Thursday, 19 June 2025
WORLD

4 ข้อเตือนใจนักเดินทางด้วยเครื่องบิน ก่อนตกเป็นเหยื่อสลัดอากาศกลางเวหา

ทางการสิงคโปร์ออกโรงเตือนนักเดินทาง ที่โดยสารเครื่องบินเป็นประจำว่า โจรในคราบนักท่องเที่ยวในสมัยนี้มีเยอะกว่าที่คุณคิด หลังเกิดเหตุผู้โดยสารชายชาวจีนคนหนึ่ง แอบฉกสิ่งของของผู้โดยสารบนเครื่องคนอื่นถึง 3 คน บนเที่ยวบินของสายการบิน Scoot เมื่อช่วงเดือนธันวาคมที่ผ่านมา และได้ทรัพย์สินติดมือมูลค่าสูงถึง $31,000  (ประมาณ 8.27 แสนบาท) 

นาย จาง ซิวเฉียง สัญชาติจีน วัย 52 ปี ถูกจับกุมด้วยข้อหาลักทรัพย์ เมื่อวันที่ 16 ธันวาคม 2566 เมื่อเขาได้ขึ้นเครื่องบินของสายการบิน Scoot เที่ยวบิน TR305 จาก นครโฮจิมินห์ มุ่งหน้าไปยังท่าอากาศยานชางฮีในสิงคโปร์ โดยเขาได้แอบขโมยเงินสด และ ทรัพย์สินของผู้โดยสารบนเครื่องถึง 3 รายขณะเดินทาง

คดีการลักทรัพย์บนเครื่องบิน เข้าข่ายการกระทำความผิดตามข้อกฎหมายที่มีระบุอยู่ในอนุสัญญาโตเกียว ที่ว่าด้วยเรื่องการปราบปรามการกระทําความผิดทางอาญาทุกประเภทที่เกิดขึ้นบนอากาศยานขณะกำลังบิน อย่างเช่น กรณีของ นาย จาง ซิวเฉียง ที่อาจต้องโทษจำคุกสูงสุดได้ถึง 3 ปี หรือทั้งจำ ทั้งปรับ 

เราอาจได้ยินข่าวคดีลักทรัพย์บนเครื่องบินไม่บ่อยเท่ากับคดีเหล่านี้ที่เกิดขึ้นทุกวันตามท้องถนน แต่ทางการสิงคโปร์ในวันนี้ ได้ออกมาเตือนนักเดินทางว่า กลุ่มโจรกลางเวหา ที่แฝงตัวมาในคราบนักท่องเที่ยว อาจมีจำนวนมากกว่าที่เราคิด และทำเป็นขบวนการ โดยพิจารณาจากคดีความเรื่องการลักทรัพย์บนเที่ยวบินที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างก้าวกระโดด หลายเท่าตัวภายในเวลาไม่กี่ปี

South China Morning Post สื่อฮ่องกงรายงานว่าในช่วงเพียง 9 เดือนแรกของปี 2023 คดีลักทรัพย์บนเครื่องมากถึง 13 คดี เมื่อเทียบกับปี 2022 และ 2021 ที่ผ่านมา มีเพียง 1-2 คดีเท่านั้น

หลายคนเข้าใจว่า การเลือกเดินทางด้วยสายการบินราคาประหยัดมีความเสี่ยงที่จะเจอโจรเวหามากกว่าสายการบินแบบฟูลเซอร์วิส ซึ่งก็ไม่จริงเสมอไป เพราะบ่อยครั้งที่พบคดีลักขโมยในเที่ยวบินระดับพรีเมี่ยมเช่นกัน อย่างกรณีของคดีทีเกิดขึ้นบนเครื่องบินของ American Airlines ระหว่างเดินทางจากกรุงบูเอโนส ไอเรส ไปยัง ไมอามี เมื่อราว ๆ เดือนกรกฎาคม 2022 ที่จับกุมหัวขโมยที่แอบมาฉกเงินจากกระเป๋าสัมภาระผู้โดยสารบนเครื่อง 2 รายไปได้กว่า 10,000 ดอลลาร์ 

แถมหลายครั้งยังพบโจรในคราบผู้โดยสารทำงานเป็นทีม และเลือกไฟลท์เดินทางระยะไกล ที่สามารถลักทรัพย์สินในช่วงที่ผู้โดยสารหลับ ดังนั้น ยิ่งเป็นเที่ยวบินแบบฟูลเซอร์วิส ที่บินนานข้ามวัน กลับยิ่งไม่ปลอดภัย เพราะผู้โดยสารสายการบินชั้นดีมักมีฐานะ พกทรัพย์สิน เงินสดติดตัวระหว่างไปเที่ยวแดนไกลมากกว่า ผู้โดยสารเที่ยวบินแบบประหยัดที่เดินทางระยะใกล้นั่นเอง 

ตำรวจสิงคโปร์จึงได้ออกมาแนะนำวิธีการป้องกันทรัพย์สินของตนระหว่างเดินทางบนเครื่องบิน เพื่อไม่ให้นักท่องเที่ยวอย่างเรากลายเป็นผู้ประสบภัย เพราะถูกฉกทรัพย์สินมีค่าระหว่างเดินทาง

1. เงินสด กระเป๋าเงิน และ เครื่องประดับ ทรัพย์สินมีค่าต้องเก็บไว้กับตัวเท่านั้น อย่าใส่ลงในกระเป๋าเดินทางที่เก็บไว้บนช่องใส่สัมภาระเหนือศีรษะ เพราะเราไม่สามารถจับตาดูกระเป๋าเดินทางของเราได้ตลอดเวลา แต่หากไม่สะดวกถือกระเป๋าเงินติดตัวตลอดเวลา ให้แยกใส่กระเป๋าใบเล็กแล้ววางไว้ใต้ที่นั่งด้านหน้าของเรา เพราะอยู่ในตำแหน่งที่เรามองเห็น และยากที่คนแปลกหน้าจะแอบมาหยิบฉวยไปได้

2. หากจำเป็นต้องวางกระเป๋าเดินทางติดตัวไว้ในช่องสัมภาระเหนือศีรษะ ควรเลือกใส่ช่องฝั่งตรงข้ามที่นั่งของเรา เพราะเราสามารถมองเห็นได้ แทนที่จะใส่ตรงช่องเหนือศีรษะของเราพอดี และควรใส่ของมีค่าไว้ด้านในสุดของกระเป๋า พร้อมล็อกกระเป๋าให้เรียบร้อย และควรวางกระเป๋าด้วยการหันซิป เข้าด้านใน เป็นการเพิ่มความยากให้โจรในการแอบมาเปิดกระเป๋าคุ้ยข้าวของในกระเป๋าของเรา

3. ลองพิจารณาแพ็กเกจประกันการเดินทางขอคุณว่าครอบคลุมถึงกรณีการโจรกรรมทรัพย์สินระหว่างเดินทาง ที่อาจมีชดเชยให้บ้างตั้งแต่ 300 - 500 เหรียญ สำหรับใช้ในกรณีฉุกเฉิน แต่มักไม่คุ้มค่ากับของที่สูญหายไป ดังนั้นจึงไม่ควรพกเงินสดเดินทางเป็นจำนวนมาก ๆ แล้วเปลี่ยนมาใช้เป็นบัตรกดเงินสดระหว่างประเทศแทน ที่เราสามารถนำไปจับจ่าย ซื้อของ หรือกดเงินสดได้เมื่อเราเดินทางไปถึงที่หมายจะปลอดภัยกว่า 

4. สุดท้าย พยายามสังเกตพฤติกรรมของผู้โดยสารแปลกหน้า ที่มาเปิดค้นสัมภาระต่าง ๆ ในยามวิกาล หรือมีพฤติกรรมน่าสงสัย ควรรีบแจ้งพนักงานต้อนรับบนเครื่องในทันที

หลังจากที่ยุคความวิตก หวาดกลัวภัยโรคระบาด Covid-19 ผ่านพ้นไป การเดินทางท่องเที่ยวก็กลับมาคึกคัก เช่นเดียวกับโจรที่แฝงมาในเที่ยวบินเช่นกัน ดังนั้น 4 ข้อแนะนำของตำรวจสิงคโปร์ ที่ตกผลึกจากคดีลักทรัพย์กลางอากาศมาแล้วหลายครั้ง น่าจะเป็นประโยชน์กับนักเดินทางในยามขึ้นเครื่องไม่มากก็น้อย 

‘ปักกิ่ง’ เตรียมเป็นเจ้าภาพ ‘แข่งว่ายน้ำชิงแชมป์โลก’ ปี 72 ส่วนกำหนดการที่แน่ชัด จะประกาศให้ทราบภายหลัง

(12 ก.พ. 67) สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า เวิลด์ อควาติกส์ (World Aquatics) องค์กรกีฬาทางน้ำระดับโลก ยืนยันว่ากรุงปักกิ่ง เมืองหลวงของจีน จะเป็นเมืองเจ้าภาพจัดการแข่งขันกีฬาทางน้ำชิงแชมป์โลกในปี 2029

ด้าน ฮุสเซน อัล มุซัลลัม ประธานองค์กรฯ ระบุว่าปักกิ่งจัดกิจกรรมการแข่งขันทางน้ำที่สำคัญมาแล้วหลายครั้ง และมีการจัดเตรียมที่ดีเยี่ยมซึ่งทำให้นักกีฬาของเราแสดงศักยภาพได้อย่างเต็มความสามารถ ซึ่งเรารู้สึกขอบคุณเป็นอย่างยิ่ง

ส่วนการแข่งขันเวิลด์ อควาติกส์ มาสเตอร์ส แชมเปียนชิป (World Aquatics Masters Championships) ประจำปี 2029 จะจัดขึ้นที่ปักกิ่งเช่นกัน โดยกำหนดการที่แน่ชัดของการแข่งขันทั้งสองรายการจะมีประกาศให้ทราบภายหลัง

อนึ่ง ปักกิ่ง เป็นที่รู้จักในฐานะแหล่งจัดการแข่งขันกีฬาทางน้ำ โดยมีประวัติเป็นเจ้าภาพจัดกิจกรรมทางน้ำที่มีชื่อเสียงหลายรายการ

โจวจี้หง ประธานสมาคมกีฬาว่ายน้ำแห่งชาติจีน เปิดเผยว่าจีนมีความหลงใหลในกีฬาทางน้ำอย่างลึกซึ้ง และมีประวัติศาสตร์ที่น่าภาคภูมิใจในการต้อนรับนักกีฬาทางน้ำฝีมือยอดเยี่ยม

หลังเสร็จสิ้นการแข่งขันกีฬาทางน้ำชิงแชมป์โลก ที่กำลังดำเนินอยู่ในกรุงโดฮาของกาตาร์ สิงคโปร์และบูดาเปสต์จะรับหน้าที่เป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันดังกล่าวต่อในปี 2025 และ 2027 ตามลำดับ

นักศึกษาชาวอินเดียรายล่าสุด ถูกรุมยำในชิคาโก แถมก่อนหน้าก็มีหลายคนถูกทำร้ายจนตายมาแล้ว

(12 ก.พ. 67) คลิปวิดีโอนักศึกษาชาวอินเดียรายหนึ่งถูกไล่ล่า และรุมทำร้ายในชิคาโก โหมกระพือความเดือดดาลบนสื่อสังคมออนไลน์ในอินเดีย ในเหตุการณ์ความรุนแรงและประทุษร้ายหนล่าสุด อีกทั้งในบางครั้งก็มีกรณีเช่นนี้และทำคนอินเดียถึงกับเสียชีวิต บนแผ่นดินอเมริกามาแล้วด้วย 

สำหรับเหตุการณ์ล่าสุด มีชาย 3 คน กำลังไล่ล่านักศึกษารายหนึ่ง ซึ่งทราบต่อมาว่าชื่อ ‘ไซเอด มาซาฮีร์ อาลี’ จากรัฐเตลังคานา ถูกจับภาพได้โดยกล้องวงจรปิดเมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ โดยในคลิปหนึ่งพบเห็น ‘อาลี’ มีเลือดเปื้อนใบหน้าและเสื้อผ้า ในขณะที่เขาตะโกนร้องขอความช่วยเหลือว่าตนเองถูกทำร้าย

นักศึกษารายนี้บอกว่ามีบุคคล 4 รายที่รุมทำร้ายเขา และขโมยโทรศัพท์มือถือ ในเหตุการณ์ซึ่งเกิดขึ้นในขณะที่เขากำลังเดินกลับไปยังอพาร์ตเมนต์

เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นบนถนนแคมป์เบลล์ ในเขตนอร์ทไซด์ ของชิคาโก ซึ่งถูกขนานนามว่าเป็น ‘เมืองหลวงแห่งการฆาตกรรม’ ของสหรัฐฯ เนื่องจากเมืองแห่งนี้มีการระบุเหตุฆาตกรรมถึง 617 คดีในปี 2023 ซึ่งอ้างอิงข้อมูลจากกรมตำรวจท้องถิ่น ทำให้เมืองแห่งนี้มีอัตราการของการเกิดคดีฆาตกรรมสูงสุดในสหรัฐฯ 

ทันทีที่คนอินเดียรู้ข่าว ก็เกิดเสียงโวยวายปะทุขึ้นในโลกออนไลน์อย่างมากมายต่อเหตุโจมตีครั้งนี้ ภายหลังจากที่ภรรยาของเหยื่อได้เขียนจดหมายถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของอินเดีย เพื่อขอให้ช่วยเข้าแทรกแซงคดี โดยเธออ้างว่าสามีของเธอยังไม่หายช็อกเลยนับตั้งแต่ถูกเล่นงาน 

นอกจากนี้ เธอยังร้องขอให้รัฐบาลอินเดีย เตรียมการสำหรับการเดินทาง เพื่อที่สามี เธอและลูกๆ ทั้ง 3 คน จะได้กลับมาอยู่พร้อมหน้ากัน 

เกี่ยวกับเรื่องนี้ สถานกงสุลอินเดียในชิคาโก เปิดเผยว่า พวกเขาอยู่ระหว่างติดต่อประสานงานกับพวกเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นที่ทำการสืบสวนคดีนี้

สำหรับการโจมตีครั้งนี้ถือเป็นหนึ่งในเหตุการณ์ความรุนแรงเลวร้ายที่สุดที่เกิดขึ้นกับชาวอินเดียบนแผ่นดินสหรัฐฯ ในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา ในระหว่างที่มีนักศึกษาชาวอินเดียราว 300,000 คน เดินทางมาเรียนต่อในระดับสูงในประเทศแห่งนี้

โดยก่อนหน้านี้ เมื่อวันจันทร์ที่ 5 ก.พ.67 ‘ซาเมียร์ คามัต’ ชาวอินเดีย ว่าที่ปริญญาแพทยศาสตร์รายหนึ่งของมหาวิทยาลัยเพอร์ดู ในอินดีแอนา ก็ถูกพบเสียชีวิตในเขตอนุรักษ์ธรรมชาติ ไม่ไกลจากมหาวิทยาลัย

หนึ่งสัปดาห์ก่อนหน้านั้น ‘นีล อาชาระยา’ นักศึกษาเชื้อสายอินเดียรายหนึ่งในมหาวิทยาลัยเดียวกัน ถูกพบเสียชีวิตใกล้กับลานบินของมหาวิทยาลัย โดยศพของเธอถูกพบหลังจากแม่ของเธอเข้าแจ้งความบุคคลสูญหาย

ส่วนอีกหนึ่งเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในเดือนมกราคม ‘วิเวค ไซไน’ นักศึกษาอินเดีย วัย 25 ปี ถูกโจมตีจนตายในลิโธเนีย รัฐจอร์เจีย ด้วยฝีมือคนไร้บ้านที่ติดยาเสพติด โดยกราฟิกวิดีโอของเหตุฆาตกรรมเผยให้เห็นว่าผู้ต้องสงสัยใช้ค้อนทุบตีเล่นงาน ไซไน เกือบ 50 ครั้ง

'ทรัมป์' ลั่น!! หากได้เป็นผู้นำอีกครั้ง  จะปล่อยรัสเซียขยี้ 'ชาตินาโต' ให้แหลก

(12 ก.พ.67) เพจ 'เดือดทะลักจุดแตก' ได้โพสต์ข้อความ ระบุว่า...

ตามคำมั่น คือ ชาติสมาชิก 'นาโต' ต้องจ่ายค่าธรรมเนียม 2% ของ GDP

แล้วถามว่าชาติสมาชิกทำตามนั้นหรือไม่ ก็ตามภาพถ้าสีแดง ๆ คือไม่ถึง 2% แต่ถ้าสีน้ำเงิน ๆ คือผ่าน 

แน่นอนว่าอเมริกาออกเยอะสุด (ภาพนี้เฉพาะฟากยุโรป ส่วนอเมริกาเหนือมีโน้ตไว้ข้างล่าง) 

คำถามคือทำไมอเมริกาต้องมาแบก นี่ไม่เคยมีใครตั้งแง่แบบนี้มาก่อน กระทั่ง โดนัลด์ ทรัมป์ เป็นประธานาธิบดี --- ถึงขั้นขู่จะเลิกควักกระเป๋าแล้วด้วยซ้ำ

พอเป็น โจ ไบเดน เรื่องนี้ก็เงียบไป เพราะไบเดนใช้ 'นาโต' เป็นเครื่องมือในการสร้างพล็อตให้ยูเครนเล่น และแล้วก็เกิดสงครามจนได้

ยังไงก็ตาม อย่าลืมว่ายุคทรัมป์ ไม่เกิดสงคราม (มีแต่สงครามการค้า สงครามเทคโนโลยี แต่ไม่ได้เป็น 'โปรดิวเซอร์' ให้เกิดสงครามที่รบกันแล้วเสียเลือดเนื้อจริง ๆ)

ทรัมป์ก็แค่เอะอะมะเทิ่งเรียกแขก ตามสไตล์ (แต่ทำจริงก็มีให้เห็นแล้วเหมือนกัน!)

มันไม่ได้แปลว่ารัสเซียจะบ้าจี้ แล้วทำอะไรทะเล่อทะล่า และน่าจะมองเป็นแง่ดีด้วยซ้ำ เพราะไอ้ที่ยูเครนซ่าส์จนรัสเซียต้องมาสั่งสอนก็ไม่ใช่เพราะ 'นาโต้' ให้ท้ายหรอกหรือ ... ? (ทั้ง ๆ ที่ยูเครน จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่ได้เป็นสมาชิกเลยด้วยซ้ำ)

การที่อเมริกาออกหน้า ประกาศว่า ตัวใครตัวมันนะจ๊ะ ฉันไม่ยุ่ง ยิ่งทำให้แต่ล่ะชาติสมาชิกระมัดระวังเนื้อระวังตัว ไม่บุ่มบ่ามเกินงาม

โอกาสเกิดสงครามก็ยากขึ้น

ย้ำว่า!! อย่าลืมว่ายุคทรัมป์ ไม่มีสงคราม

‘จีน’ เผยยอด ODI ที่ไม่ใช่ภาคการเงิน ปี 2023 พุ่งสูงต่อเนื่อง ตอกย้ำความสำเร็จ ‘หนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง’ กระตุ้นการค้า-ลงทุน

เมื่อวันที่ 10 ก.พ. 67 สำนักข่าวซินหัว, ปักกิ่ง รายงานว่า กระทรวงพาณิชย์จีน เผยว่า การลงทุนขาออกของจีนในต่างประเทศ เพิ่มขึ้นอย่างมีเสถียรภาพในปีที่แล้ว โดยการลงทุนโดยตรงในต่างประเทศ (ODI) (ที่ไม่ใช่ภาคการเงิน) ของจีน เพิ่มขึ้นร้อยละ 16.7 เมื่อเทียบเป็นรายปี แตะที่ 9.16 แสนล้านหยวน (ราว 4.62 ล้านล้านบาท) ในปี 2023

เมื่อวัดด้วยสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐฯ การลงทุนโดยตรงในต่างประเทศข้างต้น ในช่วงเวลาเดียวกันนี้อยู่ที่ 1.3 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ราว 4.68 ล้านล้านบาท) เพิ่มขึ้นร้อยละ 11.4 จากปีก่อนหน้า

การลงทุนโดยตรงในต่างประเทศ (ที่ไม่ใช่ภาคการเงิน) ในประเทศที่เข้าร่วมในแผนริเริ่มหนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง แตะที่2.24 แสนล้านหยวน (ราว11.31ล้านล้านบาท บาท) ในปี 2023 เพิ่มขึ้นร้อยละ 28.4 เมื่อเทียบเป็นรายปี

กระทรวงฯ ระบุว่าปริมาณการซื้อขายของโครงการตามสัญญาต่างๆ ในต่างประเทศเพิ่มขึ้นร้อยละ 8.8 เมื่อเทียบเป็นรายปี แตะที่ 1.13 ล้านล้านหยวน (ราว 5.71 ล้านล้านบาท) ในปี  2023

ชายชาวเยอรมนี วัย 63 ปี เสียชีวิตบนเครื่อง  หลังไอ-มีเลือดออกจำนวนมาก จาก ‘ปาก-จมูก’

(11 ก.พ.67) จากเพจ ‘World Forum ข่าวสารต่างประเทศ’ ได้โพสต์เนื้อหากรณี ชายชาวเยอรมนี วัย 63 ปี เสียชีวิตบนเครื่อง ด้วยอาการไอ มีเลือดออกจำนวนมากจากปากและจมูกเป็นลิตร จนกระเด็นเลอะที่นั่ง ผนัง และพื้นที่โดยรอบ

‘ลุฟท์ฮันซา’ (Lufthansa) เที่ยวบิน LH773 แอร์บัส A380 จากกรุงเทพฯ ไปมิวนิก ประเทศเยอรมนี โดยเที่ยวบินได้เดินทางออกจากกรุงเทพฯ เวลา 23.40 น. ของวันพฤหัสบดีที่ 8 ก.พ.ที่ผ่านมา

***จากคำบอกเล่าจากผู้เห็นเหตุการณ์ และนั่งใกล้ผู้โดยสาร (ชั้นประหยัดพรีเมียม)

“ชายชาวเยอรมนี วัย 63 ปี เดินทางมากับภรรยาชาวฟิลิปปินส์ โดยชายวัย 63 ปีรายนี้ ดูเหมือนว่าเขาจะป่วย มีเหงื่อออกเป็นจำนวนมาก (Cold Sweats) และเขาหอบหายใจเร็วมาก” คู่รักชาวสวิตเซอร์แลนด์ที่นั่งด้านหลังและลูกเรือเล่า อีกทั้งพวกเขาได้สอบถามอาการจากภรรยาชาวฟิลิปปินส์ และได้คำตอบว่า “อาจเพราะเหนื่อยจากการเร่งรีบ เพื่อวิ่งมาขึ้นเครื่องบิน”

ทั้งนี้ คู่รักชาวสวิตเซอร์แลนด์ที่นั่งด้านหลัง ซึ่งเป็นฝ่ายหญิงนั้นเธอเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการพยาบาล ในโรงพยาบาลมหาวิทยาลัยซูริค เธอมองว่าอาการชายวัย 63 ไม่ดีขึ้น จึงแจ้งลูกเรือว่า เขาจำเป็นต้องได้รับการตรวจจากแพทย์อย่างเร่งด่วน และผู้โดยสารคนอื่นๆ ยังพยายามให้ความช่วยเหลืออีกด้วย

กัปตันได้ประกาศหาแพทย์บนเที่ยวบิน ต่อมา แพทย์ชายชาวโปแลนด์วัยประมาณ 30 ปี (ภาษาอังกฤษไม่คล่อง) บนเครื่องบิน ได้มาดูอาการ โดยแพทย์ถามผู้ป่วยเพียงสั้นๆ ว่าเขารู้สึกอย่างไรและสัมผัสชีพจร จากนั้นแพทย์บอกว่า เขาโอเค เขาสบายดี 

จากนั้น ลูกเรือได้เสิร์ฟ ‘ชาคาโมมายล์’ (ชาดอกไม้) ให้ผู้ป่วย แต่หลังจากนั้นเพียงไม่กี่นาที เขากลับไอ และกระอักเลือดพุ่งออกมาใส่ถุงที่ภรรยาเตรียมไว้รองน้ำลาย จนมีเลือดไหลออกมาทั้
ทางปากและจมูก

ผู้โดยสารบนเครื่องที่เห็นเหตุการณ์ต่างกรีดร้อง และตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น 

จากคำบอกเล่าคู่รักชาวสวิตเซอร์แลนด์ที่นั่งด้านหลัง บอกว่าชายวัย 63 ปีรายนี้ เสียเลือดเป็นลิตร เลือดของเขาได้กระเด็นเลอะผนังเครื่องบินและบริเวณโดยรอบนั้น

ลูกเรือพยายามช่วยเหลือชายคนดังกล่าวด้วยการทำ CPR ประมาณ 30 นาที แต่ไม่สามารถช่วยเหลือได้…

ต่อมา กัปตันประกาศแจ้งการเสียชีวิตให้ผู้โดยสารคนอื่นๆ ทราบ ภายใต้บรรยากาศบนเที่ยวบินขณะนั้นที่เงียบสงัด

ลูกเรือได้นำร่างของชายวัย 63 ปี ไปเก็บไว้ในส่วนห้องครัวของเครื่องบิน และกัปตันได้นำเครื่องบินวนกลับกรุงเทพฯ ประเทศไทยในทันที

ข้อมูลเที่ยวบินระบุว่า เครื่องบินลำดังกล่าว ได้เดินทางออกจากกรุงเทพฯ เวลา 23.50 น. ของวันพฤหัสบดีที่ 8 ก.พ. และเดินทางกลับถึงประเทศไทย เวลา 02.35  น. ของวันศุกร์ 9 ก.พ.ที่ผ่านมา

***ผู้โดยสารคนอื่นๆ ร้องเรียนว่า พวกเขาต้องรอนานกว่า 2 ชั่วโมง โดยไม่มีคำแนะนำใดๆ จากสายการบินลุฟท์ฮันซาเลย และต่อมาได้ถูกจองเที่ยวบินอื่นให้เดินทางไปยังเยอรมนี โดยต้องแวะพักที่ฮ่องกง

ด้านภรรยาชาวฟิลิปปินส์ของชายผู้เสียชีวิต ได้อยู่ที่สนามบินในกรุงเทพฯ เพื่อดำเนินการในเรื่องต่างๆ ต่อ เพียงลำพัง

อย่างไรก็ตาม ข่าวต้นทางไม่ได้เปิดเผยชื่อและอาการของโรคของผู้โดยสาร

ภาพจาก : Blick

‘จีน’ เผย ยอดจองเที่ยว-จับจ่ายช่วงตรุษจีนพุ่งสูง สะท้อน!! เศรษฐกิจฟื้นตัวดี-การบริโภคแข็งแกร่ง

(10 ก.พ. 67) สำนักข่าวซินหัว, ปักกิ่ง รายงานสถานการณ์ในช่วงเทศกาลตรุษจีน ว่า แทนที่จะเดินทางกลับภูมิลำเนา เพื่อรวมตัวกับครอบครัวและญาติมิตรในช่วงเทศกาลตรุษจีนปีนี้ ‘เฉิงว่านฉี’ เป็นหนึ่งในชาวจีนที่เลือกจองโรงแรมในเกาะไห่หนาน (ไหหลำ) เพื่อท่องเที่ยวกับครอบครัว

‘เหม่ยถวน เตี่ยนผิง’ (Meituan Dianping) บริษัทอีคอมเมิร์ซจีน เจ้าของแพลตฟอร์มรวมบริการออนไลน์ เช่น รีวิวร้านอาหาร สั่งอาหาร เผยว่าช่วงวันหยุดเทศกาลตรุษจีนปีนี้ การบริโภคที่เกี่ยวกับการท่องเที่ยว เช่น จองที่พัก ตั๋วเข้าจุดชมวิว และบัตรการคมนาคมขนส่งจะฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่ง โดยยอดคำสั่งซื้อที่เป็นการจองล่วงหน้าระยะครึ่งเดือนเพิ่มขึ้นถึงประมาณ 5 เท่าเมื่อเทียบกับปี 2023

บริษัทฯ ระบุว่าหลายๆ เมือง เช่น ปักกิ่ง, เซี่ยงไฮ้, ซานย่า, ฮาร์บิน, เฉิงตู, กว่างโจว, ซีอัน และอื่นๆ ขึ้นแท่นเป็นสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมในประเทศจีน ขณะที่ชาวจีนที่ทำการจองเพื่อท่องเที่ยวในต่างประเทศก็เพิ่มขึ้นเช่นกัน

นอกจากนี้ ยอดจองและคำสั่งซื้ออาหารมื้อค่ำในคืนส่งท้ายปีเก่าตามธรรมเนียมจีน ซึ่งเป็นวันที่ครอบครัวชาวจีน จะรับประทานอาหารพร้อมหน้าพร้อมตากันทั้งครอบครัว ยังเพิ่มสูงอย่างรวดเร็ว เหม่ยถวน เตี่ยนผิงระบุด้วยว่า มีผู้บริโภคสั่งอาหารทั้งมื้อหรือสั่งอาหารเพื่อนำมาเสริมในมื้ออาหารผ่านบริการสั่งอาหารบนแพลตฟอร์มออนไลน์ต่างๆ มากขึ้น และพบว่าในสัปดาห์แรกของเดือนกุมภาพันธ์ ยอดจองรับประทานอาหารค่ำสำหรับครอบครัวตามร้านอาหารต่างๆ เพิ่มขึ้นเกือบร้อยละ 70 เมื่อเทียบกับสัปดาห์ก่อนหน้า

ข้อมูลที่เผยแพร่เมื่อไม่กี่วันมานี้โดยแพลตฟอร์มค้าปลีกออนไลน์แห่งหนึ่งซึ่งเชื่อมโยงกับเหม่ยถวน เตี่ยนผิง ระบุว่าช่วงเดือนที่ผ่านมา ยอดขายสุรา นม และเชอร์รี ทำสถิติสูงสุดครั้งใหม่ ขณะที่ยอดขายสินค้าหลายประเภททั้งเครื่องใช้ในบ้าน ผลิตภัณฑ์เสริมความงาม ผลิตภัณฑ์สำหรับสัตว์เลี้ยง ของใช้สำหรับแม่และเด็ก รวมถึงเสื้อผ้าพุ่งสูงขึ้นเกินร้อยละ 100

ด้าน ‘พินตัวตัว’ (Pinduoduo) แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซชั้นนำของจีน ได้เปิดตัวแคมเปญชอปปิงรับตรุษจีน ร่วมกับบรรดาผู้ประกอบการจากทั่วประเทศในเดือนมกราคม เพื่อรับรองว่าอุปทานจะเพียงพอสำหรับการจับจ่ายช่วงเทศกาล และพบว่าปริมาณการขายสินค้าโภคภัณฑ์หลายชนิดเพิ่มสูงขึ้นในหลากหลายระดับ เช่น ยอดขายอาหารสดคุณภาพสูงอย่างเชอร์รี สตรอว์เบอร์รี และปูยักษ์ (King Crab) ล้วนเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ

‘หานหยาง’ ชาวจีนผู้ทำงานในกรุงปักกิ่งมานาน 5 ปี เลือกที่จะสั่งซื้ออาหารและผลไม้ทางออนไลน์ เพื่อจัดส่งให้พ่อแม่ซึ่งอยู่ที่บ้านเกิดในเมืองสวี่ชาง มณฑลเหอหนานทางตอนกลางของประเทศ แม้ว่าเขาจะเดินทางกลับบ้านเกิดในช่วงวันหยุดก็ตาม โดยให้เหตุผลว่าการซื้อของขวัญออนไลน์ล่วงหน้านั้นสะดวกสบายมาก

‘หลี่จี้เหว่ย’ ผู้บริหารจากสถาบันวิจัยเหม่ยถวน (Meituan Research Institute) ระบุว่า ข้อมูลการจองล่วงหน้าก่อนถึงวันหยุดที่มีแนวโน้มดีนั้น ตอกย้ำถึงการฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่งของการบริโภคในช่วงเทศกาลตรุษจีน พร้อมเสริมว่าแนวโน้มเชิงบวกด้านการจับจ่ายนี้ ยังถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีของการบริโภคออนไลน์ในปี 2024 ด้วยเช่นกัน

‘โพลมะกัน’ ชี้!! นายจ้าง 40% เลี่ยงรับคน GEN Z เข้าทำงาน เหตุ!! คนเหล่านี้ไม่มีความพร้อมสำหรับชีวิตการทำงาน

ความแตกต่างระหว่างวัยในการทำงานเป็นเรื่องธรรมดาไม่ว่าจะรุ่นเบบี้บูมเมอร์ เจน-เอ็กซ์ ไปจนถึงรุ่นมิลเลเนียล แต่ในการสำรวจล่าสุดที่ไปสอบถามความเห็นนายจ้างอเมริกันนับร้อย อาจทำให้คนรุ่นใหม่นอยด์ได้ เมื่อนายจ้างต่างยกให้คนเจน-ซี (Gen Z) เป็นช่วงอายุที่ถูกยี้ในตลาดแรงงานไปเสียแล้ว

การสำรวจความคิดเห็นกรรมการและผู้บริหารจำนวน 800 คนในสหรัฐฯ ในเรื่องการรับคนเข้าทำงานในตำแหน่งงานที่ว่างอยู่ เมื่อเดือนธันวาคม ปี 2023 พบว่า นายจ้างราว 40% หลีกเลี่ยงการจ้างงานผู้ที่เพิ่งเรียนจบมหาวิทยาลัย เพราะคิดว่าคนเหล่านั้นไม่มีความพร้อมสำหรับชีวิตการทำงาน

นายจ้างที่ร่วมการสำรวจ 20% กล่าวว่า ผู้ที่เรียนจบมหาวิทยาลัยใหม่ ๆ มักจะมาสัมภาษณ์งานพร้อมกับผู้ปกครองของตน นายจ้างอีก 21% กล่าวว่า ตนต้องเจอกับผู้สมัครงานที่ปฏิเสธที่จะเปิดกล้องในระหว่างการสัมภาษณ์งานผ่านหน้าจอคอมพิวเตอร์ บ้างก็มีปัญหาที่ไม่ยอมสบตาผู้สัมภาษณ์ บางคนแต่งกายไม่เหมาะสม และยังมีที่ใช้ภาษาที่ไม่เหมาะสมอีกด้วย

ผลการสำรวจดังกล่าวไม่ได้สร้างความประหลาดใจให้กับไมเคิล คอนเนอร์ส ผู้สรรหาบุคลากรด้านบัญชีและเทคโนโลยีในเขตกรุงวอชิงตัน ซึ่งเป็นผู้เตรียมความพร้อมสำหรับการสัมภาษณ์งานให้กับผู้ที่เพิ่งจบการศึกษาจากมหาวิทยาลัย

เขากล่าวว่า ดูเหมือนคนเหล่านี้จะขาดความจริงจังกับชีวิต ไม่แน่ใจว่าจริง ๆ แล้วพวกเขาต้องการได้งานหรือไม่ หรือว่าฝืนใจทำ เขายังไม่เคยเจอกับผู้สมัครที่ปฏิเสธที่จะเปิดกล้อง แต่เขาเจอกับนักศึกษาที่มาสัมภาษณ์งานออนไลน์ตามเวลาที่กำหนดไว้ในสภาพแวดล้อมที่ไม่เอื้อต่อการสัมภาษณ์งาน อย่างเช่น ที่นอกห้างสรรพสินค้า เป็นต้น

ทั้งคอนเนอร์ส และ ไดแอน เกเยสกี ศาสตราจารย์ด้านการสื่อสารเชิงกลยุทธ์ที่วิทยาลัย Ithaca ในนิวยอร์ก ต่างเห็นพ้องว่าการระบาดใหญ่ของโควิด-19 ส่งผลกระทบต่อการเติบโตและวุฒิภาวะของผู้ที่เพิ่งเรียนจบมหาวิทยาลัย

เกเยสกีกล่าวว่า “การเรียนมัธยมปลายปีสุดท้ายของพวกเขานั้นมีปัญหามากมาย พวกเขาไม่ได้มีงานสำเร็จการศึกษา ไม่ได้มีงานเต้นรำ หรืองานเลี้ยงสังสรรค์ต่าง ๆ อย่างที่เคยมีมา นอกจากนี้พวกเขาไม่สามารถทำงานในช่วงฤดูร้อนของปีนั้นก่อนที่จะเข้าเรียนมหาวิทยาลัยได้ และแม้กระทั่งตอนที่พวกเขาเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยไปแล้ว สิ่งต่าง ๆ เช่น การมีวิทยากรรับเชิญ การฝึกงาน หรือการไปเรียนต่างประเทศ ก็ถูกระงับไปด้วยเช่นกัน”

เรื่องดังกล่าวส่งผลให้นักเรียนมีความมั่นใจเกี่ยวกับความสามารถของตนในการมีส่วนร่วมในโลกของการทำงานน้อยลง

ในส่วนของมหาวิทยาลัยที่จะสามารถช่วยให้นักศึกษามีความพร้อมสำหรับการทำงานได้ ก็คือสิ่งที่พวกเขาได้สัมผัสนอกห้องเรียน เช่น การได้พบปะพูดคุยกับผู้คนที่มีความแตกต่างจากตัวเอง การได้ทำงานในโครงการต่าง ๆ ในชุมชน และการได้ฝึกงาน ซึ่งหยุดไปในช่วงของการแพร่ระบาด

นอกจากนี้ แล้วผลสำรวจยังชี้ว่า นายจ้างอีก 38% กล่าวว่า ตนหลีกเลี่ยงการจ้างงานผู้ที่เพิ่งเรียนจบมหาวิทยาลัยเพื่อเป็นการสนับสนุนคนงานที่มีอายุมากกว่า และพวกเขาก็ยินดีที่จะจ่ายเงินให้คนงานที่มีอายุมากกว่าหรือเพิ่มสวัสดิการต่าง ๆ เช่น ให้ทำงานทางไกลได้มากขึ้น

เกือบครึ่งหนึ่งของนายจ้างกล่าวว่า พวกเขาต้องไล่พนักงานที่เพิ่งเรียนจบออกจากงาน 63% กล่าวว่าพนักงานจบใหม่บางคนที่ตนจ้างมาไม่สามารถรับมือกับภาระหน้าที่ของตนได้ 61% บอกว่าพนักงานเหล่านั้นมาทำงานสายบ่อยครั้ง 59% บอกว่าพวกเขามักทำงานไม่ทันกำหนดเวลา และ 53% บอกว่าพนักงานใหม่ที่เป็นคนหนุ่มสาวมักเข้าประชุมสาย

คอนเนอร์สกล่าวว่า พนักงานจบใหม่เหล่านี้น่าจะบริหารงานที่ได้รับมอบหมายได้ดีขึ้นมากหากได้ทำงานในออฟฟิศมากกว่านี้ เพราะการทำงานจากที่บ้านในช่วงเวลาหนึ่งอาจทำให้พวกเขาทำงานล่าช้าลง และว่าพวกเขาต้องการที่ปรึกษาเพื่อที่จะได้เรียนรู้และมีความก้าวหน้าในอาชีพการงานของตน

เกเยสกีจากมหาวิทยาลัย Ithaca กล่าวด้วยว่า เธอพบว่านักศึกษามีปัญหาสุขภาพจิตเพิ่มมากขึ้น ซึ่งบรรดาครูอาจารย์ก็พยายามรับมือกับปัญหานี้ด้วยการเข้มงวดในเรื่องการเข้าเรียนให้น้อยลง และมีความยืดหยุ่นมากขึ้นในเรื่องกำหนดการส่งงาน และบรรดานายจ้างเองก็รับรู้ได้ถึงระดับของความวิตกกังวลที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างมากนี้

คอนเนอร์สกล่าวอีกว่าแม้ว่าการเตรียมความพร้อมทางวิชาชีพของ คนรุ่น Gen Z จะแย่ลงในช่วงการเกิดโรคระบาดใหญ่ แต่เรื่องนี้เป็นเทรนด์ที่เขามองเห็นมาหลายปีแล้ว พร้อมชี้ว่า “คนรุ่นนี้คำนึงเรื่องงานอดิเรกของตนมากกว่าและมีความยืดหยุ่นในเรื่องนั้น” นอกจากนี้ความอยากมีเงินทองหรือความต้องการก้าวหน้าในอาชีพการงานก็ลดน้อยลง ดูเหมือนว่าพวกเขาจะมีชีวิตอยู่ไปวัน ๆ เท่านั้นเอง

นายจ้างครึ่งหนึ่งที่ร่วมการสำรวจกล่าวว่า นักศึกษาจบใหม่ที่พวกเขาสัมภาษณ์ได้เรียกร้องค่าจ้างที่ไม่สมเหตุสมผล ซึ่งเกเยสกีเชื่อว่าอาจเป็นเรื่องของการที่คนหนุ่มสาวมีความตระหนักรู้มากกว่าคนรุ่นก่อน ๆ และพวกเขาคงจะเคยได้ยินเกี่ยวกับวิธีการที่บริษัทต่าง ๆ เอารัดเอาเปรียบพนักงานตั้งแต่ตอนที่เรียนอยู่ในมหาวิทยาลัย และเห็นถึงความร่ำรวยเป็นพันล้านของบรรดาเจ้าของบริษัท จึงทำให้พวกเขาต้องการที่จะได้รับการปฏิบัติอย่างเท่าเทียม

นักวิจัยเดนมาร์กฝึก AI ให้คาดคะเน ‘ชะตาชีวิต’ มนุษย์ พบแม่นยำเกือบ 80% บอกได้ถึงขั้นใครอยู่ใครไปใน 4 ปีข้างหน้า

(10 ก.พ. 67) Business Tomorrow เผย ทีมนักวิจัยจากเดนมาร์กพัฒนา AI สุดล้ำที่สามารถวิเคราะห์ข้อมูลส่วนตัว และคาดการณ์อนาคตของคนได้อย่างแม่นยำ ผ่านโมเดลที่ใช้ชื่อว่า ‘life2vec’ ซึ่งทำงานโดยใช้เทคนิค Machine Learning และ Natural Language Processing (NLP) วิเคราะห์ข้อมูลประชากรกว่า 6 ล้านคนจากเดนมาร์ก ครอบคลุมข้อมูลตั้งแต่ปี 2551-2559 

โมเดลนี้เรียนรู้จากข้อมูลสุขภาพ การศึกษา รายได้ อาชีพ และอื่นๆ ซึ่งสามารถคาดคะเนพฤติกรรมความคิด, ความรู้สึก หรือแม้กระทั่งแนวโน้มการเสียชีวิตได้

ทั้งนี้ ทีมวิจัยได้ทำการทดสอบกับกลุ่มตัวอย่าง 100,000 คน ในช่วงอายุ 35-65 ปี ซึ่งผลที่ออกมานั้น life2vec สามารถคาดการณ์อนาคตได้แม่นยำถึง 78% ว่าใครจะยังมีชีวิตอยู่หรือเสียชีวิตใน 4 ปีข้างหน้า

อย่างไรก็ตาม life2vec ยังมีข้อจำกัดบางประการ อย่างเช่น ไม่สามารถคาดการณ์การเสียชีวิตจากอุบัติเหตุ บอกอายุขัยที่แน่นอน หรือใช้งานในชีวิตจริงได้ แต่เทคโนโลยีนี้มีประโยชน์ต่อวงการสุขภาพ ธุรกิจประกันชีวิต และอาจนำไปสู่เครื่องมือใหม่ๆ ในการวางแผน ดูแล และป้องกันปัญหาสุขภาพ

‘ปูติน’ ลั่น!! รัสเซียไม่คิดขยายวงสงครามไปประเทศอื่น เผย เกือบปิดดีลยูเครนสำเร็จ แต่อีกฝ่ายถอยทัพไปก่อน

เมื่อไม่นานนี้ ในการให้สัมภาษณ์กับนักข่าวอเมริกันเป็นครั้งแรก ของ ประธานาธิบดี ‘วลาดิมีร์ ปูติน’ แห่งรัสเซีย ได้กล่าวยืนยันว่า รัสเซียจะต่อสู้เพื่อผลประโยชน์ของตนเองจนถึงที่สุด แต่เขาไม่สนใจที่จะขยายวงสงครามยูเครนไปยังประเทศอื่นๆ อย่างโปแลนด์ หรือลัตเวีย

บทสัมภาษณ์ผู้นำรัสเซีย ความยาวกว่า 2 ชั่วโมง โดย ‘ทัคเกอร์ คาร์ลสัน’ อดีตพิธีกรรายการทอล์กโชว์แนวการเมืองชาวอเมริกัน ผู้เคยจัดรายการ Tucker Carlson Tonight ทางช่องฟ็อกซ์นิวส์ ที่คาร์ลสันเดินทางมาสัมภาษณ์ที่กรุงมอสโก ของรัสเซีย เมื่อวันอังคารที่ 6 ก.พ.ที่ผ่านมา แต่นำออกอากาศทาง tuckercarlson.com เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 8 ก.พ. ในช่วงหนึ่ง ปูตินกล่าวว่า ผู้นำตะวันตกตระหนักดีว่า เป็นไปไม่ได้ที่จะสร้างความปราชัยทางยุทธศาสตร์ให้กับรัสเซีย และกำลังสงสัยว่าจะทำอย่างไรต่อไป ก่อนที่ปูตินจะกล่าวต่อไปว่า “เราพร้อมสำหรับการเจรจา”

เมื่อถูกคาร์ลสันถามถึงฉากทัศน์ที่ผู้นำรัสเซียจะส่งกองทหารรัสเซียเข้าไปยังโปแลนด์ ซึ่งเป็นชาติสมาชิกองค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ (นาโต) หรือไม่ ปูตินกล่าวตอบว่า “มีเพียงกรณีเดียวเท่านั้น หากโปแลนด์โจมตีรัสเซีย ทำไมน่ะเหรอ? เพราะเราไม่มีความสนใจโปแลนด์ ลัตเวีย หรือที่อื่นใด”

ทั้งนี้ ในการให้สัมภาษณ์ที่ปูตินพูดเป็นภาษารัสเซียและถูกพากย์ทับเป็นภาษาอังกฤษนั้น ปูตินเริ่มต้นด้วยการร่ายยาวถึงประวัติศาสตร์ความสัมพันธ์ของรัสเซียกับยูเครน โปแลนด์ และประเทศอื่นๆ และใช้เวลาส่วนหนึ่งไปกับการคร่ำครวญว่า ยูเครนใกล้จะบรรลุข้อตกลงเพื่อยุติสงครามแล้ว ในการเจรจาที่นครอิสตันบูลเมื่อเมษายนปี 2022 แต่อีกฝ่ายกลับถอยไป เมื่อทหารรัสเซียถอนกำลังออกจากพื้นที่ใกล้กรุงเคียฟ

ปูตินยังกล่าวถึงสหรัฐอเมริกาว่า มีประเด็นเร่งด่วนภายในประเทศที่ต้องกังวล

“จะดีกว่าไหมถ้าเจรจากับรัสเซีย? ทำข้อตกลง ได้เข้าใจสถานการณ์ที่กำลังพัฒนาไปในขณะนี้แล้ว โดยตระหนักว่ารัสเซียจะสู้เพื่อผลประโยชน์ของตนเองจนถึงที่สุด”

นอกจากนี้ ผู้นำรัสเซียยังกล่าวด้วยว่า เขาเชื่อว่ามีความเป็นไปได้ที่จะบรรลุข้อตกลงในการปล่อยตัว ‘นายอีแวน เกิร์ชโควิช’ นักข่าวอเมริกันของหนังสือพิมพ์เดอะ วอลสตรีทเจอร์นัล ที่ถูกจับกุมในประเทศรัสเซีย เมื่อเกือบ 1 ปีก่อนและกำลังรอการพิจารณาคดีในข้อหาจารกรรม โดยปูตินเปิดเผยว่า หน่วยปฏิบัติการพิเศษของรัสเซียและสหรัฐฯ กำลังหารือกันในคดีเกิร์ชโควิชอยู่ ซึ่งมีความคืบหน้าอยู่บ้าง

นับเป็นการให้สัมภาษณ์สื่อสหรัฐฯ เป็นครั้งแรกของปูตินนับจากปี 2021 และก่อนที่สงครามรุกรานยูเครนของรัสเซียจะเปิดฉากขึ้นเมื่อเกือบ 2 ปีก่อน

‘ญี่ปุ่น’ พบน้ำปนเปื้อนกัมมันตรังสี 5.5 ตัน รั่วไหลจาก ‘โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ฟุกุชิมะ’

(9 ก.พ. 67) สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า สื่อท้องถิ่นญี่ปุ่นเปิดเผยการพบน้ำปนเปื้อนกัมมันตรังสีรั่วไหลจากอุปกรณ์ภายในโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ฟุกุชิมะไดอิจิ ปริมาณรวม 5.5 ตัน

รายงานข่าวดังกล่าวอ้างอิงข้อมูลจากโตเกียว อิเล็กทริก พาวเวอร์ คอมปานี (TEPCO) ระบุว่าคนงานพบน้ำรั่วไหลออกจากอุปกรณ์ที่ใช้กรองน้ำปนเปื้อนนิวเคลียร์ระหว่างตรวจสอบอุปกรณ์ ตอนราว 08.53 น. ของวันพุธ (7 ก.พ. 67) ตามเวลาท้องถิ่น 

TEPCO เป็นผู้ดำเนินงานโรงไฟฟ้า โดยประเมินว่าน้ำที่รั่วไหลมีปริมาณ 5.5 ตัน น้ำปนเปื้อนอาจมีสารกัมมันตรังสี เช่น ซีเซียมและสตรอนเชียม อยู่ราว 2.2 หมื่นล้านเบ็กเคอเรล

ทั้งนี้น้ำที่รั่วไหลออกมาทั้งหมดได้แทรกซึมลงสู่พื้นดิน แต่ขณะนี้ยังไม่พบสัญญาณการเปลี่ยนแปลงของระดับกัมมันตรังสีในช่องทางระบายน้ำใกล้เคียง ส่วนเทปโกได้ปิดพื้นที่ที่น้ำรั่วไหลเป็นพื้นที่ห้ามเข้าแล้ว

อย่างไรก็ดีก่อนหน้านี้โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ฟุกุชิมะ เคยเกิดแผ่นดินไหว ขนาด 9.0 ตามมาตราแมกนิจูด และสึนามิเมื่อวันที่ 11 มี.ค. 2011 ประสบเหตุแกนหลักหลอมละลายและปล่อยกัมมันตรังสีออกมาจนถือเป็นอุบัติเหตุนิวเคลียร์ ระดับ 7 ซึ่งสูงสุดในมาตราระหว่างประเทศว่าด้วยเหตุการณ์ทางนิวเคลียร์ (INES)

โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ฟุกุชิมะได้ผลิตน้ำปนเปื้อนสารกัมมันตรังสีปริมาณมหาศาลจากการหล่อเย็นเชื้อเพลิงนิวเคลียร์ในอาคารเตาปฏิกรณ์ ซึ่งปัจจุบันถูกกักเก็บอยู่ในถังที่โรงไฟฟ้าฯ

ญี่ปุ่นเริ่มต้นปล่อยน้ำเสียจากโรงไฟฟ้านิวเคลียร์แห่งนี้ลงสู่มหาสมุทรแปซิฟิกเมื่อเดือนสิงหาคม 2566 แม้มีกระแสคัดค้านต่อเนื่องมากมายจากรัฐบาลและชุมชนต่าง ๆ หน่วยงานสิ่งแวดล้อม เอ็นจีโอ และกลุ่มเคลื่อนไหวต่อต้านนิวเคลียร์ในญี่ปุ่น ประเทศเพื่อนบ้าน และภูมิภาคแปซิฟิก

‘นครเซินเจิ้น’ เจ๋ง!! เปิดบริการใช้ ‘โดรน’ ส่ง ‘อาหารทะเล’ สามารถทะยานสู่ฟ้ารับน้ำหนักบรรทุกสูงสุด 20 กิโลกรัม

เมื่อวานนี้ (7 ก.พ.67) สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า เส้นทางการจัดส่งอาหารทะเลด้วยอากาศยานไร้คนขับ หรือ ‘โดรน’ เปิดดำเนินงานแล้วโดยเชื่อมระหว่างท่าเรือหนานอ้าวซวงยง ทางตะวันออกของนครเซินเจิ้น มณฑลกว่างตง (กวางตุ้ง) ทางตอนใต้ของจีน และเขตหลงกั่งภายในเมือง

โดรนขนส่งซีฟู้ดสามารถทะยานขึ้นบินด้วยน้ำหนักบรรทุกสูงสุด 20 กิโลกรัม โดยอาหารทะเลจะถูกส่งไปยังบริษัทขนส่งในพื้นที่ ก่อนส่งต่อถึงมือลูกค้าในที่สุด

'ลิซ่า' ขึ้นแท่น CEO เปิดบริษัทชื่อ 'LLOUD'  แพลตฟอร์มด้านดนตรีและความบันเทิง

สร้างปรากฏการณ์แบบไม่มีพัก สำหรับ 'ลิซ่า BLACKPINK' หรือ 'ลิซ่า ลลิษา มโนบาล' ศิลปินสาวเคป๊อปที่ทรงอิทธิพลระดับโลก โดยเมื่อวันที่ 7 ก.พ.67 เธอได้โพสต์ภาพพอร์ตเทรตสีขาวดำลงในไอจีสตอรี่ พร้อมระบุข้อความ '02.08.2024 Coming Soon' ซึ่งหลายคนต่างก็เดากันไปต่างๆ นานา ว่า 'ลิซ่า' ตั้งใจจะบอกอะไรกันแน่ เพลงใหม่, สังกัดใหม่, งานใหม่, หรือพรีเซนเตอร์สินค้าใดๆ หรือเปล่า?

ทว่าล่าสุด (8 ก.พ.67) ก็ได้มีการขอเฉลยแล้วว่า 'ลิซ่า' ได้เปิดบริษัทเป็นของตัวเอง โดยใช้ชื่อว่า 'LLOUD' แพลตฟอร์มด้านดนตรีและบันเทิง พร้อมแคปชันว่า...

"Introducing LLOUD, a platform to showcase my vision in music and entertainment. Join me on this exciting journey to push through new boundaries together."

(ขอแนะนำ LLOUD แพลตฟอร์มเพื่อแสดงวิสัยทัศน์ของฉันในด้านดนตรีและความบันเทิง ร่วมเดินทางที่น่าตื่นเต้นนี้เพื่อก้าวข้ามขอบเขตใหม่ไปด้วยกันกับฉัน)

ทราบมาว่า ตอนนี้ในเว็บไซต์มีให้ลงทะเบียนเพื่อติดตาม Exclusive Update แล้วด้วย อีกทั้งยังมีการเปิดช่องทางติดตามในโซเชียลมีเดียครบทุกแพลตฟอร์มใหญ่ๆ แล้ว 

ก็คงต้องตามดูกันว่า LLOUD ของ ซีอีโอป้ายแดงอย่างลิซ่า จะพาความสุขใดๆ มาให้แฟนๆ ได้ตามกรี๊ดกันบ้าง

‘คุณแม่ชาวอังกฤษ’ โวย!! ไม่มีใครสละที่นั่งบนรถไฟให้ลูกของเธอ คนที่นั่งมีแต่ผู้ชาย แต่กลับมองเด็ก 5 ขวบนั่งบนพื้นหน้าตาเฉย

(8 ก.พ. 67) เพจ ‘Around the World’ ได้แชร์เรื่องราวของคุณแม่รายหนึ่งที่ได้ออกมาระบายความรู้สึกผ่านติ๊กต็อก ถึงกรณีไม่มีใครลุกให้ลูกชายของเธอนั่งเลยแม้แต่คนเดียว โดยระบุว่า…

ผู้หญิงรายหนึ่งทนไม่ไหว ใช้ TikTok ระบายความคับข้องใจเกี่ยวกับข้อเท็จจริงที่ว่า ไม่มีใครลุกให้ลูกชายวัยเด็กเล็กของเธอนั่ง บนขบวนรถไฟขบวนหนึ่งในอังกฤษ แม้แต่รายเดียว ทั้งที่เก้าอี้ในบริเวณใกล้เคียง มีแต่พวกผู้ชายทั้งนั้น

ในวิดีโอ ซึ่งมีผู้เข้าชมแล้วมากกว่า 2.1 ล้านวิว ผู้ใช้นามว่า @kellyk2016 ต้องการแฉให้เห็นว่าลูกชายของเธอ ต้องนั่งบนพื้นของขบวนรถไฟ เนื่องจากไม่มีเก้าอี้ว่างเหลืออยู่ เธอระบุด้วยว่า "คนเหล่านี้ทุกคนเอาแต่มองดูลูกชายของฉันนั่งอยู่บนพื้น ไม่รับรู้อะไรกันเลย"

ตามรายงานของเดลิเมล ระบุว่า รถไฟที่เคลลีโดยสารนั้น ได้แก่ รถไฟสาย Southern Rail Train และจากข้อความที่ปรากฏบนเว็บไซต์ ดูเหมือนผู้โดยสารจำเป็นต้องซื้อตั๋วเพื่อขึ้นรถไฟ แต่เด็กอายุต่ำกว่า 5 ขวบ สามารถใช้บริการฟรี ทว่าในกรณีนี้ผู้โดยสารจะสามารถนั่งบนที่นั่งได้ ก็ต่อเมื่อมันไม่มีผู้โดยสารคนอื่น ๆ จับจอง

ทางด้านเว็บไซต์ของ Southern Rail Train ชี้แจงว่า "คุณสามารถนำเด็กอายุ 5 ขวบมาใช้บริการได้ โดยไม่เสียค่าโดยสาร หากว่าคุณมีตั๋ว อย่างไรก็ตามคุณสามารถใช้เก้าอี้ได้ ก็ต่อเมื่อมันไม่มีความจำเป็นแล้ว สำหรับผู้โดยสารคนอื่น ๆ ที่มีตั๋ว"

ผู้ชมบางส่วนแสดงความไม่พอใจกับคลิปบน TikTok ดังกล่าว แสดงความคิดเห็นตำหนิ เคลลี แม้ว่าเธอจะพยายามชี้ให้เห็นว่าลูกของเธอควรได้รับเก้าอี้นั่งเป็นลำดับแรก ๆ 

"เด็กไม่ควรได้เก้าอี้นั่งในลำดับแรก ๆ คนพิการ ผู้หญิงตั้งครรภ์ คนชรา และเด็กทารก ต่างหาก ที่ควรได้นั่งบนเก้าอี้ในลำดับแรกๆ" ผู้ใช้รายหนึ่งเขียน

ส่วนอีกคนเขียนว่า "บทเรียนของชีวิต กรุณาจองตั๋วที่นั่งล่วงหน้า ทำไมคุณถึงคิดว่าลูกของคุณควรมีความสำคัญลำดับต้น ๆ เป็นเพราะคุณบอกงั้นหรือ?" 

ขณะที่อีกคนเขียนติดตลกว่า "เด็ก ๆ นั่งบนพื้น ผู้ใหญ่นั่งบนเก้าอี้ นี่คือที่เขาเรียกว่าการให้ความเคารพ"

อย่างไรก็ตาม เคลลี ชี้แจงในประเด็นนี้ว่า เธอจะมอบเก้าอี้ให้ลูกของเธอ ถ้าเธอมีที่นั่ง แต่ในกรณีนี้เธอเองก็ไม่มีที่นั่ง ทั้งที่ก็ซื้อตั๋วเช่นกัน

ขณะเดียวกันผู้ติดตามบน TikTok ของเธอบางส่วน แสดงความเห็นเข้าข้าง เคลลี และลูกชายของเธอ โดยชี้ให้เห็นถึงทัศนคติที่ย่ำแย่ของพวกผู้ใหญ่ที่ไม่ยอมลุกให้เด็กนั่ง "มันเป็นพฤติกรรมแย่ ๆ ของพวกผู้โดยสารและความเห็นแย่ๆของผู้คนบนสื่อสังคมออนไลน์ เป็นฉัน ฉันจะมอบเก้าอี้ให้เด็กนั่งภายในเวลาไม่กี่วินาที"

กระจ่าง!! Tesla ขายได้แค่ 1 คันทั้งเดือนในเกาหลีใต้ เพราะขายหมดจนไม่เหลือสต็อกรถไว้ขายในเดือนมกราคม

(8 ก.พ.67) Business Tomorrow ได้ออกบทความกรณีข่าวสะพัด Tesla ขายได้แค่ 1 คันทั้งเดือนจริงหรือไม่? โดยมีเนื้อหาดังนี้...

จากเหตุการณ์ที่ประเทศเกาหลีขายรถยนต์ EV อย่าง Tesla ได้เพียง 1 คันในเดือนมกราคมที่ผ่านมา หลายคนอาจจะมองว่าเป็นข่าวร้ายและขาลงของอุตสาหกรรมรถยนต์ EV ในเกาหลีเป็นที่เรียบร้อยแล้ว 

แต่ใครจะรู้ว่าสิ่งนี้อาจเป็นสัญญาณที่ดีมากสำหรับวงการ EV และ Tesla ที่ Tesla ขายรถในเกาหลีใต้ทั้งเดือนมกราคมที่ผ่านมาได้เพียงแค่ 1 คัน

📌 ทำไมถึงเป็นเช่นนี้ ?

เพราะหากเราเจาะเข้าไปดูรายละเอียดให้ดีแล้ว เราจะทราบว่า Tesla ในเกาหลี (หรือแม้แต่ในไทยก็ตาม) จะไม่ได้รับรถจากโรงงานจีนเลยในเดือนแรกของไตรมาส เพราะรถทั้งหมดกำลังถูกขนผ่านเรือจากจีนเข้ามาอยู่ กว่าจะได้รับรถก็คือต้องรอเป็นเดือนที่ 2 และ 3 ของไตรมาส ทำให้ยอดขาย Tesla ในประเทศต่าง ๆ ในเอเชียจะออกมาในรูปแบบนี้เสมอ คือยอดขายในแต่ละไตรมาสจะค่อย ๆ เพิ่มขึ้นตามเดือน และไปสูงสุดที่เดือนที่ 3 เสมอ

📌 ทำไม Tesla ถึงต้องทำแบบนี้ ?

ทั้งนี้เพื่อ Maximize ให้ยอดจดทะเบียน หรือยอดขายของรถสูงที่สุดในไตรมาสเดียว หาก Tesla ไม่กำหนดการส่งออกจากจีนให้ดี และส่งรถออกมาในเดือนสุดท้ายของไตรมาส จะทำให้รถเหล่านั้นอยู่ระหว่างการเดินทางในช่วงการปิดงบรายไตรมาส และไม่ได้รับรู้เข้าไปในบัญชี

ทำให้ในเดือนแรกของทุกไตรมาส Tesla จะส่งรถออกไปให้ประเทศที่อยู่ไกลที่สุดก่อน ที่ใช้เวลาเดินทางมากที่สุด เพื่อให้มั่นใจว่าในไตรมาสนั้น ประเทศนั้นจะได้มีเวลาส่งมอบรถให้ได้มากที่สุด (หากส่งเรือไปถึงช้า เวลาขายในไตรมาสก็จะน้อย) ก่อนที่จะค่อย ๆ ส่งออกให้กับประเทศที่อยู่ใกล้ขึ้น ให้มีเวลาในการขายที่มากขึ้นไปตาม ๆ กัน 

จนเดือนสุดท้ายที่ไม่สามารถส่งรถออกทัน Tesla ก็จะขายรถเหล่านั้นในตลาด Domestic ของจีนให้มากที่สุด เพื่อเร่งยอดการส่งมอบในแต่ละไตรมาส

📌 สรุปแล้วดีกับ Tesla ?

ทำให้หากเราเห็นว่า Tesla ในเกาหลีขายได้เพียง 1 คันในเดือนมกราคม นั้นหมายความว่า Tesla ได้ขายรถในเกาหลีออกไปเกือบทุกคันจนหมดในเดือนธันวาคมที่ผ่านมาแล้ว ! ทำให้ไม่เหลือสต็อกรถไว้ขายในเดือนมกราคม

ด้วยสิ่งเหล่านี้ทำให้สามารถสรุปสั้น ๆ ได้ว่า จริง ๆ แล้วนี่เป็นข่าวที่ดีมากสำหรับ Tesla และวงการรถ EV ในเกาหลีเลยทีเดียว


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top