Thursday, 19 June 2025
WORLD

‘คณะกรรมาธิการยุโรป’ ประกาศลดปล่อย ‘ก๊าซเรือนกระจก’ 90% ตั้งเป้า!! สู่ความเป็นกลางทางสภาพภูมิอากาศ ภายในปี 2040

(7 ก.พ.67) สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า คณะกรรมาธิการยุโรปประกาศเป้าหมายลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิภายในสหภาพยุโรปลงร้อยละ 90 ภายในปี 2040 เมื่อเทียบกับระดับในปี 1990 โดยข้อเสนอทางกฎหมายจะจัดทำโดยคณะกรรมาธิการฯ ชุดต่อไปภายหลังการเลือกตั้งสมาชิกรัฐสภายุโรปในเดือนมิถุนายน

เป้าหมายดังกล่าวสอดคล้องกับความมุ่งมั่นของสหภาพยุโรปซึ่งจัดทำในปี 2021 ที่มุ่งบรรลุความเป็นกลางทางสภาพภูมิอากาศ (climate neutrality) ภายในปี 2050 โดยมีเป้าหมายลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิอย่างน้อยร้อยละ 55 ภายในปี 2030 เทียบกับระดับในปี 1990

คณะกรรมาธิการฯ กล่าวว่า การกำหนดเป้าหมายสภาพภูมิอากาศปี 2040 จะช่วยวางกรอบการทำงานที่ชัดเจนสำหรับอุตสาหกรรม นักลงทุน ประชาชน และรัฐบาลของยุโรปในการตัดสินใจเชิงกลยุทธ์ในช่วงทศวรรษนี้ และรับรองว่าสหภาพยุโรปจะอยู่บนเส้นทางสู่เป้าหมายความเป็นกลางทางสภาพภูมิอากาศต่อไป

นอกจากนี้ เป้าหมายข้างต้นยังจะช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นของยุโรปต่อวิกฤตการณ์ในอนาคต และเสริมสร้างความเป็นอิสระด้านพลังงานของสหภาพยุโรปโดยลดการพึ่งพาการนำเข้าเชื้อเพลิงฟอสซิล ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนมากกว่าร้อยละ 4 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมของสหภาพยุโรปในปี 2022

‘สหรัฐฯ’ ขยายขอบเขตความผิดไปถึงผู้ปกครอง ตั้งข้อหาฆาตกรรมแก่แม่ของเด็กก่อเหตุกราดยิง

ปฏิเสธไม่ได้ว่า ‘สหรัฐฯ’ คือประเทศที่เกิดเหตุ ‘กราดยิง’ ขึ้นบ่อยครั้ง จนแทบจะกลายเป็นภาพจำแล้วว่า ทุกครั้งที่มีข่าวกราดยิง หลายคนจะคิดว่าเกิดขึ้นที่สหรัฐฯ ไว้ก่อนเลย

แต่หากจะพูดถึงเหตุกราดยิงที่สร้างความช็อกให้กับสังคม หลายคนอาจนึกถึงเหตุกราดยิงโรงเรียนอ็อกซ์ฟอร์ดไฮสคูลในรัฐมิชิแกนเมื่อปี 2021 ซึ่งเด็กชายวัย 15 ปีรายหนึ่งเปิดฉากกราดยิงนักเรียนและครู จนทำให้มีผู้เสียชีวิต 4 ราย และบาดเจ็บ 7 คน

สำหรับผู้เสียชีวิต 4 คนเป็นนักเรียนทั้งหมด ส่วนผู้บาดเจ็บเป็นนักเรียน 6 คน และครู 1 คน

คดีนี้เป็นที่สนใจของสาธารณชน เพราะมีความพยายามที่จะเอาผิดพ่อและแม่ของเด็กชายผู้ก่อเหตุ คือ เจมส์ ครัมบลีย์ และเจนนิเฟอร์ ครับลีย์ ด้วย ฐานฆ่าคนตายโดยไม่เจตนา และมีการสอบสวนพยานหลักฐานมาโดยตลอด

เจนนิเฟอร์ถูกตั้งข้อกล่าวหาดังกล่าวครั้งแรกตั้งแต่วันที่ 30 พ.ย. 2021 แต่เธอปฏิเสธข้อกล่าวหา

ล่าสุดเมื่อวันที่ 6 ก.พ. ที่ผ่านมา คณะลูกขุน 12 คนซึ่งใช้พิจารณาคดีนานกว่า 10 ชั่วโมง ในที่สุดก็มีคำตัดสินให้ เจนนิเฟอร์ มารดาของผู้ก่อเหตุ มีความผิดในข้อหาฆ่าคนตายโดยไม่เจตนา 4 กระทง ถือเป็นครั้งแรกในสหรัฐฯ ที่จะมีการเอาผิดพ่อแม่หรือผู้ปกครองของผู้ก่อเหตุ ให้ได้รับโทษฐานฆาตกรรมด้วย

ด้วยคำตัดสินนี้ เจนนิเฟอร์อาจถูกพิพากษารับโทษจำคุกสูงสุด 15 ปี โดยการพิจารณาพิพากษาโทษของเธอจะมีขึ้นในวันที่ 9 เม.ย. 2024

ขณะนี้เธอถูกนำตัวกลับเข้าห้องขังอีกครั้ง โดนเธออยู่ในห้องขังนับตั้งแต่ถูกจับกุมไม่กี่วันหลังเหตุกราดยิง

คดีนี้ถือเป็นกลยุทธ์ทางกฎหมายที่ไม่ธรรมดาและแปลกใหม่ และแสดงถึงความพยายามที่จะขยายขอบเขตความผิดจากเหตุกราดยิงไม่ให้จบอยู่แค่ที่ตัวผู้ก่อเหตุเท่านั้น

แม้ว่าก่อนหน้านี้ผู้ปกครองจะต้องรับผิดต่อการกระทำของบุตรหลาน เช่น การปล่อยปละละเลยหรือข้อหาเกี่ยวกับอาวุธปืน แต่นี่เป็นครั้งแรกที่ผู้ปกครองของเด็กที่ก่อเหตุกราดยิงต้องรับผิดชอบโดยตรง

เครก ชิลลิง พ่อของ จัสติน ชิลลิง นักเรียนวัย 17 ปีที่เสียชีวิตจากเหตุที่อ็อกซ์ฟอร์ดไฮสคูล กล่าวว่า “มันเป็นสิ่งที่เรารอมานาน แต่แน่นอนว่ามันเป็นก้าวสำคัญในเรื่องของความรับผิดชอบ...มันเป็นเป้าหมายของเรามาโดยตลอด”

ด้าน เจมส์ พ่อของผู้ก่อเหตุ มีกำหนดขึ้นศาลในข้อหาเดียวกันนี้ในช่วงต้นเดือน มี.ค.

ส่วนตัวของผู้ก่อเหตุ ซึ่งปัจจุบันมีอายุ 17 ปี ได้รับสารภาพในข้อหาก่อการร้ายที่ทำให้มีผู้เสียชีวิต 1 กระทง ข้อหาฆาตกรรม 4 กระทง และอีก 19 กระทงที่เกี่ยวข้องกับเหตุกราดยิง และเมื่อปีที่แล้ว เขาถูกตัดสินจำคุกตลอดชีวิตโดยไม่ต้องรอลงอาญา

อัยการระบุว่า ที่เจนนิเฟอร์ต้องรับผิดชอบต่อเหตุกราดยิงนี้เพราะเธอ ‘ประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง’ ในการมอบปืนให้กับลูกชายของเธอ ซึ่งในขณะนั้นอายุ 15 ปี และไม่ได้ให้คำแนะนำทางจิตที่เหมาะสมแม้ลูกชายของเธอจะแสดงสัญญาณอันตรายบางอย่างก็ตาม

คาเรน แม็กโดนัลด์ อัยการเขตโอ๊คแลนด์ กล่าวว่า “มันเป็นกรณีที่พบไม่บ่อยนักที่ต้องอาศัยข้อเท็จจริงอันร้ายแรง...นั่นคือการทำอะไรไปโดยไม่คิด และเธอก็ทำสิ่งหนึ่งโดยไม่คิด ด้วยเหตุนี้จึงมีเด็กถึง 4 คนต้องเสียชีวิต”

อย่างไรก็ตาม ฝ่ายจำเลยแย้งว่าความผิดเป็นของคนอื่นต่างหาก เช่น สามีของเธอที่เก็บอาวุธปืนไว้อย่างไม่เหมาะสม หรือโรงเรียนที่ไม่แจ้งให้เธอทราบเกี่ยวกับปัญหาด้านพฤติกรรมของลูกชาย รวมถึงตัวลูกชายเองที่วางแผนและดำเนินการก่อเหตุด้วยตัวเขาเอง

แชนนอน สมิธ ทนายฝ่ายจำเลยกล่าวว่า คดีนี้จะทำให้ผู้ปกครองทั่วโลกเป็นอันตราย “พ่อแม่ทุกคนสามารถรับผิดชอบต่อทุกสิ่งที่ลูกทำได้จริง ๆ หรือไม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเป็นเหตุไม่คาดฝัน”

ด้านเจนนิเฟอร์ยืนหยัดในการปกป้องสิทธิของเธอเอง โดยเธอไม่ได้แสดงความเสียใจกับการกระทำของเธอ และบอกว่า “ฉันถามตัวเองว่าจะทำอะไรที่แตกต่างออกไปหรือไม่ และฉันคิดว่าคงจะไม่”

2 มหาวิทยาลัยดังสิงคโปร์ เตรียมเก็บค่าเข้าชมพื้นที่ หลังคณะทัวร์ล้นทะลัก กระทบชีวิตนักศึกษาหลายด้าน

(7 ก.พ. 67) กลายเป็นกระแสทั่วโซเชียล เมื่อมหาวิทยาลัยชื่อดังของสิงคโปร์ออกกฎ ‘เก็บเงินค่าเข้าชม’ หลังนักท่องเที่ยวแห่เข้ามาเยี่ยมชมในพื้นที่มหาวิทยาลัย จนส่งผลกระทบต่อนักศึกษา

มหาวิทยาลัยชื่อดังของสิงคโปร์ 2 แห่ง ได้แก่ Nanyang Technological University (NTU) และ National University of Singapore (NUS) เจอสถานการณ์ ‘ทัวร์ลง’ ของจริง จนต้องออกมาตรการเพื่อลดจำนวนคณะทัวร์ที่จะเข้ามาท่องเที่ยวในพื้นที่

สำนักข่าว South China Morning Post (SCMP) รายงานว่า มหาวิทยาลัยดังทั้งสองแห่งเผชิญปัญหาเดียวกันในระยะหลัง คือมีคณะทัวร์เข้ามาเป็นคันรถจนทำให้การจราจรติดขัด และไม่ใช่แค่ชมภายนอกอาคาร แต่ลามเข้าไปถึงในภายใน 

นักท่องเที่ยวมักจะเข้ามาดูและถ่ายรูปในพื้นที่อ่านหนังสือ ส่งเสียงดังภายในอาคารจนรบกวนสมาธิ แม้กระทั่งเนียนเข้าไปนั่งฟังเลคเชอร์ในห้องเรียน และที่หนักที่สุดคือนักท่องเที่ยวจะต่อคิวร่วมกินข้าวเที่ยงในโรงอาหารด้วย จนนักศึกษาต้องรอคิวซื้อข้าวเป็นชั่วโมง และนักท่องเที่ยวยังร่วมใช้รถชัตเติลบัสภายในวิทยาเขต ทำให้ที่นั่งเต็ม นักศึกษาต้องรอคิวขึ้นรถ ทั้งหมดนี้ทำให้นักศึกษาไม่สะดวกในการจัดการเวลาและเข้าเรียนสาย

เหตุการณ์ปั่นป่วนเริ่มหนักข้อขึ้นเรื่อย ๆ ตั้งแต่ปลายปี 2023 จนทำให้ NTU ออกกฎใหม่ ตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2024 เอเยนซีทัวร์ทั้งหลายที่จะพาทัวร์มาลงในวิทยาเขตจะต้องขออนุญาตมหาวิทยาลัยก่อน และต้องลงทะเบียนคณะทัวร์ผ่านช่องทางออนไลน์ มีการจองตารางเข้าชมล่วงหน้า 

รวมถึงต่อไป NTU จะเก็บ ‘ค่าเข้าชม’ เพื่อใช้บำรุงรักษาสถานที่ และเป็นการควบคุมจำนวนพาหนะเข้าออกพื้นที่ โดยขณะนี้ยังไม่ประกาศราคาและเงื่อนไข

บริษัททัวร์หลายแห่งให้สัมภาษณ์กับ SCMP ว่า นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ที่ต้องการทัวร์มหาวิทยาลัยมักจะมาจาก ‘จีน’ และประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เหตุเพราะพ่อแม่ผู้ปกครองต้องการจะพาลูก ๆ วัยประถมถึงมัธยมมาเพื่อ ‘สัมผัสประสบการณ์ชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัย’ ที่มีชื่อเสียงอันดับต้น ๆ ของเอเชีย

Times Higher Education นิตยสารอังกฤษที่มักจะจัดอันดับมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดทั่วโลกทุกปี เมื่อปี 2023 จัดอันดับ NUS เป็นอันดับ 3 ของเอเชียและอันดับ 19 ของโลก ส่วน NTU ถือเป็นอันดับ 5 ของเอเชียและอันดับ 36 ของโลก

นอกจากชื่อเสียงในด้านการศึกษาแล้ว ทั้งสองมหาวิทยาลัยยังโดดเด่นด้านสถาปัตยกรรมด้วย โดยเฉพาะ NTU ที่มีอาคารที่เป็นไอคอนอย่าง ‘The Hive’ อาคารที่มีรูปร่างเหมือนตะกร้าติ่มซำเรียงซ้อนกัน ทำให้ใคร ๆ ก็อยากเข้ามาถ่ายรูป

จับตา!! กลไกรัฐจีน สั่งการกองทุน Central Huijin กระหน่ำซื้อหุ้น+กองทุน ETF ในตลาดทุนมากขึ้น

(7 ก.พ. 67) รองศาสตราจารย์ ดร.อักษรศรี พานิชสาส์น ผู้เชี่ยวชาญเศรษฐกิจจีน คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ระบุว่า…

“🇨🇳 Visible Hand กลไกรัฐจีนทำงานหนัก!! สั่งการให้ Central Huijin ของรัฐบาลจีนกระหน่ำซื้อหุ้น+กองทุน ETF ในตลาดทุนมากขึ้น”

#หุ้นจีน 🇨🇳 ปรับแดนบวก 07.02.2024 เพราะมือที่มองเห็นในจีน!! 

คณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์จีน (CSRC) 🇨🇳 ประกาศสนับสนุนให้บริษัท Central Huijin Investment (เซ็นทรัล หุยจิน) บริษัทด้านการลงทุนของรัฐบาลจีนเข้าซื้อกองทุน ETF : Exchange-Traded Funds และซื้อหุ้นในตลาดมากขึ้น เพื่อสนับสนุนตลาดหุ้นภายในประเทศ

Central Huijin Investment Co., Ltd. คือ บริษัทลงทุนของทางการจีน (พรรคคอมมิวนิสต์จีน) 🇨🇳 ตั้งมานานแล้ว ตั้งแต่ปี 2003 โดยอยู่ในสังกัดของกองทุนความมั่งคั่งแห่งชาติของจีน (Sovereign Wealth Fund ) ที่ใช้ชื่อว่า กองทุน CIC : China Investment Corporation 

กองทุนความมั่งคั่งแห่งชาติ CIC เป็นกองทุนสถาบันที่มีรัฐบาลจีนเป็นเจ้าของ โดยการนำทุนสำรอง reserves หรือรายได้ของประเทศบางส่วนมาฝากไว้กับกองทุน เพื่อหาผลตอบแทน

ในปัจจุบัน Central Huijin ของทางการจีนได้เข้าไปถือหุ้นในธนาคารและสถาบันการเงินสำคัญต่าง ๆ ของจีนกว่า 17 แห่ง เช่น  ธนาคาร Big Four ทั้งสี่ของจีน และธนาคารอื่น ๆ รวมทั้งถือหุ้นในบริษัทประกันต่าง ๆ และถือหุ้นในบิ๊กเทคจีน เช่น Alibaba!!

Central Huijin จึงถือเป็นอีกกลไกรัฐของจีนในการเข้าไปมีบทบาท (พยุง) ตลาดทุนและสถาบันการเงินสำคัญของจีน เพื่อรักษาเสถียรภาพทางการเงิน  

#มือที่มองเห็นของจีน 🇨🇳 #กลไกรัฐ

‘ซาอุฯ’ เสียงแข็ง!! ไม่เปิดสัมพันธ์การทูตอิสราเอล  จนกว่าจะยอมให้มีการตั้ง ‘รัฐปาเลสไตน์’

(7 ก.พ.67) กระทรวงการต่างประเทศซาอุดีอาระเบียแถลงวันนี้ว่า รัฐบาลได้แสดงจุดยืนให้สหรัฐฯ ทราบแล้วว่าจะไม่เดินหน้าสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตกับอิสราเอล จนกว่าจะมีการก่อตั้งรัฐปาเลสไตน์ตามเส้นพรมแดนปี 1967 ที่มีเยรูซาเลมตะวันออกรวมอยู่ด้วย และจนกว่าอิสราเอลจะยุติความรุนแรงในฉนวนกาซา

คำแถลงจากกระทรวงการต่างประเทศซาอุดีอาระเบียมีขึ้น หลังจากที่ จอห์น เคอร์บีย์ โฆษกสภาความมั่นคงแห่งชาติของทำเนียบขาว ออกมาให้สัมภาษณ์เมื่อวันอังคาร (6 ก.พ.) ว่า รัฐบาลประธานาธิบดี โจ ไบเดน ได้รับ ‘ฟีดแบคที่ดี’ จากทั้งซาอุดีอาระเบียและอิสราเอลเกี่ยวกับการพูดคุยเพื่อปรับความสัมพันธ์ทางการทูตสู่ระดับปกติ

ทางกระทรวงย้ำว่า ถ้อยแถลงที่ออกมานี้ก็เพื่อแสดงถึงจุดยืนที่หนักแน่นของซาอุดีอาระเบียในเรื่องปัญหาปาเลสไตน์ และเป็นการตอบโต้สิ่งที่ เคอร์บีย์ ออกมาพูดก่อนหน้า

แนวคิดในการผลักดันให้อิสราเอลและซาอุดีอาระเบียสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตเริ่มถูกนำมาหารืออย่างจริงจัง หลังจากริยาดไม่ได้แสดงท่าทีต่อต้านเมื่อเพื่อนบ้านในอ่าวเปอร์เซียอย่างสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (UAE) และบาห์เรนหันไปสถาปนาความสัมพันธ์กับอิสราเอลในปี 2020

อย่างไรก็ตาม รอยเตอร์อ้างแหล่งข่าวที่เข้าถึงมุมมองของผู้นำริยาดเมื่อเดือน ต.ค. ปี 2023 ว่า
สงครามระหว่างอิสราเอลกับกลุ่มฮามาสที่คร่าชีวิตชาวปาเลสไตน์ในฉนวนกาซาไปแล้วกว่า 20,000 คน ทำให้ซาอุดีอาระเบียตัดสินใจ ‘เบรก’ การเจรจากับอิสราเอลแบบไม่มีกำหนด

กองทัพอิสราเอลเริ่มเปิดปฏิบัติการทางทหารโจมตีฉนวนกาซาทั้งทางอากาศและภาคพื้นดิน หลังจากพวกฮามาสที่ปกครองกาซาบุกจู่โจมภาคใต้ของรัฐยิวเมื่อวันที่ 7 ต.ค. ปีที่แล้ว และสังหารประชาชนไปราว 1,200 คน อีกทั้งยังจับพลเมืองอิสราเอลและต่างชาติไปเป็นตัวประกันอีก 253 คน

ทหารหญิงอิสราเอลเชื้อสายจีนถูกเพื่อนทหารข่มขืน ข่าวที่ไม่ปรากฏในบรรดาสื่อที่สนับสนุนอิสราเอล

ทหารหญิงอิสราเอลที่เกิดในจีนถูกเพื่อนทหารข่มขืน ข่าวเกี่ยวกับการข่มขืนทหารหญิงอิสราเอลที่มีเชื้อสายจีนโดยเพื่อนทหารของเธอระหว่างที่เธอมีส่วนร่วมในการสู้รบในฉนวนกาซาได้แพร่สะพัดใน Social media ระบุว่า ‘Abigail Weinberg’ ทหารหญิงอิสราเอลซึ่งอพยพมาจากประเทศจีน และเข้าร่วมในกองทัพอิสราเอล ในระหว่างที่เธอมีส่วนร่วมในการสู้รบในฉนวนกาซา เธอถูกเพื่อนทหารข่มขืน 

‘Watan’ หรือ เว็บไซต์ข่าวรายวันของอียิปต์ ได้ติดตามคดีนี้ที่เผยแพร่บน Social media และพบบทความที่ตีพิมพ์โดยหนังสือพิมพ์ภาษาฮีบรู ‘Yedioth Ahronoth’ เมื่อเดือนกันยายน 2023 ได้เล่าเกี่ยวกับทหารหญิงเชื้อสายจีนในกองทัพอิสราเอล โดยระบุว่าเธอชื่อ ‘Abigail Weinberg’ บทความในหนังสือพิมพ์กล่าวถึงว่า ‘Abigail Weinberg’ อพยพมาจากจีนมายังอิสราเอลตั้งแต่เธอยังเป็นเด็ก และตัดสินใจเข้าร่วมกองทัพอิสราเอล โดยปัจจุบันเธอทำงานเป็นเจ้าหน้าที่ประสานงานในกองพลทหารปืนใหญ่ที่ 215 และหน่วยของเธอได้ปฏิบัติการในที่ราบสูงโกลาน

ข่าวการข่มขืน Abigail ถูกเผยแพร่โดย Israeli Broadcasting Corporation กล่าวถึงการจับกุมและดำเนินคดีทหารจากกองกำลังสำรองของอิสราเอลในข้อหาข่มขืนเพื่อนร่วมงาน ซึ่งได้รับมอบหมายให้ปฏิบัติการร่วมกับเขาในฉนวนกาซา รายงานเสริมว่าคำฟ้องของทหารรายนี้ครอบคลุมถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในตอนดึกของช่วงสัปดาห์แรก ๆ ของสงครามอิสราเอลในฉนวนกาซา เนื้อข่าวยังเปิดเผยว่าสารวัตรทหารอิสราเอลจับกุมทหารรายดังกล่าวในข้อหาข่มขืนเพื่อนร่วมงานระหว่างปฏิบัติการทางทหาร

‘คิงชาร์ลส์ที่ 3’ แห่งอังกฤษ ถูกวินิจฉัยป่วยเป็น ‘มะเร็ง’ หลังแพทย์ตรวจพบระหว่างรักษาต่อมลูกหมากโต

(6 ก.พ.67) สำนักพระราชวังบักกิงแฮมของอังกฤษ ออกแถลงการณ์ว่า กษัตริย์ชาร์ลส์ที่ 3 ได้รับการวินิจฉัยว่าป่วยเป็นโรคมะเร็ง หลังจากที่แพทย์ตรวจพบความผิดปกติระหว่างทรงเข้ารับการรักษาโรคต่อมลูกหมากโตเมื่อไม่นานมานี้

อย่างไรก็ตาม สำนักพระราชวังบักกิงแฮมไม่ได้ระบุว่า กษัตริย์ชาร์ลส์ที่ 3 เป็นมะเร็งต่อมลูกหมากหรือไม่ ระบุแค่เพียงว่า วันนี้ (6 ก.พ.) พระองค์ทรงเริ่มเข้ารับการรักษาตามปกติ ในระหว่างนี้ได้รับคำแนะนำจากแพทย์ให้เลื่อนการปฏิบัติพระราชกรณียกิจต่างๆ ออกไปก่อน แต่สามารถทรงงานกิจการของรัฐและงานเอกสารราชการได้ตามปกติ

“พระองค์ทรงเลือกที่จะแบ่งปันผลการวินิจฉัยของพระองค์เพื่อป้องกันการคาดเดา และหวังว่าจะช่วยให้สาธารณชนเข้าใจผู้ที่ได้รับผลกระทบจากโรคมะเร็งทั่วโลก” สำนักพระราชวังบักกิงแฮม ระบุในแถลงการณ์

เมื่อวันที่ 30 ม.ค. สำนักพระราชวังบักกิงแฮม เปิดเผยว่า กษัตริย์ชาร์ลส์ที่ 3 ได้เสด็จออกจากโรงพยาบาลลอนดอน คลินิก แล้วหลังจากประทับมาตั้งแต่วันที่ 26 ม.ค. เพื่อรักษาพระอาการต่อมลูกหมากโต

รายงานข่าวระบุว่า กษัตริย์ชาร์ลส์ที่ 3 พระชนมายุ 75 พรรษา กลับมามีพระพลานามัยแข็งแรงอีกครั้งหลังจากรับการรักษา โดยสมเด็จพระราชินีคามิลลา เสด็จเยี่ยมพระสวามีทุกวัน และอยู่เคียงข้างพระองค์ในวันที่เสด็จออกจากโรงพยาบาล

‘ผู้ประกอบการจีน’ บุกตลาดต่างประเทศ ทำธุรกิจนอกประเทศจีน สูงสุดเป็นประวัติการณ์

(6 ก.พ.67) สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า บรรดาผู้ประกอบการของจีนเดินทางออกไปทำธุรกิจในต่างประเทศเป็นจำนวนสูงเป็นประวัติการณ์อย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน แม้สื่อมวลชนตะวันตกบางส่วนรายงานข่าวเกี่ยวกับเศรษฐกิจจีนในเชิงลบ

เมื่อวันอาทิตย์ (4 ก.พ.) ย่าโจว โจวคาน (Yazhou Zhoukan) สื่อมวลชนในเขตบริหารพิเศษฮ่องกงของจีน รายงานว่ากลุ่มผู้ประกอบการของจีนเดินทางออกไปทำธุรกิจในต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง แม้สหรัฐฯ กำหนดภาษีศุลกากรระดับสูงและการคว่ำบาตรต่างๆ

สิ่งนี้บ่งชี้ความสามารถทางนวัตกรรมอันทรงพลังและการรับรู้ความเสี่ยงของจีน พร้อมกับสร้างพื้นที่เชิงพาณิชย์ใหม่และสะท้อนความสามารถทางการแข่งขันระดับชาติอันแข็งแกร่งของจีน

แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซข้ามพรมแดนของจีนสามารถดึงดูดความสนใจจากผู้บริโภคชาวต่างชาติ โดยความสามารถในการจัดการทางดิจิทัลและห่วงโซ่อุตสาหกรรมอันสมบูรณ์ของจีนสามารถลดต้นทุนด้วยการไม่ต้องมีพ่อค้าคนกลาง ทำให้ราคาสินค้าไม่แพง

กระบวนการทางดิจิทัลนี้ช่วยให้อุตสาหกรรมการผลิตของจีนขยายตัวและปรากฏอยู่ในทั้งประเทศกำลังพัฒนาและประเทศพัฒนาแล้วเพิ่มขึ้น โดยกลุ่มผู้ประกอบการของจีนที่เดินทางออกไปทำธุรกิจในต่างประเทศมีข้อได้เปรียบทางเทคโนโลยี ทั้งด้านฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์

รายงานข่าวยกตัวอย่างจากกลุ่มบริษัทจัดเลี้ยงของจีน ซึ่งพึ่งพาเทคนิคทางดิจิทัลตั้งแต่ห่วงโซ่อุปทานจนถึงการบริการส่วนหน้าในการรักษาความสามารถทางการแข่งขัน โดยบริษัทเหล่านี้บางส่วนได้เข้าสู่ตลาดไฮเอนด์ในยุโรปและสหรัฐฯ แล้วด้วย

'ชิอิโนะ คาโรลินา' ขอสละตำแหน่ง เซ่นข่าวฉาว เป็นนางงามมือที่ 3

จำต้องคืนมงฯ โบกมือลาตำแหน่งนางงามญี่ปุ่นเสียแล้ว สำหรับ ชิอิโนะ คาโรลินา สาวงามเชื้อสายยูเครน ผู้สามารถคว้าตำแหน่งชนะเลิศจากงานประกวด Miss Nippon Grand Prix ประจำปี 2024 เมื่อช่วงเดือนมกราคมที่ผ่านมา สร้างประวัติศาสตร์ นางงามที่มีเชื้อสายยุโรป 100% แต่สามารถคว้ามงกุฎจากเวทีประกวดของญี่ปุ่นได้เป็นครั้งแรก ท่ามกลางเสียงวิพากษ์วิจารณ์อย่างมากมายจากชาวญี่ปุ่นถึงคุณสมบัติในการประกวดนางงามของเธอ 

แต่หลังจากที่ครองตำแหน่งยังไม่ถึงเดือน ชิอิโนะ คาโรลินา จำต้องสละตำแหน่งเสียแล้ว แต่ไม่ใช่เพราะกองประกวดเรียกคืนรางวัลเพราะเสียงวิจารณ์ว่าเธอไม่ใช่สาวญี่ปุ่น แต่เป็นเพราะข่าวฉาวหลังงานประกวดว่าเธอมีสัมพันธ์กับชายที่แต่งงานแล้ว 

โดย Shukan Bunshun หนังสือพิมพ์แท็บลอยด์ของญี่ปุ่นได้นำเสนอข่าวว่า ชิอิโนะ คาโรลินา มีความสัมพันธ์กับนายแพทย์คนหนึ่ง ที่มีสถานะ 'แต่งงานแล้ว' ซึ่งถือเป็นเรื่องผิดธรรมเนียม และ ศีลธรรม ในสังคมญี่ปุ่น

ด้านกองประกวด Miss Nippon Grand Prix เคยออกมาตอบโต้ข่าวฉาวดังกล่าวว่า ทราบเรื่องที่ ชิอิโนะ คาโรลินา กำลังคบหาดูใจกับนายแพทย์คนดังกล่าวแล้ว เนื่องจากฝ่ายชายปิดบังสถานะการแต่งงานของตน ก่อนที่จะมาคบกับ ชิอิโนะ คาโรลินา ดังนั้นจึงไม่ใช่ความผิดของเธอ และกองประกวดยังคงสนับสนุน  ชิอิโนะ คาโรลินา ในการทำหน้าที่ Miss Nippon Grand Prix ต่อไป

แต่ทว่าเมื่อวันจันทร์ (5 ก.พ. 67) กองประกวดได้ออกประกาศฉบับใหม่ว่า ชิอิโนะ คาโรลินา ออกมายอมรับว่าเธอทราบถึงสถานะครอบครัวของนายแพทย์คนดังกล่าวอยู่ก่อนแล้ว แต่ก็ยังคบหากับฝ่ายชาย และได้ขอโทษทีมงาน พร้อมยื่นคำร้องขอสละตำแหน่ง Miss Nippon Grand Prix เป็นที่เรียบร้อยแล้ว 

ต่อมา ชิอิโนะ ยังได้โพสต์ข้อความขอโทษถึงภรรยาของฝ่ายชาย และบุคคลที่เกี่ยวข้อง รวมถึงทีมงานกองประกวด และบรรดาแฟนคลับที่ได้สนับสนุนเธอตลอดการแข่งขัน และรู้สึกละอายที่ได้โกหกคนเหล่านี้ จึงขอสละมงกุฏตำแหน่ง Miss Nippon Grand Prix ของเธอเพื่อเป็นการขอโทษต่อสังคม

เป็นการปิดตำนานนางงามฝรั่งคว้ามงฯ นางงามญี่ปุ่น อย่างช็อตฟิลคนทั้งประเทศ แต่ก็ต้องยอมรับถึงสปิริตความเป็น 'คนญี่ปุ่น' ในตัวของ ชิอิโนะ คาโรลินา แม้แต่วัฒนธรรมการขอโทษ และแสดงความรับผิดชอบเมื่อสำนึกว่าทำผิด ตามสไตล์ญี่ปุ่นแท้จริง ๆ 

แกนนำ 'เทกซิต' เชื่อ!! 'เทกซัส' แยกตัวจากสหรัฐฯ อาจเกิดขึ้นเร็วกว่าที่คิด ชี้!! ชนวนชายแดน อาจทำให้อีก 25 มลรัฐ ปลดแอกตัวเองตามมาติดๆ

แกนนำแบ่งแยกดินแดนเทกซัสรายหนึ่ง เชื่อว่าการแยกตัวออกจาก 'สหภาพ' (Union) ความเคลื่อนไหวที่ถูกเรียกขานว่า 'เทกซิต' (Texit) อาจเกิดขึ้นเร็วกว่าที่คิดไว้มาก ท่ามกลางประเด็นข้อพิพาทระหว่างเกรก แอบบอตต์ ผู้ว่าการรัฐกับรัฐบาลกลาง เกี่ยวกับการควบคุมแนวชายแดนติดกับเม็กซิโก

(6 ก.พ.67) นิวยอร์กโพสต์ รายงาน คำกล่าวของ 'ดาเนียล มิลเลอร์' ประธานขบวนการชาตินิยมเทกซัส ระบุว่า "เราอยู่ในจุดที่เทกซิตอยู่ในความคิดของทุกคน ทั้งพวกคนที่สนับสนุนและพวกที่คัดค้าน โดยมีประเด็นชายแดนเป็นแรงเสริม เพื่อเพิ่มการตัดสินใจให้แก่เทกซัส และนั่นจะนำมาสู่การโหวตแบบมีผลผูกพัน เพื่อให้เทกซัสได้กลายเป็นประเทศเอกราชและปกครองตนเอง"

มิลเลอร์ ยังได้กล่าวยกย่อง นายเกร็ก แอบบอต ผู้ว่าการมลรัฐเทกซัส ที่ประกาศสิทธิในการป้องกันตนเองของรัฐเทกซัส พร้อมเพิกเฉยต่อกฎเกณฑ์ใดๆ ของรัฐบาลกลาง ด้วยจุดยืนการปฏิเสธรื้อถอนรั้วลวดหนามที่สร้างขึ้นตามแนวชายแดนติดกับเม็กซิโก แม้ศาลสูงสุดสหรัฐฯ จะตัดสินใจแล้วว่ามันไม่ชอบธรรมตามรัฐธรรมนูญ ซึ่งจุดนี้ถือเป็นการสะท้อนถึงรัฐบาลกลางที่ล้มเหลวในการปกป้องเทกซัสจากการไหลบ่าพวกผู้อพยพลี้ภัยที่ข้ามชายแดนเข้ามา พร้อมเน้นย้ำทางรัฐเทกซัสมีอำนาจตามรัฐธรรมนูญในการปกป้องตนเอง

ก่อนหน้านี้ แอบบอตต์ ระบุว่า ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ผู้นำสหรัฐฯ จากพรรคเดโมแครตได้เปลี่ยนชายแดนทางใต้ของประเทศให้กลายเป็นจุดเสี่ยงต่อการอพยพย้ายถิ่นฐานอย่างผิดกฎหมายแทนที่จะรักษากฎหมายและปกป้องชายแดน แต่กลับสนับสนุนการอพยพเข้าเมืองอย่างผิดกฎหมายที่ชายแดนติดกับเม็กซิโก และผู้ก่อการร้ายเข้าสหรัฐฯ

แน่นอนว่าถ้อยแถลงของผู้ว่าการรัฐเทกซัส ถือเป็นการตั้งป้อมปฏิเสธคำสั่งจากรัฐบาลกลาง และท้าทายอำนาจของหน่วยงานต่างๆ เช่น กรมศุลกากรและป้องกันชายแดน และกระทรวงความมั่นคงของสหรัฐฯ

เกี่ยวกับเรื่องนี้ มิลเลอร์ ได้สะท้อนความคิดเห็นแบบเดียวกันผ่านทาง podcast ของเขาเมื่อวันอังคารที่แล้วด้วยว่า "ทุกๆ ครั้งที่เทกซัสพยายามทำบางอย่างเพื่อคุ้มกันชายแดน รัฐบาลจะเข้ามาแทรกแซงหรือทำอย่างที่ผ่านมา เพื่อเตะถ่วงความพยายามของเทกซัส ให้มันไร้ผล ทั้งๆ ที่กระทรวงทหารและกระทรวงความปลอดภัยสาธารณะของเทกซัส มีการปฏิบัติการในฐานะผู้ช่วยหน่วยลาดตระเวนชายแดน ซึ่งอยู่ภายใต้คำสั่งให้ปล่อยพวกเขา (ผู้อพยพ) ข้ามเข้ามา และพาพวกเขาขึ้นรถบัส-ขึ้นเครื่องบินและขึ้นเรือไปทุกหนทุกแห่งอยู่แล้ว"

นอกจากนี้ มิลเลอร์ ยังให้สัมภาษณ์กับนิวส์วีก โดยแสดงความมั่นใจด้วยว่า จะมีประชาชนมากขึ้นที่พร้อมลงคะแนน 'เห็นชอบ' ในการลงมติในคำถามที่ว่ารัฐแห่งนี้ควรแยกตัวออกไปหรือไม่? และเกี่ยวกับประเด็นชายแดนนี้ ก็อาจกระตุ้นให้รัฐอื่นๆ พิจารณาแยกตัวออกจากสหรัฐฯ เช่นกัน โดยอ้างถึงกรณีที่มีผู้ว่าการรัฐรีพับลิกัน 25 คน ได้ร่วมลงนามในหนังสือสนับสนุนแอบบอตต์

"มันหมายความว่าอย่างไรงั้นหรือ มันหมายความว่าเรากำลังพบเห็นการหมุนตัวออกไป ไม่ใช่แค่เทกซัส แต่รวมไปถึงรัฐอื่นๆ ในบรรดา 25 รัฐ" มิลเลอร์กล่าวและว่า "มันคือช่วงเวลาที่น่าสนใจในช่วงชีวิตของเรา และผมคิดว่าเรากำลังมุ่งหน้าสู่จุดหนึ่ง จุดที่อยู่เกินกว่าคำว่าวิกฤตรัฐธรรมนูญ"

‘บ.เกาหลี’ ใจป้ำ!! แจกเงิน พนง. 100 ล้านวอน ต่อลูก 1 คน อุดหนุนค่าคลอดบุตร จูงใจให้คนมีลูก แก้ปัญหาเด็กเกิดน้อย

(6 ก.พ.67) บริษัท Booyoung Group เปิดตัวโครงการริเริ่มเพื่อแก้ไขปัญหาด้านอัตราการเกิดที่ลดลง ด้วยการมอบเงินสนับสนุน 100 ล้านวอนต่อลูก 1 คน ให้กับพนักงาน โดย Booyoung Group เป็นบริษัทเกาหลีใต้แห่งแรกที่ดำเนินการเช่นนี้

ประธานกรรมการของ Booyoung Group นายอี จุง-กึน ได้มอบเงินสนับสนุนด้านการคลอดบุตรเป็นจำนวนรวม 7 พันล้านวอน ให้แก่พนักงาน โดยเป็นเงินจำนวน 100 ล้านวอนต่อลูก 70 คน ที่เกิดตั้งแต่ปี 2021 ในงานพิธีขึ้นปีใหม่ที่สำนักงานใหญ่ของบริษัทฯ

นอกจากนี้ทางบริษัทยังเสนอที่จะจัดหาที่อยู่อาศัยประเภทเช่าถาวรระดับโครงการบ้านจัดสรรให้กับพนักงานที่มีลูกคนที่สาม โดยขึ้นอยู่กับเงื่อนไขว่ารัฐบาลอนุญาตให้ภาคเอกชนเข้าร่วมในตลาดที่อยู่อาศัยเช่าถาวรได้หรือไม่

อย่างไรก็ดี นายอี จุง-กึน ได้เสนอนโยบายให้มีการยกเว้นภาษีสำหรับการบริจาคเพื่อสนับสนุนการคลอดบุตร เพื่อแก้ไขปัญหาด้านอัตราการเกิดที่ต่ำ โดยอนุญาตให้ผู้บริจาคสามารถหักลดหย่อนภาษีได้ เขาเสนอให้บุคคลหรือบริษัทบริจาคได้สูงสุด 100 ล้านวอนต่อเด็กที่เกิดหลังปี 2021 และทั้งจำนวนเงินบริจาคจากบุคคลและบริษัทฯ สามารถนำไปหักลดหย่อนภาษีได้ที่สิ้นปี

TikTok อินโดฯ เดือด!! ทุกพรรคอัดแคมเปญหาเสียงเพื่อวัยโจ๋ ขนาดผู้สมัครวัย 72 ยังลุกมาอัดคลิปเต้น หวังเรียกคะแนน

อินโดนีเซียเข้าสู่ช่วงโค้งสุดท้ายของการเลือกตั้งใหญ่ ที่กำลังจะมาถึงในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2567 นี้แล้ว 

ตอนนี้ บรรดาว่าที่ผู้สมัคร และ พรรคการเมืองอัดแคมเปญหาเสียงกันอย่างไม่ยั้ง โดยโซเชียลมีเดีย ถูกนำมาใช้เป็นช่องทางหาเสียงอย่างกว้างขวาง ซึ่งแพลตฟอร์มยอดนิยมที่ถูกพูดถึงมากที่สุดในเวลานี้ ที่อินโดนีเซียก็คือ การหาเสียงผ่าน TikTok 

ประเทศอินโดนีเซีย มีประชากรอยู่ราว ๆ 278 ล้านคน มากเป็นอันดับ 4 ของโลก ในจำนวนนั้นมีกลุ่มคนรุ่น Millennials และ Gen Z ที่มีสิทธิ์เลือกตั้งมากถึง 56.5% และยังเป็นกลุ่มที่นิยมติดตามข้อมูลข่าวสารบนช่องทางโซเชียลเป็นอย่างมาก ซึ่งแพลตฟอร์มโซเชียลที่นิยมในกลุ่มคนหนุ่ม-สาวชาวอินโดนีเซียในยุคนี้ หนีไม่พ้น TikTok 

ปัจจุบันอินโดนีเซียมีบัญชีผู้ใช้ TikTok ที่ยัง Active อยู่ถึง 125 ล้านบัญชี นับเป็นประเทศผู้ใช้ TikTok มากที่สุดเป็นอันดับ 2 ของโลก 

การใช้โซเชียลมีเดียช่วยในการหาเสียง มีมานานแล้วในทุกประเทศ ยิ่งในอินโดนีเซียที่กลุ่มคนรุ่นใหม่นิยมเล่นโซเชียลกันเป็นกิจวัตร แต่สิ่งที่น่าสนใจคือ TikTok กลายเป็นสื่อออนไลน์ที่เข้ามามีอิทธิพล และบทบาทอย่างมากในการเผยแพร่เนื้อหา ประเด็นทางการเมือง จนกลายเป็นสนามที่ใช้ต่อสู้อย่างดุเดือดในการหาเสียงเลือกตั้งของอินโดนีเซียในปีนี้

อาร์โย เซโน บากาสโกโร ผู้ทำหน้าที่โฆษกในแคมเปญหาเสียงของนาย กันจาร์ ปราโนโว กล่าวว่า จากการเลือกตั้งครั้งที่แล้ว (2562) ที่ใช้ Instagram ในการหาเสียงผ่านโซเชียลมากที่สุด แต่ทว่าปีนี้กลายเป็นยุคของ TikTok ไปเสียแล้ว

จึงไม่แปลกใจที่ตอนนี้ผู้สมัครแถวหน้าทั้ง 3 คนในศึกชิงตำแหน่งผู้นำอินโดนิเซีย ล้วนสร้างคอนเทนต์เอาใจกลุ่ม Voter รุ่นใหม่ผ่านช่องทาง TikTok กันอย่างคึกคัก อย่างนาย ปราโบโว ซูบิอานโต รัฐมนตรีกลาโหมวัย 72 ปี โชว์คลิปเต้น TikTok กลางเวทีเพื่อสร้างภาพลักษณ์ที่ดูอ่อนวัย กระฉับกระเฉง เข้าถึงง่าย และได้ฐานเสียงกลุ่มคนวัย 40 ไปได้ไม่น้อย 

นาย อานีส บัสเวดัน อดีตผู้ว่ากรุงจาการ์ตา ใช้ TikTok เจาะกลุ่มวัยรุ่นผู้นิยม K-Pop ในอินโดนีเซียได้อย่างกว้างขวาง บางคลิปมีคำบรรยายภาษาเกาหลี และมีการสื่อสารผ่านเครือข่ายกลุ่มแฟนด้อมของไอดอลเกาหลีในอินโดนีเซียในการหาเสียง

ส่วนนาย กันจาร์ ปราโนโว ผู้สมัครแถวหน้าอีกคนใช้ TikTok ในสไตล์หาเสียงที่ต่างออกไป ด้วยการถ่ายคลิปแบบเรียบง่าย เหมือนคนธรรมดาทั่วไปที่เล่น TikTok สวมเสื้อแจ็กเกตแบบ Top Gun บ้าง เสื้อยืดขาวลายเพนกวินธรรมดาบ้าง เดินเท้าเปล่าบ้าง เน้นการสื่อสารที่เข้าถึงชาวบ้านทั่วไปแบบเป็นธรรมชาติ ไม่ปรุงแต่ง ก็ได้รับความสนใจไม่น้อยโลกโซเชียลของอินโดนิเซีย

แม้แต่ละคนจะมีกลยุทธ์การสื่อสารถึงฐานเสียงที่ต่างออกไป แต่ TikTok กลายเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้เลยในสนามเลือกตั้งอินโดนีเซีย แสดงให้เห็นถึงสื่อสังคมออนไลน์อย่าง TikTok ที่มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจของประชาชนผู้ลงคะแนนเสียงมากขึ้นเรื่อย ๆ แม้การหาเสียงแบบเดินเท้า เคาะประตูตามบ้าน หรือแสดงวิสัยทัศน์ผ่านรายการดีเบตบนหน้าจอโทรทัศน์ ยังคงต้องมีอยู่ 

แต่ทั้งนี้ การก้าวขึ้นมาเป็นหนึ่งสื่อหลักของ TikTok ในแคมเปญหาเสียงของแทบทุกพรรคในอินโดนีเซีย อาจกำลังสะท้อนถึงยุคสมัยที่เปลี่ยนผ่านสู่มุมมอง และการตัดสินใจของคนยุคใหม่ ทั้งกลุ่ม Millennials และ Gen Z ที่เกาะกระแสไว เน้นประเด็นหลัก สรุปจบสั้นภายในเวลาไม่ถึง 1 นาที ก็พร้อมเข้าคูหา กาคนที่โดนใจได้แล้ว

‘จีน’ ชูอุตสาหกรรม ‘รีไซเคิล’ เน้นเครื่องใช้ไฟฟ้า-เฟอร์นิเจอร์เก่า หนุนสร้างต้นแบบธุรกิจรักษ์โลก กระตุ้น ปชช.คำนึงถึงสิ่งแวดล้อม

เมื่อไม่นานนี้ สำนักข่าวซินหัว, ปักกิ่ง รายงานว่า  รัฐบาลจีนตั้งเป้าหมายบ่มเพาะการเติบโตของอุตสาหกรรมรีไซเคิลระดับชาติ ซึ่งมุ่งเน้นเครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้านและเฟอร์นิเจอร์เก่า หรือไม่ใช้แล้ว เพื่อกระตุ้นการบริโภคผลิตภัณฑ์ใหม่อันเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และส่งเสริมการพัฒนาอันดีของภาคธุรกิจรีไซเคิล

หนังสือเวียนจาก 9 หน่วยงานรัฐบาลของจีน รวมถึงกระทรวงพาณิชย์ ระบุว่า จีนดำเนินงานเพื่อเพิ่มปริมาณการรีไซเคิลเครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้าน และเฟอร์นิเจอร์เก่าหรือไม่ใช้แล้วอีกร้อยละ 15 ภายในปี 2025 เมื่อเทียบกับปี 2023 พร้อมมุ่งเพิ่มการวางมาตรฐานของภาคธุรกิจรีไซเคิล

การปรับปรุงเครือข่ายการรีไซเคิลของประเทศ บ่มเพาะธุรกิจรีไซเคิลขนาดใหญ่ สร้างสรรค์ต้นแบบการรีไซเคิล และวางมาตรฐานของแนวปฏิบัติการรีไซเคิล จะเป็น 4 พันธกิจหลักของจีนในการส่งเสริมการเติบโตของอุตสาหกรรมรีไซเคิลระดับชาติ

เมืองกลุ่มหนึ่งของจีนจะมีระบบตัวอย่างการรีไซเคิลเครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้าน และเฟอร์นิเจอร์เก่าหรือไม่ใช้แล้ว ซึ่งได้รับการยอมรับระดับชาติภายในปี 2025 พร้อมกับส่งเสริมแนวปฏิบัติอันดีทั่วประเทศ จัดตั้งกลุ่มผู้ประกอบการชั้นนำ และกำหนดข้อบังคับและมาตรฐานที่มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นของอุตสาหกรรมรีไซเคิล

อนึ่ง ข้อมูลจากรัฐบาลจีนระบุว่า มีการใช้งานเครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้านทั่วจีนในปี 2023 มากกว่า 3 พันล้านชิ้น โดยครัวเรือนทั่วประเทศมีเครื่องปรับอากาศ ตู้เย็น และโทรทัศน์เป็นจำนวนมาก

เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 1 ก.พ.ผ่านมา โฆษกกระทรวงพาณิชย์แถลงข่าวว่าครัวเรือนชาวจีนเป็นตลาดขนาดใหญ่ และขับเคลื่อนการเติบโตของการซื้อขายเครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้าน ทำให้การเสริมสร้างอุตสาหกรรมรีไซเคิลมีนัยสำคัญอย่างยิ่ง ต่อการยกระดับการบริโภคของประเทศ

‘ชิลี’ ประกาศภาวะฉุกเฉิน หลังยังไม่สามารถควบคุมเหตุไฟป่าได้ ถือเป็นภัยพิบัติร้ายแรงที่สุด นับตั้งแต่เหตุแผ่นดินไหวเมื่อปี 2010

(4 ก.พ.67) สำนักข่าวต่างประเทศ รายงานสถานการณ์ไฟป่าในประเทศชิลี ที่ยังไม่สามารถควบคุมได้ โดยสำนักข่าวรอยเตอร์ รายงานว่า ทางการชิลีแจ้งเมื่อวันที่ 3 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ว่า ยอดผู้เสียชีวิตจากไฟป่าที่เกิดขึ้นหลายพื้นที่ของประเทศชิลี ทั้งตอนกลางและตอนใต้ ได้เพิ่มสูงขึ้นเป็นอย่างน้อย 51 รายแล้ว และคาดว่ายอดผู้เสียชีวิตจะเพิ่มสูงขึ้นไปอีก ขณะที่ไฟป่าเริ่มลุกลามเข้าพื้นที่ที่มีประชากรอาศัยอยู่หนาแน่นแล้ว

วันเดียวกัน ประธานาธิบดี ‘กาเบรียล บอริก’ แห่งชิลี ได้ประกาศภาวะฉุกเฉินขึ้น ในภูมิภาคตอนกลางและตอนใต้ของประเทศ เนื่องจากสถานการณ์ไฟป่าที่ลุกลามและยังควบคุมไม่ได้ ท่ามกลางสภาพอากาศที่แห้ง และอุณหภูมิที่สูงขึ้นเป็น 40 องศาเซลเซียส ยิ่งส่งผลให้สถานการณ์ไฟป่าในชิลีย่ำแย่ลงไปอีก

ข่าวระบุว่า พื้นที่โดยรอบของเมืองริมชายหาดอย่าง ‘วินา เดล มาร์’ ซึ่งเป็นที่นิยมของนักท่องเที่ยว ได้รับผลกระทบหนักสุดจากเหตุไฟป่า ซึ่งเจ้าหน้าที่กู้ภัยเร่งเข้าไปช่วยเหลืออย่างเร่งด่วนแล้ว

โดยก่อนหน้านี้ ประธานาธิบดีบอริก แจ้งว่า มีผู้เสียชีวิตจากเหตุไฟป่าแล้ว 46 ราย ก่อนที่จะมีการปรับยอดเพิ่มขึ้นเป็น 51 ราย ซึ่ง ‘นางคาริลินา โทฮา’ รัฐมนตรีมหาดไทยของชิลี เปิดเผยว่า ยอดผู้เสียชีวิตได้เพิ่มขึ้น หลังจากมีการพบร่างผู้เสียชีวิตบนท้องถนนเพิ่มขึ้นอีก 5 ราย และคาดว่า จะมีผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้นอีก โดยเฉพาะที่เมืองวาลปาไรโซ ที่กำลังเผชิญกับสถานการณ์เปราะบางมากที่สุด โดยนางโทฮายังกล่าวด้วยว่า ชิลี กำลังเผชิญกับภัยพิบัติที่ร้ายแรงที่สุด นับตั้งแต่เหตุแผ่นดินไหวรุนแรงเมื่อปี 2010 ที่ทำให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 500 ราย

‘ลอนดอน’ ผวา!! ชายทำร้าย ‘หญิง-เด็ก’ ด้วยน้ำกรด  พบประวัติเคยขอลี้ภัย มีคดีล่วงละเมิด ยังจับตัวไม่ได้

ไม่นานมานี้ เพจ ‘Amthaipaper (หนังสือพิมพ์ไทยในอังกฤษ)’ ได้โพสต์ข้อความเผยถึงผู้ต้องสงสัยชายทำร้ายหญิง-เด็กด้วยน้ำกรด เคยขอลี้ภัย มีคดีล่วงละเมิด ระบุว่า…

ชายต้องสงสัยก่อเหตุสาดน้ำกรดใส่หญิงสาวและเด็กหญิง ในย่านแคลปแฮม กรุงลอนดอน ถูกเปิดเผยว่า เคยเป็นผู้อพยพลี้ภัยและมีคดีล่วงละเมิดทางเพศมาก่อน 

ขณะนี้ตำรวจกำลังเร่งติดตามตัว

ผู้ต้องสงสัยรายนี้มีชื่อว่า ‘อับดุล เอเซดี’ อายุ 35 ปี มาจากเมืองนิวคาสเซิล มีบาดแผลสาหัสที่ใบหน้าด้านขวา และถูกพบเห็นครั้งสุดท้ายเมื่อวันพุธที่ 31 มกราคมที่ผ่านมา ในซูเปอร์มาร์เก็ตเทสโก้ สาขาถนนคาเลโดเนียน ใกล้คิงส์ครอส เพียง 1 ชั่วโมงหลังก่อเหตุ

เหยื่อผู้เคราะห์ร้ายคือหญิงสาววัย 31 ปี และลูกสาววัย 3 และ 8 ขวบ ทั้งหมดได้รับบาดเจ็บสาหัส และยังรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล

ตำรวจหลายสิบนายในชุดป้องกัน ‘วัตถุอันตราย’ บุกค้นบ้านพักของเอเซดีใน ย่าน เลย์ตันสโตน ทางตะวันออกของกรุงลอนดอน เมื่อคืนวันพฤหัสบดีที่ 1 ก.พ. แต่ไม่พบตัว

เอเซดีถูกตัดสินว่ามีความผิดในข้อหาล่วงละเมิดทางเพศในปี 2561 และได้รับโทษรอลงอาญาจากศาลนิวคาสเซิล เขาได้รับอนุญาตให้ลี้ภัยหลังจากความพยายามล้มเหลว 2 ครั้ง เขาเดินทางเข้ามาสหราชอาณาจักรด้วยรถบรรทุกในปี 2559 และอ้างว่าเปลี่ยนมานับถือศาสนาคริสต์ เพื่อให้ได้รับการลี้ภัย

ตำรวจนครบาลเผยแพร่ภาพการพบเห็นเอเซดีครั้งสุดท้ายที่เทสโก้ เอ็กซ์เพรส บนถนนคาเลโดเนียน เมื่อเวลา 20.48 น. ของวันพุธ ซึ่งเป็นเพียงหนึ่งชั่วโมงหลังเหตุโจมตี

ผู้กำกับกาเบรียล คาเมรอน กล่าวว่า “ภาพนี้ถ่ายจากร้านเทสโก้ ซึ่งเชื่อกันว่าเอเซดีซื้อขวดน้ำหนึ่งขวด” เขาออกจากร้านแล้วเลี้ยวขวา ภาพดังกล่าวแสดงให้เห็นว่าเอเซดีมีอาการบาดเจ็บสาหัสที่ใบหน้าด้านขวา 

หากพบเห็นเอเซดี ให้โทร 999 ทันที และไม่ควรเข้าใกล้เขา

>> ข้อมูลสำคัญ
• ชื่อ : อับดุล เอเซดี
• อายุ: 35 ปี
• มาจาก : เมืองนิวคาสเซิล
• ลักษณะ : บาดแผลสาหัสที่ใบหน้าด้านขวา
• สถานที่พบเห็นครั้งสุดท้าย : เทสโก้ เอ็กซ์เพรส ถนนคาเลโดเนียน เวลา 20.48 น. วันพุธที่ 31 มกราคม 2567
• เบาะแส : โทร 999

การโจมตีด้วยสารเคมีในแคลปแฮม : อัปเดต

>> ภาพใหม่ของผู้ต้องสงสัย : มีการเผยแพร่ภาพใหม่ของ Abdul Chowdhury Eisadi ผู้ต้องสงสัยในคดีโจมตีด้วยสารเคมีในย่าน Clapham ทางตอนใต้ของกรุงลอนดอน ภาพจากกล้องวงจรปิดแสดงให้เห็น Eisadi กำลังหลบหนีออกจากสถานีรถไฟใต้ดิน Clapham South

>> พบภาชนะบรรจุสารเคมี : เจ้าหน้าที่ตำรวจได้พบภาชนะบรรจุที่มีฉลาก ระบุว่า ‘กัดกร่อน’ ใกล้กับสถานที่เกิดเหตุ เชื่อกันว่าภาชนะเหล่านี้อาจเกี่ยวข้องกับการโจมตี

>> แม่ของผู้ต้องสงสัยถูกนำตัวส่งโรงพยาบาล : แม่ของ Eisadi ถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลหลังจากได้รับยาสลบ ตำรวจไม่ได้เปิดเผยรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับเหตุการณ์นี้

>> การติดตามตัวผู้ต้องสงสัย : เจ้าหน้าที่ตำรวจกำลังติดตามตัว Eisadi อยู่ ยังไม่มีการจับกุมตัวผู้ต้องสงสัย

>> จำนวนผู้บาดเจ็บ : ผู้ได้รับบาดเจ็บ 12 คนจากเหตุการณ์โจมตีครั้งนี้

#amthaipaper #นสพแอมไทย | www.amthai.co.uk |IG: @amthaipaper | Line ID: AmthaiUK |Twitter: @amthaipaper |Tiktok: amthaipaper |YouTube: @TheAmthaipaper | Threads:@amthaipaper

Clapham chemical attack suspect revealed to be refugee sex offender as manhunt stepped up

Clapham chemical attack : New images of suspect taking Tube in escape; containers with ‘corrosive’ labels found; mother sedated in hospital.

The manhunt for Abdul Shokoor Ezedi, who is suspected of committing a chemical attack in south London on Wednesday that injured 12 people, is still ongoing.
.
The suspect had ‘significant injuries’ to his face when he was spotted entering a Tesco on Caledonian Road, near King's Cross, after the attack.
.
The manhunt for a suspect wanted over a corrosive substance attack which left a girl and her mother with potentially life-changing injuries intensified on Friday as it was revealed that he was granted asylum despite being a convicted sex offender.
.
Abdul Ezedi, 35, from the Newcastle area, was described by police as having ‘significant injuries to the right side of his face’. He was still on the run having last been seen at a supermarket in north London on Wednesday evening.

The sighting came just over an hour after the attack on the 31-year-old woman, believed to be known to Ezedi, who was with her daughters, aged three and eight. All three remain in hospital.

Dozens of police dressed in protective ‘hazmat’ suits raided an address in Leytonstone, east London, on Thursday night. It is understood Ezedi had a connection to the area but was not found.

The suspect, who is reportedly from Afghanistan, was convicted of a sexual offence in 2018 and given a suspended sentence at Newcastle crown court. The Crown Prosecution Service confirmed he was sentenced on January 9 of that year after pleading guilty to one charge of sexual assault and one of exposure.

He was granted asylum after two failed attempts, having reportedly travelled to the UK on a lorry in 2016, it is believed.

Ezedi was allowed to stay in Britain after a priest confirmed that he had converted to Christianity and was ‘wholly committed’ to his new religion, the Daily Telegraph reported. An asylum seeker can claim asylum in the UK on the basis of religious persecution in their home country.

The Metropolitan Police have released an image of Ezedi’s last-known sighting, at a Tesco Express in Caledonian Road at 8.48pm on Wednesday - just over an hour after the attack.

Superintendent Gabriel Cameron said : “The image is taken from the Tesco store, where Ezedi is believed to have purchased a bottle of water. He left the shop and turned right. The image shows Ezedi with what appears to be significant injuries to the right side of his face. This makes him distinctive. If you see Ezedi, call 999 immediately. He should not be approached.”

There was a heightened police presence in the area yesterday, including unmarked cars and vans.


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top