Sunday, 11 May 2025
NewsFeed

‘ประเทศไทย’ ติดอันดับ 2 ปลายทางยอดนิยม นทท. ทั่วโลก ‘กรุงเทพฯ’ คว้าอันดับ 1 เมืองถูกจองเข้าพักมากที่สุด

วันที่ (22 มิ.ย. 66) นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่าประเทศไทย เป็นจุดหมายปลายทางยอดนิยมของนักท่องเที่ยวต่างชาติ โดยผลสำรวจ เดือนม.ค. - พ.ค.ปี 2566 ได้รับความสนใจจากนักท่องเที่ยวเป็นอันดับต้นบนหลายแพลตฟอร์มด้านการท่องเที่ยว ทั้ง Agoda และ Klook สอดคล้องกับจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเที่ยวไทยสะสม 5 เดือน กว่า 10.6 ล้านคน สะท้อนศักยภาพด้านการท่องเที่ยวไทย และการดำเนินมาตรการส่งเสริมการท่องเที่ยวที่มีประสิทธิภาพของรัฐบาล

โดย Agoda แพลตฟอร์มดิจิทัลด้านการท่องเที่ยวระดับโลก เปิดเผยสถิติข้อมูลนักท่องเที่ยวบนแพลตฟอร์มในช่วง 5 เดือนแรกของปี 2566 พบว่า การท่องเที่ยวโดยรวมของไทยฟื้นตัวได้รวดเร็วกว่าประเทศอื่น จากการที่ไทยเปิดประเทศเร็ว โดยเฉพาะการเปิดรับนักท่องเที่ยวจีน ประกอบกับ ไทยมีเที่ยวบินรองรับนักท่องเที่ยวเพียงพอ

ประเทศไทยได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวทั่วโลกเป็นอันดับ 2 รองจากญี่ปุ่น และมีนักท่องเที่ยวเดินทางภายในประเทศมากที่สุดเป็นอันดับที่ 4 รองจากสหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น และมาเลเซีย

นอกจากนี้ กรุงเทพฯ ยังเป็นเมืองท่องเที่ยวที่มีการจองเข้าพักบนแพลตฟอร์มมากที่สุดในโลก โดย Agoda เชื่อมั่นว่า กรุงเทพฯ สามารถพัฒนาเป็น ศูนย์กลางเทคโนโลยีของเอเชียได้ ดึงดูดนักท่องเที่ยวกลุ่มใหม่ และสนับสนุนให้มีการจัดกิจกรรมที่ทำให้ไทยเป็นที่รู้จักไปทั่วโลก

นายอนุชา กล่าวว่า ความร่วมมือระหว่างการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) กับ Klook แพลตฟอร์มการท่องเที่ยวชั้นนำของเอเชีย ในการดำเนินกิจกรรมทางการตลาดภายใต้แคมเปญ ‘Let Your Journey be THAI’ โดยส่งเสริมต่างชาติให้เดินทางมาเที่ยวไทย ผ่านการประชาสัมพันธ์ 5F Soft Power ซึ่งได้รับผลตอบรับเป็นอย่างดีจากนักท่องเที่ยว

โดยในช่วง 5 เดือนแรกของปี 2566 ยอดนักท่องเที่ยวต่างชาติจองกิจกรรมในไทยเพิ่มขึ้นกว่าร้อยละ 1,200 จากช่วงเดียวกันของปี 2565 โดย ฮ่องกง ไต้หวัน สิงคโปร์ เกาหลีใต้ และมาเลเซีย มีการจองกิจกรรมไทยบนแพลตฟอร์ม Klook มากที่สุดเป็น 5 อันดับแรก กิจกรรมยอดนิยม ได้แก่ ทัวร์แบบ Day trip กิจกรรมชมความสวยงามของเมืองไทย และสปา เป็นต้น

‘จีน’ มีสถานีฐาน 5G ทะลุ!! 2.73 ล้านแห่งแล้ว พร้อมเร่งสร้างขุมเครือข่ายขนาดใหญ่ที่สุดในโลก

เมื่อไม่นานมานี้ สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า จีนมีสถานีฐาน 5G เพิ่มขึ้นเป็น 2.73 ล้านแห่ง เมื่อนับถึงสิ้นเดือนเมษายนที่ผ่านมา ขณะเร่งสร้างโครงสร้างพื้นฐานเครือข่ายขนาดใหญ่ที่สุดและทันสมัยที่สุดในโลก

สำหรับงานแถลงข่าวของการประชุมเศรษฐกิจดิจิทัลระดับโลก (Global Digital Economy Conference) ปี 2023 ซึ่งจะจัดขึ้นช่วงต้นเดือนกรกฏาคม ระบุว่าจีนกลายเป็นศูนย์กลางเทคโนโลยี 5G โดยมีผู้ใช้งานโทรศัพท์มือถือ 5G จำนวน 634 ล้านราย

ขณะเดียวกันภาคส่วนสำคัญของเศรษฐกิจจีน จำนวน 45 ภาคส่วน ได้ทำการบูรณาการอินเทอร์เน็ตอุตสาหกรรม ซึ่งส่งเสริมขนาดอุตสาหกรรมมีมูลค่าสูงเกิน 1.2 ล้านล้านหยวน (ราว 5.82 ล้านล้านบาท) 

สำหรับทางด้านรายได้ของอุตสาหกรรมการผลิตข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ของจีน ในปี 2022 อยู่ที่ 15.4 ล้านล้านหยวน (ราว 74.64 ล้านล้านบาท) ขณะที่รายได้ของอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์อยู่ที่ 10.8 ล้านล้านหยวน (ราว 52.35 ล้านล้านบาท) และรายได้ของอุตสาหกรรมคลังข้อมูลขนาดใหญ่อยู่ที่ 1.57 ล้านล้านหยวน (ราว 7.61 ล้านล้านบาท) ซึ่งวางรากฐานมั่นคงสำหรับการบูรณาการสารสนเทศและอุตสาหกรรมในจีน
 

‘ดศ.-สธ.’ ประชุม คกก.เฉพาะด้านระบบสุขภาพดิจิทัล เร่งวางแนวทางบริหารจัดการ Big Data เชื่อมข้อมูลแบบไร้รอยต่อ

วันที่ (22 มิ.ย. 66) ที่กระทรวงสาธารณสุข จังหวัดนนทบุรี นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ประชุมคณะกรรมการเฉพาะด้านระบบสุขภาพดิจิทัล ครั้งที่ 1/2566 โดยมีนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธานการประชุม เพื่อติดตามความคืบหน้าระบบบริหารจัดการ การแลกเปลี่ยนข้อมูลสุขภาพทั่วประเทศและระบบคลาวด์กลาง เพื่อเชื่อมต่อข้อมูลสุขภาพด้วยมาตรฐานเดียวกัน ช่วยให้ประชาชนเข้าถึงบริการสุขภาพได้ทุกที่ ทุกเวลา แบบไร้รอยต่อ

นายอนุทินกล่าวว่า ระบบสุขภาพดิจิทัล เป็นสิ่งที่ทั่วโลกให้ความสำคัญ ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้ลงนามคำสั่งสำนักงานคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เมื่อวันที่ 14 มีนาคม 2566 แต่งตั้งคณะกรรมการเฉพาะด้านระบบสุขภาพดิจิทัล มีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธาน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เป็นรองประธาน ผู้บริหารเทคโนโลยีสารสนเทศระดับสูงประจำกระทรวงสาธารณสุข เป็นกรรมการและเลขานุการ มีองค์ประกอบทั้งสิ้น 22 คน เพื่อจัดทำนโยบายแผนงาน แนวทาง และมาตรการในการส่งเสริมและพัฒนาด้านสุขภาพดิจิทัล กำหนดหลักเกณฑ์ มาตรฐาน ในการบูรณาการและการประมวลผลข้อมูลสุขภาพของประเทศ

ทั้งนี้ การบริหารจัดการ Big Data ด้านสุขภาพของประเทศ และมีการเชื่อมต่อข้อมูลสุขภาพด้วยมาตรฐานเดียวกัน จะช่วยให้ประชาชนเข้าถึงบริการสุขภาพได้ทุกที่ ทุกเวลา แบบไร้รอยต่อ ขณะเดียวกันต้องดำเนินการภายใต้การมีธรรมาภิบาลการบริหารระบบสุขภาพดิจิทัลที่ดี

นายอนุทิน กล่าวต่อว่า วันนี้เป็นการประชุมคณะกรรมการเฉพาะด้านระบบสุขภาพดิจิทัลครั้งแรก ที่ประชุมได้รับทราบความก้าวหน้าการดำเนินโครงการพัฒนาระบบคลาวด์กลางด้านสาธารณสุขของประเทศไทย ซึ่งมี 2 กิจกรรมหลัก คือ

1.) การพัฒนาระบบบริหารจัดการการแลกเปลี่ยนข้อมูลสุขภาพทั่วประเทศ ขณะนี้จัดทำร่างขอบเขตของงาน (TOR) และกำหนดราคากลางฯ เสร็จเรียบร้อยแล้ว อยู่ระหว่างขึ้นประกาศเพื่อประชาพิจารณ์ คาดว่ากระบวนการจัดซื้อจัดซื้อจัดจ้างฯ จะแล้วเสร็จ ภายในเดือนสิงหาคม 2566 นี้

2.) การจัดหาบริการระบบคลาวด์กลาง ซึ่งจะมีความสัมพันธ์กับกิจกรรมที่ 1 ขณะนี้อยู่ระหว่างเตรียมจัดทำ (ร่าง) ขอบเขตของงานและราคากลางฯ พร้อมทั้งวางแนวทางให้ รพ.สต.ที่อยู่ในกำกับของกระทรวงมหาดไทย ใช้แพลตฟอร์มสารสนเทศกลางให้บริการผู้ป่วยนอก เพื่อลดการจัดหาระบบ การบำรุงรักษาและสร้างความมั่นคงปลอดภัยของข้อมูล รวมทั้งให้ส่งต่อข้อมูลสุขภาพเข้าสู่ระบบการแลกเปลี่ยนข้อมูลสุขภาพสำหรับเขตสุขภาพ (MOPH Data Exchange Gateway) และระบบการเชื่อมโยงแลกเปลี่ยนข้อมูลกลาง (Central Data Exchange Service) เพื่อยกระดับคุณภาพการให้บริการและเพิ่มประสิทธิภาพการส่งต่อ ตามเกณฑ์มาตรฐานของกระทรวงสาธารณสุขด้วย

นอกจากนี้ ที่ประชุมยังเห็นชอบ การแต่งตั้งที่ปรึกษาของคณะกรรมการเฉพาะด้านระบบสุขภาพดิจิทัล จำนวน 4 ท่าน ได้แก่ 1.) ศ.คลินิกเกียรติคุณ นพ.อุดม คชินทร 2.) นพ.โสภณ เมฆธน 3.) นายไชยเจริญ อติแพทย์ ผู้ทรงคุณวุฒิด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี 4.) ดร.ศักดิ์ เสกขุนทด ที่ปรึกษาผู้ทรงคุณวุฒิด้าน Digital Transformation สำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (สพธอ.) และเห็นชอบการแต่งตั้งคณะอนุกรรมการ ภายใต้คณะกรรมการเฉพาะด้านระบบสุขภาพดิจิทัล จำนวน 2 คณะ ประกอบด้วย

1.) คณะอนุกรรมการธรรมาภิบาลและแพลตฟอร์มระบบสุขภาพดิจิทัลระดับชาติ มีปลัดกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธาน เพื่อพิจารณากลั่นกรอง ให้ข้อเสนอแนะ ต่อร่างนโยบายแผนปฏิบัติงานด้านสุขภาพดิจิทัล แพลตฟอร์มระบบสุขภาพดิจิทัลระดับชาติ และกฎหมายสุขภาพดิจิทัล

2.) คณะอนุกรรมการวิชาการและระบบข้อมูลสุขภาพระดับชาติ มีผู้บริหารเทคโนโลยีสารสนเทศระดับสูง (CIO) สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธาน เพื่อพิจารณากลั่นกรอง ให้ข้อเสนอแนะต่อสถาปัตยกรรมแพลตฟอร์มสุขภาพดิจิทัล หลักเกณฑ์แนวทางการบูรณาการการประมวลผลข้อมูลสุขภาพ และมาตรฐานข้อมูลสุขภาพกลางของประเทศ
 

‘ชาวไทยมุสลิม’ สวมชุดมลายู ร่วมฉลอง ‘วันอีดิลอัฎฮา’ อวดโฉมอัตลักษณ์ที่ทรงเสน่ห์ได้อย่างอิสระเสรี

‘วันอีดิลอัฎฮา’ เป็นวันที่มีขึ้นเพื่อรำลึกถึงความเสียสละของ ‘อิบราฮิม’ ที่ยอมสละชีวิตบุตรชายของตัวเองเพื่อศาสดามูฮัมหมัด แต่ศาสดาได้มอบแกะให้อิบราฮิมเชือดแทน ชาวมุสลิมทั่วโลกจะฉลองวันนี้ด้วยการเชือดสัตว์ เช่น วัว และแพะ จากนั้นจึงนำไปแบ่งปันให้ญาติ มิตรสหาย ตลอดจนบริจาคให้ผู้ยากไร้

ซึ่งในปีนี้ สำนักจุฬาราชมนตรีได้ออกมาประกาศว่า มีผู้เห็นดวงจันทร์ 1 ซุ้ลฮิจญะฮฺ ฮ.ศ. 1444 ตรงกับอังคารที่ 20 มิถุนายน 2566 วันอารอฟะฮฺ ตรงกับวันพุธที่ 28 มิถุนายน 2566 และ ถือว่า ‘วันอีดิลอัฎฮา’ ตรงกับวันพฤหัสบดีที่ 29 มิถุนายน 2566 โดยให้พี่น้องมุสลิมทั่วประเทศได้ปฏิบัติศาสนกิจโดยพร้อมเพรียงกัน โดยคาดว่า บรรยายกาศการเฉลิมฉลองในปีนี้ จะเต็มไปด้วยความคึกคักของพี่น้องประชาชนชาวไทยมุสลิม ที่ต่างเดินทางไปร่วมกันปฏิบัติศาสนกิจโดยพร้อมเพรียง

นอกจากนี้ ชาวไทยมุสลิมทั้งผู้ใหญ่ เด็ก วัยรุ่น ยังสวมเครื่องแต่งกายด้วยชุดมลายู สีสันสวยงาม ยังมีให้เลือกหลากหลาย โดยแต่ละพื้นที่ก็จะนิยมแต่งกายแตกต่างกันออกไป แต่ทุกพื้นที่ก็ยังคงไว้ซึ่งอัตลักษณ์ของตัวเอง เช่น

ชุด ‘บาจู กูรง’ ลักษณะเด่นของชุดจะเป็นชุดที่ตัดเย็บจากผ้าผืนเดียวกันทำให้สี และลวดลายบนผืนผ้าจะเป็นแบบเดียวกันทั้งชุด มีความประณีตและสวยงาม เป็นชุดที่ดูสุภาพ ช่วยเสริมความโดดเด่นแก่ผู้สวมใส่

‘เสื้อโต๊ป’ ลักษณะชุดยาวคลุมข้อเท้า ผ่าหน้าความกว้างพอสำหรับสวมหัวได้ เสื้อแขนยาว นิยมใช้ผ้าสีขาวตัดเย็บ แต่การออกแบบปกและปลายแขนแตกต่างกัน เช่น คอกลมผ่าหน้ามีภู่ห้อย คอตั้ง ปกเชิ้ต ปลายแขนแบบปล่อย ปลายแขนติดกระดุมแบบเสื้อเชิ้ต หรือใช้ ‘Cufflink’

‘เสื้อปาเต๊ะ’ จากจังหวัดยะลา ตัดจากผ้า Sutra Patek Indonesia (สตรอ ปาเต๊ะ อินโดนีเซีย) เป็นผ้าปาเต๊ะ ที่นิยมสวมใส่ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ในอดีตจะใช้เป็นผ้านุ่ง หรือ ผ้าถุง แต่ปัจจุบันมีการส่งเสริม พัฒนาต่อยอดผ้าท้องถิ่น นำมาออกแบบ ตัดเป็นเครื่องแต่งกาย กระเป๋า รองเท้า และอื่นๆ อีกมากมาย โดยลวดลายของผ้าปาเต๊ะ ส่วนใหญ่มีรูปแบบมาจากธรรมชาติ เช่น ต้นไม้ ดอกไม้ หรือรูปเลขาคณิตต่างๆ บางลายก็จะเป็นการผสมผสานวัฒนธรรมความเป็นมลายูและจีนเข้าไว้ด้วยกัน ถ่ายทอดออกมาผ่านลวดลายบนผ้า เช่น รูปดอกท้อ ดอกโบตั๋น พัด ลายหงส์ หรือ นกฟินิกส์ เป็นต้น

ทั้งนี้ การสวมชุดมลายูของชาวไทยมุสลิมในวันสำคัญนั้น ถือเป็นการคงไว้ซึ่งอัตลักษณ์ทางวัฒนธรรมของชาวไทยมุสลิม ซึ่งกำลังได้รับการผลักดันให้เป็นมรดกโลก ถือเป็นวัฒนธรรมร่วมสมัยที่เป็นเสน่ห์ และยังเป็นการตอกย้ำให้เห็นอย่างชัดเจน ถึงอัตลักษณ์ที่ทรงคุณค่าของพี่น้องชาวไทยมุสลิมทุกกลุ่มในประเทศนี้ ซึ่งล้วนได้รับการยอมรับ และแสดงออกได้อย่างอิสระเสรี ตราบใดที่ไม่ขัดต่อกฎหมายในประเทศไทย
 

‘บริษัทเรือดำน้ำ’ ที่พาชมซาก ‘เรือไททานิก’ เปิดมากว่า 14 ปี โกยรายได้ต่อปี 344 ล้านบาท

วันที่ (23 มิ.ย. 66) บริษัทโอเชียนเกต ก่อตั้งเมื่อปี 2552 โดย ‘สต็อกตัน รัช’ อดีตนักบินสู่นักประกอบเรือดำน้ำมือฉมัง เขามีเรือดำน้ำที่สร้างขึ้นเองหลายลำ โดยเขาดูแลด้านการเงินและวิศวกรรมของบริษัท โดย ‘โอเชียนเกต’ ให้บริการเรือดำน้ำแบบมีคนขับสำหรับเพื่ออุตสาหกรรม การวิจัย การสำรวจใต้ทะเลลึก และการบันทึกสื่อและภาพยนตร์ใต้น้ำ บริษัทมีเรือดำน้ำ ให้บริการ 3 รุ่น ได้แก่

1.) TITAN ระดับความลึก 4,000 เมตร (13,123 ฟุต) วัสดุทำจากคาร์บอนไฟเบอร์และไทเทเนียม สามารถเข้าถึงมหาสมุทรเกือบ50% ของโลกได้ ไททันเป็นเรือดำน้ำเพียงลำเดียวในโลกที่สามารถบรรทุกผู้โดยสารถึง 5 คนไปที่ความลึกเหล่านี้ได้

2.) Cyclops 1 ระดับความลึก 500 เมตร (1,640 ฟุต) Cyclops 1 เป็นเรือดำน้ำลำแรกของรุ่น Cyclops เป็นเรือดำน้ำต้นแบบ สู่การสร้างรุ่น Titan ทั้งซอฟต์แวร์เทคโนโลยี และอุปกรณ์ เปิดตัวครั้งแรกในปี 2558 ถูกไปใช้ในภารกิจต่าง ๆ มากมายในมหาสมุทรแปซิฟิกและมหาสมุทรแอตแลนติก รวมถึงอ่าวเม็กซิโก

3.) Antipodes ระดับความลึก 305 เมตร (1,000 ฟุต) เดินทางในระดับน้ำที่ตื้น มีโดมอะคริลิกครึ่งวงกลมสองโดมให้มุมมองที่ไม่มีเด่นชัด และเป็นเรือที่เหมาะสำหรับการทำงานเป็นทีมร่วมกัน

ซึ่งการดำเนินธุรกิจของ ‘โอเชียนเกต’ มีดังนี้

ปี 2552-2554 - บริษัทซื้อเรือดำน้ำรุ่น Antipodes, ยานพาหนะหุ่นยนต์สองลำ, เรือสนับสนุนต่าง ๆ และอุปกรณ์สนับสนุนหลายชิ้น  

ปี 2555 - ได้รับเรือดำน้ำลำที่ 2 และสร้างขึ้นมาใหม่เป็น Cyclops 1 เพื่อทำหน้าที่เป็นต้นแบบสำหรับเรือไททัน

กิจการดำเนินไปอย่างราบรื่น และประสบความสำเร็จในการสำรวจมากกว่า 14 ครั้ง จากการดำน้ำมากกว่า 200 ครั้งทั้งในมหาสมุทรแปซิฟิก แอตแลนติก และอ่าวเม็กซิโก 

ปี 2561 - ‘เดวิด ลอชริดจ์’ อดีตผู้อำนวยการฝ่ายปฏิบัติการทางทะเลของบริษัท โอเชียนเกต (OceanGate) ถูกไล่ออกจากบริษัทหลังจากทำรายงานด้านความปลอดภัยของเรือดำน้ำไททัน

ปี 2563 - ‘สต็อคตัน’ ซีอีโอ ให้สัมภาษณ์กับสื่อว่า เรือไททันแสดงอาการล้าจากการหมุน (Cyclic Fatigue) ในการทดสอบที่ระดับความลึก 4,000 เมตร ทำให้ขีดความสามารถถูกลดลงเหลือ 3,000 เมตร

ต่อมาทางบริษัทได้ปรับปรุงตัวเรือ และยกเลิกการใช้ตัวถังที่เป็นคาร์บอนไฟเบอร์ไป 

ปี 2565 บริษัทได้เริ่มกลับมาให้บริการเรือดำน้ำครั้งแรก โดย 1 ในบริการเด่น คือ ทัวร์ชมเรือไททานิก

ซึ่งการเดินทางแต่ละครั้งใช้เวลาเดินทาง 8 วัน มีค่าใช้จ่ายต่อหัวราว 250,000 ดอลลาร์ หรือราว 8.7 ล้านบาท

ปัจจุบัน ‘รายได้’ บริษัทโอเชียนเกต อยู่ที่ประมาณ 9.9 ล้านดอลลาร์ต่อปี หรือ 344 ล้านบาท โดยได้รับการระดมทุนมาแล้ว 2 ครั้งทั้งหมด รวม 19.8 ล้านดอลลาร์หรือ 689 ล้านบาท

ทั้งนี้ ถ้าเทียบกับธุรกิจเรือดำน้ำด้วยกัน โอเชียนเกต ไม่ใช่ผู้นำอุตสาหกรรมกลุ่มในแง่รายได้ ข้อมูลจาก growjo.com จัดอันดับดังนี้

อันดับ 1 SAFE Boats International รายได้ 51.9 ล้านดอลาร์/ปี (1,818 ล้านบาท)
อันดับ 2 Oil Companies International Marine Forum (OCIMF) 26.2 ล้านดอลลาร์/ปี (917 ล้านบาท)
อันดับ 3 Intermarine 17.4 ล้านดอลลาร์/ปี ( 609 ล้านบาท)
อันดับ 4 OceanGate 9.9 ล้านดอลลาร์/ปี (344 ล้านบาท)
อันดับ 5 PYI 5.4 ล้านดอลลาร์/ปี (189 ล้านบาท)
 

‘ติ่ง มัลลิกา’ เปรียบ ‘พิธา’ เป็นแก๊งคอลเซ็นเตอร์ หลอกประชาชน นโยบาย 3,000 บาท ทำไม่ได้จริง ขึ้นค่าแรง 450 บาท ก็ลวงแรงงาน

ติ่ง มัลลิกา บุญมีตระกูล มหาสุข อดีต ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ ได้ให้สัมภาษณ์ในรายการคนดังนั่งเคลียร์ ทางช่อง 8 เมื่อวันที่ 22 มิ.ย. 2566 เกี่ยวกับประเด็น ที่นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคและแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของก้าวไกล ได้เคยหาเสียงไว้ในการที่จะให้เงินผู้สูงอายุ และการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ โดยมีใจความว่า ...

ข้อที่ 1 เขาประกาศเองว่าเขาทำไม่ได้ นโยบาย 3,000 บาท เนื่องมาจากว่าเขาเป็นรัฐบาลพรรคผสม จากนั้นเขาไปดูงบประมาณแล้ว เขาจะต้องไปดึงงบไป เกลี่ยงบมา เขาจะต้องจ่ายเงิน 3,000 บาทให้ คนแก่ 1 คน ทั้งประเทศมีคนแก่ 12 ล้านคน สรุปเขาจะต้องใช้เงิน 6 แสนล้านบาท พิธาหลอกลวงประชาชนหรือไม่ พิธาเป็นยิ่งกว่าแก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่
ทำบาปมากที่ไปหลอกคนแก่ทั่วทั้งประเทศไทย ตอนหาเสียงที่ทาบอกว่าสามารถทำได้ภายใน 100 วัน แต่ปัจจุบันบอกว่า 3,000 บาทจะทำได้หลังปี 2570 เท่ากับที่ผ่านมาพิธาหลอกลวงประชาชน

ข้อที่ 2 เงินค่าจ้าง 450 บาท หลอกลวงแรงงาน ทั้งหมดเลย ทั้งแรงงานต่างด้าว ทั้งแรงงานไทย อ้างว่าทำไม่ได้ เพราะเนื่องมาจาก เวลาจะขึ้นค่าแรง 450 บาทนั้น จะต้องไปผ่านคณะกรรมการ 3 ฝ่าย คณะกรรมการ 3 ฝ่ายนั้นเป็นบอร์ดไม่ใช่นายกจะสั่งซ้ายสั่งขวาได้เลย เขาหลอกลวงประชาชน จะมีหรือที่ว่า นักการเมืองอย่างพิธา ที่อยู่คณะกรรมาธิการงบต่างๆนั้นจะไม่รู้เรื่องนี้ เขาจะต้องรู้อยู่แล้วว่าการจะประกาศขึ้นค่าแรงงานนั้นไม่สามารถประกาศได้เลยจะต้องผ่านคณะกรรมการ 3 ฝ่าย ซึ่งคณะกรรมการ 3 ฝ่ายนี้เพิ่งประชุมไปเมื่อปี 2565 ค่าแรง 300 บาทยังไม่ขึ้น นั่นก็แปลว่าถ้าคุณเข้าไปเป็นรัฐบาล 100 วันค่าแรงมันก็ยังไม่สามารถที่จะขึ้นได้อยู่ดี เพราะฉะนั้นสรุปได้ 2 อย่างก็คือข้อ 1 พิธาไม่รู้พิธาไม่มีความรู้ ในเรื่องของกลไกในเรื่องของการบริหารประเทศ หรือข้อที่ 2 ก็คือพิธาเจตนาหลอกลวงประชาชน มัลลิกากล่าวทิ้งท้าย
 

‘สลากดิจิทัล’ ผ่านแอปฯ เป๋าตัง

🔍การจำหน่าย ‘สลากดิจิทัล’ ผ่านแอปฯ เป๋าตัง ดูจะเป็นหนทางที่ถูกที่ควรและโดนใจประชาชนเอามาก ๆ เนื่องจากในแต่ละงวดสลากถูกขายหมด และบางงวดสลากดิจิทัลในระบบขายหมดภายใน 12 วัน

ปัจจัยหลักที่ทำให้การซื้อขายสลากดิจิทัลเป็นที่นิยม ก็คงเป็นเรื่องการควบคุมราคาอยู่ที่ใบละ 80 บาท และผู้ซื้อสามารถค้นหาเลขที่ต้องการซื้อได้อย่างง่ายดาย 

ดังนั้น เมื่อความต้องการซื้อพุ่งสูงขึ้น สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาลจึงตั้งเป้าภายในสิ้นปี 2566 มีสลากดิจิทัล 30 ล้านใบ สิ้นปี 2567 เพิ่มเป็น 40 ล้านใบ และสิ้นปี 2568 เพิ่มเป็น 50 ล้านใบ หรือครึ่งหนึ่งของสลากทั้งหมดต้องเป็นดิจิทัล
 

เปิดใจ ‘ครูพิสมัย’ เจ้าของวลีเด็ด ‘ขอบใจที่มาเรียนนะลูก สู้ๆ’ รู้ความจริงถึงกับหลั่งน้ำตา นร. เข้ากะถึง 7 โมงเช้า ก่อนขี่มอไซค์ มาเข้าเรียน

จากกรณีที่มีการเผยแพร่คลิปนักเรียนชายเข้าเรียนสายที่ได้พยายามชี้แจงต่อครูผู้สอนถึงสาเหตุการมาสายว่า เพราะเพิ่งออกกะจากการทำงานเมื่อเวลา 7 โมงเช้าที่ผ่านมา พร้อมแสดงหลักฐานการเข้างาน และภายในคลิปครูผู้สอนยังได้สอบถามนักเรียนชายเรื่องการทำงานจนทราบว่า ได้ไปทำงานเป็นพนักงานขับโฟล์คลิฟท์ของบริษัท ที ดับบลิว อี ที่ตั้งอยู่ใน จ.สมุทรปราการ 

โดยนักเรียนชายคนดังกล่าวเรียนอยู่ที่ วิทยาลัยเทคโนโลยีภาคตะวันออก (อี.เทค) ซึ่งตั้งอยู่ใน อ.พานทอง จ.ชลบุรี ที่อยู่ไกลกันเกือบ 70 กิโลเมตร และต้องใช้เวลาในการขี่จักรยานยนต์กลับมาเรียนไม่น้อยกว่า 1 ชั่วโมง ซึ่งครูท่านดังกล่าวได้กล่าวทิ้งท้ายว่า “ขอบใจที่มาเรียนนะลูก สู้ๆ” จนกลายเป็นคลิปไวรัลดังในชั่วข้ามคืนนั้น

เมื่อวานนี้ (22 มิ.ย.) ผู้สื่อข่าวได้เดินทางไปวิทยาลัยเทคโนโลยีภาคตะวันออก (อี.เทค) เพื่อพบกับ น.ส.พิสมัย ผุยผัน อาจารย์ แผนกคอมพิวเตอร์ ที่ได้เล่าเหตุการณ์ในวันดังกล่าวว่า ตนเองเป็นผู้ถ่ายคลิปขณะนักเรียนชายชั้น ปวส.ปี 1 แผนกวิศวะการผลิต หรือสาขาเทคนิคอุตสาหกรรม ซึ่งปกติการเรียนการสอนจะเริ่มในเวลา 08.30 น.แต่ในวันนั้นนักเรียนชายได้มาถึงห้องเรียนในเวลา 10.00 น.

“เมื่อสอบถามเด็กว่าเกิดอะไรขึ้น เด็กบอกว่าสาเหตุที่มาสายเพราะต้องทำงานส่งตัวเองเรียน และวันนั้นเป็นวันที่ต้องเข้ากะกลางคืนเลิกงานในตอนเช้า พอ 07.00 น.รีบมาเรียนต่อ แต่ด้วยน้องอาศัยอยู่ที่ จ.สมุทรปราการ และระยะทางจากบ้านมาวิทยาลัยไกลพอสมควร เด็กจึงนำหลักฐานการทำงานมาให้ดูว่าทำงานจริง และเด็กยังเปรียบเสมือนเสาหลักของครอบครัวต้องทำงานส่งตัวเองเรียนและต้องให้เงินแม่ใช้เนื่องจากมีน้องที่ต้องส่งเรียนอีก”

น.ส.พิสมัย อาจารย์แผนกคอมพิวเตอร์ ยังเผยอีกว่า เมื่อรู้ความจริงจากปากเด็กนักเรียนทำให้ถึงกับน้ำตาตก เพราะเด็กบางคนที่ครอบครัวพร้อมส่งให้เรียนแต่กลับไม่ตั้งใจเรียน แต่เด็กที่ครอบครัวลำบากที่อยากเรียนหนังสือครอบครัวก็ไม่มีความพร้อม

“หลังจากนั้นครูได้เปิดโอกาสให้นักเรียนมาเรียนได้ตามสะดวกเพราะน้องต้องทำงานเลี้ยงครอบครัวไปด้วย และส่งตัวเองเรียนด้วย ในฐานะอาจารย์ที่สอนเด็กอยากฝากถึงนักเรียนที่มีโอกาสให้ตั้งใจเรียน เพื่อจะได้เป็นรั้วและอนาคตของชาติในวันข้างหน้า อีกทั้งพ่อแม่ที่ส่งมาเรียนอยากให้ลูกประสบความสำเร็จในชีวิต” ครูพิสมัย กล่าว

‘นิพนธ์’ แนะ กระจายอำนาจ หนุนท้องถิ่นมีส่วนร่วมทางการเมือง เชื่อมั่น!! “เมื่อท้องถิ่นเข้มแข็ง ประเทศไทยก็เข้มแข็ง”

เมื่อวันที่ 22 มิ.ย. 66 นายนิพนธ์ บุญญามณี รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ร่วมเวทีเสวนา การติดตามนโยบายการกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่น ของพรรคการเมืองหลังการเลือกตั้ง หัวข้อ ‘ท้องถิ่นมั่งคั่ง ประเทศมั่นคง’ ในการประชุมและการสัมมนาทางวิชาการสมาคมสันนิบาตเทศบาลแห่งประเทศไทย ครั้งที่ 1/2566 ประจำปี พ.ศ.2566 ระหว่างวันที่ 21-23 มิถุนายน 2566 ณ อาคารชาเลนเจอร์ อาคาร 2 อิมแพ็ค ชาเลนเจอร์ เมืองทองธานี โดยมีผู้แทนจาก พรรคชาติไทยพัฒนา พรรคก้าวไกล พรรคชาติพัฒนากล้า พรรคไทยสร้างไทย พรรคประชาธิปัตย์ และพรรคเพื่อไทย พร้อมด้วย สมาคมสันนิบาตแห่งประเทศไทย เข้าร่วมรับฟังจำนวนมาก

นายนิพนธ์ กล่าวตอนหนึ่งว่า การทำงานของถิ่นในบางภารกิจยังมีอุปสรรคในการบริหาร ซึ่งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรให้การสนับสนุน และแก้ไขอุปสรรคในการดำเนินการภายใต้กติกาที่กำหนดไว้ เพื่อให้งานเดินต่อไปได้และไม่เกิดปัญหาภายหลัง

สำหรับเรื่องจัดเก็บภาษีนั้น ก็ควรมีการเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดเก็บภาษีพร้อมทั้งพิจารณาจัดเก็บฐานภาษีอื่นๆ เพิ่มเติมที่ทำให้ท้องถิ่นมีรายได้เพิ่มมากขึ้นสามารถนำมาพัฒนาพื้นที่รับผิดชอบ สร้างคุณภาพชีวิตที่ดีให้ประชาชน

ในส่วนความคืบหน้าเรื่องกระจายอำนาจ ในขณะนี้อยู่ในแผนที่ 3 แต่ขณะเดียวกัน แผนที่ 1 และ 2 ก็ยังถ่ายโอนไม่หมด ซึ่งควรพิจารณาว่าภารกิจใดที่ท้องถิ่นทำได้ก็ให้เร่งรัดถ่ายโอนภารกิจและงบประมาณพร้อมบุคลากรให้ท้องถิ่นได้ดำเนินการ เพราะการถ่ายโอนภารกิจใดไปและดำเนินการไม่ได้อาจจะถูกดึงภารกิจกลับ ซึ่งเรื่องกระจายอำนาจนั้นสามารถทำได้ทันทีโดยนายกรัฐมนตรี ต้องนั่งเป็นประธานคณะกรรมการกระจายอำนาจฯ กำหนดนโยบายการถ่ายโอนภาระกิจ ให้แล้วเสร็จภายใน 120 วัน

นายนิพนธ์ยังกล่าวด้วยว่า การป้องกันการทุจริต ปัจจุบันมีการพัฒนาในกระบวนการตรวจสอบที่เข้มข้นมากยิ่งขึ้น เช่น การให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในขั้นตอนการตรวจรับงานจ้าง รวมถึงการสร้างความโปร่งใสในการบริหารงานท้องถิ่น ดังนั้น จึงไม่ควรนำเรื่องทุจริตมาปิดกั้นการกระจายอำนาจ เพราะการกระจายอำนาจ คือการสร้างการมีส่วนร่วมการเมืองภาคประชาชนได้ดีที่สุด และเชื่อมั่นว่า “เมื่อท้องถิ่นเข้มแข็ง ประเทศไทยก็เข้มแข็ง”
 

‘จีน’ สั่งชาวแบงค์ งดใช้แบรนด์เนม-อวดไลฟ์สไตล์หรูหรา หวังลดความเหลื่อมล้ำ หลังประเทศเผชิญปัญหาเศรษฐกิจฝืดเคือง

ถึงคิว ‘ชาวแบงค์’ และสถาบันการเงินต่างๆ แล้ว ที่จะต้องโดนใบเหลืองจากรัฐบาลจีน ในการสอดส่อง ไลฟ์สไตล์หรูหรา ใช้ของแบรนด์เนม ราคาแพง ว่าจะเป็นการสร้างค่านิยมที่ไม่ดีต่อสังคมจีน ที่กำลังเผชิญปัญหาเศรษฐกิจฝืดเคือง และการว่างงานของเด็กจบใหม่ที่พุ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง

ภาคธุรกิจการเงินของจีน นับเป็นกลุ่มทุนขนาดใหญ่เป็นอันดับต้นๆ ของโลก มีมูลค่าสูงกว่า 57 ล้านล้านเหรียญสหรัฐฯ เป็นเส้นเลือดสำคัญของเศรษฐกิจจีน จึงไม่แปลกใจว่า กลุ่มคนทำงาน หรือผู้เชี่ยวชาญในสาขาธุรกิจการเงิน จะเป็นกลุ่มที่ได้ค่าจ้างตอบแทนสูงมากในจีน

และด้วยรายได้ที่ดีกว่าอาชีพอื่นๆ และการสร้างภาพลักษณ์ที่ดูมั่งคั่ง และมั่นคง จึงนำไปสู่ไลฟ์สไตล์ที่ดูหรูหรา การเลือกใช้ของราคาแพง เพื่อให้ดูดีมีระดับ สวนทางกับสภาพเศรษฐกิจของชาวจีนส่วนใหญ่ที่ยังต้องทำงานหนัก รายได้เดือนชนเดือน หรือยังหางานไม่ได้ ทำให้กลุ่มคนทำงานในแวดวงการเงิน ถูกมองเป็นชนชั้นสูงอีกกลุ่มหนึ่งในสังคมจีน

ด้วยเหตุนี้ องค์กรเฝ้าระวังการฉ้อโกงของรัฐบาลจีน ได้ออกมาประกาศว่าจะขจัดแนวคิดของ ‘ชนชั้นสูงทางการเงิน’ ตามค่านิยมตามแบบตะวันตก ที่มุ่งแสวงหา ‘รสนิยมระดับไฮเอนด์’ มากเกินไป

จึงมีคำสั่งภายในองค์กรการเงิน และธนาคารตั้งแต่ขนาดใหญ่ จนถึงขนาดกลาง ไม่ให้บุคคลากรในทุกระดับ อวดโชว์ไลฟ์สไตล์โก้หรูจนเกินงาม ด้วยการโพสต์ภาพมื้ออาหารหรูๆ กระเป๋า เสื้อผ้า เครื่องประดับราคาแพงของตนลงในโซเชียล เพื่อหลีกเลี่ยงกระแสวิพากษ์วิจารณ์จากสังคม
.
พนักงานธนาคารขนาดกลางแห่งหนึ่งของจีนเล่าว่า มีคำสั่งจากหน่วยงานให้เจ้าหน้าที่ทุกคนงดใช้กระเป๋า หรือสิ่งของแบรนด์เนมในที่ทำงาน รวมถึงการเข้าพักในโรงแรม 5 ดาว เมื่อต้องเดินทางไปทำงานต่างเมือง

นอกจากข้อห้ามการใช้ข้าวของหรูหราแล้ว เบี้ยเลี้ยงที่ไม่จำเป็น และโบนัสอาจต้องถูกตัดด้วย

แหล่งข่าวภายในเปิดเผยว่า ธนาคารขนาดใหญ่อย่าง Industrial and Commercial Bank of China (ICBC) และ China Construction Bank Corp (CCB) มีแผนที่จะลดเบี้ยเลี้ยงพิเศษสำหรับพนักงานภายในปีนี้ หลายสถาบันการเงินอาจต้องปรับลดโบนัสลงตั้งแต่ 30% - 50%

การปรับลดเบี้ยเลี้ยง โบนัส หรือการออกข้อบังคับให้คนทำงานในองค์กรการเงินใช้ชีวิตเรียบง่าย สมถะ เป็นผลพวงจากนโยบายต่อต้านการคอร์รัปชัน ของรัฐบาลจีนที่เล็งเป้ามาที่ภาคธุรกิจการเงิน และมีการแต่งตั้งองค์กรเฝ้าระวังการฉ้อฉลในภาคการเงินโดยเฉพาะในยุคของ ‘สี จิ้นผิง’ เทอม 3 เพื่อตอกย้ำถึงบทบาทสำคัญของรัฐบาลจีนทั้งแนวคิด และทางการเมือง

แต่อีกนัยยะหนึ่ง ที่สถาบันการเงินต่างๆ จำเป็นต้องตักเตือนพนักงานของตนเรื่องการใช้สินค้าฟุ่มเฟือย หรือการใช้สื่อโซเชียลโพสต์รูปอวดการใช้ชีวิตที่ทำให้หลายคนอิจฉา อาจทำเพื่อป้องกันไม่ให้สะดุดตาองค์กรต่อต้านคอร์รัปชั่นของรัฐบาลจีน ที่กำลังตรวจสอบหนักอยู่ในขณะนี้

ดังเช่นกรณีการหายตัวไปของนายเป่า ฟาน นักลงทุน และผู้ก่อตั้งบริษัท China Renaissance เมื่อไม่นานมานี้ ที่ต่อมาทราบแต่เพียงว่า กำลังเก็บตัวเพื่อให้ความร่วมมือกับทีมสอบสวนคดีทุจริตของรัฐบาลจีน นอกจากนี้ ยังมีมหาเศรษฐีในธุรกิจการเงินจีนอีกจำนวนมากที่จำเป็นต้องหายหน้าไปจากสื่อ เมื่อต้องพัวพันกับคดีทุจริต หรือการตรวจสอบจากรัฐบาลจีน อาทิ กั่ว กวงฉาง ผู้ก่อตั้งบริษัท Fosun International ‘เสี่ยว เจี้ยนหัว’ นักลงทุนสัญชาติจีน - แคนาดา เจ้าของบริษัท Tomorrow Holding และเป็นที่รู้จักกว้างขวางของคนวงในรัฐบาลจีน แต่สุดท้ายถูกตัดสินจำคุก 13 ปี ด้วยข้อหาฉ้อโกง และ คอร์รัปชัน รวมถึง แจ็ก หม่า เจ้าของธุรกิจ Alibaba ที่ต้องหายหน้าจากสื่อจีนนานเกือบ 2 ปี ในช่วงที่จีนเริ่มตรวจสอบธุรกิจ Fin Tech

ดังนั้น นโยบายการลดค่านิยมหรูหรา ฟุ่มเฟือยในกลุ่มคนทำงานในองค์กรธนาคาร และ สถาบันการเงิน อาจจะไม่ได้ช่วยเรื่องการลดช่องวางทางสังคมหรือปัญหาการว่างงานในจีนแต่อย่างใด แต่ช่วยในด้านการลดกระแสสังคมที่มองว่าเป็นกลุ่มทุนชั้นสูง ที่มักถูกครหาว่าสร้างแนวคิดในการใช้ชีวิตฟุ้งเฟ้อ หรือไม่ก็เป็นการป้องกันตัวไม่ให้สะดุดตาจากองค์กรตรวจสอบทุจริตของภาครัฐ ที่มักจบลงด้วยคดีความที่ยุงยากตามมานั่นเอง

เรื่อง : ยีนส์​ อรุณรัตน์

อ้างอิง : Channel News Asia / BBC
 


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top