Sunday, 15 June 2025
WORLD

'ทรัมป์' เล็งเพิ่มขุดเจาะน้ำมัน-ก๊าซธรรมชาติ หนุนส่งออกพลังงาน ไม่แคร์สิ่งแวดล้อม

(11 ธ.ค.67) โดนัลด์ ทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ เตรียมกรุยทางให้บริษัทและนักลงทุนขนาดใหญ่สามารถขุดเจาะน้ำมันในสหรัฐฯ และส่งออกก๊าซธรรมชาติได้ โดยประกาศว่าจะเร่งอนุมัติการผ่อนปรนนโยบายด้านสิ่งแวดล้อมสำหรับผู้ที่ลงทุนเกิน 1,000 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ 33,730 ล้านบาท) ในประเทศ

ทรัมป์ได้โพสต์ข้อความลงบนแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียผ่าน Truth Social โดยระบุว่าจะเร่งอนุมัติใบอนุญาตให้แก่บุคคลหรือนิติบุคคลที่ลงทุนในสหรัฐฯ จำนวน 1,000 ล้านดอลลาร์หรือมากกว่า รวมถึงการอนุมัติด้านสิ่งแวดล้อมที่จำเป็น

"บุคคลหรือบริษัทที่ลงทุน 1,000 ล้านดอลลาร์หรือมากกว่านั้นในสหรัฐฯ จะได้รับการอนุมัติใบอนุญาตอย่างเร่งด่วนเต็มรูปแบบ รวมถึงการอนุมัติด้านสิ่งแวดล้อมที่จำเป็น ซึ่งโดยปกติแล้วต้องใช้เวลานาน เตรียมตัวให้พร้อม!!!"

แหล่งข่าวใกล้ชิดกล่าวกับรอยเตอร์ว่า ทรัมป์ต้องการผลักดันการอนุมัติการส่งออกก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) และเพิ่มการขุดเจาะน้ำมันทั้งในดินแดนและนอกชายฝั่งสหรัฐฯ เพื่อผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจโดยเฉพาะการส่งออกพลังงาน

แม้ว่าจะยังไม่ชัดเจนว่าทรัมป์จะดำเนินการอย่างไรเพื่อให้ผ่านการอนุมัติจากคณะกรรมการอิสระ เช่น คณะกรรมการกำกับกิจกรรมพลังงานส่วนกลาง (FERC) ที่ต้องการทบทวนด้านสิ่งแวดล้อมในโครงการก๊าซ LNG

นอกจากนี้ ทรัมป์และพรรครีพับลิกันยังมีแผนที่จะเพิกถอนข้อจำกัดและกฎหมายสำคัญด้านสิ่งแวดล้อมบางประการของประธานาธิบดีโจ ไบเดน เช่น เครดิตภาษีรถยนต์ไฟฟ้า และมาตรฐานโรงไฟฟ้าพลังงานสะอาดที่มุ่งยกเลิกการใช้ถ่านหินและก๊าซธรรมชาติ

อดีตรมว.กลาโหมเกาหลีใต้ พยายามปลิดชีพในคุก หนีความผิดอัยการศึก เคราะห์ดีผู้คุมเห็นห้ามทันควัน

(11 ธ.ค. 67) คิม ยองฮยอน อดีตรัฐมนตรีกลาโหมเกาหลีใต้ ซึ่งขณะนี้ถูกจับกุมหลังจากความพยายามที่จะประกาศกฎอัยการศึกในประเทศเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ได้พยายามฆ่าตัวตายในระหว่างถูกควบคุมตัวที่ศูนย์กักกัน ตามการเปิดเผยของชิน ยงแฮ หัวหน้าของศูนย์กักกันที่คิมถูกคุมขังอยู่

"เมื่อวานนี้ เวลาประมาณ 23:52 น. ตามเวลาท้องถิ่น  เจ้าหน้าที่เฝ้าระวังรายงานว่า [คิม] พยายามฆ่าตัวตายในห้องน้ำของห้องขังเพื่อรอการพิจารณาคดี แต่ไม่ได้รับอันตรายความพยายามดังกล่าวแต่อย่างใด" ยอนฮับอ้างคำพูดของชินที่กล่าวต่อรัฐสภาเกาหลีใต้

เจ้าหน้าที่ของศูนย์กักกันได้เข้าช่วยเหลือทันทีและหยุดยั้งความพยายามของอดีตนายกรัฐมนตรีกลาโหม โดยเจ้าหน้าที่เรือนจำกล่าวเพิ่มเติมว่า ขณะนายคิมอยู่ภายใต้การคุ้มครองอย่างเข้มงวด ขณะที่นายคิมไม่ได้รับบาดเจ็บจากความพยายามดังกล่าว

โสมใต้สั่งตำรวจ-ทหารระดับสูง ห้ามเดินทางนอกประเทศ ปมพัวพันอัยการศึก

สำนักงานสอบสวนแห่งชาติ (NOI) ของเกาหลีใต้เปิดเผยเมื่อวันที่ 10 ธันวาคมว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจและทหารระดับสูง 5 นาย รวมถึงผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ถูกสั่งห้ามเดินทางออกนอกประเทศ ท่ามกลางการสืบสวนกรณีประกาศกฎอัยการศึกของประธานาธิบดียุน ซุกยอล  

ทีมสืบสวนพิเศษของ NOI ระบุว่า บุคคลที่ถูกห้ามเดินทางออกนอกประเทศ ได้แก่ โจ จีโฮ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ, คิม บงซิก ผู้บัญชาการตำรวจนครหลวงกรุงโซล และมก ฮยอนแท หัวหน้ากองกำลังตำรวจประจำรัฐสภา  

คำสั่งดังกล่าวถูกกระทรวงยุติธรรมบังคับใช้เมื่อเวลา 20.00 น. ของวันที่ 9 ธันวาคม ตามเวลาท้องถิ่น โดยทั้งสามคนถูกกล่าวหาว่ามีส่วนเกี่ยวข้องในการควบคุมการเข้าสู่รัฐสภาระหว่างการบังคับใช้กฎอัยการศึกเมื่อวันที่ 3 ธันวาคม  

นอกจากนี้ ลี จินวู ผู้บัญชาการกองกำลังป้องกันเมืองหลวง และควัก จองกึน อดีตผู้บัญชาการกองกำลังปฏิบัติการพิเศษกองทัพบก ก็ถูกสั่งห้ามเดินทางออกนอกประเทศด้วย เนื่องจากมีส่วนเกี่ยวข้องกับการสืบสวนในคดีนี้เช่นกัน

ทั้งนี้ นอกเหนือจากเจ้าหน้าที่ระดับสูงในแวดวงตำรวจและทหารแล้ว ก่อนหน้านั้นทางการเกาหลีใต้ได้มีคำสั่งห้ามประธานาธิบดียุนซอกยอลเดินทางออกนอกประเทศเช่นกัน

‘TikTok’ ร้อง!! ศาลสหรัฐ ให้ระงับการแบนแอป จนกว่า ‘โดนัลด์ ทรัมป์’ จะขึ้นเป็นประธานาธิบดี

(10 ธ.ค. 67) Tiktok ยื่นคำร้องเมื่อวันจันทร์ว่า ศาลอุทธรณ์สหรัฐเขตโคลัมเบียควรออกคำสั่งห้ามนับถอยหลังวันครบกำหนดขายหุ้นหรือแบนแพลตฟอร์ม (ซึ่งมีระยะเวลาให้ทำตามข้อกำหนดน้อยกว่า 6 สัปดาห์) เพื่อให้ศาลฎีกาสามารถพิจารณาคำเรียกร้องของบริษัทที่อ้างว่า การเรียกร้องของรัฐบาลสหรัฐละเมิดสิทธิในเสรีภาพของการพูดและสิทธิตามรัฐธรรมนูญอื่น ๆ

ติ๊กต็อกและไบท์แดนซ์ ระบุในคำร้องที่ยื่นต่อศาลว่า “การสั่งห้ามเป็นเรื่องที่เหมาะสมอย่างยิ่ง เพราะจะช่วยให้รัฐบาลชุดใหม่มีเวลาพิจารณาจุดยืนของตนเอง ซึ่งอาจช่วยให้เกิดการหารือถึงอันตรายที่อาจเกิดขึ้นและความจำเป็นในการพิจารณาของศาลฎีกา”

นิกเกอิเอเชีย ระบุว่า ติ๊กต็อกสามารถยื่นคำร้องต่อศาลฎีกาเพื่อพิจารณาคำตัดสินของศาลแขวง แต่ต้องมีเสียงจากผู้พิพากษา 4 ใน 9 ที่ตกลงจะพิจารณาคดีนี้ จึงจะได้รับการพิจารณาต่อไป

ติ๊กต็อกได้ขอให้ศาลอุทธรณ์ตัดสินคำร้องสั่งห้ามนับถอยหลังกำหนดขายหุ้น ภายในวันที่ 16 ธ.ค. นี้ ขณะที่กระทรวงยุติธรรมขอให้ศาลปฏิเสธคำร้องของบริษัทโดยไม่ต้องมีการพิจารณาคดีเพิ่มเติม

การยื่นคำร้องขอสั่งห้ามของติ๊กต็อกมีขึ้นหลังจากศาลตัดสินเมื่อวันศุกร์ (6 ธ.ค.) ยกฟ้องการท้าทายทางกฎหมายของติ๊กต็อกต่อ พระราชบัญญัติคุ้มครองชาวอเมริกันจากแอปพลิเคชันที่ควบคุมโดยปรปักษ์ต่างชาติ (Protecting Americans from Foreign Adversary Controlled Applications Act.)

คำสั่งของศาลที่ออกมาเมื่อวันที่ 6 ธ.ค. ผู้พิพากษา 3 คน บอกว่า การสั่งให้ขายหุ้นหรือแบนแอพลิเคชัน ไม่ได้ปิดกั้นเสรีภาพในการพูด และไม่ได้ละเมิดการคุ้มครองด้านความเท่าเทียม

อนึ่ง วันครบกำหนดให้ไบท์แดนซ์ขายติ๊กต็อกคือวันที่ 19 ม.ค. ซึ่งเป็นเส้นตายที่มีขึ้นก่อนวันว่าที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์จะเข้ารับตำแหน่งอย่างเป็นทางการในวันที่ 20 ม.ค.

แม้ทรัมป์เป็นผู้อยู่เบื้องหลังของการแบนติ๊กต็อก แต่เขาได้เปลี่ยนจุดยืนในระหว่างหาเสียงเลือกตั้ง โดยบอกว่าตนไม่เห็นด้วยกับความเคลื่อนไหว (การแบนติ๊กต็อก) ดังกล่าว ซึ่งการสนับสนุนของเขามีขึ้นหลังจากได้พบกับมหาเศรษฐีเจฟฟ์ แยส ที่เป็นผู้ลงทุนรายแรกในไบท์แดนซ์ และเป็นหนึ่งในผู้บริจาคเงินทางการเมืองรายใหญ่สุดของการหาเสียงของทรัมป์

ทั้งนี้ ติ๊กต็อกอาจต้องสูญรายได้มากกว่า 1 พันล้านดอลลาร์ และบรรดาครีเอเตอร์อาจสูญเสียรายได้รวมกันเกือบ 300 ล้านดอลลาร์ภายในเวลาเพียง 1 เดือน ถ้าไม่ยุติการแบนแอปฯ

ติ๊กต็อกเผยเมื่อวันจันทร์ว่า แพลตฟอร์มมีผู้ใช้งานชาวอเมริกันมากถึง 170 ล้านคน และว่าการโฆษณา การตลาด และการเข้าถึงแบบออร์แกนิกบนแอปฯนั้น สร้างเม็ดเงินให้กับผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ของสหรัฐ 24,200 ล้านดอลลาร์ในปี 2566 ในขณะที่การดำเนินงานของบริษัทเองก็มีส่วนหนุนจีดีพีสหรัฐอีก 8,500 ล้านดอลลาร์

‘เกาหลีใต้’ เตรียม!! ถอนการลงทุน ‘โรงงานอีวี’ ในสหรัฐอเมริกา จากนโยบาย ยกเลิกเครดิตภาษียานยนต์ไฟฟ้า ของ ‘โดนัลด์ ทรัมป์’

(10 ธ.ค. 67) บริษัทสัญชาติเกาหลีใต้อยู่ในช่วงพิจารณาแผนลงทุนเพื่อสร้างโรงงานแบตเตอรี่ยานยนต์ไฟฟ้าในสหรัฐ มูลค่า 5.4 พันล้านดอลลาร์ (ประมาณ 1.89 แสนล้านบาท) อีกครั้ง เนื่องจากกังวลว่า โดนัลด์ ทรัมป์ อาจยกเลิกเครดิตภาษียานยนต์ไฟฟ้า

มากไปกว่านั้น แหล่งข่าววงในของบลูมเบิร์ก เผยว่า บริษัทเกาหลีบางแห่งได้ชะลอหรือหยุดการก่อสร้างโรงงานบางแห่งเนื่องจากกังวลเกี่ยวกับความต้องการยานยนต์ไฟฟ้าที่ลดลงรวมทั้งท่าทีด้านภาษีของทรัมป์ โดย Posco Future M ผู้ผลิตแคโทดให้กับ General Motors Co. ระบุในเอกสารเมื่อเดือนก.ย.ว่าอยู่ในช่วงเลื่อนการก่อสร้างโรงงานในนครควิเบก ประเทศแคนาดาออกไปเนื่องจาก ‘เหตุผลภายในท้องถิ่น’

เคนนี คิม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (ซีอีโอ) ของ SNE Research บริษัทวิจัยในกรุงโซลที่มุ่งเน้นไปที่บริษัทผลิตแบตเตอรี่เกาหลี กล่าวว่า แม้บริษัทจำนวนหนึ่งยังไม่ได้ดำเนินการใดๆ แต่ผู้ประกอบการจากเกาหลีใต้จำนวนมากเริ่มกังวล "อย่างมาก" ว่าทรัมป์จะปรับลดเงินอุดหนุนสำหรับตลาดยานยนต์ไฟฟ้าลง

ก่อนหน้านี้ทรัมป์วิพากษ์วิจารณ์ความพยายามของประธานาธิบดีโจ ไบเดนเรื่องการอุดหนุนยานยนต์ไฟฟ้าผ่านพระราชบัญญัติพลังงานที่ชื่อว่า ‘Inflation Reduction Act’ มาโดยตลอด โดยรัฐบาลใหม่ของทรัมป์มีแผนลดข้อกำหนดในการประหยัดเชื้อเพลิง และตามรายงานของรอยเตอร์สเมื่อเดือนที่แล้ว คณะบริหารอาจจะยกเลิกเครดิตภาษีผู้บริโภครายละ 7,500 ดอลลาร์

บทวิเคราะห์ของบลูมเบิร์ก เผยว่า การยกเลิกเงินอุดหนุน เครดิตภาษี และแรงจูงใจอื่นๆ จำนวนหลายร้อยพันล้านดอลลาร์มีผลเชิงลบต่อการจ้างงานในสหรัฐหลายหมื่นตำแหน่ง และทำลายความพยายามในการเปลี่ยนห่วงโซ่อุปทานยานยนต์ไฟฟ้าให้ห่างออกจากจีน นอกจากนี้ยังอาจกระทบรายได้ของบริษัทเกาหลีซึ่งเป็นพันธมิตรสำคัญของสหรัฐ จากความพยายามลดการพึ่งพาผู้ผลิตจากจีนท่ามกลางช่วงเวลาที่พวกเขากำลังประสบกับความต้องการยานยนต์ไฟฟ้าที่อ่อนตัว และราคาแบตเตอรี่ที่ลดลง

"เราติดตามทุกคำพูดจากทรัมป์เกี่ยวกับยานยนต์ไฟฟ้า" บยองฮุน คิม ซีอีโอของ Ecopro Materials Co. ผู้จัดหาวัตถุดิบสำหรับแบตเตอรี่ยานยนต์ไฟฟ้าของ Ford Motor Co. และ General Motors Co. กล่าว

"เราถือว่า Inflation Reduction Act เป็นประเด็นสำคัญมาตลอด" คิม กล่าว พร้อมเสริมว่า "หากมีการเปลี่ยนแปลงนโยบาย เราอาจต้องปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ของเราด้วย"

เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว รัฐบาลไบเดนเสนอเงิน 7.5 พันล้านดอลลาร์ เพื่อช่วยในการร่วมทุนระหว่าง Samsung SDI Co. และ Stellantis NV ในการสร้างโรงงานผลิตเซลล์ในรัฐอินเดียนา อย่างไรก็ตาม คณะทำงานเพื่อการเปลี่ยนผ่านของทรัมป์รีบตั้งคำถามกับข้อเสนอนี้ วิเวค รามาสวามี หนึ่งในสองรายนามที่ได้รับการเสนอชื่อเป็นประธานร่วมของกระทรวงประสิทธิภาพของรัฐบาล (D.O.G.E) กล่าวในโพสต์บน X ว่าคณะกรรมการฯ จะตรวจสอบการช่วยเหลือของคณะทำงานของไบเดนอย่างละเอียด

บทวิเคราะห์ของบลูมเบิร์ก เผยว่า หลังจาก Inflation Reduction Act มีผลบังคับใช้ในปี 2022 ทางการสหรัฐต่างประกาศอย่างโจ่งแจ้งต่อโรงงานในเกาหลีกว่า 50% ว่าจะมีการสร้างงานมากกว่า 20,000 ตำแหน่งบริเวณ Battery Belt’ ของสหรัฐซึ่งครอบคลุมพื้นที่จากมลรัฐมิชิแกน โอไฮโอ เคนทักกี ไปจนถึงจอร์เจีย

เกาหลีใต้ได้มีส่วนในการสร้างงาน และการลงทุนในพื้นที่ Rust Belt พัคแท ซอง รองประธานสมาคมอุตสาหกรรมแบตเตอรี่เกาหลี กล่าว พร้อมกล่าวเสริมว่าการมีผู้ผลิตแบตเตอรี่จากเกาหลีจะเป็นประโยชน์ต่อสหรัฐในการแข่งขันกับห่วงโซ่อุปทานที่จีนครองตลาดยานยนต์ไฟฟ้า และกลุ่มของเขาอยู่ในช่วงเจรจากับเจ้าหน้าที่สหรัฐเพื่อเจรจาล็อบบี้เพื่อรักษานโยบายจูงใจด้านยานยนต์ไฟฟ้าไว้

ศูนย์วิจัย Reshoring Initiative เปิดเผยว่า แบตเตอรี่ยานยนต์ไฟฟ้าคิดเป็นประมาณครึ่งหนึ่งของการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ และการย้ายฐานการผลิตกลับมาในสหรัฐ ระหว่างปี 2021 จนถึงไตรมาสแรกของปี 2024 นอกจากนี้ ข้อมูลแสดงให้เห็นว่าการลงทุนโดยตรง และการย้ายฐานการผลิตของเกาหลีในสหรัฐสร้างงานในอเมริกาเหนือ ได้ 20,360 ตำแหน่งในปี 2023 มากกว่าประเทศอื่นใดๆ

ดังนั้นการตัดเครดิตภาษีของทรัมป์จะกระทบกับบริษัทแบตเตอรี่ของเกาหลีอย่างหนัก ในช่วงที่บริษัทเหล่านี้กำลังประสบกับความต้องการยานยนต์ไฟฟ้าที่อ่อนตัวลง ราคาลิเทียม ซึ่งเป็นแร่สำคัญที่เชื่อมโยงกับราคาขายของแบตเตอรี่ยานยนต์ไฟฟ้า ดิ่งลงเกือบ 90% จากจุดสูงสุดในปี 2022 เนื่องจากปริมาณการนำไปใช้ในรถไฟฟ้าน้อย และช้ากว่าคาดการณ์ของนักวิเคราะห์

LG Energy Solution พันธมิตรสำคัญของ GM ได้บันทึกเครดิต Inflation Reduction Act ประมาณ 1 ล้านล้านวอน (773 ล้านดอลลาร์) ในบัญชีของตัวเองในปีนี้ แต่นักวิเคราะห์คาดว่าจะขาดทุนสุทธิในปีงบประมาณ 2023 ด้าน SK On พันธมิตรของ Ford ได้รับเครดิตภาษีจากสหรัฐประมาณ 2.11 แสนล้านวอนในสามไตรมาสแรก แต่ยังคงเผชิญกับสภาวะขาดทุน

บริษัทสัญชาติเกาหลียังกังวลว่าทรัมป์อาจอนุญาตให้บริษัทแบตเตอรี่ของจีนเข้าสู่สหรัฐโดยรอยเตอร์สรายงานเมื่อเดือนที่แล้วว่า Contemporary Amperex Technology Co. Ltd หรือ CATL ของจีนจะพิจารณาสร้างโรงงานในสหรัฐหากทรัมป์เปิดประตู

ทั้งนี้ ที่ผ่านมา Inflation Reduction Act ของไบเดนปิดกั้นการลงทุนจากจีนมาจนถึงปัจจุบัน โดยขอให้ผู้ผลิตรถยนต์ค่อยๆ ลดการจัดหาแร่ธาตุสำคัญสำหรับแบตเตอรี่จาก ‘Foreign Entities of Concern’ หรือ FEOC ซึ่งหมายความถึงบริษัทต่างชาติที่ดำเนินกิจการแล้วอาจกระทบความมั่นคงของสหรัฐ ซึ่งประกอบด้วย จีน รัสเซีย และเกาหลีเหนือ

ด้าน ปาร์ค ชุลวาน ศาสตราจารย์ภาควิชาวิศวกรรมยานยนต์ มหาวิทยาลัยซอจอง กล่าวว่า "การเข้ามาของจีนในสหรัฐจะเป็นหายนะสำหรับเกาหลี" และ "บริษัทแบตเตอรี่ของจีนจะเสนอราคาที่ต่ำกว่ามาก"

อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์บางส่วนมีความหวังว่าทรัมป์จะไม่ตัดเครดิตสำหรับผู้ผลิตแบตเตอรี่ เนื่องจากโรงงานส่วนใหญ่ตั้งอยู่ในรัฐที่บริหารโดยพรรครีพับลิกัน

คิตาเอะ คิม ซีอีโอของ SungEel Recycling Park Indiana โรงรีไซเคิลแบตเตอรี่ที่อยู่ระหว่างการก่อสร้างในเมือง ไวท์สทาวน์ รัฐอินเดียน่า กล่าวว่า  "ผมคิดว่ามีความเป็นไปได้น้อยมากที่ [ทรัมป์] จะลดสิทธิประโยชน์จาก Inflation Refuction Act"

ทั้งนี้ หุ้นของ LG Energy ปรับตัวขึ้น 0.3% ในวันจันทร์ ขณะที่หุ้นของ Samsung SDI ร่วงลง 2.8%

ด้าน แพท วิลสัน คณะกรรมการพัฒนาเศรษฐกิจของรัฐจอร์เจีย ซึ่งเป็นที่ตั้งของโรงงาน SK On สามแห่ง กล่าวในอีเมลถึงบลูมเบิร์ก นิวส์ ว่าจอร์เจียจะช่วยให้บริษัทเกาหลี "สามารถเข้าถึงผู้บริโภคทั่วประเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด"

"ตลาดสหรัฐยังคงเป็นตลาดผู้บริโภคที่สำคัญที่สุดในโลก" เขากล่าว พร้อมเสริมว่า "บริษัทเกาหลีรู้เรื่องนี้มาก่อนยุคของรัฐบาลไบเดน และข้อเท็จจริงนี้จะไม่เปลี่ยนแปลงแม้มีรัฐบาลใหม่"

ฟรีวีซ่าดึงดูดต่างชาตินิยมเที่ยวโซนปักกิ่ง-เซี่ยงไฮ้ สนามบินปักกิ่งทุบสถิติรับนทท.ทะลุ 1 ล้านคน

(9 ธ.ค. 67) ซินหัวรายงานว่า สถานที่ท่องเที่ยวสำคัญหลายแห่งในกรุงปักกิ่งทางตอนเหนือและนครเซี่ยงไฮ้ทางตะวันออกของจีน คร่าคร่ำไปด้วยนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติจากเกาหลีใต้ สเปน โปแลนด์ ไทย ฮังการี สหราชอาณาจักร ญี่ปุ่น และเยอรมนี  

สืบเนื่องจากขยายนโยบายฟรีวีซ่าเป็นหมุดหมายสำคัญในการก้าวเดินสู่การเปิดกว้างยิ่งขึ้นของจีนและแสดงความเชื่อมั่นของจีนบนเวทีโลก โดยปัจจุบันมี 38 ประเทศ ที่สามารถเดินทางเข้าจีนแบบฟรีวีซ่า และนักเดินทางสามารถพำนักได้นานสูงสุด 30 วัน เมื่อนับถึงวันที่ 30 พ.ย. 2024

สื่อจีนระบุว่า จำนวนชาวต่างชาติที่เดินทางเข้าสู่จีนในไตรมาสสาม (กรกฎาคม-กันยายน) ของปี 2024 สูงถึง 8.18 ล้านคน เพิ่มขึ้นร้อยละ 48.8 เมื่อเทียบปีต่อปี โดยส่วนหนึ่งเดินทางเข้าสู่จีนแบบฟรีวีซ่า 4.88 ล้านคน เพิ่มขึ้นร้อยละ 78.6 เมื่อเทียบปีต่อปี

รายงานดังกล่าวสอดคล้องกับ ข้อมูลจากท่าอากาศยานนานาชาติปักกิ่ง ต้าซิง ที่เผยว่าจำนวนนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่ผ่านด่านตรวจคนเข้าเมืองในปีนี้ทะลุ 1 ล้านคน สร้างสถิติใหม่ด้านจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติรายปีที่เข้า-ออกสนามบิน

จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติข้างต้นได้รับการยืนยันเมื่อ6 ธ.ค. ที่ผ่านมา โดยถือเป็นสถิติครั้งใหม่หลังมีการปรับใช้ชุดนโยบายเพื่ออำนวยความสะดวกให้ชาวต่างชาติในการเข้าประเทศจีน อันรวมถึงการเพิ่มจำนวนประเทศที่ไม่ต้องขอวีซ่าเข้าจีน ซึ่งดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกให้มาเยือนจีน

สนามบินปักกิ่ง ต้าซิง ยังขยายเครือข่ายเที่ยวบินระหว่างประเทศอย่างต่อเนื่อง ปัจจุบันมีบริการเที่ยวบินสู่จุดหมายปลายทางระหว่างประเทศและจุดหมายปลายทางระดับภูมิภาครวม 43 แห่ง ครอบคลุม 25 ประเทศและภูมิภาค ทั่วยุโรป เอเชีย และตะวันออกกลาง

ช่วงฤดูหนาว-ฤดูใบไม้ผลินี้สนามบินปักกิ่ง ต้าซิงมีแผนเปิดเส้นทางบินใหม่ๆ ไปยังหลายเมือง เช่น ซิดนีย์ เมลเบิร์น เวียงจันทน์ และคาซาบลังกา (โมร็อกโก) นอกจากนี้ยังมีแผนเปิดเที่ยวบินสู่แอฟริกาและอเมริกาเหนือ ตลอดจนเพิ่มความถี่ของเที่ยวบินที่บินไปตะวันออกกลางและรัสเซีย เพื่อเพิ่มทางเลือกเที่ยวบินระหว่างประเทศแก่ผู้โดยสาร

สนามบินแห่งนี้ยังเป็นหนึ่งในท่าด่านจำนวน 9 แห่ง ที่ได้รับการอนุมัติจากสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองแห่งชาติ ให้ชาวต่างชาติสามารถแวะพักเครื่องระหว่างทาง (direct transit) ได้ตลอด 24 ชั่วโมงโดยไม่ต้องผ่านขั้นตอนการตรวจคนเข้าเมือง

โดนัลด์ ทรัมป์ ออกน้ำหอม 2 กลิ่น ต้อนรับคริสต์มาส ราคาต่อขวดเกือบหมื่นบาท

(9 ธ.ค. 67) หลังจากได้รับชัยชนะในการเลือกตั้ง ว่าที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ จะกลับเข้าสู่ทำเนียบขาวในเดือนมกราคม 2025 เขาได้ประกาศเปิดตัวน้ำหอม 2 กลิ่นได้แก่ "Fight Fight Fight" และ "Victory" ผ่านแพลตฟอร์ม Truth Social 

โดยทรัมป์ระบุผ่านแพลตฟอร์มของตนเองว่า "นี่คือน้ำหอมและโคโลญจน์ใหม่ในไลน์ของทรัมป์ ผมตั้งชื่อมันว่า Fight Fight Fight ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของชัยชนะของเรา มันเป็นของขวัญวันคริสต์มาสที่เหมาะสำหรับสมาชิกในครอบครัว สุขสันต์วันคริสต์มาสและสุขสันต์วันปีใหม่

ขวดน้ำหอมทั้งสองมีคำว่า "Fight" ในตัวอักษรหนาและตัวใหญ่ เพื่อเน้นย้ำถึงธีมของความแข็งแกร่งและชัยชนะของทรัมป์ โดยสื่อยังรายงานอีกว่า กลิ่น Fight Fight Fight มีโน้ตที่เข้มข้นและกระจายออกมาแสดงถึงความสามารถในการฟื้นตัวจากอุปสรรคต่างๆ  สนนราคาขายอยู่ระหว่าง $199 ถึง $298 หรือประมาณ 7,000 ถึง 10,430 บาท 

โดยไม่กี่วันหลังจากเปิดตัว รายงานระบุว่ามีบรรดาแฟนคลับของทรัมป์แห่ซื้อน้ำหอมดังกล่าวผ่านแพลตฟอร์มอย่างถล่มทลาย บางรายทำคลิปรีวิวโดยบอกว่า นี่เป็นกลิ่นที่ดีที่สุดเท่าที่เคยใช้มา ขณะที่บางรายบอกว่านี่คือกลิ่นของอิสรภาพและชัยชนะ

โดนัลด์ ทรัมป์ มักใช้แพลตฟอร์ม Truth Social ลงโฆษณาขายสินค้าภายใต้แบรนด์ดิ้งของตนเองอยู่เสมอ โดยก่อนหน้านี้เขาเคยโฆษณานาฬิการุ่น Trump Watches” ซึ่งมีราคาสูงถึง 100,000 ดอลลาร์มาแล้ว

โดนัลด์ ทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐ กล่าวหลังกลุ่มกบฏยึดเมืองหลวงซีเรียเเละโค้นรัฐบาลอัล - อัสซาด ได้สำเร็จ

(9 ธ.ค. 67) นายโดนัลด์ ทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ แสดงความคิดเห็นผ่านสื่อสังคมออนไลน์เมื่อวันเสาร์ ขณะเข้าร่วมพิธีเปิดมหาวิหารนอเทรอดามในกรุงปารีสว่า “นี่ไม่ใช่การสู้รบของสหรัฐ” พร้อมระบุว่าประธานาธิบดีบาชาร์ อัล-อัสซาดของซีเรีย ไม่สมควรได้รับการสนับสนุนให้ดำรงตำแหน่งต่อไป  

ปัจจุบัน สหรัฐมีกำลังทหารราว 900 นายประจำการในซีเรีย ส่วนใหญ่ทำงานร่วมกับพันธมิตรชาวเคิร์ดในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เพื่อป้องกันการฟื้นตัวของกลุ่มรัฐอิสลาม (ไอเอส)  

การแสดงจุดยืนนี้เกิดขึ้นหลังจากกลุ่มกบฏในซีเรียเปิดปฏิบัติการโจมตีอย่างรวดเร็วเมื่อวันที่ 27 พฤศจิกายน โดยให้เหตุผลว่าจำเป็นต้องตอบโต้ก่อน เนื่องจากกองทัพอากาศซีเรียและรัสเซียเพิ่มการโจมตีพลเรือนในจังหวัดอิดลิบ ฐานที่มั่นของฝ่ายต่อต้าน  

สงครามกลางเมืองในซีเรียดำเนินมานานกว่า 13 ปี โดยเริ่มจากการลุกฮืออย่างสันติของประชาชนเมื่อปี 2554 เพื่อต่อต้านการปกครองของตระกูลอัล-อัสซาด ความขัดแย้งนี้ทำให้ประชาชนหลายล้านคนเสียชีวิตและต้องอพยพหนีภัยไปยังต่างประเทศ

ครองแชมป์ชื่อเด็กชายยอดนิยมในอังกฤษ แซงหน้าชื่อสไตล์ผู้ดี ‘อเมเลีย-โอลิเวอร์’

(9 ธ.ค. 67) สำนักงานสถิติแห่งชาติสหราชอาณาจักร (ONS) เปิดเผยเมื่อวันที่ 6 ธันวาคม 2024 ว่า ‘มูฮัมหมัด’ (Muhammed) กลายเป็นชื่อที่พ่อแม่ชาวอังกฤษและเวลส์นิยมตั้งให้เด็กผู้ชายแรกเกิดมากที่สุดในปี 2023 โดยมีเด็กชายชื่อมูฮัมหมัดถึง 4,661 คน เพิ่มขึ้นจากปี 2022 ที่มี 4,177 คน ส่งผลให้ชื่อดังกล่าวครองอันดับ 1 ของชื่อเด็กผู้ชายยอดนิยม แซงหน้า โนอาห์ (Noah) และ โอลิเวอร์ (Oliver) ซึ่งอยู่ในอันดับที่ 2 และ 3 ตามลำดับ  

สำหรับเด็กผู้หญิง ชื่อ โอลิเวีย (Olivia) ยังคงครองอันดับ 1 ติดต่อกันเป็นปีที่ 8 ตามมาด้วย อเมเลีย (Amelia) และ ไอยลา (Isla) ที่อยู่ในอันดับที่ 2 และ 3 เช่นเดิม  

เกร็ก ซีลีย์ (Greg Ceely) หัวหน้าศูนย์ติดตามสุขภาพประชากรของ ONS กล่าวว่าวัฒนธรรมป็อปมีอิทธิพลต่อการตั้งชื่อเด็กอย่างมาก โดยชื่อนักร้องชื่อดัง เช่น บิลลี (Billie), ลานา (Lana), ไมลีย์ (Miley), รีฮานนา (Rihanna) และเอลตัน (Elton) กลายเป็นชื่อที่พบได้บ่อยในหมู่เด็กเกิดใหม่  

ในทางกลับกัน ชื่อราชวงศ์อังกฤษ กลับได้รับความนิยมน้อยลงอย่างเห็นได้ชัด โดยชื่อ จอร์จ (George)ตกไปอยู่อันดับที่ 4 มีเด็กเพียง 3,494 คนเท่านั้นที่ใช้ชื่อนี้ ซึ่งนับเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ที่ตัวเลขลดลงต่ำกว่า 4,000 คน ขณะที่ วิลเลียม (William) และหลุยส์ (Louis) ตกไปอยู่อันดับที่ 29 และ 45 ตามลำดับ  

ชื่อจากภาษาอาหรับ เช่น อัยมาน (Ayman) และ ฮัสซัน (Hasan) กำลังได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยเพิ่มขึ้นถึง 47% และ 43% ตามลำดับ ซึ่งสะท้อนถึงการเติบโตของชุมชนชาวเอเชียใต้และชาวมุสลิมในสหราชอาณาจักร  

ปัจจุบัน ชาวเอเชียใต้จากประเทศอินเดีย ปากีสถาน และบังกลาเทศ คิดเป็น 4.3% ของประชากรทั้งหมดในอังกฤษ โดยชาวอินเดียถือเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ที่ใหญ่ที่สุดในอังกฤษและเวลส์ มีจำนวนประชากรมากกว่า 1.5 ล้านคน หรือ 2.5% ของประชากรอังกฤษทั้งหมด

'อัสซาด' ผู้นำซีเรียพร้อมครอบครัวลี้ภัยในมอสโก หลังกลุ่มกบฏบุกยึดกรุงดามัสกัสสำเร็จ

(9 ธ.ค. 67) ประธานาธิบดีบาชาร์ อัล-อัสซาด แห่งซีเรีย พร้อมครอบครัว ได้ลี้ภัยไปยังรัสเซียภายในเวลาไม่กี่ชั่วโมงหลังจากที่กลุ่มกบฏสามารถยึดครองกรุงดามัสกัสได้สำเร็จ ซึ่งเป็นการปิดฉากการปกครองระบอบอัสซาดที่ยาวนานกว่า 50 ปี  

สำนักข่าวทาสส์ อ้างแหล่งข่าวจากรัฐบาลรัสเซีย ระบุว่า อัสซาดและครอบครัวได้รับสถานะผู้ลี้ภัยในรัสเซียด้วยเหตุผลด้านมนุษยธรรม “ประธานาธิบดีอัสซาดและครอบครัวเดินทางถึงกรุงมอสโกแล้ว โดยรัสเซียได้ให้สถานะผู้ลี้ภัยแก่พวกเขา”  

เจ้าหน้าที่รัสเซียยังย้ำว่า ประเทศสนับสนุนการหาทางออกทางการเมืองต่อวิกฤตในซีเรียมาโดยตลอด พร้อมแสดงความหวังให้มีการกลับมาเจรจาภายใต้การดูแลของสหประชาชาติ  

ในขณะเดียวกัน ชาวซีเรียต่างออกมาเฉลิมฉลองตามท้องถนนและจัตุรัสสำคัญในกรุงดามัสกัส พร้อมโบกธงปฏิวัติ ท่ามกลางบรรยากาศที่ชวนให้นึกถึงช่วงแรกของการลุกฮือในอาหรับสปริง ก่อนที่สงครามกลางเมืองจะปะทุยาวนานถึง 14 ปี  

อาบู โมฮัมเหม็ด อัล-โกลานี อดีตผู้นำกลุ่มอัลกออิดะห์ ซึ่งปัจจุบันเป็นหนึ่งในผู้นำกลุ่มกบฏหลัก กล่าวว่าการล่มสลายของอัสซาดถือเป็น “ชัยชนะของชาติอิสลาม” และเป็นโอกาสสำคัญในการกำหนดอนาคตของซีเรียใหม่  

จากเหตุการณ์นี้ ดมิทรี โพลีอันสกี รองผู้แทนถาวรรัสเซียประจำสหประชาชาติ เรียกร้องให้คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (UNSC) จัดการประชุมฉุกเฉินเพื่อหารือสถานการณ์ในซีเรีย ขณะที่รัสเซียได้เริ่มเจรจากับตัวแทนกลุ่มต่อต้านติดอาวุธในซีเรีย เพื่อรับประกันความปลอดภัยของฐานทัพและคณะผู้แทนทางการทูตรัสเซียในภูมิภาคนี้  

มอสโกแสดงจุดยืนชัดเจนว่าพร้อมสนับสนุนการเจรจาทางการเมือง เพื่อปกป้องผลประโยชน์ของชาวซีเรียและฟื้นฟูความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศในอนาคต

ประธานาธิบดีซีเรีย ‘บาชาร์ อัล อัสซาด’ หนี!! ออกนอกประเทศแล้ว หลังสูญเสียพื้นที่ส่วนใหญ่ ให้กับการบุกสายฟ้าแลบ ของกลุ่มกบฏ

(8 ธ.ค. 67) นายรามี อับเดล ราห์มัน ผู้อำนวยการกลุ่มสังเกตการณ์ ระบุว่า ...

ประธานาธิบดีซีเรีย บาชาร์ อัล อัสซาด ออกจากซีเรีย ผ่านทางสนามบินนานาชาติดามัสกัสก่อนที่กองกำลังรักษาความปลอดภัยกองทัพบกทิ้งสนามบิน” ซึ่งเอเอฟพีไม่สามารถยืนยันรายงานข่าวได้ในตอนนี้

นายกรัฐมนตรีโมฮัมเหม็ด อัล จาลาลี แถลงเผยแพร่ผ่านบัญชีเฟซบุ๊ก ว่าพร้อม ‘ร่วมมือ’ กับผู้นำทุกคนที่ประชาชนเลือก และพร้อมสำหรับกระบวนการถ่ายโอนอำนาจ หลังกบฏกล่าวว่า ประธานาธิบดีบาชาร์ อัล อัสซาด หนีออกนอกประเทศ ไปแล้ว 

ฝ่ายกบฏประกาศว่า ทรราชย์บาชาร์ อัล อัสซาด หนีไปแล้ว ขอให้ชาวซีเรียในต่างแดนกลับคืนสู่ ‘ซีเรียเสรี’

‘พายุดาร์ราห์’ พัดถล่ม!! ชายฝั่งเวลส์ ด้วยความเร็วลม มากกว่า 90 ไมล์ต่อชั่วโมง สร้างความเสียหายให้ ‘เวลส์ตอนใต้ – อังกฤษฝั่งตะวันตก – ไอร์แลนด์เหนือ’

(8 ธ.ค. 67) ที่อังกฤษ ‘พายุดาร์ราห์’ พัดถล่มชายฝั่งเวลส์ด้วยความเร็วลมมากกว่า 90 ไมล์ต่อชั่วโมง(144 กม./ชม.+) เมื่อวานนี้ (7 ธ.ค. 67) ทำให้ไฟฟ้าดับเป็นวงกว้าง ต้นไม้หักโค่น เที่ยวบินยกเลิกจำนวนมาก สำนักอุตุนิยมวิทยาได้ออกคำเตือนสภาพอากาศสีแดง
พื้นที่ ได้รับผลกระทบ เวลส์ตอนใต้ อังกฤษฝั่งตะวันตก และไอร์แลนด์เหนือ บางพื้นที่น้ำท่วม 

รายงานล่าสุด มีชายผู้ประสบภัย เสียชีวิตแล้ว 2 ราย จากเหตุต้นไม้ล้มทับ

‘ผีแดง’ แพ้!! ‘ฟอเรสต์’ คาบ้าน 2-3 ปราชัย!! ในลีก 2 นัดติดต่อกันแล้ว

(8 ธ.ค. 67) ‘ปีศาจแดง’ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ภายใต้การคุมทีมของ รูเบน อโมริม พลาดท่าพ่าย น็อตติงแฮม ฟอเรสต์ คาบ้าน 2-3 ปราชัยในลีก 2 เกมติดต่อกัน

เกมดังกล่าว น็อตติงแฮม ฟอเรสต์ ออกนำอย่างรวดเร็ว 1-0 ตั้งแต่นาทีที่ 2 จากจังหวะลูกเตะมุม และเป็น นิโคลา มิเลนโควิช โขกเข้าไป อย่างไรก็ดี แมนฯ ยู มาตีเสมอ 1-1 จากราสมุส ฮอยลุนด์ และจบ 45 นาทีแรกไปด้วยสกอร์นี้

ครึ่งหลัง ฟอเรสต์ ออกนำอย่างรวดเร็วอีกครั้ง 2-1 จากลูกยิงนอกกรอบสุดสวยของ มอร์แกน กิ๊บส์ ไวท์ น.47 ก่อนจะมาบวกสกอร์เพิ่มหนีห่าง 3-1 จากลูกโหม่งของ คริส วูด น.54

แมนฯ ยูไนเต็ด ไม่ยอมแพ้ง่ายๆ ได้ประตูตีตื้นมาเป็น 2-3 จากจังหวะที่ อาหมัด ดิยัลโล่ จ่ายย้อนกลับมาที่หัวกะโหลกให้ บรูโน่ แฟร์นันด์ส ซัดเข้าไป

ช่วงเวลาที่เหลือเจ้าถิ่นพยายามโหมบุกอย่างหนักเพื่อทำประตูคืน แต่จบสกอร์ไม่เฉียบคมพอ สุดท้าย แมนฯ ยูไนเต็ด พ่ายน็อตติงแฮม ฟอเรสต์ คาบ้าน 2-3 ปราชัย 2 เกมติดต่อกัน รั้งอันดับ 13 ของตาราง มี 19 คะแนน จาก 15 นัด ส่วน ‘เจ้าป่า’ มี 25 แต้ม รั้งอันดับ 5

‘ปธน.เกาหลีใต้’ รอด!! ถอดถอน ปม ‘ประกาศกฎอัยการศึก’ หลังสมาชิกสภาพรรครัฐบาล คว่ำบาตร!! การลงมติ

(8 ธ.ค. 67) สมาชิกรัฐสภาของพรรครัฐบาล คว่ำบาตรการลงมติถอดถอน นาย ยุน ซอกยอล จากตำแหน่งประธานาธิบดีของเกาหลีใต้ หลังจากตัดสินใจประกาศกฎอัยการศึกเมื่อต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา

รายงานข่าว ระบุว่า สมาชิกสภานิติบัญญัติของเกาหลีใต้ ล้มเหลวในการถอดถอนประธานาธิบดีของประเทศจากกรณีที่เขาพยายามประกาศกฎอัยการศึกในช่วงเวลาสั้น ๆ

ทั้งนี้ ร่างกฎหมายเพื่อลงมติถอดถอนประธานาธิบดียุน ซุกยอล ล้มเหลว โดยขาดไปเพียงสามคะแนน จากเสียงทั้งหมดที่ต้องการ 200 คะแนนเพื่อขับเขาออกจากตำแหน่ง ในการลงมติครั้งนี้ สมาชิกของพรรคพลังประชาชนซึ่งเป็นพรรคของฝ่ายรัฐบาลจำนวนมากไม่เข้าร่วมการลงมติ

กระทั่ง เวลาประมาณ 19.30 น. ของวันที่ 7 ธ.ค.67 (ตามเวลาประเทศไทย) นาย วู วอนชิก ประธานสภาฯ เกาหลีใต้ ประกาศยุติการลงมติถอดถอน ‘ยุน ซอกยอล’ พ้นตำแหน่งประธานาธิบดี ซึ่งเป็นเวลากว่า 3 ชม. หลังการลงมติเริ่มต้นขึ้น

เลือกตั้งโรมาเนีย กับสงครามรัสเซีย – ยูเครน ‘คาลิน จอร์เจสคู’ ผู้ต่อต้านนาโต มาเป็นที่หนึ่ง

การเลือกตั้งประธานาธิบดีโรมาเนียรอบแรกเมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายน 2024 ที่ผ่านมามนายคาลิน จอร์เจสคู (Calin Georgescu) ผู้สมัครอิสระที่ต่อต้านนาโตและชื่นชอบรัสเซีย ได้รับการเลือกตั้งขึ้นเป็นอันดับหนึ่งในการลงคะแนนเสียงประธานาธิบดี ด้วยคะแนนเกือบ 23% ซึ่งถือเป็นผลลัพธ์ที่น่าตกใจ ซึ่งขัดแย้งกับการสำรวจความคิดเห็นก่อนหน้านี้ ในขณะที่การเลือกตั้งรัฐสภาเมื่อวันที่ 1 ธันวาคม 2024 พรรคชาตินิยมไม่สามารถคว้าเสียงข้างมากแต่กลับกันสมาชิกฝ่ายขวาจัดกลับได้รับเลือกมากกว่าสามเท่าในสภานิติบัญญัติของโรมาเนีย

นายคาลิน จอร์เจสคูเป็นนักการเมืองผู้ชื่นชอบทฤษฎีสมคบคิดซึ่งยกย่องประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน ของรัสเซียและไออน อันโตเนสคู (Ion Antonescu) เผด็จการชาวโรมาเนียที่สนับสนุนนาซีในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง โดยคาดว่านายคาลิน จอร์เจสคูจะต้องแข่งขันกับนางเอเลน่า ลาสโคนี (Elena Lasconi) ที่สนับสนุนสหภาพยุโรปในการเลือกตั้งรอบสองในวันที่ 8 ธันวาคม 2024 นี้ การที่นายนายคาลิน จอร์เจสคูผู้สมัครที่เป็นมิตรกับรัสเซียได้รับการสนับสนุนอย่างมากจากประชาชนชาวโรมาเนียนั้นเป็นสัญญาณที่น่ากังวลสำหรับยูเครน 

แม้จะยังห่างไกลจากชัยชนะอย่างสมบูรณ์แต่การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองดังกล่าวในประเทศที่รัฐบาลสนับสนุนเพื่อนบ้านยูเครนอย่างแข็งขันเน้นย้ำถึงความเหนื่อยล้าที่เพิ่มมากขึ้นในยุโรป นอกจากนี้ยังเผยให้เห็นถึงเสียงวิพากษ์วิจารณ์การสนับสนุนยูเครนของยุโรป โดยการเลือกตั้งประธานาธิบดีและรัฐสภาของโรมาเนียครั้งนี้แสดงให้เห็นถึงผลงานที่แข็งแกร่งของกลุ่มชาตินิยมที่เป็นมิตรกับรัสเซียในการเลือกตั้งประธานาธิบดีและรัฐสภาของโรมาเนียเน้น

ในช่วงแรกนายคาลิน จอร์เจสคูนักการเมืองหัวรุนแรงอนุรักษ์นิยมซึ่งถูกมองว่าเป็นผู้สมัครที่มีโอกาสชนะน้อยมากสามารถพลิกกลับมาประสบความสำเร็จได้ด้วยการมีตัวตนบนโซเชียลมีเดียซึ่งช่วยให้เขาได้คะแนนเสียงจากผู้ที่ต่อต้านรัฐบาล ในการนับคะแนนรอบแรกนายคาลิน จอร์เจสคูถูกกล่าวหาว่า TikTok มีอคติให้การสนับสนุนจอร์เชสคูและการโจมตีทางไซเบอร์ที่เกี่ยวข้องกับรัสเซีย ทำให้ต้องนับคะแนนใหม่และต้องได้รับการรับรองโดยศาลรัฐธรรมนูญ

ในการเลือกตั้งรัฐสภาพรรคพันธมิตรเพื่อสหภาพโรมาเนีย (AUR) ซึ่งนายจอร์จ ซีมิออน (George Simion) หัวหน้าพรรคถูกห้ามไม่ให้เข้ายูเครนได้คะแนนเสียงเป็นอันดับสอง 18% ตามหลังพรรคโซเชียลเดโมแครตซึ่งเป็นพรรครัฐบาลที่ได้เพียงแค่ 22% พรรคการเมืองขวาจัดอีกสองพรรคได้แก่ พรรค SOS Romania ของส.ส. ไดอานา โซโซอาคา (Diana Șoșoacă) ที่นิยมรัสเซียและพรรคเยาวชน (Party of Young People -POT) ที่เกี่ยวข้องกับนายคาลิน จอร์เจสคูได้รับคะแนนเสียงประมาณ 7.4% และ 6.5% ตามลำดับ ในขณะที่พรรคการเมืองสายกลางที่นิยมตะวันตกได้รับคะแนนเสียงมากขึ้นในการเลือกตั้งรัฐสภา การชนะของพรรคชาตินิยมและโอกาสของจอร์เจสคูในการชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีได้เพิ่มความรู้สึกนิยมรัสเซียในยุโรปให้เพิ่มมากขึ้นไปอีก

ผลการเลือกตั้งที่ประชาชนชาวโรมาเนียให้การสนับสนุนนายคาลิน จอร์เจสคูอย่างมากส่งผลให้สหรัฐฯ ตอบโต้อย่างรวดเร็วด้วยการออกมาขู่กรรโชก โดยกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ กล่าวว่าวอชิงตันกำลังจับตาดูการเลือกตั้งประธานาธิบดีของโรมาเนียอย่างใกล้ชิดและเตือนโรมาเนียไม่ให้ละทิ้งแนวทางที่สนับสนุนยุโรปถึงขนาดออกมาขู่ว่าจะระงับความร่วมมือด้านความมั่นคงและการลงทุนเนื่องจากการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง ทางสหรัฐฯ ยังแสดงความกังวลเกี่ยวกับรายงานของสภาสูงสุดแห่งโรมาเนียด้านการป้องกันประเทศ ซึ่งกล่าวหาว่ารัสเซียมีกิจกรรมทางไซเบอร์เกี่ยวกับกระบวนการเลือกตั้งของประเทศ ในขณะที่นายคาลิน จอร์เจสคูกล่าวว่าเขายินดีที่สหรัฐฯ ให้ความสนใจต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในประเทศโรมาเนีย แต่เน้นย้ำว่าความพยายามใดๆ ที่จะแทรกแซงจากภายนอกนั้นเป็นสิ่งที่ยอมรับไม่ได้

โดยเมื่อวันที่ 4 ธันวาคม 2024 เจ้าหน้าที่โรมาเนียได้เปิดเผยหลักฐานที่เป็นความลับเกี่ยวกับสิ่งที่พวกเขาเรียกว่าแคมเปญโซเชียลมีเดียที่ "มีการจัดอย่างเป็นระบบ" และได้รับการสนับสนุนจาก ‘หน่วยงานของรัฐ’ เพื่อสนับสนุนนายคาลิน จอร์เจสคูผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีที่สนับสนุนรัสเซียในการลงคะแนนเสียง ในขณะที่หน่วยข่าวกรองต่างประเทศของโรมาเนีย (The Romanian foreign intelligence agency - SIE) ชี้ให้เห็นถึง ‘การโจมตีแบบผสมผสานของรัสเซียที่ก้าวร้าว รวมถึงการโจมตีทางไซเบอร์ การรั่วไหลของข้อมูล และการก่อวินาศกรรม’ ที่กำหนดเป้าหมายคือโรมาเนีย รายงานฉบับหนึ่งซึ่งถูกเปิดเผยโดยประธานาธิบดี เคลาส์ อิโอฮานิส (Klaus Iohannis) ที่กำลังจะพ้นจากตำแหน่ง ระบุว่านายคาลิน จอร์เจสคูได้รับการสนับสนุนจากแคมเปญที่ประสานงานโดยผู้ดำเนินการของรัฐบนแพลตฟอร์ม TikTok ของจีน แคมเปญดังกล่าวเริ่มต้นจากบัญชีประมาณ 25,000 บัญชีที่มีการใช้งานสูงในช่วงก่อนการเลือกตั้ง แม้ว่าผู้สมัครจะอ้างว่าไม่ได้ใช้เงินจากงบประมาณการรณรงค์หาเสียงแต่หน่วยข่าวกรองระบุว่ามีบัญชี TikTok บัญชีหนึ่งที่จ่ายเงิน 381,000 ดอลลาร์ให้กับผู้ใช้ที่สนับสนุนนายคาลิน จอร์เจสคู นอกจากนี้หน่วยงานฯ ยังรายงานด้วยว่ามีการโจมตีทาง ไซเบอร์ 85,000 ครั้งเพื่อเข้าถึงและแทรกแซงข้อมูลการเลือกตั้งโดยใช้วิธีการขั้นสูงที่บ่งชี้ว่า "ผู้ดำเนินการได้รับการสนับสนุนจากรัฐ" กระทรวงมหาดไทยของโรมาเนียยังออกมาระบุว่าแคมเปญดังกล่าวใช้ผู้มีอิทธิพลบนโซเชียลมีเดียซึ่งมีผู้ติดตามรวมกันกว่า 8 ล้านคนเพื่อโน้มน้าวความคิดเห็นของประชาชนในลักษณะเดียวกับแคมเปญข้อมูลของรัสเซียในยูเครนก่อนที่รัสเซียจะรุกราน

การที่สหรัฐออกมาข่มขู่ผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีโรมาเนียครั้งนี้แสดงให้เห็นถึงความสำคัญของโรมาเนียต่อผลประโยชน์ของสหรัฐฯ และสงครามรัสเซีย - ยูเครน โดยสามารถวิเคราะห์ความสำคัญของโรมาเนียต่อสงครามรัสเซียยูเครนและยุทธศาสตร์การต่อต้านรัสเซียของสหรัฐฯและพันธมิตรได้ดังนี้

ความสำคัญของการสนับสนุนของโรมาเนียต่อยูเครน
- โรมาเนียได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าเป็นพันธมิตรที่มั่นคงของยูเครน โดยให้การสนับสนุนด้านการทหาร เศรษฐกิจ และมนุษยธรรมที่สำคัญ โรมาเนียซึ่งมีพรมแดนติดกับยูเครนยาว 613 กิโลเมตร (380 ไมล์) ถูกคุกคามจากโดรนของรัสเซียที่ตกลงมาในดินแดนของตนระหว่างการโจมตียูเครนในเวลากลางคืน
- ประเทศนี้เป็นหนึ่งในพันธมิตรไม่กี่รายที่จัดหาระบบป้องกันภัยทางอากาศแพทริออตให้กับยูเครน นอกเหนือไปจากรายการอุปกรณ์ลับส่วนใหญ่ที่รายงานว่ารวมถึงระบบจรวดหลายลำกล้อง APRA-40 หรือยานเกราะ TAB-71
- นักบินยูเครนกำลังเรียนรู้การบินเครื่องบินรบ F-16 ที่ศูนย์ฝึกอบรมของพันธมิตรในฐานทัพอากาศ Fetesti ทางตะวันออกเฉียงใต้ของโรมาเนีย ขณะที่ฐานทัพอีกแห่งมีกำหนดจะเป็นสถานที่ฝึกอบรมสำหรับนาวิกโยธินยูเครน

- ในฐานะเพื่อนบ้านของยูเครน โรมาเนียจึงมีความสำคัญต่อการขนส่งสินค้าเกษตรของยูเครนที่มุ่งหน้าสู่ตลาดโลก ท่ามกลางความพยายามของรัสเซียในการปิดกั้นเส้นทางการค้าในทะเลดำ
- แม้ว่าความสำคัญของเส้นทางโรมาเนียจะลดลงเนื่องจากยูเครนเปิดเส้นทางเดินเรือใหม่ แต่ท่าเรือคอนสแตนตาของโรมาเนียยังคงคิดเป็นสัดส่วนหนึ่งในสี่ของการส่งออกเกษตรของยูเครนจนถึงปลายปี 2024
- ในฐานะส่วนหนึ่งของความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมแก่ประเทศที่ถูกปิดล้อม โรมาเนียได้ให้การต้อนรับผู้ลี้ภัยมากกว่า 170,000 คนและสนับสนุนความพยายามในการกำจัดทุ่นระเบิดระหว่างประเทศ
- บูคาเรสต์ยังเป็นผู้สนับสนุนรัฐบาลเคียฟและการเข้าร่วมนาโตและสหภาพยุโรปบนเวทีระหว่างประเทศอีกด้วย ความร่วมมือระหว่างสองประเทศเพื่อนบ้านได้แข็งแกร่งขึ้นด้วยสนธิสัญญาความมั่นคงระยะเวลา 10 ปีที่ลงนามเมื่อวันที่ 11 กรกฎาคม 2024

ความสำคัญของโรมาเนียต่อยุทธศาสตร์การต่อต้านรัสเซียของสหรัฐฯและพันธมิตร
- โรมาเนียซึ่งเคยเป็นสมาชิกของสนธิสัญญาวอร์ซอ ปัจจุบันเป็นส่วนหนึ่งของปีกตะวันออกของ NATO และยืนหยัดอยู่แนวหน้าในการพยายามคุกคามรัสเซียของกลุ่มประเทศสมาชิก
- ชายฝั่งทะเลดำของโรมาเนียทำให้โรมาเนียเป็นเส้นทางที่สะดวกสำหรับการขนส่งอาวุธไปยังเคียฟ
- โครงสร้างพื้นฐานทางทหารของ NATO ในโรมาเนียทำหน้าที่เป็นฐานในการยิงโดรน เช่น MQ-9 Reaper เพื่อสอดส่องกิจกรรมของรัสเซียจากน่านฟ้าเป็นกลางเหนือทะเลดำ และอาจช่วยประสานงานการโจมตีของยูเครนต่อดินแดนของรัสเซียได้
- สถานะของโรมาเนียในฐานะประเทศในทะเลดำช่วยให้ NATO สามารถพิสูจน์การมีฐานทัพเรือในส่วนนั้นของโลกได้
- ชายแดนระหว่างโรมาเนียกับมอลโดวาทำให้ NATO สามารถคุกคามทรานส์นีสเตรีย ซึ่งเป็นดินแดนแยกตัวของมอลโดวาที่อยู่ระหว่างมอลโดวาและยูเครน โดยมีกองกำลังรักษาสันติภาพของรัสเซียประจำการอยู่
- ฐานทัพอากาศ Mihail Kogalniceanu ซึ่งตั้งอยู่ใกล้กับคอนสแตนตากำลังขยายตัวและคาดว่าจะกลายเป็นฐานทัพทหารที่ใหญ่ที่สุดของ NATO ในยุโรป การขยายตัวนี้ส่งผลให้โรมาเนียกลายเป็น 'เรือบรรทุกเครื่องบินที่ไม่มีวันจม' ที่อยู่หน้าประตูบ้านของรัสเซีย
- ฐานทัพทหาร Deveselu ใกล้กับคาราคัลเป็นที่ตั้งของระบบป้องกันขีปนาวุธพิสัยไกล Aegis Ashore ของสหรัฐฯ ซึ่งอาจใช้เครื่องยิง Mk 41 เพื่อยิงขีปนาวุธ (เช่น ขีปนาวุธร่อน Tomahawk) ใส่รัสเซีย

หากนายคาลิน จอร์เจสคู ชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีเป็นครั้งที่สอง ‘เขาจะมีความชอบธรรมในสายตาประชาชนในฐานะประธานาธิบดี’ ซึ่งระบบการเมืองของโรมาเนียเปิดโอกาสให้ประธานาธิบดีสามารถหยุดยั้งแนวทางที่สนับสนุนยูเครนของประเทศได้ โดยประมุขแห่งรัฐของโรมาเนียเป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุด ของกองทัพ เป็นประธานสภากลาโหม และเป็นตัวแทนของประเทศในระดับนานาชาติ รวมถึงในสภายุโรปและการประชุมสุดยอดนาโตด้วย ซึ่งหากนายคาลิน จอร์เจสคูได้รับเลือกโอกาสที่โรมาเนียจะหยุดให้การสนับสนุนยูเครนก็จะเพิ่มขึ้นซึ่งเป็นสิ่งที่สหรัฐฯและพันธมิตรยอมไม่ได้เห็นได้จากการที่เขาหาเสียงด้วยการออกมาพูดต่อต้านความช่วยเหลือทางทหารสำหรับเคียฟและโจมตีฐานทัพนาโตในประเทศว่าเป็น ‘แหล่งน่าละอาย’ ของชาติ 

ซึ่งบทสรุปอนาคตของโรมาเนียชาวโรมาเนียต้องเป็นผู้ตัดสินใจ ว่าโรมาเนียจะพอกับการให้การสนับสนุนสงครามในยูเครนต่อไปหรือไม่ ซึ่งเราต้องติดตามผลการลงคะแนนเลือกตั้งประธานาธิบดีของโรมาเนียที่จะมีขึ้นในวันที่ 8 ธันวาคม 2024 นี้อย่างใกล้ชิด


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top