Wednesday, 7 May 2025
GoodsVoice

‘All Connex’ เผยโฉม!! ‘Roboraptor’ หุ่นยนต์รักษาความปลอดภัย 'เฝ้าบ้าน-ร้าน-สแกนโจร-ติดต่อตำรวจ' พร้อมขายทั่วโลกปลายปี 67

(5 ก.ค.67) รายงานข่าวระบุว่า All Connex ผู้พัฒนาระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติและหุ่นยนต์ เตรียมเปิดขายหุ่นยนต์รักษาความปลอดภัยที่เหมาะสำหรับใช้เฝ้ากิจการห้างร้าน และบ้าน โดยมีคุณสมบัติเหนือกว่ามนุษย์ ด้วยกล้องจับภาพคุณภาพสูง, ฟีเจอร์ที่สามารถตรวจจับบุคคลต้องสงสัยที่มีหมายจับ, ระบบแจ้งเตือนไปยังสถานีตำรวจในกรณีเกิดเหตุ, ระบบสแกนตรวจจับอาวุธปืน และสัญญาณเตือนภัยเป็นต้น

โดยเจ้า Roboraptor มีลักษณะคล้ายๆ สุนัขตำรวจ แต่มีความแข็งแรงทนทานจากเหล็กกล้าและมีน้ำหนักราวๆ 20 กิโล เคลื่อนไหวคล่องแคล่วว่องไวและ สามารถกระโดดได้สูงไม่ต่างจากสุนัข

โดย All Connex เป็นแบรนด์แรกของโลกที่เปิดขายหุ่นยนต์รักษาความปลอดภัย โดยจะขายผ่านเว็บไซต์ โดยระบบบล็อกเชน

‘กรมการแพทย์แผนไทยฯ’ หนุนเกษตรกรปลูก ‘มะระขี้นก’ ‘ขายผลสด-แปรรูป’ รับเทรนด์รักสุขภาพ สร้างรายได้เข้าประเทศ

(5 ก.ค. 67) นายแพทย์ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน อธิบดีกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก เปิดเผยว่า ที่ได้มีการประกาศสมุนไพร Herbal Champions 15 รายการ ตามแผนปฏิบัติการด้านสมุนไพรแห่งชาติ ฉบับที่ 2 พ.ศ. 2566-2570 

‘มะระขี้นก’ ซึ่งเป็น 1 ในสมุนไพร Herbal Champions มีตลาดทั่วโลกมูลค่ารวมกว่า 28,000 ล้านบาท กำลังมีแนวโน้มของตลาดกำลังเติบโตอย่างต่อเนื่อง

ข้อมูลเชิงลึกที่สำรวจประเทศเม็กซิโกเป็นประเทศที่มีการส่งออกมะระสูงสุดในโลกมีมูลค่า 17,000 ล้านบาท ขณะที่ประเทศไทยส่งออกมะระขี้นกเพียง 18 ล้านบาท สะท้อนให้เห็นว่าโอกาสของมะระขี้นกในตลาดโลกสามารถจะเติบโตอย่างต่อเนื่องในอนาคต

การศึกษาวิจัยหลายฉบับบ่งชี้ว่ามะระขี้นกมีสารสำคัญที่ชื่อว่า ชาแรนติน (Charantin) ช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือดได้ ประกอบกับเทรนด์การรักสุขภาพของผู้บริโภคทั่วโลกที่หันมาสนใจผลิตภัณฑ์ธรรมชาติและสมุนไพรมากขึ้นจึงทำให้มะระขี้นก เป็นทางเลือกที่ตอบโจทย์ความต้องการของผู้รักสุขภาพในหลายประเทศทั่วโลก 

ประเทศไทยจึงมีการพัฒนาสายพันธุ์สาเกต 101 ของมะระขี้นกขึ้นใหม่เพื่อให้ได้สารสำคัญในปริมาณที่มากขึ้น เพียงพอต่อการแข่งขันในตลาดโลก ซึ่งมีการนำร่องให้เกษตรกรจังหวัดมหาสารคามนำไปขยายพันธุ์ปลูกและเกิดการซื้อขายระหว่างผู้ประกอบการจากสาธารณรัฐประชาชนจีนจำนวนมูลค่า 250 ล้านบาท เพื่อนำไปแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ

ทางด้าน ดร.ภญ.มณฑกา ธีรชัยสกุล ผู้อํานวยการกองสมุนไพรเพื่อเศรษฐกิจ กล่าวว่า ปัจจุบันมีการทำโมเดล การเกษตรต้นน้ำมูลค่าสูงของมะระขี้นก เพื่อเป็นการสร้างงาน สร้างอาชีพให้กับเกษตรกร และวิสาหกิจชุมชน โดยเป็นการพัฒนาสายพันธุ์มะระขี้นก เพื่อให้ได้สารสำคัญคือ Charantin ในปริมาณที่สูงขึ้น ผลการศึกษาเบื้องต้นพบว่าสายพันธุ์ใหม่ ที่พัฒนาทำให้มะระขี้นกใหญ่ขึ้น และสามารถให้สาร Charantin มากกว่าเดิม ประมาณ 2 เท่า ซึ่งส่งผลให้ราคามะระขี้นกเพิ่มสูงขึ้น จากเดิมกิโลกรัมละ 30 บาท เป็นกิโลกรัมละ 50 บาท เป็นการยกระดับรายได้ของคนในจังหวัด สร้างความเข้มแข็งให้กับเศรษฐกิจฐานราก 

นอกจากนี้ยังมีการส่งเสริมการแปรรูปมะระขี้นกด้วยเทคโนโลยีขั้นสูง ให้เป็นผลิตภัณฑ์รูปแบบต่าง ๆ ที่มีมูลค่าทางเศรษฐกิจเพิ่มขึ้น อาทิ มะระขี้นกแบบน้ำสกัดเข้มข้น ซุปมะระขี้นกแบบผง มะระขี้นกดองกิมจิ 3 รส เป็นต้น เป็นการผลักดันให้เกิดเกษตรมูลค่าสูงสอดคล้องกับนโยบายของคณะกรรมการนโยบายสมุนไพรแห่งชาติ ที่มีความมุ่งมั่นในการผลักดันสมุนไพรให้เป็นพืชเศรษฐกิจ โดยการสนับสนุนผู้ประกอบการแปรรูปสมุนไพรให้สามารถเข้าถึงเทคโนโลยีเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตให้มีคุณภาพมาตรฐาน ผลักดันจากการขายส่งวัตถุดิบเปลี่ยนเป็นการส่งออกผลิตภัณฑ์ในรูปแบบต่าง ๆ ที่มีมูลค่าสูงเพื่อสร้างความแตกต่างและสร้างมูลค่าเพิ่มแก่สมุนไพร เป็นการต่อยอดสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจของสมุนไพรไทย

การจัดงานมหกรรมสมุนไพรแห่งชาติ และการประชุมวิชาการประจำปีการแพทย์แผนไทย การแพทย์พื้นบ้าน และการแพทย์ทางเลือกแห่งชาติ ครั้งที่ 21 ในปีนี้ จัดภายใต้แนวคิด ‘นวดไทย สปาไทย สมุนไพรไทยสู่เวทีโลก’ ระหว่างวันที่ 3-7 กรกฎาคม 2567 ฮอลล์ 11 - 12 อิมแพ็ค เมืองทองธานี ภายในงานจะมีการจัดแสดงสมุนไพรไทยหลากหลายชนิด โดยเฉพาะ ‘มะระขี้นก’ พร้อมนิทรรศการและผลิตภัณฑ์แปรรูปต่าง ๆ ผู้เข้าร่วมงานจะได้พบกับมะระขี้นกสายพันธุ์ใหม่ที่พัฒนาขึ้นเพื่อให้ได้สาร Charantin ในปริมาณที่สูงขึ้น 

นอกจากนี้ยังมีการจัดแสดงนวัตกรรมและงานวิจัยล่าสุด รวมถึงกิจกรรมการสาธิตการปลูกและ แปรรูปสมุนไพร ร่วมกันสร้างเศรษฐกิจที่เข้มแข็งด้วยสมุนไพรไทย สามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม กรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก 

>> โทร. 0-2591-7007
>> อินสตาแกรม, TIKTOK, Facebook Fanpage มหกรรมสมุนไพรแห่งชาติ
>> Website: https://natherbexpo.dtam.moph.go.th
>> Line ID  : @DTAM

'ดร.สุวินัย' เผย!! วิกฤตการณ์ฐานรากเมืองไทย 'กับดักหนี้-ขาดสภาพคล่อง' ทำศก.ไทยฟื้นตัวยาก

(5 ก.ค. 67) รศ.ดร.สุวินัย ภรณวลัย อดีตอาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กในหัวข้อ ‘วิกฤตฐานราก, Balance Sheet Recession และกลุ่ม ALICE’ โดยระบุว่า…

‘วิกฤตฐานราก’, Balance Sheet Recession, The Lost Decades ฯลฯ... ตอนนี้เหล่านักเศรษฐศาสตร์ไทยกำลังพูดถึงเรื่องเดียวกัน

ถ้ามองภาพการเงินของเศรษฐกิจไทยขณะนี้ในรูปของ ‘งบดุล’ โดยที่ฝั่งซ้ายเป็นสินทรัพย์ ส่วนฝั่งขวาเป็นหนี้สิน

Balance Sheet Recession คือสภาพที่ฝั่งหนี้สูงขึ้นเรื่อย ๆ แต่ฝั่งสินทรัพย์มีมูลค่าลดลงเรื่อย ๆ ... สภาพเช่นนี้เป็น ‘กับดักหนี้’ ที่ทำให้เศรษฐกิจไทยฟื้นตัวยากมาก

สภาพของครัวเรือนไทยจำนวนมากตอนนี้ กำลังตกลงอยู่ในกับดักหนี้สินที่มูลค่าหนี้รวมสูงขึ้นเรื่อย ๆ แต่ฝั่งทรัพย์สินมูลค่ากลับลดลงเรื่อย ๆ

ในสภาพ Balance Sheet Recession นโยบายการเงิน โดยเฉพาะการลดดอกเบี้ยไม่ใช่ทางออกในการแก้ปัญหากับดักหนี้ เพราะต่อให้ดอกเบี้ยถูกลง คนก็ไม่ค่อยกู้เพราะลำพังแค่หนี้เดิมก็อ่วมจะแย่อยู่เเล้ว ...ที่สำคัญแบงก์เองก็ไม่อยากปล่อยกู้ให้ครัวเรือนที่แบกหนี้หนักอยู่แล้ว

‘วิกฤติฐานราก’ รอบนี้จึงไม่เหมือน ‘วิกฤติต้มยำกุ้ง’ ในปี พ.ศ. 2540 ตรงที่รอบนั้นมันไปพังที่สถาบันการเงินเป็นหลัก กระทบกับคนรวยเป็นหลัก มันเจ็บหนักก็จริงแต่จบแค่นั้น

ส่วนครั้งนี้มันคือความฝืดเคืองขาดสภาพคล่องในวงกว้าง ในภาคครัวเรือนที่ต้องเติมรายได้เพื่อลดหนี้แก้หนี้ให้ได้ ว่าแต่ว่าหน้าตาตัวตนที่แท้จริงของครัวเรือนไทยจำนวนมากตอนนี้ เป็นอย่างไร?

คำตอบก็คือ ครัวเรือนไทยกลุ่มนี้ นักเศรษฐศาสตร์เรียกว่า ALICE หรือ Asset Limited, Income Constrained, Employed

การจำแนกตัวตนของกลุ่มชนชั้นกลางไทยที่วัดตามระดับรายได้

● ในปัจจุบัน การอยู่เหนือระดับเส้นความยากจน คือการมีรายได้ตั้งแต่เดือนละประมาณ 10,000 บาทขึ้นไป 

● ครัวเรือนที่มีระดับรายได้ต่อเดือนต่ำกว่าหมื่นนั้น จะอยู่แบบเดือนไม่ชนครึ่งเดือน คือมีรายจ่ายสูงถึง 147% ของรายได้

โดยที่ยอดจ่ายเงินกู้ตกอีกเดือนละ 29% รวมกันคือรายจ่าย 176% ของรายได้ แสดงว่าครัวเรือนกลุ่มนี้ต้องกู้มาโปะ 70%-80% ของรายได้ทบเข้าไปทุกเดือน

● ครัวเรือนที่มีรายได้เดือนละตั้งแต่ 1-2 หมื่นก็ไม่ได้ต่างกันนักคือ มีรายจ่าย 103% กับยอดจ่ายเงินกู้อีก 18% รวมมีค่าใช้จ่ายเป็น 121% ของรายได้ ครัวเรือนกลุ่มนี้ก็ต้องกู้มาโปะทุกเดือนเช่นกัน

● ครัวเรือนที่มีรายได้ 2-3 หมื่นต่อเดือน มีค่าใช้จ่ายกินอยู่บวกจ่ายเงินกู้ 112% ของรายได้

● ครัวเรือนที่มีรายได้ 3-5 หมื่นต่อเดือน มีค่าใช้จ่ายอยู่กินบวกจ่ายเงินกู้ 106% ของรายได้

● ครัวเรือนที่มีรายได้ 5 หมื่น - 1 แสนต่อเดือนถึงเริ่มจะมีรายได้เกินค่ากินอยู่จ่ายหนี้ อยู่ที่ 97% ของรายได้ คือมีรายได้ปริ่ม ๆ ไม่ต้องพึ่งเงินกู้มาโปะค่ากินอยู่ แต่แทบไม่มีเงินออม

● มีเฉพาะครัวเรือนกลุ่มรายได้เกินแสนบาทต่อเดือนเท่านั้นที่มีเหลือเก็บจริง ๆ คือมีค่ากินอยู่ อยู่ที่ 66% ของรายได้

● ซึ่งกลุ่มครัวเรือนชนชั้นกลาง ตั้งแต่ 1-5 หมื่น ที่รายได้พ้นเส้นความยากจน แต่มีไม่พอจะชนเดือนนั้น เขาเรียกคนกลุ่มนี้ว่า ALICE หรือ Asset Limited, Income Constrained, Employed

ซึ่งกลุ่ม ALICE นี้มีจำนวน 17.4 ล้านครัวเรือน คิดเป็นสัดส่วนถึง 72% ของประชากรประเทศไทย

สั้น ๆ มีผู้คนราว 3 ใน 4 ของประเทศนี้ ที่ต้องกู้มากินมาใช้เพิ่มขึ้นทุกเดือน เพียงเพื่อจะอยู่รอด 

หนี้ครัวเรือนในประเทศนี้จึงทะลุ 90% GDP มิหนำซ้ำในปัจจุบันสถาบันการเงินได้หยุดไม่ให้สินเชื่อกับ ALICE เพิ่มอีกแล้วด้วย

● เมื่อเอาภาพนี้ไปมองคู่กับสัดส่วนของ GDP ไทยและ สัดส่วนแรงงาน มันจะเห็นอะไรชัดขึ้น

กล่าวคือสัดส่วนของ GDP ไทยในตอนนี้คือ ภาคอสังหา 5%, เกษตร 9%, พาณิชย์ 16%, อุตสาหกรรม 30% และ บริการ 40% ของ GDP ตามลำดับ

ในขณะที่การจ้างงานราว 30% อยู่ภาคเกษตร, 20% อยู่ภาคอุตสาหกรรม และ อยู่ภาคบริการราวครึ่งหนึ่ง 50%

แสดงว่า 9% ของ GDP ในภาคการเกษตรนี้ต้องเอามาเลี้ยงคนทำงาน 30% ในภาคเกษตร นี่ยังไม่ต้องพูดถึงส่วนที่มันเข้ากระเป๋าทุนผูกขาดทางการเกษตร ถ้าหักส่วนนี้ออก มันจะเหลือถึงคน 30% ในภาคเกษตรจริง ๆ สักเท่าไร

● อสังหา 5% นั้นมันคงเอาไปรวมกับ 30% อุตสาหกรรม เป็น 35% ของ GDP เทียบกับจำนวนหนุ่มสาวโรงงาน 20%ในภาคอุตสาหกรรม มันก็ยังดูได้สัดส่วน แต่ภาคอุตสาหกรรมที่กำลังจะตายของประเทศไทย เพราะไม่สามารถแข่งขันกับกลุ่มทุนจีนที่กำลังเข้ามาฮุบกลืนธุรกิจอุตสาหกรรมของไทย... จะอุ้มชูคนกลุ่มนี้ได้นานแค่ไหน?

● หรือจะให้ 50% ของ GDP จากภาคบริการและท่องเที่ยว ที่ปัจจุบันก็จ้างงานแบกคนอยู่ 40% ของ GDP อยู่แล้ว ...จะต้องแบกรับภาระส่วนที่เหลือไปทั้งหมดอีกหรือ?

● สมัยวิกฤติต้มยำกุ้ง ปี พ.ศ. 2540 นั้น ผู้คนที่เผชิญมรสุม เขายังมีบ้าน มีชนบท มีนา มีไร่ ให้กลับ แต่คนพ.ศ. 2567 ที่กำลังเผชิญกับ ‘วิกฤติฐานราก’ หรือ Balance Sheet Recession อยู่ตอนนี้ โดยที่ภาคเกษตร 9% ของ GDP อุ้ม 30% ของแรงงานในภาคเกษตรอยู่แล้ว ภาคเกษตรที่หลังแอ่นอยู่แล้วจะรองรับพวก ALICE ให้กลับอยู่ด้วยอีกได้หรือเปล่า?

~ สุวินัย ภรณวลัย และเต่า วรเดช

‘นายกฯ เศรษฐา’ หารือ ‘ผู้บริหาร BYD’ กำชับส่งเสริมผู้ผลิตไทยและกำหนดราคาให้เหมาะสม

เมื่อวานนี้ (5 ก.ค. 67) ณ ห้องสีม่วง ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี พบหารือกับ นายหวัง ชวนฟู (Mr. Wang Chuanfu) ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บีวายดี จำกัด (BYD) โดยภายหลังการหารือ นายชัย วัชรงค์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีเปิดเผยสาระสำคัญ ดังนี้ 

นายกรัฐมนตรีขอบคุณที่บริษัทฯ เห็นศักยภาพ เลือกลงทุนในประเทศไทยซึ่งจะเป็นการเพิ่มการกระตุ้นเศรษฐกิจไทยได้ และได้กล่าวถึง 3 ประเด็นหลักในการหารือครั้งนี้

1. ขอให้บริษัทคำนึงถึงผู้ผลิต ผู้ประกอบการไทยที่มีศักยภาพ ใช้ Supply Chain ในประเทศไทยมากที่สุด

2. ขอให้บริษัทผลิตเต็มจำนวน Capacity ตามที่ได้ตกลงกันไว้ 

3.การบริหารความคาดหวังของผู้บริโภคในด้านราคาเป็นประเด็นสำคัญ ขอให้พิจารณาการคุ้มครองผู้บริโภคไทย อย่างเหมาะสม

นายหวัง ชวนฟู กล่าวว่า ขอบคุณคำแนะนำที่เป็นประโยชน์ของนายกรัฐมนตรีอย่างยิ่ง โดยบริษัท BYD ให้ความสำคัญกับตลาดไทย ซึ่งเป็นตลาดที่มีศักยภาพ โดยทางบริษัทฯ ได้ใช้ Supply Chain จากประเทศไทยมากกว่าข้อบังคับ และมีการผลิตชิ้นส่วนหลายตัวในประเทศไทย และนำการผลิตที่ใช้เทคโนโลยีใหม่มาผลิตในประเทศไทยด้วย ทั้งนี้ ความสามารถในการผลิตของโรงงาน BYD ในประเทศไทยคือ 1.5 แสนคันต่อปี

โดยจะใช้เวลา 2 ปี เพื่อผลิตอย่างเต็มความสามารถ ทั้งนี้ นอกจากขายในประเทศไทย บริษัทฯ มีนโยบายที่จะส่งออกขายในภูมิภาคอาเซียน อินโดนีเซีย และเวียดนามด้วย 

ในส่วนของการกำหนดราคารถยนต์นั้น บริษัทฯ รับปากนายกรัฐมนตรีว่าจะพิจารณาตามที่นายกรัฐมนตรีแนะนำ คือปรับราคาในอนาคตให้มีรูปแบบและความถี่ที่เหมาะสม ให้ตลาดปรับตัวได้ทัน รวมทั้ง สัญญาที่จะหามาตรการในการเยียวยาลูกค้าที่ได้รับผลกระทบ

โดยในโอกาสนี้ บริษัทฯ ยืนยันกับนายกรัฐมนตรีว่าประเทศไทยมีศักยภาพ และเป็นตลาดที่พร้อมเติบโต จึงพร้อมขยายการลงทุน รับพนักงานเพิ่ม และพร้อมอบรมพนักงานด้วยเทคโนโลยีทันสมัย โดยขอเชิญนายกรัฐมนตรีเดินทางไปที่บริษัทฯ ในช่วงเวลาที่นายกรัฐมนตรีเห็นเหมาะสม

'ดร.ก้องเกียรติ' ชี้!! 'ธุรกิจคาร์บอนต่ำ' โอกาสทองของ SME 'ลดต้นทุน-สร้างรายได้-ช่วยรักษ์โลก' เพียงแค่เปลี่ยนมุมมอง

จากรายการ THE TOMORROW มหาชนต้องรู้ ออกอากาศทางสถานีวิทยุ ส.ทร. FM93.0 MHz และสื่อออนไลน์ ในเครือ THE STATES TIMES ได้พูดคุยกับ ดร.ก้องเกียรติ สุริเย ผู้เชี่ยวชาญด้านคาร์บอนเครดิต และประธานกรรมการ บริษัท จีอาร์ดี จำกัด ในประเด็น 'ความสำคัญเกี่ยวกับธุรกิจคาร์บอนต่ำ' โดย ดร.ก้องเกียรติ กล่าวว่า...

ธุรกิจคาร์บอนต่ำ หมายถึง ธุรกิจที่มีคาร์บอนฟุตพริ้นท์ (Carbon Footprint) ขององค์กรหรือผลิตภัณฑ์ในปริมาณต่ำ เมื่อเปรียบเทียบกับท้องตลาดที่มีอยู่ ยกตัวอย่างเช่น...

ถ้าเราทำธุรกิจเกี่ยวกับผลไม้ส่งออก เช่น ลำไย กระบวนการอบลำไยหลัก ๆ ก็ต้องมีปริมาณคาร์บอนฟุตพริ้นท์จำนวนมากอยู่แล้ว เนื่องจากมันมีการบ่มแก๊ส แต่ถ้าเราสามารถปรับเปลี่ยนวิธีการอบลำไยของเราไม่ให้ใช้แก๊สหรือใช้วิธีการอื่น ๆ แทน เพื่อปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้น้อยลง ก็จะทำให้มีความต่างจากผู้ประกอบการรายอื่น ๆ ที่พอเทียบวัดจำนวนคาร์บอนฟุตพริ้นท์แล้ว ของเราก็จะมีปริมาณที่ต่ำกว่า และก็เรียกได้ว่าเป็น ธุรกิจคาร์บอนต่ำไปโดยปริยาย

เมื่อถามว่าปัจจุบันผู้ประกอบการ SME มีส่วนเกี่ยวข้องกับโลกร้อนด้วยหรือไม่อย่างไร? ดร.ก้องเกียรติ กล่าวว่า ในเชิงธุรกิจเกี่ยวข้องโดยตรง เนื่องจากมีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ คือ 

1.การปล่อยก๊าซเรือนกระจกโดยตรง เช่น การใช้เชื้อเพลิงในการดำเนินธุรกิจ 

2.การปล่อยก๊าซเรือนกระจกโดยอ้อม เช่น การใช้พลังงานไฟฟ้าซึ่งทำให้เกิดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่โรงไฟฟ้า 

3.การดำเนินธุรกิจไม่ว่าจะเป็นการจัดซื้อ จัดจ้าง ในห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain) ผู้ผลิต ผู้จัดจำหน่าย การบริการ ล้วนเกี่ยวข้อง 

ซึ่ง ผู้ประกอบการ SME เป็นผู้ซัปพลาย (Supply) ให้กับผู้ประกอบการขนาดใหญ่โดยตรง ทำให้มีความผูกพันกันเป็นห่วงโซ่ 

ดร.ก้องเกียรติ กล่าวอีกว่า ในปัจจุบันผู้ประกอบการ SME ของประเทศไทยมีจำนวนกว่า 95% สร้างการจ้างงานกว่า 50% แต่ในเวลาเดียวกัน ก็ปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้มากกว่าผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดใหญ่ ฉะนั้นถ้าผู้ประกอบการ SME ร่วมแรงร่วมใจกันลดโลกร้อน ก็จะได้รับประโยชน์คืนกลับมามากมาย ดังนี้...

1.สามารถลดพลังงานที่ใช้และลดต้นทุนในการดำเนินธุรกิจ 
2.สามารถจำหน่ายคาร์บอนเครดิตสร้างรายได้กลับมาหรือใช้ในองค์กร 
3.เป็นจุดเริ่มต้นของนวัตกรรมในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ไปสู่สินค้าคุณภาพสูงได้ ซึ่งเป็นตลาดใหม่เรียกว่า Green Market Sector 

ทั้งนี้ การทำธุรกิจคาร์บอนต่ำของผู้ประกอบการ SME มีวิธีการและรายละเอียดมากมาย ผู้สนใจสามารถเข้าร่วมงานสัมมนาวิชาการ การเพิ่มศักยภาพการแข่งขันของ SME ไปพร้อมกับการหยุดสภาวะโลกเดือดด้วยการดำเนินธุรกิจแบบคาร์บอนต่ำร่วมกับการสร้างโอกาสใหม่ของธุรกิจด้วยคาร์บอนเครดิต บรรยายโดย ดร.ก้องเกียรติ สุริเย วันพฤหัสบดีที่ 11 กรกฎาคม 2567 ณ ธนาคารกรุงเทพ สำนักงานใหญ่ เวลา 13.00-16.30 น. โดยสามารถลงทะเบียนผ่านลิงก์เพื่อสำรองที่นั่งได้ที่ https://bit.ly/45fVVxL 'โอกาสทองของ SME ที่ไม่ควรพลาด'

'อ.พงษ์ภาณุ' สวด!! 'แบงก์ชาติ' มือไม่พายเอาเท้าราน้ำ ขัด 'นโยบายการเงิน-การคลัง' บั่นทอนความเชื่อมั่นนักลงทุน

(7 ก.ค. 67) อ.พงษ์ภาณุ เศวตรุนทร์ อดีตปลัดกระทรวงท่องเที่ยวและกีฬา อดีตรองปลัดกระทรวงการคลัง และผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐศาสตร์ระดับประเทศ กล่าวถึงธนาคารแห่งประเทศไทย ว่า...

ดูเหมือนว่าช่วงนี้ธนาคารแห่งประเทศไทยจะขยันออกข่าวเป็นพิเศษ และการออกข่าวแต่ละครั้งมีลักษณะขวางโลก ย้อนแย้งความรู้สึกของประชาชน และมุ่งสร้างความขัดแย้งกับนโยบายการคลังของรัฐบาล

มุมมองของ ธปท.ขวางโลก เพราะตั้งแต่เดือนที่แล้วธนาคารกลางทั่วโลกได้ประสานเสียงกันลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายไปเรียบร้อยแล้ว ไม่ว่าจะเป็นธนาคารกลางยุโรป (European Central Bank-ECB) ธนาคารแห่งอังกฤษ (Bank of England) ธนาคารแห่งแคนาดา (Bank of Canada) ธนาคารแห่งชาติสวิส (Swiss National Bank) และแม้แต่ Federal Reserve ของสหรัฐอเมริกา ซึ่งแม้ว่าจะยังไม่ลดแต่ก็มีแนวโน้มจะลดดอกเบี้ยนโยบายเร็วๆ นี้

ความเคลื่อนไหวของธนาคารกลางทั่วโลกในครั้งนี้ถือเป็นจุดหักเห (Turning Point) ที่สำคัญของนโยบายการเงิน นับจากวงจรการขึ้นดอกเบี้ยโลก ซึ่งเริ่มต้นขึ้นตั้งแต่ต้นปี 2565 เป็นต้นมา แต่ ธปท. มักจะอ้างเหตุผลของการไม่ลดดอกเบี้ยว่าดอกเบี้ยไทยอยู่ในระดับต่ำ เมื่อเทียบกับประเทศอื่น และประเทศไทยเริ่มขึ้นดอกเบี้ยรอบที่แล้วล่าช้ากว่าประเทศอื่น 

ทว่าความจริงแล้ว เป็นการหลอกลวงประชาชน เพราะเราต้องดูอัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง (Real Interest Rate) ซึ่งก็คืออัตราดอกเบี้ยหักด้วยอัตราเงินเฟ้อ ปัจจุบันอัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงของไทยถือได้ว่าสูงที่สุดในโลกประเทศหนึ่ง บ่งบอกว่านโยบายการเงินไทยมีความตึงตัวมากกว่าประเทศอื่น 

ฉะนั้น ประการแรก การที่ ธปท. เริ่มขึ้นดอกเบี้ยรอบที่แล้วช้ากว่าธนาคารกลางอื่น น่าจะมีจุดประสงค์ที่จะเอาใจฝ่ายการเมืองสมัยนั้นมากกว่าเหตุผลทางเศรษฐกิจ เพราะเงินเฟ้อของไทยในปี 2565 ขึ้นไปถึงกว่า 8% สูงที่สุดในโลกประเทศหนึ่ง

ประการต่อมา มุมมองของ ธปท. ย้อนแย้งกับมุมมองทั่วไปของประชาชนและสำนักเศรษฐกิจแทบจะทุกสำนักที่เห็นตรงกันว่าเศรษฐกิจไทยอยู่ในภาวะคับขันและจำเป็นต้องมีการเยียวยาอย่างเร่งด่วน ซึ่งเป็นที่มาของการออกมาตรการทางการคลังเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ อาทิเช่น การเร่งรัดการเบิกจ่ายงบลงทุนของงบประมาณปี 2567 การตั้งงบประมาณปี 2568 ที่มีอัตราเติบโตของการใช้จ่ายสูงเป็นประวัติการ การผ่อนคลายการถือครองอสังหาริมทรัพย์ของต่างชาติ การออกมาตรการกระตุ้นตลาดหลักทรัพย์ เป็นต้น คงจะมี ธปท.อยู่หน่วยงานเดียวที่มัวหลงระเริงอยู่กับความฝันลมๆ แล้งๆ ที่ว่าเศรษฐกิจไทยฟื้นแล้ว

ประการสุดท้าย การสร้างความขัดแย้งกับนโยบายการคลัง ซึ่ง ธปท. กำลังสร้างขึ้นมาผ่านสื่อต่าง ๆ โดยไม่จำเป็น เป็นต้นเหตุของการบั่นทอนความเชื่อมั่นของนักลงทุน การปรับกรอบเงินเฟ้อตามข้อเสนอของกระทรวงการคลัง เป็นทางออกที่ดีที่จะช่วยประสานการทำงานของนโยบายการคลังและนโยบายการเงินให้ไปด้วยกันได้ราบรื่นขึ้น ขณะที่ยังรักษาความเป็นอิสระของการดำเนินนโยบายการเงินภายใต้กรอบที่ปรับปรุงใหม่ได้เป็นอย่างดี แต่กลับได้รับการคัดค้านผ่านสื่อ ทั้ง ๆ ที่เป็นเรื่องที่สมควรหารือเป็นการภายในระหว่างสองหน่วยงาน

ขณะนี้โลกกำลังมีสัญญาณการเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่ดีขึ้น อังกฤษได้ผู้นำรัฐบาลใหม่จากพรรคแรงงาน ซึ่งมีนโยบายกระตุ้นการเติบโต (Pro Growth) อย่างชัดเจน ธนาคารกลางชั้นนำทั่วโลกร่วมมือกันประสานนโยบายดอกเบี้ยขาลงอย่างเป็นระบบ รัฐบาลลาวมีมติปลดผู้ว่าการธนาคารกลางแห่งลาวไปเมื่อเร็วๆ นี้ เพราะทำงานไม่ได้เรื่อง น่าเสียดายที่ไทยไม่สามารถเติบโตไปพร้อมๆ กับโลกจากสาเหตุที่มีธนาคารกลางที่มือไม่พายเอาเท้าราน้ำ

‘CNBC’ เผย รายงานผลสำรวจ ‘ไทย’ ติดอันดับ ประเทศที่ต่างชาติ อยากย้ายมาอยู่ ชี้!! มีความสุขที่ได้ ‘มาอาศัย-มาทำงาน’ วัดจากค่าครองชีพที่ต่ำ แต่มีคุณภาพชีวิตที่ดี

(6 ก.ค.67) สำนักข่าวซีเอ็นบีซีรายงาน ผลสำรวจล่าสุดจาก Expat Insider ของ InterNations ซึ่งเป็นชุมชนระดับโลกสำหรับผู้ที่อาศัยอยู่ในต่างประเทศ ระบุว่า ‘ปานามา’ เป็นประเทศที่ชาวต่างชาติเข้ามาอยู่อาศัยและทำงานมีความสุขที่สุดในโลก

ผลสำรวจฉบับนี้ได้ทำการสำรวจชาวต่างชาติจาก 53 ประเทศ จำนวนกว่า 12,500 คนในเดือนก.พ. เกี่ยวกับความพึงพอใจในการใช้ชีวิตในต่างประเทศ พบว่า ชาวต่างชาติส่วนใหญ่กว่า 82% มีความพอใจกับการใช้ชีวิตในปานามา เพราะค่าครองชีพต่ำ และกว่า 71% พอใจกับการได้รับค่าครองชีพอย่างยุติธรรม รวมไปถึงเหตุผลทางด้านการเงินเพื่อเกษียณอายุ หรือเพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น 

นอกจากนี้ การย้ายไปอยู่ปานามาในฐานะชาวต่างชาตินั้นง่าย ทั้งการหาที่อยู่อาศัยได้อย่างสะดวกสบายที่ราคาไม่แพงอีกด้วย และชื่นชอบอากาศเขตร้อนของปานามา ซึ่งเป็นทางเลือกในการพักผ่อนทั้งชายหาด ภูเขา และป่าฝน

รายงานของ InterNations จัดอันดับ 53 ประเทศทั่วโลกจากเรื่องคุณภาพชีวิต ความสะดวกของที่อยู่อาศัย การทำงานในต่างประเทศ การเงินส่วนบุคคล และ ‘สิ่งจำเป็นสำหรับชาวต่างชาติ’ ซึ่งครอบคลุมเรื่องที่อยู่อาศัย การบริหาร ภาษา และชีวิตดิจิทัล

สำหรับ ‘ประเทศไทย’ ติดอันดับ 6 จาก 10 ประเทศที่ชาวต่างชาติมีความสุขที่สุดจากการเข้ามาอาศัยและทำงาน 
1. ปานามา
2. เม็กซิโก
3. อินโดนีเซีย
4. สเปน
5. โคลอมเบีย
6. ประเทศไทย
7. บราซิล
8. เวียดนาม
9. ฟิลิปปินส์
10. สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์

ซีอีโอ ‘Robinhood’ เคลื่อนไหว หลังเตรียมยุติการให้บริการ ในวันที่ 31 กรกฎาคม นี้ เปิดแพลตฟอร์ม ‘TalentOfRobinhood’ ช่วยพนักงานกว่า 100 คน หางานใหม่

เมื่อวานนี้ (5 ก.ค.67) หลังจาก ‘เอสซีบี เอ็กซ์’ (SCBX) ประกาศยุติการให้บริการแพลตฟอร์มดีลิเวอรี่ ‘โรบินฮู้ด’ (Robinhood) ภายในวันที่ 31 กรกฎาคม 2567 เวลา 20.00 น. หลายฝ่ายก็ได้ติดตามความเคลื่อนไหวในประเด็นต่าง ๆ รวมถึงมาตรการเยียวยาบุคคลที่เกี่ยวข้องกับแพลตฟอร์ม ไม่ว่าจะเป็นไรเดอร์ ร้านค้า และพนักงานของบริษัท

ล่าสุด ‘นายกวีวุฒิ เต็มภูวภัทร’ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เพอร์เพิล เวนเจอร์ส จำกัด ได้ประกาศเปิดตัวแพลตฟอร์ม ‘TalentOfRobinhood’ เพื่อเป็นพื้นที่ในการหางานของพนักงาน Robinhood โดยล่าสุดที่ได้ตรวจสอบ ปรากฏรายชื่อพนักงานบนเว็บไซต์ https://talentofrobinhood.com/ จำนวน 176 คน ซึ่งมีตั้งแต่ผู้บริหารระดับสูงและพนักงานระดับปฏิบัติการในฝ่ายต่าง ๆ

ทั้งนี้ เนื้อความจากโพสต์บนเฟซบุ๊กของ ‘นายกวีวุฒิ’ ระบุว่า

‘The Last Product of Robinhood’

สวัสดีครับ พี่ ๆ เพื่อน ๆ
เชื่อว่า หลาย ๆ คนทราบข่าวแล้ว
Robinhood Delivery จะปิดบริการวันที่ 31 ก.ค. นี้แล้วครับ
‘แอปเพื่อคนตัวเล็ก’ นี้ ต้องขอขอบคุณลูกค้าทุกท่าน
ที่ได้ให้โอกาสแอปไทย อย่างพวกเราบริการมาตลอด 4 ปี ครับ
แม้ ‘แอป’ เราจะปิดไปแล้ว
แต่หน้าที่ผมในฐานะ ‘CEO คนสุดท้าย’ ยังไม่จบครับ

ผมพูดได้อย่างเต็มปากเลยครับ
ว่าผม ‘ภูมิใจ’ และ ‘รัก’ ทีมงาน Robinhood ทุกคน
ต้องขอขอบคุณ คุณอาทิตย์ พี่โจ้ พี่บิ๊ก ที่ได้เปิดโอกาสที่แสนพิเศษนี้ให้กับผม
ผมได้เรียนรู้ first hand ว่า ‘คนฝีมือดี ทัศนคติดี นิสัยดี ที่ไฟลุกโชน’
เมื่อมาอยู่รวมกันปริมาณมาก เราสร้างสิ่งที่ extraordinary ได้มากมาย

เรา operate ธุรกิจได้ถึง 7 ธุรกิจในเวลาเดียวกัน (ใช่ครับ ออกจะเยอะไปสักนิด)
Food Delivery/ Mart/ Express/ OTA (Online Travel Agent)/ Ride Hailing/ Lending/ EV Rental 
เราส่งมอบ ‘คุณภาพ’ บริการให้มีมาตรฐานสูง สำหรับลูกค้าหลายล้านคน

เรา bring tech home บริหารจัดการ technology เองได้ในระยะเวลา 1 ปี vendor หายหมด 
เราสร้างกระบวนการ product development ที่ technology company หนึ่งพึงจะทำได้สำเร็จ 
เรามีหลังบ้านที่แข็งแกร่งกว่าใคร ๆ เพราะเราเป็น super app ที่ต้องทำตามกฎระเบียบแบงค์ชาติ 
เรามี Accountability ไว้ใจทีมงานหน้างานให้ตัดสินใจ รับผิดชอบงานได้เต็มที่ วัดผลได้ 

เรา Boundaryless กล้าฟีดแบ็ก รับฟีดแบ็ก แบบต่อหน้า อย่างถูกวิธี ไม่ cross net 
เรา Customer-Centric ‘ลูกค้าได้อะไร’ คือคำถามติดปากพนักงานทุกคน 
เรา Data-Driven ข้อมูลอยู่ที่ไหน เอามาดูกัน ใช้ในการตัดสินใจทุกสิ่ง 
เรา Enjoy the moment 
เราหาท่าสนุกกับงานตรงนี้ เพื่อน ๆ ตรงนี้ โมเมนท์ตรงนี้ ในทุก ๆ วัน 
เรารู้ว่า Culture is Behaviour 
เราจึงเริ่มจากปรับ ‘พฤติกรรม’ ของตัวเอง 
เราถนัดทำงานกับคนที่หลากหลาย เราทะเลาะกันบ้าง เพื่อให้งานออกมาดีที่สุด
เรารัก ‘เพื่อนของเรา’ และ ‘ภาคภูมิใจในงานของเรา’

แน่นอนธุรกิจ platform ลักษณะนี้ มันมีความท้าทายต่าง ๆ นานา Business Model ที่ burn เงิน แถมไม่มี scale ที่มันควรจะเป็น ในตลาดที่คู่แข่งเราเก่ง ๆ กันทุกคน

Robinhood Delivery ก็มาถึงจุดที่ไปต่อไม่ได้ แต่ TalentOfRobinhood กลุ่มนี้ พี่ ๆ เพื่อน ๆ ช่วยสนับสนุนต่อได้ครับ

ไฟแห่งการทำงานพวกเขายังลุกโชนอยู่ ไม่มอดหายไปแม้แต่นิด พวกเขายังมี ‘อนาคต’ สร้างสรรค์สังคมได้อีกแยะ

ด้วยความเชื่อนี้ ผมจึงขออนุญาตภูมิใจนำเสนอ

https://talentofrobinhood.com/

เว็บไซต์เล็ก ๆ ที่ผมเองลงมือเป็น Lead Product Owner เพื่อให้ใช้งานง่ายที่สุด สำหรับ recruiter ทุกท่าน ทีมงานเล็ก ๆ เสกมันขึ้นมาในเวลาไม่ถึงสัปดาห์ เพื่อช่วยน้อง ๆ ของเราหางาน

ภายในเราจัดหมวดหมู่ไว้ดูง่าย
ดูแบบเรียงแถว ดูแบบ org chart
ชอบคนไหน กด save ไว้ดูทีหลังได้
แต่ละคน เก่งอะไร รับผิดชอบอะไร มองหางานแบบไหน
ข้อมูลพนักงานถูกต้อง ครบถ้วน ได้รับ consent เรียบร้อย
ให้ติดต่อตรงได้เลย ตามสะดวก

ถ้าพี่ ๆ เพื่อน ๆ คิดว่า คุณสมบัติพนักงานด้านบน เป็นสิ่งที่องค์กรต้องการ
ผมกราบฝากสนับสนุน TalentOfRobinhood กลุ่มนี้ ด้วยการกด ‘Share’ สักหนึ่งครั้ง เขียนข้อความสั้น ๆ ให้กำลังใจพวกเขา และเข้าไปเยี่ยมชม https://talentofrobinhood.com/

ส่งให้ HR ขององค์กรคุณ เผื่อเอาไว้นะครับ

ขอบคุณทุกท่านอีกครั้งที่สนับสนุน Robinhod มาโดยตลอดครับ
ขอบคุณจริง ๆ จากหัวใจ ชาว RBH ทุกคน
ฝากสนับสนุน The Last Product of Robinhood ด้วยนะครับ

https://talentofrobinhood.com/

จนกว่าจะพบกันใหม่

ต้อง กวีวุฒิ
CEO, Purple Ventures

‘Mazda’ จัดหนัก แคมเปญ Mazda Joy of July เอาใจสาย ‘สกายแอคทีฟ’ ลดราคารถเอสยูวี ‘CX-5’ พร้อม ‘ดอกเบี้ยพิเศษ-ประกันภัย-โปรแกรมดูแลรถ’

เมื่อเร็ว ๆ นี้ นายธีร์ เพิ่มพงศ์พันธ์ รองประธานกรรมการบริหาร บริษัท มาสด้า เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า การสร้างประสบการณ์ที่ดีที่สุดให้ลูกค้าเป็นวิสัยทัศน์ที่มาสด้ามุ่งมั่นมาตลอด รวมถึงการพัฒนาเทคโนโลยียานยนต์ที่มีเอกลักษณ์และเต็มเปี่ยมไปด้วยประสิทธิภาพอันทรงพลัง และมาพร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกครบครันในทุก ๆ ด้าน เพื่อมอบความสนุกสนานเร้าใจให้กับการขับขี่ในทุกเส้นทาง จึงก่อกำเนิดเป็นเทคโนโลยีสกายแอคทีฟ นำมาซึ่งเทคโนโลยีในอุดมคติที่ทุกคนใฝ่ฝัน

ทุกองค์ประกอบที่สมบูรณ์แบบนี้ถูกถ่ายทอดลงสู่รถยนต์มาสด้าทุกรุ่น รวมถึงมาสด้า CX-5 ที่ได้สร้างเกียรติประวัติไว้มากมายกว่า 90 รางวัลจากทั่วโลก รวมถึงรางวัลรถยนต์ยอดเยี่ยมจากประเทศญี่ปุ่น จนได้รับความนิยมและถูกพัฒนาให้ดียิ่งขึ้นอย่างต่อเนื่องมาถึงปัจจุบัน มาสด้า CX-5 รุ่น 2.0 SP เครื่องยนต์สกายแอคทีฟเบนซิน ขนาด 2.0 ลิตร ให้พละกำลัง 165 แรงม้า ให้การประหยัดน้ำมันและมีความคุ้มค่ามากที่สุด

นอกจากคุณภาพที่อัดแน่นด้วยเทคโนโลยีสกายแอคทีฟแล้ว มาสด้า CX-5 ยังมีองค์ประกอบอื่น ๆ อีกเพียบ ไม่ว่าจะเป็นการออกแบบที่เรียบง่ายแต่งดงาม ตามแนวคิด Kodo Design Soul of Motion หรือ จิตวิญญาณแห่งการเคลื่อนไหวอันสง่างาม เทคโนโลยีความปลอดภัยระดับโลก สมรรถนะการขับขี่ที่ทั้งแรงและประหยัดน้ำมัน อุปกรณ์อำนวยความสะดวกสบายครบครัน เทคโนโลยีการเชื่อมต่อที่ช่วยให้ไม่พลาดทุกการสื่อสาร

จึงทำให้มาสด้า CX-5 ครบครัน คุ้มค่า คุ้มราคา เป็นหนึ่งในตัวเลือกที่โดดเด่นที่สุดสำหรับผู้ที่กำลังมองหารถอเนกประสงค์ครอสโอเวอร์เอสยูวีในยุคปัจจุบัน

ทั้งนี้ เพื่อให้ลูกค้าที่กำลังมองหาครอสโอเวอร์เอสยูวีและเป็นเจ้าของได้ง่ายขึ้นกับ มาสด้า CX-5 รุ่น 2.0 SP ราคาจำหน่าย 1,499,000 บาท โดยมาสด้าได้มอบข้อเสนอสุดร้อนแรงที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนเฉพาะเดือนกรกฎาคมกับแคมเปญ Mazda Joy of July รับส่วนลดสูงสุด 200,000 บาท หรือ ดอกเบี้ย 0% ผ่อนนาน 60 เดือน ฟรีประกันภัยชั้นหนึ่ง ฟรีโปรแกรมคุ้มครองและดูแลรถ 5 ปี Mazda Ultimate Service (MUS)

หรือ ดอกเบี้ย 0% ผ่อนนาน 72 เดือน ฟรีประกันภัยชั้นหนึ่ง และยังมอบความพิเศษอีกหนึ่งต่อให้กับเจ้าของรถยนต์มาสด้าและครอบครัว รับฟรีบัตรน้ำมันมูลค่าสูงสุด 30,000 บาท ที่โชว์รูมมาสด้าทั่วประเทศ

‘ฮอนด้า’ ตอบโจทย์ความต้องการของทุกคน จัดแคมเปญ ‘Honda Happy Trade-in’ เอาคันเก่ามาขาย!! ออกใหม่ ‘แอคคอร์ด-ซีอาร์วี’ ได้ที่โชว์รูมฮอนด้าทั่วประเทศ

เมื่อเร็ว ๆ นี้ บริษัท ฮอนด้า ออโตโมบิล (ประเทศไทย) จำกัด เดินหน้าตอบโจทย์ ความต้องการของลูกค้าที่กำลังมองหารถยนต์ที่ใช่สำหรับไลฟ์สไตล์ของคุณ จัดแสดงรถยนต์หลากหลายรุ่นทั้งไลน์อัปฟูลไฮบริด e:HEV และไลน์อัปขุมพลังเทอร์โบ ในงาน FAST Auto Show Thailand 2024 และให้คุณเป็นเจ้าของรถยนต์ฮอนด้าได้ง่ายขึ้น

โดย แคมเปญ ‘Honda Happy Trade-in’ เมื่อนำรถฮอนด้าคันเก่ามาขายและออกรถ แอคคอร์ด อี:เอชอีวี ใหม่ หรือ ซีอาร์-วี เทอร์โบ ที่โชว์รูมฮอนด้าทั่วประเทศ รับเพิ่มบัตรน้ำมันมูลค่า 40,000 บาท หรือเมื่อนำรถคันเดิมยี่ห้อใดก็ได้มาขายและออกรถ แอคคอร์ด อี:เอชอีวี ใหม่ หรือ ซีอาร์-วี เทอร์โบ ที่โชว์รูมฮอนด้าทั่วประเทศ รับเพิ่มบัตรน้ำมันมูลค่า 20,000 บาท 

ลูกค้าสามารถจองรถภายในงาน FAST Auto Show Thailand 2024 และที่โชว์รูมฮอนด้าทั่วประเทศ เพื่อรับข้อเสนอสุดพิเศษนี้ ได้ตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2567 - 30 กันยายน 2567


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top