Wednesday, 11 June 2025
จีน

‘อเมริกา’ อนุญาต ‘จีน’ ทดสอบ ‘แท็กซี่ไร้คนขับ’ รับส่งผู้โดยสารในรัฐแคลิฟอร์เนีย เผย!! ทำงานผ่านระบบ AI ที่เชื่อมต่อ ‘รถ-คอมพิวเตอร์ส่วนกลาง’ ในระบบคลาวด์

(17 ส.ค.67) สำนักข่าวรอยเตอร์ส (Reuters) รายงานว่า วีไรด์ (WeRide) สตาร์ตอัปแท็กซี่ไร้คนขับ (Robotaxi) สัญชาติจีน ได้รับอนุญาตจากทางการรัฐแคลิฟอร์เนียในสหรัฐอเมริกา ให้ทดสอบให้บริการแท็กซี่ไร้คนขับโดยมีผู้โดยสารได้แล้ว โดยจะเริ่มทดสอบด้วยรถไร้คนขับจำนวน 12 คัน 

ข้อมูลแท็กซี่ไร้คนขับ WeRide
ตามข้อมูลจาก WeRide แท็กซี่ไร้คนขับจะใช้รถจากค่าย จีเอซี (GAC) หรือนิสสัน (Nissan) แล้วแต่พื้นที่ให้บริการ ซึ่งมาพร้อมกับการติดตั้งระบบไร้คนขับ ประกอบไปด้วยเรดาร์ เซนเซอร์ตรวจจับความเคลื่อนไหวรอบคันรถ กล้องวัดระยะความลึกหรือไลดาร์ (LiDAR) และกล้องรอบคันแบบ 360 องศา สามารถขับเคลื่อนได้ด้วยความเร็วสูงสุด 120 กิโลเมตรต่อชั่วโมง

โดยระบบต่าง ๆ จะทำงานร่วมกันผ่านระบบ AI ที่เชื่อมต่อระหว่างรถกับคอมพิวเตอร์ส่วนกลางในระบบคลาวด์ โดยทาง WeRide ระบุว่า ระบบไร้คนขับได้รับการฝึกในสถานการณ์จำลองต่าง ๆ ที่รวมปัจจัยนอกตัวรถ ทั้งทางเดินเท้า คน จักรยาน อาคาร แม้แต่สภาพอากาศกว่า 230,000 ครั้ง สามารถคาดการณ์ล่วงหน้าได้ว่าจะมีจักรยานหรือรถยนต์ตัดหน้าด้วยความแม่นยำร้อยละ 97 กับ 98 ตามลำดับ และมีระยะเวลาตอบสนองที่ 10 มิลลิวินาที และความคลาดเคลื่อนในการกะระยะไม่เกิน 5 เซนติเมตร

การเติบโตของบริษัท WeRide
ทั้งนี้ จากรายงานข่าวระบุว่า WeRide ได้ยื่นคำร้องขอกับคณะกรรมการกำกับกิจการสาธารณะของรัฐแคลิฟอร์เนีย หรือ CPUC (California Public Utilities Commission) เมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา โดยเป็นคำขอทดสอบแท็กซี่ไร้คนขับที่มีคนขับสำรองในตำแหน่งคนขับ และแบบไร้คนขับโดยไม่มีคนขับนั่งอยู่ภายในตัวรถ เป็นระยะเวลา 3 ปี นับจากที่อนุญาต โดยให้บริการเฉพาะกลุ่มทดลอง และไม่มีการเก็บค่าโดยสารใด ๆ 

การอนุญาตให้ WeRide ทดสอบแท็กซี่ไร้คนขับ ส่งผลให้มีการประเมินมูลค่าบริษัทสูงถึง 5,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือกว่า 175,000 ล้านบาท โดยนับตั้งแต่ก่อตั้งบริษัทในปี 2017 WeRide ได้ให้บริการในบางเมืองของจีน รวมถึงในพื้นที่บางส่วนของสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์และอยู่ระหว่างการยื่นเรื่องขออนุญาตทดสอบในสิงคโปร์อีกด้วย

‘จีน’ ชี้ ‘อเมริกา’ คือ ‘ตัวอันตราย’ ใหญ่หลวง เป็น ‘เจ้าโลก’ ด้วยการข่มขู่ ประชาคมนานาชาติ

(18 ส.ค.67) อเมริกาคือตัวอันตรายใหญ่หลวงที่สุดของโลก เมื่อเป็นเรื่องเกี่ยวกับความเสี่ยงของความเป็นไปได้ที่จะเกิดความขัดแย้งทางนิวเคลียร์ จากความเห็นของจาง เสี่ยวกัง โฆษกกระทรวงกลาโหมจีน ระหว่างให้สัมภาษณ์กับพวกผู้สื่อข่าวในวันศุกร์ (16 ส.ค.) โดยปักกิ่งกล่าวหาวอชิงตัน ‘มักตัดสินใจต่าง ๆ โดยไร้ความรับผิดชอบ’ ในความพยายามรักษาไว้ซึ่งความเป็นเจ้าโลก ในนั้นรวมถึงผ่านการข่มขู่ประชาคมนานาชาติ ด้วยคลังแสงนิวเคลียร์

ความเคลื่อนไหวครั้งนี้เป็นการแถลงตอบโต้การตัดสินใจของกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ (เพนตากอน) ที่จะยกระดับกองกำลังอเมริกาในญี่ปุ่น เป็นกองบัญชากองกำลังร่วม ซึ่งบังคับบัญชาของโดยพลระดับ 3 ดาวรายหนึ่งที่อยู่ภายใต้บัญชาการของกองบัญชาการอินโด-แปซิฟิก แห่งกองทัพสหรัฐฯ

ถ้อยแถลงดังกล่าวดำเนินการโดยกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ เมื่อช่วงปลายเดือนกรกฎาคม ตามหลังการพบปะหารือกันระหว่างเหล่าหัวหน้านโยบายกลาโหมและต่างประเทศของอเมริกาและญี่ปุ่น

ในตอนนั้น ลอยด์ ออสติน รัฐมนตรีกลาโหมสหรัฐฯ ยกย่องพัฒนาดังกล่าว ว่าเป็น ‘การปรับปรุงความสัมพันธ์ด้านการทหารระหว่างเรากับญี่ปุ่น ครั้งเข้มแข็งที่สุดในรอบกว่า 70 ปี’ เขายังบอกด้วยว่าทั้ง 2 ฝ่าย ได้จัดประชุมระดับรัฐมนตรีอีกอย่างน้อย 2 ครั้ง ในด้านการป้องปรามอย่างครอบคลุม ซึ่งมันเป็นสิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน

ระหว่างการพบปะหารือ สหรัฐฯ ประกาศ "ปกป้องญี่ปุ่นด้วย: แสนยานุภาพต่างๆ ของเราอย่างเต็มพิกัด ในนั้นรวมถึง: แสนยานุภาพทางนิวเคลียร์" ออสติน กล่าวเมื่อเดือนกรกฎาคม

ในวันศุกร์ (16 ส.ค.) จาง เสี่ยวกัง ชี้ว่าวอชิงตันและโตเกียวเล่นไพ่ใช้คำกล่าวอ้างเกี่ยวกับภัยคุกคามด้านการทหารของจีน เป็นข้ออ้างสำหรับความเคลื่อนไหวของพวกเขา "พฤติกรรมต่าง ๆ เช่นนี้รังแต่ยั่วยุการเผชิญหน้าและบ่อนทำลายเสถียรภาพและสันติภาพในภูมิภาค" ทั้งนี้ในถ้อยแถลงเมื่อเดือนกรกฎาคมของเพนตากอน พวกเขายังได้พาดพิงถึงการ "ขยายคลังแสงนิวเคลียร์ของจีน" เช่นเดียวกับหัวข้ออื่นๆ ระหว่างประชุมเกี่ยวกับการขยายขอบเขตการป้องปราม

โฆษกของกระทรวงกลาโหมจีนบอกว่า "สหรัฐฯ เสี่ยงเป็นภัยคุกคามทางนิวเคลียร์ใหญ่หลวงที่สุดต่อโลก เนื่องจากพวกเขาครอบครองคลังแสงนิวเคลียร์ใหญ่ที่สุดในโลก และเดิมตามนโยบายหนึ่ง ๆ ซึ่งอนุญาตให้ใช้อาวุธนิวเคลียร์ก่อน"

ยุทธศาสตร์ป้องกันตนเองแห่งชาติสหรัฐฯ (NDS) ที่เผยแพร่โดยเพนตากอนเมื่อปี 2022 ระบุ รัสเซีย จีน เกาหลีเหนือ และอิหร่าน เป็น 4 ศัตรู สำหรับแผนอาวุธนิวเคลียร์ ซึ่งมันเปิดประตูสำหรับการใช้นิวเคลียร์ชิงโจมตีก่อน โดยอนุญาตให้ใช้อาวุธดังกล่าวเล่นงานศัตรู เพื่อสกัดการโจมตี

เมื่อปี 2018 สหรัฐฯ ประกาศถอนตัวจากสนธิสัญญากองกำลังนิวเคลียร์พิสัยปานกลาง (INF) ที่ทำไว้กับรัสเซีย ซึ่งแบนทั้ง 2 ฝ่ายจากการพัฒนาและประจำการขีปนาวุธศักยภาพติดอาวุธนิวเคลียร์ที่ประจำการบนภาคพื้นบางรุ่น ณ ตอนนั้น วอชิงตันอ้างว่าพวกเขาจำเป็นต้องมีอาวุธดังกล่าว เนื่องจากอย่างน้อย ๆ จีน ก็ไม่ได้เป็นหนึ่งในข้อตกลงทวิภาคี INF

ข้อตกลงทวิภาคีที่มีผลผูกพันฉบับสุดท้ายที่จำกัดคลังแสงนิวเคลียร์ของสหรัฐฯ และรัสเซีย คือข้อตกลง New START ซึ่งมีกำหนดหมดอายุลงในปี 2026 อย่างไรก็ตามเมื่อปีที่แล้ว รัสเซียระงับการมีส่วนร่วมในข้อตกลง New START อ้างถึงนโยบายที่เป็นปรปักษ์ของสหรัฐฯ แต่ประกาศว่าจะยังคงปฏิบัติตามเงื่อนไขหลักของมัน ซึ่งจำกัดอาวุธนิวเคลียร์และระบบปล่อยอาวุธนิวเคลียร์

ในเดือนตุลาคม 2023 เพนตากอนกล่าวหา จีน "ยกระดับขยายคลังแสงนิวเคลียร์อย่างรวดเร็ว" ในขณะที่คณะกรรมาธิการยุทธศาสตร์ของสภาคองเกรสสหรัฐฯ เรียกร้องวอชิงตันให้เตรียมพร้อมสำหรับทำสงครามกับทั้งปักกิ่งและมอสโก และต่อมาในเดือนเดียวกัน อเมริกายังได้แถลงแผนเกี่ยวกับการปรับปรุงระเบิดนิวเคลียร์ของพวกเขาให้มีความทันสมัย

การตัดสินใจและพฤติกรรมที่ไร้ความรับผิดชอบของสหรัฐฯ ก่อผลลัพธ์แผ่ขยายความเสี่ยงทางนิวเคลียร์ และความพยายามรักษาไว้ซึ่งความเป็นเจ้าโลก และข่มขู่โลกด้วยแสนยานุภาพทางนิวเคลียร์ถูกแฉออกมาเต็มตาแล้ว จางกล่าว พร้อมระบุว่าความเคลื่อนไหวล่าสุดในญี่ปุ่น รังแต่ซ้ำเติมความตึงเครียดในภูมิภาค และเพิ่มความเสี่ยงแพร่ขยายนิวเคลียร์และความขัดแย้งทางนิวเคลียร์

'อ.พงษ์ภาณุ' ติง!! 'ภาครัฐ' ปกป้องอุตฯ ไทย จากสินค้าราคาถูกจีนล่าช้า สวนทาง 'ยุโรป-เมกา' เดินเกมเก็บภาษีขาเข้าป้องกันจีนทุ่มตลาดแต่เนิ่นๆ

(18 ส.ค.67) ทีมข่าว THE STATES TIMES ได้พูดคุยกับ อ.พงษ์ภาณุ เศวตรุนทร์ อดีตปลัดกระทรวงท่องเที่ยวและกีฬา อดีตรองปลัดกระทรวงการคลัง และผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐศาสตร์ระดับประเทศ ในมุมมองของ 'จีนทุ่มตลาดไทย?' โดย อ.พงษ์ภาณุ กล่าวว่า...

เมื่อเร็ว ๆ นี้มีการเปิดเผยสถิติการค้าแบบทวิภาคี 'ไทย-จีน' ช่วงครึ่งแรกของปี 2567 ซึ่งปรากฏว่าไทยขาดดุลการค้าจีนแบบวินาศสันตะโร ทั้ง ๆ ที่เศรษฐกิจไทยยังไม่ฟื้น ประชาชนยังไม่มีอำนาจซื้อและยังต้องแบกรับหนี้ภาคครัวเรือนจำนวนมหาศาล

ขณะที่เศรษฐกิจจีนเริ่มมีสัญญาณฟื้นตัวชัดเจนยิ่งขึ้น โดยเมื่อเดือนที่แล้ว กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ปรับการคาดการณ์อัตราเติบโตของ GDP ทั้งปีขึ้นเป็น 5% แม้ว่าการบริโภค/การลงทุนในประเทศยังทรงตัว อันเป็นผลมาจากภาคอสังหาริมทรัพย์จีนที่เกิดฟองสบู่แตกเมื่อหลายปีก่อน และยังไม่มีสัญญาณฟื้นตัวเท่าไหร่ แต่การขยายตัวของจีนขับเคลื่อนจากปัจจัยภายนอก โดยเฉพาะการส่งออก ซึ่งมีแนวโน้มขยายตัวเร็วผิดปกติอย่างมีนัยสำคัญ

เมื่ออุปสงค์ในประเทศยังไม่ฟื้น แน่นอนย่อมมีกำลังการผลิตส่วนเกิน (Excess Capacity) ซึ่งหากสามารถผลักดันผลผลิตส่วนเกินนี้ออกสู่โลก แม้ว่าจะต้องกดราคาให้ต่ำเป็นพิเศษ ก็ยังดีกว่าปล่อยให้สินค้าคงเหลือเหล่านี้สูญเปล่าไป ซึ่งจากรายงานมีการส่งออกผลผลิตส่วนเกินออกสู่ตลาดหลายประเทศในราคาต่ำกว่าตลาด

ประเทศตะวันตกหลายประเทศ ทั้งสหรัฐอเมริกา และยุโรป ได้รับผลกระทบจากสินค้าถูกจากจีนมาระยะหนึ่งแล้ว จึงได้มีการเก็บภาษีขาเข้าในรูปของ Anti-dumping Duty และ Countervailing Duty จากสินค้าจีน เพื่อป้องกันความเสียหายต่อผู้ประกอบการภายในประเทศจากการแข่งขันที่ไม่เป็นธรรม แม้ว่าอาจทำให้ผู้บริโภคต้องรับภาระสูงขึ้น

สำหรับประเทศไทย นอกจากจะไม่มีการดำเนินการใด ๆ ในด้านนโยบายการค้า เพื่อปกป้องอุตสาหกรรมภายในจากการแข่งขันที่ไม่เป็นธรรมแล้ว ระบบภาษีอากรของไทย ยังเอื้อให้มีการเอาเปรียบผู้ประกอบการในประเทศอีกด้วย ดังนี้...

ประการแรก 'ไทย-จีน' เป็นเขตการค้าเสรีมาระยะหนึ่งแล้ว ดังนั้น อุปสรรคการค้าทั้งในรูปของอากรขาเข้า และมิใช่อากร ที่พรมแดน ต้องเป็นศูนย์

ประการที่สอง รัฐบาล/กรมสรรพากรในอดีต มีการยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่ม 7% แก่สินค้าที่มีมูลค่าต่ำกว่า 1,500 บาทต่อชิ้น ในขณะที่ผู้ประกอบการไทยต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม 7% โดยไม่มีข้อยกเว้นใด ๆ วันนี้ได้รับรายงานว่า มีการยกเลิกข้อยกเว้นนี้ไปแล้ว

ประการที่สาม ภาษีเงินได้นิติบุคคลของไทยและของอีกหลาย ๆ ประเทศยังคงยึดมั่นในหลักสถานประกอบการถาวร (Permanent Establishment) และได้ยึดมั่นในหลักการนี้อย่างเคร่งครัดเสมอมาเป็นเวลากว่า 100 ปี จนการจัดเก็บภาษีเงินได้ปรับเปลี่ยนไม่ทันกับการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและเทคโนโลยีของโลก ซึ่งทำให้รัฐบาลต้องสูญเสียรายได้ภาษีไปจำนวนมากมายจากที่ควรจะจัดเก็บได้ เพราะการทำธุรกิจในปัจจุบันไม่จำเป็นต้องทำในรูปของสถานประกอบการถาวร แต่อยู่ในรูปของ Platform Online ซึ่งจะมีสถานประกอบการอยู่ที่ไหนก็ได้ หรือจะบันทึกกำไรในเขตภาษีที่มีอัตราภาษีเงินได้ต่ำที่สุด จึงทำให้กิจการเหล่านี้มีความได้เปรียบเชิงภาษีเมื่อเทียบกับผู้ประกอบการที่ตั้งถิ่นฐานอยู่ในไทย

นอกจากนี้ ในด้านนโยบายการค้าและการพาณิชย์ นั้น หากทันทีที่มีเหตุต้องสงสัย ว่าสินค้าที่ผลิตในต่างประเทศมีการทุ่มตลาดและ/หรือได้รับการอุดหนุนให้มีราคาขายต่ำกว่าต้นทุน กระทรวงพาณิชย์จะต้องรีบดำเนินการตามกระบวนการ Anti-dumping Duty และ/หรือ Countervailing Duty เช่นที่นานาประเทศเขาทำกันโดยทันที โดยไม่ต้องรอให้ความเสียหายปรากฏชัดเช่นในปัจจุบัน กรอบกฎหมายของประเทศไทยมีหมดอยู่แล้ว ขาดอยู่ก็เฉพาะการบังคับใช้กฎหมาย

ที่พูดมาทั้งหมดไม่ต้องการเรียกร้องให้รัฐบาลไทยใช้มาตรการกีดกันทางการค้า (Protectionist Measures) ในทางตรงกันข้าม เราอยากเห็นการค้าเสรีที่อยู่บนพื้นฐานของการแข่งขันที่เป็นธรรม (Free and Fair Trade) หากรัฐดูแลให้กรอบการแข่งขันมีความเป็นธรรม แล้วผู้ประกอบการไทยยังไม่สามารถแข่งขันได้ ก็สมควรไปขายเต้าฮวยดีกว่า

'ปิยบุตร' ปรับกระบวนทัศน์ เริ่มค้นคว้าหาความรู้เรื่องจีน ก่อนเยือนจีน ยกมุมมอง 'จาง เหวยเว่ย' น่าเห็นด้วยในหลายมุมที่ติง 'สหรัฐฯ-ยุโรป'

เมื่อวานนี้ (18 ส.ค. 67) นายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการคณะก้าวหน้า อดีต ส.ส.บัญชีรายชื่อ เลขาธิการพรรคอนาคตใหม่ ได้โพสต์ผ่านบัญชี X ส่วนตัว ‘Piyabutr Saengkanokkul @Piyabutr_FWP’ ระบุว่า…

แนะนำคลิปวันหยุดสุดสัปดาห์ครับ 

ผมรู้จักชื่อ ศาสตราจารย์ จาง เหวยเว่ย ครั้งแรก เมื่อ 4 ปีก่อน ตอนนั้นมีโอกาสสนทนากับคนของสถานทูตจีนกันหลายชั่วโมง แล้วเขามอบหนังสือให้ผมหลายเล่ม หนึ่งในนั้น คือ ‘คลื่นจีน การผงาดของรัฐอารยธรรม’ ที่เขียนโดย จาง เหวยเว่ย 

อ่านแล้ว น่าสนใจมาก หลายประเด็นตรงกับสิ่งที่ผมตั้งข้อสังเกตและคำถามต่อโลกตะวันตก 

ผมไปร่ำเรียนและมีโอกาสใช้ชีวิตในโลกตะวันตกเกือบทศวรรษ และยังไป ๆ มา ๆ อีกปีละหลายครั้ง เราถูกครอบงำโดยโลกตะวันตกโดยไม่รู้ตัว ช่วง 5 ปีหลังมานี้ ผมพยายามถอดแว่นตะวันตกและหันมาสนใจจีนมากขึ้น โดยเฉพาะความพยายามสร้างวิถีแบบจีนที่แตกต่างจากโลกตะวันตก ประกอบกับภรรยาผมชี้ชวนให้ผมออกจากความคิดแบบ “อะไร ๆ ก็ยุโรป” / “อะไร ๆ ก็ฝรั่งเศส”

อีกไม่กี่วัน ผมจะมีโอกาสเดินทางไปจีน ไปอยู่ครึ่งเดือน ไป 3 มณฑล 

นี่คือการเดินทางไปจีนครั้งแรกของผม ทั้ง ๆ ที่ผมเป็นลูกหลานจีน แต่ไม่เคยคิดที่จะไปจีนหรือเรียนภาษาจีนเลย 

ก่อนไป ก็เลยค้นคว้าหาความรู้เรื่องจีนไปเรื่อย 

เจอคลิปสัมภาษณ์ของ ศ.จาง เหวยเว่ย พอดี ผมดูแล้ว เห็นด้วยในหลายประเด็น ทั้งการวิจารณ์สหรัฐอเมริกา และสหภาพยุโรป 

ลองชมกันได้ครับ

‘จีน’ หวังสกัด ‘โรคฝีดาษลิง’ หลังยอดระบาดทั่วโลกเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง จ่อ ‘ซักข้อมูลสุขภาพ-ฆ่าเชื้อโรคสิ่งของ’ ผู้เดินทางมาจากประเทศเสี่ยง

(19 ส.ค. 67) สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า ทางการจีนเพิ่มความพยายามป้องกันการระบาดของโรคเอ็มพอกซ์หรือโรคฝีดาษลิงภายในประเทศ ขณะจำนวนผู้ป่วยติดเชื้อทั่วโลกยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

โดยทางด้านสำนักบริหารศุลกากรทั่วไปของจีนระบุว่า ผู้เดินทางมาจากประเทศและภูมิภาคที่มีผู้ป่วยโรคเอ็มพอกซ์ต้องสำแดงข้อมูลสุขภาพแก่ศุลกากร หากเคยสัมผัสหรือมีอาการของโรค เช่น มีไข้ ปวดศีรษะ ปวดหลัง ปวดกล้ามเนื้อ ต่อมน้ำเหลืองบวม หรือมีผื่น โดยเจ้าหน้าที่ศุลกากรจะดำเนินมาตรการทางการแพทย์ พร้อมเก็บตัวอย่างและตรวจโรคเอ็มพอกซ์กับบุคคลดังกล่าว

ด้านยานพาหนะ ตู้คอนเทนเนอร์ สินค้า และสิ่งของอื่น ๆ จากประเทศและภูมิภาคที่มีผู้ป่วยโรคเอ็มพอกซ์จะถูกทำการฆ่าเชื้อโรค หากปนเปื้อนหรือมีความเสี่ยงปนเปื้อน

ทั้งนี้ มาตรการข้างต้นบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 15 ส.ค. และมีระยะเวลา 6 เดือน

สำนักบริหารการควบคุมและป้องกันโรคแห่งชาติ และคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ กระตุ้นเตือนหน่วยงานระดับท้องถิ่นเสริมสร้างความร่วมมือและการแบ่งปันข้อมูลกับศุลกากรและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อตรวจหาและจัดการกับผู้ป่วยโรคเอ็มพอกซ์อย่างทันท่วงที

อนึ่ง ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคแห่งชาติจีนระบุว่า เชื้อไวรัสเอ็มพอกซ์มักแพร่กระจายผ่านการสัมผัสใกล้ชิดทางกายภาพ โดยเฉพาะระหว่างทำกิจกรรมทางเพศ ขณะการสัมผัสในชีวิตประจำวันมีความเสี่ยงน้อยกว่า โดยหลี่ต้งเจิง ผู้เชี่ยวชาญจากโรงพยาบาลปักกิ่ง โย่วอัน เผยว่าผู้ที่เคยสัมผัสกับเชื้อไวรัสเอ็มพอกซ์หรือมีอาการควรพบแพทย์ทันที

ก่อนหน้านี้องค์การอนามัยโลก (WHO) ประกาศให้โรคเอ็มพอกซ์เป็นภาวะฉุกเฉินทางสาธารณสุขระหว่างประเทศ (PHEIC) พร้อมยกระดับการเตือนภัยระดับโลกสู่ระดับสูงสุดเป็นครั้งที่ 2 ในรอบ 2 ปี โดยทีโดรส อัดฮานอม กีบรีเยซุส ผู้อำนวยการใหญ่องค์การฯ เผยว่าทุกฝ่ายควรเป็นกังวลเพราะมีความเสี่ยงระบาดเพิ่มเติมในแอฟริกาและที่อื่น ๆ

'จีน' ร้อนจัดเป็นประวัติการณ์ จนฟิล์มแรปปกป้องสีรถยนต์บวมเป่ง แต่ไม่ก่อความเสียหาย 'ด้านกลไก' หรือข้อบกพร่อง 'ด้านการผลิต'

ท่ามกลางอุณหภูมิที่พุ่งสูงอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนในจีน ไม่ใช่แค่มนุษย์เท่านั้นที่รู้สึกถึงความร้อน รถยนต์ก็เช่นกัน หลังปรากฏภาพรถยนต์หลายคันสีบวมเป่ง สืบเนื่องจากอากาศอันร้อนระอุ ภาพที่เกิดขึ้นทำให้ผู้คนบนสื่อสังคมออนไลน์เรียกขานมันว่า ‘รถตั้งครรภ์’

ผู้คนบนสื่อสังคมออนไลน์ โดยเฉพาะบนแพลตฟอร์มเอ็กซ์ (ทวิตเตอร์) ถกเถียงกันอย่างกว้างขวางเกี่ยวกับคลิปวิดีโอหนึ่ง ซึ่งเป็นภาพรถยนต์หลายคันบวมโป่งขึ้นมา คล้ายกับกำลังตั้งท้อง

ปรากฏการณ์ที่เรียกขานกันว่า ‘รถตั้งครรภ์’ เร้าความอยากรู้อยากเห็นและความกังวลแก่ผู้คนในวงกว้าง กระตุ้นให้หลายคนตั้งคำถามเกี่ยวกับสาเหตุที่แท้จริงของเหตุการณ์อันแปลกประหลาดนี้

ในวิดีโอเผยให้เห็นว่ารถยนต์หลายคันบวมจากภายนอก ทำให้พวกมันรูปร่างเหมือนกับตั้งท้อง ขณะที่ เจนนิเฟอร์ เจิง ผู้สื่อข่าวที่มีถิ่นฐานในสหรัฐฯ แต่ปัจจุบันอยู่ในจีน แชร์วิดีโอลงบนแพลตฟอร์มเอ็กซ์ พร้อมเขียนว่า "ไม่ใช่เรื่องตลก! รถยนต์ผลิตในจีนตั้งครรภ์ เมื่อสภาพอากาศมันร้อนเกินไป"

วิดีโอนี้กลายเป็นที่พูดถึงและส่งต่อกันอย่างกว้างขวางบนสื่อสังคมออนไลน์ โดยมีผู้เข้าชมแล้วอย่างน้อย 757,000 วิว ในนั้นรวมไปถึงคลิปรถออดีคันหนึ่ง ซึ่งจอดในที่โล่งแจ้ง มีสภาพฟิล์มปกป้องหรือฟิล์มแรปรถโป่งพองขึ้นมา

รายงานข่าวสันนิษฐานว่า ท่ามกลางอุณหภูมิสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในจีน ฟิล์มแรปปกป้องสีรถยนต์เกิดบวมขึ้นมา และผู้คนพากันเรียกขานมันว่า ‘รถตั้งครรภ์’

ผู้ใช้สื่อสังคมออนไลน์หลายคนทั้งแสดงความคิดเห็นติดตลก แสดงความกังวลและคาดเดากันไปต่าง ๆ นานา ในนั้นรวมถึงรายหนึ่งซึ่งตั้งคำถามเกี่ยวกับคุณภาพของกาวที่ใช้ในการแรป บางคนสอบถามเกี่ยวกับวิธีการที่จะทำให้ฟิล์มแรปที่บวมขึ้นมาแฟบลง ท่ามกลางความกังวลว่าอาจเกิดสถานการณ์ฉุกเฉิน

อย่างไรก็ตาม บางส่วนก็เบาใจได้ประมาณหนึ่ง เนื่องจากภาพเหตุการณ์อันแปลกประหลาดนี้ไม่ได้เกี่ยวข้องกับความเสียหายด้านกลไกหรือข้อบกพร่องด้านการผลิตรถยนต์ แต่เกี่ยวข้องโดยตรงกับอุณหภูมิสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในจีน

แม้ฟิล์มแรปรถยนต์จะมีชั้นปกป้องรังสียูวี สำหรับปกป้องสีรถจากปัญหาดังกล่าว แต่อุณหภูมิสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในจีน พิสูจน์แล้วว่ามันหนักหนาสาหัสเกินไปสำหรับฟิล์มแรปบางยี่ห้อ

เพื่อบรรเทาผลกระทบจากสภาพอากาศร้อนจัด พวกผู้เชี่ยวชาญแนะนำให้เจ้าของรถใช้ฟิล์มแรกคุณภาพสูงและกาวคุณภาพดี รวมถึงหลีกเลี่ยงจอดรถตากแดดในชั่วโมงที่มีสภาพอากาศร้อนจัด

จีนพบ 'ปลาสเตอร์เจียน' หายากใกล้สูญพันธุ์ในแม่น้ำแยงซี ผลจากคำสั่งห้ามทำการประมงอย่างครอบคลุมในพื้นที่นี้

(21 ส.ค. 67) สำนักข่าวซินหัว รายงานว่า หน่วยงานการเกษตรท้องถิ่นของจีนรายงานพบปลาสเตอร์เจียนแยงซี ซึ่งเป็นปลาที่อยู่ภายใต้การคุ้มครองระดับสูงสุดของจีน บริเวณแม่น้ำแยงซีตอนบนในมณฑลอวิ๋นหนาน (ยูนนาน) ทางตะวันตกเฉียงใต้ของจีน 

หลัวซิ่งกั๋ว หัวหน้าสถานีประมง สังกัดสำนักเกษตรและกิจการชนบทของเมืองสุ่ยฟู่ ระบุว่าคลิปวิดีโอที่บันทึกโดยกลุ่มช่างภาพเผยว่าปลาสเตอร์เจียนแยงซีอยู่ร่วมกับปลาชนิดอื่นๆ ได้อย่างกลมกลืน ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงผลกระทบเชิงบวกของคำสั่งห้ามทำการประมงอย่างครอบคลุมในพื้นที่นี้

หลัวเสริมว่า เมืองสุ่ยฟู่ได้ติดตามปลา 62 สายพันธุ์ตั้งแต่ปี 2023 ในจำนวนนี้เป็นปลาหายากบางสายพันธุ์ ซึ่งเผยให้เห็นว่าความหลากหลายของปลาหายากและพันธุ์ปลาเฉพาะถิ่นยังคงเพิ่มขึ้นในภูมิภาคนี้

อนึ่ง ปลาสเตอร์เจียนแยงซี หรือที่เรียกว่าปลาสเตอร์เจียนแดบรี เป็นสัตว์มีกระดูกสันหลังที่เก่าแก่ที่สุดชนิดหนึ่งของโลก

‘นายกฯ จีน’ ส่งสารยินดี 'อุ๊งอิ๊ง' รับตำแหน่งนายกฯ คนใหม่ ลั่น!! พร้อมทำงานสานต่อมิตรภาพดั้งเดิมที่มีอนาคตร่วมกัน

เมื่อวันที่ 19 ส.ค.67 สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า ‘หลี่เฉียง’ นายกรัฐมนตรีจีน ส่งสารแสดงความยินดีกับ ‘แพทองธาร ชินวัตร’ สำหรับการเข้าดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีไทย

โดย หลี่เฉียง ระบุว่า จีนและไทยเป็นเพื่อนบ้านฉันมิตรที่ใกล้ชิดและประชาคมที่มีอนาคตร่วมกัน โดยตั้งแต่สถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตเมื่อเกือบครึ่งศตวรรษก่อน ความสัมพันธ์จีน-ไทย ยังคงพัฒนาอย่างมั่นคงและต่อเนื่อง ไม่ว่าภูมิทัศน์ระหว่างประเทศเกิดการเปลี่ยนแปลง

ทั้งนี้ หลี่เฉียง เผยความพร้อมทำงานร่วมกับแพทองธาร เพื่อสานต่อมิตรภาพดั้งเดิม ‘จีนไทยใช่อื่นไกล พี่น้องกัน’ และผลักดันผลสำเร็จในการสร้างประชาคมจีน-ไทย ที่มีอนาคตร่วมกัน เพื่อนำพาผลประโยชน์มาสู่ประชาชนของทั้งสองประเทศยิ่งขึ้น ขณะปี 2025 จะตรงกับวาระครบรอบ 50 ปี การสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างจีนกับไทย

‘สี จิ้นผิง’ ยกย่อง ‘ทฤษฎีเติ้งเสี่ยวผิง’ สร้างสังคมนิยมอันมีอัตลักษณ์จีน พร้อมเดินหน้า-ต่อยอด ‘สร้างสันติ-ความเจริญรุ่งเรือง’ ร่วมกันของทุกฝ่าย

(23 ส.ค. 67) สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า สี จิ้นผิง ประธานาธิบดีจีน กล่าวยกย่อง ‘คุณูปการอันโดดเด่น’ ของ ‘เติ้ง เสี่ยวผิง’ ผู้นำที่ล่วงลับ และเรียกร้องการเดินหน้าสังคมนิยมอันมีอัตลักษณ์จีนที่ริเริ่มโดยเติ้ง เสี่ยวผิง เนื่องในวาระครบรอบ 120 ปี วันคล้ายวันเกิดของเติ้งเสี่ยวผิง เมื่อวันที่ 22 ส.ค.ที่ผ่านมา

สี จิ้นผิง เลขาธิการใหญ่คณะกรรมการกลางพรรคคอมมิวนิสต์จีน และประธานคณะกรรมาธิการการทหารส่วนกลาง ซึ่งร่วมการประชุมเนื่องในวาระข้างต้น กล่าวว่าจีนต้องศึกษาและประยุกต์ใช้ทฤษฎีเติ้ง เสี่ยวผิง (Deng Xiaoping Theory) อย่างละเอียดต่อไป

เติ้ง เสี่ยวผิงสร้างคุณูปการโดดเด่นแก่พรรคฯ ประชาชน ประเทศ ชาติ และโลก ซึ่งความสำเร็จของเติ้ง เสี่ยวผิงถูกจารึกไว้ในประวัติศาสตร์และจะเป็นแรงบันดาลใจแก่คนรุ่นใหม่อยู่เสมอ

เติ้ง เสี่ยวผิงเป็นแกนหลักของคณะผู้นำส่วนกลางรุ่นที่ 2 ของพรรคฯ หัวหน้าสถาปนิกของการปฏิรูปสังคมนิยม การเปิดกว้าง และการสร้างความทันสมัยของจีน และผู้บุกเบิกสังคมนิยมอันมีอัตลักษณ์จีน ขณะเดียวกันเติ้ง เสี่ยวผิงยังเป็นนักสากลนิยมที่ยิ่งใหญ่ ซึ่งสร้างคุณูปการสำคัญแก่สันติภาพและการพัฒนาของโลก

"สหายเติ้ง เสี่ยวผิงได้ใช้ชีวิตที่น่ายกย่อง ต่อสู้ดิ้นรน และไม่ธรรมดา" สี จิ้นผิงกล่าว พร้อมเสริมว่าหลังจากการปฏิวัติวัฒนธรรม ซึ่งเป็นห้วงยามแห่งความวุ่นวายนานนับทศวรรษที่สิ้นสุดปี 1976 เติ้ง เสี่ยวผิงได้นำพรรคฯ และประชาชนบรรลุการเปลี่ยนผ่านครั้งประวัติศาสตร์ของจีน

เติ้ง เสี่ยวผิงผลักดันจีนบรรลุความก้าวหน้าใหม่ในการปรับใช้ลัทธิมาร์กซ์ให้เข้ากับบริบทของจีน บุกเบิกการสร้างความทันสมัยของสังคมนิยม และกำหนดวิถีทางอันถูกต้องสำหรับการรวมชาติอย่างสมบูรณ์ โดยความสำเร็จครั้งประวัติศาสตร์ของเติ้ง เสี่ยวผิงมีความครอบคลุมและความแปลกใหม่ ซึ่งส่งผลลัพธ์อันลึกซึ้งและยั่งยืนต่อทั้งจีนและโลก

"เราจะจดจำความสำเร็จครั้งประวัติศาสตร์อันยิ่งใหญ่และเคารพแนวทางการปฏิวัติอันสง่างามของเขาตลอดไป" สี จิ้นผิงกล่าว พร้อมเสริมว่ามรดกทางปัญญาอันสลักสำคัญที่สุดจากเติ้ง เสี่ยวผิงคือทฤษฎีเติ้ง เสี่ยวผิง และเรียกร้องการศึกษาและประยุกต์ใช้ทฤษฎีดังกล่าวอย่างละเอียด เพื่อแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ในโลกความเป็นจริง

"วิธีการอันดีที่สุดในการเชิดชูเกียรติของเติ้ง เสี่ยวผิงคือเดินหน้ากิจการสังคมนิยมอันมีอัตลักษณ์จีนที่เขาริเริ่มไว้" สีจิ้นผิงกล่าว และเรียกร้องการปฏิรูปอย่างครอบคลุมลึกซึ้งยิ่งขึ้น เพื่อเสริมแรงและคุ้มครองการสร้างความทันสมัยของจีนอย่างต่อเนื่อง

สีจิ้นผิงกล่าวกระตุ้นการเร่งสร้างเศรษฐกิจอันทันสมัย การพึ่งพาตนเองเพิ่มขึ้นในภาควิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และการพัฒนาวัฒนธรรมสังคมนิยมขั้นสูง รวมถึงพยายามบรรลุความก้าวหน้าที่โดดเด่นและมีแก่นสารยิ่งขึ้นในการส่งเสริมความเจริญรุ่งเรืองร่วมกันของทุกฝ่าย

สีจิ้นผิงกล่าวว่าการบรรลุการรวมชาติอย่างสมบูรณ์ของจีนเป็นความปรารถนาของเหมา เจ๋อตง เติ้ง เสี่ยวผิง และสมาชิกนักปฏิวัติรุ่นเก่าคนอื่น ๆ มาเนิ่นนานแล้ว พร้อมเรียกร้องความพยายามส่งเสริมการพัฒนาอย่างสันติของความสัมพันธ์ข้ามช่องแคบไต้หวัน และการคัดค้าน ‘เอกราชไต้หวัน’ อย่างหนักแน่น เพื่อคุ้มครองอธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดนของจีน

'จีน' ยืนยัน!! 'โรงไฟฟ้าพลังน้ำจิ่งหง' ไม่ได้ระบายน้ำจนกระทบไทย ย้ำ!! เคารพและเอาใจใส่ผลประโยชน์ประเทศในลุ่มแม่น้ำอย่างเต็มที่

(28 ส.ค.67) จากเฟซบุ๊กเพจ 'Chinese Embassy Bangkok สถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีนประจำประเทศไทย' ได้เผยข้อความ ระบุว่า...

โฆษกสถานเอกอัครราชทูตจีน ได้ออกแถลงว่า สถานการณ์อุทกภัยในไทยพื้นที่หลายแห่งในภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทยได้เกิดน้ำท่วม ฝ่ายจีนมีความกังวลอย่างมากในเรื่องนี้  

เบื้องต้นกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องของจีน พบว่า สภาพน้ำของแม่น้ำในประเทศจีนได้อยู่ในภาวะปกติในเมื่อเร็ว ๆ นี้ และอ่างเก็บน้ำที่เกี่ยวข้องของแม่น้ำล้านช้างได้อยู่ในสถานะกักเก็บน้ำ ตั้งแต่วันที่ 18 ถึง 25 สิงหาคม 

ปริมาณการไหลออกเฉลี่ยต่อวันของสถานีไฟฟ้าพลังน้ำจิ่งหง ได้ลดลง 60% เมื่อเทียบกับเดือนสิงหาคมของปีก่อนหน้า และไม่ได้มีการดำเนินการระบายน้ำ 6 ประเทศในลุ่มแม่น้ำล้านช้างเป็นประชาคมที่มีอนาคตร่วมกัน ซึ่งเชื่อมต่อกันด้วยภูเขาและแม่น้ำ

ฝ่ายจีนเคารพและเอาใจใส่ผลประโยชน์ และข้อกังวลของประเทศในลุ่มแม่น้ำอย่างเต็มที่ จีนยินดีส่งเสริมการแบ่งปัน และความร่วมมือในด้านข้อมูลทรัพยากรน้ำ เสริมสร้างศักยภาพในการจัดการแบบบูรณาการในลุ่มแม่น้ำ และร่วมกันรับมือกับการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ ภัยพิบัติน้ำท่วม และความท้าทายอื่น ๆ เป็นต้น


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top