Friday, 13 June 2025
จีน

‘รอยเตอร์’ เผย ‘กองทัพสหรัฐฯ’ เปิดยุทธการลับบน ‘สื่อสังคมออนไลน์’ เพื่อป้ายสี ทำลายชื่อเสียง วัคซีนโควิดของจีน ในช่วงแพร่ระบาดโควิด-19

(16 มิ.ย.67) ยุทธการของเพนตากอน สำหรับทำลายชื่อเสียงวัคซีนจีน มีขึ้นระหว่างช่วงฤดูใบไม้ผลิปี 2020 ถึงกลางปี 2021 โดยมุ่งเน้นไปที่ฟิลิปปินส์ ก่อนขยายวงสู่พื้นที่อื่นๆ ของเอเชียและตะวันออกกลาง ตามรายงานของรอยเตอร์ที่กล่าวอ้างในบทความชิ้นหนึ่งซึ่งเผยแพร่ในวันศุกร์ (14 มิ.ย.)

เพนตากอนพึ่งพิงบัญชีปลอมบนสื่อสังคมออนไลน์ แอบอ้างตัวเป็นผู้ใช้ชาวฟิลิปปินส์ เผยแพร่คำกล่าวอ้างอันเป็นเท็จว่า วัคซีนซิโนแวคของจีน เช่นเดียวกับชุดตรวจและหน้ากากอนามัยที่ผลิตโดยประเทศแห่งนี้มีคุณภาพที่ย่ำแย่

ซิโนแวค ซึ่งเริ่มต้นแจกจ่ายในเดือนมีนาคม 2021 กลายเป็นวัคซีนตัวแรกที่ชาวฟิลิปปินส์เข้าถึงได้ระหว่างโรคระบาดใหญ่

‘โควิดมาจากจีนและวัคซีนก็มาจากจีนเช่นกัน ดังนั้นอย่าไว้ใจจีน’ รูปแบบการโพสต์หนึ่ง ส่วนหนึ่งในยุทธการทำลายชื่อเสียง ภายใต้สโลแกน #ChinaAngVirus (จีนคือไวรัส) ตามรายงานของรอยเตอร์ ส่วนอีกโพสต์ที่สามารถพบเห็นได้ทั่วไป กล่าวอ้างว่า ‘ทุกอย่างที่มาจากจีน ทั้งชุดป้องกัน หน้ากาก และวัคซีน ล้วนแต่เป็นของปลอม แต่โคโรนาไวรัสนั้นเป็นของจริง’

ยิ่งไปกว่านั้น เพนตากอนพยายามสื่อสารไปยังพวกผู้ใช้ชาวมุสลิมในเอเชียและตะวันออกกลาง สืบเนื่องจากข้อเท็จจริงที่ว่าบางครั้งวัคซีนอาจมีส่วนผสมของเจลาตินหมู ดังนั้น วัคซีนของจีนจึงอาจเป็นสิ่งต้องห้ามภายใต้กฎหมายอิสลาม

รอยเตอร์ระบุว่า จากการตรวจสอบของพวกเขา พบว่ามีอย่างน้อย 300 บัญชีบนทวิตเตอร์ ซึ่งปัจจุบันเปลี่ยนชื่อเป็นเอ็กซ์ ที่มีคุณลักษณะตรงตามกับคำกล่าวอ้างของอดีตเจ้าหน้าที่กองทัพสหรัฐฯ ที่เปิดเผยเรื่องราวเกี่ยวกับยุทธการนี้แก่สื่อมวลชน

เจ้าหน้าที่ระดับสูงในกระทรวงกลาโหมของสหรัฐฯ ยืนยันกับรอยเตอร์ว่า ยุทธการลับๆ บนสื่อสังคมออนไลน์สำหรับป้ายสีซิโนแวคนั้นเป็นเรื่องจริง แต่ปฏิเสธให้รายละเอียดเพิ่มเติม

โฆษกรายหนึ่งของเพนตากอน บอกกับสำนักข่าวรอยเตอร์ว่า กองทัพสหรัฐฯ ใช้แพลตฟอร์มที่หลากหลาย ในนั้นรวมถึงสื่อสังคมออนไลน์ สกัดอิทธิพลที่มุ่งร้าย ที่เล็งเป้าเล่นงานสหรัฐฯ พันธมิตรและคู่หู และปักกิ่งคือหนึ่งในนั้น ที่เริ่มเปิดยุทธการบิดเบือนข้อมูล กล่าวโทษอันเป็นเท็จ หาว่าสหรัฐฯ เป็นคนแพร่กระจายโควิด-19

ในปฏิกิริยาที่มีต่อรายงานของรอยเตอร์ ทางกระทรวงการต่างประเทศของจีน เน้นย้ำผ่านทางอีเมล ว่ารัฐบาลสหรัฐฯ บงการสื่อสังคมออนไลน์และเผยแพร่ข้อมูลบิดเบือนมานานแล้ว

‘จีน’ เปิดปฏิบัติการ ‘เพาะเมฆ’ สร้างฝนเทียม  หนุน จนท.ดับไฟบนภูเขา หลังพยายามมา 4 วัน

เมื่อวานนี้ (16 มิ.ย.67) สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า หน่วยงานท้องถิ่นมณฑลซานซีทางตอนเหนือของจีน เปิดเผยว่า เจ้าหน้าที่ดับเพลิงท้องถิ่นสามารถดับไฟที่ลุกไหม้บนภูเขาตั้งแต่เมื่อวันพุธ (12 มิ.ย.) ได้สำเร็จแล้ว หลังจากพยายามดับเพลิงนาน 4 วัน โดยได้รับความช่วยเหลือจากฝนเทียม

ทั้งนี้ สำนักงานใหญ่เพื่อการรับมือเหตุฉุกเฉินในอำเภออันเจ๋อ เมืองหลินเฝิน ระบุว่า เจ้าหน้าที่ดับเพลิงกว่า 2,200 คน พร้อมด้วยรถขุด 63 คัน และเรือบรรทุกน้ำ 88 คัน มีส่วนร่วมในภารกิจดับเพลิงครั้งนี้

โดยตอนแรกภารกิจดับเพลิงต้องเผชิญหลายความท้าทาย อันเนื่องมาจากภูเขาที่ลาดชัน อุณหภูมิที่พุ่งสูง และสภาพอากาศที่มีลมแรง ต่อมาเจ้าหน้าที่จึงหันมาใช้ปฏิบัติการเพาะเมฆบนฟ้า (cloud seeding) เพื่อทำให้ฝนตกเมื่อเย็นวันเสาร์ (15 มิ.ย.) และช่วยดับไฟ

หลังจากควบคุมเพลิงได้แล้ว เจ้าหน้าที่ดับเพลิงจึงเริ่มเคลียร์พื้นที่บริเวณจุดเกิดเหตุตอนช่วงบ่ายวันอาทิตย์ (16 มิ.ย.) ซึ่งการสืบสวนเบื้องต้นเผยว่าไฟไหม้บนภูเขาครั้งนี้อาจมีสาเหตุมาจากฟ้าผ่า

อนึ่ง รายงานระบุว่าพื้นที่ในอำเภออันเจ๋อนั้นเป็นที่ตั้งของพื้นที่ป่าทึบหนาแน่นและเปราะบางต่อการเกิดไฟป่าอยู่แล้ว

‘ดร.อักษรศรี’ เผย 'จีน' สั่งตรวจสอบเนื้อหมูยุโรปทุ่มตลาดจีนหรือไม่?

(18 มิ.ย.67) รองศาสตราจารย์ ดร.อักษรศรี พานิชสาส์น ผู้เชี่ยวชาญเศรษฐกิจจีน จากคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้โพสต์เนื้อหากรณี 'จีนสั่งสอบเนื้อหมูยุโรปทุ่มตลาดในจีน'  จีนใช้พลังซื้อเป็นอาวุธ และโอกาสจะเกิดสงครามการค้าระหว่างจีน-สหภาพยุโรปหรือไม่ โดยระบุว่า...

เรื่องหมู ๆ แต่ไม่หมูสำหรับยุโรปแล้ว จีนสั่งสอบเนื้อหมูยุโรปทุ่มตลาดในจีน โดยใช้พลังซื้อจีนเป็นอาวุธ  ปีที่แล้ว 2023 จีนนำเข้าเนื้อหมูกว่า 2.2 แสนล้านบาท!! จีนเป็นประเทศที่กินหมูมากที่สุดในโลก และนำเข้าจำนวนมาก

(https://www.reuters.com/markets/commodities/china-opens-anti-dumping-probe-into-imported-pork-by-products-eu-2024-06-17/)

ที่ผ่านมา สหภาพยุโรปประกาศเก็บภาษี จะเล่นงานรถยนต์ EV จีน ก็เลยต้องโดนเอาคืนบ้างนะ โอกาสจะเกิดสงครามการค้าหรือไม่

ทั้งสหรัฐและสหภาพยุโรปเก็บภาษีรถยนต์ EV จีน แต่สหภาพยุโรปจะโดนจีนเอาคืนก่อน เพราะสหภาพยุโรปจะเก็บภาษี EV จีนในเดือนกรกฎาคมนี้ (ส่วนสหรัฐฯ แม้ประกาศก่อน แต่ยังไม่ขึ้นภาษีกับรถยนต์ EV ของจีนในทันที) 

เดือนกรกฎาคมที่จะถึงนี้ สหภาพยุโรปจะเรียกเก็บภาษีรถยนต์ EV จีนเพิ่มเติมจากอัตราเดิมสูงถึงร้อยละ 38.1

คณะกรรมาธิการยุโรปได้ประกาศเมื่อวันพุธที่ 12 มิถุนายน 2024 ว่าอัตราภาษีชั่วคราวใหม่จะถูกนำมาใช้เพิ่มเติมจากภาษีปัจจุบันที่ร้อยละ 10

คณะกรรมาธิการกล่าวว่า รถยนต์ไฟฟ้าที่ผลิตในจีนได้รับประโยชน์จากการอุดหนุนที่ไม่เป็นธรรม "ก่อให้เกิดภัยคุกคามต่อความเสียหายทางเศรษฐกิจ" ของผู้ผลิตในสหภาพยุโรป

นอกจากนั้นยังระบุว่า มาตรการดังกล่าวจะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 4 กรกฎาคม เว้นแต่การหารือกับจีนจะนำไปสู่ ‘แนวทางแก้ไขที่มีประสิทธิผล’

ภาษีเพิ่มเติมยังครอบคลุมถึงผู้ผลิตจากชาติตะวันตกในจีนด้วย

‘ฟิลิปปินส์’ โวย ‘สหรัฐฯ’ ป้ายสี วัคซีนซิโนแวค ของจีน ทำให้ประชาชนไม่กล้าฉีด สุดท้ายยอดตาย พุ่งหลายหมื่น

(23 มิ.ย.67) รายงานการสืบสวนหนึ่งของรอยเตอร์ที่เผยแพร่เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว พบว่ากองทัพสหรัฐฯ ได้เปิดยุทธการโฆษณาชวนเชื่อแบบลับๆ ในช่วงพีกสุดของโรคระบาดใหญ่ในฟิลิปปินส์ สำหรับเผยแพร่ข้อมูลบิดเบือนและก่ออิทธิพลสร้างวาทกรรมในวงกว้างเกี่ยวกับประสิทธิภาพของวัคซีนซิโนแวคของจีน เช่นเดียวกับอุปกรณ์และเครื่องไม้เครื่องมือช่วยชีวิตอื่นๆ ที่จัดหาให้โดยปักกิ่ง

ยุทธการดังกล่าว ซึ่งเริ่มขึ้นในปี 2020 และลากยาวจนถึงช่วงกลางปี 2021 เกี่ยวข้องกับการใช้บัญชีปลอมบนสื่อสังคมออนไลน์ ซึ่งรอยเตอร์ตรวจพบอย่างน้อย 300 บัญชีบนแพลตฟอร์มเอ็กซ์ โดยมีเจตนาเพื่อก่อความคลางแคลงใจต่อวัคซีนซิโนแวคในหมู่ประชาชนชาวฟิลิปปินส์ ขณะที่รอยเตอร์รายงานอ้างว่ายุทธการนี้ถูกจัดทำขึ้นมาเพื่อเอาคืนความพยายามของปักกิ่งที่กล่าวโทษวอชิงตัน เป็นต้นตอของโรคระบาดใหญ่

ซิโนแวค เป็นวัคซีนโควิด-19 ตัวแรกที่เข้าถึงได้ในฟิลิปปินส์ แต่การแจกจ่ายวัคซีนตัวนี้ถูกบดบังจากความกังวลเกี่ยวกับความน่าเชื่อถือของมัน ชาวฟิลิปปินส์มีความลังเลใจต่อวัคซีนซิโนแวคมากกว่าประเทศอื่นๆ ในภูมิภาค โดยจนถึงเดือนกันยายน 2021 มีถึงเกือบครั้งที่ไม่มีความตั้งใจหรือไม่แน่ใจว่าพวกเขาควรรับวัคซีนยี่ห้อนี้หรือไม่ ตามข้อมูลของเวิลด์แบงก์

บรรดาเจ้าหน้าที่สาธารณสุขในแนวหน้า ซึ่งปฏิบัติหน้าที่ ณ โรงพยาบาลฟิลิปปินส์ เจเนอรัล สถานพยาบาลหลักสำหรับผู้ป่วยโควิด-19 ของฟิลิปปินส์ ระบุว่าประชาชนชาวฟิลิปปินส์ ต้องกลายเป็นผู้ชดใช้ในปฏิบัติการแอบแฝงของสหรัฐฯ ในความพยายามทำลายความน่าเชื่อถือของวัคซีนจีน

ถ้าโฆษณาชวนเชื่อบิดเบือนข้อมูลนั้นเป็นจริง มุมมองของประชาชนทั่วไปเกี่ยวกับความสำคัญของวัคซีนอาจได้รับผลกระทบจากการยั่วยุปลุกปั่นทางสังคมในครั้งนี้ เรารู้ว่าชาวฟิลิปปินส์ โดยเฉพาะคนชรา สามารถเชื่อสิ่งที่พวกเขาอ่านได้อย่างง่ายๆ" แอนโดรน คาร์ล โรโรเนโจ พยาบาลในหออภิบาลกุมารเวชของโรงพยาบาลฟิลิปปินส์ เจเนอรัล บอกกับอาหรับนิวส์ "ฉันคิดว่าถ้าไม่มีเรื่องแบบนี้ จะมีคนยอมฉีดวัคซีนมากกว่านี้ในระยะแรกๆ และดังนั้น จะมีอีกหลายชีวิตที่ได้รับการปกป้อง

ยอดผู้เสียชีวิตจากโรคระบาดใหญ่ในฟิลิปปินส์พุ่งเหนือ 66,000 ราย ส่งผลให้พวกเขากลายเป็นชาติที่มีผู้เสียชีวิตจากโควิด-19 สูงสุดเป็นอันดับ 2 ของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เป็นรองเพียงอินโดนีเซีย

ไบรอัน เอลวัมบูเอนา แพทย์ประจำโรงพยาบาลฟิลิปปินส์ เจเนอรัล ในปี 2020 บอกว่าหลายชีวิตอาจอยู่รอดหากไม่มีการบิดเบือนข้อมูล เขาเชื่อว่ายุทธการของสหรัฐฯ ก่ออิทธิพลแก่คนไข้ของเขา หลายคนในนั้นติดเชื้อโควิด-19 อาการรุนแรง "ผมตกใจมาก และพบว่ามันไม่สร้างสรรค์และน่าสมเพช เพราะว่าเราพยายามอย่างสุดความสามารถ แจ้งให้ผู้คนเข้ารับวัคซีนยามที่วัคซีนมีพร้อมแล้ว"

พวกเจ้าหน้าที่สาธารณสุขฟิลิปปินส์ยังได้ย้อนความถึงกรณีที่โรคระบาดใหญ่ทำให้ระบบสาธารณสุขของประเทศอยู่บนขอบเหวของการพังครืน แพทย์และพยาบาลต้องดิ้นรนดูแลคนไข้โควิด-19 ท่ามกลางเคสผู้ติดเชื้อที่พุ่งสูง

ไดแอนน์ เดอ คาสโตร พยาบาลรายหนึ่งของโรงพยาบาลฟิลิปปินส์ เจเนอรัล เปิดเผยว่าเธอต้องรับหน้าที่ดูแลคนไข้ 24 คนเพียงลำพัง โดยในนั้น 4 คน ต้องใช้เครื่องช่วยหายใจและอุปกรณ์พยุงชีพ

"มันทำให้ฉันคิดว่า เราอาจปกป้องหรืออย่างน้อยๆ ก็มีอัตราการเสียชีวิตที่น้อยกว่านี้ หลายชีวิตต้องมาสูญเสียไปในช่วงเวลาอันมืดมิดในยุคของเรา ฉันทำงานในด้านสาธารณสุขมาราว 4 ปีก่อนโควิด-19 ฮันไม่เคยรู้สึกกวาดกลัวเช่นนี้มาก่อน ที่ได้เห็นแม่ๆ พ่อๆ ลูกหลาน ญาติๆ และเพื่อนๆ ต้องมาตายในทุกๆ วัน" เดอ คาสโตร ให้สัมภาษณ์กับอาหรับนิวส์

อุบายเผยแพร่ข้อมูลบิดเบือนแก่สาธารณะ ทำให้ฉันโมโห ฉันยังคงมองว่าซิโนแวคเป็นวัคซีนที่มีศักยภาพสำหรับรับมือโควิด-19 และการเผยแพร่ข่าวลือนี้เท่ากับเป็นการตัดสายออกซิเจนคนคนหนึ่ง ที่กำลังต้องการอากาศหายใจและดิ้นรนเพื่อความอยู่รอดของชีวิต

สำหรับเธอแล้ว เดอ คาสโตร บอกว่ายุทธการโฆษณาชวนเชื่อของสหรัฯ ‘เป็นการก่ออาชญากรรมต่อมนุษยชาติ’ ปล้นโอกาสรอดชีวิตจากโรคระบาดใหญ่ไปจากผู้คน และขโมยเหยื่อผู้เสียชีวิตไปจากครอบครัว

‘ยานฉางเอ๋อ-6’ กลับถึงโลก พร้อมชิ้นส่วน ‘หิน-ดิน’ จากอีกฟาก ‘ดวงจันทร์’ นับเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์มนุษยชาติ หลังใช้เวลา 53 วันปฏิบัติภารกิจ 

(25 มิ.ย.67) สำนักข่าวเอพีรายงานว่า ยานสำรวจฉางเอ๋อ-6 ของจีน ได้กลับมาถึงโลกโดยลงจอดในเขตมองโกเลียในทางตอนเหนือของจีน พร้อมตัวอย่างหินและดินจากอีกฟากหนึ่งของดวงจันทร์ ซึ่งเป็นพื้นที่ไม่เคยมีการสำรวจมาก่อน จึงถือเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติที่มีการเก็บตัวอย่างหินและดินมาจากด้านไกลของดวงจันทร์

จาง เค่อเจี้ยน ผู้อำนวยการองค์การบริหารอวกาศแห่งชาติจีน แถลงข่าวทางสถานีโทรทัศน์หลังการลงจอดของยานฉางเอ๋อ-6 เพียงไม่นานว่า “ผมขอประกาศว่าภารกิจสำรวจดวงจันทร์ฉางเอ๋อ-6 ประสบความสำเร็จอย่างสมบูรณ์แล้ว”

ด้านประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ของจีน ได้ส่งข้อความแสดงความยินดีกับทีมนักบินอวกาศของฉางเอ๋อ โดยกล่าวว่านี่คือ “ความสำเร็จครั้งสำคัญในความพยายามของประเทศของจีน ที่จะเป็นมหาอำนาจในด้านเทคโนโลยีและอวกาศ”

ทั้งนี้ด้านใกล้ของดวงจันทร์คือสิ่งที่มองเห็นได้จากโลก ในขณะที่ด้านไกลของดวงจันทร์หันไปทางอวกาศ โดยเป็นที่ทราบกันว่าด้านไกลมีภูเขาและหลุมอุกกาบาต ตรงกันข้ามกับพื้นที่ราบที่มองเห็นได้จากด้านใกล้

ในขณะที่ในอดีต สหรัฐและสหภาพโซเวียตต่างเก็บตัวอย่างมาจากด้านใกล้ของดวงจันทร์ จึงถือว่าภารกิจของจีนเป็นภารกิจแรกที่เก็บตัวอย่างจากด้านไกลของดวงจันทร์

โดยนักวิทยาศาสตร์ชาวจีนคาดว่าตัวอย่างที่นำกลับมาจากดวงจันทร์ จะรวมถึงหินภูเขาไฟอายุ 2.5 ล้านปี และวัสดุอื่นๆ ที่นักวิทยาศาสตร์หวังว่าจะช่วยตอบคำถามเกี่ยวกับความแตกต่างทางภูมิศาสตร์บนสองด้านของดวงจันทร์

ซงยู เยว่ นักธรณีวิทยาจากสถาบันวิทยาศาสตร์จีน ระบุในแถลงการณ์ที่เผยแพร่ใน Innovation Monday ซึ่งเป็นวารสารที่ตีพิมพ์ร่วมกับสถาบันวิทยาศาสตร์จีนว่า “คาดว่ากลุ่มตัวอย่างที่เก็บมาจะตอบคำถามทางวิทยาศาสตร์ขั้นพื้นฐานที่สุดข้อหนึ่งในการวิจัยด้านวิทยาศาสตร์ของดวงจันทร์ นั่นคือปฏิกริยาทางธรณีวิทยาประเภทใดที่ส่งผลต่อความแตกต่างระหว่างทั้งสองด้านของดวงจันทร์”

ทั้งนี้ จีนยังหวังว่ายานสำรวจจะกลับมาพร้อมกับวัสดุที่มีร่องรอยอุกกาบาตพุ่งชนจากดวงจันทร์ในอดีต เมื่อยานฉางเอ๋อ-6 กลับมาถึงอย่างปลอดภัย นักวิทยาศาสตร์จะเริ่มศึกษาตัวอย่างเหล่านั้น

ยานสำรวจฉางเอ๋อ 6 ออกจากโลกเมื่อวันที่ 3 พฤษภาคมที่ผ่านมา และ ใช้เวลาเดินทาง 53 วันในปฏิบัติการในครั้งนี้ โดยยานสำรวจสัญชาติจีนได้เจาะเข้าไปในแกนกลางของดวงจันทร์ และตักหินออกจากพื้นผิวของดวงจันทร์กลับมา

โครงการสำรวจดวงจันทร์เป็นส่วนหนึ่งของการแข่งขันที่เพิ่มมากขึ้นระหว่างจีนกับสหรัฐ ซึ่งยังคงเป็นผู้นำด้านการสำรวจอวกาศ รวมไปถึงประเทศอื่นๆ อย่างญี่ปุ่นและอินเดีย โดยจีนได้ส่งสถานีอวกาศของตนเองขึ้นสู่วงโคจรและส่งลูกเรือไปที่นั่นเป็นประจำ

ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้ จีนมีภารกิจไปยังดวงจันทร์ที่ประสบความสำเร็จหลายครั้ง รวมถึงการเก็บตัวอย่างจากด้านใกล้ของดวงจันทร์ด้วยยานสำรวจฉางเอ๋อ-5 ก่อนหน้านี้

'ชาวจีน' หนี 'สิงคโปร์' มาเที่ยวไทย เหตุเพราะ 'ความแพง' และมีแต่ตึก

เมื่อวานนี้ (25 มิ.ย.67) เว็บไซต์ Mothership สื่อของสิงคโปร์ได้รายงานถึงการที่นักท่องเที่ยวจีนเลือกเดินทางไปท่องเที่ยวในไทยและญี่ปุ่นมากกว่าสิงคโปร์ โดยให้เหตุผลหลัก ๆ ว่า ค่าใช้จ่ายในสิงคโปร์สูงเกินไปและมีสถานที่ท่องเที่ยวที่น้อยเมื่อเทียบกับไทยและญี่ปุ่น

ชาวสิงคโปร์หลายคนได้แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้ โดยบอกว่าค่าใช้จ่ายในสิงคโปร์แพงมาก เช่น การกินข้าวแกงที่มีราคา 21 ดอลลาร์สิงคโปร์ต่อจาน ซึ่งเป็นราคาที่สูงเกินไปสำหรับนักท่องเที่ยวทั่วไป 

นอกจากนี้ ยังมีความเห็นว่าสิงคโปร์มีข้อจำกัดหลายอย่างที่ทำให้นักท่องเที่ยวรู้สึกไม่สะดวกสบาย

หนึ่งในชาวสิงคโปร์ได้กล่าวว่า “สิงคโปร์มีข้อจำกัดที่โง่เขลามากเกินไป มีสิ่งที่ไม่อนุญาตเป็นจำนวนมาก สิงคโปร์เหมือนกับหุ่นยนต์ที่เดินไปเดินมาเพื่อหาเลี้ยงชีพ อย่ามาสิงคโปร์เลย ไปประเทศไทยเถอะ!”

จากความคิดเห็นนี้สะท้อนให้เห็นว่าชาวสิงคโปร์เองก็รู้สึกไม่พอใจกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น และเห็นว่าการเดินทางไปเที่ยวในประเทศไทยเป็นตัวเลือกที่ดีกว่า เนื่องจากไทยมีค่าครองชีพที่ถูกกว่า และมีสถานที่ท่องเที่ยวที่หลากหลายและน่าสนใจมากกว่า

การที่นักท่องเที่ยวจีนหนีจากสิงคโปร์ไปเที่ยวไทยแสดงให้เห็นถึงความสามารถในการดึงดูดนักท่องเที่ยวของประเทศไทย ซึ่งมีทั้งความเป็นธรรมชาติ วัฒนธรรมที่เป็นเอกลักษณ์ และอาหารที่อร่อยและราคาไม่แพง

เหตุการณ์นี้ยังชี้ให้เห็นถึงความท้าทายที่สิงคโปร์ต้องเผชิญในการแข่งขันกับประเทศเพื่อนบ้านในด้านการท่องเที่ยว ถ้าสิงคโปร์ต้องการที่จะดึงดูดนักท่องเที่ยวมากขึ้น อาจจำเป็นต้องพิจารณาปรับลดค่าใช้จ่ายและพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวใหม่ๆ เพื่อให้มีความหลากหลายและน่าสนใจมากขึ้น

‘ศูนย์ปล่อยยานอวกาศเชิงพาณิชย์แห่งแรกของจีน’ แล้วเสร็จ พร้อมปล่อยจรวดเชิงพาณิชย์ในช่วงครึ่งหลังของปี 2024

(1 ก.ค.67) สำนักงานใหญ่การก่อสร้างศูนย์ปล่อยยานอวกาศเชิงพาณิชย์ไห่หนาน ซึ่งเป็นศูนย์ปล่อยยานอวกาศเชิงพาณิชย์แห่งแรกของจีน ตั้งอยู่ที่เมืองเหวินชาง มณฑลไห่หนาน (ไหหลำ) ทางตอนใต้ เปิดเผยว่าขณะนี้ศูนย์แห่งนี้สามารถรองรับภารกิจการปล่อยจรวดได้แล้ว

รายงานระบุว่าหลังจากการประเมินอย่างครอบคลุม ศูนย์ดังกล่าวผ่านเกณฑ์ข้อกำหนดทั้งหมดในการเริ่มปฏิบัติการปล่อยจรวด โดยเมื่อวันอาทิตย์ (30 มิ.ย.) ที่ผ่านมาได้มีการจำลองซ้อมปล่อยจรวดด้วย

งานก่อสร้างศูนย์ปล่อยยานอวกาศเชิงพาณิชย์ไห่หนานเริ่มขึ้นในเดือนกรกฎาคม 2022 ปัจจุบันเป็นพื้นที่ปล่อยยานอวกาศแห่งแรกของจีนที่อุทิศให้กับภารกิจเชิงพาณิชย์โดยเฉพาะ

โครงการโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญของศูนย์ฯ ก่อสร้างเสร็จสมบูรณ์แล้ว อาทิ โครงการที่เกี่ยวข้องกับระบบเชื้อเพลิงและจ่ายก๊าซ สถานีไฟฟ้าย่อย และแท่นปล่อยจรวด

หยางเทียนเหลียง ประธานบริษัท ไห่หนาน อินเตอร์เนชันแนล คอมเมอร์เชียล แอโรสเปซ ลอนช์ จำกัด เผยว่าศูนย์ฯ มีกำหนดปล่อยจรวดครั้งแรกในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ ซึ่งจะเป็นจุดเริ่มต้นของการดำเนินการเชิงพาณิชย์

หยางกล่าวว่าแผนการต่อไปคือการขยายพื้นที่ปล่อยจรวดด้วยการติดตั้งแท่นปล่อยจรวดเพิ่มเติม และให้บริการปล่อยจรวดและดาวเทียมสำหรับทั้งในประเทศและต่างประเทศ ซึ่งจะช่วยเร่งการพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศเชิงพาณิชย์ของจีน

‘ออมเงินล้างแค้น’ เทรนด์ฮิตวัยรุ่นจีน งดฟุ่มเฟือย-ใช้จ่ายแค่จำเป็น แลกกับได้เห็นตัวเลขเงินเก็บที่เพิ่มขึ้น ในยามที่เศรษฐกิจไม่แน่นอน

ในขณะที่วัยรุ่นยุค Gen Z ทั่วโลก มีพฤติกรรมใช้จ่ายเงินสูงขึ้น และเริ่มเป็นหนี้กันตั้งแต่อายุน้อย ๆ แต่ที่จีนกลับมีเทรนด์ที่สวนกระแสไม่แคร์โลก เมื่อวัยรุ่นจีนแข่งขันกันเก็บออมเงินกันมากขึ้น และไม่ใช่การเก็บออมเงินแบบธรรมดาทั่วไป แต่เป็นการเก็บเงินแบบเอาเป็นเอาตาย เก็บโหด เหมือนโกรธใครมา

กระแสการเก็บเงินแบบโหด เกิดขึ้นในโลกออนไลน์จีนเมื่อไม่นานมานี้ ที่วัยรุ่นจีนเรียกว่า 报复性存钱 (เป้าฟู่ซิ่งฉุนเฉียน) หรือการเก็บเงินล้างแค้น ด้วยการตั้งเป้าหมายการออมเงินต่อเดือนในระดับสูงสุด และใช้จ่ายเงินเพื่อยังชีพเท่าที่จำเป็นให้น้อยที่สุด แล้วจึงเอารายละเอียดการใช้จ่ายของตนมาแชร์ในโลกออนไลน์ เพื่อแข่งกันว่าใครสามารถเหลือเงินเก็บได้มากกว่ากัน 

แต่นอกจากจะแข่งขันกันแล้ว บรรดานักเก็บเงินล้างแค้นยังมีการสร้างแรงจูงใจด้วยการแบ่งปันเทคนิคการประหยัดเงินในชีวิตประจำวันให้เพื่อน ๆ ในโซเชียลอีกด้วย อาทิ การเลือกรับประทานอาหารในโรงอาหารชุมชน ซึ่งเมื่อก่อนมักถูกมองว่าเป็นร้านสำหรับผู้สูงอายุ แต่ปัจจุบันมีวัยรุ่น หนุ่มสาวเข้าไปใช้บริการโรงอาหารชุมชนกันมากขึ้น เพราะค่าอาหารถูกโดยไม่ต้องไปคำนึงถึงความหรูหรา บางคนเน้นทำอาหารเองที่บ้าน บางคนเลือกซื้อเฉพาะผัก ผลไม้ตามฤดู หรือมีโปรโมชันลดราคาพิเศษเพื่อเน้นประหยัด

ชาวเน็ตรายหนึ่ง ที่ใช้นามแฝงว่า Little Zhai Zhai เล่าว่า เธอมีเป้าหมายที่จะลดค่ากินอยู่ให้เหลือเพียงแค่ 300 หยวนต่อเดือน (ประมาณ 1520 บาท/เดือน) ซึ่งล่าสุดเธอได้แชร์คลิปวิดีโอว่าสามารถใช้ชีวิตด้วยเงิน 10 หยวนต่อวันได้อย่างไร 

แถมหลายคนยังกลัวว่าตัวเองจะหลุดเป้า จึงเกิดไอเดียหาคู่หูร่วมประหยัด ให้มาช่วยกันดึงสติในการประหยัดเงินไปด้วยกันให้สามารถบรรลุเป้าหมายในแต่ละเดือนได้สำเร็จอีกด้วย 

กระแส ‘ออมเงินล้างแค้น’ สะท้อนหลายสิ่งที่น่าสนใจในสังคมจีนปัจจุบัน จากมุมมองของ ฉวน เหลียน ผู้อำนวยการของสำนักวิเคราะห์ตลาด China Market Research Group กล่าวว่า คนรุ่นใหม่จีนเลือกที่จะตอบโต้ต่อสภาพสังคมที่กดดัน บีบคั้น ด้วยการเก็บเงินอย่างเอาเป็นเอาตาย 

ซึ่งแตกต่างจากกลุ่มวัยรุ่นในยุคก่อนหน้าช่วงปี 2010s ที่ใช้จ่ายเงินสุรุ่ยสุร่ายเพื่อคลายเครียด ซึ่งเป็นยุคที่ตลาดสินค้าแบรนด์เนมในจีนเฟื่องฟูมาก จนวัยรุ่นยุคนั้นถึงขนาดยอมกู้หนี้ยืมสินเพื่อซื้อกระเป๋ากุชชี่สักใบ หรือ iPhone สักเครื่องกันมากมาย 

แต่วัยรุ่นจีนในยุคนี้ กลับมีความระมัดระวังในการใช้เงินมากขึ้น ส่งสัญญาณค่านิยมแบบ ‘การบริโภคย้อนกลับ’ หรือ ‘เศรษฐกิจแบบตระหนี่’ ซึ่งก็มีทั้งความพยายามในการใช้สติก่อนใช้สตางค์ หรือการเสาะหาโปรโมชันลดราคาทุกครั้งเมื่อต้องจับจ่ายซื้อของแต่ละชิ้น

ซึ่งตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิงกับกระแสค่านิยมของวัยรุ่นยุค Gen Z โดยรวมทั่วโลก ที่มักใช้เงินเพื่อการท่องเที่ยว ซื้อความสุขให้ตัวเองก่อนคิดที่จะออมเงิน เช่นเดียวกับรายงานดัชนีความมั่งคั่งโดย Intuit พบว่า 73% ของกลุ่มวัยรุ่น Gen Z ในสหรัฐอเมริกาให้ความสำคัญกับคุณภาพชีวิตที่ดีของตน มากกว่ายอดเงินออมในธนาคาร 

แต่ค่านิยมการเก็บเงินล้างแค้นของวัยรุ่นจีนมาจากไหน? 

คริสโตเฟอร์ เบดดอร์ รองผู้อำนวยการสถาบันจีนศึกษาของ Gavekal Dragonomics กล่าวว่า คนรุ่นใหม่จีนเริ่มมีความรู้สึกตรงกันว่าเศรษฐกิจไม่ได้ดีอย่างที่คิด ทำให้คนจีนเลือกที่จะเก็บเงินสำรองไว้ก่อนเพื่อความปลอดภัย

เพราะหากดูจากตัวเลข GDP ของจีนในช่วงไตรมาสแรกของปี 2024 นี้ เติบโตขึ้น 5.3% ซึ่งดีกว่าที่รัฐบาลเคยคาดการณ์ไว้ แต่จากรายงานของธนาคารแห่งชาติจีนก็ยังชี้ว่าครัวเรือนจีนยังออมเงินเพิ่มขึ้นเป็น 11.8% เช่นกัน ซึ่งสะท้อนถึงความไม่มั่นใจต่ออนาคตของเศรษฐกิจจีน 

เจี๋ย เหมี่ยว ผู้ช่วยศาสตราจารย์สถาบัน NYU เซี่ยงไฮ้ กล่าวว่า ปัญหาตลาดแรงงานที่คับแคบและหดตัวลง เป็นสาเหตุสำคัญที่หนุ่ม-สาวจีน ใช้จ่ายเงินลดลงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

จากตัวเลขอัตราการว่างงานในเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมาของกลุ่มวัยรุ่นอายุ 16 - 24 ปีอยู่ที่ 14.2% ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยอัตราการว่างงานของประเทศถึง 5% ส่วนเงินเดือนเฉลี่ยขอผู้จบการศึกษาระดับปริญญาตรี ที่สำรวจในปี 2023 อยู่ที่ 6,050 หยวน/เดือน (ประมาณ 3 หมื่นบาท) ซึ่งสูงกว่าปีที่ผ่านมาเพียง 1% 

จากสถานการณ์ที่ตลาดแรงงานแข่งขันสูง หนุ่มสาวจำนวนไม่น้อยยังหางานทำไม่ได้ และการหารายได้เสริมทำได้ยากขึ้น เป็นสิ่งที่บั่นทอนจิตวิญญาณ และ ความมั่นใจของหนุ่มสาวจีนให้หมดไฟ จึงต้องหาทางระบายด้วยการเก็บเงินล้างแค้น แม้ชีวิตจะลำเค็ญ แต่เมื่อเห็นตัวเลขเงินออมที่เพิ่มขึ้น ก็ยังพออุ่นใจในอนาคตที่ไม่แน่นอนของพวกเขาได้นั่นเอง

‘ทอร์นาโด’ ลูกใหญ่พัดถล่ม ‘ชานตง’ บ้านเรือนพังยับ สลด!! พบ ‘ผู้เสียชีวิต-ผู้บาดเจ็บ’ เกือบ 80 ราย

(6 ก.ค.67) เอเอฟพี รายงานความคืบหน้าหลัง พายุทอร์นาโด พัดถล่มเขตตงหมิง มณฑลชานตง ทางตะวันออกของ ประเทศจีน เมื่อช่วงบ่ายวันศุกร์ที่ 5 ก.ค.ที่ผ่านมา ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 1 ราย และบาดเจ็บเกือบ 80 ราย

ขณะที่โลกออนไลน์มีการเผยแพร่คลิปวิดีโอเหตุการณ์ ขณะทอร์นาโดเคลื่อนตัวผ่านอาคารบ้านเรือนและสร้างความเสียหายเป็นบริเวณกว้าง ต้นไม้ล้มระเนระนาด และป้ายโฆษณาถูกพัดพังยับเยิน

ทั้งนี้ หลายพื้นที่ในจีนเผชิญหน้ากับสภาพอากาศสุดขั้ว ในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา ตั้งแต่ฝนตกหนักไปจนถึงคลื่นความร้อนรุนแรง ซึ่งนักวิทยาศาสตร์กล่าวว่าการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเป็นปัจจัยขับเคลื่อนที่มีนัยสำคัญและทำให้สภาพอากาศยิ่งแปรปรวน

‘ตบตูดแกะ’ เทรนด์ใหม่ในกลุ่ม ‘วัยรุ่นจีน’ ชี้!! คลายเครียดได้ดี ได้ลองแล้วจะติดใจ

(7 ก.ค.67) ที่ตลาดค้าปศุสัตว์ในเขตปกครองตนเองซินเจียงอุยกูร์ เต็มไปด้วยนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาทำอะไรแปลกๆ กับแกะที่ถูกมัดอยู่ โดยจะได้ยินเสียงตบดังแปะเบาๆ ตามมาด้วยเสียงหัวเราะ

ต่อมาโลกโซเชียลของจีนก็เต็มไปด้วยคำชักชวนให้ลองไปสัมผัสและตบตูดแกะที่ตลาดดังกล่าว โดยนักท่องเที่ยวรายหนึ่งเล่าผ่าน ‘เสี่ยวหงซู’ (แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียของจีน) ว่าตูดของแกะนั้นทั้งเด้งและนุ่ม ซึ่งถ้าได้ลองแล้วจะติดใจอย่างไม่น่าเชื่อ

นอกจากนี้ ในคลิปวิดีโอที่แชร์กันบนโลกโซเชียล มีคนหนึ่งได้ลองตบตูดแกะแล้วบอกว่า ‘นี่มันคลายเครียดได้จริงๆ’ ขณะที่อีกคนบอกว่า ‘ฉันลงทุนนั่งเครื่องบินมา 5 ชั่วโมง เพื่อที่จะมาตบตูดแกะ เพราะมันเป็นประสบการณ์ที่ไม่สามารถหาได้จากในเมือง’

เทรนด์ตบตูดแกะกลายเป็นที่นิยม ถึงขนาดมีคนออกมาแนะนำข้อมูลและให้รายละเอียดเกี่ยวกับสายพันธุ์แกะที่พอตบตูดพวกมันแล้วจะให้ความรู้สึกฟินมากเป็นพิเศษ รวมทั้งยังมีการแนะนำองศา มุม และความแรงในการตบ ซึ่งบางคนบอกว่า ‘ช่วยตบมันเบาๆ หน่อย’

แม้คนเลี้ยงแกะส่วนใหญ่จะยอมรับเทรนด์นี้ ซึ่งช่วยสร้างความคึกคักและกระตุ้นเศรษฐกิจเป็นอย่างดี แต่พวกเขายังมีความกังวลเกี่ยวกับจำนวนนักท่องเที่ยวที่มากเกินไป

‘ถ้ามีคนมาจับตูดแกะมากเกินไป อาจทำให้พวกมันเกิดภาวะซึมเศร้าได้ มนุษย์ไม่สนใจพวกแกะหรอก พวกเขาสนใจแต่เรื่องของตัวเองเท่านั้น’ คนเลี้ยงแกะกล่าว

ด้านผู้เชี่ยวชาญได้ออกมาอธิบายเกี่ยวกับความนิยมที่เพิ่มขึ้นของเทรนด์นี้ว่า เป็นวิธีการแหวกแนวที่คนหนุ่มสาวนำมาใช้ เพื่อให้หลุดพ้นจากข้อจำกัด หรือข้อบังคับในชีวิตประจำวัน แต่ถึงกระนั้นก็ไม่แนะนำให้ทำตามเทรนด์แบบสุ่มสี่สุ่มห้า เพราะพฤติกรรมดังกล่าวแสดงให้เห็นถึงการขาดความเคารพต่อสัตว์ ดังนั้น ควรไปหาความบันเทิงในรูปแบบอื่นจะดีกว่า

มีรายงานว่า หญิงคนหนึ่งมีอาการท้องเสียและอาเจียน หลังจากไปตบตูดแกะ โดยเธอได้รับแจ้งว่าอาจเกิดจากแบคทีเรียจากสัตว์ภายในฟาร์ม เนื่องจากภายในคอกแกะมีก้อนอุจจาระอยู่เป็นจำนวนมาก

หลังเรื่องราวดังกล่าวถูกเผยแพร่ออกไป ชาวเน็ตต่างคอมเมนต์ เช่น 

เราแค่ตบตูดของแกะเบาๆ ซึ่งไม่เป็นอันตรายต่อสัตว์ และคนเลี้ยงแกะก็เห็นด้วย มันเป็นวิธีผ่อนคลายที่น่าสนใจ

ฉันรู้สึกเสียใจกับแกะพวกนี้ ถ้าพวกมันพูดได้ มันอาจจะรู้สึกว่ากำลังถูกคุกคาม

ฉันหวังว่าคนเลี้ยงแกะในท้องถิ่นจะกำหนดกฎต่างๆ เช่น จำกัดจำนวนผู้ที่มาตบตูดแกะในแต่ละวัน เพื่อที่จะได้ไม่เหนื่อยจนเกินไป


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top