Tuesday, 10 June 2025
จีน

‘ออสเตรเลีย’ เดินหน้าประสานรอยร้าว-เคลียร์ใจทุกข้อขัดแย้ง ‘จีน’ งัดกลยุทธ ‘Kungfu Panda Diplomacy’ หวังพิชิตใจ ‘สี จิ้นผิง’

‘นายแอนโทนี แอลบานีส’ นายกรัฐมนตรีออสเตรเลีย ของัดทุกกลยุทธ ขุดทุก Soft Power ที่รู้จัก มาเพื่อทำภารกิจสานสัมพันธ์กับรัฐบาลจีนปักกิ่ง หลังจากที่ความสัมพันธ์ระหว่าง 2 ประเทศ ดำดิ่งสู่ระดับเลวร้ายมานานกว่า 7 ปี

เมื่อไม่นานนี้ นายแอนโทนี แอลบานีส ถือเป็นนายกรัฐมนตรีคนล่าสุด ที่มาเยือนจีนอย่างเป็นทางการ นับตั้งแต่ปี 2016 ในสมัยของ ‘นายแมลคัม เทิร์นบุลล์’ โดยมีเป้าหมายสำคัญในการฟื้นฟูความสัมพันธ์ทางการค้าระดับทวิภาคี ให้กลับมามีบรรยากาศที่ดีขึ้นอีกครั้ง และยังเป็นการมาเพื่อเคลียร์ใจในประเด็นที่เคยขัดแย้ง จนสร้างความเย็นชาต่อกันมานานหลายปี ส่งผลกระทบต่อธุรกิจส่งออกกุ้งล็อบสเตอร์ เนื้อวัว และไวน์ รวมถึงสินค้าอื่นๆ ของออสเตรเลียไปยังตลาดจีน

ซึ่งต้องยอมรับว่า จีนเป็นตลาดนำเข้าสินค้าออสเตรเลียรายใหญ่ที่สุดมานานหลายสิบปี นอกจากนี้ ยังมีนักศึกษาจีนนับแสนต่อปีที่เดินทางมาศึกษาต่อในออสเตรเลีย ซึ่งเคยทำสถิติสูงสุดในปี 2019 มากกว่า 1.6 แสนคน และถือเป็นสัดส่วนนักเรียนต่างชาติมากที่สุดของออสเตรเลียอีกด้วย

จนกระทั่งความสัมพันธ์ระหว่าง ‘จีน-ออสเตรเลีย’ เริ่มเลวร้ายลงตั้งแต่ปี 2017 เมื่อออสเตรเลียออกมากล่าวหาว่า จีนพยายามเข้ามาแทรกแซงการเมืองในประเทศ ตามมาด้วยการตัดสินใจดำเนินตามนโยบายของสหรัฐอเมริกา ในการแบนอุปกรณ์เทคโนโลยี 5G ของ ‘Huawei’ รวมถึงการออกมาเรียกร้องให้สอบสวนคดีต้นกำเนิดไวรัส Covid-19 โดยตั้งข้อสงสัยว่าอาจมาจากเมืองอู่ฮั่น

และล่าสุด ได้มีการร่วมลงนามในสนธิสัญญาความมั่นคงไตรภาคีระหว่างประเทศออสเตรเลีย สหราชอาณาจักร และสหรัฐอเมริกา (AUKUS) ที่มีเป้าหมายเพื่อต้านอิทธิพลของจีนในภูมิภาคอินโด-แปซิฟิก ที่ได้เติมเชื้อไฟในความบาดหมางระหว่างจีน และออสเตรเลียเรื่อยมาจนถึงวันนี้

โดยคิดเป็นมูลค่ามากกว่า 1.27 หมื่นล้านดอลลาร์ เมื่อรัฐบาลจีนคว่ำบาตรสินค้านำเข้าจากออสเตรเลีย และตั้งกำแพงภาษีเพิ่มขึ้นตั้งแต่ 116.2% – 218.4% รวมถึงการรณรงค์ไม่ให้นักศึกษาจีนเดินทางมาเรียนต่อในออสเตรเลีย จนยอดนักศึกษาจีนหล่นฮวบกว่า 5 หมื่นคนในปีการศึกษา 2022

ทำให้นายแอนโทนี แอลบานีส ผู้นำออสเตรเลียคนปัจจุบัน ต้องมาคิดทบทวน นโยบายที่แล้วมา และขอเดินหน้าฟื้นฟูความสัมพันธ์กับรัฐบาลจีนแผ่นดินใหญ่ ให้กลับมาอยู่ในระดับปกติอีกครั้ง ซึ่งการเยือนจีนในครั้งนี้ยังถือเป็นการฉลองครบรอบ 50 ปีที่ ‘โกห์ วิทแลม’ นายกรัฐมนตรีออสเตรเลียคนแรก เดินทางมาเยือนจีน ในปี 1973 

หลังจากที่ได้พบหน้ากับผู้นำจีนแล้ว นายแอนโทนี แอลบานีส ได้ออกมาให้สัมภาษณ์ผ่านสื่อว่า เป็นการพูดคุยด้วยบรรยากาศชื่นมื่น แถมยังมีการเล่นมุก หยอกล้อกันด้วยเรื่องความน่ารักของ ‘แพนด้า’ อีกด้วย

นายแอนโทนี เล่าว่า “สี จิ้นผิง เล่าถึงการไปเยือนนิวซีแลนด์เมื่อเร็วๆ นี้ และเอ่ยปากชมว่าไวน์ของที่นั่นรสชาติดีมาก ผมจึงเสริมทันทีว่า ถ้าพูดถึง ‘ไวน์แดง’ ของออสเตรเลียเหนือชั้นกว่ามาก จากนั้น สี จิ้นผิง ก็พูดถึงตัว ‘แทสเมเนียนเดวิล’ สัตว์พื้นถิ่นของออสเตรเลีย และชมว่ามันน่ารักดี ผมบอกเขาไปทันทีว่า น่ารักไม่เท่าแพนด้าของจีนหรอก ผู้นำจีนรีบตอบทันทีว่า แพนด้าก็ไม่ได้น่ารักทุกตัวหรอกนะ จากนั้นก็ได้หยิบตัวละครในแอนิเมชันดัง อย่าง ‘Kungfu Panda มาคุยกันต่อ” ซึ่งผู้นำออสเตรเลียค่อนข้างพอพึงใจในการเจอกัน ระหว่างเขาและผู้นำสี จิ้นผิง ที่เต็มไปด้วยบรรยากาศอบอุ่น

แต่ทว่า สื่อตะวันตกบางสำนักได้ออกวิพากษ์วิจารณ์ นายแอนโทนี แอลบานีส ว่าเป็นการให้สัมภาษณ์ผ่านสื่อที่ ‘แปลกประหลาดที่สุด’ ในบรรดาผู้นำออสเตรเลียที่ผ่านมา และแสดงออกอย่างชัดเจนถึงความละมุนละม่อมต่อรัฐบาลจีน จากที่เคยแสดงจุดยืนอย่างแข็งกร้าวมาโดยตลอด และตั้งคำถามว่าจะมีผลต่อนโยบายเกี่ยวกับจีนของรัฐบาลออสเตรเลียหรือไม่

ด้านนายแอนโทนี ตอบแบบกลางๆ ว่า ถึงระบบการเมืองของจีนจะแตกต่างจากออสเตรเลีย แต่มันไม่สำคัญเลยว่าใครจะสวมหมวกใบที่แตกต่างจากเรา เพราะพวกเราสามารถสร้างความสัมพันธ์ที่ดีร่วมกันได้ ถ้าหากเรารู้จักแสวงหาจุดร่วม และสงวนจุดต่าง

แต่ทั้งนี้ ผู้นำออสเตรเลียย้ำว่า ออสเตรเลียยังมีความสัมพันธ์ที่ดีกับสหรัฐอเมริกา และยังต้องการรักษาความสัมพันธ์ที่ดีกับจีนด้วยเช่นกัน เราไม่ต้องการเป็นกันชน คนกลางระหว่าง 2 มหาอำนาจทางเศรษฐกิจโลก ซึ่งการพูดคุยกับผู้นำจีนในวันนี้ ถือเป็นการต่อยอดจากการเจอหน้ากันครั้งแรก ในงานประชุมสุดยอดผู้นำ G-20 ซึ่งเป็นไปในทิศทางที่ดี

นับเป็นสัญญาณที่ดีในการฟื้นฟูความสัมพันธ์ระหว่างออสเตรเลียและจีน ที่มีความบาดหมาง และเย็นชาต่อกันมานานหลายปี อย่างน้อยก็ตราบเท่าที่นายแอนโทนี แอลบานีส ยังอยู่ในตำแหน่ง ถึงไม่อาจจะรับประกันได้ว่าผู้นำออสเตรเลียคนต่อไป จะมีนโยบายต่อจีนที่ต่างออกไปหรือไม่ แต่สำหรับ ‘แพนด้า’ นับเป็นสัญลักษณ์ทูตสันถวไมตรี ที่ใช้เป็นสื่อกลางของชาวจีนได้ดีเสมอ

'ฉางอัน ออโต' วางศิลาฤกษ์ 'โรงงานผลิต EV' ในไทย มองไกล!! ทุ่ม 2 หมื่นล้าน จ่อผลิต 2 แสนคันต่อปี

(9 พ.ย.66) สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า ฉางอัน ออโต (Changan Auto) ผู้ผลิตยานยนต์ชั้นนำของจีน ได้จัดพิธีวางศิลาฤกษ์โรงงานผลิตยานยนต์แห่งแรกของบริษัทในไทย ซึ่งนับเป็นก้าวสำคัญของการขยับขยายธุรกิจในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

โดยโรงงานแห่งใหม่นี้ครอบคลุมพื้นที่ราว 1,520 ไร่ ตั้งอยู่ที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ในจังหวัดระยอง ประกอบด้วยหน่วยทาสี ประกอบชิ้นส่วน ประกอบเครื่องยนต์ และประกอบแบตเตอรี่ รวมถึงสิ่งอำนวยความสะดวกสนับสนุนอันจำเป็น

รายงานระบุว่าการดำเนินงานระยะแรกมีกำหนดเริ่มต้นช่วงต้นปี 2025 โดยการออกแบบเบื้องต้นกำหนดกำลังการผลิตสูงแตะ 1 แสนคันต่อปี ส่วนการดำเนินงานระยะที่ 2 จะมีการลงทุนรวมสูงถึง 2 หมื่นล้านบาท ทำให้กำลังการผลิตสูงแตะ 2 แสนคันต่อปี

อนึ่ง ไทยเป็นฐานการผลิตยานยนต์แห่งสำคัญของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มาเนิ่นนาน เนื่องจากมีข้อได้เปรียบด้านห่วงโซ่อุตสาหกรรมและที่ตั้งทางภูมิศาสตร์

การลงทุนของฉางอันในไทยสอดคล้องกับเป้าหมายของรัฐบาลไทยที่มุ่งเพิ่มสัดส่วนการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าให้สูงแตะร้อยละ 30 ของการผลิตยานยนต์ทั้งหมดภายในปี 2030 และจะครอบคลุมทั่วตลาดอาเซียน รวมถึงตลาดยานยนต์พวงมาลัยขวาทั่วโลก

ด้านนายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนของไทย กล่าวว่าการลงทุนของฉางอันสะท้อนศักยภาพและความพร้อมของไทยในการเป็นศูนย์กลางการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าระดับภูมิภาคและระดับโลก

หวังฮุย รองประธานของฉางอัน ออโตโมบิล เผยว่าฉางอันมุ่งมีบทบาทเชิงรุกในการขับเคลื่อนการเปลี่ยนผ่านสู่อุตสาหกรรมยานยนต์อันเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมที่ยั่งยืนยิ่งขึ้น ขณะไทยเร่งปรับตัวสู่การใช้ยานยนต์ไฟฟ้าอย่างรวดเร็ว

การเข้าสู่ไทยของฉางอันไม่เพียงเสนอหลักประกันตามเป้าหมายจัดวางให้ไทยเป็นศูนย์กลางยานยนต์ไฟฟ้าระดับภูมิภาคของฉางอัน แต่ยังมีบทบาทสำคัญต่อการส่งเสริมการบูรณาการเชิงลึกของกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์พลังงานใหม่ในจีนและไทย

ทั้งนี้ นอกเหนือจากฉางอันแล้ว กลุ่มผู้ผลิตยานยนต์ของจีน เช่น เกรตวอลล์ (Great Wall) และบีวายดี (BYD) ได้ก่อสร้างโรงงานและเปิดตัวยานยนต์ไฟฟ้ารุ่นต่างๆ ในไทยเช่นกัน ด้านข้อมูลจากสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ระบุว่าแบรนด์จีนครองสัดส่วนกว่าร้อยละ 70 ของยอดจำหน่ายยานยนต์ไฟฟ้าในไทยในช่วงครึ่งแรก (มกราคม-มิถุนายน) ของปีนี้

‘3 แพนด้ายักษ์’ ในสวนสัตว์สหรัฐฯ กลับจีน หลังสิ้นสุดสัญญา 23 ปี ท่ามกลางความสัมพันธ์ทางการทูตที่ตึงเครียดของทั้งสองในขณะนี้

‘สวนสัตว์แห่งชาติสมิธโซเนียน’ (Smithsonian National Zoo) สหรัฐฯ ในกรุงวอชิงตันดีซี ส่งแพนด้ายักษ์ 3 ‘พ่อ-แม่-ลูก’ เดินทางกลับจีนแล้ว หลังสัญญา 23 ปีสิ้นสุด ท่ามกลางความสัมพันธ์ทางการทูตที่ตึงเครียดของจีนกับสหรัฐฯ

(10 พ.ย. 66) เอบีซีนิวส์ของสหรัฐฯ รายงานว่า เมื่อวันที่ 8 พ.ย. 66 ‘แพนด้าเหมย เซียง’ (Mei Xiang) ‘แพนด้าเทียน เทียน’ (Tian Tian) และ ‘แพนด้าเซียว ฉี จี’ (Xiao Qi Ji) แพนด้า 3 พ่อ-แม่-ลูก ถูกส่งตัวกลับจีนแล้ว โดยทั้ง 3 ตัว ถูกนำใส่ลังที่ทำจากเหล็ก ซึ่งภายในใส่ใบไผ่ แอปเปิล และลูกแพร์จำนวนมาก เพื่อเป็นเสบียงอาหารระหว่างเดินทางไกล 19 ชม. ไปยังเมืองเฉิงตูของจีน

โดยแพนด้ายักษ์ทั้ง 3 ตัว ได้เดินทางด้วยเครื่องบินขนส่งสินค้าโบอิ้ง 777 เอฟ ที่มีชื่อว่า ‘เฟดเอ็กซ์ แพนด้า เอ็กซ์เพรส’ (FedEx Panda Express) ออกเดินทางจากสนามบินนานาชาติแดลลัส ของสหรัฐอเมริกา พร้อมผู้ดูแลอีก 3 คน เพื่อเดินทางไปยังเขตป่าสงวนในมณฑลเสฉวนของจีน ซึ่งปัจจุบันยังคงมีแพนด้ายักษ์ อาศัยอยู่ในป่าตามธรรมชาติของจีนประมาณ 1,800 ตัว

ทั้งนี้ ‘เหมย เซียง’ วัย 25 ปี และ ‘เทียน เทียน’ วัย 26 ปี ถูกนำมาที่สวนสัตว์แห่งชาติสหรัฐฯ เมื่อปี 2543 และให้กำเนิดลูกแพนด้ายักษ์ 3 ตัว ระหว่างช่วงปี 2548-2558 โดยล่าสุด คือ เซียว ฉี จี ที่เกิดเมื่อ 3 ปีที่แล้ว ทำให้ เหมย เซียงกลายเป็นแพนด้ายักษ์ที่อายุมากที่สุดที่ให้กำเนิดลูกได้ในสหรัฐฯ

เอบีซี เผยอีกว่า แพนด้ายักษ์ทั้ง 3 ตัวนี้ มีแฟนคลับมากมาย ซึ่งมียอดเข้าชมเว็บไซต์ของสวนสัตว์มากกว่า 100 ล้านครั้ง และบรรยากาศแห่งการจากลาเป็นไปด้วยความเศร้า เพราะเจ้าแพนด้า 3 ตัวที่เป็นดาราประจำสวนสัตว์มาโดยตลอด ไม่สามารถโผล่ออกมากล่าวคำอำลากับเด็กๆ พ่อแม่และแฟนๆ ที่ต้องการกล่าวลาเป็นครั้งสุดท้าย

สำหรับการส่งแพนด้ากลับจีนครั้งนี้ มีขึ้นหลังสัญญาโครงการให้ยืมแพนด้ายักษ์ ที่ทางการจีนทำไว้กับสวนสัตว์ดังกล่าวหมดอายุลง และการเดินทางกลับของแพนด้าเกิดขึ้นไม่นานก่อนที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ‘โจ ไบเดน’ จะพบกับประธานาธิบดีจีน ‘สี จิ้นผิง’ ที่เมืองซานฟรานซิสโก ระหว่างการประชุม APEC ท่ามกลางความตึงเครียดของทั้ง 2 ชาติ

และจากสถานการณ์ความสัมพันธ์ของ 2 ประเทศที่ตึงเครียดขึ้น จึงยังไม่มีวี่แววว่าจะมีการเจรจาเพิ่มเติม โดยผู้อำนวยการสวนสัตว์ แบรนดี สมิท (Brandie Smith) ไม่ยอมตอบตรงคำถามว่ามีความพยายามใดๆ จากสวนสัตว์แห่งชาติสมิธโซเนียนในการต่อสัญญายืมตัวแพนด้าดังกล่าว

นั่นเท่ากับว่า ตอนนี้จะมีแพนด้าจากจีนหลงเหลืออยู่บนแผ่นดินสหรัฐฯ อีกแค่ 2 ตัว เป็นแพนด้าแฝด ชื่อ ‘หยา หลุน’ กับ ‘ซี หลุน’ อยู่ที่สวนสัตว์เมืองแอตแลนตา รัฐจอร์เจีย แต่ก็มีกำหนดจะต้องส่งคืนจีนช่วงต้นปีหน้าเช่นกัน 

ถือเป็นครั้งแรกในรอบ 50 ปี ที่สหรัฐฯ จะไม่มีทูตสันถวไมตรีอย่างแพนด้าอีกต่อไป และนั่นก็หมายความว่า จะเหลือแพนด้าอีกเพียงตัวเดียวในทวีปอเมริกาเหนือ คือ ที่สวนสัตว์ในกรุงเม็กซิโก ซิตี เท่านั้นด้วย

เปิดพิกัด ‘ค่ายรถ EV จีน’ ในพื้นที่ EEC แต่ละเจ้าลงทุนเท่าไรและพื้นที่ใดกันบ้าง? 🚕⚡️

🔰หลังจากที่ คณะกรรมการนโยบายยานยนต์ไฟฟ้าแห่งชาติ หรือ ‘บอร์ดอีวี’ ซึ่งมี นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี เป็นประธาน ได้ให้ความสำคัญในการผลักดันให้ไทยเป็นฮับการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าในภูมิภาค รวมทั้งออกมาตรการ EV 3.5 โดยภาครัฐจะให้เงินอุดหนุนรถยนต์ไฟฟ้า รถกระบะไฟฟ้า และรถจักรยานยนต์ไฟฟ้า ตามประเภทของรถ และขนาดของแบตเตอรี่ โดยมูลค่าเงินอุดหนุนขั้นต่ำสุดอยู่ที่ 20,000 บาทต่อคัน และมูลค่าเงินอุดหนุนสูงสุดอยู่ที่ 100,000 บาทต่อคัน รวมถึงการลดภาษีสรรพสามิตรถยนต์ไฟฟ้าราคาไม่เกิน 7 ล้านบาท จาก 8% เหลือ 2%

ในส่วนของโครงการลงทุนผลิตยานยนต์ไฟฟ้า ในพื้นที่อีอีซี มีกี่โครงการ และเป็นบริษัทใดบ้าง รวมทั้งจะมีค่ายรถยนต์ที่จะเข้ามาลงทุนในอีอีซี ในระยะต่อไปนั้นมีใครกันบ้าง? ไปดูกันเลย!!

🚕⚡️เกรท วอลล์ มอเตอร์ (Great Wall Motor) ลงทุน 22,600 ล้านบาท เพื่อปรับโรงงานเป็นศูนย์ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าและรถไฮบริดของภูมิภาค โดยจะเริ่มผลิตรถยนต์ไฟฟ้ารุ่น Ora Good Cat ในปี2567 และจะนำบริษัทในเครืออย่าง MIND Electronics, HYCET และ Nobo Auto ที่เป็นผู้ผลิตอุปกรณ์ไฟฟ้า ระบบส่งกำลังรถยนต์ และเบาะที่นั่ง เข้ามาลงทุนในไทยอีกด้วย

🚕⚡️SAIC Motor (Shanghai Automotive Industry Corporation) รัฐวิสาหกิจจากจีน เจ้าของบริษัทผลิตรถยนต์ MG Motor ซึ่งเปิดตัวรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นแรกในไทยไปเมื่อปี 2562 จะลงทุนเพิ่ม 500 ล้านบาทเพื่อขยายโรงงานผลิตชิ้นส่วนรถยนต์ไฟฟ้าและแบตเตอรี่รถยนต์ในประเทศไทย โดยมีแผนจะเริ่มผลิตรถยนต์ไฟฟ้าในไทยกลางปี 2567

🚕⚡️BYD ได้ลงทุน 17,900 ล้านบาท เพื่อตั้งโรงงานแห่งใหม่ในไทย กำลังการผลิต 150,000 คันต่อปี โดยกลางปี 2567 จะเริ่มผลิตรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทย และในอนาคตจะใช้ไทยเป็นฐานในการส่งออกรถยนต์ไฟฟ้าพวงมาลัยขวาไปยังประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และยุโรป

🚕⚡️Changan Automobile ผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้ายักษ์ใหญ่ ที่ถือหุ้นโดยรัฐวิสาหกิจของจีน มีแผนลงทุนเฟสแรกมูลค่ากว่า 8,800 ล้านบาท เพื่อจัดตั้งฐานการผลิตรถยนต์พวงมาลัยขวาทั้งประเภท BEV, PHEV, REEV กำลังการผลิตในระยะแรก 1 แสนคันต่อปี

🚕⚡️Horizon Plus ซึ่งเป็นการร่วมทุนระหว่าง Foxconn Technology Group จากไต้หวัน และบริษัทอรุณพลัส จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทลูกของ ปตท. ลงทุนกว่า 36,000 ล้านบาท คาดว่าจะสามารถเริ่มผลิตได้ในปี 2568

นอกจากนี้ ยังมีบริษัทจากจีนอีกหลายรายบริษัทที่มีแผนจะเข้ามาลงทุนในอีอีซี และได้เริ่มศึกษาถึงการลงทุนอย่างจริงจัง ได้แก่ บริษัท GAC Aion ที่เป็นบริษัทลูกของบริษัทผลิตรถยนต์ Guangzhou Automobile Group กำลังวางแผนลงทุนกว่า 6,400 ล้านบาท เพื่อผลิตรถยนต์ไฟฟ้าในอีอีซี, บริษัท Chery Automobile และบริษัท Geely ยักษ์ใหญ่ในอุตสาหกรรมรถยนต์ของจีน ก็แสดงความสนใจลงทุนในไทย และวางแผนเข้ามาทำตลาดในไทยภายในต้นปี 2567

Website : www.eeco.or.th
Facebook : โครงการเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก – EEC
YouTube : EEC WE CAN

'สถานทูตจีน' ไม่พอใจสื่อไทยบางแห่ง  เสนอปมปลุกปั่นแยกไต้หวันเป็นอิสระ

เมื่อวานนี้ (11 พ.ย.66) เฟซบุ๊ก 'Chinese Embassy Bangkok สถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีนประจำประเทศไทย' ได้โพสต์ข้อความแถลงการณ์แสดงความไม่พอใจ ที่สื่อสำนักหนึ่งของไทยได้ออกอากาศรายการสัมภาษณ์ 'อู๋เจาเซี่ย' ที่ได้ให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับการแยกตัวเป็นอิสระของไต้หวัน ระบุว่า

เมื่อเร็วๆ นี้ มีสื่อไทยสื่อหนึ่งได้ออกอากาศรายการสัมภาษณ์ อู๋เจาเซี่ย คนที่คิดจะแบ่งแยกไต้หวันออกจากประเทศจีน อู๋ได้ปลุกปั่นคำพูดที่เหลวไหลเกี่ยวกับ 'การแยกตัวเป็นอิสระของไต้หวัน' ในการให้สัมภาษณ์ และโจมตีข้อเสนอที่รวมประเทศเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันอย่างสันติของประเทศจีนอย่างร้ายแรง คำพูดที่ไร้สาระอย่างนี้ไม่คุ้มค่าที่จะหักล้าง ส่วนสื่อนี้ได้เสนอเวทีที่เผยแพร่คำพูดที่เหลวไหลให้แก่คนที่คิดจะแบ่งแยกไต้หวันออกจากประเทศจีน ซึ่งทำลายผลประโยชน์ของประเทศจีน และทำร้ายความรู้สึกของประชาชนจีน ฝ่ายจีนต้องแสดงความไม่พอใจต่อการกระทำอย่างนี้อย่างรุนแรง

ไต้หวันเป็นดินแดนส่วนหนึ่งที่แบ่งแยกไม่ได้ของจีน ซึ่งเป็นข้อเท็จจริงที่ได้รับการยอมรับของทั่วโลก การกระทำที่ช่วยคนชั่วก่อกรรมทำเข็ญในเรื่องที่เกี่ยวกับบูรณภาพแห่งดินแดนและการต่อต้านการแบ่งแยกดินแดนของจีน ไม่ว่าเป็นการกระทำใดๆ ก็ตาม ล้วนตรงกันข้ามกับมิตรภาพระหว่างประชาชนของจีนและไทย การกระทำที่ทำร้ายประเทศอื่นๆ และประชาชนของประเทศอื่นๆ โดยใช้เสรีภาพของสื่อเป็นข้ออ้าง ไม่ว่าเป็นการกระทำใดๆ ก็ตาม ล้วนเป็นการใช้เสรีภาพของสื่ออย่างพร่ำเพรื่อ

เราหวังว่าสื่อที่เกี่ยวข้องเคารพบูรณภาพแห่งดินแดนและอธิปไตยของจีน แก้ไขการกระทำที่ผิดพลาด และไม่ให้เรื่องที่ทำร้ายความรู้สึกของประชาชนจีนเกิดขึ้นอีก

‘จีน’ เปิดตัว 'รถเมล์ผู้สูงวัย' จำนวน 6 สาย ชูจุดเด่น!! ออกแบบพิเศษให้ตอบโจทย์ใช้งานจริง

เมื่อไม่นานนี้ สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า นครเฉิงตู มณฑลเสฉวน ทางตะวันตกเฉียงใต้ของจีน เปิดตัวรถบัสประจำทางที่เหมาะสำหรับให้บริการผู้สูงวัย จำนวน 6 สาย เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ผู้สูงอายุที่เดินทางด้วยรถประจำทาง

รถบัสเหล่านี้ได้รับการออกแบบมาเป็นพิเศษเพื่อให้ตอบโจทย์การใช้งาน อาทิ พื้นรถถูกปรับลดระดับความสูงลง การใช้งานได้แบบไร้สิ่งกีดขวาง อุปกรณ์สำหรับยึดรถเข็น เบาะพนักพิงที่นุ่มยิ่งขึ้น ตลอดจนมือจับที่มีข้อความน่ารักๆ อย่าง ‘ห่วงใยผู้สูงวัย สังคมแห่งน้ำใจ’ นอกจากนี้ คนขับรถและพนักงานบนรถบัสก็ยังได้รับการฝึกฝนมาเป็นพิเศษเรื่องการบริการและดูแลผู้สูงวัยด้วยเช่นกัน

‘ยานพาหนะไร้คนขับ’ ตัวช่วยส่งพัสดุด่วน-หนุนชอปออนไลน์โต รุกคืบเข้าไทย ‘KMITL’ เริ่มใช้ให้บริการอาจารย์-นักศึกษาแล้ว

(13 พ.ย. 66) สำนักข่าวซินหัวรายงานเมื่อวันที่ 12 พ.ย. ที่ผ่านมาว่า หลังเทศกาลชอปปิง 11.11 (Double Eleven) ซึ่งเป็นมหกรรมลดราคาสินค้าออนไลน์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกสิ้นสุดลง ช่วงเวลาที่คึกคักที่สุดสำหรับการขนส่งพัสดุด่วนก็หวนกลับมาอีกครั้ง ในครั้งนี้ ผู้บริโภคชาวจีนเริ่มพบเห็นยานพาหนะขนส่งพัสดุไร้คนขับที่มีเทคโนโลยีขั้นสูงเข้ามามีบทบาทในชีวิต สร้างความตื่นตาตื่นใจไม่น้อย

ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายนเป็นต้นมา เมืองหยางเฉวียน มณฑลซานซีทางตอนเหนือของจีน ซึ่งเปิดให้มีการขับขี่อัตโนมัติทั่วทุกพื้นที่ มีการใช้รถขนส่งพัสดุด่วนไร้คนขับ 12 คันขนส่งพัสดุให้ผู้บริโภค โดยปริมาณการขนส่งสูงถึงเกือบ 10,000 รายการต่อวัน

เฝิงไห่ปิน เจ้าหน้าที่ไปรษณีย์จีนกล่าวว่ารถขนส่งเหล่านี้ช่วยลดเวลาการทำงานของเขาลงได้ 1 ชั่วโมง แถมช่วยให้ขนส่งพัสดุด่วนได้มากกว่าร้อยละ 30

ยานพาหนะเหล่านี้ใช้เทคโนโลยีการขับขี่อัตโนมัติระดับ 4 (L4) มีขนาดตัวรถใกล้เคียงกับสมาร์ต (Smart) แบรนด์รถยนต์ไฟฟ้าในเครือเมอร์เซเดส-เบนซ์ (Mercedes-Benz) ทำงานด้วยความเร็ว 15 กิโลเมตรต่อชั่วโมง รับน้ำหนักได้ 600 กิโลกรัม และสามารถขนส่งพัสดุได้สูงสุดเกือบ 800 ชิ้นต่อวัน

นอกจากนี้ยังติดตั้งเทคโนโลยีไลดาร์ (lidar) 2 ตัว พร้อมกล้อง 11 ตัว ทำให้ตรวจจับไฟจราจร ยานพาหนะ คนเดินเท้า ฯลฯ ภายในระยะ 120 เมตรได้ นอกจากนี้ยังมีการติดตั้งชิปสมรรถนะประมวลผล 254 TOPS หรือประมวลผลเทระต่อวินาที (tera operations per second) จึงสามารถปรับแผนการเดินทางให้เข้ากับสถานการณ์บนท้องถนน แต่หากเผชิญเหตุฉุกเฉินเร่งด่วน เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยที่ประจำการอยู่ก็ยังสามารถควบคุมยานพาหนะฯ จากระยะไกลได้แบบเรียลไทม์ผ่านสัญญาณ 5G

รายงานระบุว่าตลาดขนส่งพัสดุของจีนมีขนาดใหญ่มาก โดยในปี 2022 ปริมาณการขนส่งด่วนของจีนพุ่งทะลุ 1.1 แสนล้านชิ้น ครองอันดับหนึ่งของโลก 9 ปีติดต่อกัน และการใช้งานยานพาหนะไร้คนขับได้ช่วยปรับปรุงประสิทธิภาพการให้บริการอย่างเห็นได้ชัด ทั้งยังช่วยขยายโอกาสทางการตลาด

ไชน่า อินเตอร์เนชันนัล แคปิตัล คอร์ปอเรชัน (CICC) คาดการณ์ว่าตลาดการขนส่งด้วยเทคโนโลยีการขับขี่อัตโนมัติของจีนจะสูงถึง 1.7 แสนล้านหยวน (ราว 8.51 แสนล้านบาท) นอกจากนี้ ในเมืองต่าง ๆ อาทิ ปักกิ่ง เซินเจิ้น และเหอเฝยต่างกำลังพัฒนาเทคโนโลยียานพาหนะไร้คนขับอย่างแข็งขันเช่นกัน
ไม่เพียงเท่านั้น ยานพาหนะไร้คนขับของจีนได้ออกเดินทางสู่ทั่วโลกแล้ว หนึ่งในนั้นคือที่สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง (KMITL) ซึ่งตั้งอยู่ในกรุงเทพฯ ซึ่งได้มีการใช้งานยานพาหนะไร้คนขับเพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่คณาจารย์และคณะนักศึกษา สามารถส่งของกินเล่นมาถึงที่แบบไม่ต้องเดินไปไหนไกล

คมสัน มาลีสี คณบดี คณะวิศวกรรมศาสตร์ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าฯ กล่าวว่ายานพาหนะคันนี้ไม่เพียงแค่ช่วยให้นักศึกษาและบุคลากรของสถาบันฯ มีช่องทางจับจ่ายซื้อสินค้าได้สะดวกสบายขึ้นเท่านั้น แต่ยังแสดงให้เห็นถึงบทบาทสำคัญของเทคโนโลยีในการพัฒนาชีวิตนักเรียนและบุคลากรในรั้วมหาวิทยาลัย อีกทั้งระบบนำทางอัจฉริยะและระบบรักษาความปลอดภัยของรถ ช่วยให้ความมั่นใจในการใช้งาน 

จ้าวซินสุย รองประธานของนีโอลิกซ์ (Neolix) ผู้ผลิตยานยนต์ขับเคลื่อนอัตโนมัติ กล่าวว่าปัจจุบันผลิตภัณฑ์ของบริษัทฯ ถูกส่งออกไปยัง 12 ประเทศในเอเชีย ยุโรป และถูกใช้งานครอบคลุมทั้งในโรงเรียน ชุมชน โรงพยาบาล และสถานประกอบการ โดยบริษัทฯ คาดการณ์ว่าภายในปี 2025 จะมียานพาหนะไร้คนขับเช่นนี้เข้าสู่ไทยมากกว่า 50 คัน และเข้าสู่กลุ่มประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้กว่า 100 คัน

ผลสัมฤทธิ์จากการพัฒนาเทคโนโลยี ตลอดจนห่วงโซ่อุตสาหกรรมที่ครบวงจรอย่างการสื่อสาร 5G การผลิตยานยนต์ และอุตสาหกรรมคอมพิวเตอร์ ช่วยให้ต้นทุนการผลิตยานพาหนะขนส่งไร้คนขับของจีนยังคงลดลงอย่างต่อเนื่อง โดยรายงานระบุว่านับตั้งแต่ยานพาหนะไร้คนขับรุ่นแรกออกจากสายผลิตเมื่อปี 2018 ความเร็วออกแบบสูงสุดของรถเหล่านี้ได้เพิ่มขึ้นจาก 5 กิโลเมตรเป็น 60 กิโลเมตรต่อชั่วโมง จำนวนเรดาร์ลดลงจาก 5 ตัวเป็น 2 ตัว และต้นทุนรวมของยานพาหนะลดลงมากกว่าร้อยละ 50

จ้าวทิ้งท้ายว่าโมเดลการทำงานร่วมกันระหว่างมนุษย์และเครื่องจักรจะกลายเป็นแนวโน้มที่จะเกิดขึ้นกับการเปลี่ยนผ่านของอุตสาหกรรมโลจิสติกส์ ซึ่งจะช่วยลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพแก่ผู้ประกอบการ พร้อมย้ำว่าบริษัทฯ จะเพิ่มประสิทธิภาพของผลิตภัณฑ์อย่างรอบด้านต่อไป

‘ผอ.โรงพยาบาลในจีน’ ขายสูติบัตรปลอมให้แก๊งลักเด็ก เจอสาวประวัติ ‘เปิดอุ้มบุญผิด กม. - ส่อเอี่ยวค้ามนุษย์’

เมื่อไม่นานมานี้ สำนักข่าวโกลบอลไทมส์รายงานว่า ตำรวจเมืองเซี่ยงหยาง มณฑลหูเป่ย ของจีนรวบตัวแพทย์หญิงผู้อำนวยการโรงพยาบาลเจี้ยนเฉียว หลังจากพบหลักฐานขายสำเนาสูติบัตรปลอมสำหรับใช้ในการจดทะเบียนบ้านให้เด็กซึ่งถูกลักพาตัว เพื่อฟอกตัวตนของเด็กไม่ให้พ่อแม่ที่แท้จริงตามหาลูกเจอ

แพทย์หญิงแซ่เย่ ลอบขายสำเนาสูติบัตรพร้อมบันทึกการฉีดวัคซีนรวม 5 ชุดในปีนี้ รับทรัพย์เข้ากระเป๋ากว่า 6 หมื่นหยวน (ราว 3 แสนบาท) ต่อหนึ่งชุด เย่กับพวกอีก 6 คนถูกตำรวจควบคุมตัวเพื่อสอบปากคำเพิ่มเติม โดยตำรวจพบเครือข่ายเชื่อมโยงอีกมากมาย และอาจเป็นการสมรู้ร่วมคิดกับแก๊งค้ามนุษย์ 

นายซ่างกวน เจิ้งอี้ว์ นักต่อต้านการค้ามนุษย์ชื่อดังเปิดเผยกับสื่อสังคมออนไลน์เมื่อสัปดาห์ก่อนว่า เขาแอบสืบความไม่ชอบมาพากลอยู่นานหนึ่งปี โดยเขาแกล้งแต่งข้อมูลเกี่ยวกับทารกขึ้นมาชุดหนึ่งเพื่อล่อซื้อสูติบัตรและเอกสารอื่น ๆ จนสำเร็จด้วยเงิน 9 หมื่น 6 พันหยวน (ราว 4 แสน 8 หมื่นบาท) เอกสารมีข้อมูลจัดเตรียมให้พร้อมสรรพ เช่น การตรวจครรภ์ก่อนคลอด การพักในโรงพยาบาล การคลอดบุตร และวันเวลาในการฉีดวัคซีน ซึ่งจะช่วยให้กระบวนการรับเป็นบุตรเสร็จเรียบร้อยภายใน 7 วัน มีอยู่คราวหนึ่ง เย่ยังอ้างด้วยว่า โรงพยาบาลของเธอมีบริการอุ้มบุญ ซึ่งเป็นเรื่องผิดกฎหมายบนแดนมังกร

นายซ่างกวนให้สัมภาษณ์ต่อมาอีกว่า โรงพยาบาลแห่งนี้กับนายหน้าค้ามนุษย์ยังได้ขายทารก 2 คน ซึ่งถูกพ่อแม่ทอดทิ้งให้มณฑลเสฉวนและกว่างตงในราคา 1 แสน 1 หมื่นหยวน (ราว 5 แสน 5 หมื่นบาท) และ 1 แสน 6 หมื่นหยวน (ราว 8 แสนบาท) ตามลำดับ นอกจากนั้น ยังพบโรงพยาบาลบางแห่งในเมืองหนันหนิง เขตปกครองตนเองกว่างซีจ้วงต้องสงสัยขายสูติบัตรเช่นกัน และนายหน้ายังเคลื่อนไหวอยู่ในโซเชียลมีเดีย โดยเขาได้มอบหลักฐานให้ตำรวจสืบสวนต่อไปแล้ว

จากการเปิดเผยของแหล่งข่าวใกล้ชิด สมัยเป็นแพทย์แผนกนรีเวชวิทยาและสูติศาสตร์ที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่งเมื่อปี 2553 เย่ได้ทดสอบเพศของทารกให้หญิงตั้งครรภ์ 2 คนอย่างผิดกฎหมาย และทำแท้งให้ จนถึงถูกตัดสินจำคุก 5 เดือน และปรับ 1 หมื่นหยวน

ขณะที่ทนายความชี้ พฤติกรรมของเย่เข้าข่ายการซื้อและขายเอกสารและใบรับรองของหน่วยงานรัฐ เป็นความผิดอาญา อาจมีโทษจำคุกสูงสุด 10 ปี ซึ่งขึ้นอยู่กับความรุนแรงของสถานการณ์ แต่ถ้าขายให้โดยที่รู้ว่าเด็กคนนั้นถูกลักพาตัวมาก็เข้าข่ายสมรู้ร่วมคิดกับขบวนการค้ามนุษย์ ซึ่งความผิดฐานค้าเด็กมีโทษจำคุกตั้งแต่ 5 ปีขึ้นไป และอาจถึงขั้นประหารชีวิต

จากรายงานของสื่อมวลชน เย่เป็นรองประธานสมาคมผู้ประกอบการสตรีในเมืองเซี่ยงหยาง และเปิดบริษัทดำเนินธุรกิจเกี่ยวการทารกและการมีบุตรอยู่หลายแห่ง อีกทั้งยังได้รับมอบตำแหน่ง ‘ผู้มุ่งมั่นที่สวยที่สุด’ ซึ่งเป็นตำแหน่งกิตติมศักดิ์ของสมาพันธ์สตรีในเซี่ยงหยาง แต่ตอนนี้ถูกถอดไปเรียบร้อยแล้ว

‘จีน’ ผุดมาตรการ ‘กระตุ้นการท่องเที่ยว’ ภายในประเทศ ชู ‘ของดีท้องถิ่น’ หลากหลาย สร้างประสบการณ์ใหม่ไม่รู้ลืม

เมื่อวานนี้ (13 พ.ย.66) สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า กระทรวงวัฒนธรรมและการท่องเที่ยวของจีน ออกแผนการกระตุ้นการท่องเที่ยวภายในประเทศ โดยมุ่งนำเสนอผลิตภัณฑ์การท่องเที่ยวที่หลากหลายยิ่งขึ้น

แผนการระบุว่า ควรมีการเปิดตัวโครงการท่องเที่ยวใหม่ๆ ที่เหมาะสำหรับนักเรียนนักศึกษาและผู้สูงอายุ รวมถึงจัดการท่องเที่ยวน้ำแข็ง-หิมะ การท่องเที่ยวทางทะเล การล่องเรือ การผจญภัย การชมดาว และการเดินชมเมืองมากยิ่งขึ้น

นอกจากนั้น แผนการข้างต้นมุ่งปรับปรุงประสบการณ์การบริโภคระหว่างการท่องเที่ยว ให้บริการสาธารณะที่ดีขึ้น จัดทัวร์พิพิธภัณฑ์เสมือนจริง และเสริมสร้างข้อบังคับของตลาด

อนึ่ง จีนรายงานปริมาณการเดินทางท่องเที่ยวภายในประเทศกว่า 2.38 พันล้านครั้ง ช่วงครึ่งแรกของปี 2023 (มกราคม-มิถุนายน) ซึ่งสร้างรายได้จากการท่องเที่ยว 2.3 ล้านล้านหยวน (ราว 11.36 ล้านล้านบาท)

จับตา!! ‘โจ ไบเดน’ พบ ‘สี จิ้นผิง’ สะท้อนสงคราม ‘ชิป’ ผ่อนคลาย ส่อดันหุ้นกลุ่มเทคฯ-EV พุ่ง ลุ้น!! ท่าทีตอบสนองตลาดทุนจีน

เปิด 3 ประเด็นที่ต้องจับตาในการเจอกันของ ‘โจ ไบเดน - สี จิ้นผิง’ คือ ท่าทีที่ผ่อนคลายขึ้นเรื่องสงครามชิป อาจดันตลาดหุ้นกลุ่มเทคฯ พุ่ง ขณะที่การหารือเพื่อบรรลุข้อตกลงเรื่องความเป็นกลางทางคาร์บอน อาจผลเชิงบวกต่อหุ้นกลุ่มรถยนต์ไฟฟ้า ส่วนหากมีมุมมองที่ดีต่อการลงทุนภาคเอกชน-ฟื้นฟูความเชื่อมั่นทางธุรกิจ อาจทำให้ตลาดเงิน-ตลาดทุนจีนตอบสนองเชิงบวก

(14 พ.ย. 66) สำนักข่าวบลูมเบิร์ก (Bloomberg) รายงานว่า นักลงทุนหวังว่าการพบกันตามแผนระหว่างประธานาธิบดี ‘โจ ไบเดน’ (Joe Biden) และ ‘สี จิ้นผิง’ (Xi Jinping) ของจีนจะเป็นสัญญาณการกระชับความสัมพันธ์ และเพิ่มความเชื่อมั่นต่อสินทรัพย์ของเอเชียที่ปรับตัวลงอย่างร้อนแรง

โดยบทวิเคราะห์ของสำนักข่าวบลูมเบิร์ก ประเมินว่า การประชุมในวันพุธที่ซานฟรานซิสโกจะเป็นช่วงเวลาสําคัญในการเยือนสหรัฐครั้งแรกของประธานาธิปสีนับตั้งแต่ปี 2017 ซึ่งเป็นช่วงที่เขาได้พบกับประธานาธิบดี ‘โดนัลด์ ทรัมป์’ (Donald Trump) และยังเป็นการสนทนาครั้งแรกของทั้งสองในรอบหนึ่งปี ซึ่งส่วนใหญ่ก็อาจจะยังคงเป็นประเด็นเรื่องภาษีที่ทรัมป์เรียกเก็บจากสินค้าจีนหลายชนิดและการปิดกั้นการเข้าถึงเทคโนโลยีขั้นสูง

ทั้งนี้ การผ่อนคลายความตึงเครียดระหว่างสองมหาอํานาจอาจเป็นจุดเปลี่ยนเพื่อล่อนักลงทุนให้กลับมาที่จีน โดยนักลงทุนตราสารทุนและนักลงทุนอัตราแลกเปลี่ยนสกุลเงินกําลังจับตาดูอย่างใกล้ชิดเนื่องจากหุ้นของประเทศกําลังฟื้นตัวจากวิกฤตอสังหาริมทรัพย์และการอพยพออกของกองทุนทั่วโลก ท่ามกลางเงินหยวนที่ร่วงลงสู่ระดับต่ำสุดในรอบ 16 ปีเมื่อเทียบกับดอลลาร์

“สัญญาณเรื่องความสัมพันธ์ทวิภาคีที่ดีมากขึ้น หรือแม้แต่การพยายามกระชับความสัมพันธ์เล็กน้อย อาจช่วยเพิ่มความเชื่อมั่นในการลงทุนชั่วคราว” เสี่ยว เจียจือ (Xiaojia Zhi) หัวหน้าฝ่ายวิจัยของ Credit Agricole CIB กล่าว

ขณะที่แหล่งข่าววงในของบลูมเบิร์ก เปิดเผยว่า เมื่อไม่นานมานี้ทั้งสองประเทศพยายามเพื่อบรรเทาความตึงเครียด ซึ่งไบเดนและสีเตรียมประกาศข้อตกลงที่จะเห็นรัฐบาลจีนปราบปรามการผลิตและส่งออกเฟนทานิล (Fentanyl) ซึ่งใช้ในการผลิตสารสังเคราะห์ซึ่งมีอันตรายถึงตาย

นอกจากนี้ รัฐบาลจีนอาจเปิดเผยคํามั่นสัญญาเพื่อซื้อเครื่องบินโบอิ้ง 737 (Boeing’s 737) ระหว่างการประชุมสุดยอดเอเปค (APEC) ตามรายงานของบลูมเบิร์ก และจีนซึ่งเป็นผู้นําเข้าถั่วเหลืองอันดับต้น ๆ เพิ่งจะซื้อสินค้าจากสหรัฐมากกว่า 3 ล้านตันเมื่อสัปดาห์ที่แล้วด้วยท่าทีปรารถนาดีก่อนการเจรจาในวันพุธ

ดังนั้น ในการเจอกันที่จะถึงนี้มีประเด็นทางเศรษฐกิจที่ต้องจับตา ดังนี้

1.) เทคโนโลยี
จีนซึ่งเป็นตลาดเซมิคอนดักเตอร์ที่ใหญ่ที่สุดในโลกกําลังต่อสู้กับการคว่ำบาตรของสหรัฐที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาคเทคโนโลยี ดังนั้นสัญญาณของการกระชับความสัมพันธ์และระงับข้อพิพาทอาจช่วยหนุนความเชื่อมั่นของนักลงทุนสําหรับบริษัทต่างๆ ตั้งแต่ Apple Inc. Chip Bellwethers Taiwan Semiconductor Manufacturing Co., Samsung Electronics Co. และ Nvidia Corp.

2.) พลังงานสะอาด
การเน้นเป้าหมาย ‘สีเขียว’ อาจจุดประกายทำให้หุ้นที่เชื่อมโยงกับรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ขยับตัวสูงขึ้น เช่น ผู้ผลิตแบตเตอรี่ชั้นนํา Contemporary Amperex Technology Co. และผู้ผลิตอุปกรณ์พลังงานแสงอาทิตย์ LONGi Green Energy Technology Co.

3.) ตลาดแลกเปลี่ยนเงินตรา
นักลงทุนส่วนหนึ่งอยู่ในช่วงพิจารณาว่าความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศจะมีโมเมนตัมแบบใดนอกเหนือจากการประชุมสุดยอดผู้นำจี 20 ไม่ว่าจะมีขั้นตอนในการผ่อนคลายกฎระเบียบส่งเสริมการลงทุนภาคเอกชนและฟื้นฟูความเชื่อมั่นทางธุรกิจ เพราะหากมีการผ่อนคลายกฎระเบียบเหล่านั้นอาจทำให้เงินหยวนหยุดการอ่อนค่าลงได้และตลาดหุ้นก็จะมีแง่มุมเชิงบวกด้วย


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top