Sunday, 11 May 2025
NewsFeed

‘อนุรัตน์’ ส.ส.พะเยา พรรคพลังประชารัฐ เร่งแก้ปัญหาถนนชำรุด กระทบการขนส่งพืชผล ของเกษตรกร

นายอนุรัตน์ ตันบรรจง ส.ส.เขต 2 พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) จ.พะเยา กล่าวภายหลังการรายงานตัวรับรองเป็น ส.ส.ว่า ตนจะเข้ามาแก้ไขปัญหาที่ไม่ได้รับการแก้ไขมาอย่างยาวนานให้พี่น้องประชาชน เช่น ปัญหาถนนชำรุด ปัญหาการเกษตร ในจังหวัดพะเยาเป็นพื้นที่ทางการเกษตร โดยเฉพาะการปลูกข้าว รวมถึงผลไม้ต่างๆ เช่น มะม่วง ลำไย และลิ้นจี่ แต่ถนนเพื่อการเกษตรยังขาดการดูแล ทำให้การขนส่งพืชผลมีภาระต้นทุนสูงขึ้น เพราะว่าถนนนั้นยังชำรุดอยู่ หรือทางเข้าออกยากลำบาก การจะนำพืชผลทางการเกษตรออกมาขายได้ต้องใช้เวลานาน จึงทำให้เกิดการเสียหาย 

นายอนุรัตน์ กล่าวต่อถึงเรื่องของบุคลากรอย่าง อสม.ว่า อสม.เป็นหน่วยงานที่ส่งสริมเรื่องของสุขภาพ ที่ผ่านมา อสม.ถือเป็นองค์กรที่เข้มแข็ง แต่ตอนนี้ยังขาดอุปกรณ์ทางการแพทย์ เพื่อที่จะเข้าไปดูแลสุขภาพของประชาชน ไม่ว่าจะเป็นในตำบอล ในหมู่บ้าน ตนจึงอยากจะผลักดันเรื่องของเงินเดือนของ อสม.ให้มีเงินเดือนสูงขึ้น อสม.เป็นจิตอาสา ทำงานอย่างหนัก แต่ได้รับค่าตอบแทนที่ยังไม่คุ้มค่ากับการลงแรงทำงาน นอกจากนี้ ยังมีเรื่องความปลอดภัยในพื้นที่ ที่มี อปพร.กับ ตำรวจบ้าน ทำงานร่วมกันแต่ก็ไม่ได้รับค่าตอบแทนเช่นกัน

นายอนุรัตน์ กล่าวต่อว่า ตนยังมองถึงแผนงานที่จะเพิ่มรายได้ให้ชาวบ้านได้ ก็คือส่งเสริมอาชีพพื้นบ้าน เช่น สินค้าหัตถกรรม โดยเป็นสินค้าที่ทางชุมชนเราผลิตหรือสร้างเอง และนำออกไปขายได้ อย่างเช่น กว๊านพะเยา เป็นแหล่งน้ำที่จะมีผักตบชวา ชาวบ้านจะนำผักตบชวามาตากแห้ง เพื่อเอามาทำเป็นงานจักสานผลิตภัณฑ์ต่างๆ ก็จะสามารถสร้างรายได้ 

"อีกปัญหาหนึ่งที่สำคัญมากในพื้นที่จังหวัดพะเยา คือ เรื่องของแหล่งน้ำ เพราะในช่วงฝนตกหนักจะไม่มีพื้นที่รองรับน้ำ ดังนั้น เราจะต้องเร่งประสานงานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อสร้างเขื่อนหรือฝาย หรืออ่างเก็บน้ำเพื่อเก็บน้ำ เพราะปัจจุบันอ่างเก็บน้ำมีจำนวนน้อย ดังนั้นเวลาฝนตกลงมาก็จะมีปัญหาน้ำท่วมอยู่เสมอ"นายอนุรัตน์ กล่าว

‘OMD2–DITP’ จัดสัมมนายกระดับการค้าระหว่างประเทศ ส่งเสริมศักยภาพผู้ประกอบการไทย สู่เวทีการค้าในตลาดโลก

เมื่อไม่นานนี้ นายภูสิต รัตนกุล เสรีเริงฤทธิ์ อธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ เปิดสัมมนาการพัฒนาเสริมสร้างศักยภาพของผู้ประกอบการในภูมิภาค ภายใต้แนวคิด “เปิดประตูสู่โอกาสการค้าไทยในตลาดโลก” (The Key to Connext) ในโครงการเสริมสร้างศักยภาพผู้ส่งออกไทยด้วยข้อมูลการค้าตลาดภูมิภาคอเมริกา ลาตินอเมริกา ยุโรป CIS แอฟริกา และตะวันออกกลาง จัดโดย สำนักพัฒนาตลาดและธุรกิจไทยในต่างประเทศ 2 หรือ สพต.2 หรือ ‘OMD2’ กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ

ซึ่งเป็นการสัมมนาทางสื่ออิเล็กทรอนิกส์ถ่ายทอดผ่านระบบโปรแกรมผ่านระบบ ZOOM Application โดย ครั้งที่ 1 จัดขึ้นระหว่างวันที่ 31 พฤษภาคม – 1 มิถุนายน 2566 และครั้งที่ 2 ระหว่างวันที่ 7 – 8 มิถุนายน 2566 ซึ่งมีวัตถุประสงค์ เพื่อเสริมสร้างศักยภาพและความพร้อมให้ผู้ประกอบการไทย และผลักดันการขยายการค้าและการลงทุนของไทยในตลาดโลก
.
โดยครั้งที่ 1 เป็นการสร้างความรู้ให้ผู้ประกอบการสามารถนำไปใช้ได้ อาทิ การเสริมสร้างศักยภาพด้านการค้าระหว่างประเทศในเรื่องการใช้ข้อมูลการค้า แนวโน้มตลาด มุมมองเศรษฐกิจ กลุ่มสินค้าส่งออกที่คาดว่าจะขยายตัว พฤติกรรมผู้บริโภค ในปี 2023 แนวโน้มการค้าโลก การแบ่งกลุ่มเป้าหมายตามระดับต่างๆ เทคนิคการเจาะตลาด การเลือกตลาดให้เหมาะสมกับสินค้า โอกาสในการเจรจาการค้าในยุค Digital ทั้งเทคนิค ขั้นตอน วิธีการที่สำคัญในการเตรียมตัวสู่การเจรจาการค้าออนไลน์ รวมทั้งแนะนำสำนักงานส่งเสริมการค้าของไทยในต่างประเทศทั้ง 58 แห่ง ที่คอยช่วยเหลืออำนวยความสะดวก แนะนำข้อมูลการค้าต่างๆ พร้อมทั้งเสริมสร้างโอกาสทางการค้า ผ่านกิจกรรมต่างๆ

ครั้งที่ 2 เป็นการแนะนำการเสนอเรื่องราวของสินค้าอย่างไรให้ตรงใจผู้บริโภค การปรับแต่งเรื่องเล่าสำหรับตลาดต่างๆ การสร้างโอกาสผ่านการเล่าเรื่อง การค้นหาจุดเด่น บรรจุภัณฑ์ที่ดีต้องคำนึงถึงอะไร กลยุทธ์การตลาดกับการออกแบบบรรจุภัณฑ์ การออกแบบบรรจุภัณฑ์เพื่อการส่งออก เลือกวิธีการสื่อสาร ไปจนถึงการนำเสนอรูปแบบสินค้า เทคนิคต่างๆ รวมทั้งการติดตามผลการเจรจาการค้าหรือกลยุทธ์อื่นๆ ที่เหมาะสม โดยวิทยากรที่มากด้วยความรู้และประสบการณ์ในวงการธุรกิจเป็นผู้บรรยายแลกเปลี่ยนความรู้ ซึ่งการจัดงานสัมมนาในครั้งนี้มีผู้เข้าร่วมงาน รวมทั้งสิ้นกว่า 200 คน

นอกจากจะยกระดับผู้ประกอบการไทยและผู้ประกอบการรายใหม่ที่ได้เข้าร่วมกิจกรรมในครั้งนี้ ยังมีการประชาสัมพันธ์ข้อมูลหรือกิจกรรม ซึ่งเป็นกิจกรรมที่จะเกิดขึ้นในอนาคตของ สพต. 2 หรือ OMD2 สำหรับผู้ที่สนใจการสัมมนาหรือกิจกรรมที่จะช่วยยกพัฒนาศักยภาพด้านการค้าระหว่างประเทศในด้านต่างๆ สามารถติดตามข่าวสาร และสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่

11 ศิลปินแห่งชาติ ปลุกพลังสร้างสรรค์งานวรรณศิลป์แก่ต้นกล้าวรรณกรรม โครงการถ่ายทอดงานศิลป์กับศิลปินแห่งชาติ ลายลักษณ์วรรณศิลป์ รุ่น 7

กรมส่งเสริมวัฒนธรรม กระทรวงวัฒนธรรม เปิดโอกาสให้ผู้ที่ชื่นชอบงานเขียน อาทิ  เรื่องสั้นนวนิยาย กวีนิพนธ์  และสารคดี   สัมผัสประสบการณ์ เทคนิควิธี สร้างสรรค์งาน ทั้งภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติ จากศิลปินแห่งชาติ สาขาวรรณศิลป์ และผู้ทรงคุณวุฒิ ในโครงการถ่ายทอดงานศิลป์กับศิลปินแห่งชาติลายลักษณ์วรรณศิลป์ รุ่น 7 จำนวน 65 คน ณ หออัครศิลปิน จังหวัดปทุมธานี
 
วันพุธที่ 21 มิถุนายน 2566 เวลา 09.30 น. นายโกวิท ผกามาศ อธิบดีกรมส่งเสริมวัฒนธรรม มอบหมายให้นางสาววราพรรณ ชัยชนะศิริ รองอธิบดีกรมส่งเสริมวัฒนธรรม เป็นประธานเปิดงาน โครงการถ่ายทอดงานศิลป์กับศิลปินแห่งชาติ ฯ เปิดเผยว่า การจัดการฝึกอบรม ลายลักษณ์วรรณศิลป์ รุ่น 7 ซึ่งเป็นกิจกรรมหนึ่งของโครงการถ่ายทอดงานศิลป์กับศิลปินแห่งชาติ  ที่กรมส่งเสริมวัฒนธรรมได้ดำเนินการมาอย่างต่อเนื่อง และงดการจัดกิจกรรมไปในช่วงที่มีการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ภายหลังจากที่สถานการณ์ของโรคระบาดคลี่คลายลง  สวธ.จึงได้จัดกิจกรรมนี้ขึ้นอีกครั้งด้วยเห็นว่ากิจกรรมการฝึกอบรมลายลักษณ์วรรณศิลป์ เป็นกิจกรรมที่มีความสำคัญต่อการสืบทอดรักษามรดกภูมิปัญญาและองค์ความรู้ของศิลปินแห่งชาติ สาขาวรรณศิลป์ และยังเป็นประโยชน์ต่อ นักเรียน นักศึกษา ครู อาจารย์ และผู้ที่ต้องการจะเป็นนักเขียนในอนาคต ให้มีโอกาสได้เสริมสร้างประสบการณ์ ศึกษาแลกเปลี่ยนเรียนรู้ร่วมกับศิลปินแห่งชาติ  ฝึกฝนลีลาในการสร้างสรรค์งานวรรณศิลป์  พัฒนาทักษะกระบวนการคิดให้เป็นระบบและมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น  สามารถนำความรู้ไปต่อยอดในการสร้างสรรค์งานวรรณศิลป์ตามแนวทางของตนเอง และยังมีโอกาสที่จะได้ศึกษาเรียนรู้เกี่ยวกับ อัครศิลปิน วิศิษฏศิลปิน ประวัติและผลงานของ ศิลปินแห่งชาติ จากนิทรรศการที่จัดแสดงอยู่ภายในหออัครศิลปินแห่งนี้อีกด้วย   

รองอธิบดี สวธ. กล่าวต่อว่า  สิ่งที่สำคัญที่สุดของการฝึกอบรมครั้งนี้ คือ การสนับสนุนจากศิลปินแห่งชาติ การฝึกอบรมในลักษณะนี้ จะไม่สามารถเกิดขึ้นได้ หากไม่ได้รับการสนับสนุนจากศิลปินแห่งชาติทุกท่านที่เห็นถึงความสำคัญและประโยชน์ที่ผู้เข้าอบรม รวมถึงสังคมและประเทศชาติจะได้รับ  ในนามของกรมส่งเสริมวัฒนธรรม ขอขอบคุณศิลปินแห่งชาติ และวิทยากรทุกท่าน  ที่กรุณาสละเวลาให้เกียรติมาถ่ายทอดความรู้ให้แก่ผู้เข้าอบรม  และหวังว่าผู้เข้าอบรมทุกคนจะนำความรู้ ประสบการณ์ คำชี้แนะ วิจารณ์ ที่ได้รับจากศิลปินแห่งชาติ และวิทยากร  ไปปรับใช้กับการสร้างสรรค์ผลงานของตนเองให้ก้าวหน้ายิ่งขึ้น และขอเป็นกำลังใจให้แก่ผู้เข้าอบรมทุกคนในการที่จะร่วมกันรักษาสืบสาน และสร้างสรรค์งานวรรณศิลป์เพื่อจรรโลงสังคมและวัฒนธรรมให้คงอยู่และดียิ่งขึ้นต่อไป
 
จากนั้น นางมงคลทิพย์ รุ่งงามฤกษ์ ผู้อำนวยการสถาบันวัฒนธรรมศึกษา กล่าวถึงวัตถุประสงค์การจัดกิจกรรม ว่า เพื่อถ่ายทอดความรู้ ภูมิปัญญาของศิลปินแห่งชาติ ให้แก่ นักเรียน นักศึกษา ครู อาจารย์ และผู้ที่ต้องการจะเป็นนักเขียน จากทั่วประเทศ ในรูปแบบการฝึกอบรมเชิงปฏิบัติการ โดยในภาคทฤษฎีผู้เข้าอบรมจะได้รับการถ่ายทอดความรู้และแลกเปลี่ยนประสบการณ์ในการสร้างสรรค์ผลงานจากศิลปินแห่งชาติ  ในภาคปฏิบัติ  ผู้เข้าอบรมจะได้สร้างสรรค์ผลงานตามความถนัด เมื่อจบหลักสูตรศิลปินแห่งชาติจะพิจารณาคัดเลือกผลงานดีเด่น และนำไปจัดพิมพ์ในหนังสือลายลักษณ์วรรณศิลป์ 7 ซึ่งนอกจากจะเป็นการเผยแพร่ผลการดำเนินโครงการแล้วยังได้เผยแพร่ผลงานของผู้เข้าอบรมไปยังนักเรียน นักศึกษา ครู อาจารย์ ในสถาบันการศึกษาต่าง ๆ  และผู้อ่านทั่วไป  เป็นการเปิดมุมมอง  สร้างจินตนาการและสร้างแรงบันดาลใจ ให้แก่ผู้อ่านและนักเขียนรุ่นใหม่ต่อไป 

ด้านนางนันทพร ศานติเกษม (ปิยะพร ศานติเกษม) ศิลปินแห่งชาติ สาขาวรรณศิลป์ พุทธศักราช 2564  กล่าวว่า เป็นครั้งแรกที่ตนเองได้มีโอกาสร่วมเป็นวิทยากรถ่ายทอดประสบการณ์ ในการสร้างสรรค์งานเขียนด้านนวนิยายและอยากจะฝากถึงน้อง ๆ ว่าที่นักเขียนในอนาคตว่า ถ้าใครอยากเป็นนักเขียนต้องเริ่มสำรวจตัวเองเบื้องต้นก่อนว่า เป็นคนรักการอ่านไหม รักตัวอักษรไหม รักการเขียนไหม  หากมีสิ่งเหล่านี้เป็นพื้นฐาน น้อง ๆ  ก็สามารถฝึกฝน พัฒนาทักษะ ให้เป็นนักเขียนที่ดีได้ เพราะการเขียนได้ เขียนดี และเขียนงาม จะสามารถก้าวสู่ความสำเร็จบนถนนนักเขียนได้แน่นอนในอนาคต
 
โดยการอบรมในครั้งนี้ ได้รับเกียรติจาก 11 ศิลปินแห่งชาติ ได้แก่  นายสถาพร ศรีสัจจัง นายเจริญ มาลาโรจน์ นางชมัยภร บางคมบาง นายไพวรินทร์  ขาวงาม รองศาสตราจารย์ธัญญา สังขพันธานนท์ นายกิตติศักดิ์ มีสมสืบ  นายจำลอง ฝั่งชลจิตร นางสาวอรสม สุทธิสาคร นางนันทพร ศานติเกษม นายวรนันทน์ ชัชวาลทิพากร นางวรรณี ชัชวาลทิพากร และ ผู้ทรงคุณวุฒิ 2 ท่าน ได้แก่  นายวีระศักดิ์ จันทร์ส่งแสง  และ นายจรูญพร ปรปักษ์ประลัย มาร่วมถ่ายทอดความรู้ ประสบการณ์ในการสร้างสรรค์ผลงานวรรณกรรม ในการใช้ภาษาของตนเองให้สามารถหลอมรวมความรู้  ความคิด  ทัศนคติและประสบการณ์  ด้วยกระบวนการคิดที่เป็นระบบสามารถสื่อสารไปยังผู้อ่านผ่านงานวรรณกรรมประเภทต่าง ๆ  ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และเป็นไปตามวัตถุประสงค์ของผู้เขียน และเมื่อจบหลักสูตรศิลปินแห่งชาติจะพิจารณาคัดเลือกผลงานดีเด่น  ของผู้เข้ารับการอบรมทั้ง 4 ประเภทได้แก่ เรื่องสั้น นวนิยาย กวีนิพนธ์  และสารคดี ไปจัดพิมพ์ในหนังสือลายลักษณ์วรรณศิลป์ 7  ซึ่งนอกจากจะเป็นการเผยแพร่ผลการดำเนินโครงการแล้ว ยังได้เผยแพร่ผลงานของผู้เข้าอบรมไปยังนักเรียน นักศึกษา ครู อาจารย์ ในสถาบันการศึกษาต่าง ๆ  และผู้อ่านทั่วไป  เป็นการเปิดมุมมอง  สร้างจินตนาการ และสร้างแรงบันดาลใจ ให้แก่ผู้อ่านและนักเขียนรุ่นใหม่ต่อไป

เจนกิจ นัดไธสง รายงาน

เปรียบเทียบค่าเทอมระหว่างโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาพัฒนาการ

เปรียบเทียบค่าเทอมระหว่างโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาพัฒนาการ และโรงเรียนสาธิตแห่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ของนักเรียนแต่ละชั้นปี ต้องจ่ายค่าเทอมกันปีละเท่าไรบ้าง ไปดูกัน!!
 

Operation fish ปฏิบัติการขนย้ายสมบัติครั้งใหญ่ที่สุดในโลก ของสหราชอาณาจักร ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2



แหวนทองที่พลเมืองอังกฤษส่งมอบให้รัฐบาลเพื่อนำไปแปรรูปเป็นทองคำแท่ง

‘Operation fish’ (ปฏิบัติการปลา) เดือนกันยายน ค.ศ.1939 รัฐบาลอังกฤษได้ออกคำสั่งให้พลเมืองทุกคนที่อาศัยอยู่ในสหราชอาณาจักร ต้องแสดงและมอบทรัพย์สิน โดยเฉพาะทองคำของตนให้กับกระทรวงการคลัง ด้วยเมฆพายุแห่งสงครามที่รวมตัวกันทำให้รัฐบาลอังกฤษเกิดความกลัวที่สหราชอาณาจักรมีโอกาสจะเพลี่ยงพล้ำ หากกองทัพเยอรมันยกพลบุกและยึดครองเกาะอังกฤษได้สำเร็จในที่สุด เพื่อให้อังกฤษมีเงินและทรัพยากรที่จะทำการสู้รบต่อไปได้ แม้ว่าเกาะอังกฤษจะถูกยึดครองก็ตาม ดังนั้น รัฐบาลอังกฤษจึงตัดสินใจขนย้ายสมบัติไปยังแคนาดา ประเทศในเครือจักรภพอังกฤษในทวีปอเมริกาเหนือ


ปืนพก Colt ขนาด .380 ที่ถูกสั่งซื้อโดย British Purchasing Commission

ก่อน Operation fish ได้มีการส่งขบวนเรือพร้อมทองคำและเงินมูลค่าหลายล้านปอนด์ เพื่อซื้ออาวุธจากสหรัฐอเมริกามาแล้ว โดย British Purchasing Commission (คณะกรรมาธิการจัดซื้อของอังกฤษ) ซึ่งเป็นหน่วยงานของรัฐบาลอังกฤษในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง เดิมคือ คณะกรรมการจัดซื้อของแองโกล-ฝรั่งเศส (Anglo-French Purchasing Board) มีสำนักงานอยู่ในมหานครนิวยอร์ก ซึ่งทำหน้าที่จัดการในการจัดซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์จากผู้ผลิตในอเมริกาเหนือ และหลังจากการยอมจำนนของฝรั่งเศสในปี ค.ศ.1940 จึงกลายเป็น British Purchasing Commission คณะกรรมาธิการชุดนี้ยังรับผิดชอบต่อคำสั่งซื้อที่แต่เดิมเป็นของฝรั่งเศส เบลเยียม และต่อมาโดยนอร์เวย์ หลังจากการยอมจำนนต่อเยอรมันของประเทศเหล่านั้น


Sir Winston Churchill นายกรัฐมนตรีแห่งสหราชอาณาจักรระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2

เมื่อ ‘Winston Churchill’ จัดตั้งรัฐบาลในปี ค.ศ.1940 สงครามกับเยอรมันกำลังดำเนินไปโดยฝ่ายสัมพันธมิตรเป็นฝ่ายย่ำแย่ เพื่อให้มีหลักประกันว่า สหราชอาณาจักรจะสามารถสู้รบต่อไปได้ แม้เกาะอังกฤษจะถูกยึดครองก็ตาม Churchill จึงวางแผนจัดส่งทรัพย์สมบัติของอังกฤษจำนวนมหาศาลไปเก็บเพื่อความปลอดภัยในแคนาดา จากการที่รัฐบาล Churchill ได้ใช้อำนาจในช่วงสงคราม (กฎอัยการศึก) ยึดทรัพย์สินที่ชาวอังกฤษทุกคนได้ถูกบังคับให้ลงทะเบียนเมื่อกันยายน ค.ศ.1939 และทำการขนย้ายทรัพย์สินเหล่านั้นไปยังท่าเรือ Greenock ในสกอตแลนด์ภายใต้การคุ้มกันอย่างเป็นความลับสุดยอด


เรือ HMS Emerald

จากนั้น ทรัพย์สินทั้งหมดก็ถูกขนส่งโดย ‘เรือรบ HMS Emerald’ ซึ่งออกเดินทางเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม ค.ศ.1939 พร้อมด้วยด้วยเรือพิฆาตคุ้มกันจำนวนหนึ่งได้แล่นไปยังแคนาดา การเดินทางของขบวนเรือครั้งนี้อยู่ภายใต้การควบคุมที่เข้มงวด เพื่อเป็นการรักษาความลับและลวงพรางศัตรู ลูกเรือทุกนายต้องสวมเครื่องแบบ ‘สีขาวเขตร้อน’ เพื่อสร้างความสับสนให้กับเยอรมัน ในขบวนเรือคุ้มกันประกอบด้วยเรือประจัญบาน HMS Revenge และ HMS Resolution และ HMS Enterprise รวมถึงเรือลาดตระเวน HMS Caradoc ระหว่างทางขบวนเรือเผชิญกับพายุที่รุนแรงลูกหนึ่ง ที่ทำให้เกิดคลื่นลมแรงจนขบวนเรือต้องลดความเร็วลง จนเกือบจะกลายเป็นเป้าหมายง่ายๆ สำหรับเรือดำน้ำของเยอรมันที่พยายามเข้ามามาด้อมๆ มองๆ แต่ในที่สุดขบวนเรือก็มาถึงท่าเรือเมืองแฮลิแฟกซ์ของแคนาดา ทรัพย์สมบัติของอังกฤษก็ถูกขนย้ายด้วยรถไฟ และถูกส่งไปยังกรุงออตตาวาซึ่งเป็นเมืองหลวงของแคนาดา ก่อนส่งต่อไปยังนครมอนทรีออล


อาคาร Sun Life ในนครมอนทรีออล

ทองคำแท่งน้ำหนักสองล้านปอนด์ (900 ตัน) มูลค่าราว 1.948 ล้านบาทในปัจจุบัน อันเป็นทรัพย์สินของอังกฤษ ถูกเก็บไว้ในห้องนิรภัยใต้ดินที่สร้างขึ้นเป็นพิเศษใต้อาคาร Sun Life ในนครมอนทรีออล ภายใต้การคุ้มกันตลอดเวลาโดย ตำรวจของ Royal Canadian Mounted และมีการปล่อยข่าวลืออย่างต่อเนื่องว่า มีการเก็บเครื่องราชกกุธภัณฑ์แห่งสหราชอาณาจักรไว้ที่นครมอนทรีออล โดยไม่มีการพูดถึงทองคำจำนวนมหาศาล เพื่อเป็นการอำพรางกิจกรรมที่เกิดขึ้นในอาคาร Sun Life โดยที่พนักงาน 5,000 คน ที่ทำงานในอาคาร Sun Life ไม่เคยสงสัยเลยว่า มีทองคำจำนวนมหาศาลถูกเก็บไว้ในห้องใต้ดินของอาคาร


แม้จะมีผู้คนจำนวนมากเข้าร่วมในปฏิบัติการครั้งนี้ แต่หน่วยข่าวกรองของเยอรมันก็ไม่เคยทราบหรือระแคะระคายข้อมูลเกี่ยวกับปฏิบัติการนี้เลย นักบัญชีและการเงินหลายร้อยคนทำงานอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย เพื่อจัดรายการเนื้อหาของทรัพย์สินที่ถูกขนย้ายมา เมื่อเสร็จปฏิบัติการแล้วก็พบว่า ‘ทองคำ’ มูลค่าราว 1.948 ล้านบาท ที่ถูกส่งจากสหราชอาณาจักรไปยังแคนาดานั้น ไม่สูญหายเลยแม้แต่แท่งเดียว



มีแผ่นหินจารึกบนกำแพงด้านนอกของ Martins Bank บนถนน Water Street ในนครลิเวอร์พูลเป็นที่ระลึกถึงทองคำ ซึ่งถูกเก็บไว้ที่นั่นระหว่างเดินทางไปแคนาดา ระบุข้อความว่า…

“ในเดือนพฤษภาคม ค.ศ.1940 เมื่อประเทศนี้ถูกคุกคาม ทองคำสำรองบางส่วนของประเทศถูกนำมาจากกรุงลอนดอน และถูกเก็บเพื่อความปลอดภัยในห้องใต้ดินของ Martins Bank”

ตัวเลขทองคำสำรองของอังกฤษในปัจจุบันอยู่ที่ 310 ตัน (ในขณะที่ตัวเลขทองคำสำรองของไทยในปัจจุบันอยู่ที่ 244 ตัน) ทองคำถือเป็นสินทรัพย์ปลอดภัยที่ได้รับความนิยมสูง เพราะเป็นสินทรัพย์ที่จับต้องได้ ไม่สามารถพิมพ์ออกมาใหม่ได้เหมือนเงิน และมูลค่าของทองคำไม่ได้รับผลกระทบจากอัตราดอกเบี้ย เนื่องจากการรักษามูลค่ามีมาแต่อดีต ดังนั้น เมื่อมีเกิดภาวะเศรษฐกิจซบเซาหรือเข้าสู่วิกฤติ ราคาทองคำจะเพิ่มสูงขึ้นเนื่องจากเป็นที่ต้องการเพิ่มขึ้น ดังนั้นทองคำเป็นหลักประกันที่จับต้องได้ที่ดีสุดสุดตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน

เรื่อง : ดร.ปุณกฤษ ลลิตธนมงคล
ที่ปรึกษาด้านการบริหารจัดการสมัยใหม่ อาจารย์พิเศษหลักสูตรปริญญาโทและเอก นักเล่าเรื่องมากมายในหลากหลายมิติ เป็นผู้ที่ชื่นชมสนใจในประวัติศาสตร์สงครามสมัยใหม่ตลอดจนอาวุธยุทโธปกรณ์ต่างๆ

 

ผบ.ตร. มอบรางวัลตำรวจจราจรจราจร สภ.เมืองราชบุรี

วันนี้ (23 มิ.ย.66) เวลา 11.45 น. ที่ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ  พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. ได้มอบเกียรติบัตรโครงการ “ทำดี มีรางวัล” ให้แก่ตำรวจจราจร สภ.เมืองราชบุรี

พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ฯ กล่าวว่า สำหรับโครงการ “ทำดี มีรางวัล” นั้นเป็นโครงการที่มีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างขวัญและกำลังใจให้กับข้าราชการตำรวจและประชาชนที่ประกอบคุณงามความดีมีจิตสาธารณะ จนเป็นที่ยอมรับของสังคม ตลอดจนข้าราชการตำรวจที่มุ่งมั่นทุ่มเททำงานจนมีผลงานเป็นที่ประจักษ์ สร้างชื่อเสียงให้แก่หน่วยงาน และกรณีนี้คือร.ต.ต.วิเชียร มณีวิหค รองสารวัตรจราจร สถานีตำรวจภูธรเมืองราชบุรี ที่ปฏิบัติหน้าที่รักษากฎหมาย อำนวยความสะดวกบนเส้นทางจราจรได้อย่างเข้มแข็ง ตลอดยังเป็นผู้มีจิตสาธารณะ ทุ่มเททำงานจนมีผลงานเป็นที่ประจักษ์และได้รับการชื่นชมจากสังคมในหลายกรณี ดังเช่น  

เมื่อวันที่ 5 มิถุนายน พ.ศ. 2566 เวลาประมาณ 11.20 น. ร.ต.ต.วิเชียรฯ ได้ทำการช่วยเหลือพลทหาร มีพฤติกรรมคล้ายจะกระโดดลงน้ำจากสะพานรถไฟจุฬาลงกรณ์ โดยทำการรับฟัง เกลี้ยงกล่อม ปลอบใจ จนสามารถเข้าช่วยเหลือได้อย่างปลอดภัย ตลอดจนประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้รับตัวไปดูแล

และเมื่อวันที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2566 เวลาประมาณ 07.40 น. ร.ต.ต.วิเชียรฯ ได้เข้าให้ความช่วยเหลือปฐมพยาบาลเด็กนักเรียนจากอุบัติเหตุรถจักรยานยนต์เฉี่ยวชนกันอย่างทันท่วงที พร้อมประสานรถพยาบาลรับตัวผู้บาดเจ็บไปรักษา จนได้รับเสียงชื่นชมจากผู้ที่พบเห็นเหตุการณ์เป็นอย่างมาก

เหตุการณ์ล่าสุด เมื่อวันที่ 16 มิถุนายน พ.ศ.2566 เวลาประมาณ 16.40 น. ระหว่างที่ 
ร.ต.ต.วิเชียร มณีวิหค รองสารวัตรจราจร สถานีตำรวจภูธรเมืองราชบุรี ปฏิบัติหน้าที่อำนวยความสะดวกด้านการจราจรบริเวณถนนสมบูรณ์กุล หน้าโรงพยาบาลราชบุรี ได้พบเห็นรถยนต์กระบะจอดรถสวนเลนไม่ชิดขอบทางด้านซ้าย จึงเข้าตรวจสอบ พบว่ามีผู้ขับขี่ในรถ จึงเข้าไปสอบถาม แต่ชายผู้ขับรถคันดังกล่าวตอบกลับด้วยอารมณ์ฉุนเฉียว และลงจากรถ และใช้โทรศัพท์มือถือบันทึกภาพวีดีโอการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ทำการชี้แจงและอธิบายถึงการปฏิบัติผิดกฎหมายจราจร 
สร้างความเสี่ยงให้ผู้ใช้รถใช้ถนน ด้วยความใจเย็น 

ผบ.ตร.กล่าวอีกว่า “ตนขอชื่นชมในความตั้งใจในการปฏิบัติหน้าที่ สามารถควบคุมอารมณ์ได้เป็นอย่างดี และเป็นผู้รักษากฎหมายจราจร เพื่อรักษาความปลอดภัยบนท้องถนนอย่างแท้จริง ตนจึงได้มอบใบประกาศเกียรติคุณและรางวัลตามโครงการ “ทำดี มีรางวัล” และเงินรางวัล รวมทั้งสิ้น 5,000 บาท เพื่อเป็นขวัญและกำลังใจเป็นแบบอย่างที่ดีแก่สังคม ซึ่งโครงการนี้เป็นโครงการที่จะมอบรางวัลให้กับข้าราชการตำรวจหรือประชาชนที่ปฏิบัติหน้าที่ดีเด่น ทำงานเชิงรุก เพื่อความสงบสุขของประชาชน ประกอบคุณงามความดี ช่วยเหลือประชาชน หรือทางราชการ ประพฤติตนดี คิดถึงประโยชน์ส่วนรวมและช่วยเหลือประชาชนจนเป็นที่ยอมรับต่อสังคม”

‘เบส คำสิงห์’ ดูแลตัวเอง ออกกำลังกาย ขัดผิวทุกวัน อยากให้ดูดีเพื่อคนใหม่ ไม่ได้มีสเปกตายตัว ขอแค่คุยกันรู้เรื่อง นิสัยดี

โสดแล้วสวย โสดแล้วแซ่บ สำหรับ “เบส คำสิงห์” หรือ รักษ์วนีย์ คำสิงห์ ลูกสาวคนเก่งของ “สมรักษ์ คำสิงห์” โดยในงานประกาศรางวัล MAYA TV AWARDS 2023 เจ้าตัวเผยสวยขึ้นเพราะอยากดูแลตัวเองให้ดูดีเพื่อแฟนใหม่

“เราก็ดูแลตัวเองค่ะ เพราะว่าว่าง ตอนไม่โสดไม่ว่างเพราะอยู่กับแฟนไง เราเป็นผู้หญิงติดแฟน แต่ตอนนี้หนูตื่นมาออกกำลังกายทุกเช้า แล้วก็ดูแลผิว สครับ ขัดผิวทุกวัน (อยากให้ดูดีขึ้นเพื่อคนที่เข้ามาใหม่?) เพื่อเขาด้วย คนใหม่ก็ต้องภูมิใจที่มีแฟนเป็นเรา (หัวเราะ) เราต้องพัฒนาขึ้นไง เขามาคบเราแล้ว เราก็ต้องพัฒนาในเรื่องของความคิด ทัศนคติ รูปร่างด้วย หุ่นด้วย”

โสดแล้วแซบได้ ชินโดนแซะ คงไม่หนักเท่าปีก่อนแล้ว
“ตอนนี้โสดก็แซบได้ สเปกเหมือนเดิมค่ะ ไม่มีอะไรเปลี่ยน จริงๆ หนูก็ไม่ได้มีสเปกตายตัวนะ แค่คุยกันรู้เรื่อง นิสัยดีก็โอเคแล้ว ส่วนคนคอมเมนต์แซะก็ปกติค่ะ เป็นเรื่องปกติมาก เพราะว่าเราเป็นผู้หญิง เราก็ต้องโดนอยู่แล้ว คือก่อนหน้านี้เราโดนมาหนักมาก ช่วงปีที่แล้ว ไปออกรายการ ทำอะไรก็โดนไปหมด ความรู้สึกเรามันอยู่ตัวแล้ว ก็คงไม่มีอะไรหนักเท่าปีที่แล้วแหละ
ตอนนี้ก็ยังอ่านคอมเมนต์นะ แต่ว่าถ้าใครว่าเรา เราก็ไปอ่านคนที่ชมเรา เราไม่ได้อิกนอร์นะ ถ้าเกิดเขาบอกว่าเราอ้วน เราก็จะลดน้ำหนัก แต่ถ้าด่าว่าเราไม่สวย เราก็จะไปส่องกระจกที่บ้าน ถ้าส่องแล้วรู้สึกว่าก็ดูดีนะ ก็ไม่ได้ไม่สวยขนาดนั้น เราก็ข้ามไป เวลาอ่านเจอคอมเมนต์ไม่ดีก็ไม่โกรธ เพราะว่าหนูเจอมาหนักมากเลยค่ะปีที่แล้ว ปีนี้ก็เลยไม่ค่อยเท่าไหร่ ปีที่แล้วกว่าจะผ่านมาก็ยาก ก็หนักเหมือนกัน”

เคยถามคนเคยฟ้อง แต่ไม่เคยทำ และยังไม่เคยคิด
“ก็เบาๆ ค่ะ คอมเมนต์กันเบาๆ (หัวเราะ) แต่เรื่องฟ้องร้องไม่มีค่ะ ไม่เคยคิดเลย แต่ถามพี่ๆ นักแสดงเหมือนกัน ว่ามันได้เงินจริงเหรอคะ ใช้เวลานานไหม ก็ถามเฉยๆ แต่ไม่เคยทำค่ะ”

โดนด่าเพราะจริต เป็นคนตรงๆ
“อาจจะเป็นจริตหนูด้วย เราเป็นคนตรงๆ อาจจะบอกว่าหนูออกตัวแรงด้วย หลายๆ อย่างค่ะ แต่ตอนนี้ก็ปรับตัวเองลงมาเยอะมากแล้ว หนูแทบไม่ลงสตอรี่เลยด้วยซ้ำ คือเวลามีปัญหาถ้าเกิดเป็นปัญหาเล็กๆ มันก็ไม่เท่าไหร่ค่ะ แต่บางทีเรื่องเล็กๆ แต่ทำไมปัญหามันใหญ่จัง เราก็ซีเรียสนิดหนึ่ง เลยระวังตัวเอง”

แฟนใหม่จะเปย์เหมือนเดิม เปรยขำๆ อาจดาวน์รถให้ก็ได้ แถมไม่เอาคืน
“ก็เปย์นะ ก็แฟนเรา ก็เป็นคนคลั่งรัก มันไม่ได้ให้ถึงขั้นหมดตัว แบบไปกินข้าว เราก็เลี้ยงได้ แต่ถ้าเขาอยากได้รถ ก็ใหญ่ไป แต่หนูอาจจะดาวน์ให้ก็ได้ (หัวเราะ) หนูว่าการเป็นแฟนกันมันเป็นเรื่องปกติมาก ซึ่งหนูให้หนูก็ไม่ได้จะเอาคืน ให้ก็คือให้ ให้แล้วก็จบไป ส่วนคนมองว่าน่าจะเป็นผู้ชายเปย์ มันก็อยู่ที่เขา เราไม่สามารถพูดได้ ว่าพี่จ่ายอันนี้ให้หน่อย แต่ถ้าเกิดเขาอยากให้เรา เราก็รับ แต่เราอยากให้มากกว่า เราดูเหมือนเราอยากให้มากกว่า (หัวเราะ)”

ไม่หวั่นประวัติศาสตร์ซ้ำรอย ผู้ชายคนใหม่ต้องดีกว่าเดิม
“ไม่ค่ะ เรายังพัฒนาขึ้นเลย ผู้ชายคนใหม่ต้องดีกว่าเดิม ลิมิตในการให้ของใครก็มี ก็ไม่ใช่ว่ามีล้านจะให้ล้านขนาดนั้น ก็บอกอยู่ว่าให้ครึ่งหนึ่ง(หัวเราะ) เดี่ยวเราหาใหม่ ถามว่ากลัวเขาหลอกไหม ไม่หรอกๆ เหมือนคนที่เข้ามาเขาไม่ได้หวังอย่างนั้น”

มั่นใจดูคนเป็น
“เราก็ดูคนเป็นอยู่ เราดูคนออกอยู่ ก่อนที่จะมาเป็นแฟนมันก็ต้องคุยกันมาก่อน ตอนคุยกันเราก็ดูออกประมาณหนึ่งอยู่แล้ว ต้องเป็นแฟนถึงเปย์ ต้องมีสถานะแฟน ทำไมไม่มีใครถามหนูว่ามีใครมาเปย์หนูหรือยัง
(แล้วมีหรือยัง?) ยังค่ะ (หัวเราะ)”

ลุ้นไม่ขึ้น “ซิม คิวเท โอปป้า” แค่เพื่อน แรงเชียร์ไม่เคยได้ผล
“เป็นเพื่อนกัน แต่เขาสายเปย์อยู่แล้ว หนูไปกับเขาไม่ต้องพกกระเป๋าตังค์เลยนะ คิวเทจ่ายให้หมด ถามว่าลุ้นขึ้นไหม ไม่ค่ะ เป็นเพื่อนกันเลย ถามไปก็ไม่ได้อะไรหรอก เพราะว่าคนเชียร์มาก่อนหน้านี้นานแล้ว ก็ไม่เคยได้ผล หนูว่าให้เป็นความน่ารักแบบเพื่อนกันดีแล้ว เป็นเพื่อนกันค่ะ”

ไม่บอกโสด
“ไม่บอก (หัวเราะ) โสดค่ะ แต่ไม่อยากบอกเฉยๆ”

ที่มา :  https://mgronline.com/entertainment/detail/9660000057346

เปิด 6 แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียยอดฮิต!! จากข้อมูลพบว่า Facebook ครองอันดับ 1 ที่มียอดผู้ใช้แตะ 2.9 พันล้านคน ของประชากรโลก ขณะที่ TikTok อยู่ที่ 1 พันล้านคน

‘โซเชียลมีเดีย’ เปรียบเสมือน ‘สื่อกลางออนไลน์’ ที่เชื่อมต่อให้ทุกคนสามารถสื่อสารกันได้อย่างสะดวกและรวดเร็ว ไม่ว่าจะเป็นในกลุ่มสังคมเล็ก ๆ ไปจนถึงกลุ่มธุรกิจที่ใช้เป็นช่องทางในการสื่อสารและทำการตลาดในโลกออนไลน์

‘พงษ์ภาณุ’ มองเศรษฐกิจไทยเติบโตน่าพอใจ ภาคอสังหาฯ แนวโน้มสดใส ทั้งบ้านเดี่ยว-คอนโด

(25 มิ.ย. 66) นายพงษ์ภาณุ เศวตรุนทร์ ผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐศาสตร์ ที่มหาวิทยาลัยเศรษฐศาสตร์ฮิโรชิมะ ประเทศญี่ปุ่น อดีตปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา และอดีตรองปลัดกระทรวงการคลัง ได้พูดคุย ผ่านรายการ ‘NAVY TIME เรื่องดี ๆ ประเทศไทยยามเช้า’ ออกอากาศช่วงเช้า เวลา 07.00- 08.00 น. ทางสถานีวิทยุเสียงจากทหารเรือวังนันทอุทยาน (ส.ทร.วังนันทอุทยาน) FM93 เมื่อวันที่ 25 มิถุนายน 2566 โดยได้ให้มุมมองถึง เศรษฐกิจของประเทศไทยในเวลานี้ ซึ่งผ่านมาแล้วครึ่งปี การวิเคราะห์ในตัวเลขที่ผ่านมาครึ่งปีนั้น ส่งผลอย่างมากในการที่จะพยากรณ์เศรษฐกิจในช่วงครึ่งปีหลัง
โดยนายพงษ์ภาณุมองว่า ...

เศรษฐกิจไทยยังคงเติบโตได้อย่างน่าพอใจ ที่ระดับใกล้ๆ 4% ต่อปี ทั้งนี้สำนักพยากรณ์ทั้งไทยและเทศยังไม่มีการปรับการคาดการณ์เศรษฐกิจไทยปี 2566 ช่วงกลางปี (mid year review) อย่างมีนัยสำคัญ แม้ว่าจะมี downside risk อยู่มากมาย อาทิเช่น ดอกเบี้ยและเงินเฟ้อสูง ความตึงเครียดด้านภูมิรัฐศาสตร์โลก การส่งออกขยายตัวได้ต่ำ และความไม่แน่นอนทางการเมืองในประเทศ

การเติบโตในปีนี้ไม่เพียงแต่ได้รับการขับเคลื่อนจากการท่องเที่ยวและการบริโภคภายในประเทศเท่านั้น แต่ยังมาจากส่วนของภาคอสังหาริมทรัพย์ที่เริ่มมีแนวโน้มสดใสตั้งแต่กลางปีที่แล้ว โดยเฉพาะที่อยู่อาศัยทั้งประเภทบ้านเดี่ยวและคอนโด ทั้งนี้แรงซื้อจากลูกค้าต่างชาติก็มีส่วนสำคัญในการกระตุ้นการฟื้นตัวของตลาดที่อยู่อาศัยในกรุงเทพปริมณฑลและเมืองหลักทั่วประเทศ หากมีการเปิดเสรีให้ต่างชาติเข้ามาลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ได้เพิ่มขึ้น ก็จะช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยในระยะต่อไปได้เป็นอย่างดี จึงขอฝากเป็นโจทย์ใหญ่สำหรับรัฐบาลหน้าด้วย

‘พิม พิมประภา’ แจงประเด็นดราม่า ไม่อยากให้พ่อเครียด เชื่อแม่ยังรักมาก มีวันนี้ได้เพราะแม่ผลักดัน พาเรียนร้องเพลง-การแสดง 

หลังจากที่วันก่อน “พิม พิมประภา ตั้งประภาพร” ถึงขั้นร้องไห้ หลังถูกแม่โพสต์ฉะแรง ทั้งอกตัญญู ตัดแม่ตัดลูก ไม่ขอเจอกันอีกในชาติหน้า ซึ่งเจ้าตัวเผยว่าขอไปเคลียร์กันหลังบ้านดีกว่า ต่อมา “แม่ศศิกานต์” ก็ออกมาโพศต์สยบดรามา ขอทุกคนอย่าไปถามลูกๆ ถึงเรื่องนี้อีก ยอมรับที่โพสต์เพราะน้อยใจลูก

ล่าสุดในงานประกาศรางวัล MAYA TV AWARDS 2023 พิม พิมประภา ก็เปิดใจถึงเรื่องนี้ว่า ตอนนี้พยายามเข้มแข็งให้มากที่สุด ไม่อยากลงลึกรายละเอียดกับสิ่งที่แม่โพสต์ล่าสุดแล้ว แต่เชื่อแม่ก็ยังรักตนมาก

“ก็พยายามที่จะเข้มแข็งมากที่สุดค่ะตอนนี้ ต้องบอกเลยว่าก็พิมได้รับกำลังใจที่ดีมากๆ จากทุกคน รวมถึงจากคนที่บ้านด้วย ก็ถือว่าเราก็พยายามที่จะเข้มแข็งให้ได้ แล้วก็พยายามที่จะมองคนที่เรารักให้เยอะๆ เลยตอนนี้ คือเราใช้เวลากับคนที่เรารักให้มากที่สุด พยายามรับพลังบวกจากคนในครอบครัวเยอะๆ

ที่ได้เห็นน้ำตา จริงๆ มันก็ถือว่าเป็นแผลสดเนอะ เราไม่ได้เอฟเฟกต์ว่าจะต้องตอบคำถาม ในเวลาอันใกล้ขนาดนั้น ไม่รู้สิ มันก็สดมาก ถามว่าหลังจากวันนั้น คนในครอบครัวตอนนี้ พยายามที่จะไม่พูดเรื่องเครียดกันเลย คือเราพยายามที่จะให้กำลังใจกัน พูดกันแต่สิ่งดีๆ เรื่องนี้มันสร้างบาดแผลให้กับทุกคนในบ้านเลย พิมก็คือเป็นพี่คนโต เราก็อยากที่จะให้ทุกคนแฮปปี้ และเป็นปกติให้ได้ไวที่สุด”

ส่งผลกระทบต่อจิตใจ เซนซิทีฟที่สุดในชีวิต
“ก็ยอมรับตรงๆ ว่ามีผลกับสภาพจิตใจเรามากๆ เลย จริงๆ เรื่องครอบครัวมันเป็นเรื่องเซนซิทีฟที่สุดสำหรับชีวิตพิมแล้ว พิมก็มองนะ ว่าถ้าพิมผ่านเรื่องนี้ไปได้ ไม่ว่าอะไรจะเข้ามาอีก พิมจะผ่านมันไปได้ทุกเรื่อง”

เชื่อมีทางออกสำหรับครอบครัว
“พิมเชื่อว่าครอบครัวทุกครอบครัว ยังไงก็คือครอบครัวค่ะ มันจะมีทางออกเสมอ แล้วตอนนี้พิมโฟกัสแค่ความสุขของคนในครอบครัวเลย อะไรก็ตามมีที่ทำให้เขามีความสุขและแฮปปี้ พิมทำได้ทุกอย่างเลย”

อ่านสิ่งที่แม่โพสต์แล้ว ไม่อยากพูดถึงอีก สร้างบาดแผลให้ทุกคนในบ้านมากแล้ว
“ได้อ่านแล้วค่ะ พิมรู้สึกว่าพิมไม่อยากที่จะลงรายละเอียด และไม่อยากจะพูดถึงเรื่องนี้อีกแล้ว เพราะพิมว่าเรื่องนี้มัน…อย่างที่บอกคือมันสร้างแผลให้กับคนในบ้านมากแล้ว พิมเป็นพี่คนโต ตอนนี้พิมอยากจะที่นำ และเป็นเสาให้กับทุกคนๆ ให้ได้ ก็พยายามที่จะเข้มแข็งให้มากที่สุด”

แม่ยังฝากให้ติดตามผลงาน เชื่อยังรักมาก
“ถูกต้องค่ะ คืออย่างที่พิมบอก ครอบครัวก็คือครอบครัว ถึงจะมีการไม่เข้าใจกันอะไรก็แล้วแต่ แต่พิมเชื่อเสมอว่าคุณแม่รักพิมมาก อันนี้คือเรื่องที่พิมเชื่อมาตลอด แล้วตั้งแต่เด็กพิมก็ได้รับความรักจากแม่มาเสมอ พิมมายืนอยู่ตรงนี้ได้ แม้กระทั่งวันนี้พิมได้เข้าชิงรางวัลที่มันเป็นเกียรติขนาดนี้ ส่วนใหญ่ๆ เลยก็เพราะแม่พิมผลักดันพิมมาถึงทุกวันนี้ได้ ไม่งั้นพิมจะไปเรียนร้องเพลง ไปเรียนการแสดงยังไง ถ้าเกิดเขาไม่พาพิมไป”

พ่อเครียดเพราะเห็นตนเครียด จากนี้จะเข้มแข็งและแฮปปี้ให้พ่อดู
“ท่านก็เครียดค่ะ ก็ต้องบอกว่าเขาเครียด แต่ว่าอย่างที่บอก ถ้าพิมเครียด เขาเครียดตาม เพราะฉะนั้นตอนนี้พิมจะเข้มแข็งและแฮปปี้ให้เขาดูให้มากที่สุด เพราะถ้าพิมแฮปปี้ เขาแฮปปี้แน่นอน ไม่ใช่แค่ปาป๊าอย่างเดียว ที่พิมร้องไห้ออกไปจากการสัมภาษณ์ครั้งที่แล้ว พิมไม่ได้แฮปปี้กับสิ่งนั้นที่พิมทำไปนะ พิมเชื่อว่าคุณแม่ดู คุณแม่ก็ไม่แฮปปี้ พิมเชื่อว่าคุณแม่ดู คุณแม่ก็เครียด อย่างน้อยๆ พิมรู้จักเขาดี เขาน่าจะต้องร้องไห้ตามพิมแน่ๆ แล้วพิมไม่อยากให้สิ่งนั้นเกิดขึ้นอีกแล้ว พิมอยากที่จะเข้มแข็งให้ได้มากที่สุดค่ะ”


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top