Wednesday, 11 June 2025
จีน

‘จีน’ สร้าง 'เสาชาร์จไฟฟ้า' รถ NEV 2 หมื่นต้น ริมทางด่วน ครอบคลุมสถานที่จอดกว่า 4 หมื่นแห่ง ในพื้นที่ให้บริการ

เมื่อไม่นานมานี้ สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า กระทรวงคมนาคมของจีนเปิดเผยการสร้างเสาชาร์จไฟฟ้าสำหรับยานยนต์พลังงานใหม่ (NEV) จำนวน 20,000 ต้น ในพื้นที่บริการริมทางด่วนของจีน เมื่อนับถึงสิ้นเดือนตุลาคมที่ผ่านมา

กระทรวงฯ ระบุว่าเสาชาร์จดังกล่าวครอบคลุมสถานที่จอดรถ 49,000 แห่ง ในพื้นที่ให้บริการริมทางด่วนสำหรับรถยนต์นั่งส่วนบุคคล 6,257 แห่ง

เมื่อนับถึงสิ้นเดือนตุลาคม มีการติดตั้งเสาชาร์จไฟฟ้าในพื้นที่บริการริมทางด่วนของจีนร้อยละ 94 แล้ว

ทั้งนี้ จุดชาร์จพลังงานไฟฟ้าถูกติดตั้งในทุกพื้นที่ให้บริการของภูมิภาคระดับมณฑล 11 แห่ง ซึ่งรวมถึงปักกิ่ง เหลียวหนิง จี๋หลิน เซี่ยงไฮ้ และเจ้อเจียง

‘จีน’ เตรียมเปิดนโยบาย ‘ฟรีวีซ่าฝ่ายเดียว’ 6 ชาติ สามารถเข้าประเทศได้ไม่เกิน 15 วัน ดีเดย์ 1 ธ.ค.นี้

เมื่อวานนี้ (24 พ.ย.66) สำนักข่าวซินหัวรายงานการแถลงการณ์ที่เผยแพร่ในบัญชีโซเชียลมีเดียของกระทรวงการต่างประเทศจีน ซึ่งระบุว่าจีนตัดสินใจทดลองดำเนินนโยบายฟรีวีซ่าฝ่ายเดียว สำหรับผู้ถือหนังสือเดินทางธรรมดาจากฝรั่งเศส เยอรมนี อิตาลี เนเธอร์แลนด์ สเปน และมาเลเซีย

แถลงการณ์ออนไลน์เผยว่า ผู้ถือหนังสือเดินทางธรรมดาจาก 6 ประเทศข้างต้นสามารถเดินทางเข้าจีนได้โดยไม่ต้องยื่นขอวีซ่า เพื่อทำธุรกิจ ท่องเที่ยว เยี่ยมเยียนญาติและมิตรสหาย และแวะพักเครื่อง เป็นเวลาไม่เกิน 15 วัน เริ่มตั้งแต่วันที่ 1 ธ.ค. 2023 ถึงวันที่ 30 พ.ย. 2024

อย่างไรก็ดี ประชาชนจาก 6 ประเทศเหล่านี้ที่ไม่มีคุณสมบัติตรงตามข้อกำหนดการยกเว้นวีซ่า ยังคงต้องยื่นขอวีซ่าก่อนเข้าประเทศจีน โดยนโยบายนี้จะช่วยส่งเสริมการแลกเปลี่ยนระหว่างผู้คน และรองรับการพัฒนาที่มีคุณภาพสูงและการเปิดกว้างในระดับสูง

‘สนามบินลาซา’ ใน ‘ทิเบต’ เผย ยอดผู้โดยสารปีนี้ทะลุ 5 ล้านคน เสริมความเด่นระบบขนส่ง-ชูเครือข่ายทางอากาศครอบคลุมทั่ว ‘จีน’

เมื่อวันที่ 25 พ.ย. 66 สำนักข่าวซินหัว, ลาซา รายงานข่าว ปริมาณผู้โดยสารหมุนเวียนผ่านท่าอากาศยานนานาชาติลาซา ก้งก๋า ในนครลาซา เขตปกครองตนเองทิเบต (ซีจ้าง) ทางตะวันตกเฉียงใต้ของจีน ที่ในปีนี้ได้สูงเกิน 5 ล้านคนแล้ว ซึ่งสูงเป็นประวัติการณ์

รายงานระบุว่าท่าอากาศยานฯ เริ่มต้นดำเนินงานในปี 1965 และมีบทบาทโดดเด่นเพิ่มขึ้นในระบบขนส่งของทิเบต โดยมีการสร้างเครือข่ายทางอากาศครอบคลุมเมืองขนาดกลาง และใหญ่ทั่วจีนตลอดทศวรรษที่ผ่านมา

สำนักบริหารการบินพลเรือนแห่งประเทศจีน ส่วนภูมิภาคทิเบต เผยว่า ปัจจุบันท่าอากาศยานฯ ได้เปิดเส้นทางบิน 135 เส้นทาง เชื่อมต่อกับ 68 จุดหมาย รวมถึงหนึ่งจุดหมายในต่างประเทศ

ท่าอากาศยานฯ ได้เพิ่มแรงกระตุ้นใหม่ แก่ นครลาซา ซึ่งรับรองนักท่องเที่ยวจากในประเทศและต่างประเทศรวม 34.2 ล้านคน และทำรายได้จากการท่องเที่ยวรวม 4.24 หมื่นล้านหยวน (ราว 2.12 แสนล้านบาท) ในช่วงสามไตรมาสแรก (มกราคม-กันยายน) ของปีนี้ เพิ่มขึ้นร้อยละ 69.3 และร้อยละ 46.7 เมื่อเทียบปีต่อปี

‘สธ.จีน’ เร่งเพิ่มจำนวนคลินิกสำหรับผู้ป่วยที่มีไข้ หวังรับมือโรคทางเดินหายใจ หลังยอดพุ่งอย่างรวดเร็ว

(27 พ.ย.66) กระทรวงสาธารณสุขจีนเรียกร้องให้เจ้าหน้าที่ท้องถิ่นเพิ่มจำนวนคลินิกสำหรับผู้ป่วยที่มีไข้ ในขณะที่จีนกำลังรับมือกับโรคระบบทางเดินหายใจที่เพิ่มสูงขึ้นในช่วงฤดูหนาวแรกนับตั้งแต่ผ่อนคลายมาตรการสกัดการแพร่ระบาดของโควิด-19

จำนวนผู้ป่วยโรคระบบทางเดินหายใจในประเทศจีนที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วกลายเป็นประเด็นระดับโลกเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว หลังองค์การอนามัยโลก (WHO) ได้ติดต่อขอข้อมูลเพิ่มเติมจากจีน โดยระบุถึงรายงานเกี่ยวกับคลัสเตอร์ของโรคปอดอักเสบ (pneumonia) ในเด็กที่ยังไม่ได้รับการวินิจฉัยโดยโครงการเฝ้าระวังโรคอุบัติใหม่

ทั้งนี้ จีน และ WHO ต่างต้องเผชิญกับคำถามถึงความโปร่งใสของรายงานเกี่ยวกับโรคโควิด-19 ในช่วงแรก ๆ ซึ่งโรคดังกล่าวแพร่ระบาดจากเมืองอู่ฮั่นในช่วงปลายปี 2562 และต้นปี 2563 

โดย WHO ระบุเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา (24 พ.ย.) ว่า หน่วยงานด้านสาธารณสุขของจีนไม่พบเชื้อโรคที่ผิดปกติหรือเชื้อชนิดใหม่ ๆ แต่อย่างใด

นายมี่ เฟิง โฆษกคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (NHC) ของจีนเปิดเผยเมื่อวานนี้ว่า การเพิ่มขึ้นของผู้ป่วยโรคทางเดินหายใจอย่างเฉียบพลันนั้นมีความเชื่อมโยงกับการแพร่ระบาดของเชื้อโรคหลายชนิดพร้อมกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งโรคไข้หวัดใหญ่ (influenza)

ทั้งนี้ มีรายงานการพบผู้ป่วยเด็กจำนวนมากในพื้นที่ทางตอนเหนือ เช่น ปักกิ่งและมณฑลเหลียวหนิง ซึ่งโรงพยาบาลได้ออกประกาศเตือนว่าต้องรอการรักษาเป็นเวลานาน

สภาแห่งรัฐ ซึ่งเป็นคณะรัฐมนตรีของจีนกล่าวเมื่อวันศุกร์ว่า ยอดผู้ป่วยไข้หวัดใหญ่จะแตะระดับสูงสุดในฤดูหนาวและฤดูใบไม้ผลินี้ ในขณะที่การติดเชื้อโรคปอดอักเสบจากเชื้อไมโคพลาสมา (mycoplasma pneumoniae) จะยังคงสูงในบางพื้นที่ นอกจากนี้ ยังเตือนถึงความเสี่ยงที่โรคโควิด-19 จะกลับมาแพร่ระบาดอีกครั้ง

ส่วนเมื่อวันที่ 23 พ.ย.ที่ผ่านมา WHO ระบุว่า ข้อมูลที่ได้รับจากจีนระบุว่า ผู้ป่วยกลุ่มล่าสุดมีความเชื่อมโยงกับการยกเลิกมาตรการคุมเข้มโควิด-19 เมื่อ 11 เดือนที่แล้ว ประกอบกับการแพร่ระบาดของโรคที่รู้จักกันดี เช่น โรคปอดอักเสบจากเชื้อไมโคพลาสมา ซึ่งเป็นการติดเชื้อแบคทีเรียทั่วไปที่มักเกิดขึ้นกับเด็ก ซึ่งแพร่ระบาดตั้งแต่เดือนพ.ค.

‘จีน-ญี่ปุ่น-เกาหลีใต้’ เล็งจัดประชุมสุดยอดไตรภาคี คลายความตึงเครียด 3 ชาติ หลังโควิดทำชะงัก

เมื่อวานนี้ (26 พ.ย. 66) เจ้าหน้าที่ระดับสูงของจีน ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ เห็นชอบที่จะฟื้นฟูความร่วมมือระหว่างกัน และเตรียมจัดการประชุมสุดยอดผู้นำไตรภาคีอีกครั้ง ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งสัญญาณผ่อนคลายความตึงเครียดระหว่าง 3 ชาติเพื่อนบ้านในเอเชียตะวันออก

แม้จีน และสหรัฐฯ จะมีความพยายามแก้ไขข้อพิพาทต่าง ๆ และยังผลักดันการประชุมซัมมิตทวิภาคีระหว่างประธานาธิบดี โจ ไบเดน และประธานาธิบดี สี จิ้นผิง จนสำเร็จในเดือนนี้ แต่นั่นไม่ได้ทำให้จีนคลายกังวลในเรื่องที่สหรัฐฯ ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ กำลังกระชับความเป็นหุ้นส่วน 3 ฝ่ายแน่นแฟ้นยิ่งขึ้นเรื่อย ๆ

ปักกิ่ง โซล และโตเกียว เคยมีข้อตกลงว่าจะจัดการประชุมสุดยอดผู้นำ 3 ฝ่ายเป็นประจำทุกปีตั้งแต่ปี 2008 เป็นต้นมา เพื่อส่งเสริมความร่วมมือในด้านการทูตและเศรษฐกิจ ทว่าปมขัดแย้งระหว่างประเทศ รวมถึงการอุบัติขึ้นของโรคระบาดใหญ่โควิด-19 ทำให้แผนการนี้ต้องหยุดชะงักไป โดยผู้นำสูงสุดของทั้ง 3 ชาติได้จัดประชุมกันครั้งสุดท้ายเมื่อปี 2019

ล่าสุด รัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศจากทั้ง 3 ชาติได้มีการพบปะหารือที่เมืองปูซานของเกาหลีใต้เมื่อวานนี้ (26 พ.ย. 66) ซึ่งถือเป็นการพูดคุยครั้งแรกตั้งแต่ปี 2019 และมีขึ้นหลังจากเจ้าหน้าที่ 3 ฝ่ายได้ตกลงเห็นพ้องกันเมื่อเดือน ก.ย. ที่จะจัดการประชุมซิมมิตไตรภาคีขึ้นอีกครั้ง “โดยเร็วที่สุด ในวันเวลาที่ทุกฝ่ายสะดวก”

อย่างไรก็ดี รัฐมนตรีทั้งสามยังไม่ได้ให้กรอบเวลาที่ชัดเจนว่าการประชุมซัมมิตนั้นจะเกิดขึ้นเมื่อใด

โช แทยอง ที่ปรึกษาด้านความมั่นคงแห่งชาติของเกาหลีใต้ ให้สัมภาษณ์กับสื่อ Yonhap news TV ว่า ประธานาธิบดี สี จิ้นผิง ของจีน นายกรัฐมนตรี ฟูมิโอะ คิชิดะ แห่งญี่ปุ่น และประธานาธิบดี ยุน ซุกยอล แห่งเกาหลีใต้ น่าจะยังไม่ได้พบกันภายในปีนี้ แต่คาดว่าการประชุมซัมมิตจะเกิดขึ้นในอีกไม่ช้า

ด้านกระทรวงการต่างประเทศญี่ปุ่นแถลงว่า รัฐมนตรีทั้ง 3 ชาติได้มีมติเห็นพ้องในการประชุมซึ่งใช้เวลา 100 นาทีว่าจะส่งเสริมความร่วมมือกันใน 6 ด้าน ซึ่งรวมถึงความมั่นคง เศรษฐกิจ และเทคโนโลยี และจะสนับสนุนให้มีการหารืออย่างจริงจังเพื่อปูทางสู่การจัดประชุมซัมมิต

พัค จิน รัฐมนตรีต่างประเทศเกาหลีใต้ซึ่งยังกังวลเรื่องภัยคุกคามเกาหลีเหนือ ได้กล่าวกับรัฐมนตรีของญี่ปุ่นและจีนว่า “การทำให้ความร่วมมือ 3 ฝ่ายถูกยกระดับสู่การเป็นสถาบัน (institutionalize) นั้นมีความสำคัญ เพื่อที่จะพัฒนาไปสู่ระบบที่มีเสถียรภาพและยั่งยืน” ตามถ้อยแถลงจากกระทรวงการต่างประเทศเกาหลีใต้

ทางด้านของ หวัง อี้ รัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศจีน เรียกร้องให้ทั้ง 3 ชาติร่วมกัน “ต่อต้านการแบ่งแยกทางค่านิยม (ideological demarcation) และคัดค้านการแบ่งความร่วมมือในภูมิภาคเป็นกลุ่มขั้วต่าง ๆ” ซึ่งดูเหมือนจะมีเจตนาวิจารณ์การจับกลุ่มพันธมิตรระหว่างโซล โตเกียว และวอชิงตัน

กระทรวงการต่างประเทศจีนระบุว่า หวัง ยังเรียกร้องให้จีน ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ เริ่มฟื้นการเจรจาข้อตกลงการค้าเสรีโดยเร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้

โยโกะ คามิคาวะ รัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศญี่ปุ่น ย้ำว่าการเพิ่มความร่วมมือของทั้ง 3 ชาติจะมีส่วนช่วยส่งเสริมสันติภาพในภูมิภาค ท่ามกลางบริบทความมั่นคงนานาชาติที่ ‘รุนแรงและซับซ้อนยิ่งกว่าที่เคยเป็นมา’

ระหว่างการหารือ 2 ฝ่าย พัค และ คามิคาวะ ได้ประณามการส่งดาวเทียมสอดแนมของเกาหลีเหนือเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว และตกลงที่จะร่วมมือกันกำหนดมาตรการตอบโต้ข้อตกลงด้านอาวุธระหว่างเปียงยางกับมอสโก

ขณะเดียวกัน รัฐมนตรีต่างประเทศญี่ปุ่นก็ได้แสดงความ ‘ผิดหวังอย่างยิ่ง’ ที่ศาลอุทธรณ์ของเกาหลีใต้มีคำสั่งให้ญี่ปุ่นต้องจ่ายเงินชดเชยแก่อดีตสตรีเพื่อการผ่อนคลาย และขอให้โซลเร่งแก้ไขปัญหานี้อย่างเหมาะสม

พัค ยังได้ประชุมร่วมกับ หวัง อี้ และเอ่ยปากเชื้อเชิญรัฐมนตรีต่างประเทศของจีนให้ไปเยือนกรุงโซล โดยทั้ง 2 ฝ่ายตกลงที่จะส่งเสริมการสื่อสารในเชิงยุทธศาสตร์ และ พัค ได้ขอร้องให้จีนแสดงบทบาทสร้างสรรค์ในการโน้มน้าวให้เกาหลีเหนือหยุดพฤติกรรมยั่วยุและก้าวไปสู่เส้นทางแห่งการปลดอาวุธนิวเคลียร์

หวัง อี้ ได้เอ่ยเตือนรัฐมนตรีเกาหลีใต้ว่าไม่ควรนำเอาประเด็นด้านเศรษฐกิจและเทคโนโลยีมาเป็นเรื่องการเมือง ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงบรรยากาศตึงเครียดระหว่างจีนกับเกาหลีใต้ในเรื่องเซมิคอนดักเตอร์ และข้อพิพาทการค้าอื่น ๆ

คามิคาวะ กล่าวขณะประชุมกับ หวัง อี้ เมื่อวันเสาร์ (25 พ.ย.66) ว่า เธอคาดหวังว่าการเจรจาด้านความมั่นคงระหว่างญี่ปุ่นและจีน ‘จะเกิดขึ้นเร็วๆ นี้’ ขณะที่ หวัง ก็เน้นย้ำถึงความจำเป็นที่จีนและญี่ปุ่นจะต้องหาวิธีสร้างความเชื่อมั่นว่าทั้ง 2 ฝ่าย ‘จะไม่เป็นภัยคุกคามต่อกัน’ และให้เคารพในข้อกังวลอันชอบธรรมของกันและกัน

อย่าตื่นตูม!! ตัวเลขนักท่องเที่ยวจีนหด 'ไม่มีใครผิด-ไม่ใช่แค่ที่ไทย' เหตุภาวะศก.ไม่เป็นใจ แม้แต่คนจีนยังเน้นท่องเที่ยวในประเทศตัวเอง

(27 พ.ย.66) จากเพจ 'World Forum ข่าวสารต่างประเทศ' ได้โพสต์ข้อมูลที่สะท้อนถึงการท่องเที่ยวในต่างแดนของคนจีนที่เริ่มเบาบางลงในช่วงนี้ โดยระบุว่า...

จีน 🇨🇳 : จีนยกเลิกเที่ยวบิน 
เข้าไทย เดือน ธันวาคม - มกราคม ปี 2024 ประมาณ 39% ใน 10 สายการบิน

#สถิติ (ข้อมูลฐานเศรษฐกิจ)
**เดือนธันวาคม 2023
ยื่นขอทำการบิน 10,939 เที่ยวบิน ยืนยันบินจริง 5,858 เที่ยวบิน หายไป 5,081 เที่ยวบิน หรือ 46%

**มกราคม 2567 ขอทำการบิน 10,984 เที่ยวบิน ยืนยันทำการบิน 7,420 เที่ยวบิน หายไป 3,564 เที่ยวบิน หรือ 32%

**รวม 2 เดือนขอทำการบิน 21,923 เที่ยว ยืนยันการบิน 13,279 เที่ยวบิน หายไป 39% หรือกว่า 8,648 เที่ยวบิน 

>> เหตุผลการยกเลิก: เนื่องจากไม่มีดีมานด์จำนวนนักท่องเที่ยวมากพอ

**ในส่วนการบินสัญชาติไทย ยังบินเข้าจีน อาทิ...
- แอร์เอเชีย 74 เที่ยวบิน/สัปดาห์ 
- การบินไทย 56 เที่ยวบิน/สัปดาห์ 

#สถิติการเยือนนักท่องเทียวจีน
ขอเทียบปีสูงสุด เทียบปีปัจจุบัน

2018 หรือ 19 เทียบ 2023
🇯🇵 ญี่ปุ่น 9.5 ล้าน >> 1.2 ล้าน /8 เดือน
🇸🇬 สิงคโปร์ 3.6 ล้าน >> 1.005 ล้าน /9 เดือน
🇹🇭 ไทย 10.06 ล้าน >> 2.7 ล้าน /10 เดือน
 *ณ 22/10/2023

**จะเห็นได้ว่า เมืองสำคัญที่จีนนิยมเดินทางเข้า ญี่ปุ่น, ไทย ตัวเลขลดลงเกินครึ่ง ส่วนสิงคโปร์ เป็นฮับบินภูมิภาค มีเครื่องบินพร้อมตัวเลขก็ตกลงเช่นกัน จากสื่อสิงค์โปร์ แจ้งว่าต้องใช้เวลาพอสมควรในการฟื้นฟูการบินเข้าจีน

✍️ส่วนข่าวในจีนตอนนี้  
*มุมมองจากภายนอกมองว่าจีนมีปัญหาเศรษฐกิจภายในจีน โดยเฉพาะภาคอสังหาริมทรัพย์ กำลังมีผลกระทบเป็นลูกโซ่ เป็นวงกว้าง เจ้าใหญ่ ๆ ของประเทศ จากข่าวเอเวอร์แกรนด์ มาต่อด้วยคันทรี่การ์เด้น และล่าสุด จงจื่อธนาคารเงาของจีน 

**เอเวอร์แกรนด์
เวอร์แกรนด์มีหนี้สินประมาณ 305,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ 10.7 ล้านล้านบาท

**คันทรี่การ์เด้น
มีหนี้สินอยู่ประมาณ 186,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 6.74 ล้านล้านบาท) 

**ข่าวใน 2-3 วันนี้ 
รัฐบาลจีนเริ่มสอบสวน จงจื่อ เอนเตอร์ไพรส์ Zhongzhi Enterprise Group ยักษ์ใหญ่ธนาคารเงาอันดับต้นของจีน เสี่ยงล้มละลาย มีหนี้สินประมาณ 5.87 หมื่นล้านดอลลาร์ /2.2 ล้านล้านบาท

#การท่องเที่ยวในจีน 
รัฐบาลจีนได้อนุมัติมาตรการทดลองวีซ่าฟรี เข้าประเทศ 15 วัน ให้กับพลเมือง 6 ประเทศ ฝรั่งเศส, เยอรมนี, อิตาลี, เนเธอร์แลนด์, สเปน และมาเลเซียเป็นเวลาหนึ่งปี เพื่อกระตุ้นการท่องเที่ยวในประเทศจีน

#ภาพสถานะบิน สนามบินจีน  
ปักกิ่ง, เซี่ยงไฮ้, เซินเจิ้น เวลาประมาณ 10.00 น.  27/11/2023 จะเห็นได้ว่า การบินออกสถานะบินน้อยมาก เมื่อเทียบในภูมิภาค 

จีนเน้นบิน ท่องเที่ยวในประเทศ

‘ธนาคารกลางจีน’ จ่ออำนวยความสะดวกด้านการเงิน ‘ภาคเอกชน’ หนุน ‘ออกพันธบัตร-จัดหาเงินทุน’ มุ่งต่อยอดเศรษฐกิจในอนาคต

(28 พ.ย.66) สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า ธนาคารประชาชนจีนหรือธนาคารกลางของจีน รายงานแผนการเดินหน้าเพิ่มการสนับสนุนทางการเงินแก่ผู้ประกอบการเอกชน และทำงานเพื่อลดต้นทุนทางการเงินอย่างครอบคลุม

รายงานนโยบายทางการเงินประจำไตรมาสสาม (กรกฎาคม-กันยายน) ของธนาคารฯ ระบุว่าจะมีการสนับสนุนเชิงนโยบายทางการเงินแก่บริษัทเอกชนขนาดย่อมและรายย่อยเพิ่มเติมในระยะต่อไป

การดำเนินมาตรการต่างๆ เช่น กระตุ้นธนาคารพาณิชย์ออกพันธบัตรทางการเงินชนิดพิเศษสำหรับบริษัทขนาดย่อมและรายย่อย รวมถึงสนับสนุนการจัดหาเงินทุนของผู้ประกอบการเอกชนขนาดกลาง ขนาดย่อม และรายย่อยในห่วงโซ่อุปทาน ได้บรรลุผลลัพธ์เชิงบวก

การสนับสนุนสินเชื่ออย่างครอบคลุมของจีนได้จัดสรรเงินทุนจูงใจแก่บริษัทขนาดเล็กและรายย่อย จำนวน 5.26 หมื่นล้านหยวน (ราว 2.58 แสนล้านบาท) เมื่อนับถึงสิ้นเดือนกันยายน ซึ่งเพิ่มขึ้น 2.51 หมื่นล้านหยวน (ราว 1.25 แสนล้านบาท) จากต้นปีนี้

การปล่อยสินเชื่อแก่ผู้ประกอบการด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีขนาดกลางและขนาดย่อมในไตรมาสสามของปีนี้ มียอดคงค้างรวมอยู่ที่ 2.4 ล้านล้านหยวน (ราว 11.99 ล้านล้านบาท) เพิ่มขึ้นร้อยละ 22.6 เมื่อเทียบปีต่อปี

รายงานเสริมว่าธนาคารฯ จะดำเนินงานอย่างเป็นระบบในด้านการสนับสนุนทางการเงินแก่ภาคเอกชน เพื่อรับรองการสนับสนุนทางการเงินแก่เศรษฐกิจเอกชนอย่างสอดคล้องกับการมีส่วนส่งเสริมของเศรษฐกิจเอกชนในการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ

‘หัวเว่ย’ เดินหน้ารุดอุตสาหกรรม ‘รถยนต์ไฟฟ้า’ ในจีน อาศัย ‘เทคโนโลยี’ ที่เชี่ยวชาญเป็นจุดขายร่วมธุรกิจ

(29 พ.ย.66) ‘หัวเว่ย’ บริษัทโทรคมนาคมและสมาร์ตโฟนยักษ์ใหญ่สัญชาติจีน กำลังขยายการจำหน่ายเทคโนโลยีหัวเว่ยในตลาดรถยนต์ไฟฟ้า และย้ำว่าบริษัทไม่ได้ผลิตรถยนต์ แต่ขายส่วนประกอบด้านเทคโนโลยี เช่น ระบบปฏิบัติการ Harmony OS และผลิตภัณฑ์ช่วยเหลือผู้ขับขี่ หรือการทำงานร่วมกับผู้ผลิตรถยนต์เพื่อสร้างแบรนด์อีวีใหม่ ๆ

โดยเมื่อวานนี้ (28 พ.ย.) หัวเว่ยยืนยันว่า บริษัททำงานร่วมกับผู้ผลิตรถยนต์ในท้องถิ่นเพื่อผลิตรถยนต์รุ่นใหม่อย่างน้อย 4 รายในจีน หลังมีข่าวว่าหัวเว่ยร่วมทุนกับฉางอัน ออโตโมบิลเพื่อผลิตเทคโนโลยีสำหรับรถยนต์

หัวเว่ยยังทำงานร่วมกับ Chery เพื่อผลิตเทคฯยานยนต์ให้กับแบรนด์รถยนต์ไฟฟ้า Luxeed ที่เปิดตัวซีดาน S7 เมื่อวานนี้ (28 พ.ย.) รวมถึง BAIC Motor และ JAC Motor ซึ่ง BAIC เจ้าของรถยนต์ไฟฟ้าแบรนด์ Arcfox ใช้เทคโนโลยีของหัวเว่ยเรียบร้อยแล้ว แต่ JAC ยังไม่ตอบคำขอแสดงความเห็น

‘ทู เล่อ’ ผู้ก่อตั้งซิโน ออโต้ อินไซด์ บริษัทที่ปรึกษาในปักกิ่ง เผยว่า ผู้ผลิตรถยนต์จีนที่ผลิตภัณฑ์ยังขาดเทคโนโลยีสำคัญ พึงพอใจที่จะใช้เทคฯ ของหัวเว่ยมากกว่าที่อื่น แต่ยังเร็วเกินไปที่จะทราบว่าโซลูชันของหัวเว่ยดีกว่าคู่แข่งอย่างไร และหัวเว่ยก็เหมือนบริษัทเทคฯ อื่น ๆ ที่เห็นโอกาสในตลาดยานยนต์อีวีและลงมือทำทุกอย่างเต็มที่

ด้าน ‘เทนเซ็นต์’ ที่บริหารจัดการแอปพลิเคชันวีแชท วางแผนเปิดตัวรถยนต์ในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2567 และประกาศเมื่อปลายเดือน ต.ค. ว่าบริษัทมีระบบปฏิบัติการเป็นของตนเองแล้ว เรียกว่า HyperOS

>> ธุรกิจอีกส่วนหนึ่งของหัวเว่ย

หลังสหรัฐขึ้นบัญชีดำหัวเว่ย และห้ามให้บริษัทซื้อซัพพลายเออร์จากสหรัฐ รวมถึงใบอนุญาตเข้าถึงกูเกิลเวอร์ชันล่าสุดของระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ หัวเว่ยจึงสร้างระบบปฏิบัติการ Harmony OS ขึ้นมาแทน

ช่วงครึ่งแรกของปีนี้ หัวเว่ยมีรายได้จากการจำหน่ายสินค้าเทคโนโลยี 103,500 ล้านหยวน ขณะที่โซลูชันยานยนต์อัจฉริยะ รวมถึงเทคโนโลยีเพื่อยานยนต์พลังงานใหม่ (NEV) มีรายได้ 1,000 ล้านหยวน

‘ริชาร์ด ยู’ หัวหน้าฝ่ายธุรกิจเกี่ยวกับรถยนต์และสินค้าอุปโภคบริโภค เผยแนวทางการร่วมงานกับผู้ผลิตรถยนต์ไว้ 3 แนวทาง ได้แก่

1.บริษัทปฏิบัติตนเป็นซัพพลายเออร์ชิ้นส่วนประกอบ
2.บริษัทจำหน่ายชุดผลิตภัณฑ์เทคโนโลยีรถยนต์ที่เรียกว่า ‘Huawei Inside’ ขณะที่ผู้ผลิตรถยนต์ออกแบบยานยนต์เอง
3.บริษัทควบคุมการออกแบบ Huawei Inside ส่วนใหญ่ รวมถึงการจำหน่าย และการทำการตลาด ขณะที่ผู้ผลิตยานยนต์ผลิตรถยนต์เอง

‘Hsiao Bi-khim’ ว่าที่ผู้สมัครชิงตำแหน่งรอง ปธน.ไต้หวัน ปี 2024 สตรีผู้มีความตั้งมั่นอันแน่วแน่ในการนำพา ‘ไต้หวัน’ สู่ความรุ่งเรือง

‘Hsiao Bi-khim’ สตรีลูกครึ่งจีน (ไต้หวัน)-อเมริกัน 
ว่าที่ผู้สมัครชิงตำแหน่งรองประธานาธิบดีไต้หวัน ปี 2024

เมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายนที่ผ่านมา ‘Hsiao Bi-khim’ หัวหน้าสำนักงานผู้แทนเศรษฐกิจและวัฒนธรรมไทเป (ในช่วงสามปีที่ผ่านมา) ได้ทำหน้าที่เสมือนเป็นเอกอัครรัฐทูตไต้หวันประจำสหรัฐฯ โดยพฤตินัย (เนื่องจากสรัฐฯ รับรองสถานภาพของสาธารณรัฐประชาชนจีน จึงไม่มีความสัมพันธ์ทางการทูตอย่างเป็นทางการกับไต้หวัน) ได้รับการเสนอชื่ออย่างเป็นทางการ ให้เป็นผู้สมัครในตำแหน่งรองประธานาธิบดีของ ‘พรรคประชาธิปไตยก้าวหน้า’ (DPP) ของ ‘Lai Ching-te’ ผู้สมัครในตำแหน่งประธานาธิบดีของการเลือกตั้งประธานาธิบดีไต้หวัน ปี 2024

Hsiao เกิดที่เมืองโกเบ ประเทศญี่ปุ่น มีบิดาเป็นชาวไต้หวัน คือ ‘Hsiao Tsing-fen’ อดีตประธานวิทยาลัยศาสนศาสตร์และเซมินารีไถหนาน และมารดาเป็นชาวอเมริกัน คือ ‘Peggy Cooley’ ครอบครัวของเธอนับถือศาสนาคริสต์ นิกายเพรสไบทีเรียน เธอเติบโตในเมืองไถหนาน ประเทศไต้หวัน โดยสามารถใช้ภาษาจีนกลาง ฮกเกี้ยน และภาษาอังกฤษ จากนั้น เธอได้ย้ายไปสหรัฐอเมริกาตั้งแต่ยังเป็นวัยรุ่น และสำเร็จการศึกษาจากโรงเรียนมัธยมมอนต์แคลร์ ในเมืองมอนต์แคลร์ มลรัฐนิวเจอร์ซีย์

Hsiao สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรี สาขาเอเชียตะวันออกศึกษาจากวิทยาลัย Oberlin และปริญญาโท สาขารัฐศาสตร์จากมหาวิทยาลัยโคลัมเบีย ในสหรัฐอเมริกา

Hsiao เริ่มร่วมงานกับสำนักงานตัวแทนพรรคประชาธิปไตยก้าวหน้า (DPP) ในสหรัฐอเมริกา โดยทำหน้าที่เป็นผู้ประสานงานกิจกรรม เมื่อเดินทางกลับไต้หวัน Hsiao ก็กลายเป็นผู้อำนวยการฝ่ายกิจการระหว่างประเทศของพรรค และเป็นตัวแทนของพรรคในการประชุมระหว่างประเทศต่าง ๆ มานานกว่าทศวรรษ

หลังจากที่ ‘Chen Shui-bian’ เข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐจีนในปี 2000 Hsiao รับหน้าที่เป็นล่ามและที่ปรึกษาของเขามาเกือบสองปี โดยสถานะสองสัญชาติของเธอทั้งสหรัฐฯ และสาธารณรัฐจีน (ไต้หวัน) ในขณะที่เธอดำรงตำแหน่งในรัฐบาลกลายเป็นประเด็นทางการเมือง จึงทำให้เธอสละสัญชาติสหรัฐฯ ของเธอ ตามที่กฎหมายการจ้างงานข้ารัฐการพลเรือนของไต้หวันกำหนดไว้ในปี 2000

ในเดือนมกราคม ปี 2000 Hsiao ได้ประกาศความตั้งใจที่จะลงสมัครรับตำแหน่งสมาชิกสภานิติบัญญัติไต้หวัน (สภาหยวน) ในนามตัวแทนของพรรค DPP ในฐานะสมาชิกเสริมที่เป็นตัวแทนของเขตเลือกตั้งในต่างประเทศ โดยอ้างถึงประสบการณ์ของเธอในความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ

ต่อมาเธอได้รับเลือกในเดือนธันวาคมปีเดียวกัน ในการเลือกตั้งสภานิติบัญญัติในเดือนธันวาคม ปี 2004 Hsiao ได้รับเลือกเข้าสู่สภานิติบัญญัติไต้หวันอีกครั้ง ครั้งนี้เธอเป็นตัวแทนของเขตเลือกตั้งของไทเป ครอบคลุมเขตทางตอนเหนือของ Xinyi, Songshan, Nangang, Neihu, Shilin และ Beitou ในฐานะสมาชิกสภานิติบัญญัติ เธอดำรงตำแหน่งในคณะกรรมาธิการกิจการต่างประเทศ คณะกรรมาธิการโครงการต่าง ๆ และคณะกรรมาธิการวินัยของรัฐสภา

Hsiao ทำงานในประเด็นต่าง ๆ ในสภานิติบัญญัติไต้หวัน โดยเฉพาะสิทธิสตรี สิทธิของชาวต่างชาติในไต้หวัน และสิทธิมนุษยชนอื่น ๆ Hsiao สนับสนุนการแก้ไขกฎหมายสัญชาติ เพื่อให้บุคคลที่เกิดมาจากบิดามารดาที่มีสัญชาติไต้หวันอย่างน้อยหนึ่งคน สามารถมีสัญชาติไต้หวันได้โดยไม่คำนึงถึงอายุ และยังได้เสนอและสนับสนุนการแก้ไขกฎหมายคนเข้าเมือง เพื่อต่อต้านการเลือกปฏิบัติและต่อต้านความรุนแรงในครอบครัว นอกจากนี้ เธอยังเป็นผู้สนับสนุนสิทธิสัตว์ โดยเสนอแก้ไขพระราชบัญญัติคุ้มครองสัตว์ และยังผลักดันให้มีการผ่านพระราชบัญญัติป้องกันการล่วงละเมิดทางเพศในเดือนมกราคม ปี 2005 อีกด้วย

ในเดือนพฤษภาคม ปี 2005 Hsiao เป็นตัวแทนของพรรค DPP ในการประชุมประจำปีของ ‘Liberal International’ ในกรุงโซเฟีย ประเทศบัลแกเรีย ซึ่งในระหว่างนั้นเธอได้รับเลือกเป็นรองประธานของ Liberal International ด้วย Hsiao ได้กล่าวว่า เธอและตัวแทนของพรรค DPP คนอื่น ๆ ถูกติดตามตลอดการเยือนบัลแกเรีย โดยบุคคลสองคนที่สถานทูตสาธารณรัฐประชาชนจีนในกรุงโซเฟียส่งมา

ในเดือนเดียวกันนั้นเอง Hsiao ยังได้เริ่มรณรงค์เพื่อสนับสนุนให้แฟนเบสบอลชาวไต้หวัน เขียนอีเมลถึงทีม ‘New York Yankees’ เพื่อขอให้เก็บผู้เล่นชาวไต้หวัน ‘Chien-Ming Wang’ ไว้ในทีม

Hsiao เป็นหนึ่งในผู้ร่างกฎของพรรค DPP และตกเป็นเป้าหมายของผู้สนับสนุนพรรคบางคน ซึ่งระบุว่า “มีความภักดีไม่เพียงพอ” โดยมีรายการวิทยุที่สนับสนุนเอกราช พากย์เสียงเธอว่า ‘ไชนีสคิม’ ในเดือนมีนาคม ปี 2007 โดยกล่าวหาว่าเธอมีความใกล้ชิดกับอดีตฝ่ายปฏิรูปของพรรค DPP บางคน หลังจากได้รับการปกป้องโดยสมาชิกของพรรค DPP คนอื่น ๆ แต่ Hsiao ไม่ได้รับการเสนอชื่อให้ลงสมัครรับการเลือกตั้งใหม่โดยพรรค DPP ในการเลือกตั้งสภานิติบัญญัติไต้หวัน ในเดือนมกราคม ปี 2008 ด้วยสาเหตุมาจากความขัดแย้งครั้งนั้น

Hsiao ออกจากสภานิติบัญญัติหยวน หลังจากวาระของเธอหมดลงในวันที่ 31 มกราคม 2008 เธอทำหน้าที่เป็นโฆษกของการรณรงค์หาเสียงชิงตำแหน่งประธานาธิบดีในปี 2008 ซึ่งเป็นปีที่พรรค DPP ไม่ประสบความสำเร็จ อีกทั้ง เธอยังเป็นรองประธานมูลนิธิแลกเปลี่ยน ‘ทิเบต-ไต้หวัน’ เป็นสมาชิกของคณะกรรมการมูลนิธิไต้หวันเพื่อประชาธิปไตย และเป็นสมาชิกของคณะกรรมการบริหารของสภาเสรีนิยมและเดโมแครตแห่งเอเชีย และสมาชิกผู้ก่อตั้งสมาคมสตรีกีฬาแห่งไต้หวัน ตั้งแต่ปี 2010

Hsiao ใช้เวลาหนึ่งทศวรรษในการเป็นตัวแทนของพรรค DPP ในเทศมณฑลฮัวเหลียน ซึ่งเป็นภูมิภาคอนุรักษ์นิยมที่สนับสนุนพรรคก๊กมินตั๋งอย่างเข้มแข็ง ในปีเดียวกันนั้น เธอพ่ายแพ้ในการเลือกตั้งซ่อมด้วยคะแนนเสียงที่น้อยกว่าไม่มาก แต่ก็ยังถือว่าได้ทำลาย ‘คะแนนเสียงเหล็ก’ ของพรรคก๊กมินตั๋ง จากนั้นเธอก็ตั้งสำนักงานในฮัวเหลียน และเดินทางไปมาระหว่างไทเปและฮัวเหลียนทุกสัปดาห์

Hsiao กลับมาสู่สภานิติบัญญัติไต้หวันในเดือนกุมภาพันธ์ ปี 2012 โดยได้รับเลือกผ่านการเป็นตัวแทนตามสัดส่วนของบัญชีรายชื่อพรรค ในปี 2016 Hsiao สืบทอดตำแหน่งต่อจาก ‘Wang Ting-son’ ในฐานะสมาชิกสภานิติบัญญัติของเทศมณฑลฮัวเหลียน ในปี 2018 มีการจัดให้รณรงค์เพื่อต่อต้าน Hsiao เนื่องจากเธอได้รับการสนับสนุนอย่างมาก ในการทำให้การแต่งงานของคนเพศเดียวกันถูกต้องตามกฎหมาย

Hsiao ไม่ยอมแพ้ต่อความกดดัน และยังคงหาเสียงในฮัวเหลียนต่อ ในเดือนสิงหาคม 2019 เธอได้รับการเสนอชื่อจากพรรค DPP เพื่อลงสมัครรับตำแหน่ง สส.ต่อไปในเทศมณฑลฮัวเหลียน เธอเสียที่นั่งให้กับ ‘Fu Kun-chi’ ในการเลือกตั้งสภานิติบัญญัติปี 2020

Hsiao ออกจากสภานิติบัญญัติไต้หวันเมื่อหมดวาระในปี 2020 และต่อมาได้รับการแต่งตั้งให้เป็นที่ปรึกษาของสภาความมั่นคงแห่งชาติในเดือนมีนาคม 2020 ในเดือนมิถุนายนปีเดียวกันนั้นเอง Hsiao ได้รับแต่งตั้งให้เป็นตัวแทนของไต้หวัน (หัวหน้าสำนักงานผู้แทนเศรษฐกิจและวัฒนธรรมไทเป) ประจำสหรัฐอเมริกา โดยเธอรับช่วงต่อจาก ‘Stanley Kao’ และเป็นสตรีคนแรกที่ได้รับบทบาทนี้

โดย Hsiao สาบานตนเข้ารับตำแหน่งเมื่อวันที่ 20 กรกฎาคม 2020 Hsiao ได้รับเชิญอย่างเป็นทางการ และเข้าร่วมพิธีสาบานตนเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดี ‘Joe Biden’ ของสหรัฐฯ เมื่อวันที่ 20 มกราคม 2021 ซึ่งเป็นครั้งแรกที่ตัวแทนของไต้หวันประจำสหรัฐฯ ได้เข้าร่วมพิธีสาบานตนเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ อย่างเป็นทางการนับตั้งแต่สหรัฐฯ ยุติความสัมพันธ์ทางการทูตกับไต้หวันเมื่อปี 1979 เธอยืนอยู่หน้ารัฐสภาสหรัฐฯ (The US Capitol) ในพิธีสาบานตน และกล่าวว่า “ประชาธิปไตยเป็นภาษากลางของเรา และเสรีภาพคือเป้าหมายร่วมกันของเรา”

ในเดือนพฤศจิกายน 2000 เดอะเจอร์นัลลิสต์ ซึ่งเป็นนิตยสารแท็บลอยด์ท้องถิ่นได้เสนอข่าวซึ่งอ้างอย่างผิด ๆ ว่า ได้ข่าวจากรองประธานาธิบดี ‘Annette Lu’ ว่า Hsiao มีความสัมพันธ์กับประธานาธิบดี ‘Chen Shui-bian’ ซึ่งไม่มีหลักฐานสนับสนุนการกล่าวอ้างที่เป็นเท็จนี้ และรองประธานาธิบดี Annette Lu ได้ ฟ้องนิตยสารดังกล่าวในข้อหาหมิ่นประมาทในศาลแพ่ง จนในที่สุด นิตยสารก็ได้รับคำสั่งให้ขอโทษและแก้ไขประเด็นดังกล่าว โดยยอมรับว่าเป็นการสร้างเรื่องราวขึ้น

ในระหว่างอาชีพทางการเมืองของเธอ Hsiao และเพื่อนสมาชิกสภานิติบัญญัติ ‘Cheng Li-chun’ และ ‘Chiu Yi-ying’ ได้รับฉายาว่า ‘S.H.E ของ DPP’ Hsiao เป็นผู้สนับสนุนความเท่าเทียมทางเพศและสิทธิ LGBT ในไต้หวันมายาวนาน Hsiao เป็นคนรักแมว โดยเธอกล่าวในเดือนกรกฎาคม 2020 ว่า เธอวางแผนจะพาแมวทั้ง 4 ตัว ติดตามไปด้วยเมื่อเธอย้ายไปที่สหรัฐอเมริกา ในฐานะหัวหน้าสำนักงานผู้แทนเศรษฐกิจและวัฒนธรรมไทเปของไต้หวันประจำประเทศนี้ ในฐานะทูตของไต้หวัน เธอกล่าวว่า เธอจะต่อสู้กับการทูตที่ถูกกล่าวหาว่าก้าวร้าวแบบ ‘นักรบหมาป่า’ ของจีน โดยใช้การทูตแบบ ‘นักรบแมว’ (cat warrior) ที่เป็นแบรนด์ของเธอเอง

ในวันที่ 17 สิงหาคม 2022 หลังจากการเยือนไต้หวันของ ‘Nancy Pelosi’ ประธานสภาผู้แทนราษฎรแห่งสหรัฐอเมริกาในขณะนั้น ระหว่างวันที่ 2–3 สิงหาคม จีนได้ขึ้นบัญชีดำเจ้าหน้าที่ไต้หวัน 7 คน รวมทั้ง Hsiao เนื่องจากถูกกล่าวหาว่า ‘สนับสนุนเอกราชของไต้หวัน’ โดยบัญชีดำสั่งห้ามไม่ให้พวกเขาเข้าไปในจีนแผ่นดินใหญ่ และเขตบริหารพิเศษของฮ่องกง รวมถึงมาเก๊า และจำกัดไม่ให้ทำงานกับเจ้าหน้าที่จีนอีกด้วย หนังสือพิมพ์แท็บลอยด์ของรัฐบาลจีน โกลบอลไทมส์ ตราหน้า Hsiao และเจ้าหน้าที่ทั้ง 6 คนว่าเป็น ‘คนหัวแข็งที่แบ่งแยกดินแดน’

ในเดือนเมษายน 2022 Hsiao ถูกจีนคว่ำบาตรเป็นครั้งที่สอง ภายหลังการประชุมระหว่างประธานาธิบดี ‘Tsai Ing-wen’ แห่งไต้หวัน และ ‘Kevin McCarthy’ ประธานสภาผู้แทนราษฎรแห่งสหรัฐอเมริกา ในสหรัฐอเมริกา มาตรการคว่ำบาตรชุดที่สองยังรวมถึงการป้องกันไม่ให้นักลงทุน และบริษัทที่เกี่ยวข้องกับบุคคลที่ถูกคว่ำบาตร ความร่วมมือกับองค์กรและบุคคลในจีนแผ่นดินใหญ่ด้วย

และวันที่ 20 พฤศจิกายน 2023 พรรค DPP ได้เสนอชื่อเธอให้เป็นผู้สมัครชิงตำแหน่งรองประธานาธิบดีในการเลือกตั้งประธานาธิบดีไต้หวัน ปี 2024 โดยเธอได้ประกาศว่า “ฉัน Hsiao Bi-khim กลับมาแล้ว ฉันจะแบกรับความรับผิดชอบอันแน่วแน่ในการสนับสนุนไต้หวัน” หลังจากเดินทางกลับจากกรุงวอชิงตันไม่ถึงหนึ่งวัน ในงานแถลงข่าวที่จัดขึ้นเมื่อวันจันทร์ (20 พ.ย.) ที่ผ่านมา เพื่อเปิดตัวผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีไต้หวัน ที่สำนักงานใหญ่หาเสียงของ Lai Ching-te ในกรุงไทเป

ด้วยบทบาทหน้าที่ของ Hsiao Bi-khim ที่ผ่านมา เชื่อว่า เธอสนับสนุนการแยกตัวเป็นเอกราชของไต้หวันอย่างแน่นอน และมีความเป็นไปได้สูงที่เธอน่าจะเป็นผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีของพรรค DPP ต่อจาก Lai Ching-te ด้วย ซึ่งท้ายที่สุดจะสร้างความขุ่นเคืองใจอย่างมากมายแก่รัฐบาลปักกิ่ง

เรื่อง : ดร.ปุณกฤษ ลลิตธนมงคล
ที่ปรึกษาด้านการบริหารจัดการสมัยใหม่ อาจารย์พิเศษหลักสูตรปริญญาโทและเอก นักเล่าเรื่องมากมายในหลากหลายมิติ เป็นผู้ที่ชื่นชมสนใจในประวัติศาสตร์สงครามสมัยใหม่ตลอดจนอาวุธยุทโธปกรณ์ต่างๆ

‘จีน’ ก่อสร้างสถานีตรวจวัด ‘ก๊าซเรือนกระจก’ 117 แห่ง อาศัย ‘ดาวเทียม’ ที่มีความแม่นยำสูง ดักจับคาร์บอนฯ

(2 ธ.ค.66 ) สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า สำนักงานอุตุนิยมวิทยาแห่งประเทศจีน รายงานว่าปัจจุบันนั้น มีการก่อสร้างสถานีตรวจวัดก๊าซเรือนกระจกที่มีความแม่นยำสูงรวม 117 แห่งแล้ว

จางซิ่งอิ๋ง เจ้าหน้าที่สำนักงานฯ เผยว่าจีนได้ส่งดาวเทียมที่สามารถเฝ้าติดตามคาร์บอนไดออกไซด์ในชั้นบรรยากาศโลก จำนวน 5 ดวง เพื่อเพิ่มความสามารถตรวจวัดก๊าซเรือนกระจกตั้งแต่ปี 2016 รวมถึงจัดตั้งเครือข่ายสังเกตการณ์ชั้นบรรยากาศอันประกอบด้วยสถานีระดับโลก 1 แห่ง และสถานีระดับภูมิภาค 6 แห่ง

นอกจากนั้นสำนักงานฯ เผยแพร่แถลงการณ์เกี่ยวกับก๊าซเรือนกระจกในงานแถลงข่าวเมื่อวันศุกร์ (1 ธ.ค.) ซึ่งระบุว่า การเพิ่มขึ้นของความเข้มข้นของคาร์บอนไดออกไซด์ในชั้นบรรยากาศโดยเฉลี่ยต่อปีในพื้นที่ดินของจีนในปี 2022 ต่ำกว่าการเพิ่มขึ้นโดยเฉลี่ยต่อปีในช่วงปี 2013-2022 อย่างมีนัยสำคัญ


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top