Thursday, 12 June 2025
จีน

'โซเชียลจีน' สะพัด!! ข่าว 'ปธน.สี จิ้นผิง' อาจป่วยหนัก หลอดเลือดในสมองตีบ

(18 ก.ค.67) สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า เกิดข่าวลือแพร่สะพัดบนโลกออนไลน์ของประเทศจีน แต่ยังไม่ได้รับการยืนยันออกมาอย่างแน่ชัด ว่าประธานาธิบดีสี จิ้นผิง อาจป่วยเป็นโรคหลอดเลือดในสมองตีบ หรือ สโตรก ระหว่างการประชุมคณะกรรมการกลางพรรคคอมมิวนิสต์ครั้งที่ 3 ซึ่งเขาเป็นประธานการประชุม ในฐานะเลขาธิการคณะกรรมการกลาง 

ถึงแม้ว่าสื่อกระแสหลักของโลกยังไม่มีการรายงานข่าวนี้แต่อย่างใด และในปี 2565 ก็เคยเกิดข่าวลือว่า 'สี จิ้นผิง' ถูกรัฐประหารยึดอำนาจ หลังจากเขาหายหน้าไปจากสาธารณะระยะหนึ่ง แต่สุดท้ายก็ได้รับการยืนยันว่าไม่ใช่เรื่องจริง

นางเจนนิเฟอร์ จาง นักข่าวด้านสิทธิมนุษยชน เป็นต้นกำเนิดข่าวลือล่าสุดนี้ โดยเธอโพสต์บนยูทูบ อ้างคำพูดของนายจางหมิง ศาสตราจารย์และหัวหน้างานระดับปริญญาเอก ของคณะความสัมพันธ์ระหว่างประเทศของ มหาวิทยาลัยเหรินหมิน ซึ่งจู่ ๆ ก็โพสต์ข้อความว่า “มีอะไรที่ยิ่งใหญ่เกิดขึ้น” โดยไม่ขยายความต่อแต่อย่างใด 

เธอยังอ้างรายงานของนายซู เสี่ยวโหว นักข่าวชาวจีนซึ่งมีผู้ติดตามบนยูทูบ 1.79 แสนคน ว่า จู่ ๆ 'สี จิ้นผิง' ก็เกิดอาการหลอดเลือดสมองตีบขณะร่วมประชุมคณะกรรมการกลางพรรคคอมมิวนิสต์ครั้งที่ 3 และถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลทันที เธออ้างด้วยว่ามีผู้ใช้งานยูทูบคนอื่น ๆ ก็รายงานข่าวไปในทำนองเดียวกัน

‘พรรคคอมมิวนิสต์จีน’ พร้อมแถลงข่าว หลังประชุมแบบเต็มคณะ ครั้งที่ 3 จ่อถ่ายทอดสดชี้แจงหลักการชี้นำต่างๆ วันนี้ 10.00 น. ตามเวลาปักกิ่ง

เมื่อวานนี้ (18 ก.ค. 67) สำนักข่าวซินหัว ได้มีการประมวลภาพบรรยากาศการประชุมเต็มคณะ ครั้งที่ 3 ของคณะกรรมการกลางพรรคคอมมิวนิสต์จีน (CPC) ชุดที่ 20 ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันจันทร์-พฤหัสบดี (15-18 ก.ค.) ในกรุงปักกิ่งของจีน

นอกจากนี้ ยังมีรายงานเพิ่มเติมว่า คณะกรรมการกลางพรรคคอมมิวนิสต์จีน (CPC) จะจัดการแถลงข่าวเกี่ยวกับหลักการชี้นำต่าง ๆ จากการประชุมเต็มคณะ ครั้งที่ 3 ของคณะกรรมการกลางพรรคฯ ชุดที่ 20 ในวันศุกร์ (19 ก.ค.) ซึ่งก็คือวันนี้

โดยการแถลงข่าวดังกล่าวมีกำหนดเริ่มต้นตอน 10.00 น. ตามเวลาปักกิ่ง จะได้รับการถ่ายทอดสดโดยไชน่า มีเดีย กรุ๊ป (China Media Group) และเว็บไซต์ข่าวสารที่สำคัญ เช่น พีเพิลดอทคอมดอทซีเอ็น (people.com.cn) ซินหัวเน็ตดอทคอม (xinhuanet.com) และไชน่าดอทคอมดอทซีเอ็น (china.com.cn)

‘ร้านค้าจีน’ ผุดไอเดีย รังสรรค์ ‘เมนูปิ้งย่าง’ สุดแปลก ดึงดูดใจลูกค้า ‘กระบองเพชร-แตงโม-โชว์แกะสลักเป็นรูปร่าง-น้ำแข็ง’ มาหมด!!

(19 ก.ค. 67) บาร์บีคิวปิ้งย่างเป็นอาหารยอดนิยม ซึ่งเป็นที่คลั่งไคล้ของชาวจีนจำนวนมาก บรรดาพ่อค้าแม่ค้าจึงมักสรรหาวัตถุดิบ พร้อมไอเดียสุดสร้างสรรค์มารังสรรค์เมนูใหม่ ๆ อยู่เสมอ

ทั้งนี้ ล่าสุดคลิปวิดีโอบนเสี่ยวหงซู แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียยอดฮิตของจีน ซึ่งโพสต์โดย ‘Jinkesi’ บล็อกเกอร์อาหาร มียอดไลก์มากกว่า 18,000 ไลก์ เผยภาพอาหารปิ้งย่างแปลก ๆ อย่าง ‘กระบองเพชรย่าง’ และ ‘แตงโมย่าง’ ในเมืองเฉิงตู มณฑลซื่อชวน (เสฉวน)

ขณะที่ในโต่วอิน หรือติ๊กต็อกเวอร์ชันจีน แฮชแท็ก ‘ทุกอย่างย่างได้’ มีผู้เข้าชมเกือบ 3 พันล้านครั้ง โดยหนึ่งในคลิปวิดีโอยอดนิยม คือ ‘เมนูน้ำแข็งย่าง’ ที่ทำเอาหลายคนงงว่าจะกินตอนร้อน ๆ หรือจะทิ้งไว้ให้เย็นก่อนดี?

กระแสความนิยมของปิ้งย่างยังเป็นแรงบันดาลใจให้ผู้คนจำนวนมากสร้างสรรค์อาหารที่ไม่ซ้ำใคร โดยมีลักษณะคล้ายกับสิ่งของต่าง ๆ เช่น พริกเขียวที่แกะสลักเป็นรูประเบิดมือ มะเขือม่วงที่แกะสลักเป็นรองเท้าส้นสูง และ ไส้กรอกย่างที่พยายามทำเป็นรูป Peppa Pig

ด้านชาวเน็ตต่างคอมเมนต์ เช่น “ในที่สุดโลกก็แปลกประหลาดเกินกว่าที่ฉันจินตนาการไว้ ถ้าฉันเสียสติเมื่อไหร่ ฉันจะลองชิมอาหารเหล่านี้ดู”, "กระบองเพชรย่างมีน้ำเยอะและอร่อยมาก" และ “ลองย่างเครื่องบิน รถถัง หรือเรือดำน้ำดูไหม?...”

อย่างไรก็ตาม ตามข้อมูลของ Hongcan เว็บไซต์ที่รวบรวมข้อมูลเรื่องอาหารและเครื่องดื่ม ระบุว่า จีนมีร้านบาร์บีคิวปิ้งย่างมากกว่า 330,000 ร้าน ที่กำลังแข่งขันกันอย่างดุเดือด

ไขความลับ 'ซินเจียงอุยกูร์' ใต้ผืนทะเลทราย-ภูเขาหิมะ-อากาศแปรปรวน' แต่กลับมี 'น้ำใช้-ไม่แล้ง-ไม่ท่วม' จนสร้างผลผลิตทางเกษตรได้ดีเกินคาด

เมื่อวานนี้ (21 ก.ค.67) เพจ ‘ตี๋น้อย’ ได้โพสต์ข้อความเกี่ยวกับ ภูมิปัญญาการวางแผนระบบวิศวกรรมน้ำแบบครบวงจร ที่เขตปกครองตนเองซินเจียงอุยกูร์ ประเทศจีน โดยได้ระบุว่า ...

ช่วงสัปดาห์ที่แล้ว ทางมหาวิทยาลัยสือเหอจื่อ เขตปกครองตนเองซินเจียงอุยกูร์ ประเทศจีนได้พานักศึกษาต่างชาติรวมถึงตี๋น้อยมีโอกาสได้ไปเรียนรู้ระบบวิศวกรรมด้านน้ำมาครับ

อย่างที่ทุกคนรู้ครับว่า เขตปกครองตนเองซินเจียงอุยกูร์ ประเทศจีนเป็นพื้นที่ทะเลทราย แต่ก็มีพื้นที่ที่เป็นภูเขาหิมะด้วย สภาพอากาศค่อนข้างแตกต่างกันมากๆ หนาวสุด -30 องศาเซลเซียส หิมะหนามาก ๆ ถนนเป็นน้ำแข็ง ร้อนสุดที่ 35-38 องศาเซลเซียส ซึ่งจะเห็นได้ว่า สภาพอากาศแตกต่างกันมาก ๆ

แล้วทีนี้ในสภาพอากาศที่สุดขั้วแบบนี้ทำไมที่นี่ซินเจียงถึงมีน้ำใช้ได้ตลอด ไม่ท่วม ไม่แล้ง แถมทำการเกษตรได้ดีด้วย

คำตอบอยู่ที่นี่ครับ ทุกอย่างอยู่ที่สมอง และการจัดการของมนุษย์ล้วน ๆ ที่นี่เองมีการวางแผนระบบวิศวกรรมน้ำแบบครบวงจรทั้งเมือง นำธรรมชาติและเทคโนโลยีวิศวกรรมมากประยุกต์ใช้ร่วมกันให้เกิดประโยชน์สูงสุด

ที่นี่มีการวางผังระบบน้ำทั้งระบบของทั้งเมือง ทั้งต้นน้ำ กลางน้ำ และ ปลายน้ำ โดยที่ต้นน้ำจะมีสถานีรับน้ำจากภูเขาหิมะ โดยที่น้ำจะเป็นหิมะละลายมาจากภูเขา และที่สถานีรับน้ำมีท่อรับน้ำเพื่อเก็บแทงค์น้ำใต้ดิน มีทั้งระบบน้ำล้น น้ำผุด นอกจากนี้ที่นี่ยังมีประตูระบายน้ำอัตโนมัติ รวมถึงการควบคุมการส่งน้ำผ่านแม่น้ำลำคลองที่มนุษย์สร้างด้วย ที่สำคัญคือ ทุกอย่างควบคุมผ่านเอไอทั้งหมดด้วย ทำให้ที่นี่เวลาหิมะละลาย น้ำไม่ท่วม หน้าแล้งก็มีน้ำใช้ตลอด ทุกอย่างเพียงพอสำหรับการเกษตร และการใช้น้ำในชีวิตประจำวัน ไม่มีแล้ง แถมมีผลไม้ให้กินตลอดด้วย

เปิดเรื่องราว ‘ชาวฮ่องกง’ ผู้ถือ ‘พาสปอร์ต BNO’ หวังหนี ‘จีน’ ซบ ‘อังกฤษ’ ไร้สิทธิประโยชน์-อยู่ต่ำกว่าพลเมืองในประเทศ สุดท้ายมีคนจบชีวิตประท้วง

ก่อนและหลัง...สหราชอาณาจักรส่งมอบฮ่องกงคืนให้กับสาธารณรัฐประชาชนจีน สิ่งที่ชาวฮ่องกงจำนวนหนึ่งถึงทำก็คือ ‘การอพยพ’ ไปอยู่ประเทศอื่น ๆ อาทิ แคนาดา ออสเตรเลีย หรืออังกฤษ ประเทศเจ้าอาณานิคมเดิม โดยการอพยพไปอยู่อังกฤษนั้น ชาวฮ่องกงใช้สถานะความเป็น ‘พลเมืองอังกฤษ (โพ้นทะเล)’ หรือ British National (Overseas) ซึ่งจะได้หนังสือเดินที่เรียกว่า ‘British National (Overseas) passport หรือ BN(O) passport’

โดยสถานะดังกล่าวได้มาจากการลงทะเบียนโดยสมัครใจของบุคคลที่มีความเกี่ยวข้องกับดินแดนอดีตอาณานิคมฮ่องกง ซึ่งเคยเป็นพลเมืองในดินแดนโพ้นทะเลของอังกฤษ (British Overseas Territories citizen : BDTC) ก่อนที่จะถูกส่งมอบให้กับสาธารณรัฐประชาชนจีนในปี 1997 การลงทะเบียนสถานะ BN(O) จำกัดเฉพาะช่วงเวลา 10 ปีก่อนการโอน โดยถือเป็นการจัดเตรียมชั่วคราวสำหรับอดีต BDTC ผู้ที่อาศัยอยู่ในปัจจุบัน (หลังปี 1997) ไม่สามารถได้รับสถานะนี้ได้

BN(O) ถือเป็นพลเมืองของเครือจักรภพ จึงไม่ใช่พลเมืองอังกฤษ ต้องผ่านการตรวจคนเข้าเมืองเมื่อเข้าสู่สหราชอาณาจักรเหมือนชาวต่างชาติอื่น ๆ ทั้งยังไม่มีสิทธิ์ในการพำนักในอังกฤษโดยอัตโนมัติ และชาวฮ่องกงที่เลือกเป็น BN(O) แล้ว ทุกคนจะต้องสละสัญชาติจีน(ฮ่องกง) โดยมีสถานะเป็นผู้อยู่อาศัยถาวรในฮ่องกงหลังจากที่รัฐบาลจีนบังคับใช้กฎหมายความมั่นคงแห่งชาติ (ซึ่งก่อให้เกิดการจลาจลในฮ่องกงในปี 2019-2020) สหราชอาณาจักรได้อนุญาตให้ผู้ที่ถือหนังสือเดินทาง BN(O) และสมาชิกในครอบครัวที่อยู่ในความอุปการะของพวกเขาสามารถสมัครวีซ่าถิ่นที่อยู่แบบต่ออายุทุก 5 ปี ตั้งแต่วันที่ 31 มกราคม 2021

BN(O) ทำให้ผู้ถือได้รับสถานะพิเศษเมื่ออาศัยอยู่ในสหราชอาณาจักร ซึ่งจะช่วยให้มีสิทธิลงคะแนนเสียง ได้รับสัญชาติอังกฤษภายใต้กระบวนการที่ไม่ยุ่งยาก และสามารถดำรงตำแหน่งสาธารณะหรือตำแหน่งในรัฐบาล มีผู้ถือ BN(O) ประมาณ 2.9 ล้านคน โดยประมาณ 720,000 คนในจำนวนนี้ถือหนังสือเดินทางอังกฤษที่ถูกต้อง และได้รับความคุ้มครองจากกงสุลเมื่อเดินทางไปต่างประเทศ อย่างไรก็ตาม รัฐบาลจีนไม่รับรองหนังสือเดินทางประเภทนี้ว่าเป็นเอกสารการเดินทางที่ถูกต้อง และจำกัดไม่ให้ผู้ถือ BN(O) เข้าถึงการคุ้มครองจากกงสุลอังกฤษหรือจากคณะผู้แทนทางการทูตของสหราชอาณาจักรที่ตั้งอยู่ในฮ่องกงและสาธารณรัฐประชาชนจีน

หนังสือเดินทาง BN(O) ยุคแรกจนถึงปี 1990

สำหรับชาวฮ่องกงผู้ที่ถือหนังสือเดินทาง BN(O) รัฐบาลสหราชอาณาจักรได้มีการจัดทำโครงสร้างโครงการปลอดวีซ่าอย่างชาญฉลาด ซึ่งปัจจุบันปี 2024 ผู้ที่ต้องการอพยพออกจากฮ่องกงส่วนใหญ่เพื่อค้นหา 'ประชาธิปไตย' และ 'เสรีภาพ' และที่มากกว่านั้นคือ กลุ่มหัวรุนแรงรุ่นใหม่ที่เคยเป็นแกนกลางของการประท้วงต่อต้านรัฐบาล/การจลาจล/การก่อการร้ายในปี 2019 แต่กลุ่มนี้ไม่มีสิทธิ์ย้ายมาอยู่ในสหราชอาณาจักร เนื่องจากเกิดหลังจากการส่งมอบในปี 1997 และ BN(O) ของผู้ปกครองไม่สามารถส่งต่อไปยังพวกเขาได้ ดังนั้น สหราชอาณาจักรจึงสามารถหลีกเลี่ยงการอพยพเข้ามาของเยาวชนที่ปัญหาเหล่านี้ได้

หนังสือเดินทาง BN(O) ปี 1990-1997

นอกจากนี้ สำหรับพ่อแม่ของเด็ก ๆ ที่เกิดหลังปี 1997 มีน้อยมาก ๆ ที่จะยอมต้องทิ้งลูก ๆ ไว้ข้างหลังหรือจ่ายเงินจำนวนมากเพื่อให้ลูก ๆ ได้รับการศึกษาในสหราชอาณาจักรในฐานะนักเรียนต่างชาติ ส่วนผู้ประกอบการอิสระส่วนใหญ่มักจะไม่ยินยอมอพยพแบบถอนรากถอนโคนและเริ่มต้นชีวิตใหม่ตั้งแต่ต้นในประเทศใหม่ที่ต่างไปกว่าเดิม เว้นแต่พวกเขาจะถูกบังคับให้ทำ สื่อตะวันตกอาจนำเสนอภาพที่ชาวฮ่องกงถูกกดขี่ ข่มเห่ง แต่ความเป็นจริงแล้ว ฮ่องกงคือแหล่งทำมาหาเงินของพวกเขา

หนังสือเดินทาง BN(O) ปี 1997-2020

ชาวฮ่องกงที่ถือหนังสือเดินทาง BN(O) เมื่อย้ายมาอยู่ในสหราชอาณาจักรจะไม่สามารถรับสิทธิประโยชน์ใด ๆ ได้จนกว่าจะได้รับสัญชาติเป็นพลเมืองอังกฤษ ดังนั้นพวกเขาจะต้องดำรงชีวิตด้วยเงินออมที่พวกเขานำติดตัวมาด้วย ด้วยทักษะภาษาอังกฤษที่ย่ำแย่ จะมีชาวฮ่องกงสักกี่คนที่หางานได้ดีกว่างานที่ใช้ทักษะธรรมดา สำหรับงานระดับบริหารในสหราชอาณาจักรปิดโอกาสสำหรับผู้ถือ BN(O) แทบจะโดยสิ้นเชิง ผู้ที่ไม่สามารถหางานประจำได้ก่อนที่เงินออมจะหมดจะถูกบังคับให้หาทางออกต่าง ๆ ผู้ที่มีทรัพยากรมากกว่าสามารถเริ่มต้นธุรกิจของตนเองได้ แต่ต้องหาเขตที่คนท้องถิ่นมีอัธยาศัยดีต่อผู้อพยพมาก ๆ 

หนังสือเดินทาง BN(O) ปัจจุบัน ตั้งแต่ปี 2020

เมื่อวีซ่า 5 ปีหมดอายุ และภายใน 1 ปีหลังวีซ่าหมดอายุจะไม่มีการรับประกันการได้รับสัญชาติเป็นพลเมืองอังกฤษ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่ไม่สามารถหางานได้ค่าตอบแทนดี รัฐบาลอังกฤษอาจแค่บอกว่า “คุณอยู่มานานมากแล้วและขอบคุณสำหรับที่ผ่านมา” หลังจากแยกผู้ที่มีศักยภาพที่จะอยู่ต่อออกจากมาให้ได้มากที่สุด ซึ่งไม่มีภาระผูกพันด้านสวัสดิการระยะยาว ในขณะเดียวกันสหราชอาณาจักรได้รับการสนับสนุนทางการเมืองบางส่วนจากพันธมิตรตะวันตก เนื่องจากความมีมนุษยธรรมที่ชัดเจนในการช่วยเหลือชาวฮ่องกง 'หลายล้านคน' ให้หลุดพ้นจากเงื้อมมือของ 'จีน(ที่ชั่วร้าย)' ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อรัฐบาลไม่ขัดแย้งกับรายงานของสื่อที่บอกเป็นนัยว่าประชากรฮ่องกงทั้งหมดมีสิทธิ์ในการต่อต้านจีน 

ท้ายที่สุด จำนวนผู้ที่ไปนับหมื่นครอบครัวและผู้ที่อยู่ระยะยาวจะยิ่งลดน้อยลงไปอีก ตัวอย่างหนึ่งก็คือ ‘Ho Yik-king’ นักเคลื่อนไหวเรียกร้องเอกราชฮ่องกง ฆ่าตัวตายในอังกฤษ หลังชีวิตในสหราชอาณาจักรแทบไม่มีอะไรดั่งที่เธอฝัน เพราะชาวฮ่องกงที่ถือหนังสือเดินทาง BN(O) ถูกจัดให้อยู่ในระดับที่ ‘ต่ำชั้นกว่าพลเมืองในประเทศ’ เรื่องราวที่น่าสะเทือนใจอันเป็นชีวิตจริงของหญิงสาวนักเคลื่อนไหว ผู้เรียกร้องเอกราชฮ่องกงจากจีน ‘Ho Yik-king’ (โฮ ยิก-คิง) ก่อนเข้ามหาวิทยาลัยและระหว่างการศึกษาในมหาวิทยาลัยฮ่องกง เธอประพฤติตัวดีเสมอมา หลังจากสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีสาขาเอเชียศึกษาและนานาชาติ ด้วยความชื่นชอบในเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ เธอจึงได้ศึกษาเพิ่มเติมในมหาวิทยาลัยเจนีวาจนสำเร็จปริญญาโท

ในปี 2018 ฮ่องกงต้องประสบกับการประท้วงอันความสับสนอลหม่านภายใน โดยมีสาเหตุหลักมาจากการเสนอให้แก้ไขกฎหมายส่งผู้ร้ายข้ามแดน ซึ่งก่อให้เกิดภัยคุกคามต่อผลประโยชน์ของกลุ่มบุคคลหัวรุนแรงในฮ่องกง ซึ่งต่อต้านรัฐบาลจีน และเพื่อเป็นการแสดงออกถึงการคัดค้านการแก้ไขกฎหมายดังกล่าว กลุ่มบุคคลหัวรุนแรงเหล่านี้ จึงได้จัดการประท้วงอย่างต่อเนื่องบนท้องถนนย่านใจกลางเมืองฮ่องกง และเมื่อไม่มีการตอบโต้จากรัฐบาลฮ่องกง กลุ่มผู้ประท้วงจึงได้เพิ่มความรุนแรงในการประท้วงของพวกเขา โดยหันไปใช้วิธีทำลายล้าง หรือแม้แต่โจมตีต่อประชาชนชาวฮ่องกงทั่วไป ในช่วงเวลานี้ ภายใต้อิทธิพลของบรรดาเพื่อนร่วมงานของเธอ ‘Ho Yik-king’ ได้รับการปลูกฝังในเรื่องการเรียกร้องเอกราชของฮ่องกงโดยสมบูรณ์ และได้เข้าร่วมขบวนการต่อต้านการส่งผู้ร้ายข้ามแดนอย่างแข็งขัน ที่สุดเธอจึงกลายเป็นบุคคลสำคัญในหมู่คนหัวรุนแรงเหล่านี้ โดยใช้แพลตฟอร์มออนไลน์เพื่อแสดงมุมมองที่รุนแรง และมีส่วนร่วมในการเผชิญหน้ากับรัฐบาลฮ่องกง เชื่อกันว่า เธอได้การสนับสนุนจากรัฐบาลอังกฤษในการเรียกร้องเอกราชให้ฮ่องกง และเธอถูกรัฐบาลฮ่องกงพยายามจับกุม

หลังจากเธอขายทรัพย์สินทั้งหมดของตัวเองในฮ่องกงแล้ว ด้วยความช่วยเหลือของรัฐบาลอังกฤษ โดยเธอได้รับหนังสือเดินทาง ‘BNO’ (British National Overseas) อย่างไรก็ตาม หลังจากเธอเดินทางไปอยู่ในอังกฤษแล้ว เธอแทบไม่ได้รับการดูแลอะไรจากรัฐบาลอังกฤษเลย จะหางานทำ หรือเปิดบัญชีธนาคารก็ทำไม่ได้ เพราะพาสปอร์ต BNO ไม่สามารถทำให้เธอมีสิทธิเช่นเดียวกับพลเมืองอังกฤษ และสิ่งที่ทำให้เธอต้องประหลาดใจที่สุด คือ เธอไม่สามารถจ่ายค่าเช่าห้องอันแสนแพงได้ ทั้งยังต้องดำรงชีวิตอยู่ด้วยการทานอาหารเพียงวันละมื้อเดียว ภายใต้แรงกดดันมหาศาล ในที่สุดเธอก็ตัดสินใจจบชีวิตตนเองด้วยการฆ่าตัวตาย และได้ทิ้งจดหมายลาตายเอาไว้ ชีวิตของ Ho Yik-king จึงเป็นเพียงแค่เบี้ยตัวเล็ก ๆ ตัวหนึ่ง ที่รัฐบาลอังกฤษไม่ได้ให้ค่า ครั้นเธอจะกลับฮ่องกงก็จะต้องติดคุก ปริญญา 2 ใบของเธอ ไม่ได้ช่วยให้เธอได้ตาสว่างแต่อย่างใด ด้วยเพราะตำราที่เธอเรียนจนได้ปริญญา 2 ใบนั้น เขียนโดยชาติตะวันตกทั้งสิ้น ซึ่งถือเป็นเรื่องที่น่าเศร้าสำหรับบุคคลที่มีภูมิทางการศึกษาดี แต่เลือกเส้นทางและความเชื่อในทางที่ผิด และเมื่อสืบค้นเรื่องราวของเธอใน Google แล้วจะพบเพียงหนึ่งเรื่องใน YouTube คือ https://www.youtube.com/watch?v=vFbjcZEfxFY และใน X มีผู้ใช้ชื่อว่า Richard Seeto @richseeto ได้นำเรื่องราวของเธอใน YouTube ไปลง สิ่งที่เกิดขึ้นนั้นเป็นราวกับว่า เธอไม่เคยมีตัวตนปรากฏอยู่เลย

นี่คือเรื่องราวของชาวฮ่องกง ที่แต่แรกเริ่มเดิมทีต่างพากันเห็นว่า หนังสือเดินทางพลเมืองอังกฤษ (โพ้นทะเล) หรือ British National (Overseas) passport (BN(O) passport คือ หนังสือเดินทางที่จะนำพาพวกตนและครอบครัวไปสู่แดนสวรรค์ในสหราชอาณาจักร แต่พอได้ไปใช้ชีวิตอยู่จริงแล้ว กลับกลายเป็นเหมือนกับการตกอยู่ในนรกทั้งเป็น ถือเป็นบทเรียนและอุทาหรณ์ของบรรดาผู้ที่ชังชาติ อยากย้ายประเทศจนตัวซีดตัวสั่นทั้งหลาย ว่า “ไม่เจอ...ก็ไม่รู้ ไม่เจ็บ...ก็ไม่จำ”

NETA เปิดราคา NETA X ตัวท็อป ไม่ถึง 8 แสนบาท ชูจุดเด่นเทคโนโลยีล้ำ-นั่งสบาย พร้อมส่งมอบต้นเดือน 8

(25 ก.ค.67) NETA ประกาศเปิดตัว NETA X รถยนต์พลังงานไฟฟ้าสไตล์ SUV เสริมทัพผลิตภัณฑ์ในประเทศไทย ชูจุดเด่นภายในห้องโดยสารกว้างนั่งสบาย 80% ของพื้นที่ห้องโดยสารเป็นวัสดุบุนุ่ม หน้าจอระบบสัมผัส ขนาดใหญ่ 15.6 นิ้ว พร้อมเทคโนโลยีล้ำสมัยและฟังก์ชันการใช้งานอัจฉริยะ ให้ความมั่นใจในการขับขี่ด้วยระบบช่วยเหลือ ผู้ขับขี่ ADAS ระดับ 2.0 รวมถึงระบบความปลอดภัยที่ครบครัน โดยมีให้เลือก 2 รุ่นย่อย ด้วยข้อเสนอสุดพิเศษเฉพาะช่วงเปิดตัว พร้อมส่งมอบให้ลูกค้าต้นเดือนสิงหาคมเป็นต้นไป

ด้าน นาย ชู กังจื้อ (Mr. Shu GangZhi) ผู้จัดการทั่วไป บริษัท เนต้า ออโต้ (ไทยแลนด์) จำกัด เปิดเผยว่า NETA เดินหน้าสานต่อพันธกิจในการเป็นผู้สรรค์สร้างนวัตกรรมยานยนต์ไฟฟ้าที่ทุกคนสามารถเป็นเจ้าของได้ เพื่อสร้างการเข้าถึงเทคโนโลยีอย่างเท่าเทียมตามปรัชญา ‘Tech For All’ โดยล่าสุดได้ประกาศเปิดตัว NETA X รถยนต์พลังงานไฟฟ้าสไตล์ SUV เพื่อเสริมความแข็งแกร่งให้กับกลุ่มผลิตภัณฑ์ในประเทศไทย ซึ่งถือเป็นรถรุ่นที่สองของ NETA ที่เปิดตัวในปีนี้ ภายหลังจากการแนะนำ NETA V-II รถยนต์พลังงานไฟฟ้าสไตล์ City Car เมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ทำให้ปัจจุบัน NETA มีรถยนต์พลังงานไฟฟ้าให้เลือก 2 สไตล์ รองรับกับการเติบโตของอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าในประเทศ โดยตั้งเป้าเปิดตัวรถยนต์พลังงานไฟฟ้ารุ่นใหม่ที่มาพร้อมเทคโนโลยีทันสมัยอย่างต่อเนื่องในทุกปี

“ปัจจุบันเรามีรถยนต์พลังงานไฟฟ้าภายใต้แบรนด์ NETA วิ่งอยู่บนถนนทั่วประเทศไทยแล้วกว่า 17,000 คัน ผมต้องขอขอบคุณลูกค้าคนไทย รวมไปถึงทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องที่มอบความไว้ใจและสนับสนุนการดำเนินงานของแบรนด์ NETA ในประเทศไทยมาอย่างต่อเนื่อง เราพร้อมและยินดีเป็นส่วนหนึ่งในการสนับสนุนการเติบโตของระบบนิเวศยานยนต์ไฟฟ้าของไทยให้เติบโตยิ่งขึ้นในทุกมิติ สำหรับการเปิดตัว NETA X นอกจากจะเป็นการตอกย้ำแผนการดำเนินงานในประเทศไทยภายใต้กลยุทธ์ ‘All in Thailand, All for Thailand’ ในการยกระดับภาพลักษณ์ของแบรนด์ด้วยการเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่ ที่ทรงพลังและติดตั้งเทคโนโลยีขั้นสูงอย่างต่อเนื่อง แล้วยังสะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของ NETA ในการนำเสนอยานยนต์ไฟฟ้าที่มาพร้อมเทคโนโลยีที่ทันสมัยซึ่งคนไทยสามารถเป็นเจ้าของได้ สอดคล้องกับพันธกิจหลักของ NETA เพื่อสร้างการเข้าถึงเทคโนโลยี อย่างเท่าเทียมสําหรับทุกคน หรือ ‘Tech For All’ ชู กังจื้อ กล่าว

NETA X ได้รับการออกแบบภายใต้แนวคิด และสโลแกน ‘เติมเต็มทุกโมเมนต์ กับนิยามใหม่ของความกว้าง’ ชูจุดเด่นด้าน พื้นที่ภายในห้องโดยสารกว้างนั่งสบาย พร้อมเทคโนโลยีล้ำสมัย ให้ความมั่นใจในการขับขี่ด้วยระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่ ADAS ระดับ 2.0 รวมถึงการติดตั้งระบบความปลอดภัยที่ครบครัน โดยมาพร้อมระบบส่งกำลังจากมอเตอร์ไฟฟ้าประสิทธิภาพสูง กำลังสูงสุด 120 กิโลวัตต์ หรือ 163 แรงม้า ให้อัตราเร่งจาก 0 ถึง 100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ในเวลาเพียง 9.5 วินาที

NETA X มีให้เลือก 2 รุ่นย่อย ได้แก่ NETA X รุ่น Comfort มาพร้อมแบตเตอรี่ ลิเธียม ไอออนขนาด 51.8 kWh ให้ระยะทางวิ่งสูงสุด 401 กิโลเมตร ต่อการชาร์จเต็ม 1 ครั้ง (มาตรฐาน NEDC)และ NETA X รุ่น Smart จับคู่กับแบตเตอรี่ ขนาด 62 kWh ให้ระยะทางวิ่งสูงสุด 480 กิโลเมตร ต่อการชาร์จเต็ม 1 ครั้ง (มาตรฐาน NEDC) โดยมีสีตัวถังภายนอกให้เลือก 3 สี ได้แก่ สีดำ (Onyx Black) สีน้ำเงิน (Glacier Blue) และสีขาว (Pearl White) ภายในห้องโดยสารมีให้เลือก 2 สี ได้แก่ สีดำ (PrestigeBlack) ในรุ่น Comfort และสีน้ำตาล (Elegant Brown) ในรุ่นSmart

NETA X ยกระดับประสบการณ์การขับขี่ที่ปลอดภัยมากยิ่งขึ้นด้วยระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่ ADAS ระดับ 2.0 ติดตั้งเซ็นเซอร์ รอบคันและเรดาร์รวม 11 จุด รองรับระบบควบคุมความเร็วในการขับขี่ อาทิ ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผัน ACC (Adaptive Cruise Control) พร้อมระบบควบคุมความเร็วอัจฉริยะย่านความเร็วสูง (ICA) และความเร็วต่ำ (TJA) รวมไปถึงการควบคุมรถให้อยู่ในเลน อาทิ ระบบช่วยเตือนเมื่อรถออกนอกเลน ระบบเตือนเมื่อรถเบี่ยงออกนอกเลน และระบบช่วยเปลี่ยนเลนพร้อมระบบตรวจจุดอับสายตา เป็นต้น

NETA X มีมิติตัวถังขนาดใหญ่ตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์ ด้วยความยาวตลอดทั้งคัน 4,619 มม. กว้าง 1,860 มม. และสูง 1,628 มม. โดยมีระยะฐานล้อที่ยาวถึง 2,770 มม. ให้พื้นที่ใช้สอยภายในห้องโดยสารกว้างขวาง พร้อมพื้นที่ เก็บสัมภาระท้ายรถจุถึง 508 ลิตร เบาะพับได้สามารถเพิ่มพื้นที่เก็บสัมภาระได้มากถึง 1388 ลิตร พร้อมช่องเก็บของอเนกประสงค์ 24 จุด กระจายอยู่ทั่วทั้งห้องโดยสาร

NETA X มอบความสะดวกสบายด้วยเบาะนั่งปรับได้ถึง 6ทิศทาง พร้อมวัสดุบุนุ่มห้องโดยสารถึง 80% ของพื้นที่ มาพร้อมหลังคาซันรูฟแบบพาโนรามา รวมไปถึงระบบควบคุมรถยนต์ผ่านแอปพลิเคชันบนมือถือ (NETA App) ช่องเชื่อมต่อ USB / Type-C และแท่นชาร์จโทรศัพท์แบบไร้สาย พร้อมฟังก์ชัน V2L(Vehicle-to-Load) จ่ายกำลังไฟได้ สูงถึง 3.3 กิโลวัตต์ สามารถดึงพลังงานจากรถยนต์ไปใช้งานกับอุปกรณ์ไฟฟ้า

NETA X มาพร้อมหน้าจอความละเอียดสูง ขนาด 15.6 นิ้ว สามารถเข้าถึงระบบนําทางแบบออนไลน์ การสตรีมมิ่งเพลง และการเชื่อมต่อโทรศัพท์เข้ากับระบบรถยนต์เป็นไปได้อย่างราบรื่น อีกทั้งยังมีระบบสั่งการด้วยเสียง รวมไปถึงระบบควบคุมรถยนต์ผ่านแอปพลิเคชันบนมือถือ (NETA App) เพื่อให้สามารถตรวจสอบสถานะแบบเรียลไทม์

NETA X ใช้โครงสร้างที่ทำจากเหล็กแรงดึงสูง (High-strength Steel) ถึง 75% ของตัวถังมาพร้อมระบบถุงลมนิรภัย ถึง 6 จุดและแบตเตอรี่ที่ผ่านการทดสอบ IP68 ซึ่งเป็นระดับกันน้ำและกันฝุ่นระดับสูงสุดในตลาด โดยสามารถผ่านการทดสอบการกันน้ำอย่างต่อเนื่องยาวนานถึง 48 ชั่วโมง

NETA X ให้การใช้พลังงานและค่าบํารุงรักษาที่ต่ำ เมื่อเทียบกับรถยนต์เครื่องยนต์สันดาป ถึง 3 เท่า จึงทําให้ NETA X เป็นรถยนต์พลังงานไฟฟ้าตัวเลือกที่ให้ความประหยัดและคุ้มค่าในระยะยาว

‘5 แบรนด์จีน’ ทุ่มเงินเป็นสปอนเซอร์ศึก ‘ยูโร 2024’ พร้อมผงาดขึ้นแท่นประเทศที่สนับสนุนมากที่สุด

(26 ก.ค. 67) สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า การแข่งขันฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป (UEFA European Football Championship) เป็นหนึ่งในการแข่งขันฟุตบอลที่มีมายาวนานและได้รับความสนใจจากบรรดาแฟนบอลทั่วโลก โดยเฉพาะแฟน ๆ ชาวจีนที่ตื่นเต้นกับการแข่งขันยูโร 2024 ในปีนี้เป็นอย่างมาก เนื่องจากมีแบรนด์จีนที่ได้เฉิดฉายในสนามฟุตบอลด้วยองค์ประกอบที่โดดเด่น แสดงให้เห็นถึงความทรงอิทธิพลของแบรนด์จีนที่กำลังเพิ่มขึ้นต่อเนื่องในตลาดโลก

โดยในรายชื่อผู้สนับสนุนการแข่งขันฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรประดับโลกอย่างเป็นทางการจำนวนทั้งสิ้น 13 รายประจำปีนี้ มีแบรนด์จีนถึง 5 ราย อันได้แก่ ไฮเซนส์ (Hisense) ผู้ผลิตอุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้าชั้นนำ, อาลีเพย์ (Alipay) แพลตฟอร์มการชำระเงินออนไลน์, อาลีเอ็กซ์เพรส (AliExpress) แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซข้ามพรมแดน, วีโว (Vivo) ผู้ผลิตโทรศัพท์สัญชาติจีน และบีวายดี (BYD) ยักษ์ใหญ่ด้านยานยนต์ไฟฟ้า

นับเป็นครั้งที่สองติดต่อกันที่จีนกลายเป็นประเทศที่ครองรายชื่อผู้สนับสนุนการแข่งขันฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรปมากที่สุด

เนื่องจากขยายตัวอย่างรวดเร็วของการค้ากับต่างประเทศและการเติบโตของการส่งออกสินค้าจีน ทำให้แบรนด์จีนกำลังได้รับความนิยมและขยายอิทธิพลในตลาดต่างประเทศทั่วโลกมากขึ้น

ด้าน สภาการส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศของจีน (CCPIT) รายงานว่า ปัจจุบันมีแบรนด์จีนอยู่ในตลาดกว่า 200 ประเทศและภูมิภาคทั่วโลก และมี 48 แบรนด์สัญชาติจีนที่ได้รับการจัดอันดับให้เป็นแบรนด์ที่มีมูลค่าสูงสุด 500 อันดับแรกของโลก ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการเพิ่มมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้าส่งออก

แบรนด์จีนจำนวนมากขึ้นได้รับการยอมรับจากผู้บริโภคในต่างประเทศเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ขณะแบรนด์เองก็พยายามขยายตลาดพร้อมกับพัฒนาตนเองอย่างมีคุณภาพ ด้วยนวัตกรรมและการปรับตัวให้ตอบโจทย์ลูกค้าในท้องถิ่น

‘กองทัพสหรัฐฯ’ ส่งจดหมาย สารภาพความผิดให้ ‘ฟิลิปปินส์’ ยอมรับ!! อยู่เบื้องหลังดิสเครดิต ‘วัคซีนซิโนแวค’ ของจีน

(28 ก.ค. 67) กองทัพสหรัฐฯ ยอมรับสารภาพแล้วว่า เป็นผู้ดำเนินยุทธการลับ มีเป้าหมายทำลายความน่าเชื่อถือวัคซีนโควิด-19 ซิโนแวคของจีนในฟิลิปปินส์ รวมถึงทั่วเอเชียและตะวันออกกลาง ตามรายงานของรอยเตอร์

‘มันเป็นความจริงที่ (กระทรวงกลาโหม) ส่งสารถึงผู้รับฟิลิปปินส์ ตั้งข้อสงสัยเกี่ยวกับความปลอดภัยและประสิทธิภาพของวัคซีนซิโนแวค’ พวกเจ้าหน้าที่เพนตากอนเขียนถึงเจ้าหน้าที่กระทรวงกลาโหมฟิลิปปนส์ ในจดหมายลงวันที่ 25 มิถุนายน และทางรอยเตอร์หยิบยกมารายงานในวันศุกร์ (26 ก.ค.)
.
ในจดหมายดังกล่าว กระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ (เพนตากอน) ยอมรับว่าพวกเขาได้กระทำการผิดพลาดบางอย่างในด้านการส่งสารที่เกี่ยวข้องกับโควิด แต่ได้รับประกันกับมะนิลาว่า เพนตากอนได้ระงับปฏิบัติการดังกล่าวไปตั้งแต่ช่วงปลายปี 2021 และนับตั้งแต่นั้นยกระดับการกำกับดูแลและเพิ่มความรับผิดชอบต่อปฏิบัติการข้อมูลข่าวสารต่างๆ แล้ว

ปฏิบัติการที่เป็นเรื่องเป็นราวเริ่มขึ้นในปี 2020 หลังจากจีนประกาศว่าจะแจกจ่ายวัคซีนซิโนแวคให้ฟิลิปปินส์แบบไม่คิดค่าใช้จ่าย ในความพยายามตอบโต้ผลประโยชน์ทางประชาสัมพันธ์ที่ปักกิ่งจะได้รับจากโครงการนี้ ทางเพนตากอนออกคำสั่งให้ศูนย์ปฏิบัติการจิตวิทยาในฟลอริดา จัดตั้งบัญชีสื่อสังคมออนไลน์ปลอมขึ้นมาอย่างน้อย 300 บัญชี เพื่อใส่ร้ายป้ายสีวัคซีนจีน อ้างอิงผลการสืบสวนของรอยเตอร์ที่ออกมาแฉเมื่อเดือนที่แล้ว

โควิดมาจากจีนและวัคซีนมาจากจีน อย่าไปเชื่อใจจีน หนึ่งในรูปแบบข้อความที่สร้างโดยทีมงานปฏิบัติการทางจิตวิทยา ขณะที่อีกข้อความเน้นว่า PPE (ชุดป้องกันเชื้อโรค) หน้ากากอนามัย วัคซีน ล้วนเป็นของปลอม แต่โคโรนาไวรัสเป็นของจริง

รอยเตอร์อ้างเจ้าหน้าที่ระดับสูงของเพนตากอน ยอมรับว่าเจ้าหน้าที่ทหารหลายนายที่เกี่ยวข้องกับยุทธการนี้รู้ดีว่าเป้าหมายของแผนการไม่ได้ปกป้องชาวฟิลิปปินส์จากวัคซีนที่ไม่ปลอดภัย แต่เป็นการสร้างความแปดเปื้อนแก่ชื่อเสียงของจีน

รายงานของรอยเตอร์ระบุว่า ไม่นานยุทธการโฆษณาชวนเชื่อดังกล่าวก็ถูกขยายวงออกไปนอกฟิลิปปินส์ โดยผู้รับสารมุสลิมทั่วเอเชียกลางและตะวันออกกลาง ได้รับการบอกเล่าว่าวัคซีนซิโนแวคปนเปื้อนเจลลาตินหมู เพราะฉะนั้นมันจึงเป็นสิ่งฮะรอมหรือเป็นสิ่งต้อมห้ามตามกฎหมายอิสลาม ยุทธการนี้บีบให้ทางซิโนแวคเผยแพร่ถ้อยแถลงยืนยันว่าวัคซีนผลิตโดยปราศจากส่วนประกอบของหมูใดๆ

เพนตากอนไม่ยอมรับต่อสาธารณะว่าได้ส่งหนังสือยอมรับสารภาพไปยังกองทัพฟิลิปปินส์ ขณะที่รัฐบาลของสหรัฐฯ และฟิลิปปินส์ปฏิเสธแสดงความคิดเห็นต่อรายงานของรอยเตอร์

อย่างไรก็ตาม เมื่อเดือนที่แล้วโฆษกรายหนึ่งของเพนตากอนชี้แจงกับรอยเตอร์ ว่ากองทัพอเมริกา ใช้แพลตฟอร์มต่างๆ ในนั้นรวมถึงสื่อสังคมออนไลน์ ตอบโต้อิทธิพลมุ่งร้ายที่เล็งเป้าโจมตีสหรัฐฯ พันธมิตรและคู่หู และอ้างว่าวอชิงตีนแค่ตอบโต้ ยุทธการบิดเบือนของมูลของจีนที่กล่าวโทษอันเป็นเท็จ ว่าสหรัฐฯ เป็นผู้แพร่กระจายโควิด-19

กระทรวงการต่างประเทศของจีนบอกกับรอยเตอร์ว่า พวกเขาเน้นย้ำมานานแล้วว่า สหรัฐฯ เป็นผู้แพร่กระจายข้อมูลบิดเบือนเกี่ยวกับจีน

ฟิลิปปินส์ รายงานของรอยเตอร์กระตุ้นให้คณะกรรมาธิการความสัมพันธ์ระหว่างประเทศของวุฒิสภาเปิดการสืบสวน และระหว่างการพิจารณาเมื่อเดือนที่แล้ว วุฒิสมาชิกไอมี มาร์กอส ประธานคณะกรรมาธิการ ประณามยุทธการของเพนตากอนว่าเป็น ปีศาจ ชั่วร้าย อันตรายและไม่มีจริยธรรม  และแย้มว่ามะนิลากำลังตรวจสอบความเป็นไปได้ว่าจะสามารถดำเนินการทางกฎหมายกับวอชิงตันได้หรือไม่

‘สมาร์ตโฟนจีน’ เขี่ย ‘แอปเปิ้ล’ ร่วง Top 5 ในไตรมาส 2 ‘วีโว่’ ขึ้นแท่นผู้นำในจีน โกย!! ยอดขาย 13.1 ล้านเครื่อง

(29 ก.ค. 67)  สำนักข่าวซีเอ็นบีซี เผยว่า ส่วนแบ่งตลาดของแอปเปิ้ลในจีนร่วงลงสู่ระดับ 14% ในไตรมาสสองปี 2567 จากระดับ 15% ในไตรมาสหนึ่ง และจากระดับ 16% ในช่วงเวลาเดียวกันเมื่อปีก่อน

จากข้อมูลดังกล่าวทำให้ผู้ผลิตไอโฟน ที่ครองส่วนแบ่งตลาดในจีนมากเป็นอันดับที่ 3 ในไตรมาสสองของปีก่อน ร่วงลงไปครองตำแหน่งแบรนด์ที่มีส่วนแบ่งตลาดมากสุดอันดับที่ 6 ในจีน ซึ่งจากการคำนวณของซีเอ็นบีซี พบว่า แอปเปิ้ลมียอดจัดส่งสมาร์ตโฟนราว 9.7 ล้านเครื่อง

‘ลูคัส จง’ นักวิจัยจากคานาลิส (Canalys) กล่าวว่า

“นี่ถือเป็นไตรมาสแรกของประวัติศาสตร์ที่แบรนด์ของจีนครองส่วนแบ่งตลาดทั้ง 5 อันดับแรก”

ทั้งนี้ ยอดจัดส่งสมาร์ตโฟนของแอปเปิ้ลลดลงต่อเนื่องตั้งแต่ไตรมาสแรก ซึ่งร่วงมากถึง 25% สู่ระดับ 10 ล้านเครื่อง เมื่อเทียบแบบปีต่อปี

‘แอปเปิ้ล’ กำลังเผชิญกับภาวะคอขวดในตลาดจีน ขณะที่บริษัทพยายามรักษาเสถียรภาพด้านราคาขายปลีก และปกป้องกำไรตามช่องทางการจำหน่ายของพาร์ตเนอร์

คานาลิส ระบุ อีก 12 เดือนข้างหน้าบริการ "แอปเปิ้ล อินเทลลิเจนซ์ " (Apple Intelligence) ท้องถิ่นในจีน จะเป็นความเคลื่อนไหวครั้งสำคัญ เพื่อแข่งขันกับแบรนด์สมาร์ตโฟนจีนที่กำลังพัฒนาการนำเอไอรู้สร้าง หรือเจนเอไอ (GenAI) ไปใช้ในผลิตภัณฑ์ของตน

ตั้งแต่เดือน เม.ย. ถึง มิ.ย. วีโว่ (Vivo) ขึ้นเป็นแบรนด์อันดับ 1 ที่ครองส่วนแบ่งตลาด 19% และมียอดขาย 13.1 ล้านเครื่อง อานิสงส์จากยอดขายแพลตฟอร์มออฟไลน์ และออนไลน์แข็งแกร่ง ในช่วงเทศกาลชอปปิงออนไลน์ 618

ขณะที่ออปโป้ (OPPO) ยังคงครองส่วนแบ่งตลาดอันดับที่ 2 เหมือนเดิม มียอดขาย 11.3 ล้านเครื่อง เนื่องจากได้รับแรงหนุนจากรุ่น Reno 12 ส่วนออเนอร์ (Honor) ครองอันดับที่ 3 มียอดขาย 10.7 ล้านเครื่อง เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 4 %

หัวเว่ย (Huawei) อยู่อันดับที่ 4 ครองส่วนแบ่งตลาด 15% โดยมียอดขาย 10.6 ล้านเครื่อง ขณะที่ปีก่อนหน้าหัวเว่ยยังไม่สามารถขึ้นเป็นแบรนด์ท็อป 5 ได้ แต่ขณะนี้ธุรกิจที่จำหน่ายสินค้าสู่ผู้บริโภคโดยตรง (consumer business) ของหัวเว่ยฟื้นตัวได้ดีในจีน หลังออกสมาร์ตโฟนรุ่น Mate 60

ด้านเสียวหมี่ (Xiaomi) ที่เพิ่งเปิดตัวรถยนต์ไฟฟ้าที่สร้างความฮือฮาอย่าง SU7 ครองส่วนแบ่งตลาดอันดับที่ 5 และยอดขายโทรศัพท์มือถือ K70 และรุ่นเรือธงอย่าง เสียวหมี่ 14 เติบโตแข็งแกร่ง

โดยรวมแล้วตลาดสมาร์ตโฟนจีนเติบโต 10% ในไตรมาสสองเมื่อเทียบแบบปีต่อปี และมียอดขายมากกว่า 70 ล้านเครื่อง

‘สุชาติ-รวมไทยสร้างชาติ’ นำทัพถกความร่วมมือการค้า ‘ไทย-จีน’ เล็ง!! ขยายสินค้าตลาดปศุสัตว์-ผลไม้-ดึงนักลงทุนจีนลุยไทยเพิ่ม

(30 ก.ค.67) นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ ได้รับมอบหมายจากรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ นายภูมิธรรม เวชยชัย ร่วมประชุมคณะอนุกรรมาธิการว่าด้วยการค้าและการลงทุน หรือ ‘ซับ-คอมมิทตี ไทย-จีน’ ครั้งที่ 3 ณ กรุงเทพมหานคร ซึ่งเป็นเวทีการประชุมในระดับรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ ระหว่างไทยและจีน โดยไทยเป็นเจ้าภาพจัดการประชุม 

ทั้งนี้ ในการหารือประเด็นด้านเศรษฐกิจ การค้า และการลงทุนระหว่างไทยกับจีน โดยรมช.สุชาติฯ กล่าวว่า ”ในการประชุมครั้งนี้ตนจะเป็นประธานร่วมกับนายหลี่ เฟย รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ของจีน ซึ่งเป็นโอกาสอันดีที่ทั้งสองฝ่ายจะได้นำประเด็นทางเศรษฐกิจ การค้า และการลงทุนที่สำคัญมาหารือกันในประเด็นสำคัญ อาทิ ความร่วมมือด้านสินค้าเกษตร โดยเฉพาะขอให้จีนเปิดตลาดสินค้าปศุสัตว์และผลไม้ให้ไทย และการอำนวยความสะดวกด้านการขนส่งสินค้าไทยไปจีน ความร่วมมือด้านทรัพย์สินทางปัญญา การส่งเสริมการจัดงานแสดงสินค้าของทั้งสองฝ่าย และในโอกาสนี้ตนได้เชิญชวนนักลงทุนจีนเข้ามาลงทุนในอุตสาหกรรมเป้าหมายของไทย เช่น อุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า การส่งเสริมความร่วมมือด้านอีคอมเมิร์ซ และการส่งเสริมการใช้สิทธิประโยชน์จากความตกลง การค้าเสรีที่ไทยกับจีนมีร่วมกัน ได้แก่ ความตกลงการค้าเสรีอาเซียน-จีน และความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจ ระดับภูมิภาค หรือ อาร์เซ็ป“

ทั้งนี้ จีนเป็นคู่ค้าอันดับ 1 ของไทยมาตลอดระยะเวลา 11 ปีที่ผ่านมา โดยในปี 2566 การค้าไทยกับจีนมี มูลค่า 104,999 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ลดลงร้อยละ 0.22 เมื่อเทียบกับปี 2565 และในปี 2567 (มกราคม - พฤษภาคม) การค้าสองฝ่ายมีมูลค่า 45,770 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นร้อยละ 4.24 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกัน ของปี2566 โดยจีนเป็นตลาดส่งออกสินค้าสำคัญของไทย อาทิ ผลไม้สด เม็ดพลาสติก เครื่องคอมพิวเตอร์และ ส่วนประกอบ ผลิตภัณฑ์ยาง และผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง ในขณะที่สินค้าสำคัญที่ไทยนำเข้าจากจีน อาทิ เครื่องจักร ไฟฟ้าและส่วนประกอบ เครื่องใช้ไฟฟ้าและส่วนประกอบ เคมีภัณฑ์ เหล็กและผลิตภัณฑ์จากเหล็ก และชิ้นส่วน ยานยนต์


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top