Saturday, 10 May 2025
NewsFeed

ซอยรมณีย์ ย่านเมืองเก่า จังหวัดภูเก็ต ได้รับการจัดอันดับที่ 19 ถนนที่สวยที่สุดในโลก

เฟซบุ๊ก ศูนย์ปฏิบัติการนายกรัฐมนตรี PMOC ได้โพสต์ข้อความเกี่ยวกับ ซอยรมณีย์ ย่านเมืองเก่า จังหวัดภูเก็ต ที่ได้รับการจัดอันดับที่ 19 ถนนที่สวยที่สุดในโลก โดยมีใจความว่า ...
.
ซอยรมณีย์ ย่านเมืองเก่า จังหวัดภูเก็ต ได้รับการจัดอันดับที่ 19 ถนนที่สวยที่สุดในโลก (The World’s 20 Most Beautiful Streets) จาก Seasia.Stats สนับสนุนการอนุรักษ์ย่านเมืองเก่า โดยคงคุณค่ารากเหง้าทางประวัติศาสตร์
พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ยินดีที่ เว็บไซต์ยอดนิยมด้านการท่องเที่ยวอย่าง Seasia.Stats ได้จัดอันดับให้ ซอยรมณีย์ ย่านเมืองเก่า จังหวัดภูเก็ต ได้อันดับที่ 19

โดยเป็นการเผยแพร่ผ่าน Facebook ของ Seasia.Stats (https://www.facebook.com/photo/?fbid=287214243650434&set=pcb.287214280317097) เชื่อมั่นในความสวยงามทั้งทางธรรมชาติ สิ่งปลูกสร้าง สถาปัตยกรรม และวัฒนธรรมประเพณีของไทย 

การจัดอันดับ The World’s 20 Most Beautiful Streets ในครั้งนี้ดูจากรูปแบบรายละเอียดสถาปัตยกรรมที่เป็นเอกลักษณ์ และความผสมผสานของสีสันและมนต์เสน่ห์ที่ลงตัว ซึ่งซอยรมณีย์ ย่านเมืองเก่า จังหวัดภูเก็ตที่ได้อันดับที่ 19 ของการจัดอันดับถนนที่สวยที่สุดในโลก เนื่องจากซอยรมณีย์เป็นที่ตั้งของตึก และอาคารเก่าศิลปะชิโนโปรตุกีส (Sino-Portuguese) ที่เป็นการผสมผสานระหว่างสถาปัตยกรรมของโปรตุเกสและจีน เป็นสัญลักษณ์อย่างหนึ่งของศิลปะแบบภูเก็ต โดยความเก่าแก่ของตึกจะให้อารมณ์คลาสสิคและย้อนยุค ในปัจจุบันถนนแห่งนี้เป็นที่ตั้งของร้านกาแฟ ร้านขายของที่ระลึก เกสต์เฮาส์ รวมถึงที่อยู่อาศัย ซึ่งถือเป็นสถานที่ที่สวยงามมีเอกลักษณ์ และความโรแมนติกอีกแห่งหนึ่งของจังหวัดภูเก็ต

โดย 5 อันดับแรกของถนนที่ได้รับการจัดอันดับว่าเป็นถนนที่สวยที่สุดในโลก ได้แก่ 1. ถนน Symi Harbour เมือง Livadia ประเทศกรีซ 2. ถนน Acorn เมือง Boston สหรัฐอเมริกา 3. ถนน Bo-Kaap เมือง Cape Town ประเทศแอฟริกาใต้ 4. ถนน Callejon El Asri เมือง Chefchaouen ประเทศโมร็อกโก และ 5. ถนน Rua Luis de Camoes เมือง Agueda ประเทศโปรตุเกส

นายกรัฐมนตรี ยินดีถึงการจัดอันดับถนนที่สวยที่สุดของโลกในครั้งนี้ แสดงถึงความเป็นเอกลักษณ์ และการผสมผสานอย่างลงตัวของความเป็นตะวันตกและตะวันออก โดยรัฐบาลมีนโยบายด้านการพัฒนาควบคู่กับการอนุรักษ์พื้นที่เพื่อคงความสวยงามและความเป็นเอกลักษณ์ ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีเชื่อมั่นในความสวยงามของประเทศไทย และรัฐบาลจะสืบสาน รักษา อนุรักษ์ความสวยงาม รวมทั้งประวัติศาสตร์ของประเทศให้คงอยู่สืบไป

 

‘ปุ๊ก อาภัสรา’ เปิดภาพล่าสุด ‘หม่อมโจ้’ ลูกชายคนแรก พาหลานขึ้นรถไฟฟ้า รถเมล์เที่ยว

เรียกได้ว่านานๆจะออกมาเผยโฉมหน้าอันหล่อเหลาออกสื่อบ้าง สำหรับ “หม่อมโจ้” หรือ “มล.รุ่งคุณ กิติยากร” ลูกชายคนแรกของคุณแม่คนสวย “ปุ๊ก อาภัสรา หงสกุล” นางสาวไทย พ.ศ. 2507 และนางงามจักรวาล ค.ศ. 1965

ล่าสุดคุณแม่ “ปุ๊ก อาภัสรา” ได้ออกมาโพสต์รูปภาพของลูกชายหม่อมโจ้ ที่ได้พาลูกชาย “น้องกัสสป” ขึ้นรถเมล์ไปนั่งรถไฟฟ้าเที่ยวอย่างเรียบง่าย โดยระบุแคปชั่นเอาไว้ว่า “กัสสปะนั่งรถไฟฟ้าไปเที่ยวกับ คุณพ่อครับ”
 

‘บังสรร’ ประมูลกางเกง-นวม นำเงินไปทำบุญ ได้ยอดทะลุเป้า ปิดไปที่ 30,000 บาท

เพจเฟซบุ๊ก มวยสดได้โพสต์ข้อความเกี่ยวกับการประมูลกางเกงมวยและนวม ของเสกสรร อ.ขวัญเมือง โดยได้ระบุว่า ...


"คนไม่ยอมคน" เสกสรร อ.ขวัญเมือง ล่าสุดโชว์ฟอร์มเดือดไม่เลิก ถล่ม นาธาน แบรนดอน ฟาดโบนัสชนิดดับเบิ้ลจาก บอสชาตรี หลังจากที่คว้าโบนัสมาแบบสวยงามสุดประทับใจ บังสรร ได้ประกาศประมูล กางเกงและนวม ที่ใส่ในวันชก เพื่อนำยอดเงินไปทำบุญตามที่ตั้งใจเอาไว้

โดยสถาการณ์ปัจจุบัน  กางเกงและนวม ของบังสรร ได้ถูกประมูลไปในมูลค่าถึง 30,000 บาท จาก Panich Settapongpanich แฟนมวยตัวยง

"กางเกงมวยและนวมที่ผมได้ทำการเปิดประมูลไปเมื่อวานผมขออนุญาติทำการปิดประมูลก่อนเวลาที่กำหนดไว้ เพราะยอดที่ประมูลกันเข้ามามันเกินเป้าที่ผมตั้งไว้มาก ผมต้องขออภัยทุกท่านที่มาร่วมประมูลประมูลด้วยนะครับ และยอดที่ผมปิดประมูล 30,000 บาทครับ ขอบคุณครับน้องที่ประมูลมา 30,000บาท" บังสรร โพสต์ผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว

‘นิพนธ์’ หนุนแนวทาง ‘อภิสิทธิ์’ เน้น ต้องทำให้พรรคมีเอกภาพ คิดถึงอนาคตเป็นหลัก

วันที่ 25 มิ.ย. 66 – นายนิพนธ์ บุญญามณี รักษาการรองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) ให้สัมภาษณ์ถึงความคืบหน้า การประชุมใหญ่วิสามัญพรรคประชาธิปัตย์ เพื่อเลือก หัวหน้าพรรค และกรรมการบริหาร(กก.บห.) พรรคฯชุดใหม่ ในวันที่ 9 ก.ค.นี้ว่าตอนนี้ยังไม่ได้คุยกัน แต่ส่วนตนคิดว่า หลังได้อ่านคำสัมภาษณ์ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์

เมื่อ 24 มิ.ย. ที่ผ่านมา เห็นว่า แนวทางที่ท่านเสนอมา จะทำให้พรรคฯ เดินไปข้างหน้าได้
การสร้างเอกภาพภายในพรรคฯเป็นสิ่งจำเป็น ตนจึงเห็นด้วยกับแนวทางของ นายอภิสิทธิ์ เพราะเรามีบทเรียนมาหลายครั้งแล้ว ก่อนจะพูดถึงเรื่องตัวบุคคลในประชาธิปัตย์ ใครก็ได้มีคนที่เหมาะสมอยู่แล้ว

“ดังนั้นวันนี้เราต้องคุยกันและต้องเห็นพ้องต้องกันก่อนว่า ถ้าจะแก้ปัญหาได้จะทำอย่างไร พรรคฯเรามีบทเรียนมาหลายครั้งหลายรอบแล้ว ถ้ามันไม่มีเอกภาพจะเดินไปข้างหน้าลำบาก ฉะนั้นการทำให้พรรคฯมีเอกภาพเป็นสิ่งจำเป็น

ผมยังเห็นด้วยว่า ถ้าคุยกันได้ก็ต้องคุยกัน เราไม่ใช่คนอื่นคนไกล ทุกคนเป็นคนในพรรคฯ ด้วยกัน มีอะไรก็ต้องคุยกัน และในทางการเมืองมันไม่มีใครได้อะไรร้อยเปอร์เซ็นต์หรอก ทุกอย่างก็ต้องคุยกันแบบพี่แบบน้อง คุยกันฉันพี่ฉันน้อง ซึ่งเป็นเรื่องของคนภายในพรรค” นายนิพนธ์ กล่าว

เมื่อถามถึงกรณี สื่อมวลชนหลายสำนักวิเคราะห์ตรงกันว่า กลุ่ม นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รักษาการเลขาธิการพรรคฯ ยังกุมความได้เปรียบเรื่องเสียงโหวตตามข้อบังคับพรรคฯ อยู่ ที่ 70 ต่อ 30 เปอร์เซ็นต์ นายนิพนธ์ กล่าวว่า พรรคประชาธิปัตย์ ไม่ใช่ฝั่งของใคร ทุกคนเป็นประชาธิปัตย์ และตนเชื่อมั่นในประชาธิปัตย์ คิดว่าทุกคนคิดถึงอนาคตของพรรคฯเป็นหลัก
ตัวบุคคลเรามาแล้วก็ไป แต่พรรคต้องอยู่ ตัวบุคคลเราเปลี่ยนมาเยอะหลายยุคแล้ว ย้อนไปตั้งแต่สมัยตนเคยเป็นยุวประชาธิปัตย์ นายพิชัย รัตตกุล เป็นหัวหน้าพรรคฯ นายพิชัย ไป นายชวน หลีกภัย มาเป็นหัวหน้าพรรคปชป. พอ นายชวน ไป นายบัญญัติ บรรทัดฐาน ก็มาเป็นหัวหน้าพรรคฯ นายบัญญัติ ไปนายอภิสิทธิ์ ก็มา พอ นายอภิสิทธิ์ ไป นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์ ก็มาเป็นหัวหน้าพรรคฯ

“ตัวบุคคลไปได้ แต่พรรคจะต้องอยู่ แต่ถ้าเราคิดว่าตัวบุคคลมาก่อนพรรค อันนี้มันเป็นคนละหลักการแล้ว แต่สำหรับผมที่เคยอยู่มาตั้งแต่สมัยยุวประชาธิปัตย์ คิดว่าตัวบุคคลเปลี่ยนได้แต่พรรคจะต้องอยู่ ฉะนั้นในฐานะที่เป็นพี่เป็นน้องกันมีอะไรก็คุยกันฉันพี่ฉันน้อง คุยกันฉันท์มิตร”นายนิพนธ์ กล่าว

แจกทานร่วมแสน!! พิธีอุปสมบทลูกชายนักการเมืองท้องถิ่นคนดังบางพลี ”จิรายุ รุ่งเรือง”

ครอบครัวนักการเมืองท้องถิ่นคนดังของอำเภอบางพลี ตระกูลรุ่งเรือง จัดพิธีอุปสมบทให้กับลูกชาย นายจิรายุ รุ่งเรือง หรือนาคจิรายุ บุตรชายของ ดร.วีร์สุดา รุ่งเรือง นายก อบต.บางพลีใหญ่ เข้าพิธีอุปสมบททดแทนคุณบิดา มารดา และศึกษาหลักธรรมคำสอนของพระพุทธศาสนา ณ วัดบางพลีใหญ่กลาง อ.บางพลี จ.สมุทรปราการ

นำโดย นายฉะโอด รุ่งเรือง อดีตนายก อบต.บางพลีใหญ่ นางเจียม รุ่งเรือง อดีต สจ.สมุทรปราการ พร้อมด้วย ดร.วีร์สุดา รุ่งเรือง นายก อบต.บางพลีใหญ่ พ.ต.อ.กรวัฒน์ หันประดิษฐ์ อดีต รอง.ผบก.ชลบุรี ตลอดจนญาติสนิทของทางครอบครัวรุ่งเรืองร่วมงานเป็นจำนวนมาก ซึ่งการอุปสมบทในครั้งนี้ ยังได้รับความเมตตาจากพระเดชพระคุณพระพรหมวชิราธิบดี อธิบดีสงฆ์วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์ราชวรมหาวิหาร ที่ปรึกษาเจ้าคณะกรุงเทพมหานคร เป็นพระอุปัชฌาย์ในการอุปสมบท   

ทั้งนี้ ภายหลังจากที่เข้าพิธีบรรพชาอุปสมบทเป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยจะเข้าศึกษาหลักธรรมคำสอน ศึกษาพระธรรมวินัย อยู่ที่วัดบางพลีใหญ่กลาง เป็นระยะเวลา15 วัน เพื่อทดแทนคุณบิดา-มารดา ต่อไป

คิว-ข่าวสมุทรปราการ รายงาน

เครือข่ายผู้ป่วยยื่นหนังสือ สปสช. บรรจุยาใหม่ 7 รายการ เพิ่มคุณภาพชีวิตผู้บกพร่องทางจิต

สมาคมเพื่อผู้บกพร่องทางจิตแห่งประเทศไทย ยื่นหนังสื่อ สปสช. บรรจุยาใหม่ 7 รายการ เป็นสิทธิประโยชน์บัตรทอง 30 บาท ช่วยเพิ่มคุณภาพชีวิตที่ดีให้ผู้บกพร้องทางจิต ด้านเลขาธิการ สปสช. เผย เตรียมทำหนังสือประสาน คกก.พัฒนาบัญชียาหลักแห่งชาติ เหตุเป็นกลุ่มยาที่ยังไม่ขึ้นบัญชียาหลักฯ พร้อมหนุนสร้างเครือข่ายเชิงรุก ค้นหาผู้บกพร่องทางจิตในชุมชน และขยายเครือข่ายผู้ป่วย “เพื่อนช่วยเพื่อน”   

ที่สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) - เมื่อวันที่ 22 มิถุนายน 2566 นพ.จเด็จ ธรรมธัชอารี เลขาธิการ สปสช. และ ผศ.ภญ.ยุพดี ศิริสินสุข รองเลขาธิการ สปสช. ได้รับยื่นหนังสือร้องเรียน “กรณีการเข้าไม่ถึงยาของผู้ป่วยจิตเวช” ในระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ หรือ บัตรทอง 30 บาท จาก นางนุชจารี คล้ายสุวรรณ นายกสมาคมเพื่อผู้บกพร่องทางจิตแห่งประเทศไทย พร้อมตัวแทนและผู้ปกครองของผู้ป่วยประมาณ 20 คน 

นางนุชจารี กล่าวว่า สมาคมเพื่อผู้บกพร่องทางจิตฯ เป็นองค์การของคนพิการระดับประเทศ และเป็น 1 ใน 7 ขององค์การคนพิการตามกฎหมาย จัดตั้งขึ้นเพื่อให้การปรึกษาและช่วยเหลือผู้บกพร่องทางจิต และครอบครัวให้สามารถดำเนินชีวิตอิสระในสังคมได้ รวมทั้งพิทักษ์สิทธิในด้านต่างๆ ของผู้บกพร่องทางจิตและครอบครัว พร้อมประสานความร่วมมือกับภาคีเครือข่าย หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ส่งเสริมการวิจัยเพื่อป้องกัน รักษา ฟื้นฟูสมรรถภาพทางการแพทย์ ทางการศึกษา ทางสังคม และทางอาชีพแก่ผู้บกพร่องทางจิต ส่งเสริมค่านิยมและวัฒนธรรมอันดีให้กับสมาชิกและสังคม โดยสมาคมฯ มีชมรมเครือข่าย 154 ชมรม กระจายอยู่ทั่วประเทศ

ตลอดระยะเวลา 20 ปี ได้ช่วยเหลือผู้ที่มีความบกพร่องทางจิตให้สามารถกลับมามีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ไม่เป็นภาระของใคร อย่างไรก็ตามแม้ว่าภายใต้ระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ หรือ บัตรทอง 30 บาท จะได้มีสิทธิประโยชน์ที่ครอบคลุมการรักษาผู้ป่วยที่มีความบกพร่องทางจิตแล้ว ทั้งในด้านของยาจิตเวชและการรักษาพยาบาล แต่ด้วยปัจจุบันมียาจิตเวชรายการใหม่ที่มีคุณภาพและมีผลข้างเคียงน้อย แต่ยังไม่ได้บรรจุในรายการบัญชียาหลักแห่งชาติ ทำให้เกิดความเหลื่อมล้ำการเข้าถึงยา จึงได้มายื่นหนังสือต่อ สปสช. ในวันนี้ เพื่อขอให้ผลักดันยาเหล่านี้และบรรจุเป็นสิทธิประโยชน์ในระบบบัตรทอง 30 บาท เป็นการดูแลให้ผู้ป่วยจิตเวชทั่วประเทศได้เข้าถึงยาที่มีคุณภาพและประสิทธิผล ช่วยเพิ่มคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นสำหรับรายการยาจิตเวช มี 7 รายการ ดังนี้ 

1.Escitalopram ใช้กับผู้ป่วยโรคซึมเศร้า มีประสิทธิภาพ ลดภาวะการเกิดยาไม่เข้ากัน (Drug interactions) 2.Venlafaxine ดูแลผู้ป่วยโรคซึมเศร้ารุนแรง เป็นยาต้านเศร้ากลุ่มใหม่ ให้ผลการรักษาที่ดี 3.Aripiprazole สำหรับเด็กออทิสติก เพิ่มทางเลือกยารักษาที่ช่วยลดผลข้างเคียง 4.Paliperidone inj. ยาดูแลผู้ป่วยจิตเภท เป็นยาจิตเวชกลุ่มใหม่ ควบคุมอาการทางจิตได้ดี 5.Olanzanpine tablet. เพิ่มข้อบ่งชี้ใช้รักษาเรื่องจิตเวช 6.Long acting methylphenidate ดูแลกลุ่มเด็กสมาธิสั้น ออกฤทธิ์ระยะยาว ลดการกินยา และ 7.Long acting Aripiprazole inj. สำหรับผู้ป่วยจิตเภทและอารมณ์แปรปรวน ไม่มีผลข้างเคียงและมีความปลอดภัยสูง 

“ผู้ป่วยกลุ่มนี้ด้วยกลไกสาธารณสุขและสิทธิบัตรทอง 30 บาท ได้ให้การดูแลที่ดีอยู่แล้ว เพียงยังมียาบางตัวที่ผู้ป่วยได้รับแตกต่างกัน โดยผู้ป่วยที่มีฐานะยากจนยังเข้าไม่ถึงยาที่มีประสิทธิผลและผลข้างเคียงน้อย ด้วยราคาแพงจึงไม่มีสิทธิเข้าถึง ทั้งนี้ย้ำว่า การดำเนินการของสมาคมฯ เราไม่ได้ทำเพื่อผู้ป่วยกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง แต่เราทำเพื่อผู้ป่วยที่มีความบกพร่องทางจิตทั่วประเทศ” นายกสมาคมเพื่อผู้บกพร่องทางจิต กล่าว

ด้าน นพ.จเด็จ กล่าวว่า สปสช. มีความยินดีในการรับเรื่องนี้ และพร้อมที่ผลักดันเพื่อให้ผู้ป่วย ซึ่งเป็นผู้มีสิทธิบัตรทอง 30 บาท ได้รับการรักษาที่ดีอย่างมีคุณภาพและมาตรฐาน โดยที่ผ่านมา สปสช. ได้มีการดำเนินการบรรจุเพิ่มสิทธิประโยชน์รายการยาใหม่อย่างต่อเนื่อง และจากรายการยาทั้ง 7 รายการ ที่ทางสมาคมเพื่อผู้บกพร่องทางจิตแห่งประเทศไทยได้นำเสนอในวันนี้ ด้วยเป็นยาที่ยังไม่ได้ขึ้นบัญชียาหลักแห่งชาติ ดังนั้น สปสช. จะต้องทำหนังสือสอบถามไปยังคณะกรรมการพัฒนาบัญชียาหลักแห่งชาติก่อนว่า ได้มีการพิจารณายาเหล่านี้ไปแล้วหรือไม่ ซึ่งอาจอยู่ระหว่างดำเนินการ

อย่างไรก็ตามจากข้อมูล ด้วยสมาคมฯ มีเครือข่ายชมรมที่กระจายอยู่ทั่วประเทศถึง 154 ชมรม มองว่าสามารถเข้ามาร่วมทำงานเชิงรุก พัฒนามาเป็นหน่วยบริการในระบบในการค้นหาผู้ป่วยที่มีปัญหาทางจิตได้ โดยประสานกับทางกรมสุขภาพจิต เป็นการทำงานป้องกัน ส่วนกรณีผู้ป่วยที่มีภาวะทางจิตแล้ว สปสช. จะประสานกับสมาคมฯ ในการรุกสร้างกลไก “เพื่อนช่วยเพื่อน” ซึ่งเป็นหลักการของมิตรภาพบำบัดที่ สปสช.สนับสนุนเครือข่ายผู้ป่วยในการต่อยอดการดูแลเพื่อให้เกิดเครือข่ายที่เข้มแข็งต่อไป และสำหรับเครือข่ายผู้ป่วยการบกพร่องทางจิตนี้ สปสช. พร้อมที่จะให้การสนับสนุนอย่างเต็มที่

สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่  
1.สายด่วน สปสช. 1330 
2.ช่องทางออนไลน์
• ไลน์ สปสช. พิมพ์ไลน์ไอดี @nhso หรือคลิก https://lin.ee/zzn3pU6
• Facebook : สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ https://www.facebook.com/NHSO.Thailand
• ไลน์ Traffy Fondue เป็นเพื่อนใน LINE ค้นหาไอดี @traffyfondue หรือคลิก https://lin.ee/nwxfnHw

ตำรวจไซเบอร์รวบเจ้าพ่อบัญชีม้า หลอกปั่นยอดไลก์แลกเงิน อึ้ง! พบเปิดกว่า 600 บัญชี

กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ภายใต้การอำนวยการของ พล.ต.ท.วรวัฒน์ วัฒน์นครบัญชา ผบช.สอท. ได้สั่งการให้กวาดล้างอาชญากรรมทางเทคโนโลยี
สืบเนื่องจากคนร้ายได้หลอกลวงผู้เสียหายโดยเชิญชวนให้ทำธุรกิจโปรโมทสินค้าและโฆษณาเพื่อหารายได้พิเศษ ด้วยการกดไลก์/กดแชร์ เพิ่มยอดเข้าชม(ปั่นยอดวิว)และคอมเม้นสินค้าเพื่อรับผลตอบแทนเป็นค่าคอมมิชชั่น 20-30 เปอร์เซ็นต์ ตามภารกิจที่คนร้ายแจกจ่ายมาให้ โดยมีเงื่อนไขการทำงานจะต้องจ่ายเงินแรกเข้า และการจ่ายงานให้จะมากน้อยตามเงินลงทุน เมื่อเปิดบัญชีแล้ว คนร้ายจะจ่ายงานให้ โดยต้องเข้าไปชมยูทูป กดไลก์ กดแชร์ และส่งมอบงานเข้ามาในระบบ จึงจะได้รับผลตอบแทน

โดยครั้งแรก ผู้เสียหายเกิดความสนใจจึงได้ลองสมัครและโอนเงินไป 2,000 บาท จากนั้นระบบได้แจ้งให้เข้าไปกดไลก์กดติดตามสินค้าออนไลน์ เมื่อทำตามปรากฏว่าได้ค่าตอบแทนจริง จึงหลงเชื่อทำภารกิจต่อไปอีกหลายครั้ง และโอนเงินเพิ่มจำนวนขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งถึงภารกิจที่ 7 ปรากฏว่าไม่ได้เงินคืนโดยมิจฉาชีพอ้างว่าทำผิดกติกาและขอให้โอนเงินเพิ่มเพื่อถอนเงิน และต่อมายังถูกหลอกให้โอนเงินโดยอ้างเงื่อนไขต่างๆอีกหลายครั้ง จนผู้เสียหายโอไปทั้งสิ้น จำนวน 12 ครั้ง สูญเงินกว่า 3,171,249 บาท และจากการตรวจสอบข้อมูลทางการเงิน พบว่าเกี่ยวข้องกับนายพลากร (สงวนนามสกุล) อายุ 31 ปี ชาวจังหวัดสงขลา

กระทั่งเจ้าที่ตำรวจ กก.3 บก.สอท.2 ได้รวบรวมพยานหลักฐานขออำนาจศาลออกหมายจับ และได้สืบสวนทราบว่า นายพลากรฯ ถูกควบคุมตัวในคดีอื่นอยู่ที่เรือนจำจังหวัดสงขลา จึงได้ทำหนังสือขออายัดตัวไว้ และเมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2566 ผู้ต้องหาได้รับการปล่อยตัวจากเรือนจำจังหวัดสงขลา จึงเข้าทำการจับกุมตัว ในความผิดฐาน “ร่วมกันฉ้อโกงโดยแสดงตนเป็นคนอื่น และโดยทุจริตหลอกลวงร่วมกันนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือนหรือปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วนหรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่บุคคลหนึ่งบุคคลใด” และส่งพนักงานสอบสวน กก.3 บก.สอท.2 เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมาย

สอบถามผู้ต้องหายังคงให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา แต่รับว่าตนได้เปิดบัญชีธนาคารจำนวนมากเพื่อใช้สมัครเล่นพนันออนไลน์ และเพื่อขายให้ผู้อื่น จากการตรวจสอบของเจ้าหน้าที่ พบว่าผู้ต้องหาเคยเปิดบัญชีธนาคารแบบออนไลน์แล้วแล้วยกเลิกหลายครั้ง โดยปัจจุบัน มีบัญชีธนาคารที่ยังใช้งานได้และปิดไปแล้ว รวมทั้งสิ้นถึง 600 บัญชี

ผลการปฏิบัติภายใต้การอำนวยการของ พล.ต.ต.ณัฐกร ประภายนต์ ผบก.สอท.2, พ.ต.อ.ปกรณ์กิตติ์ ธนวรินทร์กุล ผกก.3 บก.สอท.2 ,พ.ต.ท.เอนก ยอดหมวก รอง ผกก.3 บก.สอท.2 ได้สั่งการให้ชุดปฏิบัติการที่ 3 นําโดย พ.ต.ท.ศราวุธ ตะดวงดี สว.กก.3 บก.สอท.2  พร้อมชุดสืบสวนดำเนินการจับกุม

เศรษฐีใจบุญ!! ครอบครัว “อริยะ” ถวายข้าวสาร กว่า 1,000 ถุง น้ำดื่ม เนื่องในโอกาสครบรอบวันคล้ายวันเกิด

ณ วัดบางพลีใหญ่กลาง อ.บางพลี จ.สมุทรปราการ นายสมชาย เลิศอริยานันท์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท อริยะอีควิปเม้นท์ จำกัด ตัวแทนจำหน่ายเครื่องจักรกลหนักรถขุด KOBELCO และรถบด SAKAI พร้อมศูนย์อะไหล่และศูนย์บริการครบวงจร 30 สาขา ทั่วประเทศไทย 

เดินทางพาครอบครัวเลิศอริยานันท์ เข้ากราบขอพรจากท่านพระครูปลัดสุวัฒนศีลคุณ (พระครูแจ้) เจ้าอาวาสวัดบางพลีใหญ่กลาง พร้อมทั้งยังได้มอบข้าวสาร จำนวน 1,100 ถุง อีกทั้ง ยังได้มอบน้ำดื่ม จำนวน 1,100 แพค ตลอดจนทางครอบครัวเลิศอริยานันท์ยังได้มอบเงินทำบุญ อีกจำนวนกว่า 1 แสนบาท มอบให้กับท่านพระครูปลัดสุวัฒนศีลคุณ เจ้าอาวาสวัดบางพลีใหญ่กลาง เนื่องในโอกาสครบรอบวันคล้่ายวันเกิด 

ซึ่งได้รับความเมตตาจากท่าน  พระครูปลัดสุวัฒนศีลคุณ  เจ้าอาวาสวัดบางพลีใหญ่กลาง เป็นประธานฝ่ายสงฆ์ ประกอบพิธีสวดเจริญพระพุทธมนต์ ชัยมงคลคาถา พร้อมทั้งประพรมน้ำมนต์เพื่อความเป็นสิริมงคลแก่ครอบครัวเลิศอริยานันท์อีกด้วย

คิว-ข่าวสมุทรปราการ รายงาน

‘จตุพร’ เชื่อ เพื่อไทยสร้างเรื่อง เพื่อให้ ‘พ่อมดดำ’ ได้นั่งเก้าอี้ ประธานสภาฯ ชี้ ไม่มีความจริงใจ ไม่ตรงไปตรงมา กับประชาชน

เมื่อวันที่ 25 มิ.ย. 2566 นายจตุพร พรหมพันธุ์ วิทยากรคณะหลอมรวมประชาชน เฟซบุ๊คไลฟ์ประเทศไทยต้องมาก่อน ตอน "จบที่สภา...หรือถนน?" โดยระบุว่า หากพรรคเพื่อไทยไม่มีความจริงใจตรงไปตรงมากับประชาชนในการเลือกตำแหน่งประธานสภาแล้ว จะเป็นจุดเริ่มต้นให้ประชาชนพากันลงสู่ถนนด้วยอารมณ์ไม่พอใจ

นายจตุพร กล่าวว่า สถานการณ์ตั้งแต่ 4-13 ก.ค. นี้ สภากับมวลชนลงถนนจะสิ่งคู่กัน เพราะการเลือกประธานสภาวันที่ 4 ก.ค. และถัดไป 13 ก.ค. เลือกนายกฯ ดังนั้น จุดเริ่มต้นความวุ่นวายทางการเมืองย่อมมาจากสภา โดยขึ้นกับพรรคเพื่อไทยจะมีความตรงไปตรงมากับการโหวตลับเลือกประธานสภาหรือไม่? เป็นปัจจัยชี้ขาด

นอกจากนี้ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ไปอังกฤษ หอบสังขารเดินแต่ละก้าวได้ยากลำบากยังต้องเดินทางไกลอ้างไปดูม้าแข่ง ซึ่งเป็นสิ่งที่แปลกใจอย่างยิ่ง อย่างไรก็ตาม มีกระแสคาดการณ์ถึงการไปพบกับ ทักษิณ ชินวัตร เพื่อหารือเกี่ยวพันกับการเลือกประธานสภาและนายกฯ แต่ยังไม่ใครออกมายอมรับหรือปฎิเสธในเรื่องนี้

นายจตุพร กล่าวถึงตำแหน่งประธานสภา ว่า นายสุชาติ ตันเจริญ ซึ่งย้ายจากพรรคพลังประชารัฐมาอยู่เพื่อไทยนั้น มีชื่อติดโผอันดับต้น ๆ จะได้ตำแหน่งนี้

โดยเมื่อ 24 มิ.ย. ที่ผ่าน เขาแอบไปรายงานตัวเป็น ส.ส. ที่สภาหลังเลยเวลาปิดทำการแล้ว และพยายามไม่ให้สื่อมวลชนรู้ แล้วรีบเร่งกึ่งวิ่งกึ่งเดินหนีไม่ให้สัมภาษณ์นักข่าว จึงเป็นพฤติกรรมที่ไม่ปกติ สะท้อนอาการทางใจที่หลบซ่อนอยู่

“สิ่งที่น่าแปลกใจคือ หากไม่มีลับลมคมนัยแล้ว นายสุชาติ หลบหน้าสื่อมวลชนทำไม ควรต้องเปิดใจให้สัมภาษณ์ในตำแหน่งประธานสภาให้ชัดเจน ตรงไปตรงมา เพื่อหมดสิ้นความกังขาว่า ถ้ามีคนเสนอชื่อขึ้นมาแข่งขันกับพรรคก้าวไกลจะรับหรือไม่รับตำแหน่งนี้ ดังนั้น พฤติกรรมแอบ ๆ หลบ ๆ ซ่อน ๆ ย่อมสะท้อนถึงความต้องการที่อยู่ภายในใจได้เป็นอย่างดี”

นายจตุพร กล่าวว่า พฤติกรรมหลบซ่อน ยิ่งเพิ่มความสงสัยให้ผู้คน หากต้องการเป็นประธานสภาก็ควรบอกประชาชนตรง ๆ ดังนั้นนายสุชาติ ที่มีชื่อในตำแหน่งประธานสภา ควรแสดงความสง่างาม จะรับหรือไม่รับ ต้องบอกออกมา ทั้งที่นายชลน่าน ศรีแก้ว หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ได้บอกปัดไปแล้วว่า ถ้าถูกเสนอชื่อแข่งขันจะถอนตัวทันที

สิ่งสำคัญนายจตุพร เชื่อว่า ในการโหวตลับเลือกประธานสภา ในวันที่ 4 ก.ค.นี้ หากได้นายสุชาติ เป็นประธานสภา แล้วต่อมาวันที่ 13 ก.ค. พล.อ.ประวิตร จะถูกเลือกอย่างเปิดเผยให้เป็นนายกฯ โอกาสที่มวลชนไม่พอใจจะลงมาเต็มถนนย่อมมีโอกาสเกิดขึ้นค่อนข้างแน่นอน

“ขณะนี้ยากที่จะประเมินว่า หลังจาก 4 ก.ค.แล้ว มวลชนจะชุมนุมมากน้อยแค่ไหน หากมีประชาชนลุกลามมากขึ้น และปักหลักต่อเนื่องแล้ว วันที่ 13 ก.ค. จะได้เปิดสภาเพื่อเลือกนายกฯ หรือไม่ คงไม่สามารถประเมินสถานการณ์ได้ถูกต้อง”

นายจตุพร ย้ำว่า ชนวนใหญ่เรียกมวลชนมาลงถนนย่อมมาจากการประชุมสภาในวันเลือกประธานสภา อย่างไรก็ตาม หากพรรคเพื่อไทยมีความชัดเจนตรงไปตรงมา โดยผู้บริหารพรรคกับสมาชิกพรรคตัดสินใจไปในทางเดียวกัน คนลงถนนอาจจะไม่เกิดขึ้นเลยก็ได้ แต่การเมืองช่วงนี้ เป็นการออกแบบให้พรรคเพื่อไทยเป็นปัญหา

ดังนั้น จึงไม่มีความตรงไปตรงมากับประชาชน โดยเสียงสมาชิกพรรคยังต้องการให้ประธานสภาเป็นของเพื่อไทย สิ่งนี้คือ แรงจะกระตุ้นให้คนมาลงถนนมากขึ้น

อีกทั้ง กล่าวว่า เมื่อพรรคเพื่อไทยสร้างปัญหาไม่ตรงไปตรงมาทางการเมืองแล้ว ย่อมทำให้เกิดความวุ่นวายตามมาด้วย จึงเท่ากับเป็นอีกรูปแบบหนึ่งกับการเปิดประตูให้รัฐประหารได้ ดังนั้น 4 ก.ค. นี้ สภาจะก่อให้บ้านเมืองเข้าสู่จุดถอยหลังหรือไม่ และยังยากต่อการประเมินจำนวนประชาชนที่ออกมาลงถนนจะมากน้อยเพียงใดด้วย

“เพื่อไทยกลับไปกลับมาทางการเมืองเสมอจนยากจะเข้าใจได้ว่า เอาอย่างไรในตำแหน่งประธานสภา แต่ถ้านายสุชาติ ได้เป็นประธานสภา คงไม่แปลกใจ เพราะเสียงจากพรรคเพื่อไทยบางส่วนจำนวนมากต้องเทให้นายสุชาติแน่ ถ้าเป็นเช่นนี้ ไม่รู้ว่าวันโหวตเลือกนายกฯ จะได้เข้าสภาหรือไม่ จึงอย่าประมาทกับการตัดสินใจของประชาชน

นายจตุพร เชื่อว่า ชนวนการโหวตเลือกประธานสภา จะเป็นจุดเริ่มดึงให้ประชาชนลงถนนจนนำไปสู่การโหวตเลือกนายกฯ แบบย้ายขั้วผิดคำสัญญา และไม่มีความจริงใจกับประชาชน หลังจากนั้น บ้านเมืองจะไม่มีความปกติได้เลย

เปิดมุมมอง ‘นักธุรกิจจีน’ ยึดปรัชญา ซื่อสัตย์-ร่วมมือ มอง เทคโนโลยีเอไอ-หุ่นยนต์ กำลังเข้ามามีอิทธิพล เปลี่ยนชีวิตและธุรกิจ

เปิดมุมมอง “นักธุรกิจจีน” ผู้บริหารจากหลากหลายบริษัทชั้นนำร่วมแบ่งปันประสบการณ์ ภูมิปัญญา แนวความคิดการทำธุรกิจ ในหัวข้อเสวนา “แนวความคิดและภูมิปัญญาการดำเนินธุรกิจของนักธุรกิจชาวจีน” ภายในงาน ประชุมนักธุรกิจชาวจีนโลก (World Chinese Entrepreneurs Convention - WCEC) ครั้งที่ 16 ที่ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์
คว้าโอกาสทอง ‘อาเซียน’

เกา เฉวียน ชิ่ง ประธานหอการค้าสิงคโปร์-จีน กล่าวว่า แนวการทำธุรกิจที่ดีต้องประพฤติตนเป็นแบบอย่างที่ดี ให้ความสำคัญกับคุณค่าของคน ภายใต้แนวคิดที่สอดคล้องไปกับปรัชญา ตำราพิชัยสงครามของจีน ที่ให้ความสำคัญกับการฝึกฝน ความซื่อสัตย์ จงรักภักดีต่อประเทศชาติ ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน กล้าคิด มีความคิดริเร่ิมสร้างสรรค์ ตอบแทนสังคม เพื่อทำให้สังคมโดยรวมมีความสงบสุข

เช่นที่สิงคโปร์ที่วันนี้กลายเป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจ ความสำเร็จที่เกิดขึ้นมาจากความซื่อสัตย์ การสร้างความไว้วางใจต่อลูกค้า คู่ค้า การตอบแทนสังคม รวมถึงความจงรักภักดีต่อประเทศชาติ โดยแนวคิดดังกล่าวจะมีการสืบทอดและส่งต่อไปสู่คนรุ่นหลังต่อๆ ไป
“หากเรามีการสืบสานแนวคิดและยึดถือหลักการเช่นนี้ต่อไปจะสามารถเติบโตและคงอยู่ได้อย่างยั่งยืน ในอีกทางหนึ่งไม่ใช่แค่เพื่อธุรกิจ แต่เป็นรากฐานของการสร้างชาติและทำให้งานต่างๆ บรรลุตามวัตถุประสงค์ เชื่อว่าภูมิปัญญาที่ถูกต้องจะเป็นแรงขับเคลื่อนที่ช่วยสร้างความสำเร็จ ท่ามกลางสถานการณ์โลกที่มีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา”

ในยุคทองของการเติบโต ภูมิภาคอาเซียน ทุกภาคส่วนควรให้ความสำคัญกับความซื่อสัตย์ไว้วางใจ จับมือไปด้วยกันเพื่อเสริมจุดแข็ง แบ่งปันและคว้าโอกาสทองของการพัฒนาเศรษฐกิจในภูมิภาค

นอกจากนี้ การพัฒนาเศรษฐกิจต้องมีความจงรักภักดีต่อประเทศชาติ ส่งเสริมให้ทุกกลุ่มทุกประเทศมีการพัฒนาที่สอดคล้องกันไป ลดความเหลื่อมล้ำ ร่วมมือกับหน่วยงานภาครัฐเพื่อสร้างความเสมอภาค สร้างความปรองดอง ส่งเสริมให้นักธุรกิจจีนทั่วโลกร่วมมือกัน
สุดท้าย เสริมสร้างจิตวิญญาณในการสร้างนวัตกรรม เพื่อรับมือกับความท้าทายด้านภูมิอากาศ ลดการใช้พลังงาน เดินหน้าสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน ภายใต้เป้าหมายที่มีความชัดเจนเพื่อการพัฒนาเศรษฐกิจสีเขียวอย่างเป็นรูปธรรมผลักดัน ‘แพทย์แผนจีน’ สู่สากล
หลี ฉู่ หยวน ประธานกรรมการ บริษัท กว่างโจวฟาร์มาซูติคอลกรุ๊ป จำกัด กล่าวว่า จีนและไทยเป็นสองประเทศที่มีมิตรภาพที่ลึกซึ้งต่อกันมาอย่างยาวนาน

สำหรับจีน ไทยนับเป็นเพื่อนร่วมชะตาเดียวกัน ซึ่งที่ผ่านมามีการแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรมและสานสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นมาโดยตลอด กว่างโจวฟาร์มาซูติคอลเองให้ความสำคัญอย่างมากกับตลาดไทย และขณะนี้มีหลายผลิตภัณฑ์ที่นำเข้ามาทำตลาด
อย่างไรก็ดี จากไม่กี่ปีที่ผ่านมาที่ต่างต้องรับมือกับการแพร่ระบาดโควิด ทำให้ทุกฝ่ายมีการร่วมมือกัน นอกจากด้านการแพทย์ให้ความสำคัญกับปรัชญาการใช้ชีวิต เรื่องการมีชีวิตที่ยืนยาว มีคุณภาพ และมีความสุข

นอกจากนี้ บริษัทได้มีการเผยแพร่การแพทย์แผนจีน ซึ่งจะเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยส่งเสริมแพทย์แผนปัจจุบัน โดยพยายามส่งเสริมให้เป็นสากลมากขึ้น ผ่านบุคลากรผู้เชี่ยวชาญระดับสูงมากกว่า 100 คน

มากกว่านั้น มีการสร้างการรับรู้ให้ตลาด โดยการสร้างศูนย์การเผยแพร่วัฒนธรรมในต่างประเทศ ทั้งมีการผลักดันโมเดลการรักษาสุขภาพรูปแบบใหม่ๆ เพื่อทำให้แพทย์แผนจีนกลายเป็นเทรนด์ระดับสากล

‘หัวเว่ย’ มุ่งสร้างคุณค่า ‘ธุรกิจ-สังคม’
เจย์ เฉิน ซีอีโอ บริษัท หัวเว่ย เทคโนโลยี่ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า ยุทธศาสตร์สำหรับการรับมือความเปลี่ยนแปลงและความไม่แน่นอนที่เกิดขึ้น คือความถูกต้องและความชอบธรรม เพื่อรับผิดชอบต่อสังคมโดยรวม

ด้วยหลักการนี้ ควรสะท้อนไปในทุกกระบวนการที่เกี่ยวข้อง ตั้งแต่การวิจัย ค้นคว้า การผลิต การขาย บริการหลังการขาย เช่นที่หัวเว่ย ทุกธุรกิจที่ดำเนินการอยู่ต้องเคารพกฎหมายของประเทศจีนและกฎหมายในประเทศที่ทำธุรกิจนั้น ๆ

นอกจากนี้ ให้ความสำคัญกับค่านิยมร่วม เพื่อตอบแทนสังคม การสร้างคุณค่าทั้งเชิงธุรกิจและสังคม ยกระดับคุณภาพชีวิตประชาชน ไม่ใช่แค่การทำรายได้ แต่สร้างผลกระทบเชิงบวกต่อสังคมโดยภาพรวมด้วยเทคโนโลยีไอซีที

หัวเว่ยเข้ามาทำตลาดในประเทศไทยมากว่า 30 ปี ที่ผ่านมามีความร่วมมือกับหลายภาคส่วนในหลากหลายมิติ ใช้เทคโนโลยีไอซีทีเพื่อสร้างโอกาส การจ้างงาน และส่งเสริมการเติบโตทางเศรษฐกิจ

โดยมีมุมมองว่า ไทยเป็นประเทศที่อุดมสมบูรณ์ มีข้อได้เปรียบเชิงภูมิศาสตร์ แนวทางการทำงานให้ความสำคัญกับการดำเนินธุรกิจที่มีความถูกต้อง ชอบธรรม เพื่อรับมือกับความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจ สภาพภูมิอากาศ และตลาดที่เปลี่ยนแปลงไป ขณะเดียวกันเห็นถึงความสำคัญกับการมีส่วนร่วมด้านการพัฒนาบุคคลากร สตาร์ตอัป ผลักดันการพัฒนาเชิงดิจิทัล
ก้าวสู่ยุคใหม่ ‘รถยนต์ไฟฟ้า’

ฟัง อวิ่นโจว ผู้จัดการทั่วไป บริษัท โฮซอน นิว เอนเนอร์ยี่ ออโต้โมบิล จำกัด กล่าวว่า การเดินหน้าสู่ยุคแห่งรถยนต์พลังงานใหม่ ต้องมีการผสมผสานของพลังงานไฟฟ้า การเชื่อมต่อเครือข่าย และความอัจฉริยะ

โดยขณะนี้ นับว่ามีการเติบโตที่มากขึ้นและต่อเนื่อง โดยต่อไปจะไม่ใช่แค่รถยนต์ แต่เป็นอุปกรณ์เคลื่อนที่ที่ผสมผสานอินเทอร์เน็ต ภายใต้การผสมผสานของเทคโนโลยีใหม่ๆ เข้ามา
“การเปลี่ยนแปลงไปสู่ดิจิทัลและความอัจฉริยะ คือการผสมผสานและรวบรวมของทั้งพลังงาน พลังงานใหม่ การเดินทาง และเทคโนโลยี คาดว่าช่วงปี 2035-2045 จะเป็นการพัฒนาในช่วงหลัง ซึ่งคาดว่าจะได้เห็นว่ามีสาธารณูปโภคพื้นฐาน ระบบนิเวศรวมถึงโมเดลธุรกิจที่สมบูรณ์มากขึ้น”

เขากล่าวว่า เส้นทางนี้มีความกว้างอย่างมากและมีเกี่ยวข้องกับหลายภาคส่วน ทั้งผู้ผลิต ลูกค้า นักลงทุน เป็นการยกระดับครั้งสำคัญที่ต้องมีการทำงานร่วมกัน เพื่อรวบรวมข้อมูล ประมวลผล มีการใช้เอไอมาควบคุม การเชื่อมต่อ ยกระดับความปลอดภัย การเชื่อมต่อกับเครือข่ายอินเทอร์เน็ต ฯลฯ ส่วนของบริษัทเองเบื้องต้นปีนี้บริษัทคาดว่าจะสามารถสร้างยอดขายในไทยได้ประมาณ 1.5 หมื่นคัน

 ‘เอไอ’ เปลี่ยนโฉมธุรกิจ-ชีวิต
หยวน ฮุย ประธานกรรมการ เสี่ยว อ้าย คอร์ปอเรชั่น กล่าวว่า วันนี้เทคโนโลยีเอไอรวมถึงหุ่นยนต์ กำลังเข้ามามีอิทธิพลอย่างมากกับการทำงานและการใช้ชีวิตของมนุษย์
ทั้งนี้ นับเป็นโอกาสของธุรกิจในแทบทุกอุตสาหกรรมที่จะนำมาปรับใช้ เพื่อพัฒนายกระดับการบริการ โดยที่ได้เห็นแล้วมีทั้งด้านการเงิน อสังหาริมทรัพย์ เฮลธ์แคร์ การดูแลสุขภาพ การนำข้อมูลมาใช้ให้เป็นประโยชน์ การออกแบบ สร้างมูลค่าผลิตภัณฑ์ พัฒนาประสบการณ์ผู้บริโภค รวมถึงการผสมผสานเมตาเวิร์สกับโลกความเป็นจริง

จากประสบการณ์ วันนี้ได้เห็นว่าธุรกิจต่างต้องเผชิญกับความท้าทายทั้งด้านความขัดแย้งระหว่างภูมิภาค อีกทางหนึ่งเทคโนโลยีเป็นอีกหนึ่งในความท้าทายที่ต่างต้องเผชิญ
ในภาวะที่เศรษฐกิจอยู่ช่วงขาลงและความท้าทายจำนวนมากดังกล่าว แนวคิดที่สำคัญของนักธุรกิจชาวจีนคือ การสร้างคุณค่าให้เกิดขึ้นกับทั้งตนเอง ครอบครัว สังคม เพื่อผลักดันให้เกิดอนาคตที่สดใสร่วมกัน


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top