Saturday, 7 June 2025
พรรคเพื่อไทย

ถอดรหัสล้มล้างฯ ภาคสอง ‘ทักษิณ-เพื่อไทย’ สยองขวัญ..!? เก้าอี้สั่น ‘ทนายธีรยุทธ’ ยื่นศาลรัฐธรรมนูญ ใช้โมเดลเดียวกับกรณี ยุบก้าวไกล

(12 ต.ค. 67) กรณีที่ 1 ผู้ถูกร้องที่ 1 ได้รับพระราชทานพระมหากรุณาอภัยลดโทษให้นักโทษเด็ดขาดชาย ทักษิณ ชินวัตร เหลือโทษจำคุกต่อไปอีก 1 ปี โดยพบว่าผู้ถูกร้องที่ 1 ใช้พรรคผู้ถูกร้องที่ 2 เป็นเครื่องมือควบคุม การบริหารราชการแผ่นดินสั่งการรัฐบาลผ่านกระทรวงยุติธรรม กรมราชทัณฑ์ โรงพยาบาลตำรวจ ให้เอื้อประโยชน์แก่ผู้ถูกร้องที่1 ระหว่างต้องโทษจำคุกได้พักอาศัยอยู่ห้องพัก ชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจ เพื่อไม่ต้องรับโทษอยู่ในเรือนจำแม้แต่วันเดียว เป็นการฝ่าฝืนไม่น้อมรับโทษจำคุกในเรือนจำตามพระบรมราชโองการ การกระทำของผู้ถูกร้องที่1 เป็นการกระทำที่ไม่บังควรอย่างยิ่งทำให้ระคายเคืองเบื้องพระยุคลบาทและหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ส่งผลให้เกิดการเซาะกร่อน บ่อนทำลายพระเกียรติยศของสถาบันพระมหากษัตริย์ในที่สุด

กรณีที่ 4 ผู้ถูกร้องที่ 1 มีพฤติการณ์เป็นเจ้าของ ผู้ครอบครอง ผู้ครอบงำ และเป็นผู้สั่งการแทน ผู้ถูกร้องที่ 2 ในการเจรจากับแกนนำของพรรคการเมืองอื่นที่ร่วมรัฐบาลนายเศรษฐา ทวีสิน อดีตนายกรัฐมนตรี เพื่อหารือการเสนอบุคคลผู้สมควรเป็นนายกรัฐมนตรีคนใหม่ เหตุเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 14 สิงหาคม 2567 ที่บ้านพักส่วนตัวของผู้ถูกร้องที่ 1 (บ้านจันทร์ส่องหล้า)

จำเป็นต้องคัดลอกมาให้อ่านเต็ม ๆ สำหรับ 2 กรณีจากเอกสารสรุปสาระสำคัญ 6 กรณี ที่ทนายธีรยุทธ สุวรรณเกสร ผู้หาญกล้ายื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ ให้ศาลวินิจฉัยสั่งให้ผู้ถูกร้องที่1 ทักษิณ ชินวัตร และผู้ถูกร้องที่ 2 พรรคเพื่อไทย “เลิกการกระทำใช้สิทธิเสรีภาพอันอาจจะนำไปสู่การล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 49”

วิเคราะห์กระชับสั่น ๆ ได้ว่า ทนายธีรยุทธดำเนินการโมเดลเดียวกับกรณีพรรคก้าวไกล คือ หลังจากยื่นอัยการสูงสุดครบ 15 วันเรื่องเงียบก็เดินเกมสองสเต็ปท์ สเต็ปท์แรก- ยื่นคำร้องให้ศาลรธน.วินิจฉัยสั่งให้ผู้ถูกร้องเลิกการกระทำ สเต็ปท์สอง – ต่อยอดคำวินิจฉัยนำไปร้องกกต.ให้ยุบพรรคหรือดำเนินคดีอาญา..

กรณี 'ทักษิณ-เพื่อไทย' จะถูกเช็กบิลเหมือนกรณี ‘พิธา-ก้าวไกล’หรือไม่..ด่านแรก คือต้องรอการพิจารณาของศาลรธน.ว่าจะรับไว้พิจารณาหรือไม่..คาดว่าแถวๆพุธที่ 30ต.ค.อาจจะพอทราบ ถ้าศาลไม่รับก็จบข่าว...ถ้าศาลรับก็ต้องรอดูว่าจะเป็น “จุดเริ่มนำไปสู่จุดจบ” ของทักษิณ-เพื่อไทยหรือไม่..ซึ่งต้องใช้เวลาเป็นปี

เมื่อทบทวนอดีต..กรณีคดีล้มล้างฯภาคพิธา-ก้าวไกล  สเต็ปท์แรก ทนายธีรยุทธยื่นเรื่อง 16 มิ.ย.2566 ศาลตัดสิน  31 ม.ค.2567 ใช้เวลา 228 วัน สเต็ปท์สอง(ยุบพรรค) กกต.ยื่นศาลรธน. 18 มี.ค.2567 ศาลตัดสิน 7 ส.ค.2567 รวม 201 วัน

ก็ต้องลุ้นกันว่ากรณีล่าสุดนี้ ศาลรธน.จะรับไว้พิจารณาหรือไม่...คุณธีรยุทธอธิบายว่าทั้ง 6 กรณีที่ร้องเป็น ‘จิ๊กซอว์’ ซึ่งกันและกัน ในมุมมองของ 'เล็ก เลียบด่วน' เห็นว่ากรณีที่1 และกรณีที่ 4 ดังที่ยกมาตอนต้นเป็นกรณีที่น่าขีดเส้นใต้มากที่สุด  ทั้งในแง่อาจทำให้ศาลรับไว้พิจารณาและชี้เป็นชี้ตายผู้ถูกร้อง (หากศาลรับไว้พิจารณา)..

ประเมินความเห็นของผู้สันทัดกรณีหลายฝ่าย ณ จุดเริ่ม เห็นว่า ‘น้ำหนัก’ ของเรื่องอาจจะเบากว่ากรณีพรรคก้าวไกล แต่โอกาสที่ศาลรธน.จะรับไว้พิจารณาก็พอมีแต่เฉียดฉิวระดับ51/49เปอร์เซ็นต์..ถ้าเป็นมติก็5ต่อ4 ประมาณนั้น..

ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม...รายการนี้หากได้อ่านไส้ในคำร้อง 65 หน้า น่าจะทำให้พรรคเพื่อไทยและนายใหญ่อยู่ในอาการ (ปากกล้า) ขาสั่นใจสั่นอย่างแน่นอน!!

รัฐบาลต้องแสดงออกว่า ได้กระทำเต็มที่แล้ว หาไม่แล้วเรื่องนี้ จะถูกนำไปโยงกับกรณีของ ทักษิณ ชินวัตร ว่ามีเจตนาในการช่วยเหลือลูกน้องหรือไม่

(14 ต.ค. 67) ‘ปริญญา เทวานฤมิตรกุล’ อาจารย์คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวถึงการดำเนินงานของรัฐบาล และพรรคเพื่อไทยต่อกรณี ‘พล.อ.พิศาล วัฒนวงษ์คีรี’ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย หลังศาลจังหวัดนราธิวาส ออกหมายจับใน ‘คดีสลายการชุมนุมที่ตากใบ’ ใกล้จะหมดอายุความ ว่า เหตุการณ์ที่ตากใบเป็นเหตุการณ์ที่ไม่ควรเกิดขึ้น เช่นเดียวกับเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 และพฤษภาคม 2535 เป็นการเสียชีวิตของประชาชนจาก การใช้กำลังของเจ้าหน้าที่รัฐ จึงไม่ควรเกิดอีก เพราะที่ผ่านมาก็ไม่เคยมีเจ้าหน้าที่รัฐคนไหนถูกลงโทษแต่ประการใด ซึ่งเหตุการณ์ตากใบก็ทำนองเดียวกัน 

เมื่อเกิดเหตุขึ้นแล้วไม่มีการดำเนินคดีกับเจ้าหน้าที่รัฐได้ แม้มีการให้เงินเยียวยาตอบครอบครัวผู้เสียชีวิตและผู้บาดเจ็บสาหัส แต่ความยุติธรรมของผู้เสียหายทั้ง 85 ชีวิต ที่ทวงถามมา 20 ปี เรื่องนี้รัฐบาลจะต้องแสดงออกอะไรบางอย่าง

เพราะหน้าที่ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติก็อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของรัฐบาล จึงต้องกำชับเรื่องนี้เพราะเหลือเวลาอีกประมาณ 10 วันเท่านั้น แล้วรัฐบาลได้ดำเนินการเรื่องนี้ได้ตามความคาดหมายของประชาชนหรือไม่ สิ่งสำคัญคือเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องส่วนตัวของพล.อ.พิศาล โดยในส่วนการขึ้นศาลอาจจะเป็นเรื่องส่วนตัว แต่หน้าที่ของรัฐบาลซึ่งมีอำนาจในการสั่งการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ(สตช.) ไม่ใช่เรื่องส่วนตัวของใคร เพราะเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจนทำให้มีผู้เสียชีวิตนั้นรถคันแรกซึ่งขนมวลชนมาก็เห็นแล้วว่า มีผู้เสียชีวิตเกิดขึ้น แต่จนกระทั่งคันสุดท้ายในการขนมวลชนกลับไม่มีการเปลี่ยนแปลงวิธีการ จนเป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตจำนวนมากแต่กลับไม่สามารถดำเนินคดีเอาผิดผู้กระทำได้

"ตามพ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติมีนายกรัฐมนตรีนั่งเป็นผู้บัญชา พึงกำชับเจ้าหน้าที่ตำรวจในการออกหมายแดง ประสานงานกับตำรวจประเทศอื่น ใน 10 วันนี้ถ้าหากรัฐบาลไม่ทำอะไรออกมา ตามที่ควรจะเป็นตามความคาดหวังของประชาชน หลัง 25 ต.ค.นี้จะเป็นเรื่องที่กระทบกับรัฐบาลได้ เพราะปล่อยให้อายุความขาดไปโดยไม่ทำอะไร จะจับตัวได้หรือไม่ เอามาขึ้นศาลได้หรือไม่ เป็นอีกเรื่องหนึ่ง แต่รัฐบาลต้องแสดงออกว่า ได้กระทำเต็มที่แล้ว หาไม่แล้วเรื่องนี้จะถูกมองทันที และจะนำไปโยงกับกรณีของทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีด้วย ว่ามีเจตนาในการช่วยเหลือลูกน้อง หรือช่วยเพื่อนหรือไม่ ดังนั้นควรแสดงออกว่ารัฐบาลได้ดำเนินการในสิ่งที่ควรกระทำแล้ว" ปริญญา กล่าว 

เมื่อถามว่า ‘สมคิด เชื้อคง’ รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ระบุว่าการกระทำของพล.อ.พิศาลเป็นความผิดส่วนตัว มองเรื่องนี้อย่างไร ปริญญากล่าวว่า เรื่องการต้องข้อหาและต้องขึ้นศาลนั้นเป็นเรื่องส่วนตัว แต่เนื่องจากพล.อ.พิศาล เป็นสส.บัญชีรายชื่อ ของพรรคเพื่อไทย จึงไม่ใช่เรื่องส่วนตัวเท่านั้น ทางพรรคเพื่อไทยควรมีการตอบคำถาม ว่าจะมีท่าทีต่อเรื่องนี้อย่างไร โดยเฉพาะพรรคเพื่อไทยเป็นพรรครัฐบาลและอยู่ในช่วงของการสร้างผลงาน หลายเรื่องก็เห็นผลงานขึ้นมา ขณะนี้คะแนนนิยมของ ‘แพทองธาร ชินวัตร’ นายกฯ ก็ดีขึ้น ถ้าเรื่องนี้ไม่แสดงออกอย่างตรงไปตรงมาจะถูกมองทันทีว่าเป็นการช่วยผู้ต้องหา ซึ่งไม่ใช่เรื่องดีของรัฐบาล

จริงๆ ระยะเวลาที่เหลืออยู่ 10 วันนั้นเป็นเรื่องยากทีจะได้ตัวมาขึ้นศาล แต่สิ่งที่คนรอดูมากกว่าคือท่าทีของรัฐบาลและพรรคเพื่อไทย

ส่วนกรณีที่วันพรุ่งนี้ (15 ต.ค.67) พรรคเพื่อไทยจะมีการประชุมเพื่อขับ พล.อ.พิศาล ออกจากพรรค ถือเป็นการรับผิดชอบที่เพียงพอหรือเป็นแค่การเขวี้ยงงูให้พ้นคอหรือไม่ ปริญญา กล่าวว่า คงต้องรอดูท่าทีว่าพรรคเพื่อไทยจะมีมติอย่างไร ถ้าพูดอย่างไม่อ้อมค้อมพล.อ.พิศาลคงยากที่จะกลับมาทำงานทางการเมืองแล้ว เพราะถ้าลาหยุดการทำหน้าที่ของสส. จากกรณีถูกคดีสั่งฟ้อง เหมือนว่าตั้งใจที่จะหลบออกไปก่อนเพื่อรอให้คดีความหมดอายุ การกลับมาอีกครั้งหลังจากนี้ก็จะถูกตั้งคำถาม ว่าเป็น สส. แล้วทำไมถึงไม่ยอมเข้าสู่กระบวนการรยุติธรรม ซึ่งศาลมีหมายเรียกก็ไม่มา จนกระทั่งออกหมายจับ เพื่อให้เข้าสู่กระบวนการยุติธรรมเพื่อให้มีการต่อสู้คดีแต่กลับเลือกที่จะหนี ดังนั้นเรื่องนี้จึงเป็นเรื่องที่พักจะต้องพิจารณาว่าจะดำเนินการอย่างไร

เมื่อถามว่าในทางกฎหมาย พอจะมีทางที่จะยืดอายุความออกไปได้อีกหรือไม่ ปริญญา กล่าวว่า กฎหมายอาญาของไทยคดี ที่ทำให้มีคนเสียชีวิตจะมีอายุความ 20 ปี และจะขาดอายุความเมื่อ 1) ไม่ได้มีการฟ้องต่อศาลแต่ตรงนี้ก็ทำแล้ว ศาลรับฟ้องแล้ว 2) การเอาตัวผู้ต้องหาหรือจำเลย ขึ้นศาลซึ่งส่วนนี้ทำให้มีการหลบออกไปให้พ้น วันที่ 25 ต.ค.2567 เพราะเหตุการณ์เกิดขึ้น ครบ 20 ปีทำให้ในทางกฎหมายอาญา เท่ากับขาดอายุความ ขอย้ำว่าเรื่องนี้ไม่ใช่แค่เรื่องทางกฎหมายแต่เป็นคำถามใหญ่ๆ ว่า จากนี้ไปประเทศไทยจะเอาอย่างไร เมื่อมีเหตุการณ์ที่เจ้าหน้าที่ของรัฐทำให้ประชาชนเสียชีวิตเกิดขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า อันนี้เป็นเรื่องใหญ่ที่รัฐบาลจะต้องแสดงออกอะไรบางอย่าง จะปล่อยให้อายุความขาดไปเฉยๆ โดยบอกแต่เพียงว่าเป็นเรื่องส่วนบุคคล เกรงว่าหลัง 25 ต.ค.ไปแล้วผลเสียหายหรือว่าคำถามจะกลับมาที่พรรคเพื่อไทย

เมื่อถามว่าแปลว่าท่าทีหรือการดำเนินการของรัฐบาลหรือพรรคเพื่อไทยยังไม่มีความชัดเจน พอที่จะนำตัวพล.อ.พิศาลกลับเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมหรือไม่ ปริญญา กล่าวว่า จริงๆ แล้วคงพูดไม่ได้ว่าจริงใจหรือไม่จริงใจ เขาอาจจะเข้าใจ จริงๆ ก็ได้ว่านี่เป็นเรื่องส่วนบุคคล แต่ในฐานะอาจารย์ทางด้านกฎหมาย ก็ชี้ให้เห็นว่าพล.อ.พิศาล มีหมายเรียกให้มาขึ้นศาล การปฏิเสธหมายเรียกก็เป็นปัญหาอยู่แล้ว พอไม่มาก็ออกหมายจับนี่จึงเป็นหน้าที่ที่จะต้องมาปรากฏตัว เพราะตามรัฐธรรมนูญตามกฎหมายไทยถือว่าท่านยังบริสุทธิ์อยู่ แต่ที่ท่านหลบหนีอยู่ขณะนี้ถือว่าเป็นเรื่องที่ผิดกฎหมาย พ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติอยู่ในอำนาจของนายกรัฐมนตรีแปลว่าท่านมีอำนาจที่ทำอะไรบางอย่างซึ่งตนก็ไม่สามารถบอกได้ว่าจะต้องทำอะไรบ้าง แต่คนมีความคาดหวังและหลัง 25 ต.ค.ผ่านไปแล้วอายุความขาด โดยที่รัฐบาลดูจะจริงจังน้อยไปบ้าง ผลเสียก็จะกลับมาที่รัฐบาลเอง

เมื่อถามย้ำว่าการที่ ไม่ทำอะไรที่เพียงพอเท่ากับเป็นการช่วยเหลือหรือไม่ ปริญญา กล่าวว่า ก็อาจจะถูกมองอย่างนั้นได้ ส่วนจะถือเป็นการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่หรือไม่ แพทองธาร อาจจะถูกมองเช่นนี้ได้เช่นกัน 

นับถอยหลัง ชี้!! ชะตา ‘ทักษิณ-พท.-นายกอิ๊งค์’ กับ ‘คดีล้มล้างฯ ภาคสอง’ คาด!! ศาลรธน. มีมติพ.ย.นี้ หากฝ่าวิกฤตไม่พ้น ปีหน้า อาจได้เห็น ยุบสภา

(23 ต.ค. 67) ใกล้เข้าไปอีกนิด  ชิดเข้าไปอีกหน่อย  คาดว่าไม่เกินเดือนพ.ย.2567 คงจะได้เห็นทิศทางที่แจ่มชัดสำหรับคดีเรียกกันสั่นๆว่า ‘คดีล้มล้างฯภาคสอง’

วันที่ 22 ต.ค.ที่ผ่านมาศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งบางประการกรณี นายธีรยุทธ  สุวรรณเกษร  ยื่นร้องขอให้ศาลรธน.วินิจฉัยตามรธน.มาตรา 49 สั่งการให้ทักษิณ  ชินวัตร  (ผู้ถูกร้องที่1)และพรรคเพื่อไทย(ผู้ถูกร้องที่2) เลิกกระทำการใช้สิทธิหรือเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข  ซึ่งผู้ร้องกล่าวหากล่าวอ้างไว้ 6 ประเด็น  

ยกตัวอย่าง2 ประเด็น(ตามสำนวนการสรุปในเอกสารแถลงข่าวของศาลรธน.

ประเด็นที่1 -ผู้ถูกร้องที่1 สั่งการรัฐบาลผ่านกระทรวงยุติธรรม กรมราชทัณฑ์ และรพ.ตำรวจ ให้เอื้อประโยชน์แก่ผู้ถูกร้องที่ 1 ให้พักอาศัยอยู่ห้องพักชั้น 14 รพ.ตำรวจในระหว่างรับโทษจำคุก เพื่อไม่ให้ต้องรับโทษในเรือนจำ  ทั้งที่ไม่พบว่ามีอาการป่วยขั้นวิกฤติ

ประเด็นที่ 4 ผู้ถูกร้องที่ 1 สั่งการแทนผู้ถูกร้องที่2 โดยเจรจากับแกนนำของพรรคการเมืองอื่นที่ร่วมรัฐบาลเศรษฐา  ทวีสิน อดีตนายกฯเพื่อหารือการเสนอชื่อบุคคลผู้สมควรเป็นนายกฯคนใหม่ ที่บ้านพักส่วนตัวของผู้ถูกร้องที่ 1

ดังที่ทราบกันดีว่าคดีนี้นายธีรยุทธใช้โมเดลเดียวกับคดีล้มล้างฯภาคแรก กรณี ‘พิธา-ก้าวไกล จนเกิดการยุบพรรค  คือการใช้สิทธิตามรธน.มาตรา 49ยื่นต่ออัยการสูงสุดมาก่อน  แต่ครบ15วันอัยการสูงสุดไม่มีคำตอบ  จึงใช้สิทธิยื่นต่อต่อศาลรธน...

ศาลรธน.วันที่ 22 ต.ค.ประชุมมีมติให้ส่งหนังสือไปยังอัยการสูงสุดเพื่อขอทราบว่าได้ดำเนินการตามคำร้องของผู้ร้องไปแล้วบ้างอย่างไร  และรวบรวมพยานหลักฐานได้เพียงใด  โดยให้จัดส่งต่อศาลรธน.ภายใน 15 วัน นับแต่วันที่ได้รับหนังสือ

นับนิ้วถอยหลัง  15 วันบวกระยะเวลาที่ศาลต้องมีเวลาพิจารณาข้อมูลต่างๆ...คาดว่าพุธที่ 27 พ.ย.บวกลบ7วัน  น่าจะเป็นหมุดหมายที่ศาลจะได้..ประชุมตัดสินว่าจะรับคดีล้มล้างฯภาค2  หรือไม่...ซึ่ง”เล็ก  เลียบด่วน” ได้เคยวิเคราะห์ไปบ้างแล้วว่า..โอกาสที่ศาลรธน.จะรับไว้พิจารณาหรือไม่นั้นก้ำกึ่ง  แต่เอียงๆไปในทาง ‘น่าจะรับ’...

บรรดากูรู  นักวิชาการ นักสังเกตการณ์ให้ความเห็นตรงกันว่าในบรรดา กระสุน6เม็ด..กรณีปมลับชั้น 14  ที่โยงใยไปถึงพระบรมราชโองการพระราชทานอภัยลดโทษให้1ปี  แต่อดีตนายกฯทักษิณสร้างปริศนาให้ตัวเองว่า..ติดคุกจริงหรือไม่!? คือประเด็นที่แหลมคมที่สุด.. 

ศาลรธน.รับไว้พิจารณาวันไหน..อดีตเทวดาชั้น 14 ก็คงร้อนๆหนาวๆ 

ไม่เพียงกรณีคำร้องของนายธีรยุทธ...อีกด้านหนึ่งนายกฯแพทองธาร  ชินวัตรและพรรคเพื่อไทย  ก็ถูกคำร้องร้องเรียนต่อกกต.,ปปช.อีกยุบยับ...นับนิ้วทุกกรณีแล้วมีมากถึง 21 คำร้อง  ทั้งเรื่องคุณสมบัตินายกฯ,การครอบงำพรรคและฯลฯ  ซึ่งไม่กี่วันก่อนเลขาธิการกกต.ออกมายอมรับแล้วว่า..คำร้องยุบพรรคเพื่อไทยบางคำร้องมีมูล...

ในส่วนของกกต.ก็ต้องใช้เวลาสอบสวนรวบรวมข้อมูลข้อเท็จจริง 1-2 เดือน...
ใครที่อยากเห็นการเปลี่ยนแปลงตามคำร้อง..หากกรณีคำร้องคดีล้มล้างฯศาลไม่รับไว้พิจารณา..ก็มีลุ้นคดียุบพรรคจากกกต.ที่อาจจะได้เห็นการยื่นคำร้องต่อศาลรธน.ต้นปีหน้า..

ในขณะเดียวกันหากศาลรธน.รับไว้พิจารณาทั้งกรณีคดีล้มล้างฯและคำร้องของกกต. กว่าจะมีคำตัดสินวินิจฉัยก็ต้องใช้เวลาอีกปีเศษเป็นอย่างน้อย.. 

ดังนั้นถ้ารัฐบาลอุ๊งอิ๊งไม่ไปเดินเหยียบเปลือกกล้วยล้มหัวคะมำเป็นอัมพฤกษ์อำมพาตไปเสียก่อน  ก็มีช่วงเวลาให้บริหารประเทศไปอีกนานพอประมาณ

แม้จะมีกระแสข่าวลือลอยมาปลายฤดูฝนต้นฤดูหนาวว่า...ถ้าต้นปีกลางปีหน้า 2568 ถ้าจนมุมจริงๆ นายกฯอิ๊งค์อาจจะทิ้งไพ่ใบใหญ่..ยุบสภา ล้างไพ่ให้รู้แล้วรู้รอดไปเลย.. 

ซึ่ง ‘เล็ก  เลียบด่วน’ พินิจแล้วเห็นว่าถ้าจะเกิดก็ไม่น่าจะเร็วขนาดนั้น...

‘อนุสรณ์’ ย้ำชัด!! อุดร ยังเป็นเมืองหลวง ลุย!! เดินหน้า รักษาโมเมนตัม เชิงบวก

(16 พ.ย. 67) นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย (พท.) กล่าวกรณีนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ในฐานะผู้ช่วยหาเสียงของพรรคเพื่อไทย ลงพื้นที่ จ.อุดรธานี ช่วยหาเสียงให้นายศราวุธ เพชรพนมพร ผู้สมัครนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (นายกอบจ.) อุดรธานี พรรคเพื่อไทย ว่า พรรคเพื่อไทยยังคงรักษาโมเมนตัมเชิงบวกจากชัยชนะในศึกเลือกตั้งซ่อม สส. เขต 1 จังหวัดพิษณุโลก ผสานกับผลงานรัฐบาล น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกฯ ที่ผลิดอกออกผล

ทั้งโครงการเงินหมื่นฟื้นเศรษฐกิจ การเยียวยาประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์น้ำท่วม จากนี้ไปผลงานของรัฐบาลจะเห็นมรรคผลเป็นรูปธรรม ในการกระตุ้นเศรษฐกิจให้กลับมาคึกคัก รัฐบาลพรรคเพื่อไทยได้จัดงบประมาณเพื่อการพัฒนาประเทศมาแล้ว 2 ปี อีก 2 ปีที่เหลือคาดว่านโยบายลดรายจ่าย เพิ่มรายได้ ขยายโอกาส สร้างรายได้ใหม่ แก้หนี้ ปราบยาเสพติด จะเดินหน้าเต็มสูบ

นายอนุสรณ์ กล่าวว่า ในสถานการณ์ยากลำบากที่ผ่านมาพรรคเพื่อไทยยังทำได้ดีขนาดนี้ เชื่อว่าช่วงเวลาที่เหลือตั้งแต่ปลายปีนี้จนถึงกลางปีหน้า จะได้เห็นแสงสว่างกระตุ้นเศรษฐกิจให้กลับมาคึกคักสดใสอีกครั้ง

ทั้งนี้ นายศราวุธทำงานอย่างหนัก ชูการสานต่อนโยบายเดิม ริเริ่มนโยบายใหม่ ยกระดับคุณภาพชีวิตคนอุดร พร้อมทำงานสอดประสานกับรัฐบาลที่กำลังเร่งสร้างผลงานอย่างเต็มที่ ปรากฏการณ์ที่นายทักษิณมาช่วยหาเสียง มาเยี่ยมพี่น้องคนอุดรในรอบ 18 ปี ในครั้งนี้ เป็นภาพยืนยันว่าอุดรธานียังคงเป็นเมืองหลวงของคนเสื้อแดง และเป็นบ้านของพรรคเพื่อไทย

“พรรคเพื่อไทยขอโฟกัสที่ตัวเอง เช่นเดียวกับพี่น้องชาวอุดรธานี ที่ตัดสินใจได้ไม่ยากว่า จะใช้โอกาสนี้เลือกคนทำงาน เลือกคนในพื้นที่ ที่มีประสบการณ์ มีความรู้ ความสามารถ มาทำงานร่วมกับรัฐบาลเพื่อสร้างโอกาสให้คนอุดรฯ ต่อไป” นายอนุสรณ์ กล่าวทิ้งท้าย

ผ่ากระบวนท่า!! ‘ประมุขบ้านจันทร์ส่องหล้า’ ตั้งเป้ามากกว่า 200 เสียง... วางกับดัก ‘ปีศาจสีส้ม’

(16 พ.ย. 67) เนื้อในและภาพจริงปฏิบัติการ ‘พระยาเหยียบเมือง’ ของทักษิณ ชินวัตร ที่อุดรธานีเมื่อ 13-14 พ.ย.2567 จะเป็นอย่างไรก็ตาม แต่ในภาพกว้างที่ปรากฏต่อสังคม ต้องยอมระบุว่า ‘นายใหญ่’ ประมุขบ้านจันทร์ส่องหล้า เป็นผู้ยิ่งใหญ่ในแผ่นดินของแทร่...

แน่นอนการรับบท ‘ผู้ช่วยหาเสียง’ ผู้สมัครนายกฯ อบจ.อุดรธานี ของพรรคเพื่อไทยคือ ‘ป๊อบ’ ศราวุธ เพชรพนมพร ‘นายใหญ่’ หวังผลยาวไกลไปถึงการปลุกสมรภูมิรบเลือกตั้งใหญ่ครั้งหน้าว่า จะต้อง ‘แดงทั้งอีสาน’ และเพื่อไทยต้องได้มากกว่า 200 ที่นั่ง

ศึกชิงเก้าอี้นายกฯอบจ.อุดรธานี 24 พ.ย.ที่จะถึงจึงเป็นหมุดหมายสำคัญที่สุดของ ‘นายใหญ่’..ถึงได้ย้ำทุกเวทีว่าต้องชนะให้ขาด..อย่าให้ตนต้องอับอาย..

ภายใต้ความมั่นใจว่า 'ป๊อบ ศราวุธ' อดีตสส.4 สมัย ที่หากไม่สอบตกสส.ครั้งที่แล้ว ‘นายใหญ่’ เตรียมเก้าอี้รมช.ต่างประเทศไว้เป็นกำนัลแล้วนั้น จะเป็นต่อในศึกนายกฯอบจ.รอบนี้ แต่ ‘อุดรโพล’ ของม.ราชภัฏอุดร ก่อนหน้านี้ที่ระบุว่าผู้สมัครพรรคประชาชน (ก้าวไกล) นำโด่งร้อยละ 32.5 รองมาเสี่ยป็อบ ร้อยละ15.2 อันดับสุดท้ายดร.ดนุช ตันเทอดทิตย์ ร้อยละ4.5 แต่ร้อยละ 47.9 ยังไม่ตัดสินใจนั้น..

เป็นภาพหลอนทั้งต่อพรรคเพื่อไทย และนายใหญ่...และหากย้อนไปดูผลเลือกตั้งนายกอบจ.อุดรธานีเมื่อปี 2563 วิเชียร ขาวขำ พรรคเพื่อไทยชนะ ได้326,933 คะแนน อันดับ 2 ผู้สมัครคณะก้าวหน้า ในเครือข่ายพรรคส้ม 185,801 คะแนน อีก5 ผู้สมัครได้คะแนนรวมกันแสนกว่าคะแนน..

ตัวเลขที่ผู้สมัครเพื่อไทยทิ้งพรรคส้ม 1.4 แสนคะแนนเมื่อ4ปีก่อน  แม้จะพูดได้ว่า ”ชนะขาด” แต่พลังเงียบร้อยละ 47.9  ตามโพลนั้น..พรรคเพื่อไทยหนาวๆ ร้อนๆ..และไม่แปลกที่ระหว่างการปราศรัยหรือสัมภาษณ์ทักษิณจะพาดพิงถึงพรรคประชาชนและธนาธร  จึงรุ่งเรืองกิจ...เนื้อใหญ่ใจความก็คือการแนะนำเชิงสอนมวยว่า จุดยืนพรรคส้มก็ดีอยู่หรอกเสียแต่ว่าเอะอะก็จะรื้อโครงสร้างไปทุกเรื่อง รวมทั้งมาตรา 112..

งานนี้..ทำให้ทั้ง2ท.คือ ‘ทอน’ ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ และ ‘ทิม’ พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ อยู่นิ่งไม่ได้ดาหน้ากันมาตอบโต้..ถึงขั้นชักธงรบกลาย ๆ เช่นพิธาบอกว่า..”ขอรับคำท้าคุณทักษิณ เอาอย่างนี้ดีกว่า  มีกฎหมายอะไรที่อยากจะยกเลิกที่คิดว่าล้าหลังไม่ทันสมัยแล้ว ยกเลยได้เลยก็ขอให้มาทำด้วยกัน..”

อย่างไรก็ตามพินิจ..พิศกันลึกๆ แม้อดีตแกนนำพรรคส้มอย่าง 'ทอนกับทิม' จะมีเคืองสุดๆ แต่ก็ไม่ถึงกับออกอาการรบแตกหัก.. 

จตุพร พรหมพันธ์ อดีตแกนนำคนเสื้อแดงที่กำลังรบแตกหักกับทักษิณอยู่ในนาทีนี้จึงฟันธงว่า...มองผ่านสมรภูมิอุดรฯรอบนี้ยิ่งชัดเจนว่า..ทักษิณกำลังปฏิบัติการย้ำซ้ำให้ ‘ธนาธร’ เป็น ‘ปีศาจตัวใหม่’...ที่น่ากลัวแทนตัวเอง !!

ไม่อาจปฏิเสธได้ว่าข้อสังเกตของตู่ จตุพร น่ารับฟัง...ในขณะที่นักสังเกตการณ์ทางการเมืองจำนวนมากมองว่าแท้จริงแล้ว ทั้งท.ทักษิณและธ.ธนาธร ก็ครือๆ กัน และถึงวันหนึ่งในอนาคตภายใต้เหตุปัจจัยและอุณหภูมิที่เหมาะสมทั้งสองพรรคก็พร้อมจะจูนคลื่นจับมือจ๊วบๆ กัน...

ใช่หรือไม่ว่า..วันนี้ฝ่ายอนุรักษ์นิยมยังไม่มีทางเลือก หรือมีแต่ยังไม่พร้อมสรรพ ต้องยอมปล่อยให้ 'นายใหญ่' นำพาประเทศผ่านการครอบครอง ครอบงำ สลัดตัวเองออกจากความเป็นปีศาจ...และชี้โจทก์ไปที่ปีศาจสีส้ม ?? ให้ประเทศติดกับดักปีศาจตัวใหม่..!!??

หลุดปม!! คดีล้มล้างฯ ภาค 2 นาทีทอง ‘อุ๊งอิ๊ง – ระบอบทักษิณ’

(24 พ.ย. 67) กรณีนายธีรยุทธ สุวรรณเกษร อาศัยรัฐธรรมนูญมาตรา 49 ร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งให้ผู้ถูกร้องที่ 1(ทักษิณ ชินวัตร)และผู้ถูกร้องที่ 2(พรรคเพื่อไทย) ยุติการกระทำการอันเป็นการใช้สิทธิเสรีภาพเพื่อการล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และศาลรธน.ได้มีคำสั่งเมื่อวันที่ 22 พ.ย.2567 นั้น มีข้อมูลและเหตุการณ์ที่ควรจะได้บันทึก-ขีดเส้นใต้วิเคราะห์เป็นข้อ ๆ พอเป็นสังเขป

1) ภาพรวม ศาลรธน.มีมติ 'ไม่รับไว้พิจารณาวินิจฉัย' คำร้องประเด็นที่ 1,และประเด็นที่3-6 (กรณีชั้น 14 และครอบงำ ชี้นำ) เป็นเอกฉันท์หรือ9ต่อ0  และมีมติ 7 ต่อ2 ไม่รับคำร้องไว้พิจารณาวินิจฉัย ในประเด็นที่ 2 (กรณีพื้นที่ทับซ้อนไทย-กัมพูชา) คีย์เวิร์ดที่ศาลรธน.ไม่รับคำร้องทั้ง 6 ประเด็นอยู่ตรงข้อความ “แต่การพิจารณาว่าบุคคลใดจะใช้สิทธิหรือเสรีภาพเพื่อการล้มล้างฯ ตามมาตรา 49 วรรคหนึ่ง จะต้องปรากฏข้อเท็จจริงชัดเจนเพียงพอที่จะแสดงให้เห็นถึงความมุ่งหมายและความประสงค์ระดับที่วิญญูชนคาดเห็นได้ว่า  น่าจะทำให้เกิดผลเป็นการใช้สิทธิหรือเสรีภาพเพื่อล้มล้างฯ โดยการกระทำนั้นจะต้องกำลังดำเนินอยู่และไม่ห่างไกลเกินกว่าเหตุ”

อีกทั้งประเด็นที่ 1 และประเด็นที่ 3-6  ศาลรธน.เห็นว่ายังไม่มีน้ำหนักพยานหลักฐานเพียงพอ

2) น่าขีดเส้นใต้กรณีประเด็นที่ 2 ที่มีบุคคลยิ่งกว่าวิญญูชนอย่างตุลาการศาลรธน. 2 ท่าน (นายจิรนิต หะวานนท์ และนายนภดล เทพพิทักษ์) เห็นว่ามีพยานหลักฐานเพียงพอ ซึ่งจากกรณีนี้มีนักกฎหมายหลายคนเห็นว่าหากมีการยื่นคำร้องตามรธน.มาตา 49 อีกครั้ง โดยผนวกรวมกับประเด็นที่ 1 (กรณีชั้น14) โดยเพิ่มพยานหลักฐานให้น่าเชื่อถือมากขึ้น ศาลรธน.อาจรับไว้พิจารณาก็ได้

3) มีรายงานข่าวทั้งทางเปิดและทางลับว่านายธีรยุทธจะนำข้อมูล-ประเด็นต่าง ๆ ที่ทำไว้มาใช้ให้เกิดประโยชน์ในการยื่นคำร้องในช่องทางอื่น ๆ ต่อไป เขาได้ประกาศแล้วว่าการที่พรรคเพื่อไทยเตรียมฟ้องชุดใหญ่ไฟกะพริบไม่เป็นปัญหาเพราะทำด้วยสุจริตใจ สำหรับพรรคเพื่อไทยการประกาศ ‘เอาคืน’ นายธีรยุทธและผู้เกี่ยวข้องด้วยการฟ้องชุดใหญ่ กล่าวอย่างถึงที่สุดนักสังเกตการณ์ทางการเมืองส่วนใหญ่เห็นว่า ‘ไม่หล่อ’ เอาซะเลย!! 

4) ผลจากศาลรธน.ไม่รับคำร้องครั้งนี้ โดยภาพรวมฝ่ายต่าง ๆ เห็นว่าศาลเป็นกลางน่าเชื่อถือ แต่แน่นอนว่าผลลัพธ์ที่ออกมาทำให้พรรคเพื่อไทย ตัวนายทักษิณ ชินวัตร เหมือนพยัคฆ์ติดปีก ถูกปลดล็อกจากเงื่อนปมมรณะไปได้ แม้จะมีคดีอื่น ๆ ที่มีการร้องเรียนผ่านป.ป.ช.,กกต.แต่กว่าจะทราบผลก็ต้องใช้เวลาอีกหลายเดือน...นานพอที่จะทำให้ 'ระบอบทักษิณ' ที่คืนชีพได้ในเบื้องต้นแล้วในวันนี้ลงหลักปักฐานได้อีกครั้ง   

5) กล่าวได้ว่าผังอำนาจ-สมการการเมืองของประเทศในขณะนี้ ปฏิเสธได้ยากว่ากลุ่มอนุรักษ์นิยมยังต้องใช้บริการ ‘พรรคเพื่อไทย’ ของทักษิณเป็นแกนนำรัฐบาลในการหยุดหรือตรึงพรรคส้ม..ปมปัญหาตรงนี้ว่าไปแล้วทำให้ประเทศไทยต้องมี 'ค่าใช้จ่าย' ให้กับระบอบทักษิณ..ทั้งความขัดแย้งในสังคมที่ปฏิเสธระบอบทักษิณ, กระบวนการยุติธรรมที่ถูกด้อยค่า..ฯลฯ..

6) แม้จะมีความรู้สึกของผู้คนไม่น้อยว่า ความรู้ ความสามารถในการเป็นนายกฯสองเดือนเศษยังไม่ผ่านหรือเป็นไปด้วยความทุลักทุเล แต่ภาษากายของนายกฯ แพทองธาร ชินวัตร ในขณะนี้บ่งบอกชัดเจนว่ากำลังมีความคึกคัก มีความมั่นใจกับบทบาท-ตำแหน่ง จนแทบจะอ่านใจนายกฯได้เลยว่าเธอขอเวลาอีก3-4เดือน ทุกอย่างจะเข้าที่...ด้วยเหตุดังกล่าวนี้เองเมื่อปมศาลรธน.ถูกถอดสลัก..เป็นโชคดีที่ตัวนายทักษิณมีเวลาที่จะฟูมฟัก  เสริมวิทยายุทธ ‘อุ๊งอิ๊ง’ ..อย่างช้าผ่านไตรมาสแรกปี2568 อาจจะเห็น ‘นิวอุ๊งอิ๊ง’

7) ซาวเสียงกูรูการเมือง นักสังเกตการณ์ทางการเมืองและแกนนำพรรคเพื่อไทยบางคน..สามารถสรุปได้ว่าถ้าไม่เกิดเหตุทางการเมืองแบบฟ้าถล่มดินทลาย ช่วงกลางหรือปลายปี 2568 หรือต้นปี 2569 อาจจะเกิดการยุบสภา...ซึ่งพรรคเพื่อไทยจะทวงแชมป์เลือกตั้งกลับมาได้ และ ‘อุ๊งอิ๊ง’ จะเป็นนายกฯอีกรอบ

8) ช่วยกันดูแลประเทศไทย

‘ทนายวันชัย’ โพสต์เฟซ!! ถึง ‘นักร้อง’ กรณีศาลรัฐธรรมนูญ ชี้!! ถูกตบคว่ำ หมอไม่รับเย็บ จุดอย่างไรก็ไม่ติด ท่านไม่เอาด้วย

(24 พ.ย. 67) ทนายวันชัย สอนศิริ โพสต์เฟซบุ๊ก เกี่ยวกับ ‘นักร้อง’ โดยมีใจความว่า ...

สมน้ำหน้า นักร้องถูกตบกระบาลหน้าคว่ำ หมอไม่รับเย็บ....

คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่ยกคำร้องว่าพรรคเพื่อไทยและคุณทักษิณไม่ได้ล้มล้างการปกครอง เป็นการตบกระบาลเปรี้ยงไปยังบรรดานักร้องจนหน้าคว่ำคะมำไปตาม ๆ กัน แท้ที่จริงนักร้องพวกนี้คือพวกที่พยายามจะล้มล้างและเซาะกร่อนบ่อนทำลายรัฐบาลอยู่ตลอดเวลา หาเรื่องจับแพะชนแกะ โยงเรื่องโน้นเรื่องนี้สารพัดให้เป็นประเด็น เป็นนิติสงคราม เรื่องไม่เป็นเรื่องก็ทำให้เป็นเรื่อง คำวินิจฉัยในวันนี้ชี้ให้เห็นได้ว่า อย่าร้องกันมั่ว ๆ ส่งเดช ไม่เข้าท่าเข้าทาง

คนพวกนี้สู้ในสภาก็ไม่ได้ จะจัดม๊อบนอกสภาก็ไม่ไหว ทำอย่างไรก็จุดไม่ติด การร้องศาลรัฐธรรมนูญก็คงเป็นวิธีเดียวที่คนพวกนี้จะทำได้ เคยได้ผลเรื่องคุณเศรษฐามาแล้วก็เลยได้อกได้ใจ หวังว่าจะเอาศาลรัฐธรรมนูญมาเป็นเครื่องมือกำจัดรัฐบาลเหมือนที่เคยทำได้ แต่ศาลท่านไม่เอาด้วย ยิ่งผลคะแนนที่ออกมานั้นมันเกือบจะเอกฉันท์เต็มร้อย ทำให้ไอ้ห้อยไอ้โหนประเภทนักร้องที่จะเล่นเกมแบบนี้ต่อไปคงไม่ได้ ทำให้หน้าแหกหมอไม่รับเย็บ

สถานการณ์ทางการเมืองในขณะนี้ เพื่อไทยและคุณทักษิณก็อย่างมัวกระหยิ่มยิ้มย่อง ต้องใช้โอกาสนี้สปีดการทำงานให้เต็มสูบ เรื่องปราบปรามยาเสพติด แก้ปัญหาเศรษฐกิจ การทำมาค้าขาย ต้องเห็นผลให้ได้ภายในเดือนสองเดือนนี้ ศาลท่านก็ยกคำร้องแล้วว่าคุณทักษิณไม่เกี่ยวกับเรื่องครอบงำชี้นำอะไรทั้งนั้น ลุยได้ต้องลุย เดินเครื่องได้ต้องเดิน เพื่อไทยเป็นรัฐบาลนะ ไม่ใช่เป็นฝ่ายค้าน ผลงานต้องมี ไม่ใช่มีแต่น้ำลายพ่นกันไปวันๆ เวลาก็เหลือเพียงสองปีเศษ จะเอาสองร้อยเสียงขึ้นไป ต้องไม่ใช่เป็นอย่างเช่นทุกวันนี้ คนเขารอผลงานและการแก้ปัญหาอยู่ อย่าให้เขารอนานไปกว่านี้ ไม่อย่างนั้นทักษิณก็ทักษิณเถอะ เพื่อไทยก็เพื่อไทยเถอะ ยังขืนอืดอาดยืดยาด...ระวังจะโดนเหมือนที่เคยโดนมาแล้ว

'ขัตติยา' สวน 'เท้ง' มีผลงานอะไร หลังหน.พรรคส้มตัดเกรดผลงานนายกอิ๊งค์ 'ไม่ผ่าน'

เมื่อวานนี้ (12 ธ.ค. 67) นางสาวขัตติยา สวัสดิผล สส.บัญชีรายชื่อและรองโฆษกพรรคเพื่อไทย โพสต์ข้อความผ่านแอปพลิเคชัน X (เอ็กซ์) ถึงกรณีที่นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคประชาชน วิจารณ์นโยบายของนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี หลังจากแถลงผลงานครบ 90 วัน ภายใต้แคมเปญ '2568 โอกาสไทย ทำได้จริง : 2025 Empowering Thais: A Real Possibility'

โดยว่า ผลงานไม่ผ่านเกณฑ์ พร้อมกล่าวว่า ทุกนโยบายที่นายกรัฐมนตรีแพทองธารประกาศในวันนี้คือสิ่งที่จะเกิดขึ้นในปี 2568 ดังนั้น ในขณะที่ประชาชนมีความหวัง พรรคฝ่ายค้านบางพรรคควรหยุดสร้างวาทกรรมที่ไม่สร้างสรรค์บ้าง

นางสาวขัตติยากล่าวต่อว่า หากหัวหน้าพรรคฝ่ายค้านชอบประเมินผลงานของผู้อื่น ขอแนะนำให้เริ่มจากการประเมินตัวเองก่อน ว่าผลงานของท่านในฐานะหัวหน้าพรรค 125 วันที่ผ่านมาเป็นอย่างไร คะแนนนิยมของพรรคเพิ่มขึ้นหรือลดลง? ท่านสามารถเริ่มต้นจากการถามสมาชิกภายในพรรคได้ว่า การทำงานของท่านผ่านเกณฑ์หรือไม่?

ศึกชิงอบจ. เดือด!! ทั่วประเทศ จับตา ‘นายใหญ่’ เดินหน้ารุกฆาต!! ฟื้นคืนพื้นที่อีสาน รักษาฐานที่มั่นภาคเหนือ ตีกิน กลาง ตะวันออก

(15 ธ.ค. 67) “ผมแพ้ผมก็ไม่เสียดาย  แต่ต้องมีการตายเกิดขึ้น  คนที่โกส่งก็ต้องตาย..”

บางถ้อยคำของเทปลับที่สะพัดจากสื่อโซเชี่ยลและสื่อหลัก  หลังการสังหารโหด ‘สจ.โต้ง’ นายชัยเมศร์  สิทธิสนิทพงศ์  ในบ้าน ‘โกทร’ สุนทร   วิลาวัลย์  นายกอบจ.ปราจันบุรี เมื่อ ค่ำวันที่ 11 ธ.ค. 2567

การตายของสจ.โต้งโยงใยให้มองเห็นได้ว่า เกมการเลือกตั้งนายกอบจ.ที่กำลังจะระเบิดศึกเดือดพลั่ก..และการเมืองใหญ่หรือการเมืองระดับชาติกำลังจะประดาบทำสงครามกันครั้งใหญ่..

กรณีปราจีนบุรี..แต่เดิมมีร่องรอยชัดเจนว่า  ‘สจ.จอย’ ณภาพัช  อัญชาสาณิชมน   รองประธานสภาอบจ.ปราจีนบุรี   ภรรยาสจ.โต้ง จะได้ลงสมัครนายกอบจ.หลังจากโกทรประกาศวางมือ...แม้กระทั่งทักษิณ  ชินวัตร   ก็เปิดปากยอมรับกับนักข่าวเมื่อ 13 ธ.ค.ว่าพรรคเพื่อไทยมีการติดต่อสจ.จอยจริง  แต่เมื่อเกิดเหตุอย่างนี้คงจะเปลี่ยนใจแล้ว..

มีการตั้งคำถามกึ่งเป็นคำตอบว่า...สาเหตุหนึ่งเป็นเพราะมีการเปลี่ยนแผนเปลี่ยนใจให้สจ.จอยเปลี่ยนเสื้อจากภูมิใจไทยไปเป็นเพื่อไทย บวกกับบ้านเล็กบ้านน้อยที่กดดันไม่ให้ ‘โก’ หนุนคนของสจ.โต้งหรือไม่...จึงเกิดฉากสังหารเกิดขึ้น..!!??

เรื่องคดีปล่อยให้ตำรวจยุค..บิ๊กต่าย ผบ.ตร.,บิ๊กอ้อ ผช.ผบ.ตร.ที่กำลังขึ้นหม้อ  ชาวประชาให้ความเชื่อถือพิสูจน์ฝีมือกันต่อไป...แต่การล้างบางมาเฟียที่ประกาศโดย ‘นายกทับซ้อน’ นั้น  ต้องจับตาดูว่าเป็นแค่ราคาคุยหาเสียงล่วงหน้า  หรือว่าจะเกิดขึ้นจริงๆ..

กลับมาโฟกัสที่การเลือกตั้งนายกอบจ./ส.อบจ.กว่า 40 จังหวัดในวันที่ 1 ก.พ.2568  ที่มีแนวโน้มว่าจะดุเดือดเลือดพล่าน...เพราะจะเป็นการเลือกตั้งที่พรรคการเมืองแต่ละพรรคมุ่งจะปักธงชัยชนะเพื่อรักษาคะแนนนิยม,รักษาบ้านใหญ่ เพื่อผลสุดท้ายนำไปสู่ชัยชนะในการเลือกตั้งระดับชาติในครั้งหน้าซึ่ง โอกาสเกิดขึ้นได้ตั้งแต่ปี2568-2570

ขีดเส้นใต้สิบเส้น...การที่ทักษิณพูดถึงกรณีปราจีนบุรี และการปรากฎการณ์กรณีอุดรธานี,อุบลราชธานี...บวกกับโปรแกรมที่”นายใหญ่”จะไปช่วยหาเสียงให้กับผู้สมัครของพรรคเพื่อไทยและคนในร่มธงเพื่อไทยช่วงปลายปีนี้และต้นปีหน้า   ถูกออกแบบ-วางแผนไว้เป็นอย่างดี..

สอดประสานกับการเดินเกม..งานใต้ดินที่ ‘นายใหญ่’ ต้องใช้บริการจาก ‘ผู้กอง’ ผู้กว้างขวางที่เพิ่งเผด็จศึกแนวรบบ้านในป่ามาสดๆ ร้อนๆ..

อันที่จริงเกมของ ‘นายใหญ่’  ก็ไม่น่าจะอ่านยาก  1) ตรึงจังหวัดสำคัญ ฟื้นคืนพื้นที่อีสานฐานที่มั่นใหญ่ไห้ได้สส.เขตที่อีสานรอบหน้าอย่างน้อยสุด 100 เสียงขึ้นไป  2)ฟื้นภาคเหนือ โดยเฉพาะเชียงใหม่ นายกอบจ.ก๊อง-พิชัย  เลิศพงศ์อดิศร  อาจจะไม่สวมเสื้อเพื่อไทยแต่ต้องรักษาแชมป์ไว้ให้ได้เพื่อเอาสส.เพื่อไทยสมัยหน้ากลับมาให้ได้จากที่เหลืออยู่ 2 คน ให้กลับมาเป็นอย่างน้อย 8 หรือยกจังหวัด10คน..

และ3) สำคัญไม่ยิ่งหย่อนเคลียร์พื้นที่ภาคกลาง(รวมภาคตะวันออก)...ถึงนาทีนี้ ‘นายใหญ่’ และเครือข่ายเดินเงียบ  โดยเฉพาะแนวรบด้านตะวันออก ตั้งแต่ฉะเชิงเทรา,ชลบุรี,ระยอง,จันทบุรี และตราด..เรียบร้อยหมดแล้ว..เหลือแต่ปราจีนบุรีและนครนายก  ที่ปิดจ๊อบยังไม่จบ..โดยเฉพาะที่ปราจีนบุรี  ต้องรอดูเจ้าของพื้นที่สีน้ำเงินว่าจะออกอาวุธอย่างไร แบบไหน..คงไม่ปล่อยให้สูญเสียพื้นที่อาณาเขตทางการเมืองของตัวเองไปได้ง่ายๆ

รวมความแล้วเกมที่ดูเหมือนจะไม่ยากนักสำหรับคนระดับทักษิณ  แต่เมื่อส่องกล้องมองในรายละเอียด   เกมชิงนายกอบจ.40กว่าจังหวัดต้นปีหน้าก็ใช่ว่าจะเป็นรายการเคี้ยวหมู..อุปสรรคใหญ่ที่เป็นก้างขวางคออยู่ในขณะนี้ก็คือ...พรรคประชาชนที่ปักธงส่งผู้สมัครแบบหวังผลอย่างน้อย 12 จังหวัด, พรรคภูมิใจไทย ที่ ‘ครูใหญ่’เนวิน   ชิดชอบ  ยังกบไพ่เงียบ..เปิดออกมาเมื่อไหร่ไม่ใครต่อใครก็อาจเป็นลม..เหมือนตอนเลือกตั้งสว.สภาน้ำเงิน ก็ได้..

ยิ่งนาทีนี้ ‘นายใหญ่’ ออกตัวแรงในทุกๆ ด้านแม้กระทั้งกรณีกึ่งขับไล่ ด้อยค่าพรรคร่วม..ก็ใช่ว่าจะเป็นผลบวกในทุกๆเรื่องเสมอไป!!

‘เพื่อไทย’ ปัดตั้ง ‘พานทองแท้’ ปธ.ยุทธศาสตร์เศรษฐกิจ ชี้! เป็นกระบวนการปั้นข่าวหวังทำลายความเชื่อมั่นรัฐบาล

รองโฆษกพรรคเพื่อไทย ยืนยันไม่แต่งตั้ง 'พานทองแท้ ชินวัตร' ลูกชายทักษิณ เป็นประธานยุทธศาสตร์เศรษฐกิจ ตามที่ ‘ไพศาล พืชมงคล’ โพสต์เอาไว้ ระบุเจ้าตัวไม่ได้เข้ามาร่วมรับตำแหน่งใด ๆ โวยมีขบวนการปั้นข่าวเพื่อให้เกิดความสับสน

เมื่อวันที่ (17 ธ.ค. 67) จากกรณีที่นายไพศาล พืชมงคล อดีตกรรมการผู้ช่วยรองนายกรัฐมนตรี (พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ) โพสต์ข้อความว่า นายพานทองแท้ ชินวัตร ลูกชายนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เป็นหัวหน้ากลยุทธ์และแผนงานเศรษฐกิจแห่งชาติ โดยระบุว่า เพื่อกุมบังเหียนยุทธศาสตร์เศรษฐกิจของประเทศไทย ให้มีความเจริญรุ่งเรืองโชติช่วงชัชวาลเข้าสู่ยุคศิวิไลซ์ ได้อย่างมีเกียรติมีศักดิ์ศรี และอยู่ดีกินดีถ้วนหน้ากัน และเปรียบว่าขนาด น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ซึ่งเป็นน้องสาวยังเป็นถึงนายกรัฐมนตรีได้ ทำไมพี่ชายถึงจะเป็นประธานยุทธศาสตร์เศรษฐกิจไม่ได้ ตามที่ปรากฏในโซเชียลมีเดียนั้น

ล่าสุด น.ส.ชญาภา สินธุไพร สส.ร้อยเอ็ด และรองโฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวในแพลตฟอร์ม X ว่า ไม่เป็นความจริงอย่างสิ้นเชิง เพราะในการประชุมสัมมนาพรรคเพื่อไทยที่ อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ พรรคไม่มีมติแต่งตั้งใครหรือตำแหน่งใด ๆ เหล่านี้ ซึ่งข้อเท็จจริงนายพานทองแท้ ก็ไม่ได้เข้ามาร่วมรับตำแหน่งใด ๆ ทั้งในพรรคและในรัฐบาลเลย ช่วงนี้กระบวนการแบบนี้มีให้เห็นเยอะขึ้นเรื่อย ๆ การปั้นข่าวเพื่อให้เกิดความสับสน และพยายามทำลายความเชื่อมั่นของรัฐบาล โชคดีว่าประเทศไทยไม่ใช่เมืองหนาว เลยไม่เหมาะกับการปั้นน้ำเป็นตัว

สำหรับนายพานทองแท้ ชินวัตร หรือโอ๊ค เกิดเมื่อวันที่ 2 ธ.ค. 2522 เป็นลูกชายคนโตของนายทักษิณ ชินวัตร กับคุณหญิงพจมาน ณ ป้อมเพชร เกิดที่เมืองฮันต์สวิลล์ ในรัฐเท็กซัส สหรัฐอเมริกา จบการศึกษาจากคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง สมัยรัฐบาลนายทักษิณ ชินวัตร เคยทำธุรกิจสตูดิโอถ่ายภาพ ชีแอทมู้ด และคาเฟ่ชื่อ Cafeinn ที่สยามสแควร์ ซอย 2 นำเข้าและจัดจำหน่ายโทรศัพท์มือถือที่มีราคาแพงที่สุดในโลก ยี่ห้อ เวอร์ทู รวมทั้งสัมปทานพื้นที่โฆษณาอุโมงค์รถไฟฟ้าใต้ดิน และทำธุรกิจสวนสนุก Amazing Fun Park บริเวณถนนรัชดาภิเษก ในนาม บริษัท ฮาวคัม เอ็นเตอร์เทนเมนต์ จำกัด เมื่อปี 2548 กระทั่งปี 2552 นายพานทองแท้ ก่อตั้งสถานีโทรทัศน์วอยซ์ทีวี แต่ได้ปิดกิจการไปเมื่อวันที่ 31 พ.ค. 2567 และอาคารสถานีย่านถนนวิภาวดีรังสิต ใกล้สี่แยกสุทธิสาร กำลังรีโนเวตเป็นที่ทำการแห่งใหม่ของพรรคเพื่อไทย

ปัจจุบัน นายพานทองแท้เป็นกรรมการบริษัทที่ยังดำเนินกิจการอยู่ 6 บริษัท ได้แก่ บริษัท ม็อกกิ้งเบิร์ด จำกัด ประกอบธุรกิจการจัดพิมพ์จำหน่ายหรือเผยแพร่งานอื่นๆ ผ่านทางออนไลน์, บริษัท วอยซ์ ครีเอชั่น จำกัด ประกอบธุรกิจกิจกรรมด้านความบันเทิง บริษัท เรนด์ เพลินจิต โฮเต็ล จำกัด ประกอบธุรกิจโรงแรม รีสอร์ทและห้องชุด, บริษัท เวิร์คส์ ครีเอทีฟ จำกัด ประกอบกิจกรรมการผลิตภาพยนตร์และวีดิทัศน์ธุรกิจ, บริษัท ไวฟ์ ดิจิตอล จำกัด ประกอบธุรกิจ กิจกรรมการจัดทำโปรแกรมเว็บเพจและเครือข่ายตามวัตถุประสงค์ของผู้ใช้ และบริษัท วอยซ์ ทีวี จำกัด ประกอบธุรกิจกิจกรรมการผลิตรายการโทรทัศน์

ส่วนบริษัทที่เสร็จการชำระบัญชี มี 4 บริษัท ได้แก่ บริษัท นิวโอ๊ค จำกัด ประกอบธุรกิจกิจกรรมการถ่ายภาพ, บริษัท มาสเตอร์ โฟน จำกัด ประกอบธุรกิจร้านขายปลีกอุปกรณ์การสื่อสารโทรคมนาคม, บริษัท ฮาวคัม มีเดีย จำกัด ประกอบธุรกิจกิจกรรมของบริษัทโฆษณา, และบริษัท ฮาวคัม เอวี จำกัด ประกอบธุรกิจกิจกรรมด้านความบันเทิง และบริษัทที่มีสถานะเลิก ได้แก่ บริษัท โอคานิท จำกัด ประกอบธุรกิจการบริการด้านเครื่องดื่มที่ไม่มีแอลกอฮอล์เป็นหลักในร้าน

อนึ่ง เมื่อวันที่ 13 ธ.ค. นายพานทองแท้ นั่งรถไฟขบวนพิเศษรอยัลบอสซั่มที่ 913 เพื่อเดินทางร่วมกับ สส.พรรคเพื่อไทย ไปยังโรงแรมอินเตอร์คอนติเนนตัล หัวหิน อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ พร้อมกับ น.ส.แพทองธาร นายกรัฐมนตรี ซึ่งเป็นน้องสาว ก่อนที่นายทักษิณจะร่วมขึ้นขบวนรถไฟที่สถานีบางบำหรุ เพราะอยู่ใกล้บ้านจันทร์ส่องหล้า จรัญสนิทวงศ์ 69


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top