ส่งขายให้กับลูกค้าทั่วประเทศ เพื่อให้ทุกหน่วยเข้าตรวจค้นเพิ่มเติมอีกกว่า 300 จุด และกำหนดเข้าปฏิบัติการตรวจค้นเป้าหมาย พร้อมกันทั่วประเทศ จำนวน 1,658 จุด เมื่อวันที่ 21 กรกฎาคม 2566 ที่ผ่านมา

ผลการระดมกวาดล้าง
1. จับกุมผู้ต้องหา จำนวน 966 ราย 
2. ตรวจยึดของกลาง ประกอบด้วย
2.1 อาวุธปืนเถื่อน ไม่มีหมายเลขทะเบียน จำนวน 811 กระบอก 
2.2 อาวุธปืน มีหมายเลขทะเบียนซึ่งเป็นของบุคคลอื่น (ปืนผิดมือ) จำนวน 99 กระบอก
2.3 เครื่องกระสุนปืน จำนวน 44,540 นัด
2.4 วัตถุระเบิด จำนวน 2 ลูก 
2.5 ยาบ้า จำนวน 6,239 เม็ด
    
สำหรับในการตรวจค้นครั้งนี้ มีการจับกุมผู้ต้องหารายสำคัญเช่น

• ตำรวจภูธรภาค 8 โดย ฝ่ายสืบสวน สภ.เขาพนม , กก.สส.ภ.จว.กระบี่ และ บก.สส.ภ.8 ได้เข้าทำการปิดล้อมตรวจค้นบ้าน นายอนุชัย หรือบูม สงวนนามสกุล อายุ 28 ปี ผู้ต้องหาในคดียาเสพติดและพยายามฆ่า เจ้าพนักงาน โดยมีหมายจับติดตัวจำนวน 3 หมาย หลบหนีมาพักอาศัยอยู่ที่บ้านหลังหนึ่ง ใน ต.หน้าเขา อ.เขาพนม จ.กระบี่ ซึ่งขณะที่เจ้าหน้าที่ตำรวจนำกำลังเข้าตรวจค้นนั้น ผู้ต้องหารู้ตัวและได้ขี่รถจักรยานยนต์หลบหนีออกไปทางด้านหลังบ้านซึ่งเป็นป่าละเมาะ เจ้าหน้าที่จึงได้ติดตามไป ทันใดนั้นผู้ต้องหาวิ่งสวนออกมาจากที่ซ่อน และใช้อาวุธปืนยิงใส่เจ้าหน้าที่ เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงยิงตอบโต้ถูกผู้ต้องหาเสียชีวิต ตรวจสอบที่ศพพบ อาวุธปืนพกสั้นยี่ห้อ Mauser ขนาด 9 มม. ตกอยู่ข้างตัว และ พบลูกระเบิดชนิดขว้าง M 67 จำนวน 1 ลูก และ ระเบิดควันจำนวน 2 ลูก อยู่ในกระเป๋าสะพายที่ผู้ต้องหาสะพายติดตัวอยู่ พนักงานสอบสวนจึงได้ร่วมกับ พนักงานอัยการ ฝ่ายปกครอง และแพทย์ ร่วมกันชันสูตรพลิกศพ และให้เจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐาน ตรวจสถานที่เกิดเหตุไว้อีกส่วนหนึ่งแล้ว 
• ตำรวจภูธรภาค 4 โดย ภ.จว.อุดรธานี และ สภ.กุมภวาปี ได้เข้าทำการจับกุมผู้ต้องหา นายสมยศ หรือ เอ็ม ขอสงวนนามสกุล อายุ 42 ปี ที่บ้านพักใน ต.ห้วยเกิ้ง อ.กุมภวาปี จ.อุดรธานี ในความผิดฐาน “ทำประกอบ ซ่อมแซม เปลี่ยนลักษณะ สั่งนำเข้า มีหรือจำหน่ายซึ่งอาวุธปืน หรือเครื่องกระสุนปืน สำหรับการค้า ,  มีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตจากนายทะเบียน , มีและเสพยาเสพติดให้โทษประเภท 1(ยาบ้า) โดยผิดกฎหมาย พร้อมตรวจยึดอาวุธปืนดัดแปลงแบบออโตเมติกและลูกโม่ ลำกล้องขนาด 9 มม. , .38  ละ .380 จำนวน 8 กระบอก แม็กกาซีน 17 อัน กระสุนปืนขนาดต่างๆ รวมกว่า 140 นัด ยาบ้าจำนวน 8 เม็ด และอุปกรณ์พร้อมเครื่องมือที่ใช้ผลิตหรือดัดแปลงอาวุธปืนจำนวนมาก ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างขยายผลไปยังผู้เกี่ยวข้อง
    
พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ฯ กล่าวว่า สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ให้ความสำคัญในแก้ไขปัญหาอาชญากรรมอย่างจริงจังมาโดยตลอด โดยในห้วงที่ผ่านมามีการกระทำความผิดและใช้อาวุธปืนในการก่อเหตุอยู่บ่อยครั้ง ก่อให้เกิดความสูญเสียและความไม่ปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน จึงได้มีการแลกเปลี่ยนข้อมูลกันของหน่วยต่างๆ เพื่อบูรณาการกวาดล้างผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับอาวุธปืนพร้อมกันทั่วประเทศ สามารถจับกุมผู้กระทำความผิดได้เป็นจำนวนมาก เชื่อมั่นว่าจะทำให้ความรุนแรงของอาชญากรรมและการกระทำผิดกฎหมายลดลง
    
“การระดมกวาดล้างอาวุธปืนทั่วประเทศ จนสามารถจับกุมผู้ต้องหาและตรวจยึดอาวุธปืนจำนวนมากในครั้งนี้ นอกจากเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ร่วมกันปฏิบัติหน้าที่ทุกนายแล้ว ขอขอบคุณไปยังฝ่ายปกครอง และเครือข่ายภาคประชาชน ที่แจ้งข้อมูลผู้มีพฤติกรรมเกี่ยวข้องกับอาวุธปืนผิดกฎหมายให้เจ้าหน้าที่ตำรวจทราบ ซึ่งขณะนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจกำลังขยายผลไปยังผู้เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็นผู้ผลิต ดัดแปลง จำหน่าย และซื้ออาวุธปืน เพื่อสืบสวนจับกุมทั้งหมด ขอฝากประชาสัมพันธ์กับพี่น้องประชาชน ซึ่งหากมีเบาะแส/เรื่องร้องเรียน เกี่ยวกับเรื่องอาชญากรรม หรือเรื่องอื่นๆ สามารถแจ้งได้ที่ สายด่วน 191 หรือ สายด่วน 1599 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง ” พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ฯ กล่าว 

‘ช่อ พรรณิการ์’ เผย ทิศทางจัดตั้งรัฐบาลข้ามขั้ว ชี้ โหวตนายกฯ รอบต่อไป ‘เพื่อไทย’ รับแรงกดดันเต็มๆ

(22 ก.ค. 66) ผู้ใช้ TikTok บัญชี ‘missyoumt1368’ ได้โพสต์คลิปวิดีโอของ ‘ช่อ พรรณิการ์ วานิช’ ผู้ก่อตั้งคณะก้าวหน้า และผู้ช่วยหาเสียงพรรคก้าวไกล ได้ออกมาพูดถึงแนวโน้มทิศทางของการโหวตนายกฯ ครั้งต่อไป โดยในคลิประบุว่า…

“ถ้าก้าวไกลถอย เรื่อง ม.112 โดนด่านะคะ แต่จะรักษาพันธมิตร 8 พรรค และอาจจะมีบวกเพิ่มอีกสักพรรคสองพรรคเพื่อให้ได้คะแนนเสียงมากพอ แต่มันก็อาจจะเป็นรัฐบาลที่ไม่ได้ตรงกับความต้องการของประชาชนขนาดนั้น หากก้าวไกลไม่ยอมถอยเรื่อง ม.112 ยืนยันเดินหน้าต่อ ก็จะเข้าเกม ‘เขี่ยก้าวไกลพ้นจากสมการตั้งรัฐบาล’ พรรคเพื่อไทยจำเป็นที่จะต้องไปหาพรรคอื่นมาเติมให้เสียงครบ จะเป็นพรรคพลังประชารัฐหรือเปล่า? หรือพรรคภูมิใจไทย? ซึ่งทางนั้นก็คงแต่งตัวรออยู่แล้วอย่างแน่นอน นั่นคือภารกิจในการจัดตั้งรัฐบาลที่พลิกขั้วเปลี่ยนข้าง ซึ่งก็จะไม่ประสบความสำเร็จ เพราะการที่จะบอกว่า ตราบใดที่ไม่มีประยุทธ์ก็ถือว่าพลิกขั้วเปลี่ยนข้างสำเร็จแล้ว… เราอยู่กันมาขนาดนี้แล้ว เราจะไม่คิดแบบนั้นใช่ไหมคะทุกคน?

เพราะถึงอย่างไร ‘ประยุทธ์’ กับ ‘ประวิตร’ นั้น ไม่ได้มีความแตกต่างกันในระบอบปรสิตที่เกาะกินประเทศนี้อยู่ เพราะฉะนั้น ในช่วงสัปดาห์หน้าก่อนหน้าที่จะถึงวันโหวตนายกฯ ครั้งต่อไป คือในวันที่ 27 ก.ค. ทางพรรคเพื่อไทย ได้กล่าวในการแถลงว่า เขาจะปิดจ็อบให้ได้ในวันที่ 27 ก.ค. ประเทศรอช้ากว่านี้อีกไม่ได้แล้ว ซึ่งตรงนี้ทางเราก็เห็นด้วย หากต้องลากต่อไปเรื่อย ๆ มันก็คงจะยากอยู่ ตอนนี้ประเทศต้องมีรัฐบาลเข้ามาบริหาร แต่ถ้าจะปิดจ็อบเร็วขนาดนี้ หมายความว่า พรรคเพื่อไทยเองก็มีแรงกดดันสูงมากที่จะต้องตัดสินใจ ในการเลือกว่าตกลงจะเอาพรรคไหน ไม่เอาพรรคไหน ในการร่วมรัฐบาลและจัดตั้งรัฐบาลให้ประสบความสําเร็จภายในวันที่ 27 ก.ค.นี้ 

การตัดสินใจครั้งนี้ ใครจะเป็นผู้ออกปากในเรื่อง ม.112 ก้าวไกลจะถอยหรือจะไม่ถอยอย่างไร การถอยหรือไม่ถอยของก้าวไกลจะมีผลอย่างมีนัยสําคัญ ต่อการได้กลับมาหรือไม่ได้กลับมาเป็นรัฐบาลของพลเอกประวิตร และพรรคพลังประชารัฐ ทั้งหมดนี้เป็นสถานการณ์ที่ประชาชนจําเป็นต้องจับตาดูอย่างใกล้ชิด และอย่าลืมว่าสิ่งที่สำคัญที่สุด คือ ‘เสียงของประชาชน’ ต้องมีความหมาย สิ่งที่ถูกประกาศออกไปแล้วผ่านบัตรเลือกตั้ง คือ ประชาชนในประเทศนี้ต้องการ ‘การเปลี่ยนแปลง’ ต้องการพลิกขั้วเปลี่ยนข้างรัฐบาล และมีรัฐบาลชุดใหม่เข้ามาบริหารประเทศให้ได้ เราจะยังยืนยันคําเดิมว่า พรรคเพื่อไทย และพรรคก้าวไกล คือสิ่งที่ดีที่สุด คือส่วนผสมที่ดีที่สุดที่จะพาประเทศนี้เดินไปข้างหน้าต่อ แต่ส่วนผสมนี้ ในวันนี้ จะเกิดขึ้นได้จริงหรือไม่? และต้องเสียอะไรไปเพื่อให้ได้มันมา ต้องจ่ายอะไรไปเพื่อจะได้สิ่งนี้มา รอดู อีกไม่นานจะรู้ ว่าวันที่ 27 กรกฎาคม จะเกิดอะไรขึ้นที่รัฐสภา 

‘พิธา’ พร้อมด้วย ส.ส.ชลบุรี เดินสายขอบคุณประชาชน หลังเปิดทางให้ ‘เพื่อไทย’ เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล

(22 ก.ค. 66) นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล พร้อมด้วย ส.ส.ชลบุรี พรรคก้าวไกล ร่วมเดินสายขอบคุณประชาชน หลังจากพรรคก้าวไกลแถลงเปิดทางให้พรรคอันดับ 2 คือพรรคเพื่อไทยเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลของพันธมิตร 8 พรรคที่ได้เคยทำ MOU กันไว้ โดยวันนี้ได้เปิดเวทีปราศรัยสองจุด ที่หาดจอมเทียน เมืองพัทยา และที่อำเภอบ่อวิน มีประชาชนจำนวนมากเข้าร่วมฟังการปราศรัยและรอพบปะนายพิธา แม้จะมีสายฝนโปรยปรายลงมาอย่างต่อเนื่อง

ในช่วงหนึ่งของการปราศรัย นายพิธาระบุว่า ถึงแม้จะมีความพยายามเพื่อไม่ให้ตนเป็นนายกรัฐมนตรี แต่พวกเรายังหมดหวังไม่ได้ เมื่อทั้ง 8 พรรคร่วมจัดตั้งรัฐบาลต่างลงเรือลำเดียวกันแล้ว ก็จะต้องตั้งรัฐบาลของประชาชน ที่รักษาสัจจะที่เคยให้ไว้กับประชาชนให้ได้

เพราะฉะนั้น ตนจะไม่มีวันยอมแพ้ จะยุติการสืบทอดอำนาจของเผด็จการ แม้จะมีความพยายามสกัดกั้นขนาดไหนก็ต้องสู้ต่อ เมื่อบีบให้ตนต้องออกจากสภาตนก็จะมาอยู่กับประชาชน ตนและพรรคก้าวไกลจะขอยืนหยัดเพื่อประเทศไทยและขอทำงานเพื่อประชาชนต่อไป ให้สมกับความตั้งใจที่ประชาชนให้เรามา

นายพิธายังกล่าวต่อไปว่า วันนี้มีการเปรียบเหมือนทั้ง 8 พรรคอยู่บนเรือลำเดียวกัน เมื่อเรือกำลังรั่วอยู่ คำถามคือ จะให้มีคนเสียสละออกจากเรือหรือควรจะอยู่ซ่อมเรือด้วยกัน ขอเพียงทั้ง 8 พรรคที่ประชาชนเลือกมาจะช่วยกันซ่อมเรือ อุดรอยรั่ว ทำเรือให้แข็งแรง ขอเพียงทั้ง 8 พรรครักษาสัจจะที่ได้เคยให้สัญญากับประชาชนไว้ในวันที่มาขอคะแนนและความไว้วางใจจากประชาชน เรือก็จะถึงฝั่งได้

“มันไม่มีความหมายเลยหรือ ประชาชนไม่มีความหมายเลยหรือ แล้วจะเลือกตั้งกันไปทำไม ถ้าอย่างนั้นคุณชี้มาเลยคุณจะเอาใคร ใครจะถีบผมออกจากเรือผมไม่รู้ ผมบอกอย่างเดียวว่าผมไม่ยอม ถ้าเรือมันรั่วต้องช่วยกันซ่อม ไม่ใช่มาถีบเพื่อนออกจากเรือ และไม่ถีบประชาชนออกจากเรือด้วย ถ้า 25 ล้านเสียงสู้ 250 เสียงไม่ได้ก็ให้มันรู้ไป ใครจะปล่อยมือก้าวไกลปล่อยไป ขอเพียงพี่น้องประชาชนอย่าปล่อยมือก้าวไกลก็พอ” นายพิธา กล่าว

หลังการปราศรัยจบลง ประชาชนที่มาพบต่างตะโกนให้กำลังใจด้วยคำว่า “พิธาสู้ๆ” และ “นายกพิธา” ดังกึกก้องไปทั้งบริเวณ

‘ชลธี ธารทอง’ ศิลปินแห่งชาติ บรมครูเพลงลูกทุ่งไทย เสียชีวิตอย่างสงบ ในวัย 85 ปี วงการลูกทุ่งไทยร่วมอาลัย

เมื่อวันที่ 22 ก.ค. 66 หลังถูกส่งตัวแอดมิตเป็นการด่วน ตั้งแต่วันที่ 24 เม.ย.ที่ผ่านมา ล่าสุดมีรายงานว่าครูเพลงชื่อดัง ศิลปินแห่งชาติ ‘ชลธี ธารทอง’ ได้เสียชีวิตแล้วรวมอายุ 85 ปี ในเวลา 17.57 น. เมื่อวันที่ 21 ก.ค.66 โดยการแจ้งข่าวร้ายผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัวของ ‘ครูปุ้ม ศศิวิมล รัตนอำพันธุ์’ คู่ชีวิต

‘ชลธี ธารทอง’ มีชื่อจริงว่า ‘สมนึก ทองมา’ เกิดเมื่อ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2480 ที่จังหวัดชลบุรี เรียนชั้นประถม 1 ที่โรงเรียนวัดแก้วศิลาราม ที่ชลบุรี มาต่อชั้นประถม 4 ที่โรงเรียนวัดโคกขี้หนอน ที่ชลบุรี และจบการศึกษาชั้นมัธยมศึกษาจากโรงเรียนประชาสงเคราะห์ อำเภอพานทอง จังหวัดชลบุรี

ทั้งนี้ กว่าจะมาเป็นครูเพลงชื่อดังที่ได้รับการยอมรับนั้นเจ้าตัวผ่านการทำงานมาแล้วมากมาย ทั้งทำนา ทำไร่ ขุดดิน เผาถ่าน ช่างไม้ ก่อสร้าง นักมวย ลิเกนักพากย์หนัง หางเครื่อง กรรมกร นักร้องฯ

โดยครูชลธีนั้นมีความสนใจการร้องเพลงมาตั้งแต่เด็ก เคยอยู่กับวงดนตรีหลากหลายวง ทั้งวงรำวงดาวทอง, วงดนตรีของสุรพล สมบัติเจริญ​, วงเทียนชัย สมญาประเสริฐฯ

เจ้าตัวเริ่มฉายแววของการเป็นนักแต่งเพลงตั้งแต่เมื่อครั้งสมัครประกวดร้องเพลงที่จัดโดยวงรวมดาวกระจายของครูสำเนียง ม่วงทองโดยใช้เพลงที่แต่งขึ้นเอง ก่อนที่ครูสำเนียงจะรับให้มาอยู่ร่วมคณะพร้อมกับตั้งชื่อให้เขาว่า ‘ชลธี ธารทอง’

ที่ผ่านมาแม้จะมีโอกาสขึ้นเวทีในฐานะนักร้องและได้บันทึกเสียงรวม 4 เพลง แต่ไม่ประสบความสำเร็จ จนเจ้าตัวหันมาเอาดีในการแต่งเพลง โดยระหว่างที่อยู่วงรวมดาวนี้เขามีโอกาสได้แต่งเพลง ‘พอหรือยัง’ ให้ ‘ศรคีรี ศรีประจวบ’ ร้องจนประสบความสำเร็จ แต่กลับไม่มีใครเชื่อว่าเขาเป็นคนแต่ง

หลังถูกไล่ออกจากวง ได้มีนายทุนออกเงินตั้งวงให้ในชื่อ ‘สุรพัฒน์’ แต่ก็ไปไม่รอด ขณะที่เพลงของเขาก็ขายไม่ค่อยได้เพราะคนไม่รู้จักชื่อเสียง ก็พอดีกับศรคีรีมาขอให้ช่วยแต่งเพลงให้ แต่พอเขาแต่งเพลงชุดนั้นเสร็จ ศรคีรีก็มาประสบอุบัติเหตุเสียชีวิตเสียก่อน

ในขณะที่คิดจะหันหลังให้กับวงการ ครูชลธีบังเอิญไปพบกับเด็กล้างรถที่ปั้มน้ำมันแห่งหนึ่งแถวบุคคโล ซึ่งมีเสียงถูกใจ เขาจึงได้มอบเพลง 2 เพลงที่แต่งให้ศรคีรีกับเด็กคนนั้นไปโดยไม่คิดเงิน ก่อนที่เด็กคนนั้นจะมีชื่อเสียงโด่งดังจากเพลงของเขา อย่าง ‘ลูกสาวผู้การ’ และ ‘แหม่มปลาร้า’ ในนามของ ‘สายัณห์ สัญญา’

ทั้งนี้ จุดเด่นในการแต่งเพลงของครูชลธี ก็คือการเลือกสรรถ้อยคำในลักษณะของกวีนิพนธ์ มีการใช้ฉันทลักษณ์หลายรูปแบบ โดยผลงานของเจ้าตัวนั้นว่ากันว่ามีมากกว่าพันเพลง และสร้างชื่อเสียงให้กับนักร้องหลากลายคน ทั้ง ผ่องศรี วรนุช, ไพรวัลย์ ลูกเพชร, สายัณห์ สัญญา, ยอดรัก สลักใจ, ศรเพชร ศรสุพรรณ, สดใส รุ่งโพธิ์ทอง, เสรีย์ รุ่งสว่าง, เอกพจน์ วงศ์นาค, สุนารี ราชสีมา, จินตหรา พูนลาภ ฯลฯ ไม่ว่าจะเป็นเพลง ล่องเรือหารัก, ไอ้หนุ่มตังเก, พบรักปากน้ำโพ, ทหารอากาศขาดรัก, เทพธิดาผ้าซิ่น, หนุ่มทุ่งกระโจมทอง, เรียกพี่ได้ไหม, ไอ้หนุ่ม ต.ช.ด., แฟนฉันไม่ต้องหล่อ, จดหมายจากแม่ ฯลฯ

‘ครูชลธี ธารทอง’ ได้รับรางวัล ศิลปินแห่งชาติปี พ.ศ. 2542 ในสาขาศิลปะการแสดง อย่างไรก็ตาม ในช่วงหลังๆ นั้น เจ้าตัวต้องตกเป็นข่าวดังในเรื่องส่วนตัว แยกทางกับครูปุ้ม ถึงขั้นขึ้นโรงขึ้นศาลฟ้องร้องกัน ก่อนสุดท้ายกลับมาครองคู่กันอีกครั้งในบั้นปลายสุดท้ายของชีวิต

‘ม.เกษตร’ ออกแถลงการณ์ เห็นด้วยกับวิถีประชาธิปไตย แต่ไม่สนับสนุนการแสดงออกที่ไม่เคารพเกียรติ-สัญลักษณ์ชาติไทย

เมื่อวันที่ 22 ก.ค. 66 จากกรณีมีการชักธงดำขึ้นสู่ยอดเสาหน้าหอประชุมใหญ่มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ บางเขน เมื่อช่วงเย็นวันที่ 21 กรกฎาคมที่ผ่านมา โดยมีการทำกิจกรรมปราศรัยโจมตี ส.ว. ที่ไม่สนับสนุนนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล เป็นนายกรัฐมนตรี

ล่าสุดเพจเฟสบุ๊ก ‘มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์’ ได้ ออกแถลงการณ์ มีข้อความว่า…

“มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เห็นด้วยกับการแสดงออกในวิถีทางประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข เห็นชอบในความกลมกลืนบนความหลากหลายทางความคิด เพื่อความถูกต้องเหมาะสมตามแนวทางประชาธิปไตยแบบไทย

แต่ไม่เห็นด้วยกับการแสดงออกที่ไม่เคารพเกียรติและสัญลักษณ์ของประเทศชาติ ธงชาติไทยเป็นสัญลักษณ์ของประเทศไทย แสดงถึงเอกลักษณ์และศักดิ์ศรีในความเป็นไทย มีความหมายถึงความเป็นเอกราช สถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ เป็นความภาคภูมิใจของคนในชาติ ที่รักษาเอกราช มายั่งยืนถึงทุกวันนี้

ขอให้ทุกฝ่ายได้มีการแสดงออกในแนวทางที่ถูกต้องและเหมาะกับเกียรติภูมิของคนไทย เคารพกฎ ฟังความคิดเห็นของกันและกัน ปฏิบัติตามกติกา การอยู่ร่วมกันและเข้าใจความรู้สึกของคนในมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ของสังคม และของประเทศชาติ”

‘ดร.สุวินัย’ ยกท่อนต่อกลอนดังสวนกลับ หลัง ‘พิธา’ แซะพรรคร่วม ลั่น!! “คุณสร้างแต่ความเกลียดชัง คนอื่นเขาก็ชังน้ำหน้าคุณเช่นกัน”

(23 ก.ค. 66) รศ.ดร.สุวินัย ภรณวลัย อดีตอาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟสบุ๊กส่วนตัว ชื่อ ‘Suvinai Pornavalai’ กรณี นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ร่ายกลอนดัง ‘แล้วสอนว่าอย่าไว้ใจมนุษย์’ ของครูกวีไทยอย่างสุนทรภู่ ถึงพรรคร่วมรัฐบาล ขณะเดินทางไปเปิดงาน ‘สุราก้าวหน้า Festival 2’ ที่ตลาดดิโอโซน (ขนส่งใหม่ระยอง) หมู่ 4 ตำบลทับมา อำเภอเมือง จังหวัดระยอง โดยระบุว่า…

“พ่อส้มพูดไม่จบ 

กลอนบทนี้มีเนื้อหาต่อ คือ…

“มนุษย์นี้ที่รักอยู่สองสถาน
บิดามารดารักมักเป็นผล
ที่พึ่งหนึ่งพึ่งได้แต่กายตน
เกิดเป็นคนคิดเห็นจึงเจรจา
แม้นใครรักรักมั่งชังชังตอบ
ให้รอบคอบคิดอ่านนะหลานหนา
รู้อะไรไม่สู้รู้วิชา
รู้รักษาตัวรอดเป็นยอดดี”

ข้อแรก : พวกคุณเองหรือเปล่าที่ส่งเสริมค่านิยมเรื่อง พ่อแม่ไม่ได้มีบุญคุณ?
ข้อสอง : พวกคุณหรือเปล่าที่ไม่เคยคิดบอกสอนให้รู้จักพึ่งตนเอง แต่จะเอาสวัสดิการจากภาษี?
ข้อสาม : คนย่อมรู้จักเจรจา พวกคุณเจรจาเป็นไหม? คำตอบคือ ไม่!! เพราะพวกคุณเอาแต่ชี้หน้าด่าคนอื่นไปทั่ว ว่าทุกคนเลว พวกคุณดีคนเดียว แล้วใครจะอยากคบค้าสมาคมด้วยเล่า?
ข้อสี่ : คุณสร้างแต่ความเกลียดชัง คนอื่นเขาก็ชังน้ำหน้าคุณเช่นกัน
ข้อห้า : คุณไม่รู้วิชา แค่แผนการทำงานที่พูดออกมา ตลาดหุ้นก็ดิ่งลงเหว เพราะเขาไม่มั่นใจในความสามารถของพวกคุณ!!
ข้อสุดท้าย : พวกคุณไม่รู้รักษาตัวรอด แต่พรรคอื่น รู้!!

จบนะ"


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top