Thursday, 12 June 2025
จีน

‘นครฮาร์บิน’ เปิด ‘สวนสนุกน้ำแข็ง-หิมะในร่ม’ แห่งใหม่ รับนักท่องเที่ยว ด้าน กินเนสส์เวิลด์ฯ ยก!! ให้ขนาดใหญ่ที่สุดในโลก ด้วยพื้นที่ 23,800 ตร.ม.

เมื่อวานนี้ (7 ก.ค.67) สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า นครฮาร์บิน เจ้าของสมญานาม ‘เมืองน้ำแข็ง’ ในมณฑลเฮยหลงเจียงทางตะวันออกเฉียงเหนือของจีน ได้เปิด ‘สวนสนุกน้ำแข็งและหิมะในร่ม’ แห่งใหม่ต้อนรับนักท่องเที่ยว เมื่อวันเสาร์ (6 ก.ค.) ที่ผ่านมา

ทั้งนี้ รายงานระบุว่า สวนสนุกแห่งใหม่นี้ ได้รับการบันทึกสถิติของกินเนสส์ เวิลด์ เรคคอร์ด (Guinness World Record) ให้เป็นสวนสนุกน้ำแข็งและหิมะในร่มขนาดใหญ่ที่สุดโลกด้วยพื้นที่ก่อสร้าง 23,800 ตารางเมตร

โดยสวนสนุกแห่งนี้แบ่งพื้นที่เป็น 9 ส่วน ซึ่งจัดแสดงประติมากรรมน้ำแข็งเหมือนจริง พร้อมประดับแสงไฟหลากสีสัน และควบคุมอุณหภูมิให้คงที่เพื่อสามารถรับรองนักท่องเที่ยวได้ตลอดทั้งปี

อนึ่ง สวนสนุกแห่งนี้จะเป็นส่วนเสริมของสวนสนุกโลกน้ำแข็ง-หิมะ ฮาร์บิน (Harbin Ice-Snow World) ซึ่งเป็นสวนสนุกน้ำแข็งและหิมะกลางแจ้งตามฤดูกาล ทำให้ฮาร์บินกลายเป็นจุดหมายท่องเที่ยวในทุกฤดู

อย่างไรก็ตาม สวนสนุกโลกน้ำแข็ง-หิมะ ฮาร์บิน ซึ่งครอบคลุมพื้นที่ 810,000 ตารางเมตร ได้รับรองนักท่องเที่ยวในฤดูหนาวที่ผ่านมาเฉลี่ยกว่า 30,000 คนต่อวัน

‘ผู้โดยสารแอร์ไชนา’ ขึ้นเครื่องครั้งแรก พลาดเปิดประตูฉุกเฉิน  เข้าใจผิดว่าเป็นประตูห้องน้ำ คาด!! จ่ายค่าเสียหายเหยียบล้าน

ถือเป็นเหตุการณ์น่าระทึกใจอย่างยิ่ง เมื่อผู้โดยสารรายหนึ่งซึ่งขึ้นเครื่องบินเป็นครั้งแรก พลาดไปเปิดประตูฉุกเฉินโดยไม่ตั้งใจ ขณะตามหาห้องน้ำ ส่งผลให้เครื่องบินโดยสารของสายการบินแอร์ไชนา ต้องวุ่นวายทั้งลำ แต่เคราะห์ดีที่มันเกิดบนภาคพื้น มิเช่นนั้นมันอาจกลายเป็นโศกนาฏกรรมที่ยากจะจินตนาการ

เซาท์ไชน่ามอร์นิงโพสต์ รายงานว่า เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นตอนที่เที่ยวบิน 2745 ของสายการบินแอร์ไชนา กำลังอยู่บนลานจอด ณ สนามบินฉือโจว ในมณฑลเจ้อเจียง ทางภาคตะวันออกของจีน เมื่อคืนวันพฤหัสบดีที่ 4 ก.ค. ที่ผ่านมา

รายงานข่าวระบุว่า ผู้โดยสารหน้าใหม่เดินไปบริเวณท้ายเครื่องบินและเปิดประตูฉุกเฉินโดยไม่มีใครสังเกตเห็น ทำให้ทางลาดฉุกเฉินสำหรับอพยพถูกเปิดใช้งาน

"ตอนที่ทางลาดฉุกเฉินกระเด้งออกมา แม้แต่พวกพนักงานต้อนรับบนเที่ยวบินก็ยังตกอกตกใจ" ผู้โดยสารรายหนึ่งชื่อว่า เฉิง เล่าถึงเหตุการณ์ ในขณะที่ภาพถ่ายบนสื่อสังคมออนไลน์จีน พบเห็นเครื่องบินจอดอยู่ตรงกลางลานบิน ในสภาพที่ทางลาดฉุกเฉินถูกปล่อยออกมาแล้ว

สุดท้ายแล้วเจ้าหน้าที่จำเป็นต้องพาผู้โดยสารทั้งหมดลงจากเครื่องบิน และเที่ยวบินก็ถูกยกเลิกไปในท้ายที่สุด 

"ผู้โดยสารหญิงรายนี้ถึงกับร่ำไห้ ตอนที่ได้ทราบว่าเธอจำเป็นต้องจ่ายเงินชดใช้ความเสียหาย" เฉิงบอก 

ขณะที่เซาท์ไชน่ามอร์นิงโพสต์ คาดหมายว่าค่าใช้จ่ายสำหรับเปิดใช้งานประตูฉุกเฉินของเครื่องบิน อยู่ที่ราว 28,000 ดอลลาร์สหรัฐ (ราว 1 ล้านบาท) โดยผู้หญิงที่อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์ความวุ่นวายนี้ถูกตำรวจเข้าสอบปากคำหลังจากนั้น อย่างไรก็ตาม ในรายงานข่าวไม่มีการระบุตัวตนสตรีรายนี้แต่อย่างใด

เรื่องนี้ก่อความวิตกบนสื่อสังคมออนไลน์ โดยผู้ใช้อินเทอร์เน็ตบางส่วนตั้งคำถามและแสดงความกังวลเกี่ยวกับข้อบกพร่องในการออกแบบประตูฉุกเฉิน ที่เปิดโอกาสให้ผู้โดยสารหนึ่ง ๆ สามารถเปิดประตูฉุกเฉินโดยไม่ได้ตั้งใจได้อย่างง่ายดาย

‘ดร.อักษรศรี’ มอง ‘เวียดนาม’ อยู่เป็น มีปัญหากับจีน แต่เลือกคบจีน แปลงจีนให้เป็นโอกาสอย่างชาญฉลาด แซงทุกชาติในอาเซียนขึ้นอันดับ 1 คู่ค้าจีน

(11 ก.ค.67) รองศาสตราจารย์ ดร.อักษรศรี พานิชสาส์น คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ระบุว่า...

เวียดนาม 'อยู่เป็น' ในความสัมพันธ์กับจีน เวียดนามเลือกที่จะคบจีน #ไม่ต่อต้านจีนตามกระแส ทำให้เวียดนามกลายเป็นคู่ค้าหลักของจีนที่ขยายตัวเร็วมาก ก้าวขึ้นเป็นคู่ค้าอันดับ 1 ของจีน แซงเพื่อนบ้านอาเซียนทุกประเทศ

เวียดนามเลือกที่จะก้าวข้ามประเด็นความขัดแย้งกับจีน (พักปัญหาเอาไว้ก่อน) หันมาเน้นทำมาหากิน สร้างบ้านสร้างเมือง ผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจต้องมาก่อน เวียดนามเลือกที่จะ #ทำให้ตัวเองแข็งแกร่งให้ได้ก่อน เวียดนามฉลาดในการ #แปลงจีนให้เป็นโอกาส

เวียดนาม #ก้าวข้ามอดีตเพื่ออนาคต !! ทั้ง ๆ ที่เวียดนามมีประวัติศาสตร์ที่น่าขมขื่นกับจีน และยังคงมีปัญหาข้อพิพาทในทะเลจีนใต้ แต่เวียดนามก็เลือกที่จะคบจีนอย่างชาญฉลาด ทั้งด้านการค้า การลงทุน และการเชื่อมโยงรถไฟจากฮานอยไปจีน จนสามารถใช้จีนเป็นทางผ่านรถไฟจากเวียดนามไปยุโรป 

เวียดนามมีทิศทางการพัฒนาที่ชัดเจน Well Planned + Long Term Strategy ชัดเจนว่า #ประเทศจะไปทางไหน จนตอนนี้ เวียดนามกลายเป็นฐานผลิต Smart Phone อันดับต้นของโลก 

เวียดนามมียุทธศาสตร์ชาติที่มุ่งทำ Digitalization เพื่อให้เศรษฐกิจดิจิทัลมีสัดส่วน 20% ของจีดีพีเวียดนาม ภายในปี 2025

‘7 มหาวิทยาลัยจีน’ ติดโผ TOP 10 โลกด้านงานวิจัย แซงหน้า ‘สหรัฐฯ’ ไกล เหลือแค่ 'ฮาร์วาร์ด' ยังยืนท็อป

(11 ก.ค. 67) ผู้ใช้เฟซบุ๊ก ‘Ethan Hunts’ ได้โพสต์ข้อความระบุว่า…

“วงการวิจัยและพัฒนาสหรัฐ เพิ่งตื่นตัวว่าการศึกษาจีน ด้านวิจัยและพัฒนาได้แซงหน้าสหรัฐไปแล้ว

การศึกษาแนว STEM หรือการศึกษาแนวบูรณาการ วิทยาศาสตร์, เทคโนโลยี, วิศวกรรม และคณิตศาสตร์ (ที่มาของชื่อย่อ Science Technology Engineering & Mathematics) ขณะนี้สหรัฐเหลือเพียง ‘มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด’ ที่ยังคงติดอันดับ 1 ใน 10 มหาวิทยาลัยชั้นนำของโลกด้านงานวิจัย เพียงแห่งเดียวเท่านั้น ที่เหลือเป็นมหาวิทยาลัยของจีนถึง 7 แห่ง

ที่สำคัญงานวิจัยอเมริกัน ราว 40% ก็เป็นผลงานนักศึกษาจีนสัญชาติสหรัฐ (คล้าย ๆ ทีมแชมป์โอลิมปิกคณิตศาสตร์สหรัฐ ล้วนเป็นคนจีนที่ถือสัญชาติสหรัฐทั้งนั้น)

ทางการจีนจ้างนักศึกษาจากมหาวิทยาลัยด้าน STEM เมื่อเดือนที่แล้วเกือบ 4.7 ล้านคน (เรียกได้ว่าจบมามีงานรออยู่) และด้านการศึกษา จีนลงทุนงานวิจัยพัฒนาในระดับอุดมศึกษา เป็นอัตราส่วนเมื่อเทียบกับสหรัฐ เกือบ 4:1 (1 ล้านล้านเหรียญ : 3 แสนล้านเหรียญ)”

Zhengxin Chicken แฟรนไชส์ไก่ทอดจีนบุกไทยต่อเนื่อง เปิดสาขาใหม่ที่เซ็นทรัลเวิลด์ ชูโมเดลสไตล์คล้าย Mixue

(12 ก.ค. 67) เพจ 'BrandCase' รายงานว่า Zhengxin Chicken Steak (เจิ้งซิน) ซึ่งเป็นร้านไก่ทอดจากประเทศจีน ที่มีกว่า 20,000 สาขา และเข้ามาเปิดสาขาแรกในไทยที่ ONE ConneX แถว ๆ อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ โดยล่าสุดก็ได้เปิดอีกสาขา ที่ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ ที่ชั้น 7 ใกล้ ๆ กับร้าน Sushiro 

ที่น่าสนใจคือ ร้านนี้เหมือนจะมีกลยุทธ์คล้าย ๆ กับ MIXUE ในมุมที่เน้นขยายสาขาจำนวนมาก ๆ เข้าไว้ จนทำให้เกิดการประหยัดต่อขนาด (Economies of scale) และต้นทุนเฉลี่ยต่อชิ้นของสินค้าถูกมาก ๆ เพราะสั่งซื้อ สั่งเตรียมวัตถุดิบทีละมาก ๆ เลยทำให้สามารถขายไก่ทอดในราคาถูกได้ 

แล้ว Zhengxin ขายถูกแค่ไหน ? มาดูตัวอย่างราคาของไก่ทอดร้านนี้กัน...

- ไก่กรอบสไปซี่ ราคาชิ้นละ 15 บาท 
- เฟรนช์ฟรายส์ ราคาชุดละ 20 บาท 
- ชิกเกน วิงซ์ (น่องไก่ทอด) ราคาชิ้นละ 25 บาท 
- เบอร์เกอร์เนื้อ ราคาชิ้นละ 30 บาท 
- ชิกเกน สเต๊ก ราคาชิ้นละ 50 บาท
- สไปซี ชิกเกน เบอร์เกอร์ ราคาชิ้นละ 50 บาท 
- โค้ก กระป๋องละ 20 บาท 

นอกจากนี้ยังมี ไอศกรีม (คล้าย ๆ ของ MIXUE) เป็นของหวาน ขายราคาโคนละ 15 บาทด้วย ซึ่งราคานี้ต้องบอกว่าค่อนข้างถูก เมื่อเทียบกับคู่แข่งรายอื่น ๆ โดยเฉพาะร้านที่ขายอยู่บนศูนย์การค้า 

ส่วนรสชาตินั้น Zhengxin Chicken Steak จะมีรสชาติเหมือนไก่ทอดทั่วไป แต่จะมีการคลุกผงรสเผ็ดของทางร้านอยู่ด้วย ทำให้มีรสชาติแปลกใหม่ ต่างจากไก่ทอดร้านอื่น ๆ 

วังวน!! Trade War สงครามการค้าที่ไม่มีใครชนะ ศึกวัดพลังที่ลุกลามไปทั่วโลกจาก 2 บิ๊กมหาอำนาจ

'สงครามการค้า' เป็นความขัดแย้งหรือการต่อสู้กันทางเศรษฐกิจระหว่างประเทศที่เกิดขึ้นจากการที่ประเทศใดประเทศหนึ่งต้องการที่จะคุ้มครองอุตสาหกรรมในประเทศของตัวเอง ตอบโต้การกระทำที่ไม่เป็นธรรมของประเทศคู่ค้า รวมไปถึงความต้องการที่จะกีดกันทางการค้า โดยการกีดกันนี้มักจะใช้มาตรการทางภาษี (Tariff), การจำกัดปริมาณการนำเข้า (Quota) เป็นเครื่องมือ ซึ่งถ้าในกรณีที่รุนแรงก็อาจจะนำไปสู่สงครามการลดการค้าระหว่างประเทศได้ค่ะ

ตัวอย่างของสงครามทางการค้าที่โด่งดังมากที่สุดก็คงจะหนีไม่พ้น สงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ-จีน ที่ทั้งสองประเทศนับเป็นประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับต้น ๆ ของโลกทั้ง 2 ประเทศ โดยสงครามการค้าเกิดขึ้นมาในสมัยประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ในปี 2018 ค่ะ 

ตอนนั้นสหรัฐฯ ขาดดุลการค้าถึง 6 แสนล้านเหรียญ โดยขาดดุลหลักๆ ให้กับประเทศจีนค่ะ ทรัมป์เลยต้องการที่จะลดการขาดดุลทางการค้ารวมถึงต้องการจำกัดการถ่ายโอนเทคโนโลยีของสหรัฐฯ ไปที่บริษัทจีน เพื่อให้เป็นไปตามนโยบายที่เขาเคยได้หาเสียงไว้ นั่นคือ 'Make America Great Again' แถมในตอนนั้นเองสหรัฐฯ ยังกังวลถึงนโยบายของประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ที่อยากให้ประเทศจีนกลายเป็นฐานการผลิตโลกภายใต้นโยบาย 'Made in China 2025' และนโยบาย 'อี่ไต้อี่ลู่' หรือ 'One Belt, One Road' ที่เป็นนโยบายการฟื้นฟูเส้นทางสายไหมที่จะเชื่อมโยงทวีปเอเชีย, ยุโรปและแอฟริกาเข้าด้วยกันค่ะ 

โดยสหรัฐฯ เริ่มต้นเก็บภาษีการนำเข้าเหล็กและอะลูมิเนียมจากจีน และจีนก็โต้กลับด้วยการเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากสหรัฐฯ เป็นมูลค่าถึง 3 พันล้านดอลลาร์ และสหรัฐฯ ก็ตอบโต้กลับด้วยการเก็บภาษีสินค้านำเข้าจีนกว่า 800 รายการเป็นมูลค่าสูงถึง 3.4 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งทั้งสหรัฐฯ และจีนเองก็ต่างตอบโต้กันอย่างดุเดือดค่ะ

การตอบโต้ของทั้งสองประเทศดำเนินไปอย่างเข้มข้นและรุนแรง จนมาผ่อนคลายชั่วคราวในช่วงปี 2020 และพอเข้าปีที่ 2022 รูปแบบ Trade War ก็ได้เปลี่ยนไปจากเดิมคือ กลายเป็นสงครามการค้าที่มีเทคโนโลยีเป็นตัวกลางหรือที่เราเรียกว่า Tech War แทน สงครามการค้า 

Tech War ทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ จนถึงปัจจุบัน สหรัฐฯ ห้ามส่งออกชิป Nvidia ไปยังจีน เพื่อให้จีนเข้าไม่ถึงชิปที่ทันสมัย และยังไม่รวมถึงการประกาศขึ้นภาษีสินค้าจีนมูลค่ารวมกว่า 18,000 ล้านดอลลาร์ที่จะมีผลบังคับใช้ในปีนี้ โดยในรอบนี้จะมีการขึ้นภาษีทั้งในรถยนต์ไฟฟ้า แบตเตอรี่ และกลุ่มเซมิคอนดักเตอร์ด้วยค่ะ 

แต่นอนว่า สงครามการค้าที่รุนแรงและยื้อเยื้อนี้ ส่งผลต่อภาพรวมเศรษฐกิจโลก รวมทั้งลามไปยังประเทศอื่น ๆ อย่างเช่นประเทศแถบยุโรปที่เริ่มหันมาเก็บภาษีนำเข้ารถยนต์ EV จากจีน หลังจากที่พวกเขาเองก็ประสบปัญหาการสูญเสียความสามารถในการแข่งขันให้กับรถยนต์ไฟฟ้าจากประเทศจีน ทำให้จีนเองต้องตอบโต้ด้วยการเริ่มตรวจสอบการทุ่มตลาดเนื้อหมูจาก EU กลับ

ส่วนในไทยเองแม้ภาพรวมเศรษฐกิจโลกอาจจะอ่อนแอลงไป แต่ไทยก็อาจจะได้ประโยชน์ในเรื่องสงครามการค้าจากการย้ายฐานการผลิตมายังไทย และการส่งออกสินค้าไปทั้งสหรัฐฯ และจีนได้มากขึ้นในบางสินค้าอย่าง เช่น การส่งออกสินค้าเกษตรไปจีน และการส่งออกสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ไปยังสหรัฐฯ ค่ะ 

ทัวร์ลง!! ‘ยูทูบเบอร์ดัง’ หลังแสดงออกผิดหวังที่เห็นลาซา (ทิเบต) เจริญ ฟากชาวเน็ตไทย-จีน รุมสอนประวัติศาสตร์ ‘ทำไมทิเบตควรพัฒนาก้าวหน้า’

จากกรณีช่องยูทูป ‘Pigkaploy’ ผู้ติดตามกว่า 1.43 ล้าน ได้โพสต์วิดีโอชื่อ “ทิเบต เที่ยวเองไม่ได้? นครลาซา เมืองหลวงหลังคาโลก I #soloไทยสู่หิมาลัย D18” พร้อมเขียนแคปชันวิดีโอว่า…

“24 ชั่วโมงแรก ในนครลาซา ศูนย์กลางของทิเบต หนึ่งในเมืองที่สูงที่สุดในโลก 3650 เมตร!...

“กับสถานที่ที่ต้องไปเมื่อมาถึง อย่างพระราชวังโปตาลา วังโบราณกลางหุบเขา ที่เป็นสัญลักษณ์สำคัญของเมือง ที่ทุกจุดแฝงไปด้วยเรื่องราวในอดีต รวมไปถึงวัดโจคัง วัดศักดิ์สิทธิ์และสำคัญที่สุดของชาวทิเบต ถนนบาคอร์ จัตุรัสคนเดินที่เต็มไปด้วยผู้คนเดินทางมาแสวงบุญ และมีตลาดขายสินค้าโบราณ ของแปลกที่ไม่คิดว่าจะเจออย่าง กะโหลกมนุษย์!!...

“ภาพจำของทิเบตในแบบฉบับของทุกคนเป็นยังไง พอได้ดูคลิปนี้แล้วจะเป็นเหมือนที่คิดไว้มั้ย
เดินทางไปสัมผัสพร้อม ๆ กับเรานะคะ”

หลังจากเผยแพร่วิดีโอไปได้ไม่นาน ก็เกิดกระแสตอบโต้อย่างรุนแรงจากทางโซเชียลจีน ที่แสดงออกถึงความไม่พอใจ โดยผู้ใช้เฟซบุ๊ก ‘Chorunchun Tou Kuntapinta’ ก็ได้โพสต์ข้อความถึงกรณีนี้ โดยระบุว่า…

“#คลิปทิเบตน้องพลอยในยูทูปเจอทัวร์จีนลงฉ่ำ
#แถมสอนประวัติศาสตร์จีนทิเบต ก้อนเบ้อเร่อ..

เพราะ ..เหตุเดียวในคลิป ที่ #พลอยพูดทำนองว่า "ผิดหวังที่เห็นลาซาเจริญและเปลี่ยนแปลงไม่เหมือนที่คิดไว้"

#กูว่าละ อินฟูไทยหัวใจฝรั่ง...ไปเขตอ่อนไหวของเขาทีไร แม่งทุกคนเลย!! ที่กำไม้บรรทัดของตัวเองจากตะวันตกไปด้วยเสมอ...บางทีก็สมควร…โดนแบบนั้นแหละ 55555

ดูคนไม่ดังเท่าไร #คนไทยไปทิเบตของแท้ดีกว่า...
แล้วจะรู้ว่า #ทำไมทิเบตจึงสมควรได้รับการพัฒนาให้ยิ่ง ๆ ขึ้นไป!!!

ผมอยู่เกิน 3 วันไม่ไหว? #หมู่บ้านทิเบตจีนที่โคตรชนบท
#ขอบคุณมากๆคับผม!!
📌  https://www.youtube.com/watch?v=vJofcqZbanU

พร้อมระบุในคอมเมนต์ต่ออีกว่า “คลิปพลอยเดินทางต้นๆ #คนจีนชมชอบมากนะ ก่อนเข้าลาซาอ่ะ คลิปน้อง ดังใน #โต่วอิน ตั้งแต่เข้าฉงชิ่งละ..คนจีนแห่กรูกันเข้ามาชมเยอะมากเลยนะ.. ในยูทูปเนี่ย...ให้กำลังใจเลย ต้อนรับอย่างดีเลย.. #พลาดไปนิสสสสส... Ep. นี้แหละ..”

ทั้งนี้ จากความเห็นชาวเน็ตไทย-จีน ได้คอมเมนต์เกี่ยวกับเรื่องนี้ ซึ่งมีอยู่หลากหลายมุมมองกับวิดีโอดังกล่าว ดังนี้…

>> น้องพลอย หากไปเมืองจีน และไปในบางพื้นที่ เช่น ทิเบต ซินเจียงอุยร์กู มาเก็า ฮ่องกง และใต้หวัน อันนี้ อย่าไปเอาเฉพาะข้อมูลที่ตะวันตกเขียนขึ้นมานำเสนอครับ คนจีนกว่าพันล้านคนเขาไม่น่าจะชอบแน่นอน เนื่องจากจีนเขาก็ถูกชาติตะวันตกมาล่าอาณานิคมรุกรานเขาเหมือนกันในอดีต เช่นในสงครามฝิ่น กับอังกฤษ เป็นต้น คนจีนเขาเป็นคนชาตินิยมสูง เพราะมีประวัติศาสตร์ประเพณีที่ยาวนานหลายพันปี เขาเลยแค้นมาจนถึงปัจจุบันกับชาติตะวันตก อันที่จริงชาติตะวันตกทำไม่ดีกับคนทั้งโลกไว้มาก เนื่องจากมีลักษณะการล่าอาณานิคมไปทั่วทั้งโลกเพื่อยึดครองและเอาทรัพยากร ชนิดทั่วทุกทวีปโดนมาหมด เหมือนในทวีปอเมริกา ทั้งเหนือทั้งใต้นี้ ชาวพื้นเมืองอินเดียแดง แทบสูญพันธุ์กันเลย ส่วนลักษณะการปกครองของตะวันตกต่ออาณานิคมที่ยึดมาได้และเขายังใช้มาจนถึงปัจจุบันคือ การแบ่งแยกเพื่อปกครองไม่ให้รวมกัน โดยทำให้แตกแยก เพื่อง่ายแก่การปกครอง 

อันนี้บางประเทศที่เคยโดนยึด และยังไม่ถูกตะวันตกกลืนไปทั้งหมด เขาจะแค้นเอามาก ๆ อันที่จริงประเทศที่ควรจะแค้นพวกตะวันตกแบบสุด ๆ เพราะทำให้ประเทศถูกแบ่งแยกและถูกยึดพื้นที่ไปกว่าครึ่ง ก็คือสยาม หรือไทยนี่แหละ ที่ถูกตะวันตกแบ่งแยกดินแดนไปกว่าครึ่ง เช่นเสียลาว เขมรให้
ฝรั่งเศส เสียไทยบุรี กลันตัน ตังกานู และตะนาวศรีให้อังกฤษ เป็นต้น 

อันนี้เมื่อศึกษาประวัติศาสต์ให้ดี ๆ แล้ว ก็จะไม่แปลกใจว่า ทำไมคนจีนเขาก็คงไม่ค่อยชอบพวกชาติตะวันตก ฉะนั้นคนเอเชียที่ทำได้ คือควรเรียนรู้เรื่องเทคโนโลยีจากตะวันตกให้ทันเพื่อไม่ให้เสียเปรียบอีก

ส่วนอย่างอื่นของตะวันตกอันไหนดีก็ควรเอามา แต่อย่าไปทำตามทุกเรื่องโดยทิ้งอัตลักษณ์ของตนเองไป เช่น ในทิเบต ที่ทุกอย่างมันก็ยังมีเหมือนเดิมนั่นล่ะ แค่มันเจริญขึ้นเพราะจำเป็นต้องมีสิ่งใหม่ ๆ เข้ามาเท่านั้นเอง

>>สรรพสิ่งใด ๆ ล้วนเปลี่ยนแปลงไม่หยุดนิ่ง อะไรที่หยุดนิ่งก็คือตายไปแล้ว ทำไมต้องคิดว่าทิเบตจะต้องอยู่แบบเดิม ๆ เขาเปลี่ยนแปลงไปสู่สิ่งใหม่ ๆ ขนาดเมืองไทยก็ยัง เปลี่ยนไปมาก หลายสิ่งก็ไม่เหมือนเดิม

>>ที่จริงแล้วทิเบตไม่ใช่ว่า เพิ่งจะมาพัฒนา หรือ เปลี่ยนแปลงในเร็ว ๆ นี้นะ ผมไปมาเมื่อเกือบ 10 ปีที่แล้วก็เจริญ และพัฒนาแบบนี้แล้ว ในเมืองหลวง ลาซา มีห้าง มีสิ่งอำนวยความสะดวกแทบทุกอย่าง ระบบการคมนาคม รถเมล์ใหม่และสะอาดกว่าเมืองไทยอีก (ย้ำว่าเมื่อ เกือบ 10 ปีที่แล้ว) ระบบการสื่อสาร internet wif ก็ถือว่าดี ในห้างและในโรงแรมที่อยู่ ห้องน้ำก็สะอาด ส่วนห้องน้ำนอกเมืองก็ตามสภาพ ผมดูมาหลายช่องแล้ว youtuber อีกช่องมาทิเบต ไปเที่ยว เมืองหลวงลาซา แล้วทำหน้าตาท้อแท้ แบบผิดหวัง แสดงอารมณ์ดราม่าคืองงว่า คุณกำลังคาดหวังอะไร ทุกสิ่งทุกอย่างย่อมเปลี่ยนแปลงไปเป็นธรรมดาของโลก ขนาดเมืองสิบสองปันนายังพัฒนาเลย อยากให้เที่ยวด้วยทัศนคติที่มีความสุขมากกว่า เที่ยวอย่างมีความสุขดีกว่า อย่างน้อยก็คือการได้ไปสัมผัสบ้านเมืองเค้าซึ่งก็ถือว่าแปลกตา กลายเป็นว่าคลิปนี้ดูสีหน้า อารมณ์ อึน ๆ แปลก ๆ ไป ไม่สดในเหมือนทุกคลิป ที่ผ่านมา ดูดราม่าไป

>>ถ้าทิเบตไม่พัฒนาก้าวหน้าก็อาจจะมีคาถาที่ชั่วร้ายกว่าเมืองไทยหลายร้อยเท่า ฉันมีเพื่อนชาวทิเบตและพวกเขาก็กินดีอยู่ดี ขณะเดียวกันพุทธศาสนาในทิเบตก็ยังรักษาสิ่งดี ๆ ไว้ ในชีวิตปัจจุบันผู้คนมีความเจริญรุ่งเรื่องและสังคมมีความสามัคคี

>>หากคุณสนใจทิเบตจริง ๆ อย่าเพิ่งพูดถึงเรื่องนี้ คุณสามารถบริจาคเงินหรือทำงานเป็นครูในทิเบตได้สักสองสามปี

>>ไม่เคยได้อ่านเรื่องของทิเบตจริงจังมาก่อน พอได้มาอ่านคอมเมนต์ของชาวจีนเลยพยายามหาข้อมูล แต่พบว่ามีข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องราวชีวิตของชาวทิเบตน้อยมากในภาษาไทย ส่วนที่เป็นภาษาอังกฤษก็มักจะเป็นข่าวการเมืองมากกว่า ทำให้ได้เรียนรู้ว่าการที่เราไปท่องเที่ยว เห็นสิ่งต่าง ๆ สวยงาม ก็เป็นเพียงมุมหนึ่ง แต่ในมุมของคนที่ใช้ชีวิตอยู่ที่นั่น เค้ามีเรื่องราว มีอารมณ์ความรู้สึกทั้งด้านดีและไม่ดี ผ่านกาลเวลามายาวนาน การที่เราจะชื่นชมหรือวิพากษ์วิจารณ์ควรทำด้วยความใส่ใจ ระมัดระวัง เสมือนเราไปหาเพื่อนที่บ้าน นอกจากต้องอยู่ในขอบเขตที่เหมาะสมแล้ว ก็ต้องระวังไปรุกล้ำพื้นที่ส่วนตัวทางจิตใจของเขาด้วย

>>พัฒนาไปแบบไหนถึงจะดี? ถ้าสงสัยก็ต้องถามชาวบ้าน พื้นถิ่นจริง ๆ สักหลาย ๆ คนหลาย generation ดูครับ ว่าเค้าคิดอย่างไร อยากไปแนวไหน อนุรักษ์มาก ๆ หรือก้าวหน้ามาก ๆ หรือรักษาสมดุล และที่เป็นอยู่มันสมดุลมั้ย? บางครั้งความคิดเราความอยากของเราที่อยากให้มันเป็นแบบที่เราจินตนาการไว้เพื่อตอบสนองความ romantic หรือความ advenger ในใจเราก็ดูจะเป็นการเอาเปรียบ
และกดขี่ผู้คนท้องถิ่นที่อยากจะมีชีวิตที่ดีขึ้น พัฒนามากขึ้น ปลอดภัยขึ้น อย่างที่เราและมนุษย์เกือบทุกคนอยากได้และต้องการก็ได้นะครับ

>>คนจีนเข้ามาเมนต์เยอะมาก อ่าน ๆ ดูจับใจความได้ว่า เขาค่อนข้างผิดหวังที่น้องพลอยหรือคนไทยมองว่าทิเบตถูกจีนเปลี่ยนให้เจริญนั้นไม่ดี อยากให้ทิเบตเป็นแบบเดิม ๆ แต่เขาบอกว่าก่อนจีนเข้ามาพัฒนา ทิเบตในสมัยก่อนที่ลามะปกครองนั้นคือสังคมทาสเต็มรูปแบบที่โหดร้าย มีการบูชายัญการปฏิบัติทางศาสนาที่งมงายมาก ๆ ของพุทธศาสนานิกายนี้ของทิเบตนี้ เขาผิดหวังที่คนไทยมาแล้วโหยหาภาพเก่า ๆ ที่เราไม่ได้รู้จักจริง รู้ผิด ๆ จากสื่อตะวันตกมา

>>แนะนำให้แอดมินช่องตัดส่วนความคิดเห็นของน้องพลอยออกไป หรือแม้แต่ข้อมูลทางประวัติศาสตร์ด้วยครับ เพราะต่อให้ข้อมูลมีความเป็นสากลแค่ไหน ถูกหรือผิดอย่างไรก็จะมีปัญหากับคนที่ชอบหรือไม่ชอบอยู่ดี เสี่ยงต่อการถูกกดรายงานด้วยครับ ด้วยความห่วงใยจริง ๆ

>>สิ่งที่พลอยกับเบนซ์ต่างกันคือ เบนซ์เที่ยวคือเที่ยวไปแบบเทน้ำออกจากแก้วเลยไม่พยายามยัดความรู้ให้คนดู สังเกตหลายคลิปแล้ว แต่กับพลอยไม่ใช่ ชอบพลอยเที่ยวแบบเดิม ๆ พยายามถ่ายสถานที่สวย ๆ เยอะ ๆ ความรู้ให้คนดูไปหาเอาเองดีกว่า 

>>ถึงชาวจีนทุกคน เจ้าของช่องไม่ได้มีเจตนาที่จะดูหมิ่นประเทศของคุณ มันเป็นเพียงคลิปการผจญภัยของเขาโปรดเข้าใจด้วยค่ะ

>>หน้าปกของวิดีโอเกี่ยวกับการเดินทางในจีนมี ธงชาติจีน แต่หน้าปกของวิดีโอเกี่ยวกับทิเบตไม่มี
ธงชาติจีน นี่เป็นการกระทำโดยตั้งใจและแสดงให้เห็นว่าเธอไม่รู้ว่าทิเบตเป็นของจีน (คอมเมนต์ชาวต่างชาติ)

>>คุณคิดว่าคนจีนแยกไม่ออกระหว่างความผิดโดยไม่ตั้งใจกับการบิดเบือนโดยเจตนาหรือไม่ (คอมเมนต์ชาวต่างชาติ)

>>ฉันยังสามารถพูดได้ว่าเชียงใหม่ไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของประเทศไทย และภูเก็ตก็ไม่ใช่เช่นกัน (คอมเมนต์ชาวต่างชาติ)

>>นี่ไม่ใช่ความผิดโดยไม่ได้ตั้งใจ แต่เป็นการจงใจใส่ร้าย เธอไม่ให้เข้าเมือง คนจีนเป็นมิตรกับเธอ
มาก แต่เธอก็เหมือนงูพิษที่ชาวนาช่วยชีวิตไว้! (คอมเมนต์ชาวต่างชาติ)

>> ฉันเป็นคนจีนและเชื่อว่าพลอยไม่มีเจตนาร้าย แต่ข้อมูลที่ทีมผลิตวิดีโอรวบรวมไว้นั้นไม่ถูกต้อง ฉันยังกังวลเกี่ยวกับความคิดเห็นของจีน พวกเขาหมกมุ่นอยู่กับอารมณ์เชิงลบที่สร้างโดย CCP มาเป็นเวลานานและเชื่อว่าทั้งโลกกำลังมุ่งเป้าไปที่จีน ดังนั้นพวกเขาจึงแสดงความต่ำต้อยและความเย่อหยิ่ง แต่พวกเขาลืมไปว่าการมองโลกในแง่ดีเป็นวิถีแห่งการเป็นที่นิยม ประชาชนควรเป็นเช่นนี้ และควรเป็นเช่นเดียวกับประเทศหนึ่ง (คอมเมนต์ชาวต่างชาติ)

'จีน' คุมเข้ม 'โลกไซเบอร์' สร้างสภาพแวดล้อมที่ดีให้เด็กเยาวชน เล็งช่วงปิดเทอม จัดการคอนเทนต์ไม่สร้างสรรค์ในทุกแพลตฟอร์ม

(16 ก.ค.67) สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า สำนักบริหารไซเบอร์สเปซแห่งประเทศจีน (CAC) ออกหนังสือเวียนเปิดตัวโครงการรณรงค์ระดับประเทศระยะ 2 เดือนช่วงปิดเทอมฤดูร้อน เพื่อมุ่งจัดการกับสภาพแวดล้อมบนโลกไซเบอร์แก่บรรดาเยาวชนคนจีน

โดยโครงการรณรงค์ดังกล่าว จะจัดการปัญหาสำคัญในโลกไซเบอร์อย่างแพลตฟอร์มวิดีโอสั้นและไลฟ์สตรีมมิงซึ่งมีเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับความรุนแรง การทำร้ายร่างกาย การกลั่นแกล้ง หรือการล่วงละเมิดเด็กที่อาจส่งผลเสียต่อผู้เยาว์

สำนักบริหารฯ ระบุว่า โครงการรณรงค์นี้ยังจะมุ่งเป้าไปที่แพลตฟอร์มสื่อสังคมออนไลน์และอีคอมเมิร์ซ เนื่องจากแพลตฟอร์มเหล่านี้อาจเผยแพร่เนื้อหาที่ไม่เหมาะสมเกี่ยวกับเว็บไซต์ผิดกฎหมาย ภาษาหยาบคาย และสื่อลามกอนาจาร รวมถึงแพลตฟอร์มอื่น ๆ อาทิ แหล่งรวบรวมแอปพลิเคชัน (Application Stores) อุปกรณ์อัจฉริยะที่ออกแบบสำหรับเด็ก และ 'โหมดสำหรับผู้เยาว์' ในแอปพลิเคชันบนสมาร์ตโฟน

ทั้งนี้ สำนักบริหารฯ ชี้ว่าหน่วยงานด้านไซเบอร์ในท้องถิ่นควรติดตามฟีเจอร์และปัญหาใหม่ ๆ ที่เกี่ยวข้องกับผู้เยาว์บนโลกไซเบอร์อย่างใกล้ชิด พร้อมจัดการการละเมิดกฎระเบียบใด ๆ ก็ตาม

‘สีจิ้นผิง’ นักปฏิรูปของจีน เดินหน้าส่งเสริมสร้างความทันสมัย แม้รู้ซึ้งภารกิจยากเย็นเพียงใด แต่ยึดมั่นเพื่อการพัฒนาประเทศ

เมื่อวานนี้ (15 ก.ค.67) สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า ผู้นำจีน ‘สีจิ้นผิง’ ได้ทยอยเปิดเผยมาตรการปฏิรูปชุดใหม่ ซึ่งจะกำหนดทิศทางการเติบโตของประเทศจีนที่มีเศรษฐกิจขนาดใหญ่ที่สุดอันดับสองของโลก ขณะคณะผู้นำพรรคคอมมิวนิสต์จีน (CPC) เริ่มต้นการประชุมนโยบาย ระยะ 4 วัน ณ กรุงปักกิ่ง ในวันจันทร์ (15 ก.ค.) ณ พิธีเปิดการประชุมเต็มคณะ ครั้งที่ 3 ของคณะกรรมการกลางพรรคคอมมิวนิสต์จีน ชุดที่ 20 

สีจิ้นผิงในฐานะเลขาธิการใหญ่คณะกรรมการกลางพรรคฯ ได้นำเสนอรายงานการปฏิบัติงานในนามกรมการเมืองแห่งคณะกรรมการกลางพรรคฯ และแจกแจงร่างมติเกี่ยวกับการปฏิรูปรอบด้านอย่างลึกซึ้งยิ่งขึ้นและการเดินหน้าการสร้างความทันสมัยของจีน

การประชุมครั้งนี้มีความสำคัญเทียบเท่า ‘การประชุมเต็มคณะ ครั้งที่ 3’ ครั้งอื่น ๆ ก่อนหน้านี้ เช่น การประชุมในปี 1978 ที่เติ้งเสี่ยวผิงเริ่มต้นความพยายามปฏิรูปและเปิดกว้างของจีน

ช่วงก่อนการประชุมเต็มคณะครั้งปัจจุบัน สีจิ้นผิงได้ส่งเสริมการปฏิรูป กระตุ้นความพยายาม ‘ปลดปล่อยความคิดยิ่งขึ้น ปลดแอกและพัฒนาพลังการผลิตทางสังคม ปลดเปลื้องและเพิ่มพูนพลังความมีชีวิตชีวาของสังคม’ เพื่อ ‘มอบแรงกระตุ้นอันแข็งแกร่งและหลักประกันเชิงระบบสำหรับการสร้างความทันสมัยของจีน’

สิ่งนี้สร้างความคาดหวังการปฏิรูปอย่างลึกซึ้งรอบใหม่ พร้อมขจัดข้อวิตกกังวลว่าการปฏิรูปของจีนจะ ‘หยุดนิ่ง’ หรือเศรษฐกิจของจีนจะ ‘สูญสิ้นพละกำลัง’

ตั้งแต่สีจิ้นผิงเข้าดำรงตำแหน่งผู้นำสูงสุดเมื่อกว่าทศวรรษก่อน จีนได้ก้าวเข้าสู่ ‘ยุคใหม่’ โดยมีความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจและเกียรติภูมิบนเวทีนานาชาติเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ขณะการปฏิรูปเป็นจุดเด่นของยุคใหม่นี้

อย่างไรก็ดี จีนในวันนี้ได้อยู่ในห้วงยามสำคัญของการเร่งรัดการปฏิรูป ท่ามกลางการเผชิญหน้ากับความท้าทายทั้งเก่าและใหม่นานัปการเดินหน้าปฏิรูป เปิดกว้างต่อเนื่อง

สีจิ้นผิงถือเป็นนักปฏิรูปที่โดดเด่นอีกคนหนึ่งของจีนต่อจากเติ้งเสี่ยวผิง โดยผู้นำทั้งสองมีภารกิจเดียวกันคือการสร้างความทันสมัยของประเทศ แต่อยู่ภายใต้บริบทที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน

เมื่อครั้งเติ้งเสี่ยวผิงเริ่มต้นการปฏิรูปและเปิดกว้างช่วงปลายทศวรรษ 1970 ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ต่อหัวของจีนน้อยกว่า 200 ดอลลาร์สหรัฐ (ราว 7,300 บาท) ทำให้ความพยายามปฏิรูปและเปิดกว้างของเขาเริ่มต้นจากเกือบศูนย์

ทว่าเมื่อครั้งสีจิ้นผิงได้รับเลือกให้ดำรงตำแหน่งเลขาธิการใหญ่คณะกรรมการกลางพรรคคอมมิวนิสต์จีนในปี 2012 จีนเป็นประเทศที่มีเศรษฐกิจขนาดใหญ่ที่สุดอันดับสองของโลกด้วยผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศต่อหัวสูงกว่า 6,000 ดอลลาร์สหรัฐ (ราว 2.19 แสนบาท) แต่การเติบโตได้ปรับเปลี่ยนความเร็วจากเดิม และข้อได้เปรียบหลายประการ เช่น ต้นทุนแรงงานที่ต่ำ ได้เริ่มลดน้อยถอยลง

แทนที่จะหยุดพักอยู่กับความสำเร็จของบรรดาผู้นำรุ่นก่อนหน้า สีจิ้นผิงกลับมุ่งมั่นเดินหน้าการปฏิรูป แม้รับรู้ดีว่าภารกิจนี้ยากเย็นเพียงไร โดยเขากล่าวว่าทำส่วนที่ง่ายของภารกิจนี้เสร็จสิ้นจนเป็นที่พึงพอใจของทุกคนแล้ว ส่วนที่เหลือนั้นเป็นงานยากเหมือนกระดูกแข็งที่ต้องออกแรงเคี้ยว

ช่วงทศวรรษที่ผ่านมา จีนได้ออกมาตรการปฏิรูปมากกว่า 2,000 รายการ ซึ่งช่วยให้ประเทศสามารถขจัดความยากจนขั้นรุนแรง ส่งเสริมการพัฒนาเมือง-ชนบทเชิงบูรณาการ ต่อสู้กับการทุจริตคดโกง สนับสนุนการประกอบธุรกิจ กระตุ้นการสร้างสรรค์นวัตกรรม และผลักดัน ‘การปฏิวัติเขียว’

เนื่องด้วยมาตรการปฏิรูปเหล่านี้ เศรษฐกิจจีนเติบโตแข็งแกร่งอย่างต่อเนื่องและเพิ่มขึ้นมากกว่าสองเท่านับตั้งแต่ปี 2012 ซึ่งเสริมสร้างสถานะของจีนในการเป็นผู้มีส่วนส่งเสริมการเติบโตรายสำคัญของโลก

ปัจจุบันจีนต้องเพิ่มความพยายามเป็นพิเศษ ยามเผชิญกับความต้องการมีชีวิตที่ดียิ่งขึ้นของประชาชนและความท้าทายใหญ่ต่าง ๆ เช่น แรงกดดันจากเศรษฐกิจขาลงหลังจากการระบาดใหญ่ของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ (โควิด-19) กอปรกับความเสี่ยงจากภาคอสังหาริมทรัพย์ หนี้สินของรัฐบาลท้องถิ่น และสถาบันการเงินขนาดเล็ก-ขนาดกลางบางส่วน

เพื่อแสวงหาอนาคตที่ดียิ่งขึ้นของประชาชนและประเทศชาติ สีจิ้นผิงเน้นย้ำว่าการปฏิรูปและเปิดกว้างเป็น ‘วิธีการสำคัญ’ สู่การบรรลุการสร้างความทันสมัยของจีนและสานต่อปาฏิหาริย์ทางการพัฒนาของประเทศ

สีจิ้นผิงเน้นย้ำความสำคัญของการปฏิรูปในการประชุมของกรมการเมืองแห่งคณะกรรมการกลางพรรคฯ เมื่อเดือนมกราคม และสำทับถึงความจำเป็นในการปฏิรูปภาคส่วนต่าง ๆ อย่างลึกซึ้งยิ่งขึ้นในการประชุมประจำปีของสภานิติบัญญัติและหน่วยงานที่ปรึกษาทางการเมืองระดับสูงสุดของชาติในไม่กี่สัปดาห์ถัดมา

‘การปฏิรูปเป็นพลังขับเคลื่อนการพัฒนา’ สีจิ้นผิงกล่าวระหว่างตรวจเยี่ยมมณฑลซานตงทางตะวันออกของจีนเมื่อเดือนพฤษภาคม โดยสีจิ้นผิงยังจัดการประชุมเพื่อรับฟังความคิดเห็นจากกลุ่มผู้นำทางธุรกิจและนักวิชาการเกี่ยวกับวิธีการปฏิรูปอย่างลึกซึ้งยิ่งขึ้น

หวงฮั่นเฉวียน ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยเศรษฐกิจมหภาคแห่งชาติจีน ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้เข้าร่วมการประชุมข้างต้น กล่าวว่า สีจิ้นผิงให้ความสำคัญกับการปฏิรูปอย่างมากและมีความเข้าใจเกี่ยวกับประเด็นต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับการปฏิรูปทั้งหมดเป็นอย่างดี

ก่อนหน้านี้สีจิ้นผิงกล่าวกับสมาชิกชุมชนธุรกิจ ยุทธศาสตร์ และวิชาการของสหรัฐฯ ที่เยือนกรุงปักกิ่งในฤดูใบไม้ผลินี้ว่าจีนกำลังวางแผนและดำเนินการตาม ‘ขั้นตอนสำคัญของการปฏิรูปรอบด้านอย่างลึกซึ้งยิ่งขึ้น’ โดยจีนจะเสริมสร้างสภาพแวดล้อมทางธุรกิจที่มุ่งเน้นตลาด อ้างอิงกฎหมาย และเป็นสากลอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะเพิ่มพื้นที่การพัฒนาแก่ธุรกิจของสหรัฐฯ และนานาชาติ

ทั้งนี้ ความมุ่งมั่นปฏิรูปของสีจิ้นผิงยังคงเหมือนเดิมตลอดมา ปี 1969 เมื่อครั้งสีจิ้นผิงอายุ 15 ย่าง 16 ปี เขาถูกส่งตัวไปยังหมู่บ้านเหลียงเจียเหอในมณฑลส่านซีทางตะวันตกเฉียงเหนือของจีนเพื่อใช้แรงงานในพื้นที่เกษตรกรรม ที่ซึ่งทำให้เขาได้รู้จักกับความหิวโหย โดยปณิธานของสีจิ้นผิงวัยหนุ่มตอนนั้นคือทำให้สหายร่วมหมู่บ้านมีข้าวปลาอาหารกินอย่างเพียงพอ

การสนับสนุนการปฏิรูปอย่างแรงกล้าของสีจิ้นผิงยังมาจากความปรารถนามีชีวิตที่ดียิ่งขึ้นของประชาชน โดยมาตรการปฏิรูปต่าง ๆ ที่สีจิ้นผิงดำเนินการในหมู่บ้านเหลียงเจียเหอในฐานะเลขาธิการพรรคฯ ประจำหมู่บ้านเหลียงเจียเหอ ทั้งการใช้ก๊าซชีวภาพ ตั้งร้านตีเหล็ก และเปิดร้านขายของชำ ล้วนมุ่งยกระดับชีวิตความเป็นอยู่ของชาวบ้าน

ความมุ่งมั่นปฏิรูปของสีจิ้นผิงยังได้รับอิทธิพลจากผู้เป็นพ่ออย่างสีจ้งซวิน นักปฏิวัติเก่าและผู้สนับสนุนการปฏิรูปและเปิดกว้าง โดยปี 1978 สีจ้งซวินได้รับแต่งตั้งเป็นเจ้าหน้าที่คนสำคัญของมณฑลกว่างตง (กวางตุ้ง) ทางตอนใต้ของจีน และช่วยสร้างเขตเศรษฐกิจพิเศษชุดแรกของจีน ซึ่งประกอบด้วยเซินเจิ้น จูไห่ และซ่านโถว

ปีเดียวกันนั้นสีจ้งซวินมอบหมายให้สีจิ้นผิง ซึ่งกำลังเรียนอยู่ที่มหาวิทยาลัยชิงหัว ดำเนินการวิจัยภาคสนามเกี่ยวกับระบบความรับผิดชอบตามสัญญาครัวเรือนในมณฑลอันฮุยทางตะวันออกของจีน โดยสีจิ้นผิงบันทึกข้อมูลจนเต็มสมุดที่ยังคงถูกเก็บไว้จนถึงทุกวันนี้ชื่อเสียงของสีจิ้นผิงในฐานะนักปฏิรูปเพิ่มพูนตามความก้าวหน้าบนเส้นทางอาชีพทางการเมืองของเขา

ช่วงต้นทศวรรษ 1980 สีจิ้นผิงริเริ่มการทดลองปฏิรูปในอำเภอเจิ้งติ้ง ซึ่งเป็นอำเภอยากจนในมณฑลเหอเป่ยทางตอนเหนือของจีน โดยเขาทดลองจัดทำสัญญาที่ดินในชนบท ทำให้อำเภอเจิ้งติ้งเป็นพื้นที่แรกของเหอเป่ยที่ปรับใช้แนวทางดังกล่าว

บทความที่เผยแพร่ผ่านนิตยสารไชน่า ยูธ (China Youth) ในปี 1985 บรรยายรายละเอียดการเปลี่ยนแปลงของอำเภอเจิ้งติ้งโดยอ้างอิงคำบอกเล่าของเลขาธิการพรรคฯ ระดับอำเภอจากมณฑลใกล้เคียงที่เยือนอำเภอเจิ้งติ้งที่ว่าการปฏิรูปเกิดขึ้นทุกที่จนประชาชนท้องถิ่นไม่ต้องร้องขอ

"หากมองย้อนกลับไปตอนนั้น สิ่งหนึ่งที่ทำสำเร็จคือการปลดปล่อยความคิด" สีจิ้นผิงกล่าวถึงการปฏิรูปในอำเภอเจิ้งติ้ง

ต่อจากอำเภอเจิ้งติ้ง สีจิ้นผิงได้รับมอบหมายให้ปฏิบัติงานที่นครเซี่ยเหมิน ซึ่งเป็นเขตเศรษฐกิจพิเศษในมณฑลฝูเจี้ยนทางตะวันออกเฉียงใต้ของจีน ที่ซึ่งเขาเป็นผู้นำการจัดตั้งธนาคารร่วมทุนแห่งแรกของจีนอย่างเซี่ยเหมิน อินเตอร์เนชันแนล แบงก์ (Xiamen International Bank) และหลังจากก้าวสู่ตำแหน่งผู้ว่าการมณฑลฝูเจี้ยน สีจิ้นผิงเป็นผู้นำการปฏิรูปการครอบครองป่าไม้ร่วมกัน ซึ่งถูกปรับใช้ในพื้นที่ส่วนอื่นๆ ของประเทศในเวลาต่อมา โดยแผนริเริ่มนี้เป็นที่รู้จักในฐานะอีกหนึ่งขั้นตอนการปฏิวัติพื้นที่ชนบทของจีน ต่อจากระบบความรับผิดชอบตามสัญญาครัวเรือน

ช่วงดำรงตำแหน่งเลขาธิการพรรคฯ ประจำมณฑลเจ้อเจียง สีจิ้นผิงนำเสนอแผนริเริ่มเพื่อส่งเสริมการพัฒนาผ่านการยกระดับอุตสาหกรรม โดยเขาสนับสนุนธุรกิจเอกชนอย่างแข็งขันและกระตุ้นนักธุรกิจ ‘ติดต่อโดยตรง’ ที่สำนักงานของเขาเพื่อขอความช่วยเหลือ รวมถึงขยายการปฏิรูปนอกเหนือจากเรื่องเศรษฐกิจและการเมืองไปยังเรื่องสังคม วัฒนธรรม และระบบนิเวศด้วย

การขึ้นชื่อเป็นนักปฏิรูปของสีจิ้นผิงสร้างความประทับใจแก่บุคคลสำคัญระดับนานาชาติ โดยเดือนกันยายน 2006 เฮนรี พอลสัน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังของสหรัฐฯ ในเวลานั้น ได้เดินทางเยือนจีนและเลือกนครหางโจว เมืองเอกของมณฑลเจ้อเจียง เป็นจุดหมายแรก

พอลสันยกให้สีจิ้นผิงเป็น ‘ตัวเลือกอันสมบูรณ์แบบ’ สำหรับการประชุมครั้งแรกของเขาในจีน พร้อมบรรยายว่าสีจิ้นผิงเป็น ‘คนที่รู้ว่าจะต้องทำอย่างไรให้บรรลุเป้าหมาย’ และต่อมาพอลสันที่พบปะหารือกับสีจิ้นผิงอีกครั้งในปี 2014 เล่าว่าผู้นำจีนคนนี้เผยว่าสิ่งที่เขาให้ความสำคัญคือการปฏิรูปและประเด็นที่เกี่ยวข้อง

ปี 2007 ขณะดำรงตำแหน่งเลขาธิการพรรคฯ ประจำนครเซี่ยงไฮ้ สีจิ้นผิงเล็งเห็นความจำเป็นของการปฏิรูปเพื่อเปลี่ยนผ่านเศรษฐกิจเซี่ยงไฮ้สู่การพัฒนาที่ขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรม เพิ่มพูนความสามารถทางการแข่งขันในฐานะศูนย์กลางการเงินระหว่างประเทศ และเสริมสร้างบทบาทของเซี่ยงไฮ้ในฐานะผู้นำการปฏิรูปและเปิดกว้าง

หลังจากเข้าดำรงตำแหน่งสูงสุดของพรรคฯ ในปี 2012 สีจิ้นผิงตรวจเยี่ยมนครเซินเจิ้นเป็นแห่งแรกตามรอยผู้เป็นพ่อ ที่ซึ่งเขาได้วางกระเช้าดอกไม้ ณ รูปปั้นสัมฤทธิ์ของเติ้งเสี่ยวผิงในสวนสาธารณะเหลียนฮวาซาน เพื่อแสดงความมุ่งมั่นปฏิรูปอย่างแรงกล้า ‘เดินหน้าปฏิรูป เปิดกว้างต่อเนื่อง!’

การประชุมเต็มคณะ ครั้งที่ 3 ของคณะกรรมการกลางพรรคคอมมิวนิสต์จีน ชุดที่ 18 ในปี 2013 ภายใต้การนำของสีจิ้นผิง ถือเป็นหมุดหมายสำคัญเหมือนการประชุมเต็มคณะ ครั้งที่ 3 ของคณะกรรมการกลางพรรคคอมมิวนิสต์จีน ชุดที่ 11 ในปี 1978 ซึ่งเปิดฉากยุคสมัยแห่งการปฏิรูป โดยการประชุมในปี 2013 เปรียบดังรุ่งอรุณของยุคสมัยใหม่แห่งการปฏิรูป

การประชุมเต็มคณะฯ ในปี 2013 สีจิ้นผิงแจกแจงความท้าทายต่าง ๆ ที่จีนเผชิญระหว่างการพัฒนา ทั้งการทุจริตคดโกง การพัฒนาที่ไม่ยั่งยืน และปัญหาสิ่งแวดล้อม โดยสีจิ้นผิงตอกย้ำว่า ‘กุญแจสำคัญของการแก้ไขปัญหาเหล่านี้อยู่ที่การปฏิรูปอย่างลึกซึ้งยิ่งขึ้น’

ที่ประชุมข้างต้น ได้ตัดสินใจในประเด็นสำคัญต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับการปฏิรูปรอบด้านอย่างลึกซึ้งยิ่งขึ้น ซึ่งหนังสือพิมพ์ของสเปนแสดงความคิดเห็นว่าสีจิ้นผิงได้ริเริ่มการปฏิรูปเศรษฐกิจ สังคม และการบริหารของจีนอย่างลึกซึ้งมากที่สุดในรอบกว่า 30 ปี

หนึ่งเดือนถัดจากนั้น จีนประกาศจัดตั้งกลุ่มผู้นำส่วนกลางเพื่อการปฏิรูปรอบด้านอย่างลึกซึ้งยิ่งขึ้น (Central Leading Group for Comprehensively Deepening Reform) โดยมีสีจิ้นผิงชี้นำด้วยตนเอง ซึ่งเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์พรรคฯ ที่มีการจัดตั้งหน่วยงานผู้นำในส่วนกลางเพื่อการปฏิรูปโดยเฉพาะ โดยกลุ่มผู้นำฯ พัฒนาเป็นคณะกรรมาธิการกลางเพื่อการปฏิรูปรอบด้านอย่างลึกซึ้งยิ่งขึ้น (Central Commission for Comprehensively Deepening Reform) ในเวลาต่อมา โดยมีสีจิ้นผิงเป็นผู้อำนวยการ

บุคคลผู้ใกล้ชิดกับกระบวนการตัดสินใจเผยว่า สีจิ้นผิงเป็นผู้ตัดสินใจขั้นสุดท้ายในการปฏิรูปที่สำคัญและยากลำบาก และสีจิ้นผิงพิจารณาทบทวนร่างแผนการปฏิรูปที่สำคัญแต่ละร่างอย่างละเอียดถี่ถ้วนชนิดแก้ไขคำต่อคำ

'ปฐม อินทโรดม' บันทึกความจำ ความต่างระหว่าง 'บริษัทจีน-บริษัทญี่ปุ่น' 'จีน' มาดมั่น-ใจป๋า-อย่าต่อรอง 'ญี่ปุ่น' ครองความอ่อนน้อม เหมือนคุยกับญาติ

เมื่อวานนี้ (16 ก.ค. 67) จากเฟซบุ๊ก 'Pathom Indraroshom' โดย คุณปฐม อินทโรดม ได้โพสต์ความรู้สึกถึงบริษัทจีนและบริษัทญี่ปุ่นในปัจจุบันที่มีโอกาสได้พูดคุยด้วย ระบุว่า...

วันนี้มีคุยเรื่องงานกับบริษัทจีนและบริษัทญี่ปุ่นหลายบริษัทต่อเนื่องกันทั้งวัน เลยอยากขอบันทึกเอาไว้สักหน่อย 

บริษัทจีน: คนจีนรุ่นใหม่มาดมั่นเป็นผู้นำเสนอ เปิดตัวด้วยข้อมูลที่บอกว่าเป็นเบอร์ 1 ในตลาดหลัก ๆ ของโลก ภูมิใจที่นำเสนอว่าบริษัทเขามีสิทธิบัตรหลายพันรายการและมีทรัพย์สินทางปัญญาติดอันดับต้น ๆ ของโลก เน้นสินค้าที่มีลูกเล่นไฮเทคเหลือเฟือ พร้อมสถิติว่าถูกใจคนรุ่นใหม่ ย้ำว่าถ้าไม่จับมือกับเขาเราจะตกขบวน 

บริษัทญี่ปุ่น: คนญี่ปุ่นมาพร้อมคนไทยแนะนำตัวความอ่อนน้อม มีข้อมูลว่าสินค้าของเขาเป็นเบอร์ 1 ในตลาดต่างจังหวัดของไทย ภูมิใจที่นำเสนอว่าทำธุรกิจมาตั้งแต่รุ่นพ่อ ผูกพันกับคนไทยมาหลายสิบปี สินค้ามีลูกเล่นใกล้เคียงของจีนแต่ดูเรียบ ๆ ไม่หวือหวา ย้ำว่าช่วยกันผลักดันตลาดให้เติบโตไปด้วยกัน

ความรู้สึกเมื่อคุยกับจีน: เขาทำสำเร็จที่จีนและตลาดโลกมาแล้ว เราไม่ต้องคิดอะไรมาก ทำตามเขาแล้วเราน่าจะสำเร็จได้ไม่ยาก คนนำเสนอก็ป๋าโคตร ๆ ขออะไรให้หมดยกเว้นต่อรองราคา

ความรู้สึกเมื่อคุยกับญี่ปุ่น: สินค้าน่าจะพอขายได้ ไม่หลากหลายแต่ครบถ้วนที่ต้องการ เงื่อนไขทุกอย่างยืดหยุ่นได้หมด เหมือนคุยกับญาติที่พลัดพรากกันไปนาน คุยด้วยแล้วสบายใจ 

อันนี้มาจากบริษัทราว ๆ 1,250 เอ้ย 12 แห่งที่เข้ามานำเสนอพร้อม ๆ กันโดยมิได้นัดหมายนะครับไม่อาจใช้เป็นบรรทัดฐานได้ และไม่นับรวมบริษัทเกาหลีที่ได้คุยเหมือนกันแต่ขอไม่พูดถึงด้วยเหตุผลบางประการ


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top