Wednesday, 18 June 2025
WORLD

'สื่อญี่ปุ่น' เผย 'รถเทสลา' เริ่มถูกแบนในหลายสถานที่ของ 'จีน' หวั่น!! ถูกนำมาใช้เป็นเครื่องมือจารกรรมข้อมูลในถิ่นมังกร

(26 ม.ค. 67) สื่อเผยป้าย 'รถเทสลาห้ามเข้า' ในหลายสถานที่ของจีน กลายเป็นเหตุชวนกุมขมับสำหรับผู้ขับขี่ รถยนต์ไฟฟ้า ยอดฮิตสัญชาติอเมริกัน ที่มีฐานผลิตใหญ่ในเซี่ยงไฮ้ เพราะดูจะมีสถานที่ห้ามรถ 'เทสลา' เข้า จำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ โดย อ้างเหตุผลด้านความปลอดภัยทางข้อมูล

สำนักข่าว นิกเกอิ เอเชีย รายงานโดยอ้างอิงแหล่งข่าวว่า ผู้ขับขี่ รถยนต์ไฟฟ้า ของ 'เทสลา' (Tesla) ใน ประเทศจีน กำลังเผชิญกับข้อจำกัดในการเดินทางเข้าสถานที่บางแห่งที่เกี่ยวข้องกับรัฐบาลจีน เช่น ศูนย์ประชุม, ศูนย์นิทรรศการ, สถานที่ราชการบางแห่ง ฯลฯ เนื่องด้วยเกิดความกังวลด้าน ความปลอดภัยของข้อมูล ท่ามกลางความสัมพันธ์ที่ตึงเครียดอย่างต่อเนื่องระหว่างสหรัฐอเมริกาและจีน

แหล่งข่าวกล่าวกับสำนักข่าวนิกเกอิ เอเชียว่า สถานที่ต่างๆ ในจีนได้เริ่มห้ามรถของเทสลาเข้าพื้นที่มากขึ้นเรื่อยๆ หลังจากเริ่มต้นสั่งห้ามมาตั้งแต่ปีที่แล้ว (2566) ซึ่งสถานที่เหล่านี้รวมถึง สถานที่ราชการ หน่วยงานท้องถิ่น ผู้ให้บริการทางหลวง และแม้แต่ศูนย์วัฒนธรรมและศูนย์จัดนิทรรศการ โดยก่อนหน้านี้ ข้อห้ามดังกล่าวจำกัดเพียงแค่ฐานทัพหรือสถานที่ทางการทหารเป็นหลัก

หนึ่งในตัวอย่างของข้อจำกัดดังกล่าวเกิดขึ้นที่ศูนย์ประชุมแกรนด์ ฮอลล์ (Grand Halls) บริเวณใจกลางย่านนอร์ทบันด์ของนครเซี่ยงไฮ้ ซึ่งเป็นศูนย์ประชุมที่ดำเนินการโดยองค์กรที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลจีน ที่นี่ถูกใช้เป็นสถานที่จัดกิจกรรมทางวัฒนธรรม นิทรรศการระดับนานาชาติ และงานเลี้ยงต่างๆ

ผู้อาศัยในพื้นที่กล่าวว่า รถของเทสลาถูกห้ามไม่ให้เข้าไปในพื้นที่ของศูนย์ประชุมแกรนด์ ฮอลล์ แม้ว่ารถยนต์คันดังกล่าวเพียงแค่ขับผ่านก็ตาม

"หากคุณจะเข้าร่วมการประชุมที่นั่น ผู้จัดการประชุมจะแจ้งให้คุณทราบล่วงหน้า โดยแจ้งไม่ให้คุณขับรถเทสลา หรือเช่ารถเทสลาเข้าไป เนื่องจากคุณจะไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าสถานที่" ผู้อาศัยในพื้นที่รายหนึ่งกล่าว

ก่อนหน้านี้ เมืองบางแห่งในจีน ซึ่งมักเป็นเจ้าภาพการแข่งขันกีฬารายการสำคัญๆ ได้เพิ่มมาตรการจำกัดต่อรถเทสลา เช่น กรณีหนึ่งที่เมืองเฉิงตู ซึ่งเป็นเมืองที่ขึ้นชื่อด้านการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยี รวมถึงการผลิตยุทโธปกรณ์ทางทหาร โดยผู้อาศัยในพื้นที่กล่าวว่ารถของเทสลาถูกห้ามไม่ให้ใช้ถนนบางเส้นระหว่างการแข่งขันกีฬามหาวิทยาลัยโลกเมื่อฤดูร้อนปีที่แล้ว

รายงานระบุว่า จีนคือตลาดสำคัญของเทสลา แต่เทสลากำลังเผชิญการแข่งขันที่ดุเดือดมากขึ้นเรื่อย ๆ จากบรรดาแบรนด์คู่แข่งสัญชาติจีนเอง โดยล่าสุด บีวายดี (BYD) ซึ่งเป็นแบรนด์รถยนต์ไฟฟ้าสัญชาติจีน เพิ่งสร้างสถิติใหม่ ทำยอดขายทั่วโลกแซงหน้าเทสลาได้ในไตรมาสสุดท้ายของปี 2566

ชื่นชม!! ‘ทีมแพทย์จีน’ มุ่งมั่นเดินหน้า ‘ผ่าตัดสมอง’ สำเร็จ แม้ต้องเผชิญเหตุ ‘แผ่นดินไหว’ ในซินเจียงอุยกูร์ก็ตาม

(25 ม.ค. 67) ย้อนชมการปฏิบัติงานอย่างมืออาชีพของทีมแพทย์และพยาบาลประจำโรงพยาบาลแห่งหนึ่งในเมืองอาลาเอ่อร์ เขตปกครองตนเองซินเจียงอุยกูร์ ทางตะวันตกเฉียงเหนือของจีน ซึ่งยังคงปฏิบัติการ ‘ผ่าตัด’ ต่อไปอย่างระมัดระวังแม้เผชิญเหตุแผ่นดินไหว

ซึ่งคลิปวิดีโอเผยภาพทีมแพทย์และพยาบาล นำโดยศัลยแพทย์อันซูฟาง กำลังทำการผ่าตัดเปิดกะโหลกศีรษะผู้ป่วยวิกฤตรายหนึ่ง ก่อนที่ไม่กี่วินาทีถัดมา จะเกิดการสั่นไหวจนพวกเขาทั้งหมดรับรู้ได้และนิ่งค้างอยู่ชั่วอึดใจ

แม้อุปกรณ์การแพทย์ในห้องผ่าตัดจะสั่นไหวตามแรงแผ่นดินไหว อันซูฟางและทีมงานยังคงสงบและมีสมาธิอย่างมืออาชีพ จนกระทั่งทำการผ่าตัดที่มีความเสี่ยงสูงนี้เสร็จสิ้น และผู้ป่วยอยู่ในภาวะปลอดภัย

อันซูฟางเล่าว่าผู้ป่วยรายนี้ต้องรับการผ่าตัดเปิดกะโหลกฉุกเฉิน หลังจากประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์จนเกิดภาวะสมองเลื่อน ส่วนเหตุแผ่นดินไหวทำให้เตียงสั่น แต่เขายังคงผ่าตัดต่อจนสำเร็จลุล่วงด้วยดี

ทั้งนี้ อำเภออูสือ แคว้นอาเค่อซูของซินเจียง เผชิญเหตุแผ่นดินไหวรุนแรง ขนาด 7.1 ตามมาตราแมกนิจูด ตอนราว 02.09 น. ของวันอังคาร (23 มกราคม ) ตามเวลาปักกิ่ง โดยจุดศูนย์กลางการสั่นไหวอยู่ลึกใต้ดินราว 22 กิโลเมตร และห่างจากเมืองอาลาเอ่อร์ราว 240 กิโลเมตร

‘อย.เกาหลีใต้’ เตือน!! ไม่ควรกิน ‘ไม้จิ้มฟันผลิตจากพืช’ ทุกชนิด ชี้!! อาจแพ้-ท้องเสียได้ หลังเด็ก-เยาวชนทำตามคอนเทนต์ในโซเชียล

องค์การอาหารและยาแห่งเกาหลีใต้ได้ออกเอกสารเตือนเรื่อง ‘การบริโภคไม้จิ้มฟัน’ ที่กำลังเป็นกระแสในโซเชียลแดนโสมขาว

โดยเฉพาะไม้จิ้มฟันสีเขียว ที่ทำจากแป้งข้าวโพด นิยมนำมาดัดแปลงทำอาหารบ่อยที่สุด จนหน่วยงานด้านอาหารและยาต้องออกโรงเตือนว่า ไม่ควรรับประทานไม้จิ้มฟัน เพราะถึงแม้ตัวไม้จิ้มฟันจะทำจากแป้ง แต่ก็ไม่ได้ผลิตมาเพื่อใช้บริโภคโดยตรง จุดประสงค์เพื่อเป็นของใช้ภายนอก และใช้ครั้งเดียวทิ้ง เช่นเดียวกับ แก้วน้ำ หรือ หลอดกาแฟ ที่ทำจากกระดาษ ดังนั้น จึงมีความเสี่ยงเรื่องสุขอนามัย หากบริโภคไม้จิ้มฟันเข้าไปในร่างกาย 

ด้านกระทรวงสาธารณสุขก็ได้ออกมาเตือนเหล่าบรรดายูทูบเบอร์ ที่เผยแพร่คลิปวิดิโอ แสดงวิธีการดัดแปลงไม้จิ้มฟันแป้งข้าวโพดมาทำอาหารเป็นจำนวนมาก หลังจากที่มีอินฟลูเอนเซอร์สาวชาวเกาหลี ในชื่อบัญชี @hiharu_22 เผยแพร่คลิปนำไม้จิ้มฟันไปทอดจนฟูกรอบ และนำมาราดด้วยชีส และกลายเป็นกระแสไวรัลในทันที เมื่อคลิปมียอดวิวสูงถึง 4.4 ล้านวิว จึงมียูทูบเบอร์คนอื่น ๆ ทำตามด้วยการนำไม้จิ้มฟันมาต้มกินแทนบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป นำไปผัดเป็นเส้นก๋วยเตี๋ยว และอื่น ๆ อีกมากมาย

ปัญหาที่ตามมาคือ มีเด็กนักเรียน และวัยรุ่นเกาหลีจำนวนมาก แห่กินไม้จิ้มฟันตามคลิปที่แชร์ตาม ๆ กันมา ซึ่งเป็นอิทธิพลจากกระแสวัฒนธรรมการโชว์กินอาหารออกสื่อในโซเชียล ที่เรียกกว่า ‘ม็อกบัง’ (먹방) หนึ่งในคอนเทนต์ที่นิยมมาก ๆ ในเกาหลีใต้ จนผู้ปกครองเริ่มเป็นห่วงว่าการกินไม้จิ้มฟันจำนวนมาก ๆ อาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพได้ 

เช่นเดียวกับองค์การอาหารและยาของเกาหลี ที่ต้องรีบออกมาเตือนว่า ไม่ควรบริโภคไม้จิ้มฟันแป้งข้าวโพดโดยเด็ดขาด เนื่องจากไม้จิ้มฟันประเภทนี้ มักทำจากแป้งข้าวโพด หรือ แป้งมันฝรั่ง ผสมกับ สารซอร์บิทอล สารส้ม และสีสังเคราะห์ ที่เป็นสารเคมี ถึงแม้จะไม่ใช่สารที่เป็นอันตราย หากบริโภคเข้าไปเพียงเล็กน้อย แต่ถ้าบริโภคเป็นปริมาณมาก ๆ อาจทำให้เกิดอาการแพ้ ท้องร่วง อาเจียน หรือเกิดการอักเสบของอวัยภายในร่างกายได้

ดังนั้น ชาวโซเชียลก็ต้อง ‘พักก่อน’ ไม้จิ้มฟัน มีไว้จิ้มฟันพอ ถ้าหิวจริง ๆ ก็หาอย่างอื่นกินดีกว่า 

‘จอห์นสัน’ ยอมจ่าย 25,000 ลบ. ให้ศาลสหรัฐฯ กว่า 40 แห่ง หวังจบปัญหาเรื่องส่วนผสมมี ‘สารก่อมะเร็ง’ ในแป้งเด็ก

เมื่อวานนี้ (24 ม.ค. 67) ยืดเยื้อยาวนานมา 14 ปีเต็ม นับตั้งแต่วันแรกที่มีการส่งตรวจผลิตภัณฑ์แป้งเด็ก ‘จอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน’ พร้อมกับข้อกล่าวหาเรื่องสารก่อมะเร็ง โดยที่ผ่านมาบริษัทเผชิญมรสุมถูกฟ้องร้องหลายหมื่นคดีทั่วสหรัฐ แม้จะมีทั้งคดีที่ชนะและแพ้ปะปนกัน แต่ความเสียหายที่เกิดขึ้นแทบจะประเมินมูลค่าไม่ได้

กระทั่งปี 2565 บริษัทประกาศยุติการจำหน่ายแป้งที่มี ‘แร่ทัลก์’ เป็นส่วนประกอบทุกประเทศทั่วโลก ปรับเปลี่ยนส่วนผสมเป็น ‘แป้งข้าวโพด’ แทน และในวันที่ 24 ม.ค.67 ก็มีรายงานจากสำนักข่าว ‘เดอะวอลล์สตรีทเจอร์นัล’ (The Wall Street Journal) ออกมาเพิ่มเติมว่า ‘จอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน’ (Johnson & Johnson) จ่ายเงินตามข้อตกลงเป็นมูลค่า 700 ล้านดอลลาร์ หรือคิดเป็นเงินไทยราว 25,000 ล้านบาท เพื่อยุติการสอบสวนในศาลสหรัฐมากกว่า 40 แห่ง

‘โจเซฟ วอล์ค’ (Joseph Wolk) ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงิน ‘จอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน’ ระบุว่า ข้อตกลงดังกล่าวนับเป็นขั้นตอนที่สำคัญอย่างยิ่ง หลังจากบริษัทต้องเผชิญกับคดีแป้งเด็กมาหลายปี โดยยอมรับว่า บริษัทพยายามทิ้งเรื่องเหล่านี้ไว้ข้างหลังอย่างสมเหตุสมผลเพื่อก้าวต่อไปข้างหน้า อย่างไรก็ตามตลอดระยะเวลาหลายสิบปีมานี้ บริษัทมีโจทก์ยื่นฟ้องกว่า 52,000 ราย จากข้อกล่าวหาว่าด้วยส่วนผสมของแป้งฝุ่นที่มีสารก่อมะเร็งอยู่ด้วย

เดอะวอลล์สตรีทเจอร์นัล ระบุว่า หากจะแก้ไขปัญหาเพื่อให้ครอบคลุมเงินเยียวยาโจทก์ผู้ฟ้องร้องทั้งหมด จอห์นสันฯ อาจต้องควักกระเป๋าจ่ายด้วยมูลค่าหลักพันล้านดอลลาร์ โดยเมื่อปี 2565 บริษัทเคยเสนอชดใช้แก่ผู้เสียหายด้วยตัวเลข 8,900 ล้านดอลลาร์ หรือคิดเป็นเงินไทยราว 317,885 ล้านบาท ผ่านการยื่นล้มละลายเพื่อขอความคุ้มครองจากศาล ซึ่งศาลล้มละลายได้ปฏิเสธแผนดังกล่าว เนื่องจากบริษัทไม่ได้ประสบปัญหาทางการเงิน ทำให้คดียืดเยื้อออกไปอีกจนถึงวันนี้ และแม้ว่าตัวเลข 700 ล้านดอลลาร์ จะนับว่าสูงมากแล้ว แต่สื่อนอกหลายสำนักก็ได้มีการประเมินว่า จอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน อาจต้องจ่ายมากถึง 10,000 ล้านดอลลาร์ จนกว่าทุกอย่างจะสิ้นสุดลง

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าที่ผ่านมาบริษัทจะ ‘ชนะคดี’ เป็นส่วนใหญ่ แต่ก็พบว่า มูลค่าความเสียหายที่เกิดขึ้นมีอีกสารพัดอย่าง ก่อนหน้าการจ่ายเงินเพื่อยุติการสอบสวนครั้งนี้ บริษัทจ่ายไปแล้วกว่า 2,100 ล้านดอลลาร์ หรือคิดเป็นเงินไทยราว 75,000 ล้านบาท ให้แก่หญิงสาวกว่า 20 ราย ที่กล่าวหาบริษัทว่า แป้งเด็กของจอห์นสันฯ ทำให้พวกเธอเป็น ‘มะเร็งรังไข่’ หลังศาลฎีกาปฏิเสธที่จะฟังคำอุทธรณ์ของบริษัทในปี 2564

'วุฒิสมาชิกรัฐเวอร์มอนด์' ปลุกสติ 'คนอเมริกัน' หาทางรอดที่แท้จริงจากวิกฤต โยนทิ้ง 'ประชาธิปไตย' หายนะที่ซ่อนอยู่ในคราบแห่ง 'ความหวัง-เท่าเทียม'

ไม่นานมานี้ เบอร์นี่ แซนเดอร์ส (Bernie Sanders) วุฒิสมาชิกรัฐเวอร์มอนด์ สังกัดพรรครัฐบาลเดโมแครต ได้กล่าวในสิ่งที่กำลังทำให้ชาวอเมริกันต้องคิดหนักถึงโลกแห่งความจริง ในวันนี้ที่ แนวคิดตะวันออก คือ ทางเลือกบนทางรอด และถึงวันที่ โลกทุนนิยม...กำลังเดินมาถึงจุด...รอวันล่มสลายแล้ว

เบอร์นี กล่าวว่า 'ประชาธิปไตย' ไม่ใช่ทางเลือกของโลกอีกต่อไปแล้ว เราต้องช่วยกัน เปลี่ยนแปลงการปกครองของประเทศเรา ให้เป็น 'สังคมนิยม' และประเทศในกลุ่มประชาธิปไตย ไม่อาจหนีการเปลี่ยนแปลงนี้ได้ และผมเสนอแนวคิดให้เปลี่ยนแปลงการปกครองประเทศสหรัฐอเมริกาเป็น 'สังคมนิยมกึ่งประชาธิปไตย' 

เหตุผลที่ เบอร์นี กล่าวเช่นนี้ เพราะเขามองว่าสภาพการเมืองของสหรัฐอเมริกาในปัจจุบัน กำลังมุ่งสู่ 'คณาธิปไตย' และ 'ลัทธิอำนาจนิยม' มากขึ้น

“มีเพียงเศรษฐีกลุ่มเล็ก ๆ ที่ร่ำรวยอย่างมาก และมีอำนาจควบคุมหัวใจเศรษฐกิจ และ อำนาจทางการเมืองของสหรัฐอเมริกามากขึ้นเรื่อย ๆ ทุกวันนี้คนอเมริกัน มีเพียง 3 ตระกูลเท่านั้นที่ครองความมั่งคั่งมากกว่าครึ่งหนึ่งของคนอเมริกันทั้งประเทศ จนเป็นไปในลักษณะ 'รวยกระจุกจนกระจาย'”

เบอร์นี ขยายความอีกว่า ผู้ร่ำรวยที่สุด ในสหรัฐอเมริกา มีเพียง 1% ของประชากร 328 ล้านคน ครอบครองความมั่งคั่ง มากกว่า ประชากร 92% รวมกัน นี่คือ ความจริงที่ปฏิเสธไม่ได้

อีกทั้ง 49% จากรายได้ของชาวอเมริกันในแต่ละวัน กลายเป็นของคนกลุ่มรวยที่สุด 1% นั้นด้วย นั่นจึงทำให้สังคมในสหรัฐอเมริกา ที่แท้จริง 'ไม่มีความเท่าเทียม' อีกแล้ว แต่กลับมีความเหลื่อมล้ำมากขึ้น ภายใต้ชื่อ 'ระบบประชาธิปไตย'

ปัจจุบันนี้ คนอเมริกันเกือบ 40 ล้านคน หรือราว 12.2% เป็น 'คนยากจน' ... ทุกคืน จะมีคนราว 5 แสนคน ต้องนอนข้างถนน เพราะเป็นคนไร้บ้าน

ขณะที่อีกประมาณ 50% ของคนอเมริกัน มีเงินไม่พอใช้ 'ต้องหาเช้ากินค่ำ' มีเงินใช้แบบเดือนชนเดือนเท่านั้น

เบอร์นี กล่าวว่า ระบอบทุนนิยมเสรี เป็นระบอบการปกครองที่ล้มเหลว ที่ทำให้ระบบเศรษฐกิจพังทลาย และ 'ไม่ยุติธรรม' บรรดามหาเศรษฐี เสพสุขกับตลาดหุ้น คอยเก็บเกี่ยวความมั่งคั่งที่เกิดขึ้น แต่ชนชั้นกลาง กับ ผู้ใช้แรงงานต้อง 'ดิ้นรนหาเลี้ยงชีพ' ถึงขนาดที่มีการวัดกันว่า รายได้เฉลี่ยของกรรมกรอเมริกันตอนนี้ ยังคงพอๆ กับรายได้เมื่ออดีต 46 ปีก่อนกันเลยทีเดียว

"ผู้ใช้แรงงานจำนวนมาก ต้องดิ้นรน ทำงานหลายงาน เพื่อความอยู่รอด ระบอบประชาธิปไตย สร้างความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ ส่งผลต่อวิถีการดำเนินชีวิต การดิ้นรนต่อสู้ มีผลต่ออายุขัยด้วย เพราะเศรษฐีอเมริกันจะมีอายุยืนยาว กว่าคนจน เฉลี่ยถึง 15 ปี" เบอร์นี กล่าวและว่า...

"อุดมคติเดิมที่ว่า ระบอบประชาธิปไตย ทำให้ทุกคนมีโอกาสเท่าเทียมกัน คนขยันมีโอกาส สร้างตนสร้างฐานะนั้น พิสูจน์ได้ว่า ล่มสลายลงไปแล้ว ไม่ได้เป็นเช่นนั้นอีกแล้ว เยาวชนคนรุ่นใหม่ มีแนวโน้มใช้ชีวิตอย่างยากลำบาก มีคุณภาพชีวิตที่ย่ำแย่ มากกว่าคนรุ่นก่อน ที่เป็นบิดารมารดาปู่ย่าตายาย...

"การแก้ปัญหาความไม่เท่าเทียม ปัญหาความเหลื่อมล้ำ เต็มไปด้วยอุปสรรค เพราะบริษัทยักษ์ พวกตลาดหุ้น ชนชั้นปกครองชนชั้นสูง (อีลิท) ต่อต้านการเปลี่ยนแปลงนี้ คนเหล่านี้ รวมหัวกัน ต่อต้านแนวคิดสังคมนิยม ต่อต้านนโยบายหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า พวกเขาเป็นเจ้าของสื่อสารมวลชน เจ้าของในตลาดหุ้น ที่สามารถควบคุมความคิดของคนส่วนใหญ่ในสหรัฐอเมริกา ให้มองไม่เห็นสาเหตุ ที่มาของปัญหาว่า เกิดจากระบบทุนผูกขาด"

เบอร์นี เปิดเผยด้วยว่า ชนชั้นปกครอง ในทำเนียบขาว ใช้วิธีการเดิม ๆ พยายามเบี่ยงเบนปัญหาสำคัญ  ภายในประเทศไปเป็นเรื่องอื่น ๆ ตลอดมา เช่น พยายามใช้วิธีแบ่งแยกประชาชน ให้มีการเหยียดผิว สร้างความเกลียดชัง ยุยงก่อให้เกิดสงคราม ยุแยงให้เกิดความแตกแยกไปทั่วโลก เพื่อให้อุตสาหกรรมค้าอาวุธเติบโต เพื่อมาค้ำจุนให้เกิดการจ้างงาน จ้างผู้ชำนาญการพิเศษในทุกสาขา เช่น ด้านไอที ที่เป็นหัวใจของอุตสาหกรรมมาช่วยผลิตอาวุธยุทโธปกรณ์ยุคใหม่

ดังนั้น ประเทศ สหรัฐอเมริกา ไม่ควรสร้างลัทธิการเมืองบนความเกลียดชัง ความคิดในการยุให้เกิดการแบ่งแยก แต่ควรใช้หลักคิด ในระบอบการปกครองที่มีคุณธรรม มีเมตตา ยุติธรรม และ ความรัก นั่นคือ ต้องเปลี่ยนแปลงการปกครอง ของ สหรัฐอเมริกา เป็น 'สังคมนิยม กึ่งประชาธิปไตย'

"สหรัฐอเมริกา จึงจะรอดจากหายนะ"

เบอร์นี่ แซนเดอร์ส วุฒิสมาชิกรัฐเวอร์มอนด์

จีนขุดพบแหล่ง 'แร่ลิเทียม' เกือบ 1 ล้านตัน เชื่อ!! ช่วยรองรับตลาดรถ EV ที่กำลังเติบโต

ไม่นานมานี้ สำนักข่าวซินหัว เผยรายงานของกระทรวงทรัพยากรธรรมของจีน ระบุว่า จีนค้นพบแร่ลิเทียมเกือบหนึ่งล้านตัน ในย่าเจียง มณฑลเสฉวน ทางตะวันตกเฉียงใต้ของจีน ซึ่งถูกยืนยันแล้วว่าเป็นแหล่งแร่ลิเทียมชนิดเพ็กมาไทต์โมโนเมอร์ที่ใหญ่ที่สุดในเอเชีย

ลิเทียม เป็นโลหะอัลคาไล สีขาวเงิน มีเลขอะตอม 3 และขึ้นชื่อในเรื่องคุณสมบัติเฉพาะตัว เช่น เป็นโลหะที่เบาที่สุด มีศักยภาพทางไฟฟ้าเคมีสูงสุด และไวต่อน้ำ

ในฐานะ 'โลหะพลังงานสีเขียวแห่งศตวรรษที่ 21' แร่ลิเทียมมีความสำคัญอย่างมากต่อความพยายามในการบรรลุเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน นอกจากนี้ยังเป็นองค์ประกอบสำคัญในการผลิตรถยนต์ไฟฟ้า, แบตเตอรีลิเทียมไอออน และแบตเตอรีโซลาร์

ทั้งนี้กระทรวงฯ จะส่งเสริมการใช้ประโยชน์และการจัดสรรพื้นที่เหมืองแร่ลิเทียมอย่างต่อเนื่อง เพิ่มปริมาณแร่ลิเทียม และกระตุ้นการพัฒนาตลาดเหมืองแร่ลิเทียม เพื่อรองรับตลาดยานยนต์ไฟฟ้าที่เติบโตอย่างรวดเร็วและความต้องการทั่วโลกที่เพิ่มสูงขึ้น โดยจีนเป็นผู้ผลิตยานยนต์ไฟฟ้ารายใหญ่ที่สุดของโลกด้วยสัดส่วนกว่า 60% ในปี 2022

โดยปกติแล้วแร่ลิเธียมมักพบในประเทศต่าง ๆ เช่น อาร์เจนตินา, โบลิเวีย, ชิลี, ออสเตรเลีย, จีน และสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นผู้ผลิตลิเทียมรายใหญ่

‘ทรัมป์’ โกยคะแนนชนะ ‘เฮลีย์’ เลือกตั้งขั้นต้นรัฐนิวแฮมป์เชียร์ จ่อเป็นตัวแทนรีพับลิกัน ชิงเก้าอี้ปธน.สหรัฐ กับ ‘โจ ไบเดน’

(25 ม.ค. 67) สำนักข่าวต่างประเทศ รายงานว่าการเลือกตั้งขั้นต้นเพื่อหาตัวแทนพรรครีพับลิกันในการเลือกตั้งชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่รัฐนิวแฮมป์เชียร์ ซึ่งเป็นรัฐที่สอง เสร็จสิ้นลงแล้ว ปรากฏว่า โดนัลด์ ทรัมป์ ชนะขาดตามคาดเหนือ นิคกี เฮลีย์ คู่แข่งที่เหลือเพียงคนเดียว จ่อได้เป็นตัวแทนพรรคเข้าไปชิงชัยกับ โจ ไบเดน จากเดโมแครต

การเลือกตั้งที่รัฐนิวแฮมป์เชียร์ ตอกย้ำความได้เปรียบของทรัมป์หลังจากที่เขาชนะรัฐไอโอวา รัฐแรกเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ที่รัฐนิวแฮมป์เชียร์นี้ เหลือเพียงเขากับ นิคกี เฮลีย์ คู่แข่งที่เขาเคยแต่งตั้งให้เป็นทูตสหรัฐประจำสหประชาชาติ ขณะที่เขาดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี เพราะผู้สมัครคนอื่นถอนตัวไปแล้ว ล่าสุด ผลการนับคะแนนเสร็จสิ้นไปกว่าร้อยละ 90 ผลปรากฏว่า ทรัมป์ ชนะการเลือกตั้งที่นิวแฮมป์เชียร์ โดยได้คะแนนไปราวร้อยละ 50 ทิ้งห่างเฮลีย์ ที่ได้ประมาณร้อยละ 40

หลังจากทราบผลไม่เป็นทางการ ทรัมป์ ได้เปิดแถลงข่าวและได้วิจารณ์ล้อเลียน เฮลีย์ ว่า เป็นผู้แพ้ที่ไม่ยอมรับความจริง เหมือนกับการเลือกตั้งที่ไอโอวาก่อนหน้านี้ ที่ได้คะแนนเป็นลำดับสาม แต่กลับปราศัยราวกับเป็นผู้ชนะทั้ง ๆ ที่ล้มเหลวในการเลือกตั้ง เขายังได้ยกความสำเร็จทั้งในการเลือกตั้งและการสำรวจว่าได้รับความนิยมและเชื่อมั่นจากประชาชนให้เป็นตัวแทนพรรครีพับลิกันชิงทำเนียบขาวกลับคืนมาจาก โจ ไบเดน ประธานาธิบดีคนปัจจุบัน เพื่อทำให้อเมริกากลับมายิ่งใหญ่อีกครั้ง

ด้าน เฮลีย์ ก็ได้แถลงกับผู้สนับสนุนเช่นกัน และประกาศว่าจะยังไม่ถอนตัวและต่อสู้ต่อไป โดยได้แสดงความยินดีกับทรัมป์ เพราะการแข่งขันยังไม่เสร็จสิ้นยังมีอีกหลายรัฐรออยู่ เฮลีย์ยังได้ท้าทายให้ทรัมป์ แสดงความกล้าหาญด้วยการร่วมโต้วาที ประชันวิสัยทัศน์กับเธอหลังจากที่ได้หลีกเลี่ยงไม่ร่วมการโต้วาทีกับผู้สมัครคนอื่น ๆ เลย

ส่วนทางด้านพรรคเดโมแครตของประธานาธิบดี โจ ไบเดน ก็มีการเลือกตั้งขั้นต้นในนิวแฮมป์เชียร์ในวันเดียวกัน แต่เนื่องจากเกิดขัดแย้งภายในพรรค ทำให้ชื่อของไบเดนไม่อยู่บนบัตรเลือกตั้ง และทำให้ผลเลือกตั้งในนิวแฮมป์เชียร์ของพรรคเดโมแครต จะไม่ได้รับการรับรองผล

สำหรับการเลือกตั้งขั้นต้นครั้งต่อไปที่รัฐเซาท์แคโรไลนา ซึ่งเฮลีย์เคยเป็นผู้ว่าการรัฐติดต่อกัน 2 สมัย จะจัดขึ้นในวันที่ 24 กุมภาพันธ์นี้ ซึ่งจะเป็นรัฐที่เฮลีย์แพ้ไม่ได้ หลังจากแพ้มาแล้วใน 2 รัฐแรก

ประธาน TOYOTA ลั่น!! "รถ EV จะไม่มีวันครองโลก" เพราะคนเป็นพันล้านคนบนโลก ยังไม่มีไฟฟ้าใช้เลย

(24 ม.ค. 67) Business Tomorrow เผย เมื่อไม่นานมานี้ Akio Toyoda ประธานบริษัทโตโยต้าได้กล่าวอ้างว่ารถยนต์ไฟฟ้าจะไม่ครองตลาดโลก และยังกล่าวอ้างอีกว่าส่วนแบ่งการตลาดของรถยนต์ไฟฟ้า EV จะมีไม่เกิน 30% ก่อนที่สิ่งนี้จะจุดชนวนให้เกิดบทสนทนาและข้อถกเถียงที่น่าสนใจเกี่ยวกับอนาคตของรถยนต์ไฟฟ้า

📌 รถยนต์ EV อาจไม่ใช่อนาคต

ตามคำกล่าวของ Akio Toyoda (อากิโอะ โตโยดะ) ระบุว่าโลกใบนี้ไม่ควรพัฒนารถยนต์ไฟฟ้า EV แต่ควรโฟกัสไปที่รถยนต์ไฮบริดและรถยนต์พลังงานไฮโดรเจนที่บริษัท Toyota กำลังพัฒนาอยู่ในปัจจุบัน

ทั้งนี้เขาเชื่อว่ารถยนต์ EV 100% จะสามารถครองส่วนแบ่งการตลาดได้สูงสุดเพียง 30% ซึ่งน้อยกว่าส่วนแบ่งปัจจุบันในสหราชอาณาจักรเกือบ 2 เท่า และที่เหลืออีก 70% จะเป็นรถยนต์ไฮบริดและรถยนต์พลังงานไฮโดรเจนที่เข้ามาครองส่วนแบ่งการตลาด

เหตุผลเนื่องจากผู้คนกว่า 1 พันล้านคนบนโลกที่ใช้ชีวิตอยู่โดยไม่มีไฟฟ้า แต่ใช้น้ำมันในการผลิตไฟฟ้าและขนส่ง สิ่งนี้ทำให้ประธาน TOYOTA มองว่า EV จะยังเข้าไม่ถึงกลุ่มคนเหล่านี้ที่มีอยู่ในปริมาณมาก แต่การใช้รถยนต์พลังงานไฮโดรเจนสามารถทำให้พวกเขาใช้ชีวิตได้ง่ายขึ้น

📌 ทั่วโลกโต้แย้ง EV ยังเป็นทางออกสำหรับสิ่งแวดล้อม

ความกังวลด้านสิ่งแวดล้อมและแรงจูงใจของรัฐบาลกำลังผลักดันให้ใช้งานรถยนต์ไฟฟ้าทั่วโลก ความหลากหลายและราคาที่เพิ่มขึ้นจะดึงดูดผู้บริโภคมากขึ้น โดยเชื่อว่าปริมาณการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์จะลดลงได้มากกว่า 15 ตันต่อคันต่อปี

หรือถ้าหากคิดว่าโลกใบนี้มีรถยนต์อยู่ราว ๆ 1.5 พันล้านคัน และมีอัตราการเปลี่ยนอยู่ที่ 30% จะสามารถลดปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ไปได้มากกว่า 6.75 หมื่นล้านตันต่อปี เลยทีเดียว

ปัจจุบันปฏิเสธไม่ได้ว่ารถยนต์น้ำมันยังคงได้รับความนิยมมากกว่า แต่นั่นคือ #ตลาดเก่า ที่เกิดขึ้นมาก่อนการเปลี่ยนแปลง และหมายความว่าในอนาคตหากเทคโนโลยีด้านรถยนต์และแบตเตอรี่ถูกพัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็ว และทำให้มีประสิทธิภาพเทียบเท่ากับรถยนต์น้ำมัน ทั้งในแง่ระยะทาง ระยะเวลาการใช้งาน ราคาที่โดนใจผู้บริโภค และการซ่อมแซมที่รวดเร็ว ก็คงไม่มีเหตุผลอะไรที่ทำให้รถยนต์ EV ไม่เป็นที่นิยม

อย่างไรก็ตามระยะเวลาในการยอมรับรถยนต์ไฟฟ้าอย่างแพร่หลายและส่วนแบ่งตลาดที่พวกเขาจะคว้าได้จะขึ้นอยู่กับปัจจัยต่างๆ เช่น ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี นโยบายของรัฐบาล ความชอบของผู้บริโภค และการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ทำให้ต้องมาติดตามกันว่าสุดท้ายแล้วรถยนต์ EV จะสามารถครองส่วนแบ่งการตลาดโลกได้มากกว่ารถยนต์น้ำมันหรือไม่ ?

ผู้เขียน : กิตตินันท์ จอมประเสริฐ

‘Intel’ เตรียมตั้งโรงงานผลิตชิปแห่งใหม่ในเยอรมนี ผลิตชิปขนาด 1.5 nm แม่นยำ-ก้าวหน้าที่สุดในโลก

(23 ม.ค. 67) Pat Gelsinger CEO ของ Intel ให้สัมภาษณ์กับ CNBC ว่าโรงงานที่ Intel กำลังสร้างในเมือง Madeburg ประเทศเยอรมนี จะเป็นโรงงานที่มีกระบวนการผลิตชิปก้าวหน้าที่สุดในโลกเมื่อสร้างเสร็จ ผลิตชิปที่ความแม่นยำระดับ 1.5 นาโนเมตร ซึ่งไปไกลกว่ากระบวนการผลิตชิป 18A (sub-2nm) ของ Intel ที่เคยประกาศเอาไว้

Gelsinger ยังไม่เปิดเผยรายละเอียดของกระบวนการผลิตชิปยุคถัดจาก 18A ในตอนนี้ (เคยมีข่าวลือว่ามันจะเรียก 16A หรือ 14A) แต่ถ้าแผนการของอินเทลเป็นไปตามที่คิด โรงงานแห่งนี้จะทำให้ยุโรปกลายเป็นจุดผลิตชิปที่ก้าวหน้าที่สุดในโลกได้เป็นครั้งแรกในรอบหลายสิบปี

สิ่งสำคัญคือ Intel มุ่งมั่นที่จะนำการผลิตระดับแนวหน้ามาสู่ยุโรป ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้ยากในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ ปัจจุบัน Fab 34 ของ Intel ใกล้กับเมือง Leixlip ประเทศไอร์แลนด์ กำลังผลิตชิปบนเทคโนโลยีการประมวลผลระดับ 4 นาโนเมตรของ Intel และคาดว่าจะเริ่มสร้างโปรเซสเซอร์ระดับ 3 นาโนเมตรของ Intel ในไตรมาสต่อ ๆ ไป

แม้ว่าตอนนี้ Intel 4 และ Intel 3 จะเป็นโหนดที่ทันสมัยที่สุดของบริษัท แต่ก็ยังตามหลัง N3 (ระดับ 3 นาโนเมตร) ของ TSMC ในทางตรงกันข้าม Intel คาดหวังว่า 18A และผู้สืบทอดจะเป็นผู้นำอุตสาหกรรมต่อไป

ออสเตรเลียสั่งโละ 'Golden Visa' ให้เศรษฐีต่างชาติ เพราะสุดท้าย ไม่ช่วยส่งเสริมเศรษฐกิจประเทศเลย

รัฐบาลออสเตรเลียตัดใจยกเลิก 'Golden Visa' หรือ 'วีซ่าทองคำ' สำหรับมหาเศรษฐี ที่หอบเงินก้อนโตมาลงทุนเพื่อแลกสิทธิ์พำนักถาวรในออสเตรเลีย หลังข้อมูลชี้ว่า นักลงทุนกลุ่มนี้แทบไม่ได้ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจให้ประเทศอย่างที่เคยหวังไว้

สำหรับ 'วีซ่าทองคำ' เป็นแคมเปญดึงดูดมหาเศรษฐีต่างประเทศให้รายใหญ่ ให้โยกเงินก้อนโตของตนมาฝาก หรือลงทุน ซื้อทรัพย์สิน อสังหาริมทรัพย์ในประเทศ เป็นช่องทางกระตุ้นเศรษฐกิจที่หลายประเทศนิยมใช้ โดยให้สิทธิวีซ่าในการพำนัก หรือย้ายถิ่นฐานถาวร

ซึ่งทางออสเตรเลีย ก็ได้เปิดวีซ่าทองคำ สำหรับนักลงทุนต่างชาติเป็นครั้งแรกในปี 2012 ภายใต้โครงการ 'นวัตกรรมธุรกิจ และ การลงทุน' ซึ่งมีการแบ่งวีซ่าประเภทนี้ออกเป็น 2 หมวด สำหรับ 'นักธุรกิจด้านนวัตกรรม' และ 'นักลงทุน' โดยกำหนดเงื่อนไขเงินที่ต้องใช้ลงทุนในออสเตรเลียมากกว่า 5 ล้านเหรียญออสเตรเลียขึ้นไป (ประมาณ 117.5 ล้านบาท) และตั้งเป้าว่าจะได้เศรษฐีมาช่วยส่งเสริมเศรษฐกิจ หรือลงทุนในธุรกิจด้านนวัตกรรมให้ขยายตัวมากขึ้น

แต่ทว่า ผลลัพธ์กลับไม่ได้ดังหวัง เพราะเศรษฐีจำนวนไม่น้อย ต้องการวีซ่าทองคำเพื่อได้สิทธิ์อยู่ถาวรในออสเตรเลียเท่านั้น อีกทั้งวีซ่าทองคำ ไม่ได้จำกัดอายุ หรือ ต้องมีทักษะทางภาษาอังกฤษ ดังนั้นผู้ที่มีสิทธิ์ยื่นใบสมัครจะเป็นใครก็ได้ ที่ไม่มีคดีติดตัว และมีหลักฐานเงินทุนที่มั่งคงเกิน 5 ล้านดอลลาร์ ก็สามารถสมัครวีซ่าประเภทนี้ได้ นั่นจึงทำให้วีซ่าทองคำของออสเตรเลียนิยมในหมู่มหาเศรษฐีจีน 

ทั้งนี้ จากข้อมูลพบว่า กว่า 85% ของวีซ่าทองคำ 100,000 ใบที่ออกให้ตั้งแต่เริ่มโครงการจนถึงปัจจุบัน เป็นชาวจีน ที่หลายคนเชื่อว่าอาจเป็นเพราะตัวเลขหมวดวีซ่าทองคำออสเตรเลียใช้รหัส 888 ที่ถือเป็นเลขมงคลของชาวจีนด้วย 

แต่ทว่าผู้ที่ได้วีซ่าทองคำไปแล้ว กลับไม่ได้นำเงินมาลงทุนต่อยอดจริงๆ อย่างที่รัฐบาลออสเตรเลียคาดหวัง หลายคนแค่ต้องการย้ายเงินเก็บทั้งชีวิตมาเพื่อหาที่เกษียณ อยู่สบายๆในออสเตรเลียมากกว่า แถมยังทำให้ราคาอสังหาริมทรัพย์ในประเทศพุ่งสูงขึ้นจนพลเมืองแท้ๆ ในประเทศหลายครอบครัวไม่สามารถซื้อบ้านเป็นของตัวเองได้

นอกจากนี้ วีซ่าทองคำยังถูกวิจารณ์ว่า เป็นช่องทางให้กับเจ้าหน้าที่รัฐต่างชาติ หอบเงินที่ได้จากการคอร์รัปชัน ฟอกเงิน มาซุกซ่อนไว้ในออสเตรเลีย อีกทั้งรัฐบาลปัจจุบันของออสเตรเลียที่มาจากพรรคแรงงาน มีนโยบายลดจำนวนผู้ย้ายถิ่นต่างชาติให้น้อยลงเท่ากับจำนวนก่อนยุค Covid-19 

ดังนั้น จึงมีการพิจารณายกเครื่องระเบียบ กฎเกณฑ์ การยื่นวีซ่าย้ายถิ่นฐานสำหรับชาวต่างชาติใหม่หมด และได้ตัดวีซ่าทองคำทิ้ง แต่เพิ่มสัดส่วนของวีซ่าแรงงานที่มีทักษะสูง ภาษาอังกฤษดี เป็นที่ต้องการในตลาดแรงงานที่ออสเตรเลียแทน

เช่นเดียวหลายชาติในยุโรป ที่เริ่มตัดสินใจยกเลิกให้ 'วีซ่าทองคำ' แก่เศรษฐีต่างชาติแล้วเช่นกัน อาทิ สหราชอาณาจักร, ไอร์แลนด์ ส่วน สเปน และ โปรตุเกส ได้เริ่มลดจำนวนการออกวีซ่าทองคำแล้ว เพื่อที่จะยกเลิกอย่างถาวรในไม่ช้า 

อันเนื่องจากรัฐบาลกลางของกลุ่มประเทศสหภาพยุโรปเริ่มมีทัศนคติในแง่ลบต่อโครงการวีซ่าทองคำ ที่มักถูกมองว่าเป็นการ 'ขายวีซ่า' แก่บุคคลที่อาจโดนคว่ำบาตร หรือถูกขึ้นบัญชีดำจากชาติตะวันตก  หรือเป็นช่องทางไซฟ่อนเงินทุจริตจากต่างประเทศ ดังนั้น รัฐบาลบรัสเซลส์จึงเรียกร้องให้ชาติสมาชิกมีนโยบายออกวีซ่าทองคำ เพิ่มความเข้มงวดในการตรวจสอบคุณสมบัติผู้สมัครให้มากขึ้นอีกด้วย

เรื่อง: ยีนส์ อรุณรัตน์

'หัวเว่ย' เปิดตัวระบบปฏิบัติการใหม่ HarmonyOS Next เตรียมโบกมือลาซอฟต์แวร์ระบบ Android อย่างถาวร

หัวเว่ย เปิดตัวระบบปฏิบัติการใหม่ที่พัฒนาขึ้นมาเอง HarmonyOS Next ซึ่งทางบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ของจีน คาดหมายว่ามันจะช่วยให้พวกเขาตัดขาดจากระบบนิเวศของแอนดรอยด์โดยสิ้นเชิง

เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว หัวเว่ยแถลงว่ามีแผนเปิดตัวเวอร์ชันสำหรับนักพัฒนาซอฟต์แวร์ของแพลตฟอร์ม HarmonyOS Next ในไตรมาสที่สองของปีนี้ ตามด้วยเวอร์ชันเชิงพาณิชย์เต็มรูปแบบในไตรมาส 4 ก้าวย่างนี้เป็นส่วนหนึ่งของแผนอันทะเยอทะยานของหัวเว่ย ที่จะส่งเสริมระบบนิเวศซอฟต์แวร์ของตนเอง

บริษัทที่มีสำนักงานใหญ่ในเซี่ยงไฮ้ เปิดตัวระบบ Harmony ที่เป็นกรรมสิทธิ์ของตนเป็นครั้งแรกในปี 2019 และเปิดตัวระบบปฏิบัติการนี้บนสมาร์ทโฟนบางรุ่นของพวกเขาในอีก 1 ปีต่อมา ไม่นานหลังจากสหรัฐฯกำหนดมาตรการคว่ำบาตร ที่เล็งเป้าหมายตัดขาดระบบ Harmony จากการเข้าถึงการสนับสนุนด้านเทคนิคของ Google สำหรับระบบปฏิบัติการ Android

ผลก็คือ ต่างจากเวอร์ชันลูกค้าทั่วไปของ HarmonyOS ก่อนหน้านี้ เวอร์ชันใหม่จะไม่สามารถใช้แอปที่สร้างขึ้นสำหรับ Android บนระบบได้อีกต่อไป

เมื่อเดือนสิงหาคมปีที่แล้ว หัวเว่ยสร้างความฮือฮาด้วยการเปิดตัวสมาร์ทโฟนซีรีส์ Mate60 ซึ่งทางบริษัทบอกว่าจะใช้พลังงานจากชุดชิปที่พัฒนาในประเทศ การเปิดตัวดังกล่าวเป็นตัวแทนของการกลับมาอย่างน่าทึ่งของหัวเว่ย ในการหวนคืนสู่ตลาดสมาร์ทโฟนพรีเมียม หลังจากต้องต่อสู้ดิ้นรนมานานหลายปี ภายใต้มาตรการคว่ำบาตรของสหรัฐฯ

ตามรายงานของรอยเตอร์ระบุว่าบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่แห่งนี้ คาดหมายว่าจะมีรายได้ในปี 2023 แตะระดับ 700,000 ล้วนหยวน( 97,300 ล้านดอลลาร์) เติบโตขึ้น 9% เมื่อเทียบเป็นรายปี

‘ฝรั่งเศส’ เสนอ!! ‘เสื้อแขนยาวสีน้ำเงิน-กางเกงขายาวสีเทา’ เป็นชุดนร. หลังประกาศเดินหน้าทดลองสวมเครื่องแบบนร. หวังลดความเหลื่อมล้ำ

เมื่อวันที่ 21 ม.ค. 67 สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส โดยอ้างข้อมูลจากหนังสือพิมพ์ ลา ฟิกาโร ซึ่งสัมภาษณ์แหล่งข่าวในรัฐบาลฝรั่งเศส เกี่ยวกับนโยบายของประธานาธิบดีเอ็มมานูเอล มาครง ในการให้สถานศึกษาของรัฐ 100 แห่ง ทดลองการสวมเครื่องแบบนักเรียนนั้น ว่าแม้ผู้บริหารของโรงเรียนแต่ละแห่งสามารถกำหนดแนวทางของเครื่องแบบได้เอง

อย่างไรก็ตาม รัฐบาลฝรั่งเศสเสนอแนะการสวมเสื้อแขนยาวหรือสเวตเตอร์สีน้ำเงิน กับกางเกงขายาวสีเทา เพื่อให้เป็นแนวทางเดียวกัน

ทั้งนี้ มาครงกล่าวเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ว่าเครื่องแบบนักเรียน สามารถลดความไม่เท่าเทียม หรือความเหลื่อมล้ำระหว่างครอบครัวได้ ขณะเดียวกัน เครื่องแบบนักเรียนคือการกำหนดแนวทาง ที่เป็นเงื่อนไขของการเคารพและการให้เกียรติ สำหรับโครงการนำร่องการสวมเครื่องแบบนักเรียน สถานศึกษาสามารถเข้าร่วมได้ตามความสมัครใจ

หากการทดลองดังกล่าวได้ผลดี จะมีการบัญญัติเป็นกฎหมาย และบังคับใช้ในระดับเดียวกัน สำหรับสถานศึกษาของรัฐทั่วประเทศ ในปี 2569 ซึ่งเป็นปีสุดท้ายที่มาครงจะดำรงตำแหน่งผู้นำฝรั่งเศส ก่อนการเลือกตั้งครั้งใหม่ ในปี 2570 และจะเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของฝรั่งเศส ที่นักเรียนในโรงเรียนของรัฐต้องสวมเครื่องแบบ

นอกจากนี้ ผู้นำฝรั่งเศสกล่าวถึงแผนการ ให้นักเรียนตั้งแต่ระดับประถมศึกษา เรียนรู้และมีความเข้าใจอย่างลึกซึ้ง ต่อความหมายของเพลง ‘ลา มาร์แซแยซ’ ( La Marseillaise ) ซึ่งเป็นเพลงชาติ และการกำหนดให้วรรณกรรม ภาพยนตร์ และการละครเป็นวิชาบังคับ ตั้งแต่เดือน ก.ย. 2568 โดยมาครงเชื่อว่า เป็นวิชาที่จะสามารถสร้างความมั่นใจ ฝึกฝนการพูดในสถานที่สาธารณะ และการศึกษาเนื้อหาที่มีคุณค่า เกี่ยวกับความเป็นฝรั่งเศส

'ตลาดหุ้นอินเดีย' แซงหน้า 'ตลาดฮ่องกง' ขึ้นเป็นตลาดหุ้นที่ใหญ่อันดับ 4 ของโลก

(23 ม.ค.67) World Maker เผยว่า ตลาดหุ้นอินเดียแซงหน้าตลาดฮ่องกงขึ้นเป็นตลาดหุ้นที่ใหญ่อันดับ 4 ของโลก มีมูลค่าหุ้นจดทะเบียนรวมที่ 4.33 ล้านล้านดอลลาร์เทียบกับ 4.29 ล้านล้านดอลลาร์ในตลาดฮ่องกง 

แต่หากมองระยะยาว นี่อาจเป็นแค่ต้นเรื่องของหนังมหากาพย์เท่านั้น เพราะอนาคตอินเดียยังมีศักยภาพให้เติบโตอีกมากทั้งในทางเศรษฐกิจ เทคโนโลยี และนวัตกรรม

📌 นี่อาจเป็นแค่จุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงแบบมหากาพย์ของอินเดียในระยะยาว ที่ถือเป็น 1 ในประเทศที่น่าจับตามองอย่างมาก ว่าในอนาคตจะมีศักยภาพเติบโตไปอีกมากแค่ไหน? ซึ่งแน่นอนว่าเรื่องนี้จะต้องใช้เวลาหลายปีกว่าจะเห็นผลลัพธ์กันแบบชัดเจน แต่คงไม่นานเกินรอ 

ทั้งนี้ มูลค่าของตลาดอินเดียอาจจะโดนฮ่องกงแซงกลับได้อีกครั้งในระยะสั้น ถ้าเป็นกรณีที่หุ้นจีนพุ่งขึ้นหลังจากโดนทุบต่อเนื่องมา 3 ปี แต่ในระยะยาวอินเดียจะยังมีแนวโน้มเติบโตและขึ้นมาเป็น 1 ในเสาหลักสำคัญของเศรษฐกิจโลกเทียบเคียงกับจีนในหลายแง่ ... ศักยภาพเรื่องประชากรก็ถือว่ามีพอๆ กับจีน (อินเดียมีประชากรมากกว่านิดหน่อย)

อย่างไรก็ตาม มูลค่าหุ้นจดทะเบียนรวมในตลาดอินเดีย แซงหน้าตลาดฮ่องกงแล้ว สาเหตุนั้นเป็นเพราะว่าเงินจำนวนมากไหลออกจากจีนไปยังอินเดียหลังจากรัฐบาลจีนเริ่มมีความตึงเครียดกับฝั่งสหรัฐฯ-ตะวันตก

‘จีน’ เดินหน้าหนุน ‘อุตสาหกรรมบริการในบ้าน’ หวังรับมือ-ดูแล ‘ผู้สูงอายุ’ ที่บ้านมากขึ้น

(22 ม.ค.67) สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า กระทรวงพาณิชย์จีนเผยว่าจีนได้ออกมาตรการสนับสนุนอุตสาหกรรมการบริการในบ้าน เพื่อรับมือกับความต้องการของประชากรสูงอายุ

จูกวงเย่า เจ้าหน้าที่กระทรวงฯ แถลงว่ากระทรวงฯ ได้ร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องออกมาตรการจูงใจทางภาษี เงินอุดหนุนสตาร์ตอัป และความช่วยเหลือทางการเงินที่มุ่งพัฒนาคุณภาพและการเติบโตของอุตสาหกรรมข้างต้น โดยปัจจุบันอุตสาหกรรมนี้ว่าจ้างแรงงานราว 30 ล้านคน แต่ยังคงมีความต้องการสูงกว่า 50 ล้านคน จึงมีการพยายามเพิ่มจำนวนแรงงาน

จูกวงเย่า กล่าวว่ากระทรวงฯ กำลังสนับสนุนการจัดงานมหกรรมจัดหางานผ่านช่องทางออนไลน์เพื่อเชื่อมต่อผู้หางานกับนายจ้างได้ดียิ่งขึ้น และการจัดหลักสูตรฝึกอบรมผ่านทางออนไลน์ พร้อมเสริมว่าการจ้างงานจะมุ่งเน้นที่การดูแลผู้สูงอายุที่บ้านมากขึ้น เพื่อตอบสนองต่อความต้องการในด้านนี้ที่เพิ่มสูงขึ้น

ก่อนหน้านี้ จีนได้ออกแนวปฏิบัติเพื่อเสริมสร้าง ‘เศรษฐกิจสีเงิน’ ซึ่งประกอบด้วยกิจกรรมทางเศรษฐกิจซึ่งตอบสนองความต้องการพลเมืองสูงวัยด้วยผลิตภัณฑ์และบริการที่ถูกปรับให้เหมาะสม ตลอดจนเตรียมพร้อมรับมือกับความท้าทายของจำนวนประชากรสูงวัยที่ขยายตัว

อนึ่ง ข้อมูลทางการแสดงให้เห็นว่ากลุ่มประชากรอายุ 60 ปีขึ้นไปของจีน มีจำนวนสูงถึง 297 ล้านคน เมื่อนับถึงสิ้นปี 2023 ซึ่งคิดเป็นร้อยละ 21.1 ของประชากรทั้งหมดของประเทศ

‘CEO’ บริษัทเทคฯ ชื่อดัง ดับสลบ!! ระหว่างโชว์ในงานเลี้ยงบริษัท หลังเกิดเหตุสลิงขาด ร่างร่วงกระแทกพื้น จากความสูง 15 ฟุต

(22 ม.ค. 67) เป็นนาทีช็อกคนร่วมงาน เมื่อ ‘ซีอีโอ’ บริษัทเทคโนโลยีชื่อดัง พลัดตกลงจากความสูง 15 ฟุต เสียชีวิตระหว่างโชว์ในงานเลี้ยงบริษัท ที่อินเดีย

วันแห่งการเฉลิมฉลอง กลายเป็นเรื่องสยองขวัญทันที เมื่อซีอีโอดัง สันชัย ชาห์ ซีอีโอของ Vistex และ ประธาน Vistex Vishwanath Raju Datla ที่อยู่ในกรงเหล็กขณะที่มันถูกหย่อนลงบนเวที ในงานปาร์ตี้ของบริษัท เกิดสายสลิงขาด โดยคลิปวิดีโอได้บันทึกช่วงเวลานี้ เมื่อกรงสีเหลืองที่ลอยอยู่เริ่มโยก และเกิดประกายไฟขึ้น

จากนั้นกรงได้ตกลงไปด้านหนึ่งอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้บอสทั้ง 2 ของบริษัท ตกลงมาจากความสูง 15 ฟุตชายคนหนึ่งได้หงายท้องลงมา และล้มลงบนพื้น

ชาห์ เสียชีวิตในอุบัติเหตุครั้งนี้ ขณะที่ ดัตลาห์ ผู้บริหารอีก 1 ราย เจ็บสาหัส อยู่ในสภาพวิกฤต

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าสาเหตุของอุบัติเหตุดังกล่าวน่าจะมาจากสายสลิงขาด แต่เจ้าหน้าที่ก็ได้สืบสวนเหตุการณ์ดังกล่าว

ชาห์ และ ดัตลาห์ อยู่ในอินเดีย เพื่อเฉลิมฉลองวันครบรอบของ Vistex Asia ซึ่งจัดงานฉลอง 2 วันที่ Ramoji Film City อันโด่งดัง ทั้งนี้ บริษัท Vistex ก่อตั้งโดย ชาห์ ในปี 1999 เป็นบริษัทที่ปรึกษาที่มีสำนักงานทั่วโลกมากกว่า 20 แห่ง และมีลูกค้ามากมาย อาทิ GM, Yamaha และ Coca-Cola

ชาห์ เป็นชาวมุมไบ อินเดีย อพยพมาอเมริกามากกว่า 1 ทศวรรษ เข้าเรียนในโรงเรียนธุรกิจของมหาวิทยาลัย Lehigh โดยจบการศึกษาปริญญาโทในปี 1989 เมื่ออายุได้ 21 ปี นอกจากนี้ เขายังได้บริจาคเงิน 5 ล้านดอลลาร์ เพื่อก่อตั้ง Vistex Institute for Executive Education เมื่อปี 2017 และยังเป็นเศรษฐีใจบุญ ก่อตั้งมูลนิธิ Vistex ซึ่งมอบเงินช่วยเหลือแก่องค์กรไม่แสวงผลกำไรที่มุ่งเน้นด้านสุขภาพ การศึกษา และโครงการความต้องการขั้นพื้นฐาน


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top