Thursday, 12 June 2025
จีน

‘รถยนต์ไฟฟ้าจีน’ คว้าส่วนแบ่งตลาดในยุโรป 11% ทุบสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ในเดือนมิถุนายน

เมื่อวานนี้ (30 ก.ค.67) Business Tomorrow รายงานว่า รถยนต์ไฟฟ้าจากจีนคว้าส่วนแบ่งตลาดรถยนต์ไฟฟ้าในยุโรปไปถึง 11% ในเดือนมิถุนายน ทำสถิติสูงสุดใหม่ ขณะที่ผู้ผลิตรถยนต์เร่งส่งออกเพื่อหนีภาษีที่เข้มงวดของสหภาพยุโรปซึ่งมีผลบังคับใช้ต้นเดือนนี้

ด้าน บริษัท เอสเอไอซี มอเตอร์ คอร์ป (SAIC) เป็นผู้นำในการส่งออกรถยนต์ไฟฟ้ารุ่น MG4 Hatchback จำนวนมากสู่ตัวแทนจำหน่าย ตามข้อมูลของบริษัทวิจัย Dataforce ซึ่งรวบรวมตัวเลขดังกล่าว รถยนต์ที่จดทะเบียนก่อนวันที่ 5 กรกฎาคม สามารถจำหน่ายให้กับลูกค้าได้โดยไม่ต้องเสียภาษีนำเข้ารถยนต์ไฟฟ้าเพิ่มเติม

ตัวเลขของ Dataforce แสดงให้เห็นว่า รถยนต์ไฟฟ้าแบรนด์จีนมากกว่า 23,000 คัน ได้รับการจดทะเบียนทั่วทั้งภูมิภาคในเดือนดังกล่าว ซึ่งเป็นสถิติสูงสุดเท่าที่เคยมีมา โดยเพิ่มขึ้น +72% เมื่อเทียบกับเดือนพฤษภาคม ซึ่งเป็นสองเท่าของการเพิ่มขึ้นของการจดทะเบียนรถยนต์ไฟฟ้าโดยรวมในยุโรปสำหรับเดือนมิถุนายน รถยนต์นำเข้าจากจีนของผู้ผลิตรถยนต์ตะวันตก รวมถึง Volvo Car AB, BMW AG และ Tesla ก็ต้องเสียภาษีใหม่เช่นกัน

ในช่วงเดือนต่อ ๆ ไป จะมีการจับตาอย่างใกล้ชิดว่ายอดขายจะสามารถรักษาไว้ได้หรือไม่ เนื่องจากภาษีใหม่ของสหภาพยุโรปมีผลบังคับใช้แล้ว ภาษีชั่วคราวของสหภาพยุโรปทำให้เอสเอไอซี ต้องเสียภาษีเพิ่มอีก 38% ในขณะที่ บีวายดี ต้องจ่ายภาษีเพิ่มอีก 17% จากอัตราภาษีศุลกากรเดิม 10%

อย่างไรก็ตาม ผู้ผลิตรถยนต์ทั้งสองทวีปกำลังเร่งเพิ่มการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าในยุโรปเพื่อหลีกเลี่ยงภาษีใหม่ ขณะที่ความตึงเครียดระหว่างปักกิ่งและบรัสเซลส์มีความเสี่ยงที่จะกลายเป็นสงครามการค้า

‘ทีมแพทย์กว่างตง’ ผ่าตัดให้ผู้ป่วยอยู่ไกลกว่า 5,000 กม.สำเร็จ หลังใช้เทคโนโลยี ‘หุ่นยนต์ผ่าตัด 5G’ ทำให้ราบรื่นไปด้วยดี

(31 ก.ค.67) สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า ทีมแพทย์ในมณฑลกว่างตง (กวางตุ้ง) ทางตอนใต้ของจีนประสบความสำเร็จในการผ่าตัดระบบทางเดินปัสสาวะ จากระยะไกลหลายพันกิโลเมตร ให้ผู้ป่วยในเขตปกครองตนเองซินเจียงอุยกูร์ ทางตะวันตกเฉียงเหนือ ของจีน ด้วยความช่วยเหลือจากเทคโนโลยีหุ่นยนต์ผ่าตัด 5G

ด้าน หลินเทียนซิน ผู้อำนวยการโรงพยาบาลแห่งที่ 5 ในเครือมหาวิทยาลัยซุนยัตเซ็น เป็นผู้บังคับแผงควบคุมหุ่นยนต์ที่พัฒนาในประเทศระหว่างผ่าตัดให้ผู้ป่วยที่อยู่โรงพยาบาลในภูมิภาคคัชการ์ของซินเจียง ซึ่งอยู่ห่างจากกว่างตงกว่า 5,000 กิโลเมตร โดยการผ่าตัดราบรื่นด้วยแขนกลที่คล่องแคล่วและความหน่วงน้อย

ทั้งนี้ โรงพยาบาลหลายแห่งในบางภูมิภาคทางตะวันตกของจีนประสบปัญหาขาดแคลนบุคลากรมืออาชีพและอุปกรณ์ขั้นสูง จึงต้องแสวงหาความช่วยเหลือจากทีมแพทย์ของศูนย์การแพทย์ชั้นนำ เพื่อดำเนินการผ่าตัดที่ตรงกับความจำเป็นของผู้ป่วย ซึ่งทีมแพทย์บางส่วนต้องเดินทางไกลไปยังภูมิภาคเหล่านั้น

อย่างไรก็ดี ปัญหาเหล่านี้ถูกแก้ไขอย่างมีประสิทธิภาพในปัจจุบันด้วยเทคโนโลยีการผ่าตัด 5G ซึ่งช่วยให้ผู้ป่วยในภูมิภาคห่างไกลของจีนเข้าถึงการบริการทางการแพทย์ที่มีคุณภาพสูงเพิ่มขึ้น

'ฉลามหนุ่มจีน' คว้าเหรียญทองฟรีสไตล์ 100 เมตรชาย แถม 'ทุบสถิติโลก' กีฬาว่ายน้ำโอลิมปิก 2024

(1 ส.ค. 67) สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า 'พาน จ่าน เล่อ' นักว่ายน้ำหนุ่มทีมชาติจีน สร้างสถิติโลกครั้งใหม่ขณะคว้าเหรียญทองจากการแข่งขันว่ายน้ำฟรีสไตล์ ระยะทาง 100 เมตร (ชาย) ในการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกเกมส์ ปารีส 2024 เมื่อวันพุธ (31 ก.ค.) ที่ผ่านมา

ทั้งนี้ พานแตะขอบสระภายในเวลา 46.40 วินาที ซึ่งเร็วกว่าไคล์ ชาล์มเมอร์ส ผู้คว้าเหรียญเงิน เพียง 1 วินาทีกว่าเท่านั้น

นอกจากนี้ พาน จ่าน เล่อ วัย 19 ปี ยังกลายเป็นนักว่ายน้ำชายจากเอเชียคนแรกในรอบ 92 ปี ที่คว้าเหรียญทองฟรีสไตล์ 100 ม.ชาย ในกีฬาโอลิมปิกต่อจาก ยาสุจิ มิยาซากิ ตำนานนักว่ายน้ำชาวญี่ปุ่น ที่ทำได้เมื่อปี 1932 ที่ลอส แอนเจลิส เหรียญเงินเป็น ไคล์ ชาลเมอร์ส จากออสเตรเลีย และเหรียญทองแดง ดาวิด โปโปวิชี จากโรมาเนีย

รู้จัก ‘Colin Huang Zheng’ ผู้ก่อตั้ง ‘PDD Holding’ เจ้าของ ‘TEMU’ แพลตฟอร์ม E-commerce เขย่าโลก

ปฏิเสธไม่ได้ว่า ปัจจุบันทุกวันนี้นี้ ผู้คนส่วนใหญ่มักจะจับจ่ายซื้อขายผ่านออนไลน์ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง Platform E-commerce ชื่อดังในบ้านเราอย่าง LAZADA และ SHOPEE แต่ไม่นานมานี้มีน้องใหม่เข้ามาในตลาด E-commerce เพิ่มขึ้นอีกหลายราย อาทิ SHIEN และที่มาแรงที่สุดคือ ‘TEMU’

‘TEMU’ เป็น Platform E-commerce ที่ดำเนินการโดย PDD Holdings ซึ่งเป็นบริษัทอีคอมเมิร์ซจีน แต่จดทะเบียนในหมู่เกาะเคย์แมน และยังระบุว่าเป็นสำนักงานใหญ่อยู่ที่กรุงดับลิน (ซึ่งทั้งสองแห่งมีมาตรการทางภาษีที่เอื้อต่อเจ้าของกิจการที่จดทะเบียนในแต่ละแห่งอย่างมากมาย) โดยจำหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภคที่ตั้งราคาลดพิเศษ ซึ่งส่วนใหญ่จัดส่งจากจีนถึงผู้บริโภคโดยตรง รูปแบบธุรกิจของ ‘TEMU’ ช่วยให้บริษัทได้รับความนิยมในหมู่ผู้บริโภค แต่ก็ทำให้เกิดความกังวลเกี่ยวกับความเป็นส่วนตัวของข้อมูล แรงงานบังคับ ทรัพย์สินทางปัญญา และคุณภาพของผลิตภัณฑ์ในตลาด บริษัทมีข้อพิพาททางกฎหมายกับคู่แข่งอย่าง SHEIN

นอกจากนี้แล้ว PDD Holdings ยังเป็นเจ้าของ Pinduoduo ซึ่งเป็น Platform E-commerce ยอดนิยมในประเทศจีนอีกด้วย โดย ‘TEMU’ เริ่มใช้งานในสหรัฐอเมริกาเป็นครั้งแรกในเดือนกันยายน 2022 ในเดือนมีนาคม 2023 เปิดตัวในออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ และเดือนต่อมาได้เปิดตัวในฝรั่งเศส เยอรมนี อิตาลี เนเธอร์แลนด์ สเปน และสหราชอาณาจักร ในที่สุด ‘TEMU’ ก็ขยายเข้าสู่ตลาดละตินอเมริกา และเมื่อวันที่ 17 มกราคม 2024 ได้เปิดตัวอย่างเป็นทางการในแอฟริกาใต้ ซึ่งเป็นประเทศที่ 49 เดือนกุมภาพันธ์ 2024 ‘TEMU’ ได้ลงโฆษณา Super Bowl หลายรายการ เป็นมูลค่าราว 15 ล้านเหรียญสหรัฐ ทำให้มีการค้นหาชื่อและการเข้าชม ‘TEMU’ เพิ่มขึ้นเป็นอย่างมาก โดยมีผู้ใช้งานจริงในสหรัฐอเมริกากว่า 100 ล้านคน มีดาวน์โหลด Application มากกว่า 130 ล้านครั้งทั่วโลก และมีผู้เยี่ยมชมเว็บไซต์ประมาณ 420 ล้านครั้งต่อเดือน ตามข้อมูลของ Semrush 

รูปแบบธุรกิจของ ‘TEMU’ ยินยอมให้ผู้ขายในประเทศจีนขายและจัดส่งโดยตรงถึงลูกค้าโดยไม่ต้องพึ่งพาผู้จัดจำหน่ายคนกลางในประเทศปลายทาง ทำให้สินค้ามีราคาถูกลง แต่ผู้ขายหลายรายระบุว่า ‘TEMU’ ขอให้พวกเขาลดราคาลงจนกระทั่งถึงจุดที่ขายสินค้าขาดทุน นอกจากนั้น ‘TEMU’ เสนอสินค้าฟรีให้กับผู้ใช้รายที่แนะนำผู้ใช้ใหม่ผ่านรหัสพันธมิตรโซเชียลมีเดีย และเกมมิฟิเคชัน การซื้อออนไลน์บน ‘TEMU’ สามารถทำได้โดยใช้เบราว์เซอร์อินเทอร์เน็ตหรือผ่านแอปมือถือเฉพาะ และ ‘TEMU’ ยังใช้แคมเปญโฆษณาออนไลน์ขนาดใหญ่บน Facebook และ Instagram

นอกจากนี้แล้ว ‘TEMU’ ยังกำหนดให้ผู้ขายต้องเสนอผลิตภัณฑ์ของตนในราคาที่ต่ำกว่าราคาที่พบใน AliExpress เมื่อผู้ขายหลายรายเสนอขายผลิตภัณฑ์เดียวกัน ‘TEMU’ จะอนุญาตเฉพาะผู้ขายที่เสนอราคาต่ำที่สุดเท่านั้น สินค้าที่ไม่ตรงตามข้อกำหนดการขายขั้นต่ำของ ‘TEMU’ (30 ชิ้นและ 90 ดอลลาร์ใน 14 วัน) จะถูกลบออกจากแพลตฟอร์ม การโฆษณาประชาสัมพันธ์อย่างหนักในแอปมือถือ และลงโฆษณาทางทีวีในรายการ Super Bowl ส่งผลให้ ‘TEMU’ ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก จากผลการวิจัยของ Sensor Tower เปิดเผยว่า ในไตรมาสสุดท้ายของปี 2023 ผู้ใช้ ‘TEMU’ ใช้เวลาเฉลี่ย 23 นาทีต่อสัปดาห์บนแอป เมื่อเทียบกับ 18 นาทีบน Amazon และ 22 นาทีบน eBay 

‘Colin Huang Zheng’ เกิดเมื่อวันที่ 1 มกราคม 1980 ในเขตชานเมืองหางโจวเจ้อเจียง พ่อแม่ของเขาเป็นพนักงานระดับกลางในโรงงาน เข้าเรียนที่โรงเรียนภาษาต่างประเทศหางโจว เป็นนักธุรกิจ นักลงทุน ผู้ก่อตั้ง ‘PDD Holding’ เจ้าของ ‘TEMU’ รวมทั้งเป็นผู้ก่อตั้งและอดีต CEO ของบริษัท Pinduoduo ซึ่งปัจจุบันเป็นแพลตฟอร์มการเกษตรที่ใหญ่ที่สุดในจีน หลังจากจบการศึกษาระดับปริญญาตรีจากมหาวิทยาลัยเจ้อเจียง เขาได้ไปศึกษาต่อระดับปริญญาโทและจบการศึกษาจากมหาวิทยาลัย Wisconsin-Madison หลังจากนั้นได้เข้าทำงานกับ Google ในตำแหน่งวิศวกรซอฟต์แวร์ในปี 2004 เวลานั้น Microsoft มีมูลค่าตลาดมากกว่า 2 แสนล้านเหรียญสหรัฐฯ โดยที่ Google ยังไม่ได้จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ แต่ Huang ก็เลือกเดินทางไปกับ Google

ในปี 2006 Huang กลับสู่มาตุภูมิในฐานะส่วนหนึ่งของทีมเปิดตลาดเมืองจีนให้กับ Google อย่างไรก็ตาม 1 ปีต่อมา Huang ก็ตัดสินใจตามสัญชาตญาณตัวเองอีกครั้ง เขาเลือกลาออกจาก Google โดยไม่แม้กระทั่งจะรอให้ตัวเองมีความพร้อมเสียก่อนด้วยซ้ำ นั่นคือจุดเริ่มต้นของวิถีผู้ประกอบการของเขา ในปี 2015 Huang ได้ตั้งบริษัท Pinduoduo ขึ้นที่นครเซี่ยงไฮ้ มีรายได้ 1.4 พันล้านหยวน (280 ล้านดอลลาร์) ในปี 2017 และในปี 2019 บริษัทสร้างรายได้ 4.33 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (30.14 พันล้านหยวน) ธุรกิจเติบโต และบริษัทเริ่มซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์หลังการเสนอขายหุ้นต่อสาธารณะครั้งแรกในสหรัฐอเมริกา โดยเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ NASDAQ ในเดือนกรกฎาคม 2018 ในชื่อหลักทรัพย์ว่า ‘PDD’ เปิดขายหุ้นต่อสาธารณชนครั้งแรก (IPO) ด้วยมูลค่ามากถึง 1.6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ และเพิ่มสูงขึ้นในเวลาต่อมา Huang ซึ่งมีหุ้นอยู่ในบริษัท 47% มีมูลค่า 1.4 หมื่นล้านดอลลาร์ และได้รับการจัดอันดับให้เป็นบุคคลที่ร่ำรวยที่สุดอันดับ 13 ของจีนในปี 2018

วันที่ 1 กรกฎาคม 2020 Huang ได้ก้าวลงจากตำแหน่ง CEO ของ Pinduoduo แต่ยังคงดำรงตำแหน่งประธานบริษัทเช่นเดิม ต่อมาเมื่อ 17 มีนาคม 2021 Huang ได้ทำการสละตำแหน่งประธาน และมอบสิทธิในการออกเสียงของหุ้นของเขาให้กับคณะกรรมการบริหาร โดยบริษัท Pinduoduo ระบุว่า Huang ต้องการที่จะแสวงหา ‘โอกาสใหม่ในระยะยาว’ ต่อไป ในเดือนมิถุนายน 2020 หลังจาก Huang ได้ลดสัดส่วนการถือหุ้น Pinduoduo ของเขาลงเหลือ 29.4% โดยบริจาค 2.37% ให้กับมูลนิธิการกุศล และ 7.74% ให้กับบรรดาหุ้นส่วนของ Pinduoduo

หุ้น 2.37% ที่เขาบริจาคให้กับองค์กรการกุศลเพื่อเป็นการส่งเสริมการพัฒนาความรับผิดชอบต่อสังคม และการวิจัยทางวิทยาศาสตร์ เขาได้รับการเสนอชื่อให้เป็นผู้ใจบุญชั้นนำในรายชื่อ Hurun China Philanthropy List ในปี 2021 หลังจากที่เขาให้คำมั่นว่าจะบริจาคเงิน 1.85 พันล้านดอลลาร์สหรัฐสำหรับโครงการความรับผิดชอบต่อสังคมและการวิจัยทางวิทยาศาสตร์ ตามรายงานของ Bloomberg ระบุว่า Huang และทีมผู้ก่อตั้ง Pinduoduo ได้บริจาคเงิน 100 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (2.37% ของหุ้น Pinduoduo) ให้กับ Starry Night Charitable Trust เพื่อ “สนับสนุนการวิจัยพื้นฐานในวิทยาศาสตร์ชีวการแพทย์ เกษตรกรรม และอาหาร”

“การตัดสินใจที่ถูกต้องนั้นสำคัญกว่าการทำงานหนัก การมีสามัญสำนึกนั้นสำคัญกว่าการมีความรู้”  ‘Colin Huang Zheng’

‘ตำรวจ’ ระเบิดสะพานโจร บุกจับแก๊งคอลเซนเตอร์ ตั้งออฟฟิศในชลบุรี หลังมีบอสใหญ่เป็นคนจีน ตุ๋นเหยื่อให้รัก - หลอกช่วยเหลือผ่านเฟซบุ๊ก

(7 ส.ค.67) ตามนโยบายของทางรัฐบาล ได้มีข้อสั่งการให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติทำการปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี โดยให้สืบสวนจับกุมผู้กระทำความผิด และเร่งแก้ไขปัญหาแก๊งคอลเซนเตอร์ ซึ่งสร้างความเดือดร้อนให้แก่ประชาชนโดยด่วน ภายใต้อำนวยการของ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รอง ผบ.ตร. / ผอ.ศปอส.ตร. , พล.ต.ท.ธัชชัย ปิตะนีละบุตร ผู้ช่วย ผบ.ตร. , พล.ต.ท.สมประสงค์ เย็นท้วม ผบช.ภ.2 , พล.ต.ต.ฉัตรชัย สุรเชษฐพงษ์ รอง ผบช.ภ.2 , พล.ต.ต.อิทธิพร โพธิ์ทอง รอง ผบช.ภ.2 และ พล.ต.ต.ธีระชัย ชำนาญหมอ ผบก.สส.ภ.2 ได้ทำงานสนองตามนโยบาย และได้มีการสืบสวนจับกุมอย่างต่อเนื่อง

ตามที่ได้มีมาตรการ ‘ระเบิดสะพานโจร ตัดซิม เสา สาย ตามแนวชายแดน’ ที่กลุ่มมิจฉาชีพแก๊งคอลเซนเตอร์ใช้ในการหลอกลวงเหยื่อทั่วประเทศ จนทำให้สัญญาณโทรศัพท์และอินเทอร์เน็ตในต่างประเทศที่แก๊งคอลเซนเตอร์ใช้หมดลง หรือไม่สะดวกต่อการใช้งาน แก๊งคอลเซนเตอร์จึงปรับตัว โดยลักลอบนำอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ และพนักงานในแก๊ง มาตั้งเป็นออฟฟิศคอลเซนเตอร์หลอกลวงประชาชนในประเทศไทย ซึ่งการจับกุมครั้งนี้ถือเป็นครั้งแรกในประเทศไทย ที่มีการจับกุมแก๊งคอลเซนเตอร์หลอกลวงประชาชนชาวไทย โดยตั้งฐานออฟฟิศอยู่ในประเทศไทย

เมื่อวันที่ 5 ส.ค.67 เวลาประมาณ 16.00 น. เจ้าหน้าที่ตำรวจ บก.สส.ภ.2 ได้สืบทราบว่า มีขบวนการแก๊งคอลเซนเตอร์ ใช้บ้านภายในหมู่บ้านแห่งหนึ่ง ต.สุรศักดิ์ อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี ตั้งเป็นออฟฟิศทำงาน ต่อมาเจ้าหน้าที่ตำรวจ บก.สส.ภ.2 ร่วมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.ศรีราชา จ.ชลบุรี ได้เดินทางไปตรวจสอบบ้านหลังดังกล่าว พบชายไทย 4 คน ทราบชื่อภายหลัง คือ นายชนาภัทรฯ (สงวนนามสกุล) , นายโชคชัยฯ (สงวนนามสกุล) , นายชิชณุพงษ์ฯ (สงวนนามสกุล) และนายจีรวัฒน์ฯ (สงวนนามสกุล) จากการตรวจค้นพบว่าภายในบ้านมีคอมพิวเตอร์แบบตั้งโต๊ะจำนวน 10 เครื่อง และพบข้อมูลการหลอกลวงประชาชนผ่านช่องทางออนไลน์ ซึ่งทั้งหมดรับว่าตนเองและพวกร่วมกันเป็นแก๊งคอลเซ็นเตอร์ โดยตั้งเพจเฟซบุ๊กในการหลอกช่วยเหลือเหยื่อ มีการยิงแอดโฆษณา หลอกว่าเป็นตำรวจไซเบอร์ หรือทนายความ ที่สามารถช่วยเหลือเหยื่อในการทำเรื่องฟ้องร้องได้ และทำให้ได้เงินที่ถูกหลอกไปกลับคืนมา โดยหลอกซ้ำเติมเหยื่อให้โอนเงินเข้ามาเพื่อลงทะเบียนในการช่วยเหลือ และยังมีการหลอกลวงในรูปแบบโรแมนซ์สแกม (หลอกให้รัก) ซึ่งจะมีสคริปต์การพูดหลอกลวงเหยื่อให้หลงเชื่อและโอนเงินมาให้ โดยภายในเครื่องคอมพิวเตอร์ทั้งหมดพบว่ามีการสนทนากับเหยื่อในแอปพลิเคชันเมสเซ็นเจอร์เฟซบุ๊ก และแอปพลิเคชันไลน์ออฟฟิศเชียลเป็นจำนวนมาก เจ้าหน้าที่จึงได้ตรวจยึดคอมพิวเตอร์ทั้งหมดไว้เพื่อทำการตรวจสอบ นอกจากนี้ยังพบการกระทำความผิด ครอบครองอาวุธปืนพกสั้นแบบกึ่งอัตโนมัติ , เครื่องกระสุนปืน และเสพยาเสพติด ซึ่งได้ทำการจับกุมและแยกดำเนินคดีที่ สภ.ศรีราชา จ.ชลบุรี 

จากการขยายผลทำให้ทราบว่าขบวนการแก๊งคอลเซนเตอร์นี้ มีหัวหน้ากลุ่มเป็นชาวจีน คือ Mr.ZHOU หรือ นายเจ้า สัญชาติจีน , มีรองหัวหน้า คือ Mr.CHEN หรือ ปีเตอร์ สัญชาติจีน และมีเลขาเป็นคนไทย คือ นายภาวัตฯ หรือ เหว่ย มีพฤติกรรมทำธุรกิจเกี่ยวกับคอลเซ็นเตอร์ , ค้ามนุษย์ , บ่อนการพนัน และฟอกเงินฯ ซึ่งต่อมาได้มีการขยายผลและขออนุมัติศาลขอหมายค้นอีก จำนวน 3 จุด ในกรุงเทพมหานคร เพื่อหาพยานหลักฐานเพิ่มเติม โดย ณ ปัจจุบันทราบว่าหัวหน้าและรองหัวหน้าคนจีนได้หลบหนีออกนอกประเทศแล้ว ซึ่งกลุ่มคอลเซ็นเตอร์ได้ขยายฐานออฟฟิศมาในประเทศไทย เนื่องจากความไม่สะดวกเรื่องการติดต่อสื่อสารและสัญญาณอินเทอร์เน็ตที่ต่างประเทศ จึงกล้าเสี่ยงมาเปิดออฟฟิศในประเทศไทย

โดย บก.สส.ภ.2 จะทำการสืบสวนและขยายผลผู้ร่วมขบวนการทั้งหมด เพื่อดำเนินคดีในข้อหา ‘นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือน หรือปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหาย แก่ประชาชน’ มีโทษจําคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือทั้งจําทั้งปรับ และจะติดตามผู้เสียหายซึ่งถูกแก๊งคอลเซนเตอร์นี้หลอกลวง เพื่อดำเนินคดีเพิ่มเติมในข้อหาฉ้อโกงประชาชน และความผิดฐานฟอกเงินต่อไป ซึ่งหากใครเป็นผู้เสียหายที่ถูกแก๊งคอลเซนเตอร์นี้หลอก สามารถให้ข้อมูลได้ที่ บก.สส.ภ.2 หมายเลขโทรศัพท์ 038 276 724 เพื่อประโยชน์ในการดำเนินคดีต่อไป

ชื่นชม!! ‘นักเรียนไทย’ หลังแข่งขันคณิตศาสตร์ที่ 'อินเดีย-ฮ่องกง' กวาด 160 รางวัลกลับบ้าน สร้างชื่อเสียงให้ประเทศไทยระดับโลก

(8 ส.ค.67) นายชัย วัชรงค์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี แสดงความยินดี และชื่นชมตัวแทนนักเรียนไทย ที่สามารถทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยม ในการแข่งขันคณิตศาสตร์ระหว่างประเทศระดับประถมศึกษาและมัธยมศึกษาตอนต้น ประจำปี พ.ศ. 2567 (India International Mathematics Competition 2024: InIMC 2024) ระหว่างวันที่ 26 - 31 กรกฎาคม 2567 ณ เมืองลัคเนา สาธารณรัฐอินเดีย และการแข่งขันคณิตศาสตร์และคณิตคิดเร็วนานาชาติประจำปี 2024 (The Hong Kong International Mathematics and Mental Arithmetic Competition 2024) เมื่อวันที่ 4 สิงหาคม 2567 ณ เขตบริหารพิเศษฮ่องกง สาธารณรัฐประชาชนจีน ได้รับรางวัลอย่างล้นหลาม รวม 148 รางวัล จากทั้ง 2 รายการแข่งขัน แสดงถึงศักยภาพทางวิชาการ ด้านคณิตศาสตร์ที่ยอดเยี่ยมของนักเรียนไทย

โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า จากการเข้าร่วมการแข่งขันคณิตศาสตร์ระหว่างประเทศระดับประถมศึกษาและมัธยมศึกษาตอนต้น 2567 (InIMC 2024) ในครั้งนี้ ตัวแทนนักเรียนไทย สามารถคว้ารางวัลการแข่งขันประเภททีม และบุคคล รวม 12 รางวัล 32 เหรียญ แบ่งเป็นระดับประถมศึกษา ประเภททีมละ 4 คน สามารถทำผลงานรวมได้ 6 รางวัล 16 เหรียญ และระดับมัธยมศึกษาตอนต้น ประเภททีมละ 4 คน สามารถทำผลงานได้รวม 6 รางวัล 16 เหรียญ

Thailand A ระดับประถมศึกษา ได้รับรางวัลรองชนะเลิศอันดับ 1 ประเภททีม และรางวัลรองชนะเลิศอันดับ 1 ประเภทกลุ่มบุคคล ประกอบด้วย 1 เหรียญทอง 2 เหรียญเงิน และ 1 เหรียญทองแดง สำหรับระดับมัธยมศึกษาตอนต้น ได้รับรางวัลรองชนะเลิศอันดับ 2 ประเภททีม และรางวัลรองชนะเลิศอันดับ 2 ประเภทกลุ่มบุคคล ประกอบด้วย 3 เหรียญเงิน และ 1 รางวัลชมเชย

Thailand B ระดับประถมศึกษา ได้รับรางวัลรองชนะเลิศอันดับ 2 ประเภททีม และรางวัลรองชนะเลิศอันดับ 1 ประเภทกลุ่มบุคคล ประกอบด้วย 2 เหรียญทอง 1 เหรียญเงิน และ 1 เหรียญทองแดง สำหรับระดับมัธยมศึกษา ได้รับรางวัลรองชนะเลิศอันดับ 1 ประเภททีม ประกอบด้วย 1 เหรียญทอง 1 เหรียญเงิน และ 2 เหรียญทองแดง

Thailand C ระดับประถมศึกษา ได้รับรางวัลรองชนะเลิศอันดับ 2 ประเภทกลุ่มบุคคล ประกอบด้วย 2 เหรียญเงิน 1 เหรียญทองแดง และ 1 รางวัลชมเชย สำหรับระดับมัธยมศึกษา ได้รับรางวัลรองชนะเลิศอันดับ 2 ประเภททีม ประกอบด้วย 3 เหรียญทองแดง และ 1 รางวัลชมเชย

Thailand D ระดับประถมศึกษา ได้รับรางวัลรองชนะเลิศอันดับ 2 ประเภททีม ประกอบด้วย 2 เหรียญเงิน และ 2 รางวัลชมเชย สำหรับระดับมัธยมศึกษา ได้รับรางวัลรองชนะเลิศอันดับ 2 ประเภททีม และรางวัลรองชนะเลิศอันดับ 1 ประเภทกลุ่มบุคคล ประกอบด้วย 1 เหรียญทอง 1 เหรียญเงิน และ 2 เหรียญทองแดง

นายชัย กล่าวว่า ใน รายการการแข่งขันคณิตศาสตร์และคณิตคิดเร็วนานาชาติประจำปี 2024 (The Hong Kong International Mathematics and Mental Arithmetic Competition 2024) มีผู้เข้าร่วมการแข่งขันจากทั่วโลก เช่น ไต้หวัน สิงคโปร์ มาเลเซีย อินเดีย ฮ่องกง กัมพูชา และไทย รวมประมาณ 500 คน ซึ่งในรายการแข่งขันนี้ ไทยได้ส่งตัวแทนนักเรียนเข้าร่วม 93 คน โดยแบ่งเป็นการแข่งขัน ระดับอนุบาล ระดับประถมศึกษา และมัธยมศึกษาตอนต้น

โดยตัวแทนนักเรียนไทยได้เข้าร่วมการแข่งขัน ในประเภทคณิตศาสตร์ (Mathematics Competition) และคณิตคิดเร็ว (Mental Arithmetic Competition) ซึ่งผลปรากฏว่าตัวแทนนักเรียนไทยได้รับรางวัลจากทั้ง 2 ประเภทการแข่งขันดังกล่าว ทั้งในประเภทเดี่ยวและทีม และทุกระดับชั้นตั้งแต่ระดับอนุบาลถึงระดับมัธยมต้น รวม 148 รางวัล เน้นย้ำถึงความสามารถในด้านคณิตศาสตร์ของนักเรียนไทยที่มีความโดดเด่น ตั้งแต่ระดับชั้นอนุบาลจนถึงระดับมัธยม

“นายกรัฐมนตรีเชื่อมั่นในศักยภาพของเด็กไทย เชื่อว่ามีความสามารถอย่างรอบด้าน พร้อมขอบคุณตัวแทนนักเรียนทุกคนที่เข้าร่วมรายการแข่งขันคณิตศาสตร์ ของทั้ง 2 รายการ ในครั้งนี้ ที่สามารถทำผลงานออกมาได้อย่างน่าภาคภูมิใจ เชื่อมั่นว่าจะเป็นบุคลากรสำคัญของประเทศในอนาคต ซึ่งรัฐบาลดำเนินการพัฒนาต่อยอดพื้นฐานของประเทศอย่างต่อเนื่องเพื่อให้คนรุ่นต่อไปจะอยู่ในประเทศไทยอย่างมีความสุข” นายชัย กล่าว

'หลี่ฟาปิน' รักษาแชมป์ยกน้ำหนัก คว้าเหรียญทองโอลิมปิก 2024 พร้อมสร้างสถิติครั้งใหม่ หลังยกท่าสแนทช์ด้วยน้ำหนัก 143 กก.

(8 ส.ค. 67) สำนักข่าวซินหัวประมวลภาพการแข่งขันและชัยชนะของ ‘หลี่ฟาปิน’ นักกีฬายกน้ำหนักทีมชาติจีน วัย 31 ปี ซึ่งสามารถป้องกันแชมป์เหรียญทองโอลิมปิกในการแข่งขันยกน้ำหนัก รุ่น 61 กิโลกรัม (ชาย) ในการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกเกมส์ ปารีส 2024 เมื่อวันพุธ (7 ส.ค.) ที่ผ่านมา

ทั้งนี้ ‘หลี่ฟาปิน’ สามารถยกท่าสแนทช์ครบ 3 ครั้ง ซึ่งการยกครั้งที่ 3 เขาทำน้ำหนัก 143 กิโลกรัม สร้างสถิติโอลิมปิกครั้งใหม่ และการยกทั้งสามครั้งทำน้ำหนักรวม 310 กิโลกรัม

'คนจีน' ต่างชื่นชม 'กัว ชิง' คว้าเหรียญเงินเทควันโดหญิงโอลิมปิก 2024 ยก!! เป็นสิ่งที่ยากที่สุด หลังต้องดวลเพลงเตะกับคู่แข่งที่แกร่งที่สุดในโลก

(8 ส.ค.67) เพจ 'อ้ายจง' ได้โพสต์ข้อความถึงกรณี 'กัว ชิง' ที่คว้าเหรียญเงินเทควันโดหญิงโอลิมปิก 2024 โดยทำสิ่งที่ยากที่สุดจากการต้องประมือคู่แข่งที่แกร่งที่สุดในโลก อย่าง 'เทนนิส-พาณิภัค วงศ์พัฒนกิจ' โดยสื่อจนและโซเชียลจีนไม่มีการจั่วหัวว่า 'ชวดเหรียญทองอย่างน่าผิดหวัง' หรือ 'ชาวจีนต่างผิดหวัง' แต่มองว่านี่เป็นอีกหนึ่งความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ของนักเทควันโดหญิงวัย 24 ปี และเป็นอีกสัญลักษณ์แห่งความหวังใหม่ในวงการเทควันโดของจีน ว่า...

การคว้าเหรียญเงินในการแข่งขันเทควันโดหญิงรุ่น 49 กิโลกรัม โอลิมปิกปารีส 2024 ของ กัว ชิง นักเทควันโดหญิงวัย 24 ปี ของจีน ได้รับความสนใจอย่างมากจากชาวจีนและกลายเป็นกระแสฮิตในโซเชียลมีเดีย ไม่เพียงแต่เป็นเกียรติสำคัญสำหรับตัวนักกีฬา แต่ยังเป็นสัญลักษณ์แห่งความหวังใหม่ในวงการเทควันโดของจีน

จากสรุปความคิดเห็นและคำที่เกี่ยวข้องของประเด็นนี้ในโซเชียลจีน ทั้ง Weibo และ Douyin ทำให้ได้เห็นมุมมองของชาวจีน ที่มองว่า กัว ชิง ไม่เพียงแต่เป็นนักกีฬาหน้าใหม่ในเวทีโอลิมปิก แต่ยังต้องต่อสู้กับคู่แข่งที่แข็งแกร่งที่สุดในโลกอย่าง เทนนิส พาณิภัค เจ้าของแชมป์โอลิมปิกและนักเทควันโดมือหนึ่งของโลกจากไทย ดังนั้น ความสามารถและความกล้าหาญของกัว ชิง ในการเผชิญหน้ากับคู่แข่งระดับโลกเช่นนี้ ทำให้เธอได้รับการชื่นชมอย่างกว้างขวาง

อย่างที่กล่าวไปแล้วในพารากราฟแรกว่า การคว้าเหรียญเงินของ กัว ชิง ในการแข่งขันโอลิมปิกครั้งนี้ ได้รับการยอมรับว่าเป็นความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ ไม่เพียงแต่เป็นเกียรติส่วนบุคคล แต่ยังเป็นเกียรติของชาติ ซึ่งไม่ใช่คำกล่าวที่เกินจริง เพราะสะท้อนมาจากความคิดเห็นทั่วโซเชียลจีน ที่ต่างชื่นชมและสื่อจีนเองก็นำเสนอในแนวนี้เช่นกัน 

ไม่มีพาดหัวว่า ‘ชวดเหรียญทองอย่างน่าผิดหวัง’ หรือ ‘ชาวจีนต่างผิดหวัง’ แม้จะมีความคิดเห็นไม่น้อยเหมือนกันว่า ‘น่าเสียดาย’ หรือ ‘เสียดายที่ไม่ได้เหรียญทอง’ แต่ก็จะมีต่อด้วยการให้กำลังใจ และบอกว่า เหรียญเงินก็ถือว่าเป็นการประสบความสำเร็จที่เธอทำเต็มที่แล้ว ส่วนใหญ่ในจีนมองว่า การที่เธอสามารถแสดงผลงานได้อย่างโดดเด่นในการแข่งขันที่มีความกดดันสูงเช่นนี้ และปูทางไปสู่อนาคตที่สดใสได้

สื่อจีนยังนำเสนอในมุมที่ กัว ชิง ได้แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นและความแข็งแกร่งที่ยอดเยี่ยม แม้ว่าเธอจะเป็นนักกีฬาหน้าใหม่ในเวทีโอลิมปิก แต่เธอก็สามารถต่อสู้กับคู่แข่งที่มีประสบการณ์มากกว่าได้อย่างไม่ย่อท้อ ความสำเร็จนี้เป็นผลมาจากการฝึกซ้อมที่หนักหน่วงและความทุ่มเทในการเตรียมตัวของเธอ

อีกหนึ่งโทนความคิดเห็นและโทนการสื่อสารออกมาในโลกโซเชียลจีน คือ มองว่า ความสำเร็จของกัว ชิง แสดงให้เห็นถึงศักยภาพและความสามารถของนักกีฬาจีนรุ่นใหม่ และเป็นแรงบันดาลใจให้กับนักกีฬาใหม่ ๆ ได้ในอนาคต

กัว ชิง เกิดในหมู่บ้านเล็ก ๆ ที่ห่างไกลในอำเภอหยางชุน เมืองหยางเจียง มณฑลกว่างตง (กวางตุ้ง) ถือเป็นพื้นที่ที่ยากจน มีสภาพที่ยากลำบากและการเดินทางไม่สะดวกนัก ความยากลำบากที่กัว ชิง เจอ หล่อหลอมให้เธอมีความมุ่งมั่นที่จะเป็นนักกีฬาและประสบความสำเร็จในเส้นทางนี้ เพื่อหวังให้ครอบครัวมีสภาพชีวิตที่ดีขึ้น เนื่องจากต้องเลี้ยงดูพ่อแม่ที่สุขภาพไม่ดีนักและน้อง ๆ อีก 5 คนในครอบครัว กัว ชิง เริ่มฝึกซ้อมเทควันโดครั้งแรกเมื่อปี 2012 ในวัยเพียง 12 ปี ซึ่งถูกเลือกโดยโค้ชของโรงเรียนกีฬาหยางชุน

โค้ชคนแรกของเธอ กวน หลินชาน ได้กล่าวว่า กัว ชิง เป็นนักกีฬาที่มีความพยายามอย่างมาก ในการฝึกซ้อมที่โรงเรียนกีฬาหยางชุน เธอมักจะฝึกซ้อมนานกว่าที่กำหนด และในบางครั้งหลังเลิกเรียน เธอยังคงฝึกซ้อมคนเดียวอย่างเงียบ ๆ ด้วยความทุ่มเทนี้ เธอจึงกลายเป็นนักกีฬาที่มีความสามารถมากที่สุดคนหนึ่งในทีม

ในปี 2018 กัว ชิง ได้เข้าร่วมทีมชาติ และมีความฝันที่จะเข้าร่วมการแข่งขันโอลิมปิก เธอได้เข้าร่วมการแข่งขันหลายรายการ และในปี 2022 กัว ชิง ได้รับคะแนนสะสมโอลิมปิกมากขึ้นจากการคว้าเหรียญรางวัลในรายการต่าง ๆ และได้รับโอกาสเข้าร่วมการแข่งขันในระดับสูง ทำให้คะแนนสะสมของเธอพุ่งขึ้นอย่างรวดเร็ว

ภายในเวลาเพียงครึ่งปี กัว ชิง ได้รับเหรียญทองในการแข่งขันชิงแชมป์เอเชีย และเหรียญเงินในรายการชิงแชมป์โลก คะแนนสะสมของเธอในโอลิมปิกจึงพุ่งขึ้นสู่อันดับที่สิบ ในปี 2023 กัว ชิง ได้เหรียญเงินในการแข่งขันเอเชียนเกมส์ (เหรียญทองเป็นของเทนนิส พาณิภัค คู่แข่งของเธอในโอลิมปิก 2024 เช่นกัน) และเหรียญเงินในรายการใหญ่หลายรายการ ทำให้คะแนนสะสมในโอลิมปิกของเธอเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

ในเดือนมกราคม 2024 การจัดอันดับคะแนนสะสมโอลิมปิกในโอลิมปิกปารีสถูกประกาศออกมา และ กัว ชิง อยู่ในอันดับที่หกในรุ่นน้ำหนักไม่เกิน 49 กิโลกรัม ทำให้เธอได้รับสิทธิ์เข้าร่วมแข่งขันโอลิมปิก รวมแล้วใช้เวลา 12 ปีในการเดินสู่เวทีโอลิมปิก กัว ชิง เคยกล่าวไว้ว่า "ความฝันที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของฉันคือการได้สวมชุดที่ติดธงชาติจีน และวิ่งรอบสนามโอลิมปิก นั่นจะเป็นความสุขและความภาคภูมิใจที่สุดในชีวิต"

ขอแสดงความยินดีกับทั้งเทนนิส-พาณิภัค เจ้าของเหรียญทองสองสมัย กัว ชิง ที่คว้าเหรียญเงินในการเข้าแข่งขันโอลิมปิกครั้งแรกได้สำเร็จ และขอส่งความยินดี และกำลังใจสู่โค้ช เจ้าหน้าที่ ผู้เกี่ยวข้องในการฝึกซ้อม และครอบครัวของนักกีฬา และตัวนักกีฬาทุกคนครับ 

'โคลิน หวง' ผู้ก่อตั้ง Temu ขึ้นแท่นรวยสุดในจีน ด้วยวัย 44 ปี ท่ามกลางแรงประท้วงจากผู้ผลิตที่ถูกกดดันเรื่องมาตรฐานอย่างหนัก

(9 ส.ค.67) Business Tomorrow เผยว่า 'โคลิน หวง' (Colin Huang) ผู้ก่อตั้ง Temu วัย 44 ปี กลายเป็นบุคคลที่รวยที่สุดในจีน โดยมีทรัพย์สิน 4.8 หมื่นล้านดอลลาร์ แซงหน้า 'จง ซานซาน' เจ้าของธุรกิจน้ำดื่ม ไปเป็นที่เรียบร้อย

สำหรับ โคลิน หวง เคยประสบความสำเร็จในธุรกิจเกมและอีคอมเมิร์ซหลายแห่งมาก่อน โดยในปี 2015 เขาได้ก่อตั้ง Pinduoduo แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซที่เน้นการขายสินค้าราคาถูกพร้อมโปรโมชันจำนวนมาก

ความสำเร็จของเขาได้รับแรงหนุนจากการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการช้อปปิ้งของชาวจีนหลังจากวิกฤตอสังหาริมทรัพย์

หวงยังเป็นนักธุรกิจเทคโนโลยีคนแรกที่ติดอันดับบุคคลที่รวยที่สุดในรอบกว่าสามปี แม้จะถูกกดดันจากรัฐบาลจีนเหมือนกับคู่แข่งอย่าง Jack Ma ของ Alibaba

อย่างไรก็ตาม หวงต้องเผชิญกับการประท้วงจากซัพพลายเออร์เรื่องการกดราคาสินค้า และการกำหนดตารางการทำงานที่หนักหน่วงสำหรับพนักงานของเขา

สำหรับร้านค้าส่วนใหญ่บน Temu มีที่เป็นทั้งโรงงานผลิต และซัพพลายเออร์ที่ขายสินค้าอยู่บนแพลตฟอร์ม ทำให้สินค้ามีราคาถูก เพราะส่งตรงมาจากผู้ผลิต ซึ่งกว่า 100,000 ร้าน ดำเนินการอยู่ในประเทศจีน แต่ล่าสุดผู้ผลิตกลับพบกับความอยุติธรรมที่ทางแพลตฟอร์มมีการลงโทษร้านค้าที่เกิดความผิดพลาด ทั้ง สินค้าไม่ตรงปก เกิดปัญหาหลังการขาย หรือลูกค้าเข้ามาร้องทุกข์จากปัญหาของสินค้า ด้วยการเรียกเก็บค่าปรับ และระงับบัญชีร้านค้า

นอกจากนี้ Temu จะคืนเงินให้ลูกค้าเต็มจำนวน ในกรณีที่เกิดความผิดพลาดกับสินค้า แต่สินค้าดังกล่าวกลับไม่ได้ส่งคืนซัพพลายเออร์ และจะมีการปรับเงินกับร้านค้า จากรายงานของ CNN พบว่า ร้านค้าจะต้องจ่ายค่าปรับที่ 1-5 เท่าของราคาสินค้า บางรายถูกระงับบัญชีร้านค้าในระบบจนไม่สามารถถอนเงินออกมาได้ 

ทว่า จากการเรียกเก็บค่าปรับดังกล่าว ส่งผลให้ผู้ผลิตบางรายต้องแบกรับต้นทุนจำนวนมหาศาล และบางรายถึงขั้นล้มละลาย

อย่างไรก็ตาม ทางโฆษกของ Temu เคยออกมาให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับเรื่องนี้ด้วยว่า "ร้านค้าแค่ไม่พอใจที่ Temu ให้มีกฎเกณฑ์กับเรื่องของสินค้าและบริการหลังการขายที่ต้องมีประสิทธิภาพ เราดำเนินการอย่างโปร่งใสในการกำหนดกฎเกณฑ์และค่าปรับแล้ว และหลังจากนี้เราจะหาทางออกที่ดีที่สุดให้กับร้านค้าต่อไป"

Temu ให้นิยามตัวเองว่าเป็นแพลตฟอร์มที่เปิดให้ลูกค้า ‘Shop Like a Billionaire’ ด้วยสินค้าที่มีราคาถูกมาก และใคร ๆ ก็เข้าถึงได้ Temu เปิดตัวมาเมื่อปี 2022 และปัจจุบันมีผู้ดาวน์โหลดแอปฯ ไปแล้วกว่า 600 ล้านครั้ง 

นอกจากนี้ ข้อมูลของ Goldman Sachs ได้ชี้ว่า Temu จะสามารถสร้างรายได้จากการขายสินค้าออนไลน์ได้กว่า 45,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2024 เพิ่มขึ้นจาก 18,000 ล้านดอลลาร์ในปีก่อน

‘ชาวจีน’ ในกุ้ยหยาง ปลื้ม!! ‘อาหารไทย’ ยก ‘ต้มยำกุ้ง’ เมนูเด็ดสุด โต๊ะทั้งหมดถูกจองจนเต็มไม่ถึง 1 ชม. แม้เพิ่งเปิดร้านมา 2 เดือน

(9 ส.ค.67) สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า ห้วงยามเย็นก่อนพลบค่ำ เหล่าลูกค้าทยอยต่อคิวที่ร้านอาหารไทยแห่งหนึ่ง ซึ่งตั้งอยู่ย่านแลนด์มาร์กใหม่ในเมืองกุ้ยหยาง มณฑลกุ้ยโจวทางตะวันตกเฉียงใต้ของจีน โดยโต๊ะทั้งหมดถูกจับจองจนเต็มภายในระยะเวลาไม่ถึงหนึ่งชั่วโมง และเกิดแถวรอคิวเป็นทางยาวอยู่หน้าจุดต้อนรับลูกค้า

ด้าน จ้าวหลินปิง เจ้าของร้านอาหารไทยแห่งนี้ ซึ่งเปิดทำการอย่างเป็นทางการเพียง 2 เดือนกว่า รู้สึกถึงการยอมรับและความนิยมชมชอบอาหารไทยของชาวเมืองกุ้ยหยาง ก่อให้เกิด ‘บทสนทนาเรื่องอาหาร’ ระหว่างจีนกับไทย โดยหนึ่งในเมนูยอดนิยมหนีไม่พ้น ‘ต้มยำกุ้ง’ ที่ถูกปากชาวเมืองกุ้ยหยางอย่างมาก

"รสเปรี้ยวของต้มยำกุ้งมาจากมะนาวเป็นหลัก ส่วนรสเปรี้ยวของซุปในกุ้ยโจวมาจากวัตถุดิบอย่างมะเขือเทศ" จ้าวกล่าว โดยไทยที่เป็นประเทศริมทะเลและกุ้ยโจวที่เป็นมณฑลภูเขาสูงต่างมีหลักการปรุงอาหารคล้ายกัน เช่น ปรับรสชาติเข้ากับท้องถิ่น ใช้วัตถุดิบจากธรรมชาติ รักษารสชาติต้นตำรับ รวมถึงเก่งกาจเรื่องนึ่งและย่าง

นอกจากเมนูหลักที่เป็นอาหารไทยดั้งเดิม จ้าวและทีมงานยังทดลองใช้วัตถุดิบท้องถิ่นและวัฒนธรรมอาหารอันมีเอกลักษณ์ในกุ้ยโจวด้วย เช่น ไก่ย่างขอนแก่นที่เป็นเมนูยอดนิยมตามคำบอกของลูกค้า พวกเขาเสิร์ฟทั้งน้ำจิ้มแบบไทยและผงพริกสไตล์กุ้ยโจวที่มีคุณภาพสูงและเข้ากับไก่ย่างขอนแก่นได้ดี

ปัจจุบันร้านอาหารไทยแห่งนี้ยังคงรังสรรค์เมนูต่าง ๆ ที่ถูกปากชาวเมืองกุ้ยหยางเพิ่มเติม เพื่อเป็นที่ยอมรับของคนท้องถิ่นเพิ่มขึ้นพร้อมกับรักษาความเป็นไทย โดยจ้าวและทีมงานเข้าใจเกี่ยวกับอาหารและวัฒนธรรมของอาเซียนอย่างลึกซึ้ง โดยเฉพาะไทย และทดลองประสานอาหารไทยและจีนเพื่อสร้างรสชาติใหม่ตลอดสิบปีที่ผ่านมา

ณ เมืองคุนหมิง มณฑลอวิ๋นหนาน (ยูนนาน) ทางตะวันตกเฉียงใต้ของจีน ทีมงานของจ้าวสร้างสรรค์อาหารไทยที่สอดคล้องกับดอกไม้ตามฤดูกาล เพื่อตอบสนองความนิยมรับประทานดอกไม้ในท้องถิ่น โดยพวกเขายังคงความเปรี้ยวและความกลมกล่อมของอาหารไทย พร้อมผสมผสานกลิ่นหอมและความหวานของดอกไม้ที่ชาวเมืองคุนหมิงชื่นชอบ

ทุกวันนี้ทีมไท่ส่วงจินได้เปิดร้านอาหารไทย 5 แห่งแล้ว ซึ่งสาขาเมืองกุ้ยหยางเป็นสาขาแรกนอกเมืองคุนหมิง ตั้งอยู่ที่ศูนย์การค้านิว ปรินติง 1950 ดิสคัฟเวอรี โปรเจค (New Printing 1950 DISCOVERY Project) ที่ดัดแปลงมาจากโรงพิมพ์เก่าโดยรัฐบาลกุ้ยหยางเมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา

ช่วงลูกค้าแน่นร้านจะได้เห็นทั้งคนหนุ่มสาวและคนวัยกลางคนนั่งรับประทานอาหารกันอย่างคึกคักเป็นจำนวนมาก โดยกุ้ยเสี่ยวหมิ่น ซึ่งมารับประทานอาหารกับกลุ่มเพื่อน เผยว่าลูกของเขาแนะนำร้านอาหารไทยแห่งนี้เลยมาลองรับประทานดูและพบว่ารสชาติอร่อยตามต้นตำรับจริง ๆ

ด้าน พานจวิ้น ผู้จัดการร้านชาวไทยที่ทำงานร่วมกับทีมงานของจ้าวมานาน 11 ปี รู้สึกยินดีกับกระแสตอบรับ พร้อมเผยว่าวิธีปรุงอาหารของไทยกับจีนคล้ายกันมาก ขณะวัตถุดิบท้องถิ่นจากคุนหมิงและกุ้ยหยางมีความเฉพาะตัว การผสมผสานวัฒนธรรมและจุดเด่นของสองประเทศจึงมีนัยยะที่ดีไม่น้อย

ทั้งนี้ อาหารเปรียบดังสะพานที่ช่วยให้การแลกเปลี่ยนระหว่างไทยกับจีนใกล้ชิดกันยิ่งขึ้น โดยทีมไท่ส่วงจินประเมินว่ามีร้านอาหารอาเซียนในคุนหมิงหลายพันแห่ง ส่วนในกุ้ยหยางมีร้านอาหารอาเซียนมากกว่า 20 แห่ง รวมถึงร้านอาหารไทย ขณะแผนริเริ่มหนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง (BRI) สนับสนุนการแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรมและการค้าระหว่างสองประเทศ

จ้าวมองว่าการเดินทางระหว่างจีนกับไทยสะดวกสบายยิ่งขึ้นด้วยอานิสงส์จากนโยบายยกเว้นวีซ่าและอำนวยความสะดวกทางการค้าต่าง ๆ ซึ่งช่วยให้เขาเดินทางสำรวจกระแสในตลาดอาหารไทยได้บ่อยครั้ง และนำเข้าวัตถุดิบอาหารไทยที่สดใหม่ในราคาที่ดียิ่งขึ้นด้วย

"วัตถุดิบเกือบร้อยละ 80 ของร้านสาขาในกุ้ยหยางนำเข้าจากไทย โดยเฉพาะอาหารทะเลบางส่วนถูกขนส่งทางอากาศถึงคุนหมิงหรือกุ้ยหยางภายในไม่กี่ชั่วโมงหลังจากสั่งซื้อตอนเช้า" จ้าวกล่าว พร้อมแสดงความหวังว่าจะมีการดำเนินนโยบายเพิ่มเติมเพื่อเกื้อหนุนการแลกเปลี่ยนระหว่างจีนกับไทย และสร้างพื้นที่ความร่วมมือเพื่อการค้าและการท่องเที่ยวท้องถิ่น


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top