Tuesday, 10 June 2025
จีน

‘จีน’ เตรียมแจกเงินสด ‘กลุ่มคนยากไร้-เด็กกำพร้า’ หวังเพิ่มกำลังซื้อช่วงเทศกาล ‘วันชาติ’ 1 ต.ค.นี้

(26 ก.ย. 67) สำนักข่าวบลูมเบิร์ก รายงานอ้างถึงการรายงานของสถานีโทรทัศน์ CCTV ของรัฐบาลจีนที่เปิดเผยว่า กระทรวงการคลังและกระทรวงกิจการพลเรือนจะออกเงินอุดหนุนค่าครองชีพในรูปแบบการแจกเงินสดครั้งเดียวให้แก่กลุ่มผู้ด้อยโอกาส รวมถึงผู้ยากไร้และเด็กกำพร้า ในวันที่ 1 ต.ค.ซึ่งตรงกับวันชาติจีน

แม้จะไม่มีการให้รายละเอียดใด ๆ เพิ่มเติมเกี่ยวกับจำนวนเงินที่แน่ชัด แต่การแจกเงินแบบครั้งเดียวในระยะเวลาอันสั้นนี้ ดูเหมือนจะเป็นการเปลี่ยนแปลงนโยบายของรัฐบาลที่มักหลีกเลี่ยงสิ่งที่ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง เรียกว่า ‘รัฐสวัสดิการ’ มาโดยตลอดง

ทั้งนี้ รัฐบาลประกาศในเดือนเม.ย.ว่าในปีนี้กระทรวงของจีนจัดสรรงบประมาณ 1.54 แสนล้านหยวน (ประมาณ 7 แสนล้านบาท) เพื่ออุดหนุนและช่วยเหลือทางการเงินแก่กลุ่มคนที่ยากจนรุนแรงกว่า 4.74 ล้านคน ตามข้อมูลของกระทรวงกิจการพลเรือนในเดือนมิ.ย.67ง

อย่างไรก็ดี นับว่านโยบายแบบนี้ไม่ค่อยเกิดขึ้นมากนักในจีน ซึ่งรัฐบาลได้ประกาศหลังจากแบงก์ชาติจีนเปิดเผยมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งใหญ่ซึ่งครอบคลุม ทั้งการลดดอกเบี้ยในตลาดเงิน นโยบายกระตุ้นการลงทุนในตลาดหุ้นและภาคอสังหาริมทรัพย์

รายงานระบุว่า หน่วยงานท้องถิ่นต้องดำเนินการให้เงินช่วยเหลือถึงมือผู้รับที่เป็นกลุ่มเป้าหมายก่อนวันที่ 1 ต.ค. เพื่อแสดงให้เห็นถึง ‘ความรักและความห่วงใยของพรรคและรัฐบาลที่มีต่อประชาชนผู้เดือดร้อน’

ในขณะเดียวกัน สำนักข่าวซินหัวรายงานเมื่อวันที่ 25 ก.ย.ว่า รัฐบาลกลางได้ออกนโยบายและสวัสดิการประกันสังคมแก่บัณฑิตจบใหม่ที่ยังไม่ได้งานทำภายในระยะเวลา 2 ปีหลังจบการศึกษา โดยมีเป้าหมายเพื่อกระตุ้นการจ้างงาน

‘วันชาติ’ เป็นหนึ่งในวันหยุดที่สำคัญที่สุดในจีนที่มักจะเห็นการจับจ่ายใช้สอย การเดินทาง แต่ภาวะตกต่ำของภาคอสังหาริมทรัพย์และตลาดแรงงานที่ซบเซาได้กดดันการใช้จ่าย ทำให้บางนักเศรษฐศาสตร์เรียกร้องให้มีการแทรกแซงทางการคลังโดยตรงมากขึ้น

หวง อี้ผิง สมาชิกคณะกรรมการนโยบายการเงินของธนาคารประชาชนจีน ได้เรียกร้องให้รัฐบาลเพิ่มการใช้จ่ายเพื่อแก้ไขปัญหาการบริโภคที่อ่อนแอ ในการวิพากษ์วิจารณ์นโยบายเศรษฐกิจของจีนเมื่อต้นปีที่ผ่านมา โดยกล่าวว่า การแจกเงินสดให้แก่ครัวเรือนจะช่วยกระตุ้นการใช้จ่ายของผู้บริโภค ในขณะที่การให้ความสำคัญกับสุขภาพทางการคลังมากเกินไปอาจเป็นอุปสรรคต่อเศรษฐกิจ

'สายลับยุโรป' แฉ!! 'รัสเซีย' ซุ่มพัฒนาโดรนโจมตีระยะไกลในจีน 'ชาติตะวันตก' เต้น!! กดดันจีนยุติการสนับสนุนรัสเซียทุกมิติ

สำนักข่าว Reuters อ้างอิงแหล่งข่าวจากหน่วยข่าวกรองยุโรป เปิดเผยว่า รัสเซียกำลังใช้โรงงานจีนผลิตโดรนโจมตีระยะไกลรุ่นใหม่ล่าสุดสำหรับใช้ในสงครามยูเครน

โดย IEMZ Kupol บริษัทย่อยของ Almaz-Antey ผู้ผลิตอาวุธของรัฐบาลรัสเซียได้พัฒนา และ ทดสอบโดรนโจมตีรุ่นใหม่ล่าสุด Garpiya-3 (G-3) ที่ออกแบบ และ ผลิตในจีน อ้างอิงจากรายงานความคืบหน้าของโครงการจาก Kupol บริษัทผู้ผลิตถึงกระทรวงกลาโหมรัสเซียตั้งแต่ต้นปี 2024 ที่ผ่านมา

ข้อมูลเบื้องต้นในเอกสารของ Kupol ระบุว่า G-3 สามารถบินได้ไกลราว ๆ 2,000 กิโลเมตร สามารถบรรทุกน้ำหนักได้ 50 กิโลกรัม ซึ่งตัวอย่างโดรน G-3 จำนวน 2 ลำ และ โดรนโจมตีรุ่นอื่น ๆ อีก 7 ลำ ที่ผลิตจากโรงงานแห่งหนึ่งในจีนได้ถูกจัดส่งมายังเมืองอีเจฟสค์ ที่ตั้งสำนักงานใหญ่ของ IEMZ Kupol เพื่อ ทดสอบการบินในรัสเซียเรียบร้อยแล้ว พร้อมผู้เชี่ยวชาญจากจีน แต่ไม่มีหลักฐานระบุได้ว่า "ผู้เชี่ยวชาญจากจีน" คนนั้นคือใคร 

นอกจากนี้ยังมีเอกสารอีกฉบับ ซึ่งเป็นใบแจ้งหนี้ที่ส่งไปยัง Kupol ในช่วงฤดูร้อนที่ผ่านมา จากซัปพลายเออร์จีน ที่ระบุให้ชำระหนี้เป็นเงินหยวน แต่ไม่ได้ลงวันที่จัดส่ง หรือแม้แต่ชื่อของบริษัทซัพพลายเออร์ แต่ก็ถือเป็นหลักฐานที่เป็นรูปธรรมชิ้นแรกว่ามีการจัดส่งยานไร้คนขับทั้งระบบจากจีนไปยังรัสเซีย 

เมื่อมีการสอบถามไปทางรัสเซีย ทั้ง Kupol หรือ บริษัทแม่อย่าง Almaz-Antey และกระทรวงกลาโหมรัสเซียต่างปฏิเสธที่จะแสดงความคิดเห็นในข่าวที่ออกมา ส่วนกระทรวงการต่างประเทศจีนปฏิเสธว่าไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับโครงการพัฒนาโดรนรัสเซียในประเทศจีน พร้อมยืนยันว่า รัฐบาลปักกิ่งมีมาตรการควบคุมในการส่งออกโดรนหรือยานพาหนะไร้คนขับออกนอกประเทศอย่างเข้มงวด

ฟาเบียน ฮินซ์ นักวิจัยจากสถาบันการศึกษาเชิงกลยุทธ์ระหว่างประเทศแห่งลอนดอน ชี้ให้ตรวจสอบการส่งมอบยานพาหนะไร้คนขับจากจีนไปยังรัสเซียในช่วงที่ผ่านมา เพื่อยืนยันข้อมูลชิ้นสำคัญจากหน่วยข่าวกรองนี้ ซึ่งจากเอกสารที่เปิดเผยได้ระบุ มีการส่งชิ้นส่วนอาวุธจากจีนไปรัสเซียจริง เพียงแต่ส่วนใหญ่เป็นสินค้าที่ใช้ได้สองทาง หรือเป็นส่วนประกอบที่นำมาใช้ในระบบอาวุธ แต่ยังเห็นการส่งมอบระบบอาวุธทั้งชิ้นไปยังรัสเซีย แต่นั่นคือข้อมูลในเอกสารที่เปิดเผยได้เท่านั้น

ด้านสภาความมั่นคงแห่งทำเนียบขาว ก็แสดงความวิตกต่อรายงานจากสำนักข่าว Reuters ในประเด็นที่มีบริษัทจีนให้ความช่วยเหลือรัสเซียในโครงการพัฒนาอาวุธร้ายแรง แม้จะรู้ว่าเป็นชาติที่ถูกคว่ำบาตรโดยสหรัฐอเมริกา 

ถึงตอนนี้รัฐบาลจีนอาจจะยังไม่ตระหนักว่ามีธุรกรรมที่เชื่อมโยงระหว่างบริษัทจีนและรัสเซีย แต่รัฐบาลวอชิงตันย้ำว่า จีนมีหน้าที่รับผิดชอบว่าจะไม่มีบริษัทใด ๆ ของจีนให้ความช่วยเหลือ หรือเกี่ยวข้องกับโครงการพัฒนาอาวุธที่จะถูกส่งไปใช้ในกองทัพรัสเซีย 

ด้านกระทรวงการต่างประเทศอังกฤษก็ออกมาเรียกร้องเช่นกัน ให้จีนยุติการสนับสนุนทั้งด้านการทูต และ วัตถุดิบที่จะนำไปใช้ในสงครามของรัสเซีย และหากข้อมูลโครงการพัฒนาโดรนของรัสเซียในจีนเป็นความจริง เท่ากับว่าบริษัทจีนกำลังสนับสนุนการรุกรานยูเครนของรัสเซียอย่างผิดกฎหมาย ซึ่งขัดแย้งกับคำประกาศของรัฐบาลจีนก่อนหน้านี้ว่าจะไม่จัดหาอาวุธให้กับคู่ขัดแย้งในสงครามยูเครน

ทว่ากระทรวงการต่างประเทศจีนยังคงยืนกรานปฏิเสธความเกี่ยวข้องระหว่างบริษัทจีน และ กองทัพรัสเซีย โดยเน้นย้ำว่าจีนยังคงวางตัวเป็น กลางในสถานการณ์ความขัดแย้งในยูเครน 

แต่ทั้งนี้ 'จีน - รัสเซีย' ไม่ได้มีข้อจำกัดทางการค้าระหว่างกัน ซึ่งบริษัท Kupol ในรัสเซียนั้นผลิตโดรนรุ่น Garpiya-A1 ที่เป็นโดรนโจมตีระยะไกลโดยใช้ชิ้นส่วนประกอบที่ผลิตในจีน แต่ด้วยภาวะสงครามคุกรุ่นระหว่าง รัสเซีย และ ยูเครน ทำให้ทั้ง 2 ชาติต่างแข่งขันในการผลิตโดรนทหารที่เป็นอาวุธที่มีประสิทธิภาพสูงในสงครามครั้งนี้

เดวิด อัลไบรท์ อดีตผู้ตรวจสอบอาวุธของสหประชาชาติ ที่เฝ้าดูความร่วมมือของ จีน-รัสเซีย กล่าวว่า มีความเป็นไปได้สูงที่บริษัทผู้ผลิตอาวุธรัสเซียจะใช้โรงงานในจีนเป็นฐานการผลิตเพื่อหลีกเลี่ยงมาตรการคว่ำบาตรจากชาติตะวันตก และ ยังสามารถเข้าถึงชิป และ เทคโนโลยีอาวุธขั้นสูงจากจีนได้

และจากรายงานของ Kupol กล่าวว่า G-3 เป็นโดรนรุ่นอัปเกรดของ Garpiya-A1 ได้รับการออกแบบใหม่โดยผู้เชี่ยวชาญชาวจีน และในอีก 8 เดือนข้างหน้า อาจมีการสร้างยานไร้คนขับอีกรุ่นที่ชื่อว่า REM-1 ที่มีน้ำหนักบรรทุกได้ถึง 400 กิโลกรัม ที่จะมีระบบใกล้เคียงกับ โดรน Reaper ของกองทัพสหรัฐฯ 

ในขณะเดียวกัน สื่อรัสเซียเปิดเผยชื่อบริษัทจีน ที่เกี่ยวข้องกับโครงการพัฒนาโดรนรัสเซียชื่อว่า  Redlepus TSK Vector Industrial ที่มีสำนักงานในเมืองเซินเจิ้น และยังมีเอกสารแสดงรายละเอียดการสร้างศูนย์วิจัยและผลิตโดรนรัสเซีย-จีนในเขตเศรษฐกิจพิเศษคัชการ์ ในมณฑลซินเจียงของจีน ที่จะสามารถผลิตโดรนได้ 800 ลำต่อปี แต่เอกสารลับไม่ได้บอกว่าศูนย์ที่คัชการ์จะเปิดได้เมื่อใด

อย่างไรก็ดี Redlepus TSK Vector ของจีนได้ออกมาปฏิเสธข่าวดังกล่าว หรือแม้แต่สำนักข่าว Reuters ก็ไม่สามารถยืนยันที่มาของข้อมูลนี้ที่อ้างอิงโดยสื่อรัสเซียเช่นกัน

'หวังอี้' เดือด!! ซัดสหรัฐฯ ต่อหน้า 'บลิงเคน' ถึงท่าทีที่มีต่อจีน ชี้!! ด้านหนึ่งทำตัวกดดันจีน อีกด้านกลับมาขอความร่วมมือ

(28 ก.ย.67) TNN World รายงานว่า เมื่อวานนี้ (27) นายหวัง อี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน ได้กล่าวว่า สหรัฐฯ ควรหยุดตี 2 หน้ากับจีน ระหว่างการหารือ นายแอนโทนี บลิงเคน รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ นอกรอบการประชุมสมัชชาใหญ่ UNGA ที่นครนิวยอร์ก

หวัง กล่าวต่อบลิงเคนว่า "ขอให้สหรัฐฯ หยุดตี 2 หน้ากับจีน คือ ด้านหนึ่งพยายามควบคุม ปิดล้อมและกดดันจีน แต่อีกด้านหนึ่งกลับพูดคุยและขอความร่วมมือกับจีนราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น"

แทนที่จะทำเช่นนั้น หวัง กล่าวว่า "สหรัฐฯ ควรกำหนดนโยบายเกี่ยวกับจีน และจัดการสัมพันธ์ทวิภาคี 2 ประเทศ จากการมีความเข้าใจและรับรู้เกี่ยวกับจีนอย่างมีเหตุมีผล และหาหนทางที่ถูกต้องในการสัมพันธ์กับจีน"

ในประเด็นไต้หวัน หวัง กล่าวว่า "หากสหรัฐฯ หวังจะเห็นสันติภาพและเสถียรภาพระหว่าง 2 ฟากฝั่งของช่องแคบไต้หวันอย่างแท้จริงแล้ว สหรัฐฯ ควรยึดถือในหลักการจีนเดียว ปฏิบัติตามปฏิญญาร่วมจีน-สหรัฐฯ 3 ฉบับ หยุดติดอาวุธไต้หวัน คัดค้านการเป็นอิสระของไต้หวันอย่างเปิดเผย และสนับสนุนการรวมชาติอย่างสันติของจีนกับไต้หวัน"

นอกจากนั้น หวัง เผยอีกว่า จีนคัดค้านสหรัฐฯ ที่ปราบปรามทางการค้าและเทคโนโลยี จีนไม่มีวันยอมรับการชี้นิ้วกล่าวโทษด้วยการพร่ำสอนเรื่องสิทธิมนุษยชน และสหรัฐฯ ควรแทรกแซงกิจการภายในของจีนให้น้อยลงภายใต้ข้ออ้างเรื่องสิทธิมนุษยชน

เมื่อพูดเกี่ยวกับทะเลจีนใต้ หวัง กล่าวว่า จีนยังคงยึดมั่นแก้ไขความแตกต่างในประเด็นนี้ ผ่านการพูดคุยและหารือกับประเทศต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องโดยตรงเท่านั้น สหรัฐฯ ไม่ควรกระพือปัญหาในทะเลจีนใต้ หรือบ่อนทำลายความพยายามของประเทศต่าง ๆ ในภูมิภาคนี้ ในการปกป้องสันติภาพและเสถียรภาพในพื้นที่นี้

เมื่อพูดเกี่ยวกับยูเครน หวัง ยืนยันว่า จุดยืนจีนนั้นเปิดเผย คือจีนยึดมั่นในการส่งเสริมการเจรจาสันติภาพ และจีนได้ใช้พยายามจะที่ช่วยให้ปัญหายูเครนยุติลงอย่างสันติ สหรัฐฯ ควรหยุดให้ร้าย หรือทำให้จีนเป็นแพะรับบาป หรือออกมาตรการคว่ำบาตรจีนตามอำเภอใจในประเด็นนี้ รวมถึงให้หยุดใช้ประเด็นนี้ สร้างความรู้สึกต่อต้าน และยุยงให้เกิดการเผชิญหน้าระหว่างค่ายด้วย

จีน เปิดหลักสูตรใหม่กว่า 21,000 หลักสูตร รองรับการเปลี่ยนแปลงของเศรษฐกิจ - สังคม

(1 ต.ค. 67) สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า เมื่อวันที่ 26 ก.ย. 2567 กระทรวงศึกษาธิการของจีนกล่าวย้ำถึงการเปลี่ยนแปลงที่มีนัยสำคัญในภูมิทัศน์การศึกษาระดับสูงของจีน เพื่อตอบสนองต่อความต้องการของเศรษฐกิจและสังคมที่เปลี่ยนแปลงไป

กระทรวงฯ แถลงข่าวในกรุงปักกิ่งว่า ในช่วง 12 ปีที่ผ่านมา มีการเปิดตัวหลักสูตรใหม่ในระดับปริญญาตรี 21,000 หลักสูตรทั่วจีน และยกเลิกหลักสูตรที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสมต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจและสังคม 12,000 หลักสูตร

ในปี 2024 เพียงปีเดียว มีการจัดตั้งหลักสูตรใหม่ในสาขาวิชาที่มีความสำคัญเชิงยุทธศาสตร์ระดับชาติ 1,673 หลักสูตร ขณะที่หลักสูตร 1,670 หลักสูตรได้ถูกยกเลิกไป

รายงานระบุว่าการปรับเปลี่ยนเหล่านี้สะท้อนถึงการเปลี่ยนผ่านสำคัญในโครงสร้างวิชาการทั่วจีน ส่วนการเปลี่ยนแปลงในอนาคตจะมุ่งเน้นไปที่การจัดแนวทางการศึกษาให้สอดคล้องกับความต้องการเชิงยุทธศาสตร์ระดับชาติ สนับสนุนการพัฒนาระดับภูมิภาค และส่งเสริมการพัฒนาผู้เรียนอย่างรอบด้าน

ปัจจุบันจีนมีมหาวิทยาลัย 1,308 แห่งที่เปิดหลักสูตรใน 816 สาขาวิชา และมีหลักสูตรในระดับปริญญาตรีรวมทั้งสิ้น 62,000 หลักสูตรทั่วประเทศ

ธนาคารโลกออกโรงเตือนเศรษฐกิจจีนชะลอตัวกระทบทั้งภูมิภาค ความขัดแย้งระดับโลกบีบให้เลือกข้าง แนะใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยี

(8 ต.ค. 67) สำนักข่าวบลูมเบิร์ก รายงานว่า “ธนาคารโลก” คาดการณ์การเติบโตของจีนว่าจะอ่อนแอลงต่อไปในปี 2568 แม้จะมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจออกมาก็ตาม ส่งผลให้เศรษฐกิจในประเทศภูมิภาคเผชิญแรงกดดันเพิ่มขึ้น

ในรายงานแนวโน้มเศรษฐกิจรายครึ่งปี ธนาคารโลกยังคาดการณ์จีนอีกว่า เศรษฐกิจจีน มีแนวโน้มขยายตัวช้าลงเหลือ 4.3% ในปีหน้าจากประมาณการ 4.8% ในปี 2024 จนอาจส่งผลให้การเติบโตในประเทศแถบเอเชียตะวันออกและแปซิฟิก รวมถึงประเทศต่างๆ เช่น อินโดนีเซีย ออสเตรเลีย และเกาหลี มีแนวโน้มชะลอตัวลงตามจนเหลือ 4.4% ในปี 2025 จากประมาณ 4.8% ในปีนี้

“เป็นเวลาสามทศวรรษที่การเติบโตของจีนได้ส่งผลดีต่อเพื่อนบ้าน แต่ในขณะนี้ ขนาดแรงผลักดันดังกล่าวกำลังลดลง” ธนาคารโลกกล่าวเมื่อวันอังคาร “การสนับสนุนทางการคลังที่เพิ่งประกาศอาจช่วยเพิ่มการเติบโตระยะสั้น แต่การเติบโตระยะยาวจะขึ้นอยู่กับการปฏิรูปโครงสร้างที่ลึกกว่า”

ทั้งนี้ รัฐบาลจีนได้กำหนดเป้าหมายการเติบโตทางเศรษฐกิจไว้ที่ประมาณ 5% ในปีนี้ ซึ่งเป็นเป้าหมายที่ดูเหมือนจะเข้าถึงได้ยากขึ้นเรื่อยๆ เนื่องจากการใช้จ่ายของผู้บริโภคที่ซบเซา และตลาดอสังหาริมทรัพย์ที่ยังคงสั่นคลอน โดยในปลายเดือนกันยายน รัฐบาลปักกิ่งได้เปิดตัวมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจมากมายที่มุ่งเน้นไปที่นโยบายการเงินเป็นหลัก อย่างการลดอัตราดอกเบี้ย

นอกจากการเติบโตที่ชะลอตัวของจีนแล้ว การเปลี่ยนแปลงของการค้า และการลงทุน รวมถึงความไม่แน่นอนของนโยบายโลกที่เพิ่มขึ้น อาจส่งผลกระทบต่อภูมิภาคเอเชียตะวันออก และแปซิฟิกด้วย ธนาคารโลกกล่าว

อย่างไรก็ตาม ความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสหรัฐ และจีนได้สร้างโอกาสให้กับประเทศต่างๆ เช่น เวียดนาม ในการมีบทบาทในการเชื่อมโยงคู่ค้ารายใหญ่ 

“หลักฐานใหม่ชี้ให้เห็นว่าเศรษฐกิจอาจถูกจำกัดให้เล่นบทบาท ‘ตัวเชื่อมต่อทางเดียว’ มากขึ้น เนื่องจากกฎระเบียบใหม่ที่เข้มงวดมากขึ้นเกี่ยวกับการนำเข้า และการส่งออกได้ถูกบังคับใช้” ธนาคารโลก กล่าว

ไม่เพียงเท่านั้น ธนาคารยังได้ตรวจสอบเทคโนโลยีใหม่ เช่น หุ่นยนต์อุตสาหกรรมและปัญญาประดิษฐ์ ถึงผลกระทบต่อตลาดแรงงานทั่วเอเชีย

“เนื่องจากภูมิภาคนี้ยังพึ่งพาแรงงานคนเป็นหลัก ทำให้มีงานที่ถูกแทนที่ด้วยปัญญาประดิษฐ์น้อยกว่าประเทศพัฒนาแล้ว แต่กลับกัน ภูมิภาคนี้ก็ยังไม่ได้รับประโยชน์จากประสิทธิภาพที่ปัญญาประดิษฐ์จะนำมาให้มากพอเช่นกัน” ธนาคารโลก กล่าว

‘จีน’ เรียกเก็บเงินประกันบรั่นดีสูงสุด 39% มาตรการตอบโต้ ‘อียู’ ขึ้นภาษีรถยนต์ไฟฟ้า

(10 ต.ค.67) จีน ตอบโต้การขึ้นภาษีอีวีของสหภาพยุโรป (อียู) โดยเรียกเก็บเงินค้ำประกันการนำเข้า ‘บรั่นดี’ จากอียูประมาณ 30.6% ถึง 39.0% ของมูลค่าการนำเข้า ฝรั่งเศสโดนหนักสุด เพราะครองส่วนแบ่งมากถึง 99% ของบรั่นดีที่จีนนำเข้าจากอียู

วันที่ 8 สิงหาคม 2024 รอยเตอร์ (Reuters) รายงานว่า จีนใช้มาตรการตอบโต้การทุ่มตลาด (Anti-Dumping Measure) ชั่วคราวกับสินค้าบรั่นดีนำเข้าจากสหภาพยุโรป หรืออียู (EU) ส่งผลกระทบหลายแบรนด์ตั้งแต่เฮนเนสซี (Hennessy) จนถึง เรมี่ มาร์ติน (Remy Martin) หลังจากที่สหภาพยุโรปโหวตขึ้นภาษีรถยนต์ไฟฟ้าหรืออีวี (EV) จากจีนเมื่อวันที่ 4 ตุลาคมที่ผ่านมา 

ฝรั่งเศสถูกมองว่าเป็นเป้าหมายของมาตรการนี้ เนื่องจากฝรั่งเศสสนับสนุนการขึ้นภาษีรถอีวีจีน ที่สำคัญจีนนำเข้าบรั่นดีจากฝรั่งเศสคิดเป็น 99% ของการนำเข้าบรั่นดีจากอียูในปี 2023 คิดเป็นมูลค่าแตะ 1,700 ล้านดอลลาร์ (ราว 56,000 ล้านบาท) 

กระทรวงพาณิชย์ของจีนกล่าวว่า การสอบสวนได้กำหนดไว้เบื้องต้นว่า การทุ่มตลาดบรั่นดีจากสหภาพยุโรปเป็นภัยคุกคามต่อภาคอุตสาหกรรมบรั่นดีของจีน และตั้งแต่วันที่ 11 ตุลาคมเป็นต้นไป ผู้นำเข้าบรั่นดีจากอียูจะต้องวางเงินค้ำประกัน (Security Deposits) ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ที่อัตราประมาณ 34.8% ถึง 39.0% ของมูลค่านำเข้า

เฮนเนสซี และเรมี่ มาร์ติน เป็นแบรนด์บรั่นดีที่ได้รับผลกระทบมากสุด เนื่องจากผู้นำเข้าบรั่นดี 2 แบรนด์นี้ต้องวางเงินประกันสูงถึง 39.0% และ 38.1% ตามลำดับ ส่วนมาร์แตลล์ (Martell) ถูกเรียกเก็บต่ำสุดที่ 30.6%

เงินค้ำประกันที่เรียกเก็บนี้จะทำให้ต้นทุนล่วงหน้าของการนำเข้าบรั่นดีจากอียูเพิ่มขึ้น กระทรวงพาณิชย์จีนไม่ได้ให้รายละเอียดว่าผู้วางเงินค้ำประกันจะได้รับเงินคืนเมื่อไรและอย่างไร 

มาตรการลงโทษล่าสุดนี้เกิดขึ้นหลังสหภาพยุโรปโหวตขึ้นภาษีรถอีวีและจะบังคับใช้ในวันที่ 1 พฤศจิกายนนี้ ซึ่งก่อนหน้านี้ในเดือนสิงหาคมจีนได้แสดงไมตรีจิตโดยระงับแผนใช้มาตรการตอบโต้การทุ่มตลาดบรั่นดีของสหภาพยุโรป แม้จะพิจารณาแล้วว่าบรั่นดีจากสหภาพยุโรปที่ขายในจีนนั้นขายในราคาต่ำกว่าตลาด ซึ่งในตอนนั้นกระทรวงพาณิชย์จีนระบุว่าการสอบสวนจะสิ้นสุดก่อนวันที่ 5 มกราคม และจะไม่มีการขยายการสืบสวน

กระทรวงพาณิชย์จีนเคยกล่าวก่อนหน้านี้ถึงข้อค้นพบจากการสืบสวนว่า ผู้ผลิตเหล้าจากยุโรปขายบรั่นดีในตลาดจีนที่มีผู้บริโภค 1,400 ล้านคน ในราคาที่มีส่วนเหลื่อมการทุ่มตลาด (Dumping Margin) อยู่ที่ 30.6% ถึง 39% ซึ่งถือเป็นการสร้างความเสียหายต่ออุตสาหกรรมสุราภายในประเทศจีน 

ทั้งนี้ สหภาพยุโรปผ่านมติบังคับใช้อัตราภาษีนำเข้าเพิ่มเติมเป็นเวลา 5 ปี สำหรับรถยนต์ไฟฟ้าจากจีนต่อ โดยกำหนดอัตราภาษี 7.8% สำหรับเทสลา (Tesla) และ 35.3% สำหรับแบรนด์เอ็มจี (MG) ของบริษัทเอสเอไอซี (SAIC) และสำหรับผู้ผลิตรายอื่น ๆ ในจีนที่ไม่ให้ความร่วมมือในการสอบสวน เพิ่มเติมจากอัตราภาษีนำเข้ารถยนต์ทั่วไปที่เก็บ 10% แต่คณะกรรมาธิการยุโรป (European Commission) กล่าวเปิดทางว่า เต็มใจที่จะดำเนินการเจรจาหาทางเลือกอื่นต่อไป แม้จะมีการประกาศขึ้นภาษีแล้วก็ตาม
 

2 นายกรัฐมนตรีไทย-จีน จับเข่าร่วมหารือทวิภาคี ผลักดันความร่วมมือในโอกาส 50 ปีมิตรประเทศ

(11 ต.ค. 67) สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า หลี่เฉียง นายกรัฐมนตรีจีน เปิดเผยว่าจีนพร้อมทำงานร่วมกับไทยเพื่อใช้วาระครบรอบ 50 ปี ความสัมพันธ์ทางการทูตในปี 2025 เป็นโอกาสสานต่อมิตรภาพดั้งเดิม เสริมสร้างการสื่อสารเชิงยุทธศาสตร์ ส่งเสริมความร่วมมือ และผลักดันการสร้างประชาคมจีน-ไทยที่มีอนาคตร่วมกัน

หลี่กล่าวคำข้างต้นระหว่างพบปะหารือกับแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีไทย นอกรอบการประชุมคณะผู้นำว่าด้วยความร่วมมือเอเชียตะวันออกในนครหลวงเวียงจันทน์ของลาวเมื่อวันพฤหัสบดี (10 ต.ค.) โดยหลี่เสริมว่าแนวคิด 'จีนและไทยเป็นครอบครัวเดียวกัน' ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างมาก

จีนและไทยเป็นมิตรสหายและเพื่อนบ้านใกล้ชิดที่เชื่อมโยงกันด้วยภูเขาและแม่น้ำ ขณะการสร้างประชาคมจีน-ไทยที่มีอนาคตร่วมกันยังคงเดินหน้าต่อไปภายใต้คำชี้แนะเชิงยุทธศาสตร์จากคณะผู้นำของสองประเทศโดยมีความร่วมมือด้านต่าง ๆ มากมายและการแลกเปลี่ยนระหว่างประชาชนอย่างอบอุ่น

หลี่คาดหวังว่าความสัมพันธ์จีน-ไทย จะผูกพันใกล้ชิดกันยิ่งขึ้นและนำพาผลประโยชน์มาสู่ประชาชนของสองประเทศเพิ่มขึ้น โดยจีนสนับสนุนไทยแสวงหาวิถีทางการพัฒนาอันเหมาะสมกับสภาพการณ์ของประเทศ และยินดีจะเป็นหุ้นส่วนที่น่าไว้วางใจและเชื่อถือได้ของไทยเสมอ

ฝ่ายจีนพร้อมทำงานร่วมกับไทยเพื่อจัดวางยุทธศาสตร์การพัฒนาให้ดีขึ้น สื่อสารนโยบายต่าง ๆ กับอีกฝ่ายอย่างแข็งขัน เร่งก่อสร้างทางรถไฟจีน-ไทย ส่งเสริมการบูรณาการและการพัฒนาทางอุตสาหกรรม และกระชับความร่วมมือในนิคมอุตสาหกรรม เศรษฐกิจดิจิทัล ยานยนต์พลังงานใหม่ พลังงานแสงอาทิตย์ฯลฯ เพื่อสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านและยกระดับเศรษฐกิจให้ดียิ่งขึ้น

หลี่เรียกร้องทั้งสองฝ่ายร่วมจัดกิจกรรมต่าง ๆ เพื่อเฉลิมฉลองวาระครบรอบ 50 ปี ความสัมพันธ์ทางการทูตในปี 2025 และเสริมสร้างการแลกเปลี่ยนด้านสื่อ วัฒนธรรม การท่องเที่ยว การศึกษา และเยาวชน เพื่อรวบรวมแรงสนับสนุนจากสาธารณชนต่อมิตรภาพระหว่างสองประเทศ

จีนพร้อมทำงานร่วมกับไทยเพื่อดำเนินงานตามความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (RCEP) อย่างมีคุณภาพสูง เร่งการบูรณาการทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค เสริมสร้างการประสานงานและความร่วมมือพหุภาคี และร่วมคุ้มครองการพัฒนาอย่างสันติและมีเสถียรภาพในภูมิภาค

ด้านแพทองธารแสดงความยินดีกับวาระครบรอบ 75 ปี การก่อตั้งสาธารณรัฐประชาชนจีน (PRC) และแสดงความเชื่อมั่นว่าจีนภายใต้การนำของประธานาธิบดีสีจิ้นผิง จะยังคงเติบโตอย่างแข็งแกร่งยิ่งขึ้นและมีส่วนส่งเสริมสันติภาพและความเจริญรุ่งเรืองของโลกยิ่งขึ้น

ไทยยินดีร่วมจัดกิจกรรมเฉลิมฉลองกับจีนเนื่องในวาระครบรอบ 50 ปี ความสัมพันธ์ทางการทูตไทย-จีน ในปี 2025 พร้อมเสริมสร้างการแลกเปลี่ยนระดับสูง ส่งเสริมความร่วมมืออันเป็นประโยชน์ซึ่งกันและกันในด้านเศรษฐกิจ การค้า การเกษตร และอื่น ๆ สนับสนุนการแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรมและระหว่างประชาชนเพิ่มขึ้น และร่วมปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติ เช่น การพนันออนไลน์และการฉ้อโกงทางโทรศัพท์ เพื่อผลักดันการสร้างประชาคมไทย-จีนที่มีอนาคตร่วมกันต่อไป

แพทองธารเสริมว่าไทยยินดีเสริมสร้างการสื่อสารและการประสานงานกับจีนภายในอาเซียน ความร่วมมือล้านช้าง-แม่โขง และกรอบความร่วมมือพหุภาคีอื่น ๆ ตลอดจนร่วมส่งเสริมการเปิดเสรีและการอำนวยความสะดวกทางการค้าและการลงทุน และคุ้มครองสันติภาพ เสถียรภาพ และความมั่งคั่งระดับภูมิภาค

(แฟ้มภาพซินหัว : หลี่เฉียง นายกรัฐมนตรีจีน พบปะกับแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีไทย นอกรอบการประชุมคณะผู้นำว่าด้วยความร่วมมือเอเชียตะวันออกในนครหลวงเวียงจันทน์ของลาว วันที่ 10 ต.ค. 2024)

ส่องอิทธิพลทางเศรษฐกิจของ ‘มหาอำนาจโลก’ ที่มีต่อประเทศในอาเซียน

ไม่มีมนุษย์ผู้ใดสามารถอยู่อย่างโดดเดี่ยวบนโลกอันแสนกว้างใหญ่ไปได้ 

ในระดับประเทศก็เช่นเดียวกัน เพราะการพึ่งพา พึ่งพิงกันในทุก ๆ ด้านเป็นเรื่องปกติ 

สำหรับในระดับประเทศส่วนหนึ่งของการพึ่งพาย่อมหนีไม่พ้นเรื่องของเศรษฐกิจ THE STATES TIMES ชวนสำรวจอิทธิพลทางเศรษฐกิจของแต่ละประเทศในภูมิภาคอาเซียน

บัณฑิตจีน สิ้นหวัง เกษียณกลับบ้านเกิด ด้วยความท้อแท้ เหตุ!! อุตสาหกรรมทรุดตัว บริษัทเลิกจ้าง แรงงานล้นตลาด

(14 ต.ค. 67) หากคิดว่าหางานใน ‘ไทย’ ยากแล้ว ใน ‘จีน’ กลับยิ่งหางานยากกว่ามาก แม้มีเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลก แต่หนุ่มสาวจบใหม่ในจีนตอนนี้กลับหางานลำบากยิ่งนัก โดยอัตราว่างงานของหนุ่มสาวจีนในเดือนสิงหาคม “ทำสถิติใหม่” ที่ 18.8% ซึ่งสูงที่สุดนับตั้งแต่เริ่มใช้ระบบบันทึกสถิติใหม่ในเดือนธันวาคม โดยเพิ่มขึ้นจาก 17.1% ในเดือนกรกฎาคม

มีเรื่องราวของสาวจีนที่จบการศึกษามาไม่นาน เธอชื่อ สวี่อวี่ (Xu Yu) สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาโทจากมหาวิทยาลัยชื่อดังแห่งหนึ่งในฮ่องกง และใช้เวลาหางานเป็นเวลา 5 เดือนแล้ว

แม้เธอจะมีผลการเรียนดีเยี่ยมและประสบการณ์ฝึกงานถึงสามครั้ง สวี่อวี่ก็ยังคงต้องดิ้นรนอย่างหนักเพื่อแข่งขันในตลาดงานที่ดุเดือด เธอลงทุนเงินกว่า 20,000 หยวน หรือราว 90,000 บาทเพื่อเข้าฝึกอบรมเทคนิคการสัมภาษณ์ แต่กลับต้องเผชิญกับความผิดหวังเมื่อได้รับจดหมายปฏิเสธจากบริษัทชั้นนำหลายแห่ง เช่น Tencent Holdings และ JD.com

ส่วนอีกคนหนึ่งชื่อ ถังฮุ่ย (Tang Hui) เธอได้รับข้อเสนองานด้านบัญชีจากผู้ผลิตรถพลังงานใหม่ชั้นนำก่อนจบการศึกษา แต่ต่อมาบริษัทได้ยกเลิกข้อเสนอทั้งหมดให้กับผู้จบใหม่ ถังฮุ่ยได้รับเงินชดเชยเป็นค่าแรงหนึ่งเดือน แต่หลังจากนั้น แม้ว่าเธอจะสมัครงานไปกว่า 50 บริษัทแล้วก็ตาม ก็ยังไม่ได้รับข้อเสนอใด ๆ กลับมา เหล่านี้สะท้อนให้เห็นถึงความยากลำบากของบัณฑิตใหม่จีนหลังจบการศึกษา

ในปีนี้ เหล่าบัณฑิตจีนที่จบออกมามีจำนวนมากที่สุดเป็นประวัติการณ์ถึง 11.8 ล้านคน และกำลังก้าวเข้าสู่ตลาดแรงงานที่อ่อนแอที่สุดที่จีนเคยเผชิญมาหลายปี จากการที่บรรดาบริษัทด้านอินเทอร์เน็ต การศึกษา และอสังหาริมทรัพย์ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมกระดูกสันหลังของจีน ตัดสินใจลดจำนวนพนักงานลง 

ยกตัวอย่าง ‘เหล่าบริษัทเทคโนโลยี’ อย่าง  Alibaba, Tencent และ Baidu ก่อนหน้านี้เคยขยายการจ้างงาน แต่ปัจจุบันตัดสินใจลดจำนวนพนักงานลง โดย Alibaba ตัดพนักงานลงมากกว่า 13%

ไม่เพียงเท่านั้น แม้แต่ ‘ธุรกิจกวดวิชา’ ที่เคยเป็นดาวรุ่ง ก็ถูกเปลี่ยนให้เป็นองค์กรไม่แสวงหากำไร รัฐบาลออกระเบียบลดภาระการบ้านและการติวหลังเลิกเรียน อีกทั้ง ‘ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์’ ที่เคยเป็นตัวขับเคลื่อนจีดีพีจีนก็ยังคงซบเซา จนทำให้มากกว่าครึ่งหนึ่งของงานทั้งหมดในอุตสาหกรรมนี้ได้หายไปในปีนี้

ส่วนอุตสาหกรรมเกิดใหม่ เช่น พลังงานทดแทนและเซมิคอนดักเตอร์ ยังไม่สามารถทดแทนด้านการจ้างงานได้ เพราะการสรรหาบุคลากรเหล่านี้ ‘ต้องการความสามารถเฉพาะทาง’ ซึ่งมักมีวุฒิขั้นสูง เช่น BYD ผู้นำด้านรถยนต์ไฟฟ้า ในปีนี้ได้ลดการรับสมัครนักศึกษาลงมากกว่าครึ่งจาก 30,000 คนในปี 2023

หลายคนอาจมีค่านิยมว่า จบจากมหาวิทยาลัยดังมีชัยไปกว่าครึ่ง แต่ปัจจุบันนี้อาจไม่ได้สำคัญขนาดนั้นอีกต่อไป หลายบริษัทต้องการคนมีประสบการณ์และเคยผ่านงานด้านนั้นมากกว่า  

จากที่เคยเป็นเพียงส่วนเสริม ‘ประสบการณ์การฝึกงานที่ผ่านมา’ ได้กลายเป็นปัจจัยชี้ขาดโอกาสในการทำงาน หลิว จื่อเฉา (Liu Zichao) บัณฑิตด้านวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์ จบจากมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงน้อยกว่า ได้แสดงให้เห็นถึงความจริงข้อนี้ เมื่อเขาคว้าตำแหน่งงานเทคโนโลยีมาครองได้สำเร็จหลังจากฝึกงานที่ ByteDance บริษัทแม่ของ TikTok 

เรื่องราวของเขาสะท้อนให้เห็นถึงแนวโน้มที่การฝึกงานเฉพาะทาง กำลังกลายเป็นตัวชี้วัดความสามารถที่สำคัญยิ่งกว่าวุฒิการศึกษา

นอกจากปัจจัยเศรษฐกิจจีนอันซบเซาแล้ว อีกปัจจัยหนึ่งคือ บัณฑิตจบใหม่หลายคนกำลังเผชิญปัญหาการหางานที่ไม่ตรงกับความสามารถของตนเอง โดยมีคุณสมบัติเกินกว่างานระดับล่าง แต่ขาดประสบการณ์สำหรับงานระดับสูง

ยิ่งไปกว่านั้น ความคาดหวังด้านอาชีพที่สูงขึ้นของบัณฑิตในปัจจุบัน กำลังทำให้ความไม่ลงรอยกันในตลาดแรงงานของจีนเพิ่มขึ้น ผู้เชี่ยวชาญด้านทรัพยากรบุคคลหลายคนรายงานว่า ความทะเยอทะยานที่เกิดจากโซเชียลมีเดียสำหรับงานเทคโนโลยีที่มีรายได้สูงได้นำไปสู่การเรียกร้องเงินเดือนที่สูงเกินจริง ทำให้บัณฑิตจำนวนมากไม่พอใจกับตำแหน่งงานที่มีอยู่

จาง (Zhang) ผู้จัดการทรัพยากรบุคคลกล่าวว่า บัณฑิตที่สอบข้าราชการไม่ผ่านมักเข้าสู่ตลาดแรงงานโดยไม่พร้อม และเรียกร้องเงินเดือนสูงกว่ามาตรฐานอุตสาหกรรมมาก

ในทำนองเดียวกัน หยาง เจียน (Yang Jian) ซึ่งทำงานด้านการสรรหาบุคลากรสำหรับบริษัทอัตโนมัติขนาดเล็กกล่าวว่า ความคาดหวังที่ไม่สมจริงของบัณฑิตจบใหม่ และความลังเลในการยอมรับงานที่มีรายได้ต่ำกว่า ทำให้บริษัทของเธอหยุดรับสมัครบัณฑิตใหม่

อย่างไรก็ตาม เมื่อหันมามองดูมุมมองของเหล่าบัณฑิต ผู้หางานรุ่นใหม่รู้สึกไร้อำนาจในตลาดแรงงาน สวัสดิการพื้นฐานเช่น วันทำงานแปดชั่วโมงและประกันสังคมที่ได้รับกลับถูกมองว่าเป็นสิ่งหรูหรา โดยนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยเหรินหมินของจีนพบว่า พนักงานรุ่นใหม่ทำงานหนักเกินมาตรฐาน ซึ่งเป็นการทำงานเฉลี่ย 251.9 ชั่วโมงต่อเดือน และมีความคุ้มครองด้านประกันสังคมที่ต่ำจากนายจ้าง

ด้วยภาวะบีบคั้นทางเศรษฐกิจ และรู้สึกสิ้นหวังในตลาดแรงงาน ชาวจีนรุ่นใหม่จึงถอยกลับไปยังชนบท โดยหลังจากประกาศว่าตนถูกเลิกจ้าง ลาออก หรือว่างงาน ชาวจีนเจน Z และ Y ก็บันทึกชีวิตประจำวันแบบ ‘เกษียณอายุ’ ในชนบทของตนบนโซเชียลมีเดีย  

เมื่อปีที่แล้ว ผู้เกษียณอายุที่ประกาศตนเองวัย 22 ปี ซึ่งใช้ชื่อแฝงว่า เหวินจือ ต้าต้า (Wenzi Dada) ได้ตั้งถิ่นฐานในกระท่อมไม้ไผ่ริมหน้าผาในมณฑลกุ้ยโจวของจีน เหวินจือ ซึ่งเคยทำงานในหลากหลายสาขา เช่น ซ่อมรถยนต์ ก่อสร้าง และการผลิต บอกกับสื่อท้องถิ่นว่าเขารู้สึกเหนื่อยกับการต้องจัดการกับเครื่องจักรทุกวัน จึงลาออกเพื่อกลับบ้านเกิด

นอกจากนี้ บัณฑิตบางคนหันไปทำงานอิสระ เช่น เป็นคนขับส่งของหรือพี่เลี้ยงเด็ก ในขณะที่อีกหลายคนก็เลื่อนการเข้าสู่ตลาดแรงงาน

ธนาคารกลางจีน ทดสอบใช้ ‘หยวนดิจิทัล’ ชำระเงินข้ามพรมแดน เผย!! ใช้บล็อกเชนทำธุรกรรม ประหยัด ‘เวลา - ต้นทุน’

(14 ต.ค. 67) ธนาคารกลาง ‘จีน’ (PBOC) เผยว่าได้เริ่มทดลองการชำระเงินข้ามพรมแดนโดยใช้ ‘หยวนดิจิทัล’ สกุลเงินดิจิทัลของธนาคารกลาง (CBDC) ร่วมกับพันธมิตรอย่าง ซาอุดีอาระเบีย ฮ่องกง ไทย และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ รวมไปถึงองค์กรระหว่างประเทศ เช่น กองทุนการเงินระหว่างประเทศ 

PBOC เผยว่าปัจจุบัน CBDC ใช้เทคโนโลยีบล็อกเชนในการบันทึกธุรกรรม ซึ่งทำให้สามารถชำระเงินข้ามพรมแดนได้ภายในไม่กี่วินาที และลดต้นทุนได้มากถึง 50% 

ปัจจุบัน การโอนเงินระหว่างประเทศส่วนใหญ่มักใช้ระบบ SWIFT ซึ่งต้องผ่านธนาคารตัวกลาง ทำให้การทำธุรกรรมใช้เวลานานหลายวันถึงหนึ่งสัปดาห์ ทั้งนี้การใช้ CBDC จะช่วยเสริมการทำธุรกรรมที่ไม่ใช่เงินดอลลาร์ และลดการพึ่งพาเงินดอลลาร์ของจีน

ความก้าวหน้าของจีนในด้านสกุลเงินดิจิทัลของธนาคารกลาง (CBDC) กำลังกระตุ้นให้ประเทศชั้นนำอื่นๆ เช่น ญี่ปุ่น สหรัฐอเมริกา และยุโรปเร่งพัฒนาเทคโนโลยีนี้เช่นกัน โดยมีการประกาศร่วมกันในเดือนเมษายน เพื่อทดลองใช้ระบบชำระเงิน CBDC ร่วมกับภาคเอกชน 

นาโอกิ สึกิโอกะ จาก Mizuho Research & Technologies มองว่า จีนมีเป้าหมายที่จะเป็นผู้นำในการกำหนดมาตรฐาน และเทคโนโลยีใหม่สำหรับธุรกรรมในอนาคต

PBOC เริ่มศึกษา และพัฒนาระบบเงินหยวนดิจิทัลตั้งแต่ปี 2557 โดยมีเป้าหมายหลักเพื่อใช้ในการชำระเงินในชีวิตประจำวัน เช่น การซื้อของที่ร้านค้าหรือร้านอาหารผ่านแอปพลิเคชันบนมือถือ

โครงการนำร่องครั้งแรกเริ่มต้นที่เมืองเซินเจิ้นในปี 2563 และขยายไปยังหลายพื้นที่ทั่วประเทศอย่างรวดเร็ว ปัจจุบันมีการนำเงินหยวนดิจิทัลไปใช้จ่ายในหลากหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นการซื้อสินค้า การชำระค่าอาหาร หรือแม้แต่การจ่ายเงินเดือน และภาษี

จากข้อมูลล่าสุด ณ สิ้นเดือนมิถุนายน ธุรกรรมเงินหยวนดิจิทัลมีมูลค่าสูงถึง 7 ล้านล้านหยวนใน  17 จังหวัด สะท้อนให้เห็นถึงความก้าวหน้า และศักยภาพของสกุลเงินดิจิทัลชนิดนี้ในการเปลี่ยนแปลงระบบการเงินของจีน

หนึ่งในอุปสรรคสำคัญของการนำหยวนดิจิทัลมาใช้งานอย่างแพร่หลายคือ ผู้บริโภคชาวจีนจำนวนมากยังไม่เห็นความแตกต่างที่ชัดเจนระหว่างหยวนดิจิทัลกับแอปพลิเคชันชำระเงินยอดนิยมอย่าง WeChat Pay และ Alipay ที่ใช้งานอยู่แล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพิจารณาว่าธุรกรรมการชำระเงินในจีนปัจจุบันส่วนใหญ่เป็นแบบไร้เงินสดอยู่แล้ว


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top