Thursday, 19 June 2025
WORLD

ปลื้มปริ่ม!! ‘คุณพ่อ’ ส่งลูกสาวเข้าพิธีวิวาห์ ฝากเจ้าบ่าว “ถ้าวันไหนไม่รัก อย่าทำร้าย แค่พาเธอกลับมาหาพ่อ”

วันแต่งงานถือเป็นวันสุดพิเศษ ไม่ใช่เพียงเจ้าสาวและเจ้าบ่าวรอคอย แต่พ่อแม่ผู้ปกครองของพวกเขายังเฝ้ารอวันนี้ด้วย ลูกตัวน้อยที่เติบโตจนเป็นผู้ใหญ่ เตรียมสร้างครอบครัว ทำให้พวกท่านต่างเตรียมคำพูดที่จะมาพูดกับลูกมากมาย

เมื่อวันที่ 18 มิ.ย.66 ‘ไคลี่ โยว’ ผู้ใช้ติ๊กต็อกจากสิงคโปร์ได้โพสต์วิดีโอชวนซึ้ง เป็นช่วงเวลาที่คุณพ่อของเธอได้พูดฝากฝังเธอไว้กับเจ้าบ่าว ซึ่งคำพูดทุกคำล้วนกลั่นออกมาจากหัวใจ ทำผู้คนภายในงานต่างน้ำตาซึม

โดยคุณพ่อได้ขอให้เจ้าบ่าวช่วยรักและดูแลลูกสาวของเขาให้ดี ขอให้ครองคู่กันชั่วนิรันดร์ มีสุขภาพแข็งแรง และถ้าวันใดวันหนึ่งเจ้าบ่าวไม่รักลูกสาวของเขาแล้ว ได้โปรดอย่าทำร้ายเธอและส่งเธอคืนมาให้เขา

“พ่อมอบลูกสาวสุดที่รักของพ่อให้แล้ว พ่อรู้ว่าคุณรักเธอมาก พ่อขอคุณให้รัก ดูแลเธอ และให้ความสำคัญกับเธอในทุกเรื่องเสมอ พ่อขอให้อวยพรให้ทั้งคู่มีความสุข รักยืนยาวชั่วนิรันดร์

ถ้าวันหนึ่งเกิดเปลี่ยนใจ ไม่ได้รักลูกสาวของพ่อแล้ว ได้โปรดอย่าทำร้ายเธอเลย แค่พาเธอกลับมาหาพ่อและคืนเธอมาให้พ่อก็พอ”

หลังจากคุณพ่อพูดจบ เจ้าบ่าวก็ให้คำมั่นว่า สิ่งที่คุณพ่อกลัวจะไม่เกิดขึ้นแน่นอน จากนั้นคุณพ่อก็ส่งตัวลูกสาวไปให้เจ้าบ่าวและสวมกวดกับทั้งคู่

ต่อมา ไคลี่ ได้เปิดเผยว่า นี่เป็นครั้งแรกที่เธอเห็นพ่อร้องไห้ เธอไม่รู้มาก่อนว่าคุณพ่อจะเตรียมคำพูดมา และที่สำคัญเธอไม่เคยได้ยินคุณพ่อพูดคำกล่าวที่ยาวเช่นนี้มาก่อน

“สามีของฉันน้ำตาไหล เขาร้องไห้หนักมาก พวกเรายังคงน้ำตาไหลเมื่อดูวิดีโอซ้ำ ๆ และฉันคิดว่าเราก็ยังคงเสียน้ำตาในงานแต่งของคนอื่น เพราะมันทำให้เรานึกถึงช่วงเวลานี้”

‘รัฐบาลสิงคโปร์’ รับ!! ให้เงินหนุนจัดคอนเสิร์ต ‘เทย์เลอร์ สวิฟต์’ แต่ปัดบอกยอดเงิน-ข้อตกลงพิเศษ เหตุเป็นความลับทางธุรกิจ

(21 ก.พ. 67) รัฐบาลสิงคโปร์ออกมายอมรับว่า ได้ให้เงินสนับสนุนเพื่อให้ใช้สิงคโปร์เป็นสถานที่ในการจัดคอนเสิร์ต The Eras Tour ของเทย์เลอร์ สวิฟต์ ที่กลายเป็นเพียงประเทศเดียวในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่นักร้องชื่อดังเปิดแสดง ขณะกำลังเดินสายแสดงคอนเสิร์ตทั่วโลก

ซึ่งด้าน กระทรวงวัฒนธรรมและการท่องเที่ยวสิงคโปร์ออกแถลงการณ์ร่วม ระบุว่า ทางการได้ทำงานร่วมกับผู้จัดคอนเสิร์ตโดยตรง แต่ปฏิเสธที่จะเปิดเผยถึงยอดเงินสนับสนุน และไม่ได้บอกว่าได้บรรลุข้อตกลงพิเศษหรือไม่ โดยระบุว่าเป็นความลับทางธุรกิจ

โดยการแถลงร่วมดังกล่าวมีขึ้นหลังจากที่ก่อนหน้านี้นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ได้ออกมากล่าวเมื่อสัปดาห์ก่อนว่า สิงคโปร์ได้ทำข้อตกลงมูลค่าสูงถึง 500 ล้านบาท ให้สวิฟต์แสดงคอนเสิร์ต The Eras Tour ที่สิงคโปร์เพียงประเทศเดียวในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เพื่อที่จะได้มีรายได้จากนักท่องเที่ยวจำนวนมากที่จะหลั่งไหลเข้ามา

แถลงการณ์ดังกล่าวอ้างไม่ได้พูดถึงคำกล่าวของผู้นำไทยโดยตรง แต่ระบุว่า การเดินทางมาจัดคอนเสิร์ตของสวิฟต์มีแนวโน้มที่จะก่อให้เกิดผลประโยชน์อย่างมีนัยสำคัญต่อเศรษฐกิจสิงคโปร์

ผู้คร่ำหวอดในธุรกิจบันเทิงรายหนึ่งซึ่งไม่ต้องการเปิดเผยชื่อระบุว่า ไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะมีการร้องขอข้อตกลงพิเศษ แต่ก็ไม่ใช่เรื่องปกติเช่นกันที่ศิลปินจะทำตามคำขอ พร้อมกับรับว่าผู้จัดรายใหญ่ย่อมมีอิทธิพลครอบงำค่อนข้างมาก นับตั้งแต่มีการผ่อนคลายมาตรการควบคุมโควิด-19 สิงคโปร์ดึงดูดศิลปินต่างชาติมากมายให้มาแสดงคอนเสิร์ตในประเทศ รวมถึง Blackpink, Harry Styles, Ed Sheeran และ Coldplay

ทั้งนี้ ผู้สื่อข่าวรายงานว่าศิลปินทั้งหมดนี้ก็เดินทางมาเล่นคอนเสิร์ตในไทยด้วยเช่นกัน ยกเว้นเพียงสวิฟต์เท่านั้น

ขณะที่สวิฟต์จะเล่นคอนเสิร์ตที่สนามกีฬาแห่งชาติของสิงคโปร์ทั้งหมด 6 รอบในต้นเดือนมีนาคมนี้ ซึ่งบัตรขายเกลี้ยงทั้งหมดแล้ว คาดว่าจะมีแฟนเพลงมาร่วมชมคอนเสิร์ตดังกล่าวมากกว่า 300,000 คน

หลังจากสิงคโปร์ สวิฟต์มีกำหนดจะเดินทางไปทัวร์คอนเสิร์ตต่อในยุโรป ซึ่งคาดว่าเธอจะสามารถสร้างรายได้ประมาณ 2,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 72,000 ล้านบาท

‘มาเลเซีย’ หวังคว้าประโยชน์จาก ‘เทคโนโลยีจีน’ ภาคส่วนการบิน เชื่อ!! จะนำโอกาสมาให้ พร้อมก้าวสู่บทบาทห่วงโซ่อุปทานระดับโลก

เมื่อวานนี้ (19 ก.พ.67) สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า เหลียวชินตง รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการลงทุน การค้า และอุตสาหกรรมของมาเลเซีย กล่าวว่ามาเลเซียต้องการคว้าประโยชน์จากเทคโนโลยีของจีนในภาคส่วนการบิน เพื่อมีบทบาทมากขึ้นในห่วงโซ่อุปทานระดับโลกในภาคส่วนดังกล่าว

ทั้งนี้ เหลียวชินตง ได้ขึ้นกล่าวที่การประชุมการบินมาเลเซีย-จีน ปี 2024 (Malaysia-China Aviation Forum 2024) ระบุว่า อุตสาหกรรมการบินและอวกาศที่เติบโตอย่างรวดเร็วของจีนจะนำมาซึ่งโอกาสและพลวัตใหม่ ซึ่งเป็นสิ่งที่มาเลเซียหวังว่าจะได้รับผลประโยชน์ด้วย

ซึ่ง เหลียวชินตง กล่าวเสริมว่ามาเลเซียมีสถานะที่น่าเชื่อถืออยู่แล้วในด้านวัสดุการบิน รวมถึงการผลิตชิ้นส่วนและส่วนประกอบของเครื่องบิน แต่เราต้องการเดินหน้าทำงานมากกว่านี้และมีส่วนสำคัญมากขึ้นในห่วงโซ่อุปทานระดับโลก

การประชุมฯ เน้นย้ำถึงความร่วมมือที่ผสานรวมความเชี่ยวชาญของจีน และความปรารถนาของมาเลเซียในการเป็นส่วนที่ขาดไม่ได้ในห่วงโซ่อุปทานของอุตสาหกรรมการบินและอวกาศระดับโลก

ทั้งนี้ แบบพิมพ์เขียวอุตสาหกรรมการบินและอวกาศของมาเลเซีย ปี 2030 ระบุว่ามาเลเซียตั้งเป้าเป็นประเทศด้านการบินและอวกาศแห่งหลักในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และเป็นส่วนสำคัญของตลาดโลกภายในปี 2030 โดยคาดการณ์ทำรายได้ต่อปี 5.52 หมื่นล้านริงกิต (ราว 4.16 แสนล้านบาท) และสร้างตำแหน่งงานที่มีรายได้สูงกว่า 32,000 อัตรา

'นักวิจัยญี่ปุ่น' เผย!! 'ตาข่ายสีแดง' ปกป้องพืชผลจากแมลงได้ดีที่สุด บังตาพืชผล ลดใช้สารเคมี เพิ่มโอกาสพืชรับ 'แสง-น้ำ-อากาศถ่ายเท'

(20 ก.พ. 67) จาก TNN Tech เผยข้อมูลจากนักวิจัยประเทศญี่ปุ่นที่ค้นพบว่า 'ตาข่ายสีแดง' สามารถปกป้องพืชผลจากแมลงได้มีประสิทธิภาพสูงที่สุด ซึ่งแตกต่างจากตาข่ายที่ใช้กับแปลงปลูกผักแบบกางมุ้งในปัจจุบันที่มักเป็นสีดำ สีขาว สีเขียวหรือสีน้ำเงิน

แม้ว่าการปลูกพืชในมุ้งจะเป็นวิธีการหนึ่งที่ทำให้ผักปลอดจากสารเคมีกำจัดแมลงมากที่สุด แต่ยังคงมีแมลงบางชนิดที่สามารถหลุดรอดผ่านมุ้งเข้าไปทำลายแปลงผักของเกษตรกรได้ โดยเฉพาะ 'เพลี้ยไฟหัวหอม' ซึ่งนอกจากกินต้นพืช มันยังมีเชื้อไวรัสที่เป็นอันตรายทิ้งเอาไว้ด้วย

งานวิจัยตาข่ายสีแดงปกป้องพืชชิ้นนี้เกิดขึ้นโดยความบังเอิญหลังมีการตรวจพบว่าเพลี้ยไฟหัวหอม มักอยู่ห่างจากพืชที่ถูกฉายรังสีด้วยแสงสีแดง ทำให้ศาสตราจารย์ มาซามิ ชิโมดะ และทีมงานนักวิจัยมหาวิทยาลัยโตเกียว ตั้งสมมติฐานว่าหากใช้ตาข่ายสีแดงอาจสามารถกันแมลงได้ 

ทีมงานได้ใช้ตาข่ายสีแดงผสมกับสีอื่นๆ สามสี ประกอบด้วย แดง-ขาว แดง-ดำ และแดง-แดง โดยตาข่ายแต่ละสีมีขนาดรูแตกต่างกัน เช่น 2, 1 และ 0.8 มม. เพื่อให้ได้คำตอบของงานวิจัยที่แม่นยำทั้งในด้านของการใช้สีและขนาดของรูตาข่าย

ตาข่ายทั้ง 3 แบบ ถูกนำมาคลุมแปลงต้นหอมคูโจ หรือหัวหอมเวลส์ และเริ่มทำการทดลองปล่อยให้ต้นหอมเจริญเติบโต ผลการทดลองพบว่าแม้ตาข่ายสี 'แดง-แดง' จะมีรูตาข่ายขนาดใหญ่แมลงลอดผ่านได้ง่ายมากกว่าตาข่ายสีอื่น แต่ผักกลับมีร่องรอยการโจมตีของแมลงที่น้อย แสดงว่าให้เห็นว่าแมลงอาจมองไม่เห็นตาข่ายสีแดง

นักวิจัยได้ทำการค้นคว้าเพิ่มเติมและพบคำตอบว่า แมลงส่วนใหญ่รวมถึงเพลี้ยไฟหัวหอม ไม่มีเซลล์รับแสงสีแดงในดวงตาไม่สามารถมองเห็นสีแดงได้เช่นเดียวกับดวงตาของมนุษย์ ทำให้พวกแมลงไม่สามารถมองเห็นตาข่ายสีแดง รวมไปถึงผักที่โดนตาข่ายสีแดงปกป้องเอาไว้ 

อย่างไรก็ตาม นักวิจัยยังคงทำการทดลองต่อไป เพื่อให้เข้าใจคุณสมบัติของตาข่ายสีแดงที่มีผลต่อแมลงและพฤติกรรมของเพลี้ยไฟหัวหอมอย่างแท้จริง รวมไปถึงศึกษาพฤติกรรมของแมลงสายพันธุ์อื่นๆ เนื่องจากตาข่ายสีแดงยังไม่สามารถป้องกันแมลงทุกสายพันธุ์ได้อย่างสมบูรณ์

ทั้งนี้ งานวิจัยดังกล่าว นับว่าเป็นการค้นพบครั้งสำคัญและอาจปูทางไปสู่การลดใช้สารเคมีปราบแมลงในการทำเกษตร นอกจากนี้การใช้ตาข่ายสีแดงและรูตาข่ายที่ใหญ่ขึ้น ยังเพิ่มโอกาสให้พืชสามารถรับแสงแดด น้ำและการไหลเวียนของอากาศได้ดีมากขึ้นยิ่งขึ้น

‘หญิงสิงคโปร์’ ตัดสินใจจัด ‘งานศพคนเป็น’ ให้ตัวเอง หวังบอกลาคนที่รักครั้งสุดท้าย ก่อนจากไปด้วยโรคมะเร็ง

(20 ก.พ. 67) กลายเป็นไวรัลสุดเศร้าในโลกออนไลน์ หลังสำนักข่าวต่างประเทศ รายงานถึงภาพวาระสุดท้ายในชีวิตของ ‘มิเชลล์ อึ้ง’ (Michelle Ng) หญิงสาวชาวสิงคโปร์ วัย 29 ปี ตัดสินใจจัดงานศพให้ตัวเองในบรรยากาศสุดอบอุ่น เต็มไปด้วยรอยยิ้มและเสียงหัวเราะของคนที่รัก

โดยเชิญเพื่อนกับญาติ 30 คน มาร่วมงานเลี้ยง เพื่อเป็นการบอกลาครั้งสุดท้าย ก่อนที่เธอจะจากไปเพราะโรคมะเร็งในอีก 1 สัปดาห์หลังจากนั้น

ตามรายงานระบุจากข้อมูลของ ‘HCA Hospice Care’ ซึ่งเป็นองค์กรการกุศลที่จะให้ความช่วยเหลือ ดูแลแบบประคับประคองแก่ผู้ป่วย งานศพนี้มีการจัดเลี้ยงอาหาร และนักร้องมาร้องเพลง ไม่ต่างไปจากงานวันเกิด

ในคำเชิญที่มิเชลล์ส่งให้แขกที่มาร่วมงาน เธอยังสนับสนุนให้ทุกคนเขียนจดหมายฉบับสุดท้ายให้เธอ รวมถึงมีการนำหนังสือมาแลกเปลี่ยนกับญาติ และเพื่อนคนอื่น ๆ

มิเชลล์กล่าวในงานว่า “ฉันอยากจะแบ่งปันความรัก อาหาร ดนตรี และหนังสือกับเพื่อน ๆ” และบอกอีกว่า “ฉันอยากจะเรียกงานนี้ว่างานศพที่มีชีวิต… ฉันคิดว่าความตายอยู่ใกล้ใจเรามากและไม่ใช่สิ่งที่น่ากลัว ขอบคุณที่ทำให้ฉันมีความสุขมากในวันนี้ ขอบคุณมากที่มา ฉันรู้สึกขอบคุณทุกเสียงหัวเราะที่ได้ยินและทุกรอยยิ้มที่ฉันเห็น”

อย่างไรก็ดี เดิมที มิเชลล์ เป็นนักวิ่งและนักปั่นตัวยง แถมยังมีธุรกิจเป็นของตัวเอง ขณะที่ชีวิตกำลังไปได้สวยทุกอย่างก็ต้องหยุดลง เมื่อเธอได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคมะเร็งรังไข่ ขณะมีอายุเพียง 27 ปี

กระทั่งในช่วงสิ้นปี 2565 มะเร็งได้ลุกลามไปยังส่วนอื่น ๆ ของร่างกาย อีกทั้งการรักษา ก็ไม่ทำให้อาการของเธอดีขึ้น

จากนั้นเธอจึงตัดสินใจอยู่บ้าน และใช้เวลาอยู่กับญาติ ๆ ให้มากขึ้นในช่วงเวลาที่เหลือ ก่อนรู้ว่าตัวเองเหลือเวลาอยู่อีกไม่นาน จึงตัดสินใจจัด ‘งานศพคนเป็น’ ให้ตัวเองขึ้น เพราะอยากใช้วันสุดท้ายของชีวิตที่บ้านของเธอ ท่ามกลางคนที่เธอรักและรักเธอ

โดยงานศพในครั้งนี้ ถูกจัดขึ้นในวันที่ 23 ธันวาคม 2566 หลังจากนั้น ผ่านไปได้ 10 วัน มิเชลล์ก็เสียชีวิตลงอย่างสงบ ในวันที่ 2 ม.ค.67 ที่ผ่านมา

คุณยายวัย 79 ปี สานฝันวัยเด็กได้สำเร็จ เดินทางท่องเที่ยวทั่วโลกครบ 193 ประเทศ

เมื่อไม่นานมานี้ ลุยซา ยู (Luisa Yu) ให้สัมภาษณ์กับรายการ Good Morning America ว่า “นี่คือฝันที่เป็นจริง” ตั้งแต่เธอยังเป็นเด็กสาวในฟิลิปปินส์ “เมื่อฉันดูหนัง เห็นฉากที่สวยงามทั้งทิวทัศน์ ธรรมชาติ แม่น้ำ ภูเขา นั่นทำให้ฉันหลงใหลและเป็นเหตุผลที่คิดเสมอว่าสักวันหนึ่งจะไปท่องเที่ยวในสถานที่เหล่านี้”

คุณยายบอกว่า เดินทางไปสหรัฐอเมริกาในฐานะนักเรียนแลกเปลี่ยนเมื่ออายุ 23 ปี และเริ่มท่องเที่ยวตอนนั้น เพราะสถานะของนักเรียนแลกเปลี่ยนยังไม่สามารถออกนอกประเทศได้ จึงตัดสินใจนั่งรถบัสเกรฮาวด์ไปทัวร์อเมริกา”

ตอนแรก ยู เรียนจบทำงานในสาขาเทคโนโลยีการแพทย์ ซึ่งไม่สะดวกกับการเดินทาง จนเปลี่ยนมาเป็นอาชีพที่สองในฐานะเอเยนต์ท่องเที่ยว เพื่อที่จะได้มีความยืดหยุ่นมากขึ้นในการหาเวลาเดินทาง

ในช่วง 50 ปีที่ผ่านมา ยู เดินทางไปทุกที่ที่ทำได้ ตั้งแต่ยุโรปไปจนเอเชีย รวมทั้งประเทศไทย และต่อไปยังประเทศในแอฟริกา และประเทศในตะวันออกกลาง

จนกระทั่งเธอตัดสินใจว่าต้องการไปเยือนให้ครบ 193 ประเทศ (เฉพาะที่ได้รับการรับรองเป็นสมาชิกของสหประชาชาติ)

“แม้บางแห่งถูกมองว่าอันตราย แต่ฉันพูดเสมอว่าฉันทำได้ ฉันอยากเห็นสถานที่เหล่านี้ ด้วยสายตาของตัวเอง เพราะมีประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมมากมายที่นั่น"

จนกระทั่งในวันที่ 9 พฤศจิกายน ปี ค.ศ. 2023 ประเทศเซอร์เบีย ก็เป็นหมุดหมายที่ 193 ของคุณยายวัย 79 ปี

สำหรับใครก็ตามที่ใฝ่ฝันที่จะได้ท่องเที่ยว ยู สนับสนุนให้พวกเขาลองทำ “ฉันมักจะบอกพวกเขาเสมอว่า อย่ากลัวเลย ออกไปท่องเที่ยวเถอะ อย่ารอใคร เพราะถ้าโอกาสมาถึง มันอาจจะไม่เกิดขึ้นอีก แค่เป็นตัวของตัวเอง และถ้ามีความตั้งใจก็ย่อมมีหนทาง ไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้ คุณแค่ต้องออกไปที่นั่น”

สิ้น ‘ฮิโรทาเกะ ยาโนะ’ ผู้ก่อตั้ง ‘Daiso’ ต้นแบบร้านขายสินค้าราคา 100 เยน

เมื่อวานนี้ (19 ก.พ.67) บลูมเบิร์ก (Bloomberg) รายงานว่า บริษัท ไดโซะ อินดัสทรีส์ (Daiso Industries Co.) ผู้ค้าปลีกสินค้าราคาย่อมเยาในญี่ปุ่น ออกแถลงการณ์ว่า ฮิโรทาเกะ ยาโนะ (Hirotake Yano) มหาเศรษฐีหมื่นล้าน ผู้ก่อตั้งร้าน ‘ไดโซะ’ (Daiso) ต้นแบบร้านขายสินค้าราคา 100 เยน เสียชีวิตแล้วในวัย 80 ปี เมื่อวันที่ 12 ก.พ.67 ด้วยอาการหัวใจล้มเหลว 

แถลงการณ์ของบริษัทระบุว่า สมาชิกในครอบครัวที่ใกล้ชิดได้จัดงานศพของเขาเป็นการส่วนตัว และบริษัทจะจัดพิธีรำลึกถึงเขาในการประชุมของบริษัทในอนาคตอันใกล้นี้ 

ทั้งนี้ ยาโนะ เป็นที่รู้จักในฐานะผู้บุกเบิกรูปแบบธุรกิจร้านขายสินค้าที่ขายทุกอย่างในราคา 100 เยน ซึ่งในช่วงเวลาที่เขาเสียชีวิต เขามีความมั่งคั่งสุทธิประมาณ 1,900 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 68,530 ล้านบาท) อิงตามรายงานของ Bloomberg Billionaires Index 

หลังสำเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัยชูโอในกรุงโตเกียวในปี 1967 ฮิโรทาเกะ ยาโนะ ได้ทำงานหลายอย่าง รวมถึงทำงานในกิจการประมงของพ่อตาจนกระทั่งกิจการล้มละลาย ก่อนที่เขาจะเริ่มขับรถบรรทุกเร่ขายสินค้าในปี 1972 ซึ่งนั่นทำให้เขามีความคิดที่จะขายสินค้าทุกชิ้นในราคา 100 เยน เพื่อประหยัดเวลาจากการที่ไม่ต้องติดป้ายราคา 

ด้วยไอเดียนั้น เขาจึงก่อตั้งร้าน ไดโซะ (Daiso) ขึ้นในปี 1977 แต่กว่าจะมีกำไรก็ต้องใช้เวลาหลายปี ด้วยยอดขาย 3.6 พันล้านเยน Daiso Industries ประสบความสำเร็จจากผลกำไรจากการดำเนินงานเป็นครั้งแรก

บริษัทของเขาประสบความสำเร็จเนื่องจากเป็นธุรกิจที่เกิดขึ้นมาตอบโจทย์ในยุคที่ค่าแรงในญี่ปุ่นซบเซาและเศรษฐกิจถดถอย ทำให้ผู้บริโภคชาวญี่ปุ่นมองหาสินค้าที่คุ้มค่ากับเงินที่จ่ายไปมากขึ้น โมเดลธุรกิจการขายสินค้าทุกชิ้นในราคา 100 เยนจึงเป็นที่นิยมขึ้นในญี่ปุ่น และหลังจากนั้นก็ได้รับความนิยมในประเทศอื่น ๆ ด้วย

หุ้นบริษัทไดโซะซึ่งเป็นหุ้นแบบ Closely Held (ถือหุ้นโดยกลุ่มคนเฉพาะ) มีรายได้ 589,100 ล้านเยน (ประมาณ 141,530 ล้านบาท) งวด 11 เดือนของปีงบการเงิน 2022 (ถึงกุมภาพันธ์ 2023) ข้อมูลในเว็บไซต์บริษัทระบุว่า ไดโซะมีร้านค้าในประเทศญี่ปุ่น 4,360 สาขา และในต่างประเทศ 990 สาขา ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2023

'รัสเซีย' ฮึกเหิม!! เผด็จศึกเบ็ดเสร็จเมือง 'อัฟดิอิฟกา' ความพ่ายแพ้เชิงสัญลักษณ์ครั้งใหญ่ของยูเครน

เมื่อวันอาทิตย์ (18 ก.พ. 67) กองทัพรัสเซียได้ประกาศชัยชนะอย่างเบ็ดเสร็จเหนือเมืองอัฟดิอิฟกา (Avdiivka) ทางภาคตะวันออกของยูเครน ซึ่งถือเป็นเมืองหน้าด่านสู่แคว้นโดเนตสค์ ที่ปัจจุบันเป็นเขตยึดครองโดยรัสเซีย 

การสู้รบในเมืองอัฟดิอิฟกา ถือเป็นหนึ่งในสมรภูมิที่ต่อสู้กันอย่างดุเดือดที่สุดแห่งหนึ่งในช่วงสงครามรัสเซีย-ยูเครน ตั้งแต่กุมภาพันธ์ 2565 เป็นต้นมา โดยกองทัพรัสเซียพยายามที่จะกัดดัน รุกคืบ เพื่อยึดเมืองอัฟดิอิฟกาให้ได้ ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม 

และแล้ว หลังจากที่ปะทะกันอย่างหนักในอัฟดิอิฟกา มานานถึง 2 ปี กองทัพยูเครน นำโดย พลโท โอเล็กซานดร์ ซีร์สกี ผบ.ทบ.ยูเครนคนล่าสุด ได้ตัดสินใจถอนกำลังออกมาจากเมืองนี้แล้วเมื่อช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา เพื่อพากองทหารออกจากพื้นที่ปิดล้อมของรัสเซีย และรักษาชีวิตพลทหารยูเครน ที่มีอยู่จำกัด จึงถือว่าฝ่ายกองทัพรัสเซียสามารถยึดเมืองนี้ได้แล้วอย่างสมบูรณ์ ซึ่งรัฐบาลมอสโควก็ได้ประกาศชัยชนะอีกครั้งในรอบ 9 เดือนหลังจากพิชิตเมืองบัคมุทได้เมื่อช่วงเดือนพฤษภาคม ปีที่แล้ว

เมืองอัฟดิอิฟกาสำคัญกับรัสเซียอย่างไร?

อันที่จริง เมือง อัฟดิอิฟกา ก็ไม่ใช่เมืองขนาดใหญ่ มีประชากรราว ๆ 3.1 หมื่นคน (ก่อนจะเกิดสงครามรัสเซีย-ยูเครน) ซึ่งตัวเมืองมีขนาดเพียงครึ่งเดียวของเมือง บัคมุท แต่ชาวยูเครนก็รู้จักเมืองเล็ก ๆ นี้เป็นอย่างดี เพราะเป็นที่ตั้งโรงงานบริษัทโค้กที่ใหญ่ที่สุดในยูเครนมานานตั้งแต่ยุคสหภาพโซเวียต 

แต่ขนาดไม่สำคัญเท่าทำเล เนื่องจากเมืองนี้เป็นเหมือนประตูทางเข้า ที่มีถนนวิ่งตรงสู่ใจกลางแคว้นโดเนตสค์ เขตยึดครองสำคัญของกองกำลังแบ่งแยกดินแดนที่สนับสนุนรัสเซีย ดังนั้นการที่กองกำลังยูเครนยกพลมาปักหลักสู้ตายที่เมืองนี้ เพื่อตัดเส้นทางลำเลียงพล และเสบียงขนส่งจากโดเนตสค์เข้าสู่พื้นที่ตอนกลางของยูเครน แต่ในขณะเดียวกัน ก็เป็นเหมือนหอกข้างแคร่ ที่ยูเครนพร้อมยกกองทัพบุกมาโจมตีใจกลางโดเนตสค์ของฝ่ายรัสเซียได้โดยง่าย 

นอกจากนี้ เมืองอัฟดิอิฟกายังถูกมองว่าเป็นสัญลักษณ์ของความมั่นคงทางเศรษฐกิจของยูเครนฝั่งตะวันออก ที่นอกจากจะมีเขตอุตสาหกรรม เป็นที่ตั้งโรงงานผลิตโค้กที่ใหญ่ที่สุดของประเทศ และยังเป็นอันดับต้นๆ ในยุโรปแล้ว ยังมีเหมืองถ่านหินขนาดใหญ่ของ รีนาท อาห์เมตอฟ มหาเศรษฐีที่ร่ำรวยที่สุดในยูเครนอีกด้วย 

ซึ่งเหตุผลเหล่านี้ก็เพียงพอแล้วที่รัสเซียจะทุ่มเททั้งเวลา และทรัพยากรด้านการทหารนานถึง 2 ปี เพื่อบุกโจมตีเพื่อยึดอัฟดิอิฟกาให้จงได้ แม้ต้องถล่มเมืองนี้จนราบเป็นหน้ากลอง ไม่เว้นแม้แต่โรงงานโค้กที่ชาวยูเครนแสนภูมิใจก็ยังไม่เหลือซาก จนสามารถปักธงรัสเซียได้สำเร็จ บนความสูญเสียทหารอย่างมากมายทั้ง 2 ฝ่าย 

แม้หากประเมินพื้นที่ที่รุกคืบได้เพิ่มมีแค่ 29 ตารางกิโลเมตร กับจำนวนทรัพยากรที่เสียไป อาจดูไม่คุ้มค่า แต่สิ่งที่รัสเซียได้มามากกว่าดินแดน ก็คือขวัญกำลังใจทหาร ที่กลับมาฮึกเหิมได้อีกครั้ง ในขณะเดียวกัน ก็เป็นการตอกย้ำ โวโลดิมีร์ เซเลนสกี้ ผู้นำยูเครน ว่าแผนการตอบโต้กองทัพรัสเซีย ที่ถูกใช้เป็นแคมเปญหาทุน และ ความช่วยเหลือด้านอาวุธจากต่างประเทศยังไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่คาดหวัง แม้แต่เมืองอัฟดิอิฟกา ที่เซเลนสกี้เพิ่งไปเยี่ยมเยือน ให้กำลังใจทหารแถวหน้าเมื่อช่วงสิ้นปี พ.ศ. 2566 ที่ผ่านมานี้เอง ผ่านไปแค่เดือนกว่า ๆ กลายเป็นของรัสเซียไปเสียแล้ว 

การพิชิตพื้นที่เล็ก ๆ ในเชิงยุทธศาสตร์ครั้งนี้ จึงกลายเป็นความพ่ายแพ้เชิงสัญลักษณ์ของกองทัพยูเครน ที่ทำให้ชาติพันธมิตรตะวันตกต้องออกมาขยับตัวกันอีกคร้้ง เริ่มจาก โจ ไบเดน ผู้นำสหรัฐฯ ที่ออกมาแสดงความกังวลเมืองเห็นว่ากองทัพยูเครนมีแววพ่ายแพ้ให้กับรัสเซียในอัฟดิอิฟกา และได้กล่าวโทษความเพิกเฉยของสภาคองเกรซในการอนุมัติงบประมาณ และอาวุธเพิ่มเติมให้แก่ยูเครน 

ด้านเดนมาร์กประกาศยกคลังแสงปืนใหญ่ทั้งหมดที่มีในกองทัพส่งไปให้ยูเครน เมื่อเห็นฝ่ายยูเครนกำลังเพรี่ยงพร่ำเพราะขาดแคลนอาวุธ อีกทั้งยังเรียกร้องใช้ชาติพันธมิตรยุโรป สละยุทโธปกรณ์ของตัวเองไปให้ยูเครนที่มีความจำเป็นต้องใช้ก่อน

ส่วน ฝรั่งเศส และ เยอรมัน เพิ่งเซ็นข้อตกลงฉบับใหม่ที่จะมอบเงินช่วยเหลือด้านการทหารให้ยูเครนเพิ่มอีกในปี 2024 นี้ โดย เอมานูเอล มาครง ผู้นำฝรั่งเศส อนุมัติงบช่วยเหลือเพิ่มให้ยูเครนอีก 3 พันล้านยูโร ส่วน โอลัฟ ช็อลทซ์ นายกรัฐมนตรีเยอรมัน ตั้งใจที่จะอัดฉีดให้ถึง 2.8 หมื่นล้านยูโร ผ่านกองทุนของสหภาพยุโรป ที่จะทำให้เยอรมันกลายเป็นประเทศที่ให้ความช่วยเหลือยูเครนมากที่สุดเป็นอันดับ 2 รองจากสหรัฐอเมริกา

นั่นก็แสดงให้เห็นแล้วว่า สงครามรัสเซีย-ยูเครน ไม่ใช่ความขัดแย้งระหว่างแค่ รัสเซีย กับ ยูเครนมานานแล้ว แต่เป็นการวัดพลังกันระหว่างชาติมหาอำนาจ ที่ใช้ยูเครนเป็นสนามรบตัวแทน แต่เมื่อได้ชื่อว่าเป็นสงครามแล้ว ทุกฝ่ายย่อมคาดหวังชัยชนะ และเมื่อลองได้ร่วมลงทุนแล้ว ไม่ว่าจะเป็นสนามรบเล็ก หรือใหญ่ ขอชนะไว้ก่อนดีที่สุด

สยองกันหมด!! ‘งานประกาศรางวัลเกาหลีใต้’ มีคน ‘ขี้แตก’ ‘ศิลปิน-แฟนคลับ’ กลายเป็นผู้ประสบภัยนั่ง ‘ปิดปาก-ปิดจมูก’

เมื่อวานนี้ (18 ก.พ.) ประเทศเกาหลีใต้ มีการจัดงานประกาศรางวัล Hanteo Music Awards 2024 ซึ่งเป็นงานประกาศรางวัลด้านดนตรีที่จัดขึ้นเป็นประจำทุกปี มีการเชิญศิลปิน-ไอดอล มากมายไปร่วมงาน พร้อมเปิดให้แฟนคลับได้ตามเชียร์ติดขอบเวที

ในครั้งนี้ก็มีเหล่าไอดอลชื่อดัง อาทิ NCT DREAM, AESPA, ATEEZ, ZEROBASEONE, KISS OF LIFE เข้าร่วมงานในวันนั้นด้วย

แต่แล้วก็เกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิด เมื่อมีรายงานว่าหนึ่งในผู้ชมที่อยู่ติดรั้วแถวแรกชิดเวทีที่เหล่าไอดอลนั่งอยู่อุจาระใส่หลุม ซึ่งในหลุมนั้นเต็มไปด้วยผู้คนมากมายที่มารอเชียร์ไอดอล สร้างความโกลาหลไปทั้งงาน

แฟนคลับและศิลปินตรงนั้นกลายเป็นผู้ประสบภัย มีภาพของศิลปินที่เอามือปิดปากและจมูก เพราะน่าจะได้กลิ่นที่ไม่พึงประสงค์ คนที่อยู่ในเหตุการณ์ก็ออกมาเล่าว่า อยู่ข้างหลังคนที่อึแตก กำลังถ่ายรูปอยู่แทบอ้วก ต้องคอยตะโกนบอกคนข้างหลังว่าอย่าดัน มีอึ

ล่าสุด มีผู้ใช้ X บัญชีหนึ่ง อ้างว่าตนเองเป็นคนที่กระทำเหตุการณ์ดังกล่าว ทำไปโดยไม่ตั้งใจ รู้สึกผิดมากที่ทำลายวันดี ๆ ของทุกคน และพร้อมชดใช้ค่าเสียหาย หากทำให้เสื้อผ้าของใครเปื้อน

ก่อนมีคนตั้งข้อสังเกตว่า เหตุการณ์นี้ อาจเกิดจากความตั้งใจก็เป็นได้ เพราะผู้ใช้ X รายนี้ ได้โพสต์คำว่า อึ ไปเมื่อ 3 วันก่อนที่จะจัดงาน

อย่างไรก็ตาม เรื่องราวนี้กลายเป็นที่พูดถึงสนั่นในโลกโซเชียล ทั้งในเกาหลีใต้และต่างประเทศ เพราะเป็นเหตุการณ์สยองขวัญ ชวนช็อก ที่ไม่มีใครคาดว่าจะเกิดขึ้น

‘ญี่ปุ่น’ ปล่อย ‘จรวดเอช 3’ รุ่นใหม่สำเร็จแล้ว หลังคว้าน้ำเหลวในการปล่อยครั้งแรกเมื่อปีก่อน

เมื่อวันที่ 17 ก.พ. 67 สำนักข่าวซินหัว, โตเกียว รายงานว่า องค์การสำรวจอวกาศญี่ปุ่น รายงานการปล่อย ‘จรวดเอช 3’ (H3) เมื่อวันเสาร์ที่17 ก.พ.ที่ผ่านมา หลังจากการปล่อยครั้งแรกเมื่อเกือบหนึ่งปีก่อน ประสบความล้มเหลว

รายงานระบุว่า จรวดเอช 3 สำหรับการบินทดสอบหมายเลข 2 ถูกปล่อยจากศูนย์อวกาศทาเนะงาชิมะ บนเกาะทาเนะงาชิมะ ในจังหวัดคาโงชิมะ ทางตะวันตกเฉียงใต้ของญี่ปุ่น ตอนราว 09.22 น. ตามเวลาท้องถิ่น

อย่างไรก็ดี ความล้มเหลวของการปล่อยครั้งแรกในปี 2023 ทำให้องค์การฯ ปรับเปลี่ยนแผนขนส่งดาวเทียมสำหรับตรวจสอบการทำงาน จากของจริงเป็นของจำลองแทน และมีการขนส่งดาวเทียมขนาดเล็ก (microsatellite) สองดวงด้วย

องค์การฯ ยืนยันการติดเครื่องยนต์ขั้นที่ 2 และการแยกตัวของหนึ่งในสองดาวเทียมขนาดเล็ก หลังจากปล่อยจรวดได้ไม่นาน ซึ่งเป็นหมุดหมายว่า งานหลักของการปล่อยจรวดครั้งนี้สำเร็จลุล่วง

‘จรวดเอช 3’ แบบบรรทุกหนักรุ่นใหม่พัฒนาต่อจาก ‘จรวดเอช 2 เอ’ (H2A) รุ่นหลักในปัจจุบัน ซึ่งคาดว่าจะถูกเลิกใช้ภายในปีงบประมาณหน้าที่เริ่มต้นเดือนเมษายนนี้

สำหรับการปล่อยจรวดเอช 3 เมื่อวันเสาร์ที่ 17 ก.พ.ที่ผ่านมานั้น ถือเป็นความมุ่งมั่นของญี่ปุ่นที่ต้องการยืนยันสมรรถนะของจรวด ในการควบคุมการวางตำแหน่งและการใช้งานดาวเทียมต่างๆ

สื่อท้องถิ่นรายงานว่า นอกจากขนส่งดาวเทียมแล้ว จรวดเอช 3 สามารถขนส่งสัมภาระและวัสดุสู่สถานีอวกาศนานาชาติ รวมถึงเกตเวย์ (Gateway) สถานีอวกาศขนาดเล็กในวงโคจรของดวงจันทร์ ตามแผนของโครงการอวกาศอาร์ทีมิส (Artemis) ที่นำโดยสหรัฐฯ

ทั้งนี้ เดิมทีญี่ปุ่นกำหนดปล่อยจรวดเอช 3 เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 15 ก.พ.ที่ผ่านมา แต่ต้องเลื่อนออกมา เพราะสภาพอากาศไม่เป็นใจ ส่วนการปล่อยครั้งแรกในเดือนมีนาคม 2023 ประสบความล้มเหลวเพราะเครื่องยนต์ขั้นที่ 2 ไม่ติด ทำให้เกิดการทำลายตัวเองหลังปล่อยไม่กี่นาที

‘สาวจีน’ เมินหนุ่มๆ ในชีวิตจริง แห่มี ‘แฟนเอไอ’ หลังเทคโนโลยีพัฒนาจนตอบโจทย์มากกว่าผู้ชาย

(18 ก.พ.67) สำนักข่าวเอเอฟพี รายงานว่า จีนกำลังเจอปัญหาประชากรลด จึงพยายามส่งเสริมให้คนหนุ่มสาวแต่งงาน แต่จะแต่งได้อย่างไรในเมื่อพวกเธอยังไม่เจอชายในฝัน จนต้องหันไปพึ่งพา ‘แฟนเอไอ’

‘ตู่เฟ่ย’ พนักงานออฟฟิศชาวจีนวัย 25 ปี เผยกับสำนักข่าวเอเอฟพีว่า แฟนของเธอนั้นมีความโรแมนติกทุกอย่างที่ต้องการ ใจดี เข้าอกเข้าใจ บางครั้งคุยกันได้เป็นชั่วโมงๆ เสียอย่างเดียว เขาไม่ได้มีตัวตนจริง!!

‘แฟน’ ของเธอ คือ แชตบอตบนแอปพลิเคชัน ‘โกลว์’ (Glow) แพลตฟอร์มเอไอจากมินิแมกซ์ (MiniMax) สตาร์ตอัปในเซี่ยงไฮ้ ท่ามกลางความเฟื่องฟูของอุตสาหกรรมเอไอจีน ที่พยายามนำเสนอความสัมพันธ์ฉันมิตรระหว่างคนกับหุ่นยนต์ แม้กระทั่งความรัก

“เขารู้วิธีคุยกับผู้หญิงมากกว่าผู้ชายจริงๆ เสียอีก” ตู่เฟ่ย จากซีอานทางภาคเหนือของจีนกล่าว

“เขาปลอบโยนฉันเวลาปวดประจำเดือน เวลามีปัญหาในที่ทำงานฉันก็มาระบายกับเขา จนฉันรู้สึกว่ากำลังมีแฟน” สาวเจ้ากล่าวต่อ

แอปพลิเคชันนี้ให้บริการฟรี (บริษัทมีคอนเทนต์อื่นที่ต้องจ่ายเงิน) สื่อจีนหลายสำนักรายงานว่า ช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา มีการดาวน์โหลดแอปพลิเคชันโกลว์วันละหลายหมื่นครั้ง

ช่วงที่ผ่านมา บริษัทเทคโนโลยีจีนบางราย เคยมีปัญหาเรื่องลักลอบใช้ข้อมูลของยูสเซอร์ แต่แม้จะเสี่ยง ยูสเซอร์หลายคนยอมรับว่า เข้ามาใช้แอปฯ เพราะอยากหาเพื่อน วิถีชีวิตในจีนตอนนี้เร่งรีบมาก ชีวิตเมืองโดดเดี่ยวเงียบเหงาสร้างปัญหาให้กับหลายๆ คน

“มันยากมากที่จะพบชายในฝันในชีวิตจริง คนเรามีบุคลิกแตกต่างกัน บ่อยครั้งที่ไปกันไม่ได้” หวัง เสี่ยวติง นักศึกษาวัย 22 ปีจากปักกิ่งกล่าว

ขณะที่มนุษย์มีวิถีของตนเองอยู่แล้ว แต่เอไอค่อยๆ ปรับตัวเข้าหายูสเซอร์ทีละน้อย จำได้ว่าพวกเขาพูดอะไรแล้วปรับคำพูดของตนเองให้เข้ากัน

หวังเล่าว่า เธอมี ‘คนรัก’ หลายคน ได้แรงบันดาลใจมาจากจีนโบราณ เจ้าชายผมยาวผู้เป็นอมตะ หรือแม้กระทั่งอัศวินพเนจร

เมื่อเธอเจอความเครียดจากชั้นเรียนหรือชีวิตประจำวัน “ฉันถามพวกเขา พวกเขาจะแนะนำวิธีแก้ปัญหาให้ นั่นเป็นการให้กำลังใจอย่างมาก” เธอกล่าว

แฟนของหวังทุกคนอยู่บนแอปพลิเคชัน ‘แวนทอล์ก’ (Wantalk) ของไป่ตู้ ซึ่งมีหลายร้อยบุคลิกให้เลือก ตั้งแต่ป๊อบสตาร์ไปจนถึงซีอีโอและอัศวิน แต่ยูสเซอร์ก็สามารถปรับคู่รักในอุดมคติให้เหมาะสมตามวัย ค่านิยม บุคลิก และงานอดิเรกได้อีกด้วย

“ทุกคนล้วนเคยเจอช่วงเวลายากลำบาก ความเหงา และใช่ว่าทุกคนจะโชคดีมีเพื่อน หรือครอบครัวอยู่เคียงข้าง คอยรับฟังได้ตลอด 24 ชั่วโมง ปัญญาประดิษฐ์สามารถตอบสนองความต้องการนี้ได้” หลู่ยู่ หัวหน้าฝ่ายจัดการและดำเนินการผลิตภัณฑ์ของแวนทอล์ก กล่าวกับเอเอฟพี

ณ คาเฟ่แห่งหนึ่งในเมืองหนานตงทางภาคตะวันออกของจีน หญิงสาวคนหนึ่งกำลังคุยอยู่กับแฟนในโลกเสมือน

“เราไปปิกนิกด้วยกันที่สนามหญ้าของมหาวิทยาลัยได้นะ” หญิงสาวเอ่ยชวนเสี่ยวเจียง เพื่อนเอไอจากแอปพลิเคชัน ‘เว่ยปัน’ ของเทนเซ็นต์

“ผมอยากพบเพื่อนสนิทของคุณและแฟนของเขา คุณน่ารักจัง” ชายหนุ่มเอไอตอบกลับ

ชั่วโมงการทำงานอันยาวนานอาจทำให้ไปพบปะเพื่อนๆ ไม่ค่อยได้ ผนวกกับความไม่แน่นอน ไม่ว่าจะเป็นหนุ่มสาวตกงานสูง เศรษฐกิจยากลำบาก นั่นหมายความว่าหนุ่มสาวจีนหลายคนกำลังกังวลกับอนาคต ทำให้คู่รักเอไอเป็นบ่าอบอุ่นเสมือนจริงให้ซบยามมีปัญหา

“ถ้าฉันสามารถสร้างบุคลิกเสมือนจริงที่ตรงตามที่ฉันต้องการได้ทุกอย่าง ฉันก็ไม่จำเป็นต้องไปหาคนจริง” หวังกล่าว

แอปพลิเคชันบางตัวเปิดให้ผู้ใช้คุยสดๆ ได้กับคนรักเสมือนจริง ชวนให้คิดถึงภาพยนตร์รางวัลออสการ์ปี 2556 เรื่อง ‘Her’ นำแสดงโดย ‘วาคิน ฟินิกซ์’ และ ‘สการ์เล็ต โจฮันส์สัน’ เล่าเรื่องผู้ชายอกหักที่ตกหลุมรักเสียงเอไอ

แต่เทคโนโลยีนี้ยังต้องพัฒนาต่อ ‘เจิง เจิ้นเจิ้น’ นักศึกษาวัย 22 ปี เผยว่าระยะเวลา 2-3 วินาทีระหว่างคำถามกับคำตอบ ทำให้ “คุณตระหนักได้ว่า มันเป็นแค่หุ่นยนต์” กระนั้น คำตอบที่ได้ “ก็เป็นจริงอย่างมาก”

อย่างไรก็ตาม เอไออาจจะกำลังรุ่งสุดๆ ก็จริง แต่อุตสาหกรรมนี้ยังมีกฎระเบียบควบคุมอยู่ โดยเฉพาะในเรื่องความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้ รัฐบาลปักกิ่งแถลงว่า กำลังร่างกฎหมายเพื่อคุ้มครองผู้บริโภค จากเทคโนโลยีใหม่ให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น

เอเอฟพีสอบถามไปยังไป่ตู้ว่าจะมั่นใจได้อย่างไร ว่าข้อมูลส่วนตัวจะไม่ถูกนำไปใช้อย่างผิดกฎหมาย หรือถูกใช้โดยบริษัทอื่น ไป่ตู้ยังไม่ได้ให้คำตอบ

ส่วนตู่เฟ่ย ผู้ใช้แอปพลิเคชันโกลว์ ยังคงฝันหวาน

“ฉันอยากมีแฟนหุ่นยนต์ดำเนินการโดยเอไอ อยากสัมผัสได้ถึงความร้อนในกายเขา ที่จะสร้างความอบอุ่นให้กับฉัน” สาวเจ้ารำพึงรำพัน

‘ชาว Gen Z’ เริ่มเบื่อหน่ายโลกโซเชียลมีเดีย หันไป ‘อ่านหนังสือ-กลับเข้าห้องสมุด’ มากขึ้น

เมื่อไม่นานนี้ สำนักข่าวต่างประเทศ ได้รายงานว่า ‘ชาวเจน Z’ เริ่มหันกลับมา ‘อ่านหนังสือ’ เข้าห้องสมุดมากขึ้น หลังจากเบื่อ ‘โซเชียลมีเดีย’ โดยเลือกอ่านหนังสือหลากหลายประเภท และมีเนื้อหน้าเชิงลึก ไม่ใช่แค่นิยายประโลมโลก

หมดยุคใช้เวลาไปกับ ‘โลกออนไลน์’ แล้ว ในตอนนี้ ‘เจน Z’ คนที่เกิดระหว่างปี 1997-2012 แทนที่จะใช้นิ้วไถหน้าฟีด มาใช้นิ้วพลิกหน้าหนังสือแทน เปลี่ยนความคิดอ่านหนังสือเป็นเรื่องน่าเบื่อ และมีแต่พวกเด็กเนิร์ดทำกัน

‘ไกอา เกอร์เบอร์’ นางแบบวัย 22 ปี ผู้รักการอ่านเป็นชีวิตจิตใจ เพิ่งเปิดตัวชมรมหนังสือออนไลน์ของตัวเองชื่อ ‘Library Science Gerber’ เพื่อเป็นเวทีสำหรับการแบ่งปันหนังสือของเหล่านักเขียนหน้าใหม่ ให้ผู้อ่านได้พบปะนักเขียน และทำหน้าที่สร้างชุมชนของคนที่รักการอ่านแบบที่เธอเป็น

“หนังสือเป็นความรักที่ยิ่งใหญ่ที่ฉันมีมาตลอดชีวิต การอ่านหนังสือเป็นสิ่งที่เซ็กซี่สำหรับฉันมาก” เกอร์เบอร์กล่าวกับ The Guardian

เกอร์เบอร์ไม่ใช่คนเดียวที่รักการอ่าน ในปี 2023 สหราชอาณาจักรมีการขายหนังสือได้ 669 ล้านเล่ม ซึ่งเป็นยอดสูงสุดที่เคยบันทึกไว้ ขณะที่รายงานจาก Nielsen BookData เน้นย้ำว่า คนเจน Z ชอบซื้อหนังสือแบบเล่ม โดยชาวเจน Z เป็นลูกค้ารายใหญ่ของอุตสาหกรรมหนังสือ เพราะ 80% ของยอดขายหนังสือตั้งแต่ พ.ย. 2021-พ.ย.2022 มาจากคนรุ่นใหม่

อีกทั้งชาวเจน Z ยังเข้าห้องสมุดเพิ่มขึ้นถึง 71% เพราะพวกเขาชอบอ่านหนังสือในที่เงียบๆ มากกว่าไปอ่านตามร้านกาแฟที่มีคนพลุกพล่านตลอดเวลา

BookTok แหล่งแนะนำหนังสือของชาวเจน Z
‘BookTok’ ถือเป็นชุมชนสำหรับหนอนหนังสือบน TikTok ไว้สำหรับแลกเปลี่ยนความเห็น รีวิวหนังสือ แนะนำหนังสือสำหรับนักอ่านหน้าใหม่ ตลอดจนเป็นพื้นที่ให้นักอ่านและผู้เขียนได้พูดคุยกันเกี่ยวกับผลงานการเขียนของพวกเขา

ปรากฏการณ์ BookTok เริ่มขึ้นในช่วงปี 2020 ที่ทุกคนต้องล็อกดาวน์อยู่บ้าน ผู้คนว่างไม่มีอะไรทำ จึงอยากจะหาหนังสือมาอ่าน และ BookTok นี้เองก็ทำให้หนังสือหลายเล่มเป็นที่รู้จักและติดอันดับหนังสือขายดี ถือเป็นช่องทางที่ทำให้คนได้ค้นพบงานอดิเรกใหม่ และได้รับความรู้ ความเพลิดเพลินไปในตัว

อย่างไรก็ตาม ‘เกรตา แพตเตอร์สัน’ นักวิจารณ์กล่าวว่า BookTok ทำให้การอ่านกลายเป็น ‘สินค้า’ เหล่าติ๊กต็อกเกอร์สามารถทำให้หนังสือบางเล่มกลายเป็นหนังสือขายดี หรือวิจารณ์งานเขียนบางเล่มให้กลายเป็นหนังสือไม่ดีเพียงชั่วข้ามคืน

“เทคโนโลยีทำให้หนังสือกลายเป็นฟาสต์แฟชั่น อินฟลูเอนเซอร์มีอิทธิพลกับการบริโภคของผู้คนในทุกด้าน ไม่เว้นแม้แต่การอ่านหนังสือ” แพตเตอร์สันกล่าว

วัฒนธรรมการอ่านของคนเจน Z
‘ฮาลี บราวน์’ ผู้ร่วมก่อตั้ง Books on the Bedside วัย 28 ปี บัญชี TikTok เกี่ยวกับการอ่านหนังสือของชาวเจน Z กล่าวว่า คนรุนใหม่อ่านหนังสือหลากหลายประเภทอย่างไม่น่าเชื่อ พวกเขาชอบอ่านวรรณกรรม บันทึกความทรงจำ นิยายแปล และชอบอ่านวรรณกรรมคลาสสิกมากๆ

นอกจากนี้ มีวัฒนธรรมย่อยในโลกของชาวเจน Z ที่รักการอ่าน เช่น Hot Girl Books ซึ่งเป็นหนังสือที่เหล่าคนดังอ่าน และ Sad Girl Books หนังสือแนวโศกนาฏกรรม ซึ่งบราวน์ระบุว่าทั้ง 2 เทรนด์ล้วนเกี่ยวข้องกับความเป็นหญิงหรือผู้หญิงไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง

‘เคนดัลล์ เจนเนอร์’ นางแบบชื่อดัง กลายเป็นตัวแทนของเทรนด์ Hot Girl Books หลังจากที่มีภาพถ่ายของเธออ่านหนังสือ ‘Tonight I'm Someone Else’ ของ เชลซี ฮอดสัน บนเยือยอร์ชในปี 2019 และอีกครั้งในฝรั่งเศสขณะที่เธอกำลังอ่าน ‘Literally Show Me a Healthy Person’ ของ ดาร์ซี ไวล์เดอร์ ซึ่งทำให้หนังสือทั้ง 2 เล่มขายหมดในเว็บไซต์ Amazon ภายใน 24 ชั่วโมง หลังจากภาพถ่ายถูกเผยแพร่ลงอินเทอร์เน็ต

ส่วนแนว Sad Girl Books ก็ไม่ได้จำกัดแค่ผู้อ่านที่เป็นผู้หญิงเท่านั้น เพราะทั้งแฮร์รี่ สไตล์ส นักร้องชื่อก้องโลก ก็อ่านหนังสือเรื่อง Didion ส่วนทิโมธี ชาลาเมต์ นักแสดงชื่อดังก็ยอมรับว่า ‘Fyodor Dostoevsky's Crime and Punishment’ เป็นหนึ่งใน หนังสือเล่มโปรดของเขา และเจคอบ เอลอร์ด นักแสดงดาวรุ่งก็ชอบอ่านหนังสือเรื่อง Prima Facie นวนิยายเกี่ยวกับการรล่วงละเมิดทางเพศและระบบกฎหมาย

‘เอบิเกล เบิร์กสตอร์ม’ นักเขียนและตัวแทนลิขสิทธิ์วรรณกรรม กล่าวว่า ด้วยความอิ่มตัวของโซเชียลมีเดีย รวมความน่ารำคาญและน่าเบื่อของผู้คนในโลกโซเชียล ทำให้คนเจน Z หลีกหนีไปหาหนังสือ โดยที่หนังสือเหล่านั้นจะต้องเป็นหนังสือที่สนุก หรือเลือกอ่านหนังสือจากนักเขียนเก่งเฉพาะทางหรือมีชื่อเสียง

เปิดปาร์ตี้อ่านหนังสือ
บางคนชอบที่จะอ่านหนังสือตามลำพัง เพื่อจะได้มีสมาธิในการอ่าน แต่หลายคนก็ชอบที่อ่านหนังสือกับเพื่อน เพื่อจะได้แลกเปลี่ยนความเห็นไปในตัว ตามรูฟท็อป บาร์ หรือสวนสาธารณะในนิวยอร์กมักจะมีการจัด ‘ปาร์ตี้การอ่าน’ อยู่เสมอ

‘มอลลี ยัง’ ผู้จัดปาร์ตี้รักการอ่านกล่าวว่า นี่เป็นวิธีที่ยอดเยี่ยมในการใช้เวลาร่วมกับผู้คนโดยไม่มีสมาร์ทโฟนมารบกวนสมาธิ และได้แลกเปลี่ยนความคิดที่มีต่อนสิ่งที่เพิ่งอ่านไป

“ผมอ่านทั้งอ่านหนังสือ และได้ใช้เวลากับเพื่อนๆ ของผม และผมอยากจะทำมันอีก” ยังกล่าว

หลังจากที่รูปถ่ายของเจนเนอร์และเอลอร์ดดีถูกเผยแพร่ คนในโลกโซเชียลตั้งคำถามว่า ในตอนนี้คนเจน Z หันมาอ่านหนังสือที่ยากขึ้น แม้จะยังอยู่ในแนวนวนิยาย แต่ก็เป็นเนื้อหาเชิงลึกลงไปถึงโครงสร้างทางสังคม ซึ่งแสดงว่ากระตือรือร้นที่จะสำรวจโลกแห่งการอ่าน แน่นอนว่าทำให้หนังสือขายดีขึ้นอย่างมาก

‘เจมส์ ดันท์’ กรรมการผู้จัดการของ Waterstones บริษัทจัดจำหน่ายหนังสือในอังกฤษ และซีอีโอของ Barnes & Noble ผู้จัดจำหน่ายหนังสือที่ใหญ่ที่สุดของสหรัฐ กล่าวว่าการเปลี่ยนแปลงและเทรนด์ที่เกิดขึ้นในตอนนี้ช่วยพลิกฟื้นธุรกิจหนังสือที่ตกต่ำมาเป็นสิบปี

“ถ้าคุณกำลังสงสัยว่าตอนนี้เทรนด์คนหนุ่มสาวกำลังทำอะไร บอกได้เลยว่าพวกเขากำลังหาหนังสือดีๆ สักเล่มอ่าน ซึ่งเป็นเรื่องที่ยอดเยี่ยมมาก”

‘มะกัน’ โดนแฉ!! เตรียมส่งระเบิด-อาวุธ หนุนอิสราเอลเพิ่ม ขณะ ‘ผู้นำไบเดน’ เล่นบทเรียกร้องหยุดยิงในฉนวนกาซา

เมื่อวันที่ 17 ก.พ. 67 สำข่าวรอยเตอร์อ้าง หนังสือพิมพ์เดอะ วอลล์สตรีทเจอร์นัล รายงานเมื่อวันที่ 16 ก.พ.ที่ผ่านมา อ้างแหล่งข่าวเป็นเจ้าหน้าที่ทางการสหรัฐฯ ทั้งในอดีตและปัจจุบัน เปิดเผยว่า รัฐบาลของประธานาธิบดีโจ ไบเดน กำลังเตรียมจะส่งระเบิดและอาวุธอื่นๆ ให้กับอิสราเอล ในการเติมคลังแสงทางทหารให้กับกองทัพอิสราเอล ในขณะที่อีกด้านผู้นำสหรัฐฯ เรียกร้องผลักดันให้มีการหยุดยิงในฉนวนกาซา

การเสนอส่งมอบอาวุธดังกล่าว รวมถึงระเบิด MK-82 และ ยุทโธปกรณ์โจมตีร่วม KMU-572 ซึ่งเพิ่มการนำวิถีให้กับระเบิด รวมถึงฟิวส์ระเบิด FMU-139 คาดว่าอาวุธเหล่านี้น่าจะมีมูลค่าหลายสิบล้านดอลลาร์สหรัฐฯ

อย่างไรก็ดี การส่งมอบอาวุธเหล่านี้ยังคงอยู่ในระหว่างการตรวจสอบภายในของฝ่ายบริหาร ซึ่งแหล่งข่าวเปิดเผยว่า รายละเอียดในข้อเสนอดังกล่าวอาจมีการเปลี่ยนแปลงได้ ก่อนหน้าที่รัฐบาลไบเดนจะยื่นต่อประธานคณะกรรมาธิการชุดต่างๆ ของสภาคองเกรส เพื่อพิจารณา ก่อนจะมีการอนุมัติเห็นชอบก่อนการส่งมอบต่อไป

กระทรวงต่างประเทศและกระทรวงกลาโหมของสหรัฐฯ กองกำลังป้องกันอิสราเอล (ไอดีเอฟ) และ กระทรวงกลาโหมของอิสราเอล ยังไม่ได้ตอบสนองต่อการร้องขอความเห็นไปของทางรอยเตอร์ เกี่ยวกับรายงานข่าวนี้

ทั้งนี้ ถึงเดือนธันวาคมที่ผ่านมา รัฐบาลไบเดนได้ข้ามการพิจารณาของสภาคองเกรส เกี่ยวกับการขายอาวุธให้กับอิสราเอลไปแล้ว 2 ครั้ง

ขณะที่รัฐบาลไบเดนเผชิญเสียงวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักหน่วง จากการยังคงจัดหาอาวุธให้กับอิสราเอล ท่ามกลางการกล่าวหาว่าอาวุธที่ผลิตโดยสหรัฐฯ ถูกใช้ในการโจมตีในฉนวนกาซา ซึ่งเข่นฆ่าสังหาร และทำให้พลเรือนผู้บริสุทธิ์ได้รับบาดเจ็บเป็นจำนวนมาก

โดยนับจากอิสราเอลเปิดปฏิบัติการบุกโจมตี ทั้งทางอากาศและภาคพื้นดินถล่มฉนวนกาซา เพื่อตอบโต้กลุ่มฮามาสที่บุกโจมตีอิสราเอล เมื่อวันที่ 7 ตุลาคมปีที่ผ่านมา ได้ทำให้มีผู้เสียชีวิตในฉนวนกาซาแล้วมากกว่า 28,775 ราย ส่วนใหญ่เป็นพลเรือน และทำให้ชาวปาเลสไตน์เกือบทั้งหมด จากที่มีทั้งสิ้นกว่า 2 ล้านคนในฉนวนกาซา ต้องกลายเป็นผู้พลัดถิ่นหนีภัยสงคราม

ส่วนในอิสราเอลมีผู้เสียชีวิตจากน้ำมือของกลุ่มฮามาสที่บุกเข้ามาโจมตีในวันดังกล่าว จำนวน 1,200 ราย ส่วนใหญ่เป็นพลเรือน และยังจับไปเป็นตัวประกันในฉนวนกาซาอีกราว 253 คน โดยได้รับการปล่อยตัวออกมาแล้วกว่าร้อยคน

‘เจ้าชายแฮร์รี’ เปิดใจสื่อครั้งแรก หลังบินด่วนเยี่ยม ‘คิงชาร์ลส์’ เผย โรคภัยช่วยนำพาครอบครัวกลับมาใกล้ชิดกันอีกครั้ง

(17 ก.พ. 67) เจ้าชายแฮร์รี ดยุคแห่งซัสเซกซ์ ทรงเปิดเผยถึงการเสด็จกลับลอนดอนเพื่อเยี่ยมพระราชบิดาของพระองค์เป็นครั้งแรก ในระหว่างประทานสัมภาษณ์ในรายการ กู๊ดมอร์นิงอเมริกา ทางสถานีโทรทัศน์เอบีซีนิวส์ เมื่อวันที่ 16 ก.พ.ที่ผ่านมา ว่า พระองค์ ‘กระโดดขึ้นเครื่องบิน’ ในทันทีที่ทำได้ เพื่อกลับไปเข้าเฝ้าสมเด็จพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 3 แห่งสหราชอาณาจักร หลังทรงทราบว่าพระราชบิดาทรงป่วยเป็นโรคมะเร็ง

เจ้าชายแฮร์รีตรัสว่า พระองค์รู้สึกขอบคุณสำหรับช่วงเวลาที่ทรงได้อยู่กับพระราชบิดา ในช่วงสั้นๆ นั้น และทรงเห็นด้วยว่า ครอบครัวสามารถกลับมาใกล้ชิดกันมากขึ้นจากปัญหาสุขภาพ

ดยุคแห่งซัสเซกซ์ พระราชโอรสองค์เล็กในกษัตริย์ชาร์ลส์ที่ 3 ทรงกล่าวอีกว่า จะเสด็จกลับอังกฤษให้มากขึ้น และพบกับครอบครัวให้มากขึ้นเท่าที่จะทรงทำได้ และตรัสย้ำว่า “ผมรักครอบครัวของผม”

เจ้าชายแฮร์รี ซึ่งทรงอยู่ระหว่างการร่วมโปรโมตการแข่งขันกีฬาทหารผ่านศึกนานาชาติ “อินวิคตัส เกมส์” ในประเทศแคนาดา ทรงยกตัวอย่างของผู้มีส่วนร่วมในอินวิคตัส เกมส์ โดยชี้แนะว่าความกดดันเช่นนั้นสามารถช่วยนำครอบครัวมาอยู่รวมกันได้ “ความเจ็บป่วยใดๆ ก็ตาม จะนำครอบครัวมารวมกัน”

เจ้าชายแฮร์รีเสด็จกลับมายังลอนดอนเพียงลำพังในทันที เมื่อทรงทราบว่าพระราชบิดาทรงประชวรด้วยโรคร้ายดังกล่าว แม้จะทรงพำนักอยู่ในลอนดอนเพียงหนึ่งวัน และได้เข้าเฝ้าสมเด็จพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 3 ที่พระตำหนักแคลเรนซ์ราว 45 นาที โดยทรงไม่ได้พบกับเจ้าชายวิลเลียม แห่งเวลส์ พระเชษฐาของพระองค์ ท่ามกลางรอยร้าวความขัดแย้งระหว่าง 2 พี่น้องเลือดขัตติยะที่ยังคงอยู่

หลังจากเจ้าชายแฮร์รีและเมแกน พระชายา ได้ขอถอนตัวออกจากการเป็นสมาชิกราชวงศ์ชั้นสูงไปในปี 2020 และทรงย้ายครอบครัวมาใช้ชีวิตอยู่ในแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา

ในการประทานสัมภาษณ์ครั้งนี้ เจ้าชายแฮร์รีทรงเปิดเผยด้วยว่า พระองค์กำลังพิจารณาที่จะถือสัญชาติอเมริกัน โดยตรัสว่าพระองค์รักการใช้ชีวิตในอเมริกาทุกๆ วัน แต่พระองค์ยังทรงลังเลเมื่อถูกถามว่าทรงรู้สึกถึงความเป็นอเมริกันในตัวแล้วหรือไม่ เพียงแต่กล่าวถึงการถือสัญชาติอเมริกันว่า ทรงคิดอยู่ แต่แน่นอนว่ายังไม่ใช่เรื่องสำคัญมากในตอนนี้

‘จีน’ เผย ภาคอุตสาหกรรมเครื่องจักรโตแรงแซงโค้ง หลังปี 2023 ทำรายได้-กำไร รวมกัน 31.6 ล้านล้านหยวน

(17 ก.พ. 67) สำนักข่าวซินหัว, ปักกิ่ง รายงานข่าวว่า สหพันธ์อุตสาหกรรมเครื่องจักรแห่งประเทศจีน รายงานว่า อุตสาหกรรมเครื่องจักรของจีนมีรายได้และกำไรเติบโตขึ้นในปี 2023 แม้เผชิญความท้าทายบางประการ

รายงานระบุว่า อุตสาหกรรมเครื่องจักรของจีนทำรายได้ 29.8 ล้านล้านหยวน (ราว 149 ล้านล้านบาท) เพิ่มขึ้นร้อยละ 6.8 เมื่อเทียบปีต่อปี และทำกำไรราว 1.8 ล้านล้านหยวน (ราว 9 ล้านล้านบาท) เพิ่มขึ้นร้อยละ 4.1

จำนวนผู้ประกอบธุรกิจเครื่องจักร ซึ่งมีรายได้ทางธุรกิจอย่างน้อย 20 ล้านหยวน (ราว 100 ล้านบาท) ของจีน อยู่ที่ 121,000 ราย เมื่อนับถึงสิ้นปี 2023 เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้า 10,000 ราย

ด้านสินทรัพย์รวมของผู้ประกอบธุรกิจเครื่องจักรรายใหญ่ของจีนอยู่ที่ 36 ล้านล้านหยวน (ราว 180 ล้านล้านบาท) เพิ่มขึ้นร้อยละ 9.9 เมื่อเทียบปีต่อปี


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top