Sunday, 11 May 2025
NewsFeed

‘Mastercard’ จัดอันดับ ‘ไทย’ ติด 1 ใน 10  ปลายทางยอดฮิตในเอเชียแปซิฟิก ปี 66

(19 มิ.ย. 66) นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม รับทราบรายงานของสถาบันวิจัยด้านเศรษฐศาสตร์มาสเตอร์การ์ด (Mastercard Economics Institute) ถึงแนวโน้มการท่องเที่ยวทั่วโลกประจำปี 2566 จากรายงาน Travel Industry Trends 2023 พร้อมยินดีที่ไทยติดอันดับ 1 ใน 10 ของจุดหมายปลายทางยอดนิยม ของจำนวนนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้าประเทศทั่วภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก 

โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า สถาบันวิจัยด้านเศรษฐศาสตร์มาสเตอร์การ์ด (Mastercard Economics Institute) ระบุในปี 2566 ประเทศไทยติดอันดับ 1 ใน 10 ของจุดหมายปลายทางยอดนิยม Travel Industry Trends 2023 Mastercard Data & Services เพราะเสน่ห์ที่โดดเด่นไม่เหมือนใคร โดยจัดอันดับจากจำนวนนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้าประเทศทั่วภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ตั้งแต่ปลายปี 2565 นักท่องเที่ยวต้องการเดินทางมาสัมผัสประสบการณ์ด้านวัฒนธรรม และสถานที่ท่องเที่ยวใหม่ ๆ ขณะเดียวกันก็มีนักท่องเที่ยวที่ต้องการกลับมาสัมผัสกับเสน่ห์ของประเทศไทยที่คุ้นเคยเป็นจำนวนมาก ไทยจึงเป็นหนึ่งในประเทศที่มีอัตราการใช้จ่ายด้านประสบการณ์การท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นถึง 40.5% เมื่อเปรียบเทียบกับปี 2562 ในขณะที่การใช้จ่ายเพื่อซื้อสิ่งของเพิ่มขึ้น 24%

นายอนุชา กล่าวว่า รายงานของมาสเตอร์การ์ดระบุข้อมูลสำคัญเกี่ยวกับการท่องเที่ยวในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกได้แก่ 

1.) การท่องเที่ยวพักผ่อนและการเดินทางเชิงธุรกิจมีอัตราการเติบโตใกล้เคียงกัน ซึ่งในช่วงเดือนมีนาคมมีอัตราการจองเที่ยวบินเพิ่มสูงขึ้น 31% เมื่อเทียบกับปี 2562 และยังพบว่าช่วงต้นปี 2566 อัตราการจองเที่ยวบินขององค์กรมีการเติบโตเทียบเท่ากับการจองเที่ยวบินเพื่อการพักผ่อนส่วนบุคคล

2.) การเปิดประเทศของจีนมีผลดีต่อการท่องเที่ยว เศรษฐกิจในเอเชียแปซิฟิกจะได้ประโยชน์อย่างชัดเจนจากการเปิดประเทศของจีน เพราะเป็นประเทศที่มีความเชื่อมโยงอย่างมากกับการค้า การท่องเที่ยว และการเชื่อมต่อทางภูมิศาสตร์กับประเทศอื่น ๆ ของโลก

3.) นักท่องเที่ยวออกท่องโลกไปยังสถานที่ใหม่ ๆ ซึ่งเสน่ห์ที่โดดเด่นและประสบการณ์การท่องเที่ยวที่ไม่เหมือนใคร ทำให้ไทยติดอันดับหนึ่งในสิบของจุดหมายปลายทางยอดนิยม ซึ่งจัดอันดับจากจำนวนนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้าประเทศทั่วภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก

4.) นักท่องเที่ยวยังต้องการเดินทางเพื่อสัมผัสประสบการณ์ โดยเดือนมีนาคม 2566 ยอดการใช้จ่ายต่อการท่องเที่ยวเพื่อประสบการณ์ทั่วโลกสูงขึ้นถึง 65% ในขณะที่การใช้จ่ายในสิ่งของเพิ่มขึ้นเพียง 12% เมื่อเทียบกับปี  2562 

นายอนุชา กล่าวว่า นายกรัฐมนตรีเชื่อมั่นว่าแนวโน้มการท่องเที่ยวประจำปี 2566 จะสร้างประโยชน์ต่อการท่องเที่ยวและเศรษฐกิจของประเทศไทย พร้อมมั่นใจในศักยภาพด้านการท่องเที่ยวของไทย ทั้งด้านสถานที่ และการจัดการ รวมทั้ง เน้นย้ำให้ทุกภาคส่วนติดตามกระแสการท่องเที่ยว สกัดเอกลักษณ์ความเป็นไทย วิถีชีวิต ภูมิปัญญา และศิลปวัฒนธรรม มาประกอบกับแนวทางการท่องเที่ยวสมัยใหม่ ปรับตัวและออกแบบบริการการท่องเที่ยวให้สอดคล้อง และตอบสนองต่อความต้องการของนักท่องเที่ยวที่เปลี่ยนแปลง

เปิด 3 เหตุผลดัน ‘อีสาน’ ศูนย์กลาง BCG อาเซียน ทรัพยากรสมบูรณ์-พร้อมต่อยอดการวิจัย-เชื่อมโยงเพื่อนบ้าน

(19 มิ.ย. 66) นโยบายการพัฒนาเชิงพื้นที่ถือว่ามีความสำคัญต่อการพัฒนาประเทศในภาพรวม โดยการขับเคลื่อน ‘ระเบียงเศรษฐกิจ 4 ภาค’ จะเป็นหนึ่งในกลไกที่จะช่วยกระจายความเจริญไปสู่ภูมิภาค ลดความเหลื่อมล้ำทางรายได้ ยกระดับคุณภาพชีวิตประชาชน และสร้างความมั่นคงในพื้นที่ชายแดน รวมทั้ง เพิ่มความสามารถในการแข่งขันและการเชื่อมโยงกับประเทศเพื่อนบ้าน

ทั้งนี้ การพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (อีสาน) หรือ Northeastern Economic Corridor (NeEC) กำหนดพื้นที่ 4 จังหวัด ได้แก่ นครราชสีมา อุดรธานี หนองคาย และขอนแก่น ถือเป็นพื้นที่ที่มีศักยภาพและโอกาสที่จะพัฒนาเป็นฐานอุตสาหกรรมชีวภาพ (Bioeconomy) แห่งใหม่ของประเทศและเป็นผู้นำในระดับอาเซียน ด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่ตลอดห่วงโซ่การผลิต

รายงานข่าวจากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เปิดเผยว่า การขับเคลื่อนยุทธศาสตร์การส่งเสริมการลงทุน 5 ปี (พ.ศ. 2566-2570) และมาตรการส่งเสริมการลงทุนชุดใหม่ที่สนับสนุนผู้ประกอบการในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เน้นการลงทุนในอุตสาหกรรม BCG ทำให้มียอดการยื่นขอรับการส่งเสริมการลงทุนในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือช่วงไตรมาสแรก (ม.ค.- มี.ค.) ของปี 2566 มีจำนวนทั้งสิ้น 24 โครงการ มูลค่าเงินลงทุนกว่า 3,800 ล้านบาท โดยการลงทุนส่วนใหญ่อยู่ในอุตสาหกรรมเกษตรและแปรรูปอาหาร

โดยมี 3 เหตุผลที่ภาคอีสานเป็นพื้นที่ที่มีศักยภาพ ได้แก่

1.) ทรัพยากรอุดมสมบูรณ์ ภาคอีสานมีพื้นที่มากที่สุด คิดเป็น 1 ใน 3 ของประเทศ หรือกว่า 160,000 ตารางกิโลเมตร และมีขนาดประชากรคิดเป็น 1 ใน 3 ของประเทศ กว่า 22 ล้านคน ทั้งยังเป็นพื้นที่เพาะปลูกสูงถึง 43% ของประเทศ โดยมีการปลูกพืชเศรษฐกิจสำคัญ ได้แก่ มันสำปะหลัง อ้อย ข้าว และยางพารา ซึ่งวัสดุเหลือใช้จากพืชเหล่านี้ จะกลายเป็นวัตถุดิบล้ำค่าในการพัฒนาอุตสาหกรรมชีวภาพ

2.) มีความพร้อมพัฒนาต่อยอดงานวิจัย ภาคอีสานเป็นถิ่นกำเนิดของศิลปวัฒนธรรม ภูมิปัญญาท้องถิ่น และความคิดสร้างสรรค์ รวมถึงเป็นที่ตั้งของสถาบันการศึกษาที่มีขีดความสามารถด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เช่น มหาวิทยาลัยขอนแก่น มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี และหน่วยงานวิจัยจำนวนมาก 

3.) ตั้งอยู่ในพื้นที่ยุทธศาสตร์ ภาคอีสานอยู่ในจุดที่มีความเชื่อมโยงกับประเทศเพื่อนบ้าน สามารถเป็นประตูเศรษฐกิจสู่ภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขงที่มีศักยภาพการเติบโตสูงได้อย่างดี 

จุดแข็งและสินทรัพย์เหล่านี้ ทำให้ภาคอีสานจะเป็นหนึ่งในพื้นที่สำคัญในการดึงดูดการลงทุน และมีบทบาทช่วยขับเคลื่อนประเทศไปสู่เศรษฐกิจใหม่ โดยเฉพาะการลงทุนอุตสาหกรรมเป้าหมาย เช่น อุตสาหกรรมเกษตรและอาหารแปรรูปอุตสาหกรรมชีวภาพ 

นอกจากนี้ ยังมีมาตรการสนับสนุนของภาครัฐ การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์เพื่อรองรับอุตสาหกรรมในอนาคต รวมถึงบทบาทของภาคเอกชนในการร่วมขับเคลื่อนการลงทุน 

“ด้วยศักยภาพอันโดดเด่นของพื้นที่ NeEC ผนวกกับสิทธิประโยชน์บีโอไอที่มุ่งเน้นส่งเสริมอุตสาหกรรมเป้าหมาย และกระตุ้นให้ภาคเอกชนมีส่วนร่วมในการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ การวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม” 

โดยบีโอไอมีเป้าหมายที่จะส่งเสริมให้เกิดการลงทุนในรูปแบบคลัสเตอร์ ซึ่งจะมีการเชื่อมโยงตั้งแต่วัตถุดิบต้นน้ำโดยเฉพาะวัตถุดิบการเกษตรท้องถิ่น ไปสู่ผลิตภัณฑ์ปลายน้ำมูลค่าสูง จะส่งผลให้ NeEC สามารถสร้างฐานการลงทุนอุตสาหกรรมชีวภาพแบบครบวงจร หรือไบโอคอมเพล็กซ์ และก้าวไปสู่การเป็นเมืองหลวง BCG (Bio-Circular-Green Industry) ของภูมิภาคอาเซียนได้ในที่สุด

‘นาตาชา’ นักเรียนไทย-อเมริกัน ชนะรางวัลงานวิจัยยอดเยี่ยม สามารถวิเคราะห์กลไกสมองเพื่อป้องกันการฆ่าตัวตายได้

‘นาตาชา กุลวิวัฒน์’ ลูกครึ่งไทย-อเมริกัน วัย 16 ปี ที่กำลังศึกษาระดับชั้นมัธยมปลายในสหรัฐอเมริกา แต่ความสามารถเกินอายุ สร้างผลงานวิจัยยอดเยี่ยมจนสามารถคว้ารางวัลชนะเลิศในการประกวดโครงการวิจัยในงาน Regeneron International Science and Engineering Fair ได้สำเร็จ พร้อมเงินรางวัลมูลค่ากว่า 50,000 เหรียญสหรัฐฯ (ประมาณ 1.74 ล้านบาท)

กว่าจะได้งานวิจัยที่ประสบความสำเร็จนี้ นาตาชาใช้เวลาศึกษาค้นคว้าข้อมูลเนื้อเยื่อสมองในห้องแล็บของมหาวิทยาลัยโคลัมเบีย นานถึง 6 เดือน โดยเธอได้เปรียบเทียบตัวอย่างเนื้อเยื่อสมองของผู้เสียชีวิตจากการฆ่าตัวตาย ซึ่งบริจาคโดยญาติของพวกเขา 10 ตัวอย่าง เปรียบเทียบกับเนื้อเยื่อสมองของผู้เสียชีวิตด้วยสาเหตุอื่นๆ และพบว่า เนื้อเยื้อสมองของผู้ที่เสียชีวิตจากการฆ่าตัวตายมี ‘ไซโตไคน์’ หรือกลุ่มโปรตีนขนาดเล็กที่อักเสบอยู่เป็นจำนวนมาก

โดยทั่วไปแล้ว ‘ไซโตไคน์’ อาจเกิดการอักเสบได้ตามปกติจากการตอบสนองต่อระบบภูมิคุ้มกันเชื้อโรค แต่ร่างกายก็สามารถปลดปล่อยไซโตไคน์ได้แม้ไม่มีภัยคุกคาม เช่น ในช่วงที่มีความเครียดเรื้อรัง และนั่นอาจทำให้เกิดการอักเสบที่มากเกินไป จนส่งผลเสียต่อร่างกายได้หลายกรณี อาทิ โรคหัวใจ มะเร็ง และโรคแพ้ภูมิตัวเอง ซึ่งในงานศึกษาของ นาตาชา กุลวิวัฒน์ บ่งชี้ว่าการอักเสบเหล่านี้ส่งผลต่อโปรตีนในสมองชนิดหนึ่ง ที่ชื่อว่า ‘claudin-5’

‘Claudin-5’ มักพบในเซลล์ที่สร้างสิ่งกีดขวางระหว่างเลือดและสมอง หรือ ‘BBB’ ​​ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการควบคุมสารที่สามารถผ่านจากเลือดไปยังเซลล์สมอง โดย นาตาชา กุลวิวัฒน์พบว่า มี claudin-5 แทรกซึมอยู่ในสมองส่วนอื่นๆ เช่นในเซลล์ประสาทนิวรอน และเส้นเลือดฝอยในสมองของผู้เสียชีวิตจากการฆ่าตัวตาย บ่งชี้ว่า ‘ระบบ BBB ในสมองของผู้ตายเกิดอาการบกพร่อง’

จึงเป็นสาเหตุให้มีสารแปลกปลอมในเลือดไหลเข้าสู่พื้นที่การทำงานในสมอง จนเป็นพิษต่อระบบประสาท และผลการวิจัยของเธอทำให้เห็นว่า ‘ระดับ Claudin-5 ในสมองสูงขึ้นอาจทำหน้าที่เป็นตัวบ่งชี้ทางชีวภาพของความเสี่ยงต่อการฆ่าตัวตายได้’

และผลงานวิจัยชิ้นนี้ของเธอ ได้รับเสียงตอบรับที่ดีมากจนไดรับรางวัล Gordon E. Moore Award for Positive Outcomes for Future Generations พร้อมเงินรางวัล 50,000 ดอลลาร์ จากงาน Regeneron International Science and Engineering Fair ซึ่งถือเป็นงานแข่งขันด้านวิชาการในระดับสากลของนักเรียนระดับชั้นเตรียมอุดมศึกษา ที่จัดโดยองค์กร Society for Science

นาตาชา กุลวิวัฒน์ ลูกครึ่งสาวไทย-อเมริกัน อัจฉริยะผู้นี้ ปัจจุบันกำลังศึกษาในระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 เล่าว่า เธอเริ่มศึกษาสาเหตุที่ทำให้คนตัดสินใจฆ่าตัวตาย จากปัจจัยด้านจิตวิทยามาก่อน เช่นอารมณ์ที่หุนหันพลันแล่น หรือความสามารถในการรับมือกับความเปลี่ยนแปลงที่ลดลง แต่ต่อมาก็ลองหันมาศึกษาจากมุมมองทางชีววิทยาของระบบประสาท เพราะไม่ค่อยมีงานวิจัยที่นำเสนอในมุมนี้

สาเหตุที่สนใจศึกษาเกี่ยวกับปัจจัยการฆ่าตัวตาย มีแรงบันดาลใจมาจากการเป็นอาสาสมัครให้กับ American Foundation for Suicide Prevention และ กลุ่ม Out of the Darkness Walks ซึ่งเป็นกิจกรรมที่ช่วยสร้างความตระหนักรู้และสนับสนุนทางใจ แก่ผู้ที่สูญเสียบุคคลอันเป็นที่รักจากการฆ่าตัวตายนั่นเอง

และงานวิจัยในขั้นต่อไปของ นาตาชา กุลวิวัฒน์ คือการศึกษาผลลัพธ์จากการรักษาด้วยยาต้านอาการอักเสบต่างๆ ว่าจะมีปฏิปฏิกิริยาอย่างไรกับ claudin-5 ในกลุ่มสัตว์ทดลอง ซึ่งเธอหวังว่างานวิจัยนี้อาจให้เบาะแสในการพัฒนาวิธีการรักษาทางเลือกในกรณีที่ระบบ BBB บกพร่องที่เสี่ยงต่อการตัดสินใจการฆ่าตัวตายของมนุษย์ได้ในอนาคต

นับเป็นผลงานวิจัยที่น่าภูมิใจของเด็กนักเรียนเชื้อสายไทย ที่ฉายแววรุ่งในสหรัฐ และนอกเหนือจากความสามารถด้านวิทยาศาสตร์แล้ว เธอยังมีผลงานหนังสือภาพ My Dreams: A Trilingual Drawing Book: English, Thai, and Chinese ที่บอกเล่าประสบการณ์ของการเติบโตมาในครอบครัว 2 ภาษา (ไทย - อังกฤษ) และยังสนใจเรียนภาษาจีนเพิ่มเติมอีกด้วย

และด้วยความรักในด้านการวาดภาพ และภาษา เธอได้รวบรวมภาพเขียนตั้งแต่สมัยเด็ก พร้อมคำบรรยายถึง 3 ภาษา (อังกฤษ, ไทย, จีน) เพื่อสนับสนุนทักษะด้านจินตนาการ และ พัฒนาภาษาไปควบคู่กันด้วย นับเป็นเยาวชนที่เก่งรอบด้านจริงๆ

‘อัจฉราพร’ วอลเลย์บอลสาวทีมชาติไทย พูดทั้งน้ำตา ตั้งใจกับทุกแมตช์ แม้มันไม่ได้ดั่งใจ ชวนคนไทยให้สู้ไปด้วยกัน

เฟซบุ๊ก วอลเลย์บอลไทยแลนด์ ได้โพสต์ข้อความ เกี่ยวกับ   วอลเลย์บอลหญิงทีมชาติไทย หลังจากที่ได้พ่ายไป 4 เกม โดยระบุว่า ...

วอลเลย์บอลหญิงทีมชาติไทย ไร้ชัยในสนามที่ 2 ที่ประเทศบราซิล หลังจากแพ้ 4 เกม เกมสุดท้ายแพ้ โครเอเชีย 0-3 เซต
หลังจบเกม อัจฉราพร คงยศ ได้เปิดเผยพร้อมขอให้แฟนวอลเลย์บอลไทยเป็นกำลังใจ โดยมีช่วงหนึ่งที่อัจฉราพร ร้องไห้ออกมาด้วย

"อย่าเพิ่งหมดหวังในตัวพวกเรา คือพวกเราสู้กันมาขนาดนี้ หนูอยากให้ทุกคน มองเราครั้งแรกเหมือนที่มองเรา ทุกคนไม่ได้มาคาดหวัง ไม่ได้มากดดันในตัวพวกเรา
“อยากให้ทุกคนให้กำลังใจ ติได้ ด่าได้ แต่กำลังใจมันก็สำคัญกับพวกเรา พวกเราตั้งใจมากกับทุกการแข่งขัน แต่มันอาจจะไม่ได้ดั่งใจเราทุกแมตช์

อยากให้ทุกคนสู้ไปกับเรา เป็นกำลังใจให้กับเรา ค่อยๆ ดูเราเติบโต และก้าวผ่านอุปสรรคที่เราเจอไปด้วยกัน อันนี้หนูคิดว่าเป็นความสุขระหว่างทางมากกว่า มากว่าที่คุณจะไปรอเราตรงนู้น แล้วเราไปหาคุณตรงนั้น หากเดินไปด้วยกัน เห็นสิ่งที่เราเจอ หนูว่าจะรู้สึกอุ่นใจกันมากกว่า"

‘Miss International Queen 2023’ อวดชุดประจำชาติ 22 ประเทศ พร้อมประกวดความสามารถพิเศษ

เมื่อวันที่ 19 มิ.ย. 66 ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ กรุงเทพฯ – การประกวดสาวทรานส์เจนเดอร์ระดับโลก ‘Miss International Queen 2023’ ได้จัดการประกวดสำหรับรอบชุดประจำชาติ และรอบการค้นหาความสามารถพิเศษ งานนี้เป็นการเฉลิมฉลองความงามและความสามารถของบุคคลข้ามเพศจากทั่วโลก ด้วยธีม คือ ‘A CREATION’ ครีเอทสิ่งที่เปี่ยมคุณค่าแก่สังคมให้มีค่าเหนือกว่าสิ่งอื่นใด

รอบชุดประจำชาติ (National Costume) เป็นการแสดงวัฒนธรรมที่เป็นเอกลักษณ์และหลากหลายของประเทศของผู้เข้าประกวด เป็นโอกาสสำหรับพวกเขาที่จะแบ่งปันความคิดสร้างสรรค์และความภาคภูมิใจในมรดกของพวกเขา ผู้ชนะในรอบนี้จะประกาศผลในวันที่ 24 มิ.ย.นี้ ณ ทิฟฟานี่ โชว์ พัทยา

รอบความสามารถพิเศษ (Talent Contest) รอบนี้เป็นโอกาสที่ผู้เข้าแข่งขันจะได้แสดงความสามารถเฉพาะตัว ไม่ว่าจะเป็น การร้อง การเต้น หรือทักษะอื่นๆ

และผู้ชนะรางวัล Best Talent ในปีนี้ ได้แก่ อริสรา การกล้า หรือ ‘น้องกวาง’ ประเทศไทย ในชุดการแสดง รำอิสานพื้นบ้าน อริสราร่ายรำอย่างอ่อนช้อยสวยงาม ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจจากความศรัทธาของชาวลุ่มแม่น้ำโขงที่มีต่อพญานาค

รองชนะเลิศอันดับ 1 ได้แก่ เมโลนี มอนโร ประเทศสหรัฐอเมริกา ในชุดการแสดงยิมนาสติกลีลา อันพริ้วไหวจนไม่อาจละสายตาได้

รองชนะเลิศอันดับ 2 ได้แก่ มิค่า ประเทศจีน ในชุดการแสดง ร้องเพลงโชว์พลังเสียงน่าประทับใจ พร้อมเต้นประกอบเพลงสวยงาม

‘Miss International Queen’ ไม่ใช่แค่การประกวดนางงาม แต่เป็นเวทีสำหรับบุคคลข้ามเพศในการแสดงความสามารถและส่งเสริมการยอมรับและความเข้าใจ เป็นการเฉลิมฉลองความหลากหลายและความเท่าเทียม และเราหวังว่าจะได้เห็นความสามารถอันน่าทึ่งและความสวยงามของผู้เข้าแข่งขัน

สำหรับรอบ The Preliminary แฟนคลับ เตรียมตาแตกกับ โชว์ชุดราตรีและชุดว่ายน้ำ ในวันที่ 22 มิ.ย. นี้ ณ โรงละครทิฟฟานี่โชว์ พัทยา จ.ชลบุรี

และวันมงลง หรือ รอบชิงชนะเลิศ The Coronation Night ลุ้นร้อน ลุ้นแรง ชี้ชะตาสาวงามจากประเทศใดจะได้ครองตำแหน่ง Miss International Queen ประจำปี 2023 ในวันเสาร์ที่ 24 มิ.ย. นี้ ณ โรงละครทิฟฟานี่โชว์ เมืองพัทยา จ.ชลบุรี

 

‘ไมเคิล อีวานส์’ ประธานบริษัทอาลีบาบา ยัน ‘แจ็ก หม่า’ ยังมีชีวิตอยู่ มีความสุขดี กำลังสอนหนังสืออยู่ที่โตเกียว

เฟซบุ๊ก ทันข่าว Today ได้โพสต์ข้อความถึง ชีวิตและความเป็นอยู่ของบุคคลที่มีชื่อเสียงระดับโลกอย่าง  ‘แจ็ก หม่า’ โดยได้ระบุว่า ...

นายไมเคิล อีวานส์ ประธานบริษัทอาลีบาบา ซึ่งเป็นบริษัทด้านเทคโนโลยีและอีคอมเมิร์ซรายใหญ่ของจีน เผย “แจ็ก หม่า” ผู้ก่อตั้งอาลีบาบานั้น “ยังมีชีวิตอยู่” และ “มีความสุขดี” เนื่องจากมีกระแสคาดเดาเกี่ยวกับชีวิตความเป็นอยู่ของเขา หลังธุรกิจถูกรัฐบาลจีนปราบปรามอย่างหนักในช่วงที่ผ่านมา

▪️ นายหม่ายังมีชีวิตอยู่ กำลังสอนอยู่ที่มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในกรุงโตเกียว และใช้เวลาในจีนมากขึ้น นายอีวานส์ระบุท่ามกลางการประชุมวีว่า เทค (Viva Tech) ณ กรุงปารีส

▪️สื่อ CNBC ระบุว่า อีวานส์ตอบคำถามของนายมอริส เลวี ประธานบริษัทพับลิซิส (Publicis) ซึ่งเป็นบริษัทโฆษณาของฝรั่งเศส โดยกรณีดังกล่าวตอกย้ำว่าสาธารณชนยังคงสนใจเกี่ยวกับชีวิตความเป็นอยู่ของนายหม่า

▪️ ธุรกิจด้านเทคโนโลยี รวมทั้ง อาลีบาบา ของนายหม่าถูกรัฐบาลควบคุมอย่างเข้มงวดในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ทำให้เขาลดบทบาทลงและหายจากสังคมไปช่วงหนึ่ง

ราชการไทยยุคใหม่ แก้ไขความล่าช้า เชื่อมโยงให้บริการประชาชน ใจกลางเมืองหลวง

ผู้ใช้เฟซบุ๊ก แม่บ้านแคนาดา ได้โพสต์ข้อความถึง ระบบราชการไทยยุคใหม่ ที่ให้บริการประชาชนได้อย่างรวดเร็ว โดยได้ระบุว่า ...

วันนี้ตั้งใจไปทำพาสปอร์ตใหม่ที่สำนักงานหนังสือเดินทางชั่วคราว ปทุมวัน (MBK) ชั้น 5 โซน A แต่บัตรประจำตัวประชาชนเราหมดอายุเจ้าหน้าที่เลยบอกให้เราไปจุดบริการด่วนมหานคร (Bangkok Express Service)

ซึ่งอยู่ติดกัน เราก็กังวลเพราะไม่มีเอกสารอะไรติดมาด้วยเลย มีแค่พาสปอร์ตอันเก่าและบัตรประจำตัวประชาชนหมดอายุ

แต่ๆๆๆๆ เขาใช้แค่บัตรประจำตัวประชาชนหมดอายุเรากับพาสปอร์ตเล่มเก่าเราแค่นั้นก็ทำบัตรประชาชนใบใหม่ได้แล้ว แถมรวดเร็ว เจ้าหน้าที่ดีมาก
เสียค่าปรับไป 100 บาท 

พอได้บัตรประจำตัวประชาชนใบใหม่เราก็กลับมาทำพาสปอร์ตต่อ เราจองออนไลน์มา ได้คิวเลย ทำแปปเดียวก็จ่ายเงินค่าพาสปอร์ต 10 ปี 1,500 บาท และค่าจัดส่ง EMS 40 บาท

วันนี้ประทับใจมากในการใช้บริการทั้งสองที่  กะไปทำแค่พาสปอร์ตแต่ได้ทำตั้งสองอย่างเลยในเวลาไม่ถึง30นาที เริ่ดเด้อ!!

เผื่อใครกลับมาไทยแล้วอยากทำเอกสาร ลองไปที่นี้ดูนะคะ

กรุงเทพฯ ครองแชมป์ เมืองที่นักท่องเที่ยว จองมาพักมากที่สุดในโลก จากข้อมูลของ Agoda

ถือได้ว่าเป็นอีกหนึ่งเรื่องน่ายินดีของวงการท่องเที่ยวไทย เมื่อล่าสุดทาง Agoda แพลตฟอร์มจองที่พักยักษ์ใหญ่ของโลก ได้ออกมาเผยข้อมูลการจองที่พักของนักท่องเที่ยว โดยเมืองที่นักท่องเที่ยวจองมาพักมากที่สุดเป็นอันดับ 1

นั่นก็คือกรุงเทพมหานครนั่นเอง นอกจากเมืองกรุงเทพฯ แล้ว ประเทศไทยยังได้ถูกจัดอันดับเป็นที่ 2 รองจากประเทศญี่ปุ่น ที่เป็นเป้าหมายในการเดินทางของนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกอีกด้วย

‘ฟอร์ด’ เตือน ให้เตรียมพร้อมรับมือ รถอีวีจากจีน บุกสหรัฐฯ ชี้อเมริกายังผลิตสู้ไม่ได้

นายบิลล์ ฟอร์ด จูเนียร์ ประธานกรรมการบริหารของฟอร์ด ให้สัมภาษณ์ในรายการ “ฟารีด ซาคาเรีย จีพีเอส” ของสถานีโทรทัศน์ซีเอ็นเอ็นเมื่อวันอาทิตย์ (18 มิ.ย.) ว่า สหรัฐฯ ยังไม่มีความพร้อมที่จะผลิตรถอีวีออกมาแข่งขันกับจีน ซึ่งมีการพัฒนาอย่างขนานใหญ่ไปรวดเร็วมาก และขณะนี้กำลังมีการส่งออกแล้ว โดยถึงแม้รถอีวีจากแดนมังกรยังไม่บุกตลาดสหรัฐฯ แต่สักวันหนี่งก็จะมาแน่ๆ ซึ่งสหรัฐฯ ต้องเตรียมตัวให้พร้อม และบริษัทของเขากำลังเตรียมการสำหรับการแข่งขันเช่นกัน

ผู้เป็นเหลนของนายเฮนรี ฟอร์ด ผู้ก่อตั้งบริษัทรถยนต์ฟอร์ด หมายถึงโรงงานผลิตแบตเตอรี่สำหรับรถยนต์พลังงานไฟฟ้า มูลค่า 3,500 ล้าน ซึ่งเมื่อเดือน ก.พ.ที่ผ่านมา บริษัทฟอร์ดได้ประกาศแผนการลงทุนก่อสร้าง แต่ทำให้เกิดข้อถกเถียงในหมู่นักการเมืองสหรัฐฯ เนื่องจากฟอร์ดมีการทำข้อตกลงที่จะใช้เทคโนโลยีจากบริษัทคอนเทมโพรารี แอมเพอเร็กซ์ เทคโนโลยี (Contemporary Amperex Technology หรือ CATL) ผู้ผลิตแบตเตอรี่ของจีน โดยวุฒิสมาชิกมาร์โก รูบิโอ ขอให้รัฐบาลของประธานาธิบดี โจ ไบเดน พิจารณาทบทวนการทำข้อตกลงนี้

นายฟอร์ด จูเนียร์ ชี้แจงในรายการว่า โรงงานผลิตแบตเตอรี่ที่รัฐมิชิแกนจะเป็นโอกาสให้วิศวกรของฟอร์ดได้เรียนรู้เทคโนโลยีและสามารถนำมาใช้ด้วยตนเอง โดยบริษัทฟอร์ดเป็นเจ้าของโรงงานแห่งนี้แต่ผู้เดียว อีกทั้งบริษัทกำลังดำเนินการเพื่อได้รับสิทธิในการใช้เทคโนโลยีดังกล่าวด้วย นอกจากนั้น เขายังคัดค้านความคิดที่ว่า การมีฐานผลิตรถยนต์ในสหรัฐฯ จะทำให้รถยนต์มีราคาสูงขึ้น แต่กลับเห็นว่า จะส่งผลดีต่อเศรษฐกิจของประเทศ

นายจิม ฟาร์ลีย์ ซึ่งเป็นประธานเจ้าหน้าที่บริหารของฟอร์ด เคยออกมาเตือนครั้งหนึ่งแล้วเมื่อเดือน พ.ค. ที่ผ่านมาว่า ผู้ผลิตรถอีวีของจีนคือคู่แข่งสำคัญของสหรัฐฯ ไม่ใช่บริษัทจีเอ็ม หรือโตโยต้า ฉะนั้น ฟอร์ดจึงจำเป็นต้องสร้างแบรนด์ที่โดดเด่น หรือผลิตรถราคาถูกกว่าเพื่อเอาชนะคู่แข่ง

ทั้งนี้ ตลาดรถอีวีในยุโรปถูกจีนบุกไปเรียบร้อยแล้ว โดยรถยนต์ผลิตในจีนที่ขายส่วนใหญ่เป็นรถอีวีจากบริษัทเทสลา ส่วนแบรนด์รถยุโรป ซึ่งถูกบริษัทจีนซื้อกิจการ เช่น วอลโว และเอ็มจี หรือรถแบบอื่นๆ เช่น รถยนต์ไฟฟ้าของดาเซียสปริง (Dacia Spring) หรือบีเอ็มดับบลิว ไอเอ็กซ์3 (BMW iX3) ก็ผูกขาดผลิตอยู่แต่ในจีนเท่านั้น

นับตั้งแต่ปี 2563 เป็นต้นมา รถยนต์ที่ผลิตในจีนมีการส่งออกเพิ่มขึ้นอีก 3 เท่าถึงกว่า 2 ล้าน 5 แสนคันเมื่อปีที่แล้ว ซึ่งเป็นการท้าทายชาติผู้ส่งออกแต่เดิมมา เช่น เยอรมนี โดยจีนเตรียมขึ้นแท่นชาติผู้ส่งออกรถยนต์นั่งส่วนบุคคลรายใหญ่อันดับ 2 ของโลก ซึ่งอาจทำให้โฉมหน้าอุตสาหกรรมรถยนต์ในโลกเปลี่ยนไป


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top