Wednesday, 18 June 2025
WORLD

‘Citigroup’ จ่อปลดพนักงาน 20,000 คน ภายใน 2 ปีหน้า หลังเผชิญวิกฤตขาดทุนหนัก เลวร้ายที่สุดในรอบ 15 ปี!!

(13 ม.ค.67) สำนักข่าวซีเอ็นเอ็น รายงานว่า ‘ซิตี้กรุ๊ป’ จะเลิกจ้างพนักงาน 20,000 คน ในอีก 2 ปีข้างหน้า โดย ‘มาร์ค มาสัน’ กล่าวว่า การลดจำนวนลงนี้เกิดขึ้นหลังจากที่บริษัทรายงานผลการขาดทุนสุทธิ 1.8 พันล้านดอลลาร์ หรือราว 62,900 ล้านบาท ในไตรมาสที่ 4 ของปี 2566 ซึ่งเป็นไตรมาสที่เลวร้ายที่สุดในรอบ 15 ปี

ธนาคารคาดว่าการลดจำนวนพนักงานจะช่วยประหยัดเงินได้ 2.5 พันล้านดอลลาร์ในระยะยาว หรือราว 87,300 ล้านบาท

ทั้งนี้ ธนาคารรายงานการสูญเสียกำไรมหาศาล ที่ 1.16 ดอลลาร์ต่อหุ้นในไตรมาสที่ 4 ซึ่งต่ำกว่าประมาณการที่ขาดทุน 11 เซนต์ต่อหุ้น

ซิตี้กล่าวว่า มีค่าใช้จ่ายประเภทครั้งเดียวหลายครั้งที่ส่งผลต่อผลลัพธ์ ซึ่งรวมถึงค่าใช้จ่าย 1.7 พันล้านดอลลาร์ ที่ธนาคารต้องจ่าย เกี่ยวข้องกับวิกฤตธนาคารในภูมิภาค เมื่อฤดูใบไม้ผลิที่แล้ว การสูญเสีย 880 ล้านดอลลาร์ในอาร์เจนตินา และ 800 ล้านดอลลาร์ ในต้นทุนการปรับโครงสร้าง ที่เกี่ยวข้องกับการเลิกจ้าง ประมาณ 7,000 คนในปี 2566

นอกเหนือจากการลดพนักงาน 20,000 ตำแหน่ง ในส่วนการดำเนินงานของบริษัทแล้ว ธนาคารยังจะปลดพนักงาน 40,000 คน ในเม็กซิโก ผ่านการเสนอขายหุ้น IPO ซึ่งจะทำให้จำนวนพนักงานทั้งหมดของบริษัทเหลือประมาณ 180,000 คนจาก 240,000 คน

บริษัทยังกล่าวว่า คาดว่าจะจ่ายเงินชดเชยและค่าใช้จ่ายในการปรับโครงสร้างองค์กรมูลค่าสูงถึง 1 พันล้านดอลลาร์

ด้านโฆษกของผู้ให้กู้ยืมรายหนึ่งในสหรัฐฯ เผยว่า การปลดพนักงานจะเกิดขึ้นทั่วโลก และปฏิเสธที่จะแจกแจงตัวเลขตามภูมิภาค

ทั้งนี้ ‘เจน เฟรเซอร์’ ซีอีโอของซิตี้กรุ๊ป ได้ประกาศความพยายามในการปรับโครงสร้างครั้งใหญ่ครั้งแรกเมื่อกันยายนปีที่แล้ว โดยวางแผนที่จะจัดความเป็นผู้นำของธนาคารใหม่ เพิ่มความับผิดชอบ และว่าจะต้องมีพนักงานที่น้อยลง

‘RCEP’ หนุน ‘ไทย-จีน’ เสริมความร่วมมือด้าน ‘งานแสดงสินค้า’ เปิดประตูเชื่อมการค้า 2 ประเทศ แบ่งปันโอกาสเติบโตทางธุรกิจ

เมื่อวันที่ 12 ม.ค. 67 สำนักข่าวซินหัว, หนานชาง รายงานว่า เมื่อไม่นานนี้ นายดวงเด็ด ย้วยความดี ผู้อำนวยการฝ่ายอุตสาหกรรมการแสดงสินค้านานาชาติ สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการแห่งประเทศไทย ได้เข้าร่วมการประชุมงานจัดแสดงสินค้าเพื่อความร่วมมือระดับนานาชาติ (CEFCO) ครั้งที่ 19 ในนครหนานชาง มณฑลเจียงซีทางตะวันออกของจีน

นายดวงเด็ด กล่าวว่า ความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (RCEP) ที่มีผลบังคับใช้สองปีแล้ว ได้ช่วยส่งเสริมการค้าระหว่างจีนกับไทย โดยเฉพาะความร่วมมือด้านอุตสาหกรรมการจัดแสดงสินค้า และนำพาโอกาสการพัฒนาใหม่ๆ มาสู่ 2 ประเทศ ซึ่งไทยพร้อมเดินหน้าทำงานกับทุกฝ่ายอย่างรอบด้านเพื่อสร้างผลประโยชน์จากความตกลงฯ เพิ่มขึ้น

ไทยนั้นอยู่ในตำแหน่งศูนย์กลางเชิงยุทธศาสตร์ของภูมิภาคอาเซียน ทำให้เป็นทำเลทองของการจัดงานแสดงสินค้าระดับนานาชาติ โดยมีระบบขนส่งที่เชื่อมโยงถึงกันอย่างโดดเด่น การเดินทางจากไทยไปยังตลาดอื่นๆ ในอาเซียนมีความสะดวกง่ายดาย จึงเกื้อหนุนการดำเนินงานของเหล่าผู้จัดแสดงสินค้าให้ดียิ่งขึ้น

ปัจจุบันไทยมีการจัดงานแสดงสินค้าที่โดดเด่นในด้านการผลิตอัจฉริยะ เทคโนโลยีอัจฉริยะ และอุตสาหกรรมอัญมณี ซึ่งนายดวงเด็ดหวังว่า จีนและไทยจะร่วมมือกันในด้านเหล่านี้เพิ่มขึ้น พร้อมต้อนรับจีนเข้ามาจัดงานแสดงสินค้าใหม่ๆ โดยไทยจะให้การสนับสนุนทางนโยบายสิทธิพิเศษ โครงสร้างพื้นฐาน และเทคโนโลยีเฉพาะทาง

นายดวงเด็ด เสริมว่า จีนเป็นคู่ค้ารายใหญ่ที่สุดอันดับ 2 ของไทยในปี 2023 ด้วยปริมาณการค้าทวิภาคีสูงถึง 1.35 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ราว 4.73 ล้านล้านบาท) โดยจีนนำเข้าสินค้าจากไทยสูงถึง 5.65 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ราว 1.98 ล้านล้านบาท) ขณะไทยนำเข้าสินค้าจากจีนสูงถึง 7.85 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ราว 2.75 ล้านล้านบาท)

อนึ่ง การประชุมงานจัดแสดงสินค้าเพื่อความร่วมมือระดับนานาชาติ ครั้งที่ 19 จัดขึ้นเมื่อวันที่ 10-12 ม.ค. 67 ภายใต้หัวข้อ ‘แบ่งปันอย่างเปิดกว้าง เชื่อมโยงสู่ทั่วโลก’ โดยมีตัวแทนจากกว่า 10 ประเทศและภูมิภาค อาทิ ไทย, เยอรมนี, สหราชอาณาจักร, ออสเตรเลีย และสิงคโปร์ เข้าร่วมมากกว่า 500 คน

‘รายงาน’ ชี้!! นวัตกรรม ‘วิทย์-เทคโนฯ’ เอเชีย ไม่ธรรมดา มีสถานะมั่นคง ไม่แตกต่างจากชาติตะวันตกอีกแล้ว

(12 ม.ค. 67) สำนักข่าวซินหัวรายงานผลจากการประชุมเอเชียโป๋อ๋าว (BFA) ระบุว่า ในฐานะศูนย์กลางนวัตกรรมที่สำคัญแห่งหนึ่งระดับโลก สถานะของเอเชียในแวดวงนวัตกรรมทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของโลกมีความมั่นคงยิ่งขึ้น

หลี่เป่าตง เลขาธิการของการประชุมฯ กล่าวว่า ทวีปเอเชียมีอิทธิพลในด้านนวัตกรรมและการพัฒนาของโลกมาอย่างยาวนาน ด้วยความรุ่มรวยของทรัพยากรทางปัญญาและประเพณีนวัตกรรมอันมีฐานที่มั่นคง

หลี่กล่าวว่ากลุ่มประเทศเอเชียกำลังก้าวตามทันนานาประเทศในยุโรปและอเมริกาเหนือในหลากหลายด้านสำคัญ ท่ามกลางการปฏิวัติทางเทคโนโลยีครั้งใหม่ อีกทั้งกำลังเติบโตอย่างรวดเร็วทั้งในแง่ปริมาณ คุณภาพ และระดับเชิงอุตสาหกรรมของนวัตกรรม

หลี่ เสริมว่า นวัตกรรมทางเทคโนโลยีของจีนในด้านการดูแลสุขภาพ, ชีวเภสัชกรรม, พลังงานใหม่, เทคโนโลยีคาร์บอนต่ำ, วัสดุใหม่ และการผลิตขั้นสูง จัดอยู่ในอันดับต้นๆ ของโลกทั้งในแง่ปริมาณและคุณภาพ พร้อมระบุว่าเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และเอเชียตะวันออกได้ลดช่องว่างความแตกต่างกับทวีปยุโรป

รายงานดัชนีนวัตกรรมโลก ปี 2023 ที่เผยแพร่โดยองค์การทรัพย์สินทางปัญญาโลก ระบุว่าประเทศเอเชีย 5 แห่ง ได้แก่ สิงคโปร์, จีน, เกาหลีใต้, ญี่ปุ่น และอิสราเอล ติดอันดับเป็นส่วนหนึ่งในกลุ่ม 15 ประเทศที่มีนวัตกรรมมากที่สุดในโลก

อนึ่ง รายงานนวัตกรรมการประชุมเอเชียโป๋อ๋าว ปี 2023 ที่เผยแพร่เมื่อวันพุธ (10 ม.ค.) ในนครกว่างโจวของจีน รวบรวมโดยสถาบันการประชุมฯ และมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีเซาธ์ ไชน่า

กองทัพ 'อเมริกา+อังกฤษ' โจมตี 'เยเมน' หวังถล่มฐานทัพ 'ฮูตี' เปิดฉากสมรภูมิใหม่เต็มสูบ 'ทางอากาศ-ทางเรือ-เรือดำน้ำ'

(12 ม.ค.67) สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า สหรัฐฯ และสหราชอาณาจักรเริ่มปฏิบัติการโจมตีเล่นงานเป้าหมายต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับพวกฮูตีในเยเมน เจ้าหน้าที่อเมริกา 4 รายเปิดเผยกับรอยเตอร์ในวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา ตามเวลาท้องถิ่น นับเป็นครั้งแรกที่มีการเปิดปฏิบัติการกับพวกติดอาวุธที่ได้รับการสนับสนุนจากอิหร่านกลุ่มนี้ นับตั้งแต่ทางกลุ่มเริ่มเล็งเป้าโจมตีเรือขนส่งสินค้าต่างๆ ในทะเลแดงในช่วงปลายปีที่แล้ว

ฮูตี ซึ่งควบคุมพื้นที่ส่วนใหญ่ของเยเมน เล็งเป้าเล่นงานเส้นทางเดินเรือสินค้าในทะเลแดง เพื่อแสดงจุดยืนสนับสนุนชาวปาเลสไตน์และกลุ่มนักรบอิสลามิสต์ปาเลสไตน์ ‘ฮามาส’ ท่ามกลางสงครามระหว่างอิสราเอลกับฮามาสในฉนวนกาซา การโจมตีก่อความปั่นป่วนแก่การค้าระหว่างประเทศ ในเส้นทางขนส่งสำคัญที่เชื่อมระหว่างยุโรปกับเอเชีย ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนราว 15% ของการขนส่งสินค้าทางเรือทั่วโลก

ปฏิบัติการครั้งนี้เชื่อว่าเป็นปฏิบัติการโจมตีครั้งแรกของสหรัฐฯ นับตั้งแต่ปี 2016 ที่ลงมือเล่นงานพวกกบฏฮูตีในเยเมน

เจ้าหน้าที่ซึ่งไม่ประสงค์เอ่ยนาม บอกว่าคาดหมายว่าจะมีการเผยแพร่ถ้อยแถลงอย่างเป็นทางการในไม่ช้านี้ ซึ่งจะให้รายละเอียดต่างๆ เกี่ยวกับปฏิบัติการโจมตี

ก่อนหน้านี้ในวันพฤหัสบดี (10 ม.ค.) ผู้นำกลุ่มฮูตี บอกว่าการโจมตีใดๆ ของสหรัฐฯ ที่เล่นงานทางกลุ่ม การโจมตีเหล่านั้นจะไม่ถูกปล่อยให้ผ่านพ้นไปเฉยๆ โดยปราศจากการตอบโต้ใดๆ

พวกฮูตี ซึ่งยึดครองพื้นที่ส่วนใหญ่ของเยเมน ในสงครามกลางเมือง ได้ประกาศโจมตีเรือต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับอิสราเอล หรือมุ่งหน้าสู่ท่าเรือของอิสราเอล อย่างไรก็ตาม จำนวนมากของเรือที่ตกเป็นเป้าหมายนั้นพบว่าไม่มีความเกี่ยวข้องกับอิสราเอล

กองทัพสหรัฐฯ เปิดเผยว่าก่อนหน้านี้ในวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา ว่าพวกฮูตีได้ลงมือโจมตีเล่นงานการเดินเรือครั้งที่ 27 นับตั้งแต่วันที่ 19 พฤศจิกายน ด้วยการยิงขีปนาวุธต่อต้านเรือเข้าใส่เส้นทางการเดินเรือในอ่าวเอเดน

เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้น หลังจากก่อนหน้านี้เมื่อช่วงต้นสัปดาห์ กองทัพเรือสหรัฐฯ และสหราชอาณาจักรได้สอยร่วงโดรนและขีปนาวุธจำนวนหลายสิบ ที่กบฏฮูตียิงเข้าใส่ทางใต้ของทะเลแดง

‘พวกฮูตีจำเป็นต้องหยุดการโจมตีเหล่านี้ พวกเขาต้องแบกรับผลสนองกลับ หากว่าไม่ยอมทำตาม’จอห์น เคอร์บี โฆษกความมั่นคงแห่งชาติทำเนียบขาวระบุในวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา

บรรณาธิการข่าวการเมืองของหนังสือพิมพ์เดอะไทม์ส ของอังกฤษ ในวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา กล่าวอ้างก่อนหน้านี้ไม่นานว่า สหราชอาณาจักรคาดหมายว่าจะร่วมกับสหรัฐฯ เปิดปฏิบัติการโจมตีทางอากาศถล่มฐานที่มั่นทางทหารที่เป็นของพวกฮูตีที่ได้รับการสนับสนุนจากอิหร่านในเยเมน ‘ในอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้า’

เดอะไทม์ส ของอังกฤษรายงานว่าก่อนหน้านั้นในวันพฤหัสบดีที่ผ่านมาซูแน็ก ได้บรรยายสรุปกับคณะรัฐมนตรี ต่อการขยับเข้าใกล้การเข้าแทรกแซงทางทหาร และสื่อมวลชนอังกฤษแห่งนี้รายงานด้วยว่า บุคคลทางการเมืองอื่นๆ ในนั้นรวมถึง เคียร์ สตาร์เมอร์ หัวหน้าพรรคเลเบอร์ พรรคฝ่ายค้านของสหราชอาณาจักร เช่นเดียวกับประธานสภาผู้แทนราษฎร ได้รับฟังรายงานสรุปจากรัฐบาลเช่นกัน

ทำเนียบนายกรัฐมนตรีสหราชอาณาจักรของ ริชี ซูแน็ก ไม่ตอบคำถามของรอยเตอร์ ที่สอบถามขอความคิดเห็น ส่วนกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ และทำเนียบขาวก็ปฏิเสธแสดงความคิดเห็นต่อรายงานข่าวดังกล่าว ในขณะที่ปกติแล้ว อเมริกาจะไม่แสดงความคิดเห็นต่อแนวโน้มปฏิบัติการทางทหารใดๆ ในอนาคต

‘ไทย’ คว้าอันดับ 63 ‘พาสปอร์ตทรงอิทธิพล’ 2024 อันดับดีขึ้นจากปีก่อน ส่วนอันดับ 1 ครองร่วม 6 ชาติ

(11 ม.ค. 67) ‘ประเทศไทย’ ติดอันดับ 63 ในการจัดอันดับดัชนีพาสปอร์ตของเฮนลี่ย์ (Henley Passport Index) ประจำปี 2567 โดยขยับขึ้นจากอันดับ 64 ในปี 2566 และ 70 ในปี 2565

โดยปัจจุบันพาสปอร์ตของไทยสามารถใช้เดินทางสู่จุดหมายต่าง ๆ โดยไม่ต้องขอวีซ่าได้ทั้งสิ้น 82 จุดหมายปลายทาง เช่น ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ รัสเซีย ตุรกี อิรัก และบราซิล ซึ่งเพิ่มจาก 79 ประเทศในปีที่แล้ว

ขณะที่อันดับ 1 ในปีนี้เป็นการครองอันดับร่วมกันถึง 6 ประเทศด้วยกันคือ ประเทศสมาชิกสหภาพยุโรป 4 ประเทศ ได้แก่ ‘ฝรั่งเศส เยอรมนี อิตาลี และสเปน’ ซึ่งครองอันดับหนึ่งร่วมกับ ‘ญี่ปุ่น’ และ ‘สิงคโปร์’ ขึ้นแท่นพาสปอร์ตที่ทรงอิทธิพลที่สุดในโลก

พลเมืองของประเทศเหล่านี้สามารถเดินทางไปยังจุดหมายต่างๆ โดยไม่ต้องขอวีซ่าได้มากถึง 194 แห่งจาก 227 แห่งทั่วโลก โดยเฉพาะญี่ปุ่นและสิงคโปร์นั้น ครองอันดับ 1 ในดัชนีดังกล่าวมา 5 ปีแล้ว

ทั้งนี้ ดัชนีดังกล่าวจัดอันดับหนังสือเดินทางทั่วโลก โดยประเมินตามจำนวนจุดหมายปลายทางที่ผู้ถือหนังสือเดินทางเข้าประเทศได้โดยไม่ต้องขอวีซ่า

ทางด้านเจ้าของสมญานามเสือเอเชียอย่าง ‘เกาหลีใต้’ ตามมาเป็นอันดับ 2 ร่วมกับ ‘ฟินแลนด์’ และ ‘สวีเดน’ ซึ่งสามารถเดินทางไปยังจุดหมายต่างๆ ได้โดยไม่ต้องขอวีซ่า 193 แห่ง

ส่วนอีก 4 ประเทศสมาชิกของสหภาพยุโรปอย่าง ออสเตรีย เดนมาร์ก ไอร์แลนด์ และเนเธอร์แลนด์ ครองอันดับ 3 โดยสามารถเดินทางไปยังจุดหมายต่างๆ ได้ 192 แห่ง

ขณะที่อันดับที่เหลือใน 10 อันดับแรกส่วนใหญ่ตกเป็นของประเทศในแถบยุโรป โดยพาสปอร์ตของ ‘สหราชอาณาจักร’ ไต่ขึ้นสองอันดับมาอยู่ที่อันดับ 4 ซึ่งสามารถเดินทางไปยังจุดหมายต่างๆ โดยไม่ต้องขอวีซ่าได้ 191 แห่ง เทียบกับเพียง 188 แห่งในปีที่แล้ว

ผู้ถือหนังสือเดินทางของ ‘ออสเตรเลีย’ และ ’นิวซีแลนด์’ ต่างไต่ขึ้นมาอยู่ที่อันดับ 6 ซึ่งสามารถเดินทางไปยังจุดหมายต่างๆ โดยไม่ต้องขอวีซ่าได้ 189 แห่ง ส่วนหนังสือเดินทางของ ‘สหรัฐ’ ยังรั้งอันดับ 7 โดยสามารถเดินทางไปยังจุดหมายปลายทางต่างๆ ได้ 188 แห่งโดยไม่ต้องขอวีซ่า

ทั้งนี้ นับมาเป็นเวลาถึงหนึ่งทศวรรษแล้วนับตั้งแต่ที่สหราชอาณาจักรและสหรัฐร่วมกันครองอันดับ 1 ในดัชนีดังกล่าวเมื่อปี 2557

สำหรับ 10 ชาติในกลุ่มประเทศ ‘อาเซียน’ นั้น นำโดยสิงคโปร์ มาเลเซีย บรูไน ไทย และอินโดนีเซีย 

‘ปูติน’ กร้าว!! ‘รัสเซีย’ สามารถพึ่งพาตนเองได้ทุกแง่มุม ย้ำ!! พร้อมก้าวไปข้างหน้าอย่างแข็งแกร่งและมั่นใจ

(11 ม.ค. 67) สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า เมื่อวันพุธ (10 ม.ค.) ที่ผ่านมา วลาดิเมียร์ ปูติน ประธานาธิบดีรัสเซีย กล่าวว่ารัสเซียได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าเป็นประเทศที่สามารถพึ่งพาตนเองได้ในทุกแง่มุม

ทำเนียบเครมลินของรัสเซีย อ้างอิงคำกล่าวของปูตินระหว่างการพบปะกับผู้อยู่อาศัยในเมืองอะนาดีร์ ในเขตปกครองตนเองชูคอตคาของรัสเซีย โดยระบุว่าแนวคิดหลักที่รัสเซียพิสูจน์ต่อตนเองและคนทั้งโลก คือการที่รัสเซียเป็นประเทศที่สามารถพึ่งพาตนเองได้ในทุกแง่มุม

ปูตินระบุว่ากลุ่มประเทศชั้นนำของยุโรปกำลังเผชิญกับช่วงเวลาที่ยากลำบาก โดยชี้ว่าขณะที่เศรษฐกิจของรัสเซียกำลังเติบโต แต่เศรษฐกิจของยุโรปกลับกำลังประสบกับสภาวะถดถอย ซึ่งทำให้การพึ่งพารัสเซียของยุโรปแข็งแกร่งกว่าการพึ่งพายุโรปของรัสเซีย

ทั้งนี้ ปูตินระบุว่ารัสเซียยังคงเป็นประเทศที่แข็งแกร่งและก้าวไปข้างหน้าด้วยความมั่นใจ และสิ่งนี้เป็นหนึ่งในผลลัพธ์ที่สำคัญที่สุดของปีที่ผ่านมา

‘ตร.เนปาล’ บุกรวบ ‘บุดดาบอย’ ผู้นำทางจิตวิญญาณชื่อดัง ข้อหาข่มขืนผู้เยาว์ และเอี่ยวการหายตัวไปของผู้ติดตาม

(11 ม.ค.67) สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า ราม พหาทุร พามชาน (Ram Bahadur Bomjan) ผู้นำทางจิตวิญญาณชาวเนปาล วัย 33 ปี หรือที่รู้จักกันในชื่อ บุดดาบอย (Buddha Boy) ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าจับกุมในข้อหาล่วงละเมิดทางเพศผู้เยาว์ และเกี่ยวข้องกับการหายตัวไปของผู้ติดตามของเขาอย่างน้อย 4 ราย

ตามรายงานของสำนักงานสืบสวนกลาง ระบุว่า พามชานถูกรวบตัวได้เมื่อวันที่ 9 มกราคม ที่ผ่านมา จากบ้านของเขาในพื้นที่กาฐมาณฑุ เมืองหลวงของเนปาล พร้อมใส่กุญแจมือ และแถลงต่อหน้าสื่อมวลชน โดยมีการเปิดเผยว่า เขาพยายามหลบหนีโดยการกระโดดจากหน้าต่างชั้น 2 เมื่อเห็นเจ้าหน้าที่ตำรวจแต่ไม่สำเร็จ และถูกจับกุมได้ในที่สุด

พามชานถูกจับกุมด้วยข้อหาข่มขืนผู้เยาว์วัย 14 ปี ที่อาศรมในเมืองซาร์ลาฮี ทางตอนใต้ของเมืองหลวง รวมทั้งข้อกล่าวหาเรื่องการละเมิดและการประพฤติมิชอบย้อนหลังไปกว่า 10 ปี นับตั้งแต่ปี 2553 เขาถูกยื่นฟ้องหลายสิบครั้งเกี่ยวกับการทำร้ายร่างกาย มีการระบุว่า เขาทุบตีเหยื่อซึ่งเป็นผู้ติดตาม เหตุเพราะรบกวนสมาธิของเขา ทั้งยังมีแม่ชีวัย 18 ปี อ้างว่าถูกเขาข่มขืนที่วัดแห่งหนึ่ง เมื่อปี 2561 และในปีถัดมา มีรายงานว่าสาวก 4 รายของเขา หายตัวไปจากอาศรมแห่งหนึ่ง ซึ่งในปัจจุบันก็ยังไม่ทราบชะตากรรม

ทั้งนี้ ทางเจ้าหน้าที่ยังได้ยึดของกลางเป็นธนบัตรเนปาลจำนวนมาก มีมูลค่าเทียบเท่าประมาณ 227,000 ดอลลาร์ (ราว 7.9 ล้านบาท) และธนบัตรสกุลเงินต่างประเทศอื่น ๆ มูลค่าประมาณ 23,000 ดอลลาร์ (ราว 8 แสนบาท) หลังจากนี้ คาดว่าพามชานจะถูกนำตัวไปขึ้นศาลทางตอนใต้ของเนปาล เพื่อรับฟังคำตัดสิน

ยักษ์เทคฯ 'อเมซอน' เดินหน้าปลดพนักงาน 'ไพร์ม วิดีโอ-เอ็มจีเอ็มสตูดิโอ' หลัง 'ทุนจม-เล็งหาทิศทางใหม่' ตั้งเป้าปลดให้ได้ 27,000 คนในปี 67

อเมซอน อินคอร์ปอเรชั่น ยักษ์ใหญ่เทคโนโลยีและอีคอมเมิร์ซระดับโลกในสหรัฐอเมริกา ประกาศปลดพนักงานจำนวนมากหลายร้อยคนขึ้นไปใน 2 ธุรกิจชื่อดัง ได้แก่ 'ไพร์ม วิดีโอ' (Prime Video) ธุรกิจสตรีมมิ่งภาพยนตร์ชื่อดังระดับโลก และอเมซอน เอ็มจีเอ็ม สตูดิโอ ธุรกิจผลิตภาพยนตร์ ในสหรัฐอเมริกา สำหรับการปลดพนักงานจำนวนมากใน 2 บริษัทนี้ เป็นไปตามนโยบายของอเมซอนที่ประกาศไว้ตั้งแต่เมื่อปีผ่านมาว่าต้องปรับลดค่าใช้จ่ายลงให้มากที่สุดและต่อเนื่องด้วยการตั้งเป้าหมายปลดพนักงานมากมายถึง 27,000 คนระหว่างปี 2023 ถึงสิ้นปี 2024 

(11 ม.ค.67) Btimes รายงาน นายไมค์ ฮอพกิ้นส์ รองผู้อำนวยการอาวุโส ไพร์ม วิดีโอ และอเมซอน เอ็มจีเอ็ม สตูดิโอ กล่าวว่า ได้วิเคราะห์ แจกแจงโอกาสหลายอย่างที่จะลดหรือยุติการลงทุนในธุรกิจบางประเภท ในขณะที่ไปเพิ่มการลงทุนและเน้นความสำคัญสิ่งริเริ่มใหม่ๆ ด้านเนื้อหา และผลิตภัณฑ์ต่างๆ ซึ่งสร้างผลสำเร็จที่เห็นผลมากขึ้น 

ในช่วงที่ผ่านมา บริษัททุ่มเงินลงทุนจำนวนมากมายในการตั้งและบุกธุรกิจสื่อ โดยใช้เงินลงทุนมากถึง 8,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือกว่า 297,500 ล้านบาท ในการผนวกกิจการเอ็มจีเอ็ม และใช้เงิน 465 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือกว่า 16,275 ล้านบาทในการสร้างภาพยนตร์ซีซั่นแรกของเดอะลอร์ด ออฟ เดอะ ริง ตอนเดอะ ริง ออฟ พาวเวอร์ มาอยู่บนแพลตฟอร์มสตรีมมิ่งภาพยนตร์ของไพร์ม วิดีโอ

ขณะที่เมื่อวานนี้ (10 ม.ค.67) 'ทวิชต์' (Twitch) แบรนด์แพลตฟอร์มถ่ายทอดสดการเล่นเกมและการแข่งขันอี-สปอร์ต (e-Sports) ชื่อดังระดับโลกของบริษัทเทคโนโลยีและยักษ์ใหญ่อีคอมเมิร์ซชื่อดังระดับโลก อเมซอน อินคอร์ปอเรชั่น เตรียมประกาศในวันพุธนี้ตามเวลาในสหรัฐด้วยการปลดพนักงานครั้งใหญ่ออกมากกว่า 500 คน หรือมากถึง 35% ของพนักงานทั้งหมดในปัจจุบัน โดยการเตรียมประกาศปลดพนักงานในวันพุธนี้ นับเป็นครั้งที่ 3 ในรอบ 1 ปีผ่านมา ในปี 2023 ทวิชต์ปลดพนักงาน 2 รอบรวมกันกว่า 400 คน 

สาเหตุจากผลประกอบการของทวิชต์ที่ขาดทุนต่อเนื่อง ซึ่งผลจากการลงทุนสูงเพื่อให้บริการเว็บไซต์ในรูปแบบแพลตฟอร์มถ่ายทอดสดรองรับการเล่นเกมออนไลน์และการแข่งขันอี-สปอร์ต ที่กินเวลามากถึง 1,800 ล้านชั่วโมงต่อเดือน นับเป็นขนาดการให้บริการถ่ายทอดสดเกมออนไลน์ที่ใหญ่มหึมาแห่งหนึ่งของโลก ที่สำคัญเป็นค่าใช้จ่ายที่สูงมีราคาแพงมาก ทั้งๆ ที่ทวิชต์ใช้โครงสร้างเครือข่ายเทคโนโลยีของบริษัทอเมซอน อินคอร์ปอเรชั่น 

นอกจากนี้ เมื่อเดือนธันวาคมปี 2023 ผ่านไป ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร หรือซีอีโอ นายแดน แคลนซี เปิดเผยว่า ทวิชต์จะยุติบริการถ่ายทอดสดเกมออนไลน์ และอี-สปอร์ตในประเทศเกาหลีใต้ สาเหตุจากค่าใช้จ่ายสูงอย่างมากมาย ท่ามกลางในปี 2023 เกิดการทยอยลาออกของผู้บริหารระดับสูงในบริษัททวิชต์หลายคนในช่วงที่ผ่านมา 

บริษัทอเมซอน อินคอร์ปอเรชั่น เข้าซื้อกิจการทวิชต์เมื่อปี 2015 ปรากฏว่า นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาถึง 9 ปีในปัจจุบัน ทวิชต์ ไม่สามารถสร้างผลประกอบการเป็นกำไรให้กับอเมซอน อินคอร์ปอเรชั่นได้เลยแม้แต่ปีเดียว เนื่องจากรูปแบบการหารายได้จากค่าโฆษณาไม่เป็นไปตามที่คาดการณ์ไว้ ซึ่งเป็นผลมาจากภาวะเศรษฐกิจสหรัฐอเมริกาที่ชะลอตัว อัตราดอกเบี้ยปรับขึ้นอย่างรวดเร็ว และอยู่ในระดับสูงทุกวันนี้มาอย่างต่อเนื่อง 

‘CEO โบอิ้ง’ รับผิด!! ปมผนังหน้าต่างเครื่องบินหลุดกลางอากาศ ชี้!! เกิดจาก ‘นอตหลวม’ สัญญาจะไม่ให้เหตุการณ์ซ้ำรอยอีก

เมื่อวานนี้ (10 ม.ค.67) เดฟ คาลฮูน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (ซีอีโอ) ของบริษัทโบอิ้ง กล่าวยอมรับว่ากรณี เครื่องบินโบอิ้ง 737 แม็กซ์ 9 ของ สายการบิน อะแลสกา แอร์ไลน์ ที่ผนังหน้าต่างหลุดออกมาทั้งชิ้นระหว่างบินอยู่กลางอากาศนั้น เป็นความผิดพลาดของโบอิ้ง และได้กล่าวย้ำระหว่างการประชุมกับพนักงานของตนเองว่าบริษัทจะไม่ยอมให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้นอีก 

ถ้อยแถลงของซีอีโอโบอิ้งนับเป็นการยอมรับความผิดพลาดของบริษัทต่อที่สาธารณะ ‘เป็นครั้งแรก’ นับตั้งแต่เกิดเหตุชิ้นส่วนหน้าต่างที่ถูกติดตั้งแทนประตูฉุกเฉินหลุดออกมาทั้งหมดระหว่างบินจากเมืองพอร์ตแลนด์ ในรัฐออริกอน ไปยังเมืองออนแทรีโอ ในรัฐแคลิฟอร์เนีย เมื่อวันศุกร์ที่ 5 ม.ค.67 ที่ผ่านมา

ขณะที่สแตน ดีล ผู้บริหารระดับสูงของโบอิ้งได้กล่าวระหว่างการประชุมทาวน์ฮอลล์ของบริษัทด้วยว่า โบอิ้งยอมรับว่าเหตุการณ์ถือเป็นความผิดพลาดร้ายแรง และได้ดำเนินการรื้อกระบวนการตรวจสอบ และการควบคุมคุณภาพการผลิตเครื่องบินในบริษัทแล้ว 

คาลฮูน กล่าวต่อหน้าพนักงานในการประชุมทาวน์ฮอลล์ที่โรงงานผลิตโบอิ้ง 737 แม็กซ์ ในวอชิงตัน ว่า รู้สึกสั่นไปถึงกระดูกเมื่อได้ยินข่าวเหตุการณ์ ซึ่งทำให้นึกถึงวิกฤตการณ์ครั้งใหญ่ของโบอิ้งเมื่อเกือบ 5 ปีก่อน หลังจากที่เกิดเหตุเครื่องบินรุ่น 737 แม็กซ์ ประสบเหตุตกถึง 2 ลำ ภายในเวลาห่างกันไม่ถึง 6 เดือน จนทำให้มีผู้เสียชีวิตรวมกันมากถึงเกือบ 500 คน และทำให้บริษัทเผชิญวิกฤติครั้งเลวร้ายที่สุด

"อันดับแรกที่เราจะต้องทำเพื่อรับมือกับเหตุการณ์นี้ก็คือ ยอมรับความผิดพลาดของเรา เราจะดำเนินการเรื่องนี้ด้วยความโปร่งใสอย่างเต็มที่ 100% ในทุก ๆ ขั้นตอนของกระบวนการ" คาลฮูน กล่าวและย้ำว่า โบอิ้งจะให้ความร่วมมืออย่างเต็มที่กับสำนักงานบริหารการบินแห่งชาติของสหรัฐ (เอฟเอเอ) และคณะกรรมการความปลอดภัยด้านการขนส่งของสหรัฐ (เอ็นทีเอสบี) 

ทั้งนี้ ผลตรวจสอบบ่งชี้ 'นอตหลวม'

โดยปัญหาที่เกิดขึ้นกับเครื่องบินของอะแลสกา แอร์ไลน์นั้น เกิดขึ้นกับแผ่นประตู Door plug ซึ่งมีลักษณะเป็นแผ่นประตูและหน้าต่าง แต่ไม่ใช่ประตูที่เปิด-ปิดได้ โดยถูกนำมาแทนที่ประตูทางออก เพื่อให้เครื่องบินสามารถเพิ่มที่นั่งบริเวณดังกล่าวรองรับผู้โดยสารได้มากขึ้น

สายการบินอะแลสกา แอร์ไลน์ ได้เปิดเผยผลการตรวจสอบจากช่างเทคนิคที่เข้าตรวจสอบเครื่องบินรุ่น 737 MAX 9 ของบริษัทซึ่งถูกสั่งระงับการให้บริการทั้งหมดชั่วคราว พบว่า เครื่องบินรุ่นดังกล่าวบางลำมีปัญหาเรื่อง ‘ฮาร์ดแวร์หลวม’ ซึ่งสายการบินยังไม่ยืนยันถึงสาเหตุที่แผ่นประตูหลุดขณะบิน แต่ระบุเพียงว่าชิ้นส่วนที่หลุดนั้นถูกยึดด้วย นอตหลัก 4 ตัว และนอตรองอีก 12 ตัว  

ขณะนี้บริษัทกำลังรอเอกสารสุดท้ายที่จะจัดส่งมาจากทางโบอิ้ง และทางสำนักงานบริหารการบินแห่งชาติของสหรัฐ (เอฟเอเอ) ก่อนจะสามารถเริ่มการตรวจสอบทางเทคนิคอย่างละเอียดอีกครั้ง

ด้านแหล่งข่าวรายหนึ่งเปิดเผยกับรอยเตอร์ว่า สายการบิน ยูไนเต็ด แอร์ไลน์ ซึ่งได้ระงับเครื่องบินรุ่นดังกล่าวชั่วคราวเช่นกัน ตรวจพบเครื่องบินที่มีปัญหานอตหลวมแล้ว 10 ลำ และตัวเลขอาจสูงขึ้นกว่านี้

ปัจจุบัน มีเครื่องบินโบอิ้ง 737 แม็กซ์ 9 ที่ถูกสั่งห้ามบินชั่วคราวทั้งหมด 171 ลำ

'ซาอุฯ' ขุดพบเหมืองทองคำใหม่ ยาวนับ 100 กิโลเมตร คุณภาพเกรดพรีเมี่ยม ตีมูลค่าเกือบ 1,800 ล้านล้านบาท

อู้ฟู่ทั้งน้ำมันดิบและทองคำ หลัง 'ซาอุฯ' ขุดเจอเหมืองทองคำใหม่ยาวนับ 100 กิโลเมตรในประเทศ ตีมูลค่าเกือบ 1,800 ล้านล้านบาท คาดเป็นศูนย์กลางทองคำใหม่ในตะวันออกกลาง หนุนดึงดูดต่างชาติมาลงทุนทางตรงในอุตสาหกรรมเหมืองของซาอุฯ

(11 ม.ค.67) BTimes รายงานว่า ทาง 'ซาอุดี อาระเบียน ไมน์นิ่ง' ซึ่งเป็นบริษัทในอุตสาหกรรมขุดเหมืองแร่และโลหะธรรมชาติในประเทศซาอุดีอาระเบีย เปิดเผยว่า ได้ขุดค้นพบเหมืองแร่ทองคำที่มีขนาดใหญ่ที่สุดเป็นประวัติการณ์ในภูมิภาคมักกะห์ในประเทศซาอุดีอาระเบีย 

โดยจุดที่ขุดค้นเจอทองคำมีลักษณะเป็นเหมืองทองคำแนวนาวทอดตัวเป็นระยะความยาว 100 กิโลเมตรทางตอนใต้ของเหมืองทองคำมาน ซูราห์-มาสซาราห์ ในเมืองมาอาเดน 

เจ้าหน้าที่สำรวจและขุดเจาะ เปิดเผยว่า ตัวอย่างแร่ทองคำที่สุ่มเก็บจาก 2 จุดในแนวเหมืองทองคำ ซึ่งอยู่ลึกลงไปถึง 400 เมตร และอยู่ติดกับมันซูราห์ มัสซาราห์ ตรวจพบว่า เป็นแหล่งสะสมทองคำคุณภาพระดับสูง วัดได้ 10.4 กรัมต่อตัน และ 20.6 กรัมต่อตัน ทำให้มูลค่ายิ่งมากขึ้น ที่สำคัญ ขั้นตอนการสกัดแร่ทองคำจะง่ายขึ้นกว่าปกติ 

(ภูมิภาคมันซูราห์ มัสซาราห์ ในประเทศซาอุดีอาระเบียเป็นแหล่งที่มีทองคำมากเกือบ 7 ล้านออนซ์นับถึงสิ้นปี 2023 และมีกำลังการผลิตทองคำถึงปีละ 250,000 ออนซ์)

การขุดค้นพบในครั้งนี้ ทำให้เหมืองทองคำในบริเวณดังกล่าวมีทองคำสะสมรวมมากกว่า 200 ตัน ตีมูลค่ามากถึง 50 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐหรือกว่า 1,750 ล้านล้านบาท 

ขณะที่ในปี 2020 เหมืองทองคำที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศรัสเซียที่มีชื่อว่า 'ซูคอย ลอก' มีทองคำสะสมราว 40 ล้านออนซ์ และเหมืองทองคำในประเทศแอฟริกาใต้ที่มีชื่อว่า 'เซาท์ ดีพ' มีทองคำสะสมราว 32.8 ล้านออนซ์ อย่างไรก็ตาม ในด้านการผลิตทองคำ กลับพบว่าเหมืองทองคำเนวาด้าในสหรัฐอเมริกาเป็นรายใหญ่ที่สุดด้วยกำลังการผลิตสูงถึงปีละ 3.3 ล้านออนซ์ คิดเป็น 3% ของกำลังการผลิตทองคำทั่วโลก 

ก่อนหน้านี้ รัฐบาลซาอุดีอาระเบียได้เคยประกาศนโยบายขับเคลื่อนเศรษฐกิจในยุคใหม่ โดยหวังที่จะลดน้ำหนักการพึ่งพาส่งออกน้ำมันดิบ ในฐานะเป็นประเทศที่ผลิตและส่งออกน้ำมันดิบรายใหญ่ที่สุดของโลกมาเป็นเวลานาน ทำให้มองหาช่องทางที่จะผลักดันภาคเศรษฐกิจอื่นๆ เพิ่มมากขึ้น เช่น การท่องเที่ยว การบริการ และการเงิน รวมไปถึงการขุดเหมือง ที่จะดึงดูดการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ

ซึ่งการค้นพบทองคำในครั้งนี้ อาจช่วยให้ซาอุดีอาระเบีย ลดการนำเข้าโลหะมีค่าได้ 

ทั้งนี้ ในปี 2021 ซาอุดีอาระเบียนำเข้าทองคำมูลค่า 36,800 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือกว่า 1.28 ล้านล้านบาท ซึ่งเป็นสินค้านำเข้ามากเป็นอันดับ 4 รองจากปิโตรเลียมกลั่น อุปกรณ์กระจายเสียง และ ยานพาหนะ

'CEO สาว' ฆาตกรรมลูกชายวัย 4 ขวบยัดใส่กระเป๋าเดินทาง ดับอนาคตธุรกิจ Startup ดาวรุ่งของตนลงในชั่วข้ามคืน

กลายเป็นข่าวสะเทือนใจแวดวงธุรกิจดาวรุ่งอินเดียทันที เมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจรัฐกัว เมืองชายฝั่งทางภาคตะวันตกเฉียงใต้ของอินเดีย ได้จับกุม นาง สุชนา เศรษฐ์ (Suchana Seth) CEO หญิงวัย 39 ปี ผู้ก่อตั้งบริษัท Mindful AI Lab หนึ่งในธุรกิจ Start-up อนาคตไกลของอินเดีย ด้วยข้อหาฆาตกรรมลูกชายวัย 4 ขวบของตัวเองแล้วแพ็กศพใส่กระเป๋าเดินทาง ขณะกำลังเดินทางออกจากรัฐกัว มุ่งหน้ากลับเมืองบังคาลอร์ เมื่อวันจันทร์ที่ 8 มกราคมที่ผ่านมา 

ก่อนหน้านี้ สุชนา เศรษฐ์ เดินทางมารัฐกัว พร้อมลูกชาย เมื่อวันศุกร์ที่ 6 มกราคม และได้เข้าพักในอพาร์ตเมนต์หรูแห่งหนึ่งในเมืองแคนโดลิม สถานที่ตากอากาศริมทะเลชื่อดังทางตอนเหนือของรัฐกัว และได้เช็คเอาท์ออกในวันจันทร์ที่ 8 มกราคมตั้งแต่เช้าตรู่ โดยเธอได้จ้างรถแท็กซี่ให้ขับรถจากรัฐกัว ไปส่งเธอที่เมืองบังคาลอร์ ในรัฐกรณาฏกะ ที่มีระยะทางไกลถึง 600 กิโลเมตร 

หลังจากที่นาง สุชนา ออกจากที่พักไปแล้ว ก็มีแม่บ้านเข้าไปทำความสะอาดภายในห้องพักของเธอ และได้พบคราบเลือดติดอยู่ จึงได้โทรแจ้งผู้จัดการโรงแรม ที่ได้โทรแจ้งตำรวจในทันที ทำให้สามารถติดตามตัวนาง สุชนา เศรษฐ์ ได้อย่างทันท่วงทีขณะมุ่งหน้าไปยังเมืองบังกาลอร์ พร้อมศพลูกชายวัย 4 ขวบถูกแพ็กอยู่ในกระเป๋าเดินทางของเธอด้วย จึงเป็นหลักฐานที่ทางตำรวจตั้งข้อหาฆาตกรรมกับนักธุรกิจสาวรายนี้

ตอนนี้ ทางตำรวจยังไม่ทราบเหตุจูงใจที่นางสุชนา ลงมือฆาตกรรมลูกชายตัวเอง แต่เมื่อไม่นานมานี้เธอมีความสัมพันธ์ที่ห่างเหินกับสามี ที่อาจเป็นสาเหตุทำให้เธอลงมือก่อเหตุสะเทือนใจในครั้งนี้ 

และเมื่อตรวจสอบประวัติส่วนตัวของนาง สุชนา เศรษฐ์  ก็พบว่าเธอมีประสบการณ์ทำงานที่ไม่ธรรมดาเลยทีเดียว

เบื้องต้น เธอจบปริญญาโท จากมหาวิทยาลัยโกลกาตา ในสาขาฟิสิกส์ดาราศาสตร์ ด้วยคะแนนระดับเกียรตินิยมอันดับ 1 นอกจากนี้เธอยังศึกษาด้านสันสกฤตศึกษา จากสถาบันวัฒนธรรมรามกฤษณะจนได้ถึงระดับอนุปริญญามหาบัณฑิตระดับเกียรตินิยมเช่นกัน  

หลังจากนั้น เธอมีโอกาสไปทำงานที่ Berkman Klein Center ในเมืองบอสตัน รัฐ แมสซาชูเซตส์ และได้ดูแลด้านจริยธรรมและการกำกับดูแลของปัญญาประดิษฐ์และการเรียนรู้ของเครื่องด้วยความรับผิดชอบ ก่อนที่จะกลับมาตั้งบริษัท Mindful AI Lab ของตัวเองที่เมืองบังกาลอร์ ในปี 2020 ที่ได้นำเอาเทคโนโลยี AI มาใช้ประมวลผลข้อมูลเพื่อช่วยในการวางกลยุทธ์ด้านราคาสินค้าต่างๆ อย่างชาญฉลาด 

และทำให้ นาง สุชนา เศรษฐ์ ติดอยู่ในรายชื่อ 100 นักพัฒนา AI ดาวรุ่งหญิงประจำปี 2021 มาแล้ว 

แต่สุดท้าย อนาคตเจ้าของธุรกิจ Startup ดาวรุ่งของเธอกลับต้องจบลงด้วยคดีฆาตกรรมลูกชายตัวเองอย่างน่าสลด ที่สร้างความตกตะลึงไปทั่ววงการ AI ในขณะนี้ 

ซึ่งชาวเน็ตยังพบว่า ภาพสุดท้ายที่โพสต์ใน Instagram ส่วนตัวของนางสุชนา ก็คือภาพของลูกชายวัย 4 ขวบของเธอนั่นเอง พร้อมแฮชแท็กปริศนา #whatwillhappen จึงทำให้หลายคนยังตั้งข้อสงสัยว่า มีอะไรอยู่ในความคิดของนักธุรกิจสาวผู้เชี่ยวชาญด้านปัญญาประดิษฐ์คนนี้ ขณะที่เธอจับร่างไร้วิญญาณของลูกชายใส่กระเป๋าเดินทางกลับบ้านเกิด 

เรื่อง: ยีนส์ อรุณรัตน์

'สื่อมะกัน' หักหน้า 'สีจิ้นผิง' เต้าข่าว!! กองทัพจีนโกงกันยับ คอร์รัปชันยันเชื้อเพลิง จนต้องเติมขีปนาวุธด้วยน้ำเปล่า

(10 ม.ค. 67) กลายเป็นประเด็นร้อนขึ้นมาทันใด เมื่อสำนักข่าว Bloomberg ของสหรัฐฯ ได้รายงานข่าวโดยอ้างอิงแหล่งข่าวจากหน่วยข่าวกรองสหรัฐฯ ว่า ตอนนี้จีนกำลังเจอปัญหาคอร์รัปชันเรื้อรังภายในกองทัพที่โกงกันสนั่น จนล่าสุดจับได้ว่ามีการแอบกรอกน้ำเปล่าแทนน้ำมันเชื้อเพลิงในขีปนาวุธที่ฐานทัพในมณฑลซินเจียง จนขีปนาวุธไม่อยู่ในสถานะพร้อมยิงได้เลย หากมีคำสั่งด่วนขึ้นมา

ปัญหานี้ ทำให้ สี จิ้นผิง เสียหน้ามาก และมีคำสั่งให้สังคายนากองทัพจีนอย่างเร่งด่วน โดยเฉพาะหน่วย 'Rocket Force' หรือ 'กองทัพขีปนาวุธของจีน' ที่มีหน้าที่รับผิดชอบดูแลตั้งแต่ขีปนาวุธนิวเคลียร์ ไปจนถึงขีปนาวุธพิสัยใกล้-ไกล และข้ามทวีปที่ติดตั้งในเขตยุทธศาสตร์ต่างๆ เช่นฐานทัพที่เมืองฮามิ ในมณฑลซินเจียง หรือขีปนาวุธในปฏิบัติการซ้อมรบบริเวณช่องแคบไต้หวัน ที่กำลังตึงเครียดกันอยู่ในขณะนี้

และหากข่าวกรองเป็นจริง อาจต้องมีการประเมินศักยภาพกองทัพจีนใหม่ทั้งหมด เพราะข้อมูลขีปนาวุธของกองทัพจีนที่มีและถูกนำมาโชว์อย่างยิ่งใหญ่ในงานพิธีสวนสนามที่สำคัญ ตอนนี้ไม่อาจรู้ได้เลยว่าพร้อมใช้ยิงจริงๆ ได้กี่เปอร์เซ็นต์?

ว่าแต่ข่าวเรื่องกองทัพจีนแอบกรอกน้ำเปล่า แทนน้ำมันในขีปนาวุธ ตามที่สื่อชั้นนำของสหรัฐอ้างนั้น เป็น Fact News หรือ Fake News กันแน่? วันนี้มาลองถกประเด็นกันหน่อยดีกว่า 

สำหรับข่าววงในของจีนที่เกี่ยวกับการคอร์รัปชันนั้นมีให้เห็นบ่อยๆ ยิ่งในยุคของผู้นำ สี จิ้นผิง ที่ชูนโยบายปราบโกง กวาดล้างคอร์รัปชันในทุกองค์กร ทั้งภาครัฐและเอกชน ตลอดระยะเวลา 10 ปีที่ผ่านมา 

แต่ข่าวการคอร์รัปชันในกองทัพ โดยเฉพาะในกองกำลังขีปนาวุธนั้น มีความแปลกที่ไม่เหมือนเคสอื่นๆ ที่ผ่านมา ไม่ใช่เพราะรูปแบบการคอร์รัปชันที่พิสดารกว่าองค์กรอื่น แต่เพราะ กองกำลังขีปนาวุธถือเป็นหน่วยลับ ที่เกี่ยวข้องกับข้อมูลทางทหารและความมั่นคงของชาติ ที่ไม่สามารถเปิดเผยต่อสาธารณชนได้ในหลายๆ เรื่อง 

อีกทั้งยังเป็นหน่วยที่ สี จิ้นผิง ฝากความหวังไว้ค่อนข้างมาก ที่จะเป็นหน้าเป็นตาของกองทัพจีน ว่ามีแสนยานุภาพด้านขีปนาวุธระดับสูงทันสมัย ไม่แพ้ชาติมหาอำนาจใดๆ ในโลก ถ้าหากวันนี้จีนจำเป็นต้องออกศึกจริงๆ ลุงสีแกก็มั่นใจแหละว่าสู้ได้ 

แต่ทว่า ในปี 2023 ที่ผ่านมา ก็มีข่าวการปลดฟ้าผ่า ผู้บังคับบัญชาระดับสูงแห่งกองทัพขีปนาวุธออกมาอย่างต่อเนื่อง หลังจากที่มีข่าวการตรวจสอบทุจริตของหน่วยงานต่อต้านคอร์รัปชันในกองทัพ และคนที่หลุดจากตำแหน่งคนแรกคือ หวัง เฟิงเหอ รัฐมนตรีกลาโหม และ ผู้บังคับบัญชาสูงสุดของกองทัพขีปนาวุธ ที่ประกาศลาออกอย่างกะทันหัน และถูกเก็บตัวเงียบตั้งแต่เดือนมีนาคม 2023 

หลังจากนั้นเพียง 3 เดือน ผู้บังคับบัญชาของกองทัพจรวดถูกปลดฟ้าผ่าอีก 3 คนรวด คือ หลี่ หยูเชา, สู จงโป๋ และ จาง เจิ้งจง พร้อมข่าวลือสะพัดเรื่องการยักยอก ฉ้อโกง และการขายความลับของกองทัพจีนผ่านลูกชายของ หลี่ หยูเชา ที่ไปศึกษาต่อที่สหรัฐอเมริกา  

ตามมาด้วยข่าวการเสียชีวิตอย่างเป็นปริศนาของ อู่ กั๋วฮวา อดีตรองผู้อำนวยการกองกำลังขีปนาวุธและหัวหน้าแผนการลับที่สาม ที่ทางการจีนประกาศว่าเสียชีวิตจากโรคประจำตัว แต่อดีตเพื่อนร่วมงานออกมาเปิดเผยว่าเขาฆ่าตัวตายจากความเครียดที่เกิดจากหน้าที่การงาน 

ต่อมาเดือนตุลาคม ก็มีคำสั่งปลด หลี่ ฉางฝุ รัฐมนตรีกลาโหมที่มาแทนตำแหน่งของ หวัง เฟิงเหอ ได้ไม่ทันข้ามปี และถูกสั่งเก็บตัวเงียบ ไม่ออกสื่อให้เห็นหน้าอีกเลย

การสังคายนากองทัพขีปนาวุธ ยังไม่จบแค่นั้น วันที่ 29 ธันวาคม ก่อนปิดสิ้นปี ก็มีคำสั่งปลดเจ้าหน้าที่ระดับสูงในกองทัพรวดเดียวอีก 9 คน แถม 5 ใน 9 คนที่ถูกเด้ง ก็ยังเป็นคนของกองทัพขีปนาวุธเสียด้วย 

ข่าวลือจึงยิ่งสะพัดว่า น่าจะมีความไม่ชอบมาพากลภายในกองทัพขีปนาวุธจีนอยู่เยอะมากทีเดียว ที่ทำให้เกิดการสับเปลี่ยนตำแหน่งผู้บัญชาการระดับสูงในหน่วยนี้ ที่สามารถเรียกได้ว่าเป็นการ 'ล้างบาง' ก็ว่าได้ จนกระทั่งสื่อมะกันออกมาแฉหนึ่งในปัญหาการคอร์รัปชันในกองทัพขีปนาวุธ คือ การยักยอกน้ำมันเชื้อเพลิง จนต้องกรอกน้ำเปล่าเข้าไปในถังน้ำมันแทน 

สื่อตะวันตกยังขยายความว่า ทหารในกองทัพแอบยักยอกเอาน้ำมันเชื้อเพลิงไปใช้เองบ้าง เอาไปใช้แทนแก๊ซหุงต้ม เติมหม้อไฟบ้าง จนไม่มีน้ำมันจริงไว้เติมขีปนาวุธ

*** แต่ทั้งนี้ สื่อสายเอเชียบางแห่งตั้งข้อสงสัยว่า ข่าวเรื่องเติมน้ำเปล่า แทนน้ำมันในขีปนาวุธตาม ที่หน่วยข่าวกรองสหรัฐฯ อ้าง น่าจะเป็น Fake News มากกว่า เพราะกองทัพจีนไม่น่าเติมน้ำมันเต็มถังทิ้งค้างไว้ในตัวขีปนาวุธนานๆ อยู่แล้ว และก็ไม่จำเป็นต้องใส่น้ำลงไปในถังเชื้อเพลิงแทนก็ได้ 

เพราะหากทำเช่นนั้น จะกลายเป็นความผิดร้ายแรงยิ่งกว่าการยักยอกน้ำมันเสียอีก เพราะเข้าข่ายการก่อวินาศกรรม บ่อนทำลายชาติ กลายเป็นคดีความมั่นคงร้ายแรงที่จะไม่จบแค่การถูกปลด ถูกเด้งจากตำแหน่งแน่นอน

เมื่อพิจารณาข้อเท็จจริงในแง่มุมนี้ ข่าวเรื่องการแอบเติมน้ำเปล่าแทนน้ำมันไม่น่าจะจริง แต่ถ้าเป็นประเด็นเรื่องคอร์รัปชัน ยักยอกเชื้อเพลิง ทรัพย์สิน หรือการขายความลับให้ชาติคู่อริ น่าจะมีมูลมากกว่า ที่สั่นสะเทือนกองกำลังขีปนาวุธจีนอยู่ในตอนนี้

และยังถือเป็นการหยามสี จิ้นผิง อย่างไม่น่าให้อภัย เนื่องจากสี จิ้นผิง เป็นคนอนุมัติงบประมาณมหาศาลให้กับกองทัพขีปนาวุธ ตั้งแต่เข้ารับตำแหน่งผู้นำจีนเพื่อขยายแสนยานุภาพทางทหาร ให้ครอบคลุมไปไกลทั่วโลกด้วย เมื่อหวังมากย่อมแค้นมากเป็นธรรมดา 

อีกทั้งปัญหานี้มันไม่ได้มีแค่มิติการคอร์รัปชัน แต่เป็นเรื่องของความจงรักภักดีต่อชาติ และรัฐบาลจีนด้วย จึงเชื่อได้ว่า การล้างบางภายในกองทัพขีปนาวุธ รวมถึงกองกำลังหน่วยอื่นๆ จะมีตามมาอีกระลอกใหญ่อย่างแน่นอนในไม่ช้านี้

‘NASA’ เร่งพัฒนา ‘หุ่นยนต์คล้ายมนุษย์’ ทำงานเสี่ยงภัยในอวกาศ ช่วยทุ่นแรงงานอันตราย-มนุษย์สามารถโฟกัสภารกิจได้เต็มที่

(10 ม.ค. 67) ข่าวต่างประเทศรายงานว่า ในภารกิจสำรวจและวิจัยของมนุษย์อย่างเราในพื้นที่อวกาศนั้น ถือเป็นเรื่องที่เสี่ยงอันตรายอย่างมาก เพราะในพื้นที่อวกาศไม่มีอากาศให้หายใจ และยังมีรังสีมากมายที่เป็นอันตรายต่อร่างกายของเรา

เพื่อลดความเสี่ยงในภารกิจต่างๆ ในพื้นที่นอกโลก องค์การบริหารการบินและอวกาศแห่งชาติ NASA จึงได้มีการพัฒนา ‘หุ่นยนต์ฮิวแมนนอยด์’ (Humanoid robot) หรือ หุ่นยนต์คล้ายมนุษย์ เพื่อส่งไปใช้งานบนอวกาศในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า ซึ่งจะช่วยลดงานของมนุษย์อวกาศในสภาพแวดล้อมที่เสี่ยงอันตรายของอวกาศอันกว้างใหญ่

ผู้เชี่ยวชาญด้านหุ่นยนต์ของ NASA กล่าวว่า หากการพัฒนาสำเร็จ ในอนาคตหุ่นยนต์ฮิวแมนนอยด์ หรือหุ่นยนต์คล้ายมนุษย์ จะสามารถช่วยมนุษย์ทำงานที่มีความเสี่ยงในพื้นที่อวกาศได้ เช่น ทำความสะอาดแผงโซลาร์เซลล์นอกอวกาศ ช่วยตรวจสอบอุปกรณ์ที่ทำงานผิดปกตินอกยานอวกาศ ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงให้กับมนุษย์อวกาศได้อย่างมาก

ก่อนหน้านี้ นอกจากหุ่น ’วัลคิรี’ ที่กำลังพัฒนา NASA เคยส่งหุ่นยนต์คล้ายมนุษย์ไปยังอวกาศมาแล้ว คือ โรโบนอส ทู (Robonaut 2) หุ่นยนต์คล้ายมนุษย์ตัวแรกที่เข้าสู่อวกาศ โดยหุ่นยนต์ได้ถูกส่งขึ้นไปยังสถานีอวกาศนานาชาติ ในปี มีหน้าที่ช่วยงานพื้นฐาน เช่น ช่วยประสานการควบคุม ช่วยวัดการไหลของอากาศ ก่อนจะถูกส่งกลับมายังโลกในปี 2018

ในการพัฒนาหุ่นยนต์ฮิวแมนนอยด์ ของ NASA ทางทีมวิศวกรได้ให้ข้อมูลว่า ไม่ได้พยายามทำให้หุ่นยนต์มาทำงานแทนมนุษย์ แต่อยากให้งานที่อันตราย หรืองานน่าเบื่อให้หุ่นยนต์ทำแทนในพื้นที่อวกาศ เพื่อให้มนุษย์อวกาศที่ออกไปทำภารกิจนอกโลก มีเวลาที่จะสามารถทำภารกิจต่างๆ ได้อย่างเต็มที่ เพราะนอกอวกาศนั้นมีทรัพยากรในการอาศัยและเดินทางที่จำกัด

‘เกาหลีใต้’ ไฟเขียว!! กฎหมายห้าม ‘กิน-ซื้อขาย’ เนื้อสุนัข รับแรงหนุน 'กระแสแอนตี้-ปธน.เป็นคนรักสัตว์ตัวยง'

(10 ม.ค. 67) สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า รัฐสภาเกาหลีใต้ผ่านร่างกฎหมายห้ามการจำหน่ายและบริโภคเนื้อสุนัขเมื่อวันอังคาร(9 ม.ค.) ซึ่งจะส่งผลให้ประเพณีการรับประทานเนื้อสุนัขที่มีมานานนับร้อยๆ ในแดนโสมกลายเป็นสิ่งผิดกฎหมาย ท่ามกลางกระแสรณรงค์ต่อต้านการกินเนื้อสุนัขจากบรรดานักปกป้องสิทธิสัตว์ รวมถึงบุคคลทั่วไป

กฎหมายแบนการรับประทานและจำหน่ายเนื้อสุนัขผ่านความเห็นชอบจากรัฐสภาอย่างท่วมท้น ด้วยคะแนน 208 เสียง งดออกเสียง 2 เสียง โดยจะเริ่มมีผลบังคับใช้หลังผ่านช่วงเวลาผ่อนผัน (grace period) 3 ปี

ผู้ที่ฝ่าฝืนจะมีโทษจำคุกสูงสุด 3 ปี หรือปรับเงินสูงสุด 30 ล้านวอน (ราว 795,000 บาท)

คนเกาหลีใต้สมัยก่อนเชื่อกันว่า การรับประทานเนื้อสุนัขจะช่วยให้ร่างกายทรหดอดทนต่อสภาพอากาศในฤดูร้อน ทว่าปัจจุบันสุนัขกลายเป็นสัตว์เลี้ยงในบ้าน บวกกับมีการรณรงค์ต่อต้านการเชือดสุนัขเพื่อเป็นอาหาร ทำให้ความนิยมในการกินเนื้อสุนัขลดลงไปมาก และยังคงรับประทานกันเฉพาะในหมู่คนสูงวัยเสียเป็นส่วนใหญ่

นักเคลื่อนไหวเพื่อสิทธิสัตว์ชี้ว่า สุนัขมักจะถูกฆ่าด้วยวิธีใช้ไฟฟ้าช็อตหรือแขวนคอให้ตาย ก่อนจะถูกนำมาแล่เนื้อ  แต่เจ้าของฟาร์มและผู้ค้าสุนัขก็ออกมาแย้งว่าพวกเขามีความพยายามที่จะปรับไปใช้วิธีการฆ่าที่ทารุณน้อยลง

กระแสต่อต้านการกินเนื้อสุนัขเริ่มแพร่หลายขึ้นในยุคของประธานาธิบดี ยุน ซุกยอล ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นคนรักสัตว์ และเลี้ยงสุนัขเอาไว้ถึง 6 ตัว แมวอีก 8 ตัว ขณะที่นางคิม คยอน-ฮี สุภาพสตรีหมายเลขหนึ่ง ก็เป็นหนึ่งในผู้ที่ออกมาวิจารณ์การรับประทานเนื้อสุนัขเช่นกัน

ผลสำรวจความคิดเห็นที่เผยแพร่เมื่อวันจันทร์ (8 ม.ค.) โดยสถาบัน Animal Welfare Awareness, Research and Education ในกรุงโซลพบว่า ผู้ตอบแบบสอบถาม 94% ไม่ได้รับประทานเนื้อสุนัขเลยในช่วง 1 ปีที่ผ่านมา และ 93% บอกว่าคงจะไม่รับประทานอีกในอนาคต

'จีน' ล้ำ!! พัฒนา 'ผิวหนังอิเล็กทรอนิกส์’ ควบคุมอุณหภูมิให้คงที่ได้ เล็งใช้เป็นส่วนประกอบสำคัญของหุ่นยนต์อัจฉริยะแห่งอนาคต

(10 ม.ค. 67) สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า คณะนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีหนานฟาง (SUSTech) ได้พัฒนาผิวหนังอิเล็กทรอนิกส์ควบคุมอุณหภูมิได้ หรือ เทอร์โม-อี-สกิน (thermo-e-skin) ที่ประกอบขึ้นจากโครงสร้างลอกเลียนแบบทางชีวภาพ ซึ่งเลียนแบบกลไกการควบคุมอุณหภูมิของร่างกายมนุษย์ ผ่านการผสมผสานอุปกรณ์เทอร์โมอbเล็กทริกที่มีความยืดหยุ่นเข้ากับวัสดุไฮโดรเจลคอมโพสิท (hydrogel composite)

ผิวหนังอิเล็กทรอนิกส์ดังกล่าว สามารถรักษาอุณหภูมิพื้นผิวให้คงที่อยู่ที่ 35 องศาเซลเซียส ตลอดช่วงอุณหภูมิแวดล้อมตั้งแต่ 10-45 องศาเซลเซียส ด้วยความสมดุลของการสร้างและการกระจายความร้อนช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาผิวหนังอิเล็กทรอนิกส์บรรลุการทำงานของระบบสัมผัสเสมือนมนุษย์ และสร้างการตอบสนองของระบบประสาทที่เสถียร ผ่านการเลียนแบบร่างกายมนุษย์ในระดับที่แตกต่างกันออกไป ส่งผลให้มันเป็นส่วนประกอบสำคัญสำหรับหุ่นยนต์อัจฉริยะแห่ง

อนาคต ทว่าฟังก์ชันการควบคุมอุณหภูมินี้จำกัดอยู่ที่เพียงการทำความร้อนหรือทำความเย็นแบบธรรมดา และไม่อาจรักษาการควบคุมอุณหภูมิคงที่เป็นเวลานานในสภาพแวดล้อมที่ซับซ้อนและมีการเปลี่ยนแปลง

อนึ่ง การศึกษาดังกล่าวได้รับการเผยแพร่ในวารสารนาโนเอ็นเนอร์จี (Nano Energy)


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top