Sunday, 8 June 2025
นายกรัฐมนตรี

‘บิ๊กตู่’ ออกงานแรก หลังหยุดปฏิบัติหน้าที่นายฯ เป็นปธ.เปิดงานแสดงอาวุธป้องกันประเทศ

‘บิ๊กตู่’ เปิดงานแสดงอาวุธป้องกันประเทศ  ตั้งใจเดินดูทุกบูธ พร้อมทดลองเล็งปืน บอก ‘มีกำลังใจดีอยู่แล้ว’ 

พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ปรากฎตัวต่อสื่อครั้งแรก หลังศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่นายกรัฐมนตรีจนกว่าจะมีคำวินิจฉัยวาระดำรงตำแหน่งครบ 8 ปี โดยเป็นประธานพิธีเปิดนิทรรศการอุปกรณ์ป้องกันประเทศ (Defense & Security 2022) ณ อาคารชาเลนเจอร์ 1 ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุมอิมแพ็ค เมืองทองธานี  ซึ่งเป็นงานระดับประเทศมีสื่อมวลชนทั้งไทยและต่างชาติให้ความสนใจ 

โดยทันทีที่ถึงบริเวณงานพลเอกประยุทธ์ ได้ยกมือรับไหว้สื่อ ด้วยสีหน้าเรียบเฉย แต่ไม่ได้มีการพูดคุยทักทาย สื่อจึงสอบถามถึงกำลังใจหลังต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่นายกรัฐมนตรีชั่วคราว ซึ่งพลเอกประยุทธ์ไม่ได้ตอบคำถามใดๆ มีเพียงพูดคุยกับผู้จัดงาน ๆ จนเข้าไปยังห้องพักรับรอง เมื่ออกจากห้องพักรับรองสื่อได้สวัสดีอีกรอบ พลเอกประยุทธ์จึงกล่าวสั้น ๆ ว่า “สวัสดี” ก่อนเดินเข้าร่วมงานทันที 

โดยหลังจากเป็นประธานเปิดงานแล้วจากนั้น พล.อ.ประยุทธ์ ได้เดินเยี่ยมชมนิทรรศการที่จัดแสดงเทคโนโลยีทางการทหาร และความปลอดภัย อย่างตั้งใจและเดินเยี่ยมชมทุกบูธ อาทิ ระบบอาวุธปืน ขีปนาวุธ รถถัง อากาศยานไร้คนขับ(UAV) พาหนะขนส่ง เรือ ระบบดาวเทียม ระบบการสื่อสารระบบเทคโนโลยีการป้องกันทางอิเล็กทรอนิกส์ทางไกล ระบบควบคุมการยิง  จากผู้ผลิตรายใหญ่ของโลกที่นำมาจัดแสดงกว่า 15 ประเทศ อาทิ สหรัฐอเมริกา ฝรั่งเศส สิงคโปร์ อิสราเอล เยอรมนี เกาหลี จีน สาธารณรัฐเช็ก เป็นต้น โดยมี บริษัทอาวุธชั้นนำของโลกมาออกบูทแสดงจำนวนมาก ทั้งนี้ พล.อ.ประยุทธ์ ได้ทดลองขึ้นไปนั่งปืนใหญ่อัตตาจรล้อยาง ATMG ขนาด 155 มิลลิเมตร พร้อมดูอุปกรณ์ภายใน นอกจากนี้พล.อ.ประยุทธ์ ได้ทดลองยกปืนขนาดยาวและเล็ก โดยได้ยกปืนยาวขึ้นเล็งซึ่งเป็นปืนขนาด 7.62 *51 มม. รุ่น SIG-MCX รุ่น XM 5 

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ระหว่างการเดินเยี่ยมชมพล.อ.ประยุทธ์  กล่าวเพียงสั้น ๆ กับสื่อมวลชนว่า “มีกำลังใจดีอยู่แล้ว”

ทั้งนี้ มีรายงานข่าวว่า โอกาสนี้พลเอกประยุทธ์ ยังได้หารือทวิภาคีกับตัวแทนมกุฎราชกุมารซาอุดีอาระเบีย และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมมาเลเซีย ซึ่งเดินทางมาด้วยตัวเอง เนื่องจากอยู่ระหว่างภารกิจเดินทางเยือนประเทศไทย

‘พิธา’ ลั่น พร้อมเป็นนายกฯ พาไทยแข่งขันบนเวทีโลก โชว์กึ๋น สร้างอุตฯ ไฮเทค ผ่านการแก้ปัญหาน้ำประปา

ในงานเปิดแคมเปญเลือกตั้งพรรคก้าวไกล 'ต้องก้าวไกล ให้ไทยก้าวหน้า' นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล ได้เริ่มต้นเปิดงานด้วยการแสดงวิสัยทัศน์การบริหารประเทศแบบก้าวไกลด้วยการหยิบขวดน้ำดื่มขึ้นและชวนให้ผู้ฟังมองปัญหาระดับประเทศที่ซ่อนอยู่ในน้ำดื่มขวดนี้

“ทุกครั้งที่เรายกน้ำขึ้นมาดื่ม ทุกท่านเชื่อมั้ยครับว่า มันมีเรื่องราวอยู่เบื้องหลังที่สะท้อนความล้มเหลวและความไร้ประสิทธิภาพของรัฐไทย ความล้มเหลวของรัฐไทยในการให้บริการน้ำประปาที่สะอาดดื่มได้ทำให้คนไทยต้องแบกรับภาระค่าน้ำดื่มสูงขึ้นถึง 1,000 เท่า ทั้งๆ ที่ประเทศไทยที่มีทรัพยากรน้ำมหาศาล” พิธากล่าว

พิธากล่าวต่อว่า การประปาอาจจะบอกว่าตรวจคุณภาพน้ำในกรุงเทพฯ 2,000 จุดแล้วดื่มได้ แต่น้ำประปาผ่านตามท่อถึงบ้านเรา ไขก๊อกออกมาดื่มไม่ได้ ในกรุงเทพฯ บางพื้นที่ยังใสแต่ในต่างจังหวัด แต่ละบ้านต้องมาแข่งกัน ว่าน้ำประปาจะสีอะไร ใช้ซักผ้าไม่ได้ ใช้ล้างจานไม่ได้ ใช้อาบน้ำไม่ได้ ในประเทศอื่นๆ เขาควบคุมมาตรฐานความปลอดภัยของน้ำประปาโดยใช้ 'แรงดันน้ำ' ที่ปลายท่อครับ ทำให้แบคทีเรียและความสกปรกในท่อก็จะยิ่งเข้ามาปนอยู่ในน้ำประปาได้ยาก

ในต่างประเทศตั้งค่าแรงดันน้ำขั้นต่ำที่ปลายทางเอาไว้สูง เปิดในแนวตั้งต้องพุ่งสูงขึ้นไม่ต่ำกว่า 10 เมตร ที่อเมริกาคือถ้าต่ำกว่า 14 เมตร ให้ต้มน้ำดื่ม ถ้าต่ำกว่า 3.5 เมตรเขาให้ล้างน้ำประปาคงค้างให้หมดแล้วนำน้ำไปตรวจแบคทีเรีย แต่สำหรับประเทศไทยเราไม่ได้กำหนดแรงดันน้ำปลายทางแรงดันในท่อหลักอยู่ที่ 6 เมตร มาถึงบ้านปลายทางไม่ได้กำหนดมาตรฐานเอาไว้ ทำให้เหลือแรงดันแค่ 2 เมตรเท่านั้น นี่คือสาเหตุที่ทำไมน้ำประปาถึงดื่มไม่ได้ และด้วยเหตุนี้เองถึงได้เกิดอุตสาหกรรมน้ำขวดขึ้นมา มูลค่า 5 หมื่นกว่าล้านบาท จากน้ำประปาที่ราคา 1,000 ลิตร ราคา 10 บาท เราถึงได้ต้องดื่มเป็นน้ำขวดที่ราคา 1 ลิตร 10 บาท หรือแพงขึ้น 1,000 เท่า

สาเหตุที่รัฐไทยให้แรงดันน้ำกับประชาชนไม่ได้ นั่นเพราะเราจะสูญเสียน้ำไปตามท่อจากท่อระบายน้ำรั่วประมาณ 30% ถ้ายิ่งเปิดแรงดันน้ำแรงน้ำก็จะยิ่งรั่วมาก ถ้าเปิดน้ำอ่อยๆ น้ำก็จะรั่วน้อยลง แต่การที่ภาครัฐเปิดน้ำให้ประชาชนอ่อยๆ เพราะกลัวน้ำรั่วเป็นปัญหาที่สะท้อนแนวคิดในการแก้ไขปัญหาแบบระยะสั้น ลูบหน้าปะจมูก แบบไทยๆ ผลักภาระน้ำที่ไม่สะอาด กับค่าถังพักน้ำ ค่าปั๊มน้ำ ให้ประชาชน ในขณะเดียวกันพอน้ำรั่วน้อย แต่เป็นการรั่วซึม เราก็จะไม่เห็นว่าน้ำรั่วที่จุดไหน เราก็จะไม่สามารถไปแก้ปัญหาที่ต้นเหตุได้

ประเทศไทยมีปัญหาที่หมักหมม และแก้ปัญหาแบบลูบหน้าปะจมูกอยู่แบบนี้มากมาย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องน้ำแล้ง-น้ำท่วมที่แก้กันแบบ 'น้ำแล้งขนน้ำไปหาคน น้ำท่วมขนคนหนี' เรื่องเกษตรที่อุ้มราคาเฉพาะหน้าอย่างเดียวแต่แทบไม่มีการยกระดับเกษตรกร เรื่องงบประมาณที่ซุกหนี้และภาระผูกพันไว้มากมายเป็นระเบิดเวลาในอนาคต ฯลฯ ถ้าเรื่องที่พื้นฐานมากๆ อย่างแรงดันน้ำ ประเทศไทยยังไม่สามารถทำได้เพื่อให้น้ำสะอาด เราไม่มีวันที่จะสามารถทำเรื่องยากๆ เพื่อให้ประเทศไทยแข่งขันในระดับโลกได้

อุตสาหกรรมแห่งอนาคตที่ใช้น้ำเป็นองค์ประกอบที่สำคัญมากก็คือชิปคอมพิวเตอร์ โรงงานผลิตชิปคอมพิวเตอร์โรงงานหนึ่งอาจใช้น้ำได้สูงถึง 10,000 ลบ.ม. ต่อปี นอกจากนี้การมีปริมาณน้ำที่มากอย่างเดียวไม่เพียงพอ ต้องใช้น้ำที่บริสุทธิ์มากด้วยเพื่อมาใช้ล้างชิปด้วย ชิปคอมพิวเตอร์สมัยนี้เล็กมากระดับนาโนเมตร ชิปเล็กที่สุดตอนนี้ 2 นาโนเมตรเล็กยิ่งกว่าเกลียวดีเอ็นเอ เพราะฉะนั้นน้ำที่จะมาใช้ล้างชิประดับนาโนเมตรได้ก็ต้องเป็นน้ำที่บริสุทธ์มากระดับ Ultrapure Water ที่ไม่มีอนุภาคอะไรเหลือเลย

'เพื่อไทย' ยุ่งแล้ว!! คนอีสานชู 'สุดารัตน์' ขึ้นแท่นนายกฯ 'แพทองธาร' มาที่สอง

ถือว่ามาตามนัด สำหรับ 'หญิงอ้อ' คุณหญิงพจมาน ดามาพงศ์ ที่เฉิดฉายอย่างยิ่งในกิจกรรม 'สะบัดชัย เพื่อไทยมาเหนือ' ณ ศูนย์ประชุมและแสดงสินค้านานาชาติฯ จ.เชียงใหม่ พร้อมเพรียงด้วยบุคคลในครอบครัวนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ และพลพรรคเพื่อไทย ซึ่งต่างมาให้กำลังใจคุณแพทองธาร ชินวัตร กันอย่างคับคั่ง ประกาศศักดาครอบครัวเพื่อไทยยืนหนึ่งในเวทีการเลือกตั้งหนหน้า

ทว่าในวันนี้ (10 ก.ย.65) อีสานโพล ศูนย์วิจัยธุรกิจและเศรษฐกิจอีสานมหาวิทยาลัยวิทยาลัยขอนแก่น ได้เปิดเผยผลสำรวจในหัวขัอ 'ความเครียดของคนอีสานกับปัญหาเศรษฐกิจ' โดยผลการสำรวจพบว่า 3 ปัญหาที่คนอีสานกำลังเผชิญและมีความเครียดมากที่สุด คือ ค่าครองชีพสูงและราคาวัตถุดิบเพิ่มขึ้น ค่าใช้จ่ายด้านพลังงานเพิ่มขึ้นมาก และรายได้ไม่พอกับรายจ่ายจนต้องมีหนี้เพิ่ม และยังมีปัญหาเศรษฐกิจอื่นๆ ที่คนอีสานราวๆ 30% รู้สึกเครียดมากและรอการบรรเทาปัญหา ไม่ว่าจะเป็นการหางานใหม่ยากหรือหางานทำยาก ภาระรายจ่ายด้านการศึกษา ผ่อนชำระหนี้กับสถาบันการเงินไม่ไหวขาดทุนจากการทำเกษตรหรือแทบไม่มีกำไร ขาดแคลนเงินทุนหรือสินเชื่อในการทำมาหากิน เป็นผู้สูงอายุที่มีเงินไม่พอใช้หรือมีภาระต้องเลี้ยงดูผู้สูงอายุ และผ่อนชำระหนี้นอกระบบไม่ไหว

รศ.ดร.สุทิน เวียนวิวัฒน์ หัวหน้าโครงการอีสานโพล เปิดเผยว่า การสำรวจนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อสำรวจความคิดเห็นของคนอีสานต่อความเครียดที่คนอีสานกำลังเผชิญกับปัญหาเศรษฐกิจและการเงินเพื่อสะท้อนปัญหาของคนอีสานให้กับทางภาครัฐหรือพรรคการเมืองต่างๆ ได้หาแนวทางบรรเทาปัญหาเศรษฐกิจให้กับคนอีสาน จากกลุ่มตัวอย่างอายุ 18 ปีขึ้นไป 1,065 รายในเขตพื้นที่ภาคอีสาน 20 จังหวัด โดยเมื่อสอบถามกลุ่มตัวอย่างเกี่ยวกับความเครียดเกี่ยวกับปัญหาด้านเศรษฐกิจและการเงินใน 14 ประเด็น 

แต่ประเด็นไฮไลต์จากผลโพลล์ดังกล่าว อยู่ที่ 'การเลือกตั้งครั้งใหม่ อยากให้ใครเป็นนายกรัฐมนตรี' เพื่อมาแก้ปัญหาเศรษฐกิจ พบว่า อันดับ 1 เป็นของ คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ร้อยละ 23.4 รองลงมาคุณแพทองธาร ชินวัตร ร้อยละ 21.1 อันดับ 3 คุณพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ร้อยละ 20.2 ตามมาด้วย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ร้อยละ 12.5 นานอนุทิน ชาญวีรกุล ร้อยละ 9.9 คนอื่นๆ จากพรรคเพื่อไทย ร้อยละ 6.5 คุณจุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์ ร้อยละ 2.8 พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส ร้อยละ 1.7 และอื่นๆ ร้อยละ 1.9

จนท.เช็กรถประจำตำแหน่งนายกฯ ก่อนศาลตัดสินปม 8 ปี 30 ก.ย.นี้

ทำเนียบฯ เริ่มขยับ! จนท.ยานพาหนะตรวจสภาพรถประจำตำแหน่งนายกฯ ก่อนศาลตัดสินปม 8 ปี 30 ก.ย.นี้

(23 ก.ย. 65) ผู้สื่อข่าวรายงานจากทำเนียบรัฐบาล ว่า เมื่อเวลา 10.30 น. ที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่กองงานยานพาหนะทำเนียบรัฐบาล ได้เข้ามาตรวจสภาพและสตาร์ตรถยนต์ประจำตำแหน่งนายกรัฐมนตรี หมายเลขทะเบียน 4 กต 29 กรุงเทพมหานคร และรถยนต์ทีมรักษาความปลอดในขบวนที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา รมว.กลาโหม ใช้ขณะปฏิบัติหน้าที่นายกรัฐมนตรี ซึ่งจอดอยู่บริเวณโรงจอดรถข้างห้องทำงานผู้สื่อข่าว ตั้งแต่วันที่ 2 ก.ย. 65 ที่ทีมรักษาความปลอดภัย พล.อ.ประยุทธ์ นำมาส่งมอบคืน

ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่กองยานพาหนะ เปิดเผยว่า เป็นการมาอุ่นเครื่องรถยนต์ประจำสัปดาห์ เพื่อไม่ให้เครื่องยนต์ติดขัด และเป็นการตรวจสภาพเครื่องยนต์ไปในตัว หากระบบเครื่องยนต์ขัดข้องจะได้นำเข้าศูนย์ซ่อมต่อไป แต่ในเบื้องต้นการเช็คสภาพระบบเครื่องยนต์ยังเป็นปกติ

อย่างไรก็ตาม มีกระแสข่าวว่า เป็นการเตรียมความพร้อมหากต้องส่งมอบรถประจำตำแหน่ง ซึ่งในวันที่ 30 ก.ย.นี้ ศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำวินิจฉัยวาระดำรงตำแหน่ง 8 ปี


ที่มา : https://www.naewna.com/politic/681959

'บิ๊กตู่' ขอบคุณบุคลากร ศบค. ทุกคน ที่อุทิศตนต่อสู้กับโควิด-19 ให้ผ่านพ้นไปได้

(3 ต.ค. 65) พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก 'ประยุทธ์ จันทร์โอชา Prayut Chan-o-cha' ว่า...

ถึง เพื่อนข้าราชการทั่วประเทศ ผู้ปฏิบัติงานใน ศบค.ทุกระดับ ตลอดจนบุคลากรและผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทุกท่าน

เมื่อวันศุกร์ที่ 30 กันยายน 2565 เป็นวันสุดท้ายของการทำงานของ ศบค. ซึ่งได้ทำงานด้วยกันมา นับตั้งแต่ประเทศไทยเผชิญสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือ โควิด-19 เมื่อเดือนมีนาคม 2563 จนถึงวันนี้ นับเป็นเวลากว่า 2 ปีครึ่ง หรือ 900 กว่าวัน ผมขอขอบคุณทุกท่าน และทุกหน่วยงาน ที่ได้ทำงานด้วยความเสียสละ ทุ่มเท เคียงบ่าเคียงไหล่กับผม รัฐบาล และทุกภาคส่วนของประเทศ โดยไม่ย่อท้อต่อความเหนื่อยยาก ใช้ความพยายามอย่างสูงสุด และทุกวิถีทาง เพื่อให้บรรลุเป้าหมายอันยิ่งใหญ่ของเรา คือ "ประเทศชาติต้องปลอดเชื้อ ประชาชนต้องปลอดภัย" 

ลุงตู่คัมแบ็ค ลงพื้นที่ประสบภัยน้ำท่วม 'อุบลฯ - ขอนแก่น' ลุยให้กำลังใจ - ใส่ใจ - เข้าถึงประชาชน

ลุงตู่คัมแบ็ค ลงพื้นที่ประสบภัยน้ำท่วม 'อุบลฯ - ขอนแก่น' ลุยให้กำลังใจ - ใส่ใจ - เข้าถึงประชาชน

'นายกฯ' กร้าว!! ดูแลทุกจังหวัด พร้อมขจัดภัยทุกจุด ยัน!! เร่งคืนชีวิตปกติให้กับพี่น้องประชาชน

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก 'ประยุทธ์ จันทร์โอชา Prayut Chan-o-cha' ระบุว่า...

พี่น้องประชาชนชาวไทยที่รักทุกคนครับ

ผมได้เฝ้าติดตามข่าวสถานการณ์อุทกภัยที่เกิดขึ้นในหลายจังหวัด โดยเฉพาะในภาคอีสาน ด้วยความเป็นห่วงพี่น้องประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อน โดยเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา (3 ต.ค. 65) ผมได้สั่งการเน้นย้ำนโยบาย 10 ข้อ ในการบริหารจัดการสถานการณ์อุทกภัย ให้กับผู้ว่าราชการจังหวัด ทั่วประเทศ ได้นำไปปฏิบัติในแนวทางเดียวกัน โดยให้ความสำคัญสูงสุดกับการช่วยเหลือพี่น้องประชาชนที่ได้รับผลกระทบ และเมื่อวานนี้ (4 ต.ค. 65) ผมจึงได้เลื่อนการประชุม ครม.ออกไป เพื่อปฏิบัติภารกิจลงพื้นที่ติดตามการทำงานในระดับพื้นที่ ณ จังหวัดขอนแก่นและจังหวัดอุบลราชธานี อีกทั้งนำกำลังใจจากคนทั้งประเทศ ไปฝากพี่น้องผู้ประสบภัยและเจ้าหน้าที่ทุกฝ่าย

จากการรายงานผลการดำเนินงานของทั้งสองจังหวัด ทำให้ผมได้รับทราบว่าได้มีการจัดการสถานการณ์อย่างเต็มที่ ตามแผนเผชิญเหตุที่รัฐบาลได้สั่งการไว้ล่วงหน้า โดยได้เตรียมการไว้ และคอยติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด มีการบูรณาการหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ในการแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นอย่างเร่งด่วน ทั้งกรมบรรเทาและป้องกันสาธารณภัย (ปภ.) กองอำนวยการน้ำแห่งชาติ ศูนย์บริหารจัดการน้ำส่วนหน้า สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ และหน่วยงานอื่น ๆ อีกหลายแห่ง เพื่อระดมสรรพกำลัง ทั้งทรัพยากรบุคคล เครื่องมือ และสิ่งของบรรเทาทุกข์ รวมถึงการประสานงานในการส่งข่าวสารแจ้งพี่น้องประชาชนในการระมัดระวังและช่องทางการขอรับความช่วยเหลือ ซึ่งทำให้ผมมีความมั่นใจว่าจะสามารถรับมือกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ ให้พี่น้องประชาชนกลับมาใช้ชีวิตได้ตามปกติ ทำการค้า ประกอบอาชีพ เรียนหนังสือ สัญจรไปมา ได้โดยเร็ว

ซึ่งผมได้เน้นย้ำกับทั้งสองจังหวัดว่า รัฐบาลพร้อมที่จะให้การสนับสนุนการดำเนินงานตามแผนการปฏิบัติต่าง ๆ ทั้งในรูปแบบของงบประมาณเพิ่มเติม กำลังคน เครื่องจักรกล และทรัพยากรอื่น ๆ ที่จำเป็นอย่างเต็มที่ โดยสิ่งสำคัญคือเราจำเป็นต้องระบายน้ำให้ได้เร็วและมากที่สุด เพื่อบรรเทาสถานการณ์ และเตรียมพร้อมหากจะมีพายุเข้ามาอีก

น้อมรำลึกพระมหากรุณาธิคุณ นายกฯ เชิญชวนเฝ้ารับเสด็จ 'ในหลวง-ราชินี' ทรงเปิดพระบรมราชานุสาวรีย์ รัชกาลที่ 9

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม โพสต์เฟซบุ๊ก 'ประยุทธ์ จันทร์โอชา Prayut-Chan-o-cha' ระบุว่า...

พี่น้องประชาชนชาวไทยที่รักทุกท่านครับ

เนื่องในโอกาสที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี จะเสด็จพระราชดำเนินไปทรงเปิดพระบรมราชานุสาวรีย์ พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ในวันพฤหัสบดีที่ 13 ตุลาคม 2565 เวลา 17.00 นาฬิกา ณ อุทยานเฉลิมพระเกียรติฯ เขตดุสิต กรุงเทพมหานคร นั้น ผมขอเชิญชวนประชาชนทุกหมู่เหล่า ร่วมเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทรับเสด็จ โดยพร้อมเพรียงกัน

'เพื่อไทย' งัด 8 ตราบาปตอกหน้า 'ประยุทธ์' ชี้!! ยิ่งอยู่นาน ประเทศยิ่งเสื่อม แนะควรสำนึกได้แล้ว

เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ (25 ต.ค. 65) ที่พรรคเพื่อไทย (พท.) นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รองประธานยุทธศาสตร์พรรคเพื่อไทยด้านเศรษฐกิจ กล่าวว่า ตามที่กระแสความนิยมของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ตกต่ำอย่างสุดขีด แทนที่พล.อ.ประยุทธ์จะรู้ตัวและแก้ไข กลับส่งคนออกมาโต้ ล่าสุดถึงขนาดให้คนของตัวเองออกมาอวยว่าทำได้ดี ทิ้งมรดกความเจริญรุ่งเรืองให้กับประเทศ ซึ่งต่างกับความเป็นจริงอย่างสิ้นเชิง ดังนั้นจึงอยากให้ข้อมูลความจริงที่พล.อ.ประยุทธ์ได้ทิ้งมรดกที่เหมือนกับตราบาปของคนไทยไว้ 8 เรื่องดังนี้ 

1.) ช่วงที่พล.อ.ประยุทธ์บริหารประเทศ ไทยพัฒนาน้อยที่สุด จากตัวเลขการเจริญเติบโตที่ต่ำมาตลอด ไทยได้ฉายาเป็นคนป่วยของเอเชีย ถูกประเทศเพื่อนบ้านแซงทุกด้าน เป็นมรดกความตกต่ำทางเศรษฐกิจ

2.) เป็นช่วงที่ประเทศก่อหนึ้มากสุดแต่ไม่พัฒนา มีหนี้สาธารณะทะลุ 10 ล้านล้าน กู้เงินมากที่สุด แต่เศรษฐกิจขยายต่ำสุด ลูกหลานต้องมาใช้หนี้กว่า 5 ล้านล้านบาท หรือกว่า 50 ปีกว่าจะใช้หนี้หมด และยังต้องจ่ายดอกเบี้ยสูงสุดด้วย ประชาชนก็มีหนี้ครัวเรือนสูงสุดประมาณ 15 ล้านล้านบาท หนี้เสียและหนี้นอกระบบสูงที่สุดด้วย เป็นมรดกหนี้ล้นทะลัก

นายพิชัย กล่าวต่อว่า 3.) ค่าครองชีพแพงสุด ทั้งราคาสินค้าและบริการ น้ำมัน ก๊าซ ไฟฟ้าแพงที่สุด เงินเฟ้อมากสุด แต่รายได้ของคนไทยไม่เพิ่มแถมลดลง เป็นมรดกสินค้าแพง

'เพื่อไทย' จี้ รัฐฯ ปรับโครงสร้างราคาพลังงานทั้งระบบ เพื่อลดภาระค่าใช้จ่าย-ค่าครองชีพให้ประชาชน

เมื่อวันที่ 25 ต.ค. ที่พรรคเพื่อไทย (พท.) นายเลิศศักดิ์ พัฒนชัยกุล ส.ส.เลย กรรการบริหารและคณะทำงานเศรษฐกิจพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า อยากเรียกร้องให้พล.อ ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ เร่งลดภาระของประชาชน ลดต้นทุนภาคธุรกิจจากภาระภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง รวมถึงปัญหาราคาน้ำมัน ไฟฟ้าและก๊าซ พลังงานแพงเป็นสาเหตุเงินเฟ้อสูง ต้องเร่งปรับโครงสร้างราคาพลังงานทั้งระบบ ล่าสุดผู้ประกอบการสถานีบริการน้ำมันที่ต้องเสียภาษีตัวอาคารสถานีบริการน้ำมัน อาคารค้าปลีก ห้องน้ำและอื่น ๆ อยู่แล้ว และได้ขอให้ทบทวนการจัดเก็บภาษีบริเวณถนน ลาน รั้ว ซึ่งจะได้ช่วยลดต้นทุนการทำธุรกิจได้บ้าง แต่ก็ได้รับการปฏิเสธจากกรรมการภาษี และกระทรวงมหาดไทย จึงเป็นกรณีตัวอย่างที่เกิดขึ้นจากการที่รัฐเลือกที่จะจัดเก็บภาษีในช่วงเวลาที่ไม่เหมาะสม สร้างภาระให้กับภาคธุรกิจ

นายเลิศศักดิ์ กล่าวต่อว่า นอกจากนี้ต้นทุนสำคัญของภาคธุรกิจ เรื่องราคาน้ำมันโดยเฉพาะเรื่องราคาหน้าโรงกลั่นของไทย ที่มีราคาสูงกว่าราคาหน้าโรงกลั่นสิงคโปร์ และสูงกว่าราคาน้ำมันสำเร็จรูปที่โรงกลั่นไทยส่งออกไปยังประเทศเพื่อนบ้าน เป็นการเอาเปรียบคนไทยที่ต้องซื้อราคาที่แพงกว่า ทั้งที่ต้นทุนการขนส่งน้ำมันจากตะวันออกกลางส่งมาไทยและส่งมาสิงคโปร์ก็เท่ากัน ประสิทธิภาพการกลั่นของโรงกลั่นน้ำมันของไทยกับสิงคโปร์ก็ใกล้เคียงกัน อีกทั้งโรงกลั่นไทยยังขยายการกลั่นเป็นแสน ๆ บาเรลต่อวันเพื่อส่งออก แสดงว่าราคาส่งออกก็ต้องกำไรมากแล้ว การคิดราคาหน้าโรงกลั่นไทยสูงกว่าราคาสิงคโปร์จึงเป็นการเอาเปรียบประชาชนไทยมากเกินไป 


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top