Sunday, 11 May 2025
NewsFeed

‘น้องปาล์มมี่’ ช่วยแม่ขาย ‘น้ำลำไย’ เมนูคลายร้อนสุดฮิต ใช้ลำไยวันละ 70 กิโล ขายได้ 400 แก้ว สร้างรายได้ละวันหมื่น!!

ขนมาเท่าไรก็ขายหมด!! น้อง ม.6 ช่วยแม่หาเงิน ขายน้ำลำไย สร้างรายได้หลักหมื่นต่อวัน!!
ช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา น้ำลำไย ถือเป็นเมนูคลายร้อนที่ได้รับความนิยมและยังฮอตฮิตไม่สร่าง กลายเป็นอาชีพ ขายน้ำลำไย ที่สร้างรายได้ได้ดีอาชีพหนึ่งเลยทีเดียว

เมื่อไม่นานนี้ ‘น้องปาล์มมี่’ น.ส.อภิสรา โกมลวัฒนะ สาวน้อยวัย 18 ปี จากโรงเรียนสาธิต “พิบูลบำเพ็ญ” มหาวิทยาลัยบูรพา ผู้ใช้เวลาว่างจากการเรียน มาขายน้ำลำไยในตลาดนัดกับครอบครัว ทำยอดขายต่อวันหลักหมื่น!!

น้องปาล์มมี่ เล่าว่า ปัจจุบันตนเรียนอยู่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 สายวิทย์-คณิต ที่โรงเรียนสาธิตพิบูลบำเพ็ญ มหาวิทยาลัยบูรพา โดยตั้งใจจะสอบเข้าในคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ เพราะชอบวาดรูป นอกจากเรียน-ติวหนังสือ และซ้อมวอลเลย์บอลแล้ว เมื่อมีเวลาว่างก็ไปช่วยแม่ขายน้ำพริกไข่ปูที่ตลาดนัดเป็นปกติอยู่แล้ว

กระทั่งช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมากระแสของ น้ำลำไย ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก น้องปาล์มมี่จึงนำไอเดียที่ได้เห็นไปพูดคุยกับคุณแม่และคนที่บ้าน

“ปกติคุณแม่ขายน้ำพริกไข่ปูอยู่ที่ตลาดนัดอยู่แล้วค่ะ แล้วหนูเป็นคนชอบเล่นโซเชียล ก็ไปเห็นว่า ช่วงนี้คนเขานิยมน้ำลำไยกัน ใน TikTok นี่ดังมาก เลยเอาไปให้แม่ดูและคุยกันว่า มาลองทำกินทำขายดีไหม เพราะหนูก็อยากกินด้วย แล้วถ้าทำขายมันก็น่าจะรุ่งนะ เพราะในตลาดนัดที่แม่ขายอยู่ ณ ตอนนั้น ยังไม่มีร้านน้ำลำไยขายเลย พอคุยกันเสร็จแม่ก็บอกลองดูก็ได้ เขาก็อยากหาอะไรใหม่ๆ มาขายเหมือนกัน เพราะน้ำพริกไข่ปูมันก็ไม่ได้ขายดีเหมือนเมื่อก่อนแล้ว ก็เลยเปิดเน็ตดูว่าคนอื่นๆ เขาทำน้ำลำไยกันยังไง ให้พ่อให้พี่ให้น้องช่วยกันชิม ช่วยกันทำช่วยกันปรับสูตร ใช้เวลา 1 อาทิตย์ค่ะ ก็ได้สูตรที่ลงตัว ก็ไปขายกับแม่ที่ตลาดนัดเลย ตอนนี้ก็เปิดมาได้ 5 เดือนแล้วค่ะ” น้องปาล์มมี่ กล่าว

โดยร้านน้ำลำไยของน้องปาล์มมี่ ใช้ลำไยสายพันธุ์พวงทองในการทำ เพราะน้องบอกว่า ลำไยพันธุ์นี้รสชาติหวานและหอมกว่าพันธุ์อื่นๆ

“วันแรกที่ขายเลย เตรียมลำไยไปแค่ 10 กิโลเท่านั้นค่ะ ออกจากบ้านตั้งร้านบ่าย 2 โมง ประมาณ 5 โมงก็ขายหมดแล้วค่ะ มันเกินคาด เพราะหนูกับแม่ไปตั้งร้านเร็วด้วย ก็จะได้ลูกค้ากลุ่มแม่ค้าพ่อค้าที่เขามาตั้งร้านกันมาซื้อเป็นกลุ่มแรกๆ วันต่อๆ ไปก็เตรียมของเพิ่มขึ้นทีละนิดๆ จนปัจจุบัน ใช้ลำไยประมาณวันละ 70 กิโลค่ะ หนูขายแก้วละ 40 บาท ถ้าใส่ขวดหรือถุงก็ 50 บาท มันก็ขายได้ประมาณ 300-400 แก้วต่อวัน” น้องปาล์มมี่ กล่าว

ในเรื่องการลงทุน น้องปาล์มมี่ บอกว่า ส่วนนี้น้องไม่ทราบตัวเลขแน่ชัด เพราะคุณแม่เป็นคนจัดการทั้งหมด และได้บอกมาว่า ใน 1 วันที่ลงทุนซื้อของทำน้ำลำไย ลงทุนในเรื่อง ลำไย 70 กก. x 150 บาท น้ำตาล 600 บาท เตย 120 บาท ถุงแก้ว สติกเกอร์ 500 บาท และ น้ำแข็ง ประมาณ 1,000 บาท

“จริงๆ มันก็รู้สึกเหนื่อยนะคะ แต่ว่ามันสนุก เพราะเวลาไปตั้งร้านขาย เพื่อนๆ ก็จะแวะมาหากันเยอะ แต่ถ้าเรียนเสร็จกลับบ้านมาเฉยๆ มันก็เบื่อค่ะ” น้องปาล์มมี่ กล่าว

นอกจากกิจการน้ำลำไยที่ทำอยู่ น้องปาล์มมี่ยังเผยอีกว่า คุณแม่ได้ทดลองทำน้ำลำไยที่ผสมใบเตยลงไป เพื่อเป็นทางเลือกใหม่ให้ลูกค้า อีกทั้งยังมีแพลนจะต่อยอดทำเป็นรถ Food Truck เพื่อเปิดเป็นร้านสาขา 2 ด้วย

พิกัดร้าน น้ำลำไยสด ของน้องปาล์มมี่อยู่ที่ ตลาดโต้รุ่ง จังหวัดชลบุรี หรือสอบถามได้ที่เบอร์ 095-141-6428

IMD’ ขยับขีดความสามารถแข่งขันไทยดีขึ้น 3 อันดับอยู่ที่ 30 จาก 64

IMD’ ขยับขีดความสามารถแข่งขันไทยดีขึ้น 3 อันดับอยู่ที่ 30 จาก 64 เขตเศรษฐกิจทั่วโลก ชี้คะแนนหลายด้านดีขึ้นทั้งสมรรถนะเศรษฐกิจ ประสิทธิภาพภาครัฐ - ธุรกิจ และโครงสร้างพื้นฐาน

สมาคมการจัดการธุรกิจแห่งประเทศไทย หรือ ‘TMA’ ได้เผยผลการจัดอันดับความสามารถในการแข่งขันของประเทศจาก World Competitiveness Center ของ International Institute for Management Development หรือ ‘IMD’ สวิตเซอร์แลนด์ ประจำปี 2566 ไทยปรับอันดับดีขึ้น 3 อันดับจากปีที่แล้ว มาอยู่ที่อันดับ 30 จาก 64 เขตเศรษฐกิจในปีนี้ 

ทั้งนี้เมื่อพิจารณาปัจจัย 4 ด้านที่ใช้ในการจัดอันดับ ไทยมีขีดความสามารถในการแข่งขันดีขึ้นจากปีที่แล้วในทุกด้าน ได้แก่
    
1.) สมรรถนะทางเศรษฐกิจ (Economic Performance) : ภาพรวมอันดับดีขึ้นจากปี 2565 ถึง 18 อันดับ มาอยู่ที่อันดับ 16 ในปี 2566 สาเหตุหลักจากปัจจัยย่อยการลงทุนระหว่างประเทศ (International Investment) ที่ไทยอันดับดีขึ้นจากปีก่อนถึง 11 อันดับ และการค้าระหว่างประเทศ (International Trade) ที่ไทยอันดับดีขึ้นถึง 8 อันดับ จากปีก่อน 

2.) ประสิทธิภาพของภาครัฐ (Government Efficiency) : อันดับดีขึ้นจากปี 2565 ถึง 7 อันดับ มาอยู่ที่อันดับ 24 ในปี 2566 สาเหตุหลักจากปัจจัยย่อยกรอบการบริหารภาครัฐ (Institutional Framework) และกฎหมายธุรกิจ (Business Legislation) ที่ทั้ง 2 ปัจจัยย่อยนี้ ไทยอันดับดีขึ้นจากปีก่อนถึง 7 อันดับ

3.) ประสิทธิภาพของภาคธุรกิจ (Business Efficiency) : ภาพรวมอันดับดีขึ้นจากปี 2565 ถึง 7 อันดับ มาอยู่ที่อันดับ 23 ในปี 2566 สาเหตุหลักจากปัจจัยย่อยผลิตภาพและประสิทธิภาพ (Productivity & Efficiency) ที่ไทยอันดับดีขึ้นจากปีก่อนถึง 9 อันดับ

4.) โครงสร้างพื้นฐาน (Infrastructure) : อันดับดีขึ้น 1 อันดับ จากปี 2565 มาอยู่ที่อันดับ 43 ในปี 2566 สาเหตุหลักจากปัจจัยย่อยโครงสร้างด้านเทคโนโลยี (Technological Infrastructure) ที่ไทยอันดับดีขึ้นจากปีก่อนถึง 9 อันดับ

โดยเมื่อเทียบกับในอาเซียนไทยอยู่อันดับที่ 3 รองจากสิงคโปร์ ที่อยู่อันดับ 4 และมาเลเซีย อยู่อันดับที่ 27 ของโลก
 

เข้ารอบ Final Pitching  โครงการ Content Lab โปรแกรม “ดิจิทัลคอนเทนต์”

บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ประกาศรายชื่อ 7 ทีม ผ่านเข้ารอบ Final Pitching โครงการ Content Lab สร้างสรรค์คอนเทนต์ไทย ดันไกลสู่สากล ในโปรแกรม “ดิจิทัลคอนเทนต์ (Digital Content)” สนับสนุนรวมกว่า 150,000 บาท/ทีม และเงินรางวัลสำหรับทีมที่ชนะในรอบ Final Pitching มูลค่ารวม 150,000 บาท พร้อมเปิดโอกาสนำเสนอโครงการให้กับผู้เชี่ยวชาญ และองค์กรชั้นนำของเมืองไทย หวังต่อยอด สร้างสรรค์ และ ประชาสัมพันธ์ผลงานในระดับสากล
นายชาญ กุลภัทรนิรันดร์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่พัฒนาธุรกิจใหม่ บริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า...

ปตท. ได้ปรับการดำเนินงานให้สอดรับกับการเปลี่ยนแปลงในปัจจุบัน โดยมุ่งสร้างความมั่นคงทางพลังงาน ควบคู่กับการต่อยอดธุรกิจใหม่ที่นอกเหนือจากด้านพลังงาน พร้อมเป็นแรงสำคัญขับเคลื่อนอุตสาหกรรมของประเทศ โดยได้มีการสนับสนุนการพัฒนาอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ ซึ่งเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมเป้าหมายที่ทั้งภาครัฐและเอกชนเล็งเห็นถึงโอกาสและศักยภาพที่ช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจและยกระดับคุณภาพชีวิตของคนไทย

ทั้งนี้ ปตท. ร่วมกับ สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (องค์การมหาชน) หรือ CEA ในการเปิดคอร์สอบรมพัฒนาทักษะ สำหรับนักสร้างสรรค์คอนเทนต์ ภายใต้ “โครงการ Content Lab สร้างสรรค์คอนเทนต์ไทย ดันไกลสู่สากล” ในโปรแกรมดิจิทัลคอนเทนต์ (Digital Content) สำหรับนักสร้างสรรค์คอนเทนต์ นักเรียน นักศึกษา และบุคคลทั่วไป ได้มีโอกาสเรียนรู้การใช้เทคโนโลยีประกอบการสร้างสรรค์ผลงาน พร้อมเรียนรู้ทักษะการใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่อย่างเข้มข้นจากผู้เชี่ยวชาญในแต่ละสาขา ทั้ง Virtual Production, AR/XR, AR location base, CG, 3D Model ฯลฯ

ผู้เข้าร่วมโครงการทั้งหมด 13 ทีม ได้นำความรู้และประสบการณ์มานำเสนอ Proposal ครั้งที่ 1 ภายใต้หัวข้อ “Meaningful Travel” ส่งเสริมการท่องเที่ยวไทยพร้อมสร้างประสบการณ์ใหม่  แบ่งเป็น 3 หมวด ได้แก่ หมวด Location Base & Platform หมวด Game และหมวด Film & Advertising

ทั้งนี้ มีการคัดเลือก 7 ทีม ผ่านเข้ารอบการนำเสนอสุดท้าย (Final Pitching Day) ผู้ที่ผ่านการคัดเลือกจะได้รับการสนับสนุนการผลิตชิ้นงาน จาก บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) และ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เพื่อเตรียมนำเสนอผลงานสุดท้ายต่อคณะกรรมการผู้เชี่ยวชาญ และตัวแทนจากองค์กรชั้นนำของเมืองไทยในวัน Final Product Pitching  วันที่ 26 สิงหาคมนี้ โดยจะมีคัดเลือกผลงานสุดท้ายที่จะได้รับเงินรางวัล พร้อมการประชาสัมพันธ์สู่สาธารณะ หวังต่อยอดและสร้างสรรค์ผลงานในระดับสากล ซึ่งถือเป็นซอฟท์พาวเวอร์ (Soft Power) ที่สำคัญ ให้ประเทศไทยเป็นจุดหมายปลายทางการท่องเที่ยวที่มีคุณค่าควบคู่กับการสร้างมาตรฐานความยั่งยืน

ทีมที่ผ่านการเข้ารอบ ได้แก่
• หมวด Location Base & Platform  
1. ทีมที่ 6 Travel Platform & Virtual Influencer 
2. ทีมที่ 11 Thailand Culture Guide (สายมู) 
3. ทีมที่ 14 Foodscape

• หมวด Game 
1. ทีมที่ 8 Muay Thai VR Game 
2. ทีมที่ 10 Survive the Streets

• หมวด Film & Advertising 
1. ทีมที่ 1 Thatien 
2. ทีมที่ 3 One free day

ผู้ที่สนใจสามารถติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ Facebook : Content Lab และ Creative Economy Agency

‘Digital Baht’ สกุลเงินดิจิทัลแห่งโลกอนาคต โมเดลจากจีน พัฒนาเพื่อความก้าวหน้า หรือใช้เป็นเครื่องมือควบคุมคน?

เมื่อวันที่ 20 มิ.ย. 66 นายวิชัย กัมบีร์ หรือ ‘โค้ชโรมมี่’ ได้พูดถึงเรื่อง ‘สกุลเงินดิจิทัล’ หรือ ‘Central Bank Digital Currency’ ผ่านช่องติ๊กต็อกชื่อ ‘rommie.v’ โดยระบุว่า…

ในอนาคต หลายประเทศทั่วโลกกำลังพยายามทำตามประเทศจีน คือการทำสกุลเงินดิจิทัลของธนาคารกลาง หรือที่เขาเรียกกันว่า ‘Central Bank Digital Currency’ หรือที่ประเทศไทยอาจจะเรียกว่า ‘Digital Baht’ คือการที่สกุลเงินดิจิทัลถูกออกโดยธนาคารกลาง (รัฐบาล) แทนที่จะออกโดยธนาคารพาณิชย์ ซึ่งจะถูกทำให้เป็นออนไลน์ทั้งหมด สิ่งนี้อาจทำให้เกิดความสะดวกสบายมากยิ่งขึ้น แต่ในขณะเดียวกันก็เป็นเหมือนกับเครื่องมือในการควบคุมคน

ทำไมถึงเป็นอย่างนั้น? ลองมาคิดกันดูว่า เมื่อรัฐบาลเป็นผู้ออกสกุลเงินแบบเบ็ดเสร็จ หากคุณทำตามคำสั่งรัฐบาล รัฐบาลก็จะอนุมัติเงินให้คุณโดยง่าย แต่ถ้าหากวันใดวันหนึ่งคุณไม่ทำตาม หรือฝ่าฝืนคำสั่งรัฐบาลเพียงเพราะคุณไม่เห็นด้วยในทางการเมือง หรือเรื่องใดๆ ของรัฐบาลขึ้นมา รัฐบาลก็อาจจะขัดขวาง และไม่อนุมัติการออกเงินดิจิทัลให้คุณ แม้ว่าคุณจะไม่ได้เป็นคนผิดก็ตาม ซึ่งนี่คือสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ในประเทศจีน ณ ขณะนี้

“สิ่งที่ผมต้องการจะสื่อก็คือ ทุกอย่างมีข้อดีและข้อเสีย ดังนั้น เราไม่ควรที่จะไว้ใจให้ใครคนใดคนหนึ่งมากำหนดชะตาชีวิต โดยเฉพาะการมากำหนดว่า เราสามารถใช้เงินกับเรื่องใดได้ หรือไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลใดก็ตาม” โค้ชโรมมี่ กล่าว
 

พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ฯ แถลงผลความคืบหน้าการขยายผลคดีเว็บพนันออนไลน์ ดำเนินคดีนายตำรวจใหญ่เป็นนายทุนเบื้องหลัง

จากกรณีเมื่อวันที่ 6 ก.พ. 66 กรณีนายเชิดเกียรติ ศักดิ์ศรี อายุ 24 ปี ผู้เสียหายได้มาร้องขอความเป็นธรรมต่อ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. กรณีถูกกลุ่มผู้ต้องหาจำนวน 7 คน อุ้มจากที่พักย่านลาดพร้าว กรุงเทพฯ ไปทำร้ายร่างกายและทวงเงิน และได้เอาทรัพย์สินของผู้เสียหายเป็นเงินสด โทรศัพท์มือถือและแทปเล็ต รวมมูลค่าประมาณ 100,000 บาท

โดยมูลหนี้มีความเกี่ยวข้องกับการลักลอบเปิดเว็บพนันออนไลน์ เหตุเกิดเมื่อวันที่ 12 ม.ค.66 ในพื้นที่ สน.โชคชัย ซึ่งสามารถจับกุมผู้ต้องหาที่ก่อเหตุได้ครบทั้ง 7 คน รวมทั้งยังดำเนินคดีกับเจ้าหน้าที่รัฐที่ให้ความช่วยเหลือในการค้นข้อมูลทะเบียนราษฎร์ของผู้เสียหายส่งให้กลุ่มผู้ก่อเหตุอีก 1 ราย ตามที่สื่อมวลชนและโซเชียลมีเดียได้นำเสนอไปแล้วนั้น 

กรณีดังกล่าว พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่สืบสวนเร่งดำเนินการสืบสวนขยายผลจับกุมผู้ที่เกี่ยวข้องกับเว็บพนันดังกล่าวด้วย เนื่องจากผู้เสียหายให้ข้อมูลว่า เว็บพนันดังกล่าวมีนายตำรวจเกี่ยวข้องอยู่เบื้องหลังด้วย โดยให้ดำเนินการสืบสวนความเชื่อมโยงและไล่เส้นเงินจากผู้เกี่ยวข้อง และดำเนินคดีโดยเด็ดขาดทั้งหมด

เบื้องต้นในส่วนของคดีปล้นทรัพย์นั้น ได้สรุปสำนวนฟ้องเสนอพนักงานอัยการแล้ว คดีอยู่ในชั้นศาล และในส่วนของสำนวนคดี ป.ป.ช.ซึ่งดำเนินคดีกับเจ้าหน้าที่รัฐที่ค้นข้อมูลทะเบียนราษฎร์นั้น ป.ป.ช.ได้พิจารณาชี้มูลความผิดและส่งให้ ภ.จว.สระแก้ว ดำเนินการตามกฎหมายแล้ว 

เจ้าหน้าที่ชุดสืบสวนได้ดำเนินการตรวจสอบเส้นทางการเงินจากกลุ่มผู้ต้องหาดังกล่าวพบว่า เว็บไซต์การพนันที่เกี่ยวข้องมี 3 เว็บไซต์ ได้แก่ sexy789 red789 และ blue789 โดยมีการแบ่งหน้าที่กันทำอย่างชัดเจนในการเป็นแอดมิน และการจัดหาบัญชีม้า เจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถรวบรวมพยานหลักฐานและดำเนินคดีกับผู้ต้องหาได้เพิ่มเติมจำนวน 9 ราย โดยได้จับกุมและแจ้งข้อกล่าวครบแล้วทั้งหมด

ประกอบด้วย
1. พล.ต.ต.เอกภพ อายุ 52 ปี (เจ้าของเว็บ)
2. พ.ต.อ.ปวริศ  อายุ 41 ปี (จัดหาบัญชีม้า)
3. น.ส.พัชวัญญ์ อายุ 39 ปี (ซุปเปอร์แอดมิน)
4. นายมนตรี   อายุ 39 ปี (ซุปเปอร์แอดมิน)
5. น.ส.อมรรัตน์   อายุ 26 ปี (จัดหาบัญชีม้า)
6. นายสนธิ์  อายุ 57 ปี (บัญชีม้า)
7. นางวันเพ็ญ   อายุ 59 ปี (บัญชีม้า)
8. นายคมเดช   อายุ 32 ปี (บัญชีม้า)
9. น.ส.กนกวรรณ อายุ 37 ปี (บัญชีม้า)

โดยจะดำเนินคดีในความผิดฐาน ร่วมกันจัดให้มีการเล่น หรือทำอุบายล่อ ช่วยประกาศโฆษณาหรือชักชวนโดยทางตรงหรือทางอ้อมให้ผู้อื่นเข้าเล่นหรือเข้าพนันในการเล่นพนันทางสื่ออิเล็กทรอนิกส์โดยมิได้รับอนุญาตจากเจ้าพนักงาน และสมคบโดยการตกลงกันตั้งแต่สองคนขึ้นไปเพื่อกระทำความผิดฐานฟอกเงิน

และได้มีการกระทำความผิดฐานฟอกเงินเพราะเหตุที่ได้มีการสมคบกันโดยการโอน รับโอน หรือเปลี่ยนสภาพทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดเพื่อซุกซ่อนหรือปกปิดแหล่งที่ของทรัพย์สินนั้นหรือกระทำด้วยประการใดๆเพื่อปกปิดหรืออำพรางลักษณะที่แท้จริงการได้มา แหล่งที่ตั้ง การจำหน่าย การโอน การได้สิทธิใดๆ ซึ่งทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิด ได้มา ครอบครอง หรือใช้ทรัพย์สิน โดยรู้ว่าในขณะได้มา ครอบครอง หรือใช้ทรัพย์สินนั้นว่าเป็นทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิด และร่วมกันฟอกเงิน นอกจากนี้ยังได้ส่งเรื่องให้ทาง ป.ป.ง. ทราบและพิจารณาดำเนินการในการตรวจสอบทรัพย์สินเพื่อยึดอายัดในขั้นต่อไปแล้ว

พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ฯ กล่าวว่า หลังจากที่ได้มีการจับกุมกลุ่มผู้ต้องหาทั้ง 6 คนที่ได้ก่อเหตุอุกฉกรรจ์ในการอุ้มผู้เสียหายเพื่อนำไปทวงเงินได้แล้วนั้น เจ้าหน้าที่สืบสวนได้มีการขยายผลดำเนินคดีกับเว็บไซต์การพนันออนไลน์ที่เกี่ยวข้องกับคดีดังกล่าวด้วย โดยได้ข้อมูลจากผู้เสียหายว่า มีนายตำรวจอยู่เบื้องหลังการดำเนินการดังกล่าว

จึงได้กำชับเจ้าหน้าที่สืบสวนและพนักงานสอบสวน ให้มีการรวบรวมพยานหลักฐานโดยละเอียด และให้นำตัวผู้ที่เกี่ยวข้องมาดำเนินคดีทุกราย แม้จะเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจยศใดก็ตาม ทั้งนี้ขอยืนยันว่า จะมีการดำเนินคดีกับผู้ต้องหาครบทุกคน ไม่มียกเว้นแน่นอน

พระเมธีวชิโรดม (ว.วชิรเมธี) ให้แง่คิด คติสอนใจ เรื่องการมองเห็นคุณค่าของชีวิต

“ดินก้อนหนึ่ง จะมีคุณค่ามากหรือน้อย ขึ้นอยู่กับใครเป็นคนปั้น เพราะฉะนั้น ขอให้เราแต่ละคนจงเพียรปั้นดินแห่งชีวิตของตัวเองให้ดี ให้งดงาม ให้มีคุณค่า ให้สมกับที่ได้เกิดมาเป็นคนกับเขาชาติหนึ่ง”
 

‘เชาว์’ สะกิตใจสมาชิก ‘ปชป.’ ร่วมปฏิรูปพรรคครั้งใหญ่  ลั่น!! ถึงเวลา ‘ถอย’ เพื่อ ‘ถอด’ บทเรียน และก้าวไปข้างหน้า

‘สัจจัง เว อัมตะ วาจา’... วาจาจริงเป็นสิ่งไม่ตาย นายเชาว์ มีขวด อดีตรองโฆษกรัฐบาล ได้หยิบยกเอาคำขวัญของพรรคประชาธิปัตย์มาสะท้อนการเมืองภายในพรรคประชาธิปัตย์ในสถานการณ์เปลี่ยนผ่านจากยุคตกต่ำที่สุดที่คณะกรรมการบริหารพรรค คนของพรรคจะต้องรักษาคำพูด รับผิดชอบต่อคำพูดที่ให้ไว้กับประชาชน โดยได้โพสต์ข้อความลงเฟซบุ๊ก เป็นเครื่องสะกิดเตือนในชาวประชาธิปัตย์ไว้อย่างน่าสนใจยิ่งเรื่อง ถึงชาวพรรคประชาธิปัตย์ ได้เวลาถอยเพื่อถอดบทเรียน มีเนื้อหาระบุว่า…

ตนเขียนจดหมายเปิดผนึกฉบับนี้ในฐานะสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ ท่ามกลางวิกฤติความตกต่ำของพรรคอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน กระทั่งการเลือกตั้งใหญ่ที่ผ่านมาพรรคได้ ส.ส.มาเพียง 25 คน จนนำไปสู่การ แสดงความรับผิดชอบต่อผลการเลือกตั้งด้วยการลาออก จากตำแหน่งหัวหน้าพรรคของ นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์ ส่งผลให้กรรมการบริหารพรรค ต้องพ้นตำแหน่งไปโดยปริยายด้วย

“ผมเชื่อว่าหลายคน ทั้งที่เป็นสมาชิกพรรคและไม่ได้เป็นสมาชิกพรรค คงจับตาดูว่า ก้าวต่อไปของประชาธิปัตย์จะเดินไปทิศทางไหน เพราะ 78 ปี บนเส้นทางการเมือง และการต่อสู้ตามระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข เราผ่านร้อนผ่านหนาว ผ่านมรสุมมาหลายครั้ง แต่ไม่มีครั้งไหนที่รุนแรงเท่านี้ เพราะต้องยอมรับความจริงว่า ความตกต่ำของพรรคที่เกิดขึ้น ไม่ใช่เพียงแค่เรื่องถูกดิสรัปจากการสื่อสารสมัยใหม่ ที่ถูกนำมาใช้ในทางการเมืองเท่านั้น อุดมการณ์การเมือง ซึ่งเคยเป็นจุดแข็งที่สุดของพรรคก็ถูกตั้งคำถามอย่างมาก นับจากที่ประชุมพรรคตัดสินใจมีมติร่วมรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา สวนทางกับคำมั่นที่อดีตหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ให้ไว้กับประชาชน จนท่านอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ต้องลาออกจาก ส.ส.เพื่อรักษาจุดยืนทางการเมือง

ผมยังจำคำพูดวันนั้นของท่านอภิสิทธิ์ได้ดี ท่านบอกว่า “ยิ่งใหญ่กว่ามติพรรค คือ สัญญาประชาคมที่ให้ไว้กับพี่น้องประชาชนทั้งประเทศ” ท่านบอกด้วยว่า ในวันนั้นท่านเหลือทางเดียวที่จะรักษาเกียรติภูมิไม่เฉพาะตัวเอง แต่เป็นเกียรติภูมิของตำแหน่งหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ พรรคที่มีคำขวัญว่า สจฺ จํ เว อมตา วาจา ที่จะต้องรักษาคำพูด และรับผิดชอบกับคำพูดที่กล่าวไว้กับพี่น้องประชาชน” นายเชาว์ ระบุ

อดีตรองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ ระบุต่อไปว่า ที่เท้าความไปไกล เพื่อตอกย้ำว่า ถึงเวลาที่สมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ทั่วประเทศ ต้องเข้ามามีส่วนร่วมกับการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของพรรค เราไม่เหมือนพรรคเฉพาะกิจ ที่ตั้งขึ้นมาแล้วก็ดับสูญไปตามตัวบุคคล แต่ประชาธิปัตย์ เป็นไม้ใหญ่ที่ให้ร่มเงา เป็นที่พักพิงให้ประชาชนมาเนิ่นนาน เราจะกลับไปอยู่ในจุดที่ประชาชนศรัทธาไว้วางใจอีกครั้งได้อย่างไร ในสถานการณ์ ที่เรากำลังขาดบุคลากรที่โดดเด่น บวกกับสถานการณ์การเมืองที่เปลี่ยนไป จำเป็นต้องเฟ้นหาผู้นำทางที่มีประสบการณ์ มีความรู้ความสามารถ ที่สำคัญต้องมากบารมี บททดสอบนี้จึงไม่ใช่แค่ ส.ส.เท่านั้นที่จะเป็นผู้กำหนดชะตากรรมของพรรค ซึ่งผมทราบมาว่า วันที่ 21 มิถุนายนนี้ กรรมการบริหารพรรคจะมีประชุมเพื่อกำหนดวันเลือกตั้งผู้บริหารชุดใหม่ ซึ่งคาดว่าจะเป็นวันที่ 9 กรกฎาคม 2566

“น่าแปลกใจที่ทั้งพรรคเต็มไปด้วยความเงียบงัน ไม่มีการเปิดตัวผู้อาสามาเป็นหัวหน้าพรรคหรือเลขาธิการพรรคคนใหม่ ไม่มีการรณรงค์หาเสียงเหมือนอดีตที่ผ่านมาที่เราเคยเป็นต้นแบบระบบประชาธิปไตยภายในพรรค มีการแข่งขันกันอย่างเสรีเหมือนทุกครั้ง แต่กลับมีกระแสเล็ดลอดซุบซิบในในวงแคบ ๆ ว่า มีการ ล็อกสเปก บุคคลที่จะมาเป็นหัวหน้าพรรคและกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่ไว้แล้ว โดยกลุ่มอดีตผู้บริหารที่กุมเสียงว่าที่ ส.ส.ชุดปัจจุบันได้กว่า 17 คน ซึ่งตามข้อบังคับพรรคจะให้น้ำหนักโหวต ถึง 70 เปอร์เซ็นต์ โดยมีเป้าต้องการที่จะร่วมรัฐบาล ตนทราบมาว่าหลายคนอึดอัดกับท่าที ที่กำลังเป็นอยู่ในพรรคประชาธิปัตย์ขณะนี้ เพราะทุกคนอยากเห็นการเปลี่ยนแปลงภายในพรรคเสมือนการปฏิรูปพรรคครั้งใหญ่ เป็นการถอยเพื่อถอดบทเรียน รับฟังเสียงจากสมาชิกส่วนใหญ่ให้มีส่วนร่วมด้วย ครั้งนี้จึงเป็นโอกาสสุดท้ายที่ควรกระทำ เพราะถ้าหวังร่วมรัฐบาลเพียงอย่างเดียวโดยไม่สนใจรักษาจุดยืนของพรรค การเลือกตั้งครั้งต่อไปเราอาจจะไม่มีที่ยืนในสภาฯ แม้แต่ที่เดียว” นายเชาว์ ระบุทิ้งท้าย

อุดมการณ์ 10 ข้อของพรรคประชาธิปัตย์ ที่ใช้มาตั้งแต่ยุคก่อตั้งพรรคสมัยนายควง อภัยวงศ์ เมื่อ 78 ปีทีีผ่านมา ชาวประชาธิปัตย์ต้องหยิบขึ้นมาพิจารณาไตร่ตรอง โดยเฉพาะ 3 ข้อสำคัญ ต่อต้านเผด็จการ ไม่ทุจริตคอรัปชั่น และกระจายอำนาจ

การตัดสินใจโดยมติพรรคนำประชาธิปัตย์เข้าร่วมรัฐบาลกับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นจุดเริ่มต้นของความเสื่อมถอยของประชาธิปัตย์หรือไม่ สังคมภายนอกมองว่า ‘กอดขาเผด็จการ ร่วมรัฐบาล’ โดยลืมวาจา ลืมคำพูดที่ให้ไว้กับประชาชน

ถ้าชาวประชาธิปัตย์ยอมรับความจริง สิ่งที่เชาร์นำเสนอมานั่นคือความจริง ถ้าชาวประชาธิปัตย์หวังจะนำพาพรรคให้ฟื้นกลับคืนมาเฟื้องฟูอีกครั้ง จะต้องนั่งลงตรึกตรอง สุมหัวคิดถอดบทเรียนจากอดีตที่ผ่านมา เพื่อหาทางออกร่วมกันภายใต้การมีส่วนร่วมของชาวประชาธิปัตย์ทั่วประเทศ ไม่ใช่สุมหัวคิด ล็อคสเปกผู้นำพรรคที่กระสันต์อย่างเป็นรัฐบาล โดยไม่ใส่ใจต่อสภาพของพรรค และอนาคตของพรรค เชื่อว่า ถ้าประชาธิปัตย์ยังเดินไปภายใต้การกุมบังเหียนของคนบางกลุ่มจากขั้วอำนาจเก่า ล็อคสเปกผู้นำพรรคตามที่เชาร์ให้ข้อมูลมา ยิ่งจะทำให้ประชาธิปัตย์ตกต่ำลงไปอีก และการเลือกตั้งครั้งหน้าอาจจะเป็นพรรคต่ำสิบ และอนาคตจะไม่มีที่ยืน ไม่แตกต่างจากพรรคกิจสังคม พรรคความหวังใหม่ ที่เคยยิ่งใหญ่ แต่ถึงเวลาก็ดับสลายไป

แต่ความเป็นสถาบันทางการเมืองของประชาธิปัตย์ ที่สืบทอดเจตนารมณ์-อุดมการณ์ของผู้ก่อตั้งพรรคมายาวนาน 78 ปี สภาพเช่นนั้นไม่ควรเกิดขึ้น เพียงแต่ชาวประชาธิปัตย์กล้าหาญพอที่จะลุกขึ้นมาประกาศจุดยืน แนวทางของพรรค และกล้าพอที่จะปฏิรูปพรรคครั้งใหญ่หรือไม่ในสถานการณ์ที่ภูมิทัศน์ทางการเมืองที่เปลี่ยนไป

วันนี้ประชาธิปัตย์ขาดบุคลากรที่ทรงคุณภาพที่จะเข้ามานำพาพรรค ถามว่าตำแหน่งหัวหน้าว่างมาเดือนกว่า จนถึงวันนี้มีใครกล้าลุกขึ้นมาประกาศตัวลงชิงหัวหน้าพรรคสักคนไหม ยังไม่เห็นมี มีแต่ข่าวลือว่า น่าจะเป็นคนนั้นคนนี้ลงชิง แต่ข้อเท็จจริง คือไม่มีใครเปิดตัวออกมาเลยแม้แต่คนเดียว เงียบสนิทอย่างที่เชาร์ว่าจริงๆ เหลือเวลาไม่ถึงเดือนจะเลือกหัวหน้าพรรคแล้ว ถ้าเป็นสมัยก่อนประชาธิปไตยจะเบ่งบานสพลั่งเต็มหัวใจชาวประชาธิปัตย์ เดินสายพบปะ แสดงวิสัยทัศน์กับบรรดาโหวตเตอร์กับครึกโครม

สถานการณ์ที่เงียบงันของประชาธิปัตย์ ดูวิเวกวังเวงวิโหวเหวเหลือเกิน เศร้าสร้อย หดหู่ใจ เจ้าหน้าที่พรรคยังซุบซิบกันเลยว่า ถ้าคนนี้ลงสมัครเป็นฉัน ฉันก็ไม่เลือก และถ้าเขามาเราจะอยู่กันอย่างไร?

ร้องไห้เถิด ถ้าจะร้องเพื่อจะลุก ถอยเถอะ ถ้าจะถอยเพื่อทบทวน และก้าวเดินไปข้างหน้าอย่างหาญกล้าและท้าทาย ถอยมาดับเครื่อง เช็คเครื่อง สตาร์ท เดินรถใหม่

เรื่อง : นายหัวไทร

‘บิ๊กป้อม’ เคาะ!! ‘EIA รถไฟรางคู่สายใต้’ งบ 5.7 หมื่นล้าน เชื่อมต่อ ‘สุราษฎร์ฯ–หาดใหญ่–สงขลา’ ระยะทาง 321 กม.

เมื่อไม่นานนี้ พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ผ่านระบบ VTC ณ ห้องประชุมมูลนิธิอนุรักษ์ป่ารอยต่อ 5 จังหวัด โดยที่ประชุมรับทราบเรื่องสำคัญ ประกอบด้วย รายงานสถานการณ์มลพิษฯ ปี 2565 สรุป คุณภาพน้ำ ทั้งแหล่งผิวดิน น้ำทะเลชายและน้ำบาดาล โดยรวมอยู่ในเกณฑ์คุณภาพดี คุณภาพอากาศและเสียงมีแนวโน้มดีขึ้นขยะมูลฝอยชุมชนของเสียและสารอันตรายพบว่าขยะมูลฝอยเพิ่มขึ้นมีการขัดแยกและกำจัดขยะถูกต้องเพิ่มขึ้น ขณะเดียวกันของเสียอันตรายและวัตถุอันตรายมีปริมาณเพิ่มขึ้นกากอุตสาหกรรมที่มีอันตรายมีการแจ้งและนำเข้าสู่ระบบการจัดการเพิ่มขึ้นมูลฝอยติดเชื้อมีปริมาณเพิ่มขึ้นและได้รับการกำจัดอย่างถูกต้องเพิ่มขึ้น

ต่อจากนั้น ที่ประชุมได้ร่วมพิจารณาและให้ความเห็นชอบ รายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) โครงการอ่างเก็บน้ำแม่คำ อำเภอแม่ฟ้าหลวง จังหวัดเชียงราย โครงการก่อสร้างรถไฟรางคู่ ช่วงสุราษฎร์ธานี – ชุมทางหาดใหญ่ – สงขลา นอกจากนั้น ยังให้ความเห็นชอบการปรับปรุงมาตรฐานควบคุมการปล่อยทิ้งอากาศเสียจากโรงไฟฟ้า เพื่อควบคุมและแก้ปัญหามลพิษด้านฝุ่นละออง

โดยรองนายกรัฐมนตรี กล่าวขอบคุณ คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ที่ร่วมกันทำหน้าที่ให้ข้อคิดเห็นและมุมมองต่างๆที่เป็นประโยชน์ต่อส่วนรวม ต่อเนื่องที่ผ่านมา พร้อมย้ำโครงการสาธารณะขนาดใหญ่ ที่เป็นประโยชน์ต่อส่วนรวม ขอให้ใช้ความรอบคอบทั้งหลักวิชาการและสภาพจริง รวมทั้งต้องยึดประโยชน์ส่วนรวมและรับฟังข้อคิดเห็นของประชาชนในพื้นที่อย่างรอบด้าน

พร้อมกำชับ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมถึงปัญหาสถานการณ์มลพิษ ทั้งคุณภาพน้ำ อากาศและเสียง รวมทั้งขยะมูลฝอยชุมชน ของเสียและวัตถุอันตราย บางพื้นที่ที่อยู่ในเกณฑ์เสื่อมโทรม จำเป็นต้องให้น้ำหนักเข้าไปแก้ปัญหาให้ทั่วถึง สำหรับการขยายตัวของภาคอุตสาหกรรมขนาดกลางและขนาดย่อม รวมทั้งการทำการเกษตรที่เพิ่มขึ้น ส่งผลให้การปล่อยปริมาณน้ำเสียลงผิวดินเพิ่ม ประกอบกับระบบบำบัดน้ำเสียรวมชุมชนที่ไม่เพียงพอและไม่สามารถรองรับ ถือเป็นเรื่องสำคัญ ที่ต้องประสานการทำงานร่วมกันมากขึ้น โดยขอให้มีแผนงาน มาตรการรองรับและมีการกำกับที่เป็นรูปธรรม ทั้งนี้ ขอให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม นำผลการประชุมดังกล่าว เสนอคณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบ และดูแลกำกับโครงการต่างๆ ให้เป็นไปตามที่กำหนด

‘เด็กจีน’ แห่เรียน ‘ภาษาไทย’ คึกคัก หลังมีการปรับหลักสูตร เพื่อพัฒนาบุคคลากร จบไปมีบริษัทจ่อรอรับเข้าทำงานทันที

เมื่อไม่นานนี้ สำนักข่าวซินหัว, หนานหนิง รายงานว่า บรรดานักศึกษาชาวจีนผู้รักการเรียนภาษาไทยจากสถาบันอุดมศึกษาในเขตปกครองตนเองกว่างซีจ้วง จำนวน 19 แห่ง ต่างงัดทักษะความสามารถด้านภาษาไทยออกมาโชว์กันอย่างเต็มที่ ณ การแข่งขันสุนทรพจน์ภาษาไทยระดับอุดมศึกษาครั้งที่ 16 ซึ่งจัดโดยมหาวิทยาลัยชนชาติกว่างซี (Guangxi University for Nationalities) เมื่อไม่นานนี้ โดยการแข่งขันในปีนี้แบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มนักศึกษาวิชาเอกภาษาไทย และนักศึกษาที่ไม่ได้เรียนภาษาไทยเป็นวิชาเอก

ไม่กี่ปีที่ผ่านมา การเรียนการสอนภาษาไทยในจีนคึกคักมากขึ้น โดยมีการปรับเปลี่ยนให้ทันตามกระแสแห่งยุคสมัย และทิศทางการพัฒนาความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศอยู่เสมอ เพื่อพัฒนาบุคคลากรที่มีทั้งความสามารถด้านภาษา มีความรู้ความเข้าใจ และมีความรู้สึกที่ดีต่อประเทศไทย

‘ฉินซิ่วหง’ คณบดีวิทยาลัยภาษาและวัฒนธรรมเอเชียอาคเนย์ มหาวิทยาลัยชนชาติกว่างซี กล่าวว่า นักศึกษาที่เข้าร่วมการแข่งขันส่วนมากเป็นนักศึกษาชั้นปีที่ 2 หรือ 3 และหัวข้อการกล่าวสุนทรพจน์และการแข่งขันรายการอื่นๆ ในแต่ละปี จะอิงจากสถานการณ์และกระแสความต้องการของตลาดในปัจจุบัน เช่น กระแสอีคอมเมิร์ซข้ามพรมแดน

ฉิน กล่าวว่า “เราคัดเลือกหัวข้อ เช่น หมอนยางพารา ทุเรียน และสินค้าไทยอื่นๆ ที่ชาวจีนสนใจ แล้วให้นักศึกษาแนะนำในรูปแบบการไลฟ์สด นักศึกษาที่ได้รับรางวัลบางคนอาจเซ็นสัญญากับบริษัทที่เกี่ยวข้องได้เลยทันที” พร้อมเสริมว่า ปีนี้การท่องเที่ยวจีน-ไทยกำลังฟื้นตัวอย่างเป็นลำดับ การแนะนำวัฒนธรรมไทย อาหารไทย สถานที่ท่องเที่ยวในไทย จึงเป็นส่วนหนึ่งของหัวข้อการแข่งขัน

รายงานระบุว่า ตลาดงานในปัจจุบันต้องการบุคคลากรที่มีทั้งทักษะภาษาและความรู้ด้านวิชาชีพอื่นๆ ด้วย เช่นความรู้ด้านกฎหมายและการบริหารจัดการ มหาวิทยาลัยภาษาหลายแห่งในจีนจึงมุ่งสร้างบุคคลากรที่เก่งหลายด้านในคนเดียว ผ่านการเสริมหลักสูตรวิชาชีพอื่น ซึ่งทำให้หลังเรียนจบผู้เรียนจะได้รับวุฒิปริญญาสองใบ หรือมีประกาศนียบัตรรับรองความสามารถทางวิขาชีพเพิ่มเติม

ช่วงที่โรคโควิด-19 ระบาด การแลกเปลี่ยนระหว่างจีน-ไทยเผชิญข้อจำกัด หลายสถาบันจึงเริ่มพัฒนาหลักสูตรการสอนภาษาไทยออนไลน์ ขณะที่เว็บไซต์จีนบางแห่งก็มีการสอนภาษาไทยในรูปแบบของการไลฟ์สดและคลิปวิดีโอสั้น ซึ่งกระตุ้นกระแสความนิยมภาษาไทยได้ไม่น้อย ฉิน กล่าวว่า “เยาวชนคนรุ่นใหม่ในจีนนิยมชมชอบ ‘วัฒนธรรมไทย’ และการเรียนภาษาไทย หลังละครไทยกลายเป็นกระแสในจีน” พร้อมเสริมว่าอุตสาหกรรมภาพยนตร์และโทรทัศน์นั้นเป็นสะพานเชื่อมโยงคนรุ่นใหม่ของทั้งสองประเทศ

‘โอวม่าน’ ผู้อำนวยการภาควิชาภาษาไทยของวิทยาลัยฯ ให้ข้อมูลว่าตำแหน่งงานด้านภาษาไทยที่หลายบริษัทติดต่อมาให้ประกาศให้ในปีนี้ มีมากกว่าจำนวนนักศึกษาเอกภาษาไทยทั้งหมดของมหาวิทยาลัย

‘หยางเย่าหง’ นักศึกษาชั้นปีที่ 3 ผู้ชนะเลิศอันดับหนึ่งในกลุ่มผู้แข่งขันที่เรียนภาษาไทยเป็นวิชาเอก เริ่มเรียนภาษาไทยด้วยตนเองเมื่อ 8 ปีก่อน ตั้งแต่ยังเรียนอยู่ชั้นมัธยมต้น “ผมคิดว่าภาษาไทยสนุกมาก มีความคล้ายคลึงหลายอย่างกับภาษาเฉาซ่าน (แต้จิ๋ว) บ้านเกิดของผม”

‘หวงเหม่ยเสีย’ ผู้จบการศึกษาสาขาเอกภาษาไทยจากมหาวิทยาลัยชนชาติยูนนาน (Yunnan Nationalities University) ปัจจุบันดำรงตำแหน่งผู้ช่วยประธานบริหาร ประจำสาขากว่างซีของเครือเจริญโภคภัณฑ์ กล่าวว่าการได้ไปเรียนที่ประเทศไทยในช่วงชั้นปีที่ 3 ได้ช่วยเปิดโลกทัศน์และทำให้ภาษาไทยของเธอพัฒนาไปอีกขั้น พร้อมเล่าประสบการณ์ความประทับใจที่มีต่อครูชาวไทย

ด้านเบญจมาศ ตันเวทยานนท์ กงสุลใหญ่ ณ นครหนานหนิง กล่าวว่าภาษาเป็นสะพานเชื่อมระหว่างกัน และเป็นกระบวนการการเรียนรู้ร่วมกันระหว่างสองวัฒนธรรม ซึ่งตนรู้สึกยินดีอย่างยิ่งที่ได้เห็นนักศึกษาชาวจีนเรียนภาษาไทยและเข้าใจประเทศไทยมากขึ้นเรื่อยๆ พร้อมแสดงความหวังว่าบุคคลากรคุณภาพเหล่านี้จะมีส่วนช่วยส่งเสริมความร่วมมือในด้านการศึกษา การค้า การลงทุน และอื่นๆ ระหว่างสองประเทศต่อไป

‘บิ๊กป้อม’ ใจบันดาลแรงแซงโค้ง นับถอยหลัง ‘ก้าวไกล-เพื่อไทย’ แยกทาง!!?

ไทม์ไลน์การเมืองหลังการรายงานตัวของ ส.ส. 500 คนจะเรียบร้อยในวันที่ 28 มิ.ย.นี้ จากนั้นนับไปอีก 15 วัน เป็นรัฐพิธีเปิดประชุมรัฐสภา คือวันที่ 3 หรือ 4 ก.ค.ที่จะถึงนี้ ถัดไปก็จะเป็นการประชุมสภาผู้แทนราษฎร เพื่อเลือกประธานสภาฯ ซึ่งประธานสภาฯจะเป็นประธานรัฐสภา แบบเดียวกับท่านชวน หลีกภัย ประธานรัฐสภาคนล่าสุดนั่นแล…

วันสองวันก่อนดูเหมือนว่า พรรคเพื่อไทยยอมหมอบยกเก้าอี้ประธานสภาให้พรรคก้าวไกลไปแล้ว ส่วนพรรคเพื่อไทยนั้นขอเก้าอี้รองประธานสภา 2 ตัว…

แต่ล่าสุดของล่าสุด กระแสข่าวที่ว่า ‘พ่อมดดำ’ นายสุชาติ ตันเจริญ จากค่ายเพื่อไทยจะถูกเสนอชื่อโดยพรรคพลังประชารัฐก็มาแรงหาทางแซงทางโค้งอยู่เหมือนกัน ไม่สามารถมองข้ามได้…

เรียนท่านผู้อ่าน คุณผู้ฟังว่าพรรคเพื่อไทยในยามนี้นั้น ความคิดแตกเป็นสองสามแนวทางประสาพรรคการเมืองขาลง แต่กระนั้นที่ทุกคนในพรรคเห็นเหมือนกันก็คือ ต้องหนุนนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ แคนดิเดทนายกฯ พรรคก้าวไกลให้สุดทาง เพราะแทบทุกคนเชื่อว่าโอกาสที่นายพิธาจะผ่านโหวตได้เป็นนายกฯ นั้นมีน้อยนิด ประมาณ 0.035 เปอร์เซ็นต์ เท่าหุ้นไอทีวีที่นายพิธาเคยถือเท่านั้น…

แต่สำหรับเก้าอี้ประธานสภาฯ คนเพื่อไทยส่วนหนึ่งเห็นว่า ต้องเล่นบท ‘นักเลง’ เอาใจ ‘ด้อมส้ม’ รักษามวลชนหน่อย… ให้ก้าวไกลเอาไป แต่อีกพวกหนึ่งยืนยันว่า ปล่อยไม่ได้ เพราะเก้าอี้ประมุขฝ่ายนิติบัญญัติสำคัญ ต้องสอดคล้องสัมพันธ์กับฝ่ายบริหาร ซึ่งในที่สุดพรรคเพื่อไทยต้องเป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาลแทนก้าวไกลอย่างแน่นอน

ไม่เพียงเท่านั้น บรรดาขาใหญ่เก๋าเกมในพรรคเพื่อไทยรู้ดีว่า เมื่อนายพิธาวืดเก้าอี้นายกฯ ไปแล้ว ก็ไม่มีหลักประกันว่า ‘อุ๊งอิ๊ง แพทองธาร’ หรือ ‘เศรษฐา ทวีสิน’ จะได้นั่งเก้าอี้นายกฯ เพราะตราบใดที่ยังกอดคอกับ 8 พรรค ก็มีอยู่แค่ 312 เสียง… โอกาสที่เกมการเมืองจะไถลไปเข้าทางพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หรือ ‘ลุงป้อม’ มีสูงมาก ดังที่เล็ก เลียบด่วน ได้เคยรายงานไว้แล้วหลายครั้ง ซึ่งถึงวันนี้สถานการณ์ก็ยังเป็นเช่นนั้น…

สรุปว่า เก้าอี้ประธานสภาโอกาสที่จะพลิกเป็นของ ‘พ่อมดดำ’ แห่งพรรคเพื่อไทยมีสูงยิ่ง และถ้า ‘บิ๊กป้อม’ ผงาดขึ้นเป็นนายกฯ คนที่ 30 ขณะที่นายสุชาติ ตันเจริญ เป็นประธานสภา อย่างน้อยพรรคเพื่อไทยก็ไม่เสียฟอร์มพรรค 141 เสียง เพราะยังมีเก้าอี้ใหญ่ติดพรรค แต่หากยกเก้าอี้ประธานสภาให้ก้าวไกล โอกาสที่เพื่อไทยจะวืดเก้าอี้ใหญ่ทั้งสองตัวก็มีสูง…

ด้วยเหตุผลดังว่ามา… การเมืองจากนี้ไป พรรคเพื่อไทยก็ต้องฟังเสียงรอบทิศจากมวลสมาชิกมากขึ้น แม้กระทั่งกรณีเก้าอี้นายกฯ วันไหนที่นายพิธาสอบไม่ผ่าน พรรคเพื่อไทยจะเดินเกมอย่างไร? จะผูกขากับพรรคก้าวไกลต่อไป หรือเปิดทางให้พรรคพลังประชารัฐของ ‘ลุงป้อม’ เข้ามาทันทีทันใด หรือจะต่อรองเดินเกมอย่างไร เป็นเรื่องที่น่าจับตายิ่ง…

ประมาณกันว่าแถวๆ วันที่ 5 หรือ 6 ก.ค.นี้ บรรดา ส.ส. 500 คน จะโหวตเลือกประธานสภา ซึ่งจะเป็นการโหวตลับ จากนั้นประมาณวันที่ 13 ก.ค. สมาชิกรัฐสภา 750 คนจะโหวตเลือกนายกฯ ไม่ผิดที่กล่าวกันว่า พลันที่รู้ตัวประธานสภา ก็จะเห็นโฉมหน้านายกฯและรัฐบาลชุดต่อไป…

เพื่อให้เกิดอรรถรส… เล็ก เลียบด่วน เขียน 3 สูตร รัฐบาลแปะข้างฝาไว้ให้เม้าท์มอยกัน

สูตรแรก : พรรคร่วมรัฐบาลประกอบด้วย เพื่อไทย-พลังประชารัฐ-ภูมิใจไทย-ประชาธิปัตย์-รวมไทยสร้างชาติ-ชาติไทยพัฒนา… ‘บิ๊กป้อม’ หรือ ‘เศรษฐา’ เป็นนายกฯ

สูตรที่สอง : 8 พรรคที่กำลังฟอร์มทีม บวกพลังประชารัฐ ประชาธิปัตย์… สูตรนี้ไม่มี ‘ภูมิใจไทย’ บิ๊กป้อมเป็นนายกฯ… สูตรนี้ก้าวไกลต้องยอมเสียสัตย์เพื่ออยู่กับลุง

สูตรที่สาม : พรรคเพื่อไทย พลังประชารัฐ เป็นแกนนำผสมกับอีกหลายพรรค โดยพรรคก้าวไกลแยกทางกับเพื่อไทยไปเป็นฝ่ายค้าน… สูตรนี้ ‘บิ๊กป้อม’ เป็นนายกฯ

ทั้งสามสูตรจะเห็นชื่อ ‘บิ๊กป้อม’ มีลุ้น… ถ้าสุขภาพไม่ไหวก็อาจจะใช้นโยบาย ‘นายกฯ คนละครึ่ง’ แต่ถ้าไหวก็ตีตั๋วยาว สังเกตดีๆ วันที่ไปรายงานตัวเป็น ส.ส.ป้ายแดง จะเห็นลุงป้อมเดินปร๋อแบบ ‘ใจบันดาลแรง’ อีกครั้ง… ก่อนที่จะบินไปอังกฤษ พักผ่อน ดูแลสุขภาพ

ส่วนจะไปพูดคุยกันเรื่อง ‘ดีลลับ’ กับใครหรือไม่… เสาร์นี้ ‘เล็ก เลียบด่วน’ จะมารายงานครับ


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top