Saturday, 10 May 2025
NewsFeed

EA จับมือ กรมการแพทย์ ลุยโปรเจค Green Hospital ต้นแบบ นำยานยนต์ไฟฟ้าขับเคลื่อนขนส่งและบริการทางการแพทย์ ครบวงจร

บมจ.พลังงานบริสุทธิ์ (EA) จรดปากกาเซ็นเอ็มโอยูร่วมกับ “กรมการแพทย์” ลุยโปรเจคพัฒนาโรงพยาบาลตามแนวทาง Green and Clean Hospital ต้นแบบ พร้อมเดินหน้าผลิตไฟฟ้าด้วยพลังงานสะอาด ยกระดับด้วยระบบกักเก็บพลังงานที่มีประสิทธิภาพ พร้อมขับเคลื่อนการขนส่งและบริการทางการแพทย์ ด้วยยานยนต์ไฟฟ้าและสถานนีชาร์จด้วยจุดบริการที่ครอบคลุม กว่า 500 สถานีชาร์จ เล็งขยายสถานีฯ ตอบโจทย์แผนยุทธศาสตร์ EV แห่งชาติ สร้างความยั่งยืน-เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมของประเทศ กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข ร่วมกับ บริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จำกัด (มหาชน) (EA) ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ “โครงการพัฒนาโรงพยาบาลตามแนวทางการดำเนินงาน Green and Clean Hospital ต้นแบบ” โดยมี นายแพทย์ธงชัย กีรติหัตถยากร อธิบดีกรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข, นายสมโภชน์ อาหุนัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และนายอมร ทรัพย์ทวีกุล รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ผู้แทนจาก บริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จำกัด (มหาชน) (EA) ร่วมลงนาม

นายแพทย์ธงชัย กีรติหัตถยากร อธิบดีกรมการแพทย์ กล่าวว่า กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข มีโรงพยาบาล/สถาบันในสังกัดให้บริการรักษาโรคที่ยุ่งยากซับซ้อนแก่ประชาชน และมีการมุ่งมั่นพัฒนาการบริการรักษา รวมถึงบริการด้านอื่นๆ จึงมีความประสงค์จะร่วมกับหน่วยงานต่างๆ ศึกษา และพัฒนาระบบบริหารจัดการพลังงานสะอาดแบบบูรณาการที่เหมาะสมตามแนวทางการดำเนินงาน Green and Clean hospital ซึ่งเป็นการยกระดับให้หน่วยงานสาธารณสุขภายใต้กรมการแพทย์บริหารจัดการสิ่งแวดล้อมในโรงพยาบาล ตามมติคณะรัฐมนตรี วันที่ 22 มีนาคม 2565 เห็นชอบแนวทางประหยัดพลังงานโดยให้หน่วยงานภาครัฐลดการใช้ไฟฟ้าและน้ำมันเชื้อเพลิงลงร้อยละ 20 และเร่งผลักดันให้นำมาตรการด้านพลังงาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งให้หน่วยงานราชการเร่งดำเนินการติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ (solar rooftop) ในลักษณะร่วมมือกับภาคเอกชน เพื่อลดภาระการใช้จ่ายและเป็นแบบอย่างที่ดีให้แก่ภาคเอกชนและประชาชนต่อไป

กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วยบริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จำกัด ที่ให้ความร่วมมือในการที่จะคิดค้นและริเริ่ม ศึกษาพัฒนา สนับสนุน และแลกเปลี่ยนข้อมูลของโครงการฯ ทั้ง 3 ด้าน ดังนี้ ด้านที่ 1 ระบบผลิตไฟฟ้าด้วยเซลล์แสงอาทิตย์ (Solar) ด้านที่ 2 ระบบกักเก็บพลังงานเพื่อรองรับการใช้พลังงานไฟฟ้าของหน่วยงาน และด้านที่ 3 การพัฒนาดัดแปลงยานยนต์ไฟฟ้าสำหรับการให้บริการทางการแพทย์ในพื้นที่ต่างๆ โดยใช้หลักการความยั่งยืนและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมได้อย่างมีประสิทธิภาพและไม่ส่งผลกระทบต่อชุมชนโดยรอบ รวมถึงเป็นแบบอย่างที่ดีให้แก่ผู้มาใช้บริการในการรณรงค์และขยายผลสู่สังคมต่อไป

นายสมโภชน์ อาหุนัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จำกัด (มหาชน) (EA) เปิดเผยว่า บริษัทฯและบริษัทย่อยในกลุ่มพลังงานบริสุทธิ์ วางกลยุทธ์ด้าน EA Eco System เป็นแนวทางหลักในการขยายธุรกิจ และสร้างความโตที่แข็งแกร่ง ด้วยการผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าพลังงานสะอาดครบวงจร พัฒนาแบตเตอรี่และระบบกักเก็บพลังงานจากนวัตกรรม Amita Technology เชื่อมโยงสู่การให้บริการสถานีอัดประจุไฟฟ้า EA Anywhere รวมถึงพัฒนายานยนต์ไฟฟ้า ภายใต้แบรนด์ MINE Mobility ที่ตอบโจทย์ผู้ใช้งานที่หลากหลาย ตรงวัตถุประสงค์เป้าหมายของกลุ่มผู้ใช้งาน และมีระบบบริหารจัดการพลังงานที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน

เพื่อเป็นการยกระดับให้หน่วยงานสาธารณสุขภายใต้กรมการแพทย์บริหารจัดการสิ่งแวดล้อมในโรงพยาบาล โดยใช้หลักการความยั่งยืนและเป็นมิตรกับส่งแวดล้อมได้อย่างมีประสิทธิภาพ และไม่ส่งผลกระทบต่อชุมชนโดยรอบ รวมถึงเป็นแบบอย่างที่ดีให้แก่ผู้มาใช้บริการในการรณรงค์และขยายผลสู่สังคมได้ต่อไป EA จึงได้ร่วมกับ กรมการแพทย์ ลงนามบันทึกข้อตกลง ในการร่วมกันศึกษาและพัฒนาระบบการบริหารจัดการพลังงานสะอาดแบบบูรณาการที่เหมาะสม ตามแนวทางการดำเนินงาน Green and Clean Hospital ด้วยโรดแมปดังนี้

1. Renewable Power การพัฒนาและติดตั้ง ระบบ Solar System มุ่งเน้นผลิตไฟฟ้า ด้วยพลังงานสะอาด
2. Energy Storage System เพิ่มความมั่นคงด้านพลังงานให้มีเสถียรภาพ ด้วยระบบกักเก็บพลังงาน เทคโนโลยีจาก Amita Technology
3. EV & Charging Station การยกระดับขนส่งและการให้บริการทางการแพทย์ ด้วยยานยนต์ไฟฟ้าที่ออกแบบพิเศษสำหรับการบริการด้านสาธารณสุข พร้อมขยายสถานีอัดประจุไฟฟ้า EA Anywhere ครบคลุมเส้นทางการให้บริการ “มั่นใจว่าการเซ็นเอ็มโอยูในครั้งนี้ระหว่าง EA กับกรมการแพทย์ จะมีส่วนสำคัญในการสนับสนุนให้กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข ไปสู่เป้าหมาย Green and Clean Hospital ในอนาคต ช่วยลดต้นทุนค่าใช้จ่ายด้านพลังงาน ถือเป็นการมุ่งสู่พลังงานสะอาด ตอบโจทย์ความยั่งยืนเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม” นายสมโภชน์กล่าว

พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ฯ เปิดปฏิบัติการสั่งรวบหัวหน้าแกงค์ Outlaws พัทยา และ ดำเนินการทางกฏหมายกับสมาชิกที่มีความเกี่ยวข้องรายอื่นๆ

​จากกรณีเมื่อวันที่ 4 ก.ค.66 ที่ผ่านมา นายฮานส์ ปีเตอร์ มัค อายุ 62 ปี นักธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ชาวเยอรมันได้หายตัวไป ก่อนจะพบถูกฆ่าหั่นศพ ในพื้นที่ สภ.หนองปรือ ภ.จว.ชลบุรี ซึ่งเป็นคดีอุกฉกรรจ์สะเทือนขวัญซึ่งประชาชนและสื่อมวลชนให้ความสนใจเป็นอย่างมาก ต่อมาเจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถจับกุมตัวผู้ต้องหาที่ก่อเหตุในคดีดังกล่าวได้จำนวน 4 ราย หนึ่งในนั้นคือ นายโอลาฟ ชาวเยอรมัน ซึ่งเป็นสมาชิกของกลุ่ม OUTLAWS พัทยาอีกด้วย ตามที่นำเสนอไปแล้วนั้น

กรณีดังกล่าว พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. ได้สั่งการให้ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. สืบสวนขยายผลเกี่ยวกับกลุ่มดังกล่าวเพิ่มเติม พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ จึงได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ตำรวจ ภ.2 และ ภ.จว.ชลบุรี สืบสวนขยายผลเพิ่มเติม ให้ทราบรายละเอียดเกี่ยวกับกลุ่มดังกล่าว และหากพบมีส่วนเกี่ยวข้องกับการกระทำผิดกฎหมาย ให้ดำเนินการจับกุมดำเนินคดีทันที เพื่อเป็นการสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชนในพื้นที่ให้ได้รับความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน

จากการสืบสวนทราบว่า กลุ่มแก็งค์ดังกล่าว เป็นกลุ่มที่ชื่นชอบการขับรถจักรยานยนต์คันใหญ่ มีการรวมตัวกันจากบุคคลหลากหลายสัญชาติ และจะมีการเช่าสถานที่เพื่อใช้นัดรวมตัวกันทำกิจกรรมต่างๆ ซึ่งมีหลายจุดอยู่ในพื้นที่เมืองพัทยา จ.ชลบุรี ต่อมาเมื่อวันที่ 21 ก.ค.เจ้าหน้าที่ตำรวจสืบสวนตำรวจภูธรภาค 2, กองกำกับการสืบสวน กองบังคับการตรวจคนเข้าเมือง 3, ตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดชลบุรี, ตำรวจท่องเที่ยวชลบุรี, สภ.เมืองพัทยา, สภ.หนองปรือ, สภ.นาจอมเทียน และ นปส.พัทยา ได้ร่วมบูรณาการปิดล้อมตรวจค้นจุดต่างๆ ซึ่งมีความเกี่ยวข้องกับกลุ่ม OUTLAWS พัทยา ทั้งหมด 8 จุด ซึ่งมีเป้าหมายสำคัญคือ นาย THOMAS GINNER สัญชาติออสเตรีย โดยมีข้อมูลว่าบุคคลดังกล่าวแสดงตนเป็นหัวหน้ากลุ่ม OUTLAWS พัทยา พักอาศัยอยู่บ้านเลขที่ 55/57 Meadows ม.17 ต.หนองปรือ  อ.บางละมุง จ.ชลบุรี เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ตรวจค้นและตรวจยึดสิ่งของภายในบ้านหลังดังกล่าว เช่น รถจักรยานยนต์ ยี่ห้อ HARLEY DAVIDSON และ อุปกรณ์อื่นๆ ซึ่งมีความเกี่ยวโยงกับ OUTLAWS ภายในบ้านหลังดังกล่าว เพื่อนำมาตรวจสอบ ซึ่ง นาย THOMAS GINNER เอง รับว่าเป็นหัวหน้าแกงค์ OUTLAWS พัทยา จริง แต่ได้ถอนตัวแล้วนับแต่เกิดเหตุฆาตกรรม ซึ่งขณะเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าตรวจค้นบ้าน พบว่า นาย THOMAS GINNER เตรียเก็บของทำการย้ายหนี ต่อมาเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.เมืองพัทยา ได้ตรวจสอบข้อมูลของ นาย  THOMAS GINNER ยังพบอีกว่า มีหมายจับคดีร่วมกันฉ้อโกงประชาชนและนำเข้าข้อมูลในระบบคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จฯ ของ สภ.เมืองพัทยา  จึงได้จับกุมตัว นาย THOMAS GINNER ส่งพนักงานสอบสวน สภ.เมืองพัทยา เพื่อดำเนินคดีตามกฏหมายต่อไป
​ในส่วนของเป้าหมายอื่นๆ ในการปฏิบัติการครั้งนี้ มีผลการปฏิบัติดังนี้

​1.ตรวจค้นบ้านเลขที่ 21/204 หมู่บ้านโชคชัยการ์เด้นโฮม 2 ต.หนองปรือ อ.บางละมุง จ.ชลบุรี ซึ่งเป็นบ้านพักของ  นาย DANNY ROHDE สัญชาติเยอรมัน โดยมีการตรวจยึด รถจักรยานยนต์ ยี่ห้อยามาฮ่า รุ่น Z900 ทะเบียน 1 กญ 6335 กาฬสินธุ์ จำนวน 1 คัน อีกทั้งมีการตรวจสอบหาสารเสพติดในร่างกายซึ่งเบื้องต้นพบสารเสพติดในร่างกายของ นาย DANNY ROHDE โดยจะได้ดำเนินคดีตามกฏหมายต่อไป

​2. ตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดชลบุรี และ กองกำกับการสืบสวน กองบังคับการตรวจคนเข้าเมือง 3 ได้เพิกถอนการอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรของคนต่างด้าว ตาม พรบ.คนเข้าเมือง พ.ศ.2522  จำนวน 2 ราย ได้แก่ นาย DANIEL THOMAS  TOTH สัญชาติอเมริกัน และ นาย THEODOR MATIS สัญชาติสวิส เนื่องจากไม่ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขการอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักร
​3.เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ตรวจยึดรถจักรยานยนต์ มาเพื่อตรวจสอบเพิ่มเติม จำนวนทั้งสิ้น  4 คัน ดังนี้

​- รถจักรยายนต์ยี่ห้อ harley davidson รุ่น V rod muscle  ทะเบียน 2ขง-9776 กรุงเทพมหานคร
​- รถจักรยายนต์ยี่ห้อ  harley davidson รุ่น Roadking ปี09 ทะเบียน บกจ.-111 กรุงเทพมหานคร
​- รถจักรยายนต์ยี่ห้อ harley davidson รุ่น V rod custom ทะเบียน จธฉ-469 ชลบุรี
​- รถจักรยายนต์ยี่ห้อ harley davidson รุ่น Panamerica ทะเบียน 4ขก-7728 กรุงเทพมหานคร

พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ กล่าวว่า จากกรณีเคสฆ่าหั่นศพนักธุรกิจชาวเยอรมัน พบว่ามีการรวมกลุ่มกันของกลุ่มนอกกฎหมายซึ่งมีส่วนเกี่ยวข้องกับการกระทำผิดหลายประเภท เช่น ยาเสพติด การค้ามนุษย์ เป็นต้น เบื้องต้นได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ตำรวจ ภ.2, สตม. และท่องเที่ยว ร่วมกันตรวจสอบกลุ่ม OUTLAWS และกลุ่มแก็งค์อื่นๆ ที่มีความสุ่มเสี่ยงที่จะกระทำผิดในราชอาณาจักร สำหรับกลุ่ม OUTLAWS เบื้องต้นได้มีการจับกุมหัวหน้าแก๊งค์ซึ่งมีหมายจับคดีฉ้อโกงประชาชนของ สภ.เมืองพัทยา รวมทั้งสมาชิกที่มีความเกี่ยวข้องกับยาเสพติด และเพิกถอนวีซ่าของสมาชิกที่พบว่ามีความสุ่มเสี่ยงที่จะกระทำผิด จากนี้จะได้ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องตรวจตราและสอดส่องกลุ่มเหล่านี้ หากพบการกระทำผิดอื่นใด จะดำเนินคดีจนถึงที่สุด ขอฝากไปยังพี่น้องประชาชนและสื่อมวลชน หากพบการกระทำผิดของกลุ่มเหล่านี้ สามารถแจ้งเบาะแสได้ที่สถานีตำรวจใกล้บ้าน หรือตำรวจท่องเที่ยว 1155 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง

ผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารเรือเป็นประธานการประชุมเพื่อพิจารณาบรรจุทายาททดแทนให้ครอบครัวของกำลังพลที่เสียชีวิตและสูญหายจากการปฏิบัติหน้าที่

วันที่ 21 ก.ค.66 พล.ร.อ.สุวิน  แจ้งยอดสุข ผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารเรือและประธานคณะกรรมการพิจารณาได้รับสิทธิ์ในการบรรจุหรือแต่งตั้งทายาทของข้าราชการและทหารกองประจำการที่เสียชีวิต เนื่องจากการรบหรือการปฏิบัติหน้าที่ราชการ เป็นประธานการประชุมในการพิจารณาบรรจุทายาทฯ ครั้งที่ 3/2566 ณ ห้องประชุม ชั้น 5 กองบัญชาการกองทัพเรือ พื้นที่วังนันทอุทยาน เขตบางกอกน้อย กรุงเทพมหานคร

ในการนี้ผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารเรือขอให้คณะกรรมการฯ ติดตามความก้าวหน้า รวมทั้งให้หน่วยต้นสังกัดในฐานะตัวแทนกองทัพเรือติดต่อสอบถามครอบครัวของกำลังพลที่เสียชีวิตและสูญหายอย่างใกล้ชิด ให้สมกับที่กำลังพลเหล่านั้นได้เสียสละปฏิบัติหน้าที่เพื่อกองทัพเรือ ซึ่งการประชุมครั้งนี้คณะกรรมการฯ ได้พิจารณาบรรจุทายาททดแทน

กรณี ร.อ.สุราษฎร์  แสงไชศรี สังกัดหน่วยบัญชาการสงครามพิเศษทางเรือ กองเรือยุทธการ เสียชีวิตเนื่องจากปฏิบัติราชการในเวลาปกติ ได้พิจารณาเสนอบรรจุทายาทเข้ารับราชการอัตราสัญญาบัตร (เพิ่งจบการศึกษา)

ในส่วนของการติดตามการดำเนินการในส่วนที่ได้พิจารณาเห็นชอบบรรจุทายาททดแทนไปแล้ว ประกอบด้วย

1 กรณีเรือหลวงสุโขทัยอับปาง
ทายาทกำลังพลที่เสียชีวิต จำนวน 24 ราย
- บรรจุแล้ว 10 ราย (สัญญาบัตร 5 ราย , ประทวน 5 ราย)
- อยู่ระหว่างรวบรวมหลักฐานขออนุมัติบรรจุ 2 ราย
- ได้รับสิทธิ์บรรจุเมื่อสำเร็จการศึกษา 9 ราย
- สละสิทธิ์ 3 ราย

ทายาทกำลังพลที่สูญหาย จำนวน 5 ราย
- บรรจุแล้ว 2 ราย (สัญญาบัตร 1 ราย , ประทวน 1 ราย)
- ได้รับสิทธิ์บรรจุเมื่อสำเร็จการศึกษา 2 ราย
- สละสิทธิ์ 1 ราย

2 กรณี น.อ.สุทธิศักดิ์  ช่วยเมืองปักษ์ ช่วยปฏิบัติราชการหน่วยบัญชาการนาวิกโยธิน เสียชีวิตเนื่องจากปฏิบัติราชการชายแดน อยู่ในระหว่างการรวบรวมหลักฐานอนุมัติบรรจุทายาทเข้ารับราชการอัตราสัญญาบัตรเป็นไปตามเจตนารมณ์ของผู้บัญชาการทหารเรือที่ต้องการดูแลกำลังพลของกองทัพเรือ และครอบครัว ที่ได้ปฏิบัติหน้าที่เพื่อกองทัพเรืออย่างดีที่สุด

ผบ.ตร.มอบรางวัล “ทำดี มีรางวัล” ตำรวจเจรจาหญิงเตรียมกระโดดสะพานและนักเรียนพลเมืองดีช่วย CPR ผู้ป่วยหมดสติ

วันนี้ (21 ก.ค.66) เวลา 11.00 น. ที่ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ  พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. ได้มอบเกียรติบัตรโครงการ “ทำดี มีรางวัล” ให้แก่ข้าราชการตำรวจ 1 นาย และนักเรียนพลเมืองดี 1 คน จาก 2 เหตุการณ์ ดังนี้ 

เหตุการณ์แรก กรณี “ช่วยเหลือหญิงพยายามกระโดดสะพาน” ผู้ที่ทำความดี คือ ร.ต.ท.ธีรธัช บัวเผื่อน รองสารวัตรฝ่ายอำนวยการ 3 กองบังคับการอํานวยการ ตํารวจภูธรภาค 1 โดยเหตุการณ์เกิดเมื่อวันที่ 18 กรกฎาคม 2566 เวลาประมาณ 22.00 น. ขณะ ร.ต.ท.ธีรธัชฯ ขับรถยนต์ส่วนตัวกลับที่พัก ได้พบหญิงวัยกลางคนเดินอยู่ตามลำพัง มีลักษณะคล้ายจะกระโดดสะพานภูมิพล 1 จึงรีบลงจากรถเพื่อเข้าเจรจาให้ความช่วยเหลือ จนสามารถช่วยเหลือหญิงสาวดังกล่าวได้อย่างปลอดภัย นอกจากนี้ ช่วงกลางปี 2555 ร.ต.ท.ธีรธัชฯ ได้เคยให้ความช่วยเหลือผู้บาดเจ็บจากอุบัติเหตุรถเฉี่ยวชน จนประชาชนผู้พบเหตุได้บันทึกรูปภาพและเผยแพร่ในสังคมออนไลน์ ได้รับความชื่นชมจากประชาชนเป็นอย่างมาก

และเหตุการณ์ที่ 2 กรณี “นักเรียนพลเมืองดี ช่วย CPR ผู้ป่วยหมดสติ” ผู้ที่ทำความดี คือ น.ส.ประติภา ดีหามแห หรือ “น้องนุ่น” นักเรียนมัธยมศึกษาปีที่ 6/1 โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาพัฒนาการ (รัชดา) โดยเมื่อวันที่ 13 มิถุนายน 2566 เวลาประมาณ 18.30 น. ขณะที่ น.ส.ประติภาฯ เดินทางกลับบ้าน บริเวณ ซอย เจริญกรุง 24 แขวงตลาดน้อย เขตสัมพันธวงศ์ กทม. ได้พบชายกำลังช่วยเหลือผู้ป่วยนอนหมดสติอยู่เพียงลำพัง จึงได้รุดเข้าช่วยปฐมพยาบาลเบื้องต้น ด้วยการ CPR เพื่อฟื้นคืนชีพให้ผู้ที่หยุดหายใจหรือหัวใจหยุดเต้นกลับมามีชีพจรดั้งเดิม จนทีมแพทย์และทีมกู้ชีพเดินทางมาถึง และนำตัวผู้ป่วยส่งโรงพยาบาลเพื่อทำการรักษาต่อไป 

ผบ.ตร.กล่าวว่า “ตนขอชื่นชมในความกล้าหาญ ที่ควบคุมสถานการณ์ได้อย่างรวดเร็ว และทันท่วงทีตนจึงได้มอบใบประกาศเกียรติคุณและรางวัลตามโครงการ “ทำดี มีรางวัล” และเงินรางวัลคนละ 5,000 บาท เพื่อเป็นขวัญและกำลังใจเป็นแบบอย่างที่ดีแก่สังคม ซึ่งโครงการนี้เป็นโครงการที่จะมอบรางวัลให้กับข้าราชการตำรวจหรือประชาชนที่ปฏิบัติหน้าที่ดีเด่น ทำงานเชิงรุก เพื่อความสงบสุขของประชาชน ประกอบคุณงามความดี ช่วยเหลือประชาชน หรือทางราชการ ประพฤติตนดี คิดถึงประโยชน์ส่วนรวมและช่วยเหลือประชาชนจนเป็นที่ยอมรับต่อสังคม”

‘ระบบเกียรติยศ’ ระบบแห่งความซื่อสัตย์และศักดิ์ศรี เพื่อปลูกฝังการไว้วางใจซึ่งกันและกันแก่สังคม

ระบบเกียรติยศ (Honor system)
ระบบแห่งความซื่อสัตย์และศักดิ์ศรี อันแสดงถึงตัวตนและคุณค่าของบุคคล

‘ระบบเกียรติยศ’ หรือระบบของความไว้วางใจซึ่งกันและกัน เป็นระบบแห่งความซื่อสัตย์ อันเป็นวิธีดำเนินการต่าง ๆ ของความพยายามบนพื้นฐานของความไว้วางใจ เกียรติ และความซื่อสัตย์

ระบบเกียรติยศยังเป็นระบบที่ให้อิสระจากการตรวจสอบ เฝ้าดู หรือจับตามองตามจารีตประเพณีด้วยความเข้าใจที่ว่า ผู้ที่ได้รับการปฏิบัติจากระบบนี้จะถูกผูกมัดด้วยเกียรติของตน ที่จะต้องปฏิบัติตามกฎระเบียบ และจะไม่ใช้ความเชื่อใจที่มีไปในทิศทางที่ผิด

Thomas Jefferson
ประธานาธิบดีคนที่ 3 ของสหรัฐอเมริกา ถือเป็นหนึ่งในบิดาผู้ก่อตั้งสหรัฐฯ

ระบบเกียรติยศถูกนำมากล่าวถึงเป็นครั้งแรกในอเมริกาโดย ‘Thomas Jefferson’ ประธานาธิบดีคนที่ 3 ของสหรัฐอเมริกา ณ ‘College of William and Mary’ ซึ่งเป็นโรงเรียนเก่าของ Jefferson เอง

ในบางมหาวิทยาลัย ระบบเกียรติยศนิยมใช้ในการจัดการสอบโดยไม่มีผู้ควบคุม โดยทั่วไปแล้วนักเรียนจะถูกขอให้ลงนามในคำชี้แจงรหัสเกียรติยศที่ระบุว่า จะไม่โกงหรือใช้ทรัพยากรที่ไม่ได้รับอนุญาตในการทำข้อสอบ

นักศึกษาปีที่ 1 ของมหาวิทยาลัย Vanderbilt ปฏิญาณต่อรหัสเกียรติยศ

ตัวอย่างเช่น มหาวิทยาลัย Vanderbilt นักศึกษาที่ทำการสอบจะต้องลงนามและรวมคำปฏิญาณดังต่อไปนี้

“เพื่อเป็นเกียรติแก่ข้าพเจ้าในฐานะนักศึกษา ข้าพเจ้าไม่ได้ให้ หรือรับความช่วยเหลือในการสอบนี้”

นักศึกษาคนใดก็ตามที่ถูกจับได้ว่า ละเมิดรหัสเกียรติยศจะถูกส่งต่อไปยังสภาเกียรติยศ ซึ่งจะสอบสวนและกำหนดการลงโทษที่เหมาะสม ซึ่งมีตั้งแต่การไม่ผ่านหลักสูตรไปจนถึงการไล่ออกจากมหาวิทยาลัย

ป้ายจารึกแสดงถึงระบบเกียรติยศ ณ มหาวิทยาลัยแห่งเวอร์จิเนีย

‘มหาวิทยาลัยแห่งเวอร์จิเนีย’ นักศึกษาที่กำลังสอบจะต้องลงนามในคำปฏิญาณ ว่าจะไม่ให้หรือรับความช่วยเหลือ และมีบทลงโทษสำหรับการฝ่าฝืนรหัสเกียรติยศ คือ การไล่ออกจากมหาวิทยาลัย

‘มหาวิทยาลัย Texas A&M’ ยังมีระบบเกียรติยศ ซึ่งระบุว่า “Aggies (นักศึกษาของ ม.Texas A&M) จะไม่โกหก โกง หรือขโมย หรือยอมจำนนต่อผู้ที่ทำเช่นนั้น” ซึ่งแสดงไว้ที่จุดเริ่มต้นของการสอบทั้งหมด นักศึกษาคนใดที่ไม่ปฏิบัติตามรหัสจะถูกส่งต่อไปยังสภาเกียรติยศ เพื่อให้พวกเขาสามารถกำหนดความรุนแรงตามแต่ละกรณี และวิธีที่นักศึกษาควรถูกลงโทษหรือหากจำเป็นก็ให้ไล่ออก

นักศึกษาของมหาวิทยาลัยแห่งนอร์ธแคโรไลนา วิทยาเขต Chapel Hill ยังคงรักษาระบบเกียรติยศ โดยนักศึกษาจะต้องรักษาความซื่อตรงของมหาวิทยาลัย โดยให้คำมั่นว่าจะไม่โกง ขโมย หรือโกหก แตกต่างจากมหาวิทยาลัยแห่งเวอร์จิเนีย ระบบการให้เกียรติที่วิทยาเขต Chapel Hill อนุญาตให้มีการลงโทษที่แตกต่างกัน ตั้งแต่ภาคทัณฑ์ไปจนถึงการไล่ออก รหัสเกียรติยศแบบลงโทษเดียวมีอยู่ที่สถาบันการทหารเวอร์จิเนีย (VMI) ซึ่งพิธี ‘ตีกลองออก’ ยังคงดำเนินต่อไปเมื่อนักเรียนนายร้อยถูกไล่ออก

ระบบเกียรติยศถูกนำมาใช้ในธุรกิจเช่นกัน เครือซุปเปอร์มาร์เก็ตบางแห่ง อนุญาตให้ลูกค้าสแกนของชำของตนเองด้วยเครื่องอ่านบาร์โค้ดแบบพกพา ขณะวางสินค้าในรถเข็นของตนเอง ในขณะที่ระบบช่วยให้ลูกค้าสามารถใส่ของชำในถุงได้โดยไม่ต้องจ่ายเงิน และลูกค้าสามารถสุ่มตรวจสอบได้ ซุปเปอร์มาร์เก็ตที่เข้าร่วมได้รายงานว่า ระบบทดลองนี้ไม่ได้เพิ่มจำนวนการขโมยของในร้าน

ในบางประเทศ เกษตรกรทิ้งถุงผลิตผลข้างถนนนอกบ้าน โดยติดราคาไว้ให้ผู้สัญจรไปมาได้ซื้อด้วยการจ่ายเงิน โดยวางเงินสดไว้ในภาชนะ ในไอร์แลนด์ นิวซีแลนด์ ออสเตรเลีย และสหราชอาณาจักร เรียกสิ่งนี้ว่า ‘ระบบกล่องแห่งความซื่อสัตย์’ (The honesty box system) ในประเทศอื่น ๆ ร้านค้าไร้แคชเชียร์ขนาดเล็กเปิดดำเนินการอยู่ ซึ่งลูกค้าสามารถเข้าไปได้ รับสิ่งที่ต้องการ และชำระเงินในจุดชำระเงินไร้คน

ในระบบสาธารณสุข ช่วงการระบาดของ ‘COVID-19’ เนื่องจากผู้คนจำนวนมากที่ได้รับวัคซีนแล้ว ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคได้ออกคำแนะนำให้ผู้ที่ได้รับวัคซีนครบแล้ว ไม่ต้องสวมหน้ากากอนามัยอีกต่อไป หลายแห่งใช้ระบบเกียรติเพื่อเชื่อว่า ผู้ที่ไม่ได้รับการฉีดวัคซีนยังคงสวมหน้ากากอนามัย

 

มีข้อวิจารณ์เกี่ยวกับระบบเกียรติยศว่า ในการตัดสินใจจะปฏิบัติตามระบบเกียรติยศหรือไม่นั้น อาจเป็นเรื่องที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หากคนคนนั้นเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตนเหนือกว่าผลประโยชน์ของสถาบันที่พวกเขารับผิดชอบ สิ่งนี้สามารถนำไปสู่ผลกระทบเชิงลบในอนาคตต่อผลประโยชน์ส่วนตนของพวกเขา บ้างก็มีการวิพากษ์วิจารณ์ระบบการเกียรติยศว่า เป็นการส่งเสริมความเกียจคร้านและพฤติกรรมที่ไม่ดี บ้างก็เห็นว่า มันเป็นเรื่องความของขัดแย้งและเห็นต่างที่จะขอให้ผู้คนเชื่อฟังกฎหมาย หากกฎหมายไม่มีความชัดเจน

บ้านเรามีการนำระบบเกียรติยศมาใช้มากมายหลายมิติ อาทิ ระหว่างการระบาดของ COVID-19 มีการตั้ง ‘ตู้ปันสุข’ แจกจ่ายสิ่งของในหลาย ๆ สถานที่ ซึ่งมีทั้งคนที่ปฏิบัติตามระบบเกียรติยศ โดยหยิบเอาสิ่งของในตู้ไปใช้ตามความจำเป็น แต่หลาย ๆ คนก็กวาดข้าวของทีเดียวจนหมดตู้ เหตุการณ์แบบนี้ก็มีให้เห็นอยู่บ่อย ๆ

ในการสมัครงาน การสมัครเข้าสู่ตำแหน่งต่าง ๆ ทั้งทางอาชีพ การศึกษา การเมือง หรือทางสังคม ฯลฯ ของบ้านเรานั้น ได้มีการกำหนดคุณสมบัติของผู้สมัครเอาไว้อย่างชัดเจน แต่บ่อยครั้งที่การรับสมัครได้ยินยอมให้มีการสมัครโดยไม่มีการตรวจสอบคุณสมบัติของผู้สมัครอย่างละเอียดก่อน ด้วยความเชื่อใจและให้เกียรติ เพราะเชื่อว่า ผู้สมัครนั้นเป็นผู้ที่มีเกียรติ ศักดิ์ศรี และความซื่อสัตย์ เป็นไปตามระบบเกียรติยศ แต่ปรากฏว่ายังมีคนหลาย ๆ คนที่ไม่ปฏิบัติตาม เมื่อถูกตรวจสอบหรือความจริงปรากฏจนกลายเป็นข่าว กลับไม่ยอมรับความผิด อ้างเหตุผลข้าง ๆ คู ๆ เพียงเพื่อประโยชน์ของตนเอง ระบบเกียรติยศจึงใช้ได้เฉพาะสังคมที่ผู้คนเป็นคนดี มีคุณธรรม และมีศีลธรรมเท่านั้น

เรื่อง : ดร.ปุณกฤษ ลลิตธนมงคล
ที่ปรึกษาด้านการบริหารจัดการสมัยใหม่ อาจารย์พิเศษหลักสูตรปริญญาโทและเอก นักเล่าเรื่องมากมายในหลากหลายมิติ เป็นผู้ที่ชื่นชมสนใจในประวัติศาสตร์สงครามสมัยใหม่ตลอดจนอาวุธยุทโธปกรณ์ต่างๆ

‘หนึ่ง iMoD’ ประสบอุบัติเหตุเสียชีวิตในวัย 30 ปี ลูกเพจร่วมอาลัยกับการจากไปอย่างกะทันหัน

(22 ก.ค. 66) หนึ่ง iMoD อินฟลูเอนเซอร์ดังด้านไอที ถูกรถชนเสียชีวิตในวัย 30 ปี แฟนเพจร่วมอาลัยกับการจากไปอย่างกะทันหัน

เฟซบุ๊ก iMoD เพจด้านไอทีชื่อดัง โพสต์แจ้งข่าวเศร้าว่า หนึ่ง iMoD หรือ นายเกียรติศักดิ์ มูลรินทร์ อินฟลูเอนเซอร์วัย 30 ปี เสียชีวิตจากอุบัติเหตุถูกรถชนเมื่อเช้าวันพฤหัสบดีที่ 20 ก.ค. โดยระบุว่า

เป็นเรื่องที่เศร้าใจเป็นอย่างมากที่ต้องเรียนให้ทุกท่านได้ทราบถึงข่าวการจากไปอย่างกะทันหันของ Keattisak Moonrin หรือ หนึ่ง iMoD จากอุบัติเหตุทางถนนเมื่อเช้าวันนี้ 20 ก.ค. 2566 ที่ผ่านมา

หนึ่งเป็นคนน่ารัก นิสัยดี ดูแลน้อง ๆ และเป็นห่วงน้อง ๆ อยู่เสมอ ใครที่ได้ดูคลิปของหนึ่งอาจจะเห็นว่าเป็นคนพูดเก่ง แต่จริง ๆ แล้วหนึ่งเป็นคนเรียบร้อยมากมีความเคารพนอบน้อมและพูดจาไพเราะเสมอ วันนี้หนึ่งจากไปแล้ว ขอให้หนึ่งไปอยู่ในที่ที่สวยงาม มีท้องฟ้าสวย ๆ มีน้องแมวน่ารักรายล้อม หนึ่งจะอยู่ในใจน้อง ๆ และพวกเราชาว iMoD ตลอดไป

ขอเรียนเชิญเพื่อน พี่น้องหรือแฟนเพจที่อยากร่วมส่งหนึ่งเป็นครั้งสุดท้าย มาร่วมพิธีการสวดพระอภิธรรมซึ่งจะจัดขึ้นวันที่ 22 - 24 ก.ค. และพิธีฌาปนากิจ 25 ก.ค. 2566 นี้ ณ วัดป่าแพ่ง ถนน เมืองสมุทร ตำบล ช้างม่อย อำเภอเมืองเชียงใหม่ เชียงใหม่

สำหรับ หนึ่ง iMod เป็นหนึ่งในอินฟลูเอนเซอร์และพิธีกรของช่อง iMod มีชื่อเสียงจากการทำรีวิวเทคโนโลยีและไอที ทั้งรถยนต์ไฟฟ้า, มือถือ รวมถึง Gadget ต่าง ๆ จนมีผู้ติดตามจำนวนมาก ซึ่งหลังทราบข่าวก็ทำให้ผู้ที่ติดตามผลงานรวมถึงเพื่อน ๆ ต่างร่วมเข้ามาแสดงความอาลัย หลายคนใจหายกับการจากไปอย่างกะทันหันเช่นนี้

'นักศึกษา มธ.' จี้!! คณบดีคณะนิติศาสตร์ มธ. เบรก!! มือชี้ขาดชะตา 'พิธา' ห้ามมาเป็น อ.สอนพิเศษ

เมื่อวานนี้ (21 ก.ค. 66) จากกรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญมีมติเอกฉันท์รับคำร้องกรณีที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ขอให้วินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 82 ว่าสมาชิกภาพ ส.ส.ของ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีและหัวหน้าพรรคก้าวไกล สิ้นสุดตามรัฐธรรมนูญมาตรา 101 (6) ประกอบมาตรา 98 (3) หรือไม่ จากที่มีชื่อถือครองหุ้นบริษัท ไอทีวี จำกัด (มหาชน) จำนวน 42,000 หุ้น โดยมีมติ 7 ต่อ 2 เสียง สั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่ ส.ส.ตั้งแต่วันที่ 19 กรกฎาคม 2566 จนกว่าศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำวินิจฉัย

สำหรับ ตุลาการเสียงข้างน้อย 2 เสียง ในกรณีให้นายพิธาหยุดปฏิบัติหน้าที่ ส.ส.หรือไม่นั้น ประกอบด้วย นายนภดล เทพพิทักษ์ กับ นายบรรจงศักดิ์ วงศ์ปราชญ์

ขณะที่ ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญที่มีมติเสียงข้างมาก ให้หยุดปฏิบัติหน้าที่ ได้แก่ นายวรวิทย์ กังศศิเทียม, นายนครินทร์ เมฆไตรรัตน์, นายปัญญา อุดชาชน, นายอุดม สิทธิวิรัชธรรม, นายวิรุฬห์ แสงเทียน, นายจิรนิติ หะวานนท์ และ นายอุดม รัฐอมฤต

ล่าสุด สภานักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต และ คณะกรรมการนักศึกษาคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต มีจดหมายเปิดผนึกถึง คณบดีคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ลงวันที่ 21 กรกฎาคม 2566 ขอให้ยุติการเชิญ นายอุดม รัฐอมฤต มาปฏิบัติหน้าที่เป็นอาจารย์พิเศษ

‘เพชร กรุณพล’ ลั่น!! ถ้าสุดโต่งแล้วเจริญ แล้วไม่อยากสุดโต่งกันเหรอ

เมื่อวานนี้ (21 ก.ค. 66) ‘เพชร’ หรือนายกรุณพล เทียนสุวรรณ นักแสดง และพิธีกร และนักการเมืองในสังกัดพรรคก้าวไกล กล่าวถึงความสุดโต่งของพรรคก้าวไกล เช่น 'ยกเลิกเกณฑ์ทหาร-ม.112' ระหว่างออกรายการ 'แฉ' โดยระบุว่า…

“สุดโต่งแล้วเจริญแบบ อังกฤษ, ญี่ปุ่น, สวีเดน, เดนมาร์ก ไม่อยากสุดโต่งกันเหรอ คิดว่าเราเร็วเกินไปหรือช้าเกินไป”

>> สามารถติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://vt.tiktok.com/ZSLmWRh2m/ 

‘เจ้าหน้าที่’ ฝ่ากระแสน้ำเจ้าพระยา ดำลึก 8 เมตร ค้นหา ‘ไอโฟน’ หลังได้รับเหตุขอความช่วยเหลือ งมหาจนเจอ!! ยังใช้งานได้ปกติ

เมื่อวานนี้ (21 ก.ค. 66) เวลาประมาณ 18.00 น. เจ้าหน้าที่ชุดประดาน้ำของมูลนิธิร่วมกตัญญู ได้รับแจ้งเหตุขอความช่วยเหลือจาก น.ส.น้ำ อายุ 38 ปี หลังทำโทรศัพท์มือถือยี่ห้อไอโฟน รุ่น 12 โปรแม็กซ์ ตกลงไปในแม่น้ำเจ้าพระยา บริเวณโป๊ะท่าน้ำของอุทยานเฉลิมกาญจนาภิเษก ต.บางศรีเมือง อ.เมือง จ.นนทบุรี

ในที่เกิดเหตุพบ น.ส.น้ำ ชี้จุดที่ทำโทรศัพท์ตกลงไปบริเวณข้างโป๊ะพอดี ชุดประดาน้ำลงน้ำค้นหาโดยใช้เวลาเพียง 20 นาที ก็พบกับโทรศัพท์จมอยู่ในแม่น้ำ โดยที่เครื่องยังมีแสงไฟและสามารถใช้งานได้ตามปกติ ก่อนจะส่งมอบคืนให้กับ น.ส.น้ำ

น.ส.น้ำ กล่าวว่า ขณะที่ตนกำลังนั่งให้อาหารปลาอยู่ โดยถือโทรศัพท์มือถือไว้ด้วย ก่อนทำโทรศัพท์หลุดมือตกลงไปในแม่น้ำ รู้สึกตกใจมากจนคิดว่าอาจจะไม่ได้โทรศัพท์เครื่องนี้กลับคืน เนื่องจากกระแสน้ำค่อนข้างแรง แต่เจ้าหน้าที่มาช่วยดำน้ำค้นหาจนเจอ ตนดีใจมากเพราะซื้อโทรศัพท์เครื่องนี้มาในราคาเกือบ 50,000 บาท ตั้งแต่เริ่มเปิดวางจำหน่าย

ด้านนายฉัตรชัย แหวนทองคำ ทีมเจ้าหน้าที่ชุดประดาน้ำของมูลนิธิร่วมกตัญญู รหัสบางรัก 28 กล่าวว่า การค้นหาโทรศัพท์มือถือที่ตกลงไปในแม่น้ำตรงจุดนี้มีอุปสรรคนิดหน่อย คือจุดที่ตกซึ่งเป็นหน้าโป๊ะมีความลึกประมาณ 8-9 เมตร และมีกระแสน้ำที่ค่อนข้างแรง เกรงว่ากระแสน้ำจะพัดโทรศัพท์ออกไปไกลจากจุดที่ตก แต่สุดท้ายก็สามารถดำน้ำงมจนเจอห่างจากจุดที่ตกออกไปประมาณ 3 เมตร

นายฉัตรชัย กล่าวต่อว่า ขอแจ้งไปยังประชาชนที่เดือดร้อนและต้องการขอความช่วยเหลือกับมูลนิธิร่วมกตัญญูในการช่วยค้นหาสิ่งของมีค่าต่างๆ ทางมูลนิธิยินดีช่วยเหลือให้ฟรี ไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆ ทั้งสิ้น สามารถติดต่อได้ที่ทางมูลนิธิร่วมกตัญญู โทร.02-751-0951-3 หรือทางเพจเฟซบุ๊ก นทีคลับ ชุดกู้ภัยทางน้ำ มูลนิธิร่วมกตัญญู

'รัฐบาล' เผยครึ่งปีแรก 66 มูลค่าการลงทุนต่างชาติแตะห้าหมื่นล้าน ส่วนตลาดรถยนต์ไฟฟ้าเติบโตกว่า 3 เท่า จากยอดปี 65 ทั้งปี

(22 ก.ค. 66) น.ส.รัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า จากการที่รัฐบาลได้ผลักดันและส่งเสริมการลงทุนอย่างจริงจัง ทำให้ใน 6 เดือนแรกของปี 2566 มีผู้สนใจเข้าลงทุนในประเทศเพิ่มต่อเนื่อง และได้มีการอนุญาตให้คนต่างชาติเข้ามาลงทุนประกอบธุรกิจในประเทศไทย เพิ่มขึ้นร้อยละ 15 เมื่อเปรียบเทียบช่วงเวลาเดียวกันปี 2565 โดยอยู่ที่จำนวน 326 ราย รวมมูลค่าการลงทุนทั้งสิ้น 48,927 ล้านบาท สร้างการจ้างงาน 3,222 คน นักลงทุน 5 อันดับแรก ได้แก่ 1.ญี่ปุ่น 74 ราย เงินลงทุน 17,527 ล้านบาท 2.สหรัฐอเมริกา 59 ราย เงินลงทุน 2,913 ล้านบาท 3. สิงคโปร์ 53 ราย เงินลงทุน 6,916 ล้านบาท 4.จีน 24 ราย เงินลงทุน 11,505 ล้านบาท และ 5. สมาพันธรัฐสวิส 14 ราย เงินลงทุน 1,857 ล้านบาท สำหรับการลงทุนจากชาติอื่น ๆ มีจำนวน 102 ราย เงินลงทุน 8,209 ล้านบาท 

ทั้งนี้ ธุรกิจส่วนใหญ่สอดคล้องกับการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ นโยบายการส่งเสริมการลงทุน เพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของประเทศ รวมถึงมีการถ่ายทอดเทคโนโลยี และองค์ความรู้เฉพาะด้านโดยตรงให้แก่คนไทย เช่น องค์ความรู้เกี่ยวกับการควบคุมแรงดันหลุมขุดเจาะปิโตรเลียม ขั้นตอนดำเนินการขุดสถานีใต้ดิน การออกแบบระบบไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ในโครงการรถไฟฟ้า การผลิตไฟฟ้าจากพลังงานลม เป็นต้น

นอกจากนี้ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวอีกว่า ความพยายามของรัฐบาลในการมุ่งส่งเสริมการลงทุนที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะเทคโนโลยียานยนต์รูปแบบใหม่ อย่างอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า (EV) ซึ่งปัจจุบันตลาดรถยนต์ไฟฟ้าของประเทศไทยมีอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ในช่วงครึ่งปีแรก (เดือนมกราคม-มิถุนายน) ยอดจดทะเบียนรถยนต์ไฟฟ้าในไทยมีมากถึง 31,738 คัน โดยมากกว่าถึง 3 เท่าของจำนวนทั้งหมดในปี 2565 

และจากรายงานของ China Association of Automobile Manufacturers (CAAM) พบว่า ไทยถือเป็น 1 ใน 3 ประเทศ ผู้นำเข้ารถยนต์ไฟฟ้าจากจีนมากที่สุด เนื่องจากผู้บริโภคมีความเข้าใจเกี่ยวกับเทคโนโลยีรูปแบบใหม่มากขึ้น ประกอบกับภาครัฐได้มีการออกมาตรการสนับสนุนให้มีการใช้รถยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทย ซึ่งเอื้อประโยชน์ให้กับผู้บริโภค รวมถึงมีมาตรการจูงใจให้นักลงทุนสามารถขยายธุรกิจ และใช้ไทยเป็นฐานในการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าและชิ้นส่วนในภูมิภาค โดยเมื่อวันที่ 11 ก.ค.ที่ผ่านมา คณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน หรือ BOI ได้เปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการชิ้นส่วนอุตสาหกรรมในประเทศไทยที่มีศักยภาพ เข้าร่วมการเจรจาธุรกิจกับบริษัทผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าจากจีนอย่างบริษัท BYD ซึ่งมีแผนลงทุนตั้งโรงงานผลิตรถยนต์ของ BYD แห่งแรกในภูมิภาคอาเซียนที่ไทย นับเป็นการเชื่อมโยงธุรกิจระหว่างบริษัทผลิตรถยนต์โลกกับผู้ผลิตชิ้นส่วนในประเทศ เพื่อทำให้เกิดการพัฒนาห่วงโซ่อุปทาน และเป็นการสร้างโอกาสให้ผู้ผลิตในไทยได้มีส่วนร่วมอยู่ในซัพพลายเชนระดับโลก

“นายกรัฐมนตรีให้ความสำคัญกับการลงทุนในเทคโนโลยีและนวัตกรรมที่ส่งเสริมการพัฒนาทางด้านโครงสร้างพื้นฐาน และเพิ่มความสามารถในการแข่งขันให้ประเทศไทย มาอย่างต่อเนื่อง โดยประเทศไทยนับได้ว่ามีศักยภาพและความได้เปรียบที่ดึงดูดนักลงทุนต่างชาติ รวมทั้ง มีกระบวนการผลิตที่มีคุณภาพสูงตามมาตรฐานสากล มีข้อได้เปรียบทางภูมิศาสตร์ที่เป็นประโยชน์กับการค้าการลงทุน ซึ่งเมื่อประกอบกับนโยบายของไทยที่เป็นไปตามวิสัยทัศน์ของนายกรัฐมนตรี ตอบรับความท้าทายระดับโลก เช่น ความท้าทายด้านสิ่งแวดล้อม พลังงานสะอาด ทำให้ประเทศไทยได้รับความสนใจอย่างต่อเนื่อง” น.ส.รัชดากล่าว


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top