Sunday, 5 May 2024
WORLD

แอมเนสตี้ฯ จี้ ‘เฟซบุ๊ก’ จ่ายชดเชยชาวโรฮิงญา ฐานไม่ควบคุมเนื้อหา ‘ปลุกปั่นความเกลียดชัง’

องค์การนิรโทษกรรมสากล (Amnesty International) ออกมาเรียกร้องให้ ‘เฟซบุ๊ก’ จ่ายค่าชดเชยให้แก่ชาวโรฮิงญาหลายแสนคนที่ต้องพลัดถิ่นฐานจากเมียนมา กรณีปล่อยให้มีการเผยแพร่เนื้อหาปลุกปั่นความเกลียดชัง (hate speech) จนมีส่วนกระตุ้นให้เกิดการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์คนกลุ่มนี้

ชาวโรฮิงญาซึ่งเป็นมุสลิมกลุ่มน้อยตกเป็นเหยื่อปฏิบัติการกวาดล้างของรัฐบาลทหารพม่าเมื่อช่วงปี 2017 ซึ่งทำให้พวกเขาต้องละทิ้งบ้านเรือนหนีตายไปยังบังกลาเทศ และยังคงต้องอาศัยอยู่ตามแคมป์ผู้ลี้ภัยมาจนถึงทุกวันนี้

สมาคมเหยื่อชาวโรฮิงญาและนักสิทธิมนุษยชน ชี้ว่า ความรุนแรงที่เกิดขึ้นกับชาวโรฮิงญาส่วนหนึ่งมาจาก ‘ระบบอัลกอริทึม’ ของเฟซบุ๊กที่แสดงเนื้อหาความรุนแรง ข้อมูลบิดเบือน และถ้อยคำที่ยุยงให้เกิดความเกลียดชังต่อคนกลุ่มน้อยเหล่านี้

“ชาวโรฮิงญาหลายคนพยายามแจ้งรายงานเนื้อหาที่ยั่วยุให้เกิดความเกลียดชังผ่านช่องทาง report ของเฟซบุ๊ก แต่ก็ไม่เป็นผล เฟซบุ๊กยังคงปล่อยให้ถ้อยคำรุนแรงเหล่านี้แพร่กระจายออกไปจนถึงกลุ่มผู้ฟังในพม่าที่ไม่เคยรับรู้มันมาก่อน” แอมเนสตี้ฯ ระบุในรายงานที่เผยแพร่วันนี้ (29 ก.ย.)

องค์กรสิทธิมนุษยชนดังกล่าวยังอ้างถึงชุดเอกสาร ‘Facebook Papers’ ซึ่งมีผู้นำมาเปิดโปงเมื่อเดือน ต.ค. ปี 2021 โดยเอกสารนี้ระบุชัดเจนว่า ผู้บริหารของเฟซบุ๊ก ‘ทราบดี’ ว่าแพลตฟอร์มกำลังถูกใช้เป็นช่องทางเผยแพร่เนื้อหาโจมตีชาติพันธุ์กลุ่มน้อยและกลุ่มคนชายขอบอื่น ๆ

ตร.มะกัน แพร่คลิปม็อบวัยรุ่นยกพลปล้นร้านสะดวกซื้อ ลั่น!! ประชาชนไม่ควรมาเจอกับเรื่องแบบนี้

กรมตำรวจฟิลาเดลเฟีย ในสหรัฐฯ เผยแพร่คลิปวิดีโอเหตุการณ์ฝูงม็อบกำลังลงมือปล้นสะดมร้านสะดวกซื้อ Wawa สาขาหนึ่ง ในช่วงสุดสัปดาห์ ก่อนหลบหนีไปอย่างลอยนวล ตามรายงานของฟ็อกซ์นิวส์ ในวันอังคาร (27 ก.ย.)

ภาพในวิดีโอพบเห็นกลุ่มคนจำนวนมากไหลบ่าเข้าไปในร้านสะดวกซื้อ ขโมยอาหาร เครื่องดื่มและข้าวของอื่น ๆ ส่วนอีกคลิปเป็นภาพของกลุ่มคนกำลังกระโดดอยู่บนหลังคารถที่จอดอยู่บริเวณด้านนอกร้าน เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นตอนราว ๆ 20.15 น. ของวันเสาร์ 24 ก.ย. (ตามเวลาท้องถิ่น) และตำรวจกำลังตามล่าผู้ต้องสงสัยประมาณ 100 คน ส่วนใหญ่เป็นเยาวชน

"เรารู้ว่าผู้ปกครองหลายท่านจะได้ดูคลิปนี้และบอกว่า นั่นไม่ใช่แนวทางที่ฉันเลี้ยงดูลูก ๆ มันเป็นที่เข้าใจได้ แต่มันเป็นความรับผิดชอบของพวกคุณเช่นกันที่ต้องชี้ตัวลูกๆ ของพวกคุณให้เรา" จอห์น สแตนฟอร์ด รองผู้บัญชาการตำรวจกล่าวระหว่างแถลงข่าวเมื่อวันจันทร์ (26 ก.ย.)

"สิ่งสำคัญที่สุดของเรื่องนี้คือ เราไม่อาจปล่อยให้มีรูปแบบพฤติกรรมเช่นนี้เกิดขึ้นในเมืองแห่งนี้ ประชาคมภาคธุรกิจไม่ควรต้องเผชิญกับเรื่องแบบนี้ ประชาชนไม่ควรมาเจอกับเรื่องแบบนี้" สแตนฟอร์ด กล่าว

กษัตริย์ซาอุฯ ทรงปรับคณะรัฐมนตรีใหม่ ตั้ง มกุฎราชกุมาร ‘MBS’ ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรี

สมเด็จพระราชาธิบดี ซัลมาน บิน อับดุลอาซิซ แห่งซาอุดีอาระเบีย ทรงมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเจ้าชายโมฮัมเหม็ด บิน ซัลมาน มกุฎราชกุมาร ขึ้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนใหม่ แทนพระองค์

พระราชกฤษฎีกาซึ่งเผยแพร่ผ่านสำนักข่าว SPA ของรัฐบาลซาอุฯ เมื่อวานนี้ (27 ก.ย.) ยังระบุให้เจ้าชายอับดุลอาซิซ บิน ซัลมาน รั้งเก้าอี้รัฐมนตรีกระทรวงพลังงานตามเดิม เช่นเดียวกับเจ้าชายไฟซอล บิน ฟาร์ฮาน อัล-สะอูด, โมฮัมเหม็ด อัล-จาดาน และคอลิด อัล-ฟาลิห์ ซึ่งดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีต่างประเทศ, รัฐมนตรีกระทรวงการคลัง และรัฐมนตรีกระทรวงการลงทุน ตามลำดับ

มกุฎราชกุมารโมฮัมเหม็ด หรือที่หลายคนเรียกว่าเจ้าชาย MBS ทรงได้รับการเลื่อนตำแหน่งจากรัฐมนตรีกลาโหมขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรี ซึ่งเท่ากับว่าทรงเป็น “ผู้ปกครองโดยพฤตินัย” ของราชอาณาจักรที่ส่งออกน้ำมันมากเป็นอันดับ 1 ของโลก และเป็นพันธมิตรที่สำคัญของสหรัฐฯ ในตะวันออกกลาง

บทบาทใหม่ของเจ้าชายโมฮัมเหม็ด นับว่าสอดคล้องกับพระราชกรณียกิจต่างๆ ที่ได้ทรงปฏิบัติแทนพระองค์มาในอดีต เช่น การเป็นผู้แทนรัฐบาลซาอุฯ ไปเยือนต่างประเทศ หรือเป็นประธานการประชุมสุดยอดต่าง ๆ ที่ริยาดเป็นเจ้าภาพ

“มกุฎราชกุมารทรงกำกับดูแลกิจการประจำวันของฝ่ายบริหาร ตามที่สมเด็จพระราชาธิบดีได้ทรงมีพระบรมราชโองการมอบหมายไว้ ดังนั้น บทบาทใหม่ของพระองค์ในฐานะนายกรัฐมนตรี จึงถือว่าเข้ากับบริบท” เจ้าหน้าที่ซาอุฯ ผู้ไม่ประสงค์ออกนาม กล่าว

สมเด็จพระราชาธิบดีซัลมาน ในวัย 86 พรรษาทรงประชวรด้วยหลายโรค และเสด็จฯ ไปประทับโรงพยาบาลหลายครั้งในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา

สังคมซาอุดีอาระเบียพลิกโฉมไปอย่างมากนับตั้งแต่เจ้าชายโมฮัมเหม็ด ทรงก้าวขึ้นสู่อำนาจเมื่อปี 2017 โดยทรงมุ่งมั่นที่จะปรับโครงสร้างเศรษฐกิจซาอุฯ ให้ลดการพึ่งพาน้ำมัน และยังทรงดำเนินการปฏิรูปด้านต่าง ๆ เช่น อนุญาตให้สตรีขับรถ และจำกัดอำนาจของพวกผู้นำทางศาสนา เป็นต้น

เวียดนามเตือนประชาชนออกนอกพื้นที่เสี่ยง หลัง 'พายุโนรู' ทวีความรุนแรงต่อเนื่อง

สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า ทางการเวียดนามออกประกาศเตือนให้ประชาชนที่อาศัยบริเวณตอนกลางอพยพออกจากพื้นที่ เนื่องจากไต้ฝุ่นโนรูกำลังเคลื่อนตัวเข้ามาและจะทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ ไปทางประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หลังจากสร้างความเสียหายไม่น้อยในฟิลิปปินส์ช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา

สำนักงานอุตุนิยมวิทยาแห่งชาติของเวียดนาม กล่าวว่า พายุไต้ฝุ่นโนรูจะรุนแรงขึ้นในคืนวันอังคาร (27 ก.ย. 65) ระหว่างที่เคลื่อนตัวเข้าใกล้ชายฝั่งเวียดนามตอนกลางมากขึ้น

ทั้งนี้ ศูนย์กลางของพายุอยู่ทางตะวันออกเฉียงใต้ของหมู่เกาะพาราเซล มีความเร็วลมสูงสุด 183 กิโลเมตร/ชั่วโมง เพิ่มขึ้นจาก 149 กิโลเมตร/ชั่วโมง ในคืนก่อนหน้า (26 ก.ย.)

นอกจากนี้ เวียดนามต้องปิดสนามบินหลายแห่งทำให้เที่ยวบินทั้งภายในและระหว่างประเทศถูกยกเลิกหลายร้อยเที่ยว การจราจรปั่นป่วน อีกทั้งประชาชนหลายหมื่นคนจำเป็นต้องอพยพออกจากบ้านเรือนกะทันหันอีกด้วย

หนุ่มจีนเซ็ง!! ตั้งใจช่วยชีวิตเด็ก แต่กลับโดนทัวร์รุมจวกยับ หลังชาวเน็ตโฟกัสเรื่องอื่นมากกว่า 'การช่วยชีวิต'

ภาพจากกล้องวงจรปิดของห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่งใน เซี่ยงไฮ้ ที่จับภาพวินาทีชีวิต เด็กหญิงคนหนึ่งโหนเกาะอยู่กับราวบันไดเลื่อน ขณะที่ลำตัวตัวห้อยอยู่ด้านนอก จนคนที่เห็นก็รู้ว่า เด็กอาจจะร่วงลงสู่ด้านล่างได้ตลอดเวลา

ขณะที่เด็กผู้ชายอีกคนที่อยู่บนบันไดเลื่อน น่าจะเป็นครอบครัวของเด็กหญิง รีบวิ่งไปตะโกนเรียกให้คนมาช่วยเด็ก และแล้วก็ได้มีชายสองคน วิ่งเข้ามาช่วยดึงร่างเด็กหญิงขึ้นมาได้อย่างปลอดภัย

เรื่องราวดังกล่าวนี้ได้กลายเป็นไวรัลในโลกออนไลน์ของประเทศจีนอย่างรวดเร็ว พร้อมกับเสียงชื่นชมพลเมืองดีชายสองคนที่ช่วยชีวิตเด็กหญิงไว้ได้ทันท่วงที 

>> แต่ก็ไม่พ้นที่จะต้องมีอีกด้านที่แสดงความคิดเห็นจวกยับ จับผิดการกระทำ !!

โดยคนกลุ่มนี้ไปจับจ้องว่า ตอนที่ดึงร่างของเด็กขึ้นมา ชายพลเมืองดีใช้มือจับตรงบั้นท้ายและอาจจะถูกที่ลับของเด็กหญิง จนมีคนกล่าวหาว่าเขาเจตนาจะล่วงเกินเด็กหรือไม่ และกล่าวอีกด้วยว่านี่ไม่เหมาะสมอย่างมากต่อการกระทำที่สุ่มเสี่ยงต่อความเสียหายของตัวเด็กหญิงแบบนี้

‘ปูติน’ ออกกฎหมายลงโทษจำคุกสูงสุด 10 ปี สำหรับทหารที่ ‘จงใจยอมแพ้’ ในสงครามยูเครน

ประธานาธิบดี วลาดิมีร์ ปูติน แห่งรัสเซียลงนามบังคับใช้กฎหมายอาญาซึ่งกำหนดบทลงโทษจำคุกสูงสุด 10 ปี สำหรับทหารรัสเซียที่ 'จงใจยอมแพ้' ให้แก่ฝ่ายศัตรู ระหว่างปฏิบัติหน้าที่ในสงครามยูเครน

มาตรการดังกล่าวถูกกำหนดขึ้นหลังจากที่ ปูติน ประกาศเรียกระดมพลบางส่วน (partial mobilization) เมื่อสัปดาห์ที่แล้วเพื่อเกณฑ์ชายฉกรรจ์เข้าทำสงครามที่ยืดเยื้อมานาน 7 เดือน และไม่เป็นไปตาม 'สคริปต์' ที่มอสโกวางไว้

สำนักข่าว TASS ของรัสเซียอ้างประมวลกฎหมายอาญามาตรา 352.1 ซึ่งระบุว่า บรรดาทหารเกณฑ์เหล่านี้จะได้รับโทษจำคุกระหว่าง 3-10 ปี หากมีเจตนายอมแพ้ แต่หากเป็นผู้กระทำความผิดครั้งแรก และสามารถหลบหนีกลับมายังกรมกองได้โดยไม่ได้กระทำความผิดอื่นๆ ในระหว่างที่ตกเป็นเชลย ก็จะถือเป็นข้อยกเว้น

“นี่คือแผนการเล่นคลาสสิกของ ปูติน” รีเบกาห์ คอฟเลอร์ อดีตเจ้าหน้าที่สำนักงานข่าวกรองกลาโหมของสหรัฐฯ (DIA) ซึ่งเป็นผู้แต่งหนังสือ ‘Putin’s Playbook: Russia’s Secret Plan to Defeat America’ ให้สัมภาษณ์กับฟ็อกซ์นิวส์ดิจิทัล

“มันคือการตัดสินใจอันยากลำบากที่ชายชาวรัสเซียต้องเผชิญในวันนี้ คือเลือกว่าจะตายในสนามรบ หรือไม่ก็เน่าอยู่ในคุก”

'สตม.เซจู' ชี้!! นทท.ไทย หายตัวไปกว่า 76 รายจาก 437 ราย เกิดอะไรขึ้นกับนักท่องเที่ยวไทยกันแน่?

จากเพจเฟซบุ๊ก 'ครบเครื่องเรื่องญี่ปุ่น' ได้โพสต์ข้อความ ระบุว่า...

สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองเชจู ระหว่างวันที่ 2-9 ส.ค. มีรายงานว่า ชาวไทย 76 คนจาก 437 คนที่เดินทางเข้าประเทศ โดยเที่ยวบินจากกรุงเทพ สายการบินเจจูแอร์ ได้หายตัวไป

ทำให้ตอนนี้ หลังจากมีนักท่องเที่ยวไทย 1,164 คนต้องการเข้าประเทศ ทางเกาหลีใต้ แต่ก็ปฏิเสธไม่ให้เข้าไปแล้วสูงถึง 727 คน หลังมีการหายตัวของนักท่องเที่ยวไทยมาก

จากการสำรวจของรัฐบาลเกาหลีใต้พบว่า คนไทยส่วนใหญ่เข้ามาในประเทศไม่ใช่เพื่อการท่องเที่ยว แต่เพื่อมาหางานทำ ในไทยมีนายหน้าหลายคนที่ใช้สื่อโซเชียล ไปพาคนมาทำงานในเกาหลีใต้ และอยู่อย่างผิดกฎหมาย ด้วยความช่วยเหลือของบริษัทเหล่านี้ 

โดยปลอมตัวเป็นนักท่องเที่ยว และหนีออกจากกรุ๊ปทัวร์ กลายเป็นผู้อพยพผิดกฎหมาย และเกาะเชจูได้กลายเป็นประตูเข้าประเทศของ "นักท่องเที่ยวปลอม" ใช้เป็น "ช่องโหว่" เดียว ที่อนุญาตให้นักเดินทางจากประเทศไทยอยู่ได้โดยไม่ต้องขอวีซ่าเป็นเวลา 90 วัน 

'จีน' อวดโฉม 'รถไฟแมกเลฟ' สามารถวิ่งด้วยความเร็วสูงสุด 600 กม./ชม.

เมื่อ (24 ก.ย. 65) ที่ผ่านมา สำนักข่าวซินหัวรายงานจากกรุงเบอร์ลิน ประเทศเยอรมนี ว่า 'ซีอาร์อาร์ซี' ซึ่งเป็นผู้ผลิตรถไฟชั้นนำของจีน เปิดตัวรถไฟพลังงานแม่เหล็กความเร็วสูง หรือแมกเลฟ ที่สามารถวิ่งด้วยความเร็วสูงสุด 600 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ณ งานแสดงสินค้าอุตสาหกรรมรถไฟ 'อินโนทรานส์' (InnoTrans) ที่กรุงเบอร์ลิน เมืองหลวงของเยอรมนี

ข้อมูลจากซีอาร์อาร์ซีระบุว่า รถไฟดังกล่าวถือเป็นความสำเร็จทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีล่าสุดในด้านการขนส่งทางราง ซึ่งพัฒนาทุกขั้นตอนโดยจีน ทั้งนี้ ต้นแบบของรถไฟรุ่นนี้ประสบความสำเร็จในการวิ่งทดสอบในจีน เมื่อเดือน มิ.ย. 2563 

ทั้งนี้ นายหลิว เทียนถง ตัวแทนวิศวกรจากบริษัท ซีอาร์อาร์ซี ต้าเหลียน จำกัด กล่าวว่า ซีอาร์อาร์ซีเข้าร่วมงานอินโนทรานส์ เพื่อจัดแสดงผลิตภัณฑ์อัจฉริยะและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม อีกทั้งยังนำเสนอโซลูชันแบบครอบคลุมแก่ลูกค้า ในการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์


ที่มา : https://www.dailynews.co.th/news/1504622/ 

'CEO ไฟเซอร์' ติดเชื้อโควิด-19 รอบที่ 2 หลังฉีดวัคซีน Pfizer-BioNtech แล้ว 4 เข็ม

นายอัลเบิร์ต บัวร์ลา ประธานคณะเจ้าหน้าที่บริหาร (ซีอีโอ) ของบริษัทไฟเซอร์ บริษัทยายักษ์ใหญ่ในสหรัฐฯ ออกแถลงการณ์ว่า เขาติดเชื้อโคโรนาไวรัสสายพันธุ์ใหม่ 2019 หรือโควิด-19 เป็นครั้งที่ 2 หลังจากเคยติดเชื้อโควิด-19 ครั้งแรกไปเมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา ในขณะที่นายบัวร์ลา ได้รับการฉีดวัคซีนต้านโควิด-19 ของ Pfizer-BioNtech มาแล้ว 4 เข็ม 

"ผมรู้สึกสบายดี และไม่มีอาการป่วย" นายบัวร์ลา ซีอีโอของไฟเซอร์ ระบุในแถลงการณ์เมื่อวันเสาร์ที่ (24 ก.ย. 65) ถึงอาการป่วยของเขาเองที่ติดเชื้อโควิด-19 เป็นครั้งที่ 2 

นายบัวร์ลา แจ้งด้วยว่า เขายังไม่ได้ฉีดวัคซีนโควิด-19 รุ่นใหม่ ซึ่งเป็นวัคซีนโควิด-19 ชนิดไบวาเลนต์ ที่พัฒนาขึ้นมาใหม่เพื่อหวังสู้กับเชื้อโควิด-19 สายพันธุ์ย่อยโอมิครอน BA.5 และ BA.4 ซึ่งขณะนี้เป็นสายพันธุ์หลักที่แพร่ระบาดในสหรัฐฯ โดยครองสัดส่วนอยู่ที่ 84.8% และ 1.8%

'ปูติน' ให้สัญชาติรัสเซีย 'เอ็ดเวิร์ด สโนว์เดน' ผู้เปิดโปงปฏิบัติการสอดแนมลับของสหรัฐฯ

ในวันจันทร์ (26 ก.ย. 65) ที่ผ่านมา ประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน อนุมัติสถานะพลมืองรัสเซียให้แก่ เอ็ดเวิร์ด สโนว์เดน อดีตพนักงานสัญญาจ้างด้านข่าวกรองของอเมริกา 9 ปี หลังจากเขาออกมาแฉปฏิบัติการสอดแนมลับอันกว้างขวางและอื้อฉาวของสำนักงานความมั่นคงแห่งชาติสหรัฐฯ (เอ็นเอสเอ)

สโนว์เดน วัย 39 ปี หลบหนีออกจากสหรัฐฯ และได้รับอนุญาตให้ลี้ภัยในรัสเซีย หลังปล่อยเอกสารลับรั่วไหลในปี 2013 ที่เผยให้เห็นถึงปฏิบัติการสอดแนมอย่างกว้างขวางทั้งภายในและต่างประเทศ ที่ดำเนินการโดยสำนักงานความมั่นคงแห่งชาติสหรัฐฯ ต้นสังกัดของเขา

เจ้าหน้าที่อเมริกาพยายามมานานหลายปีในการล่าตัวเขากลับมายังสหรัฐฯ เพื่อเผชิญการพิจารณาคดีทางอาญา ตามข้อกล่าวหาจารกรรม

ในกฤษฎีกาฉบับหนึ่งที่ลงนามโดย ปูติน ได้มอบสิทธิความเป็นพลเมืองแก่บุคคลที่เกิดในต่างประเทศ 72 ราย ในนั้นปรากฏชื่อของ สโนว์เดน ด้วย แต่วังเครมลินไม่ได้แสดงความคิดเห็นใดๆ ต่อความเคลื่อนไหวดังกล่าว

ต่อมา สโนว์เดน เผยแพร่ถ้อยแถลงหนึ่ง บอกว่าเขาต้องการเห็นครอบครัวของเขายังอยู่ด้วยกัน และร้องขอความเป็นส่วนตัว "หลังจากหลายปีที่ครอบครัวเราต้องแยกจากกัน ภรรยาของผมและผมไม่ปรารถนาแยกจากลูกๆ ของเราอีก" ข้อความเป็นทวิตเตอร์ระบุ

สโนว์เดน ทวีตต่อว่า "หลังจากรอมา 2 ปีและเกือบ 10 ปีที่ลี้ภัยในต่างแดน ความมั่นคงเพียงน้อยนิดจะช่วยสร้างความต่างแก่ครอบครัวผม ผมภาวนาขอความเป็นส่วนตัวแก่พวกเขา และสำหรับเราทุกคน"

ในข้อความที่ทวีตล่าสุดนี้ ไม่ได้พาดถิงถึงกฤษฎีกาของผู้นำรัสเซีย แต่เขาแนบเธรดทวิตเตอร์หนึ่งเมื่อปี 2020 ซึ่ง สโนว์เดน เคยกล่าวไว้ว่าเขาและครอบครัวกำลังร้องขอสิทธิความเป็นพลเมือง 2 สัญชาติ สหรัฐฯ กับรัสเซีย

ชาวรัสเซียบางส่วนมีอารมณ์ขันกับข่าวนี้ โดยบางคนเล่นมุกถามเล่นๆ ว่า สโนว์เดน จะถูกเรียกรับราชการทหารเป็นทหารกองหนุนหรือไม่ หลังจากเมื่อ 5 วันก่อน ปูติน เพิ่งแถลงระดมทหารกองหนุนของประเทศเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่ 2 เพื่อเสริมปฏิบัติการรุกรานยูเครน

"แล้วสโนว์เดนจะถูกเกณฑ์ทหารไหม?" มารการิตา ซิมอนยา บรรณาธิการของสำนักข่าวอาร์ที สื่อมวลชนแห่งรัสเซียและผู้สนับสนุนตัวยงของปูติน เขียนติดตลกบนช่องเทเลแกรมของเธอ

โรงเรียนประถมจีนสร้างสนามกีฬาลอยฟ้า ช่วยประหยัดที่ดินได้ถึงร้อยละ 54

'China Xinhua News' เผยแพร่ภาพโรงเรียนประถมในมณฑลซานตง ประเทศจีน ที่มีการสร้าง ‘สนามกีฬาลอยฟ้า’ เหนืออาคารเรียน และลานจอดรถอยู่ที่ชั้นใต้ดิน

โดยรายงานดังกล่าวระบุว่า โรงเรียนประถมหมายเลข 6 ในอำเภอฉีเหอ เมืองเต๋อโจว มณฑลซานตงทางตะวันออกของจีน ได้ก่อสร้างอาคารแบบบูรณาการ 3 ส่วน อันได้แก่ ลานจอดรถชั้นใต้ดิน อาคารเรียนตรงกลาง และสนามกีฬาชั้นบนสุด ซึ่งช่วยประหยัดที่ดินได้ถึงร้อยละ 54 

ทั้งนี้หลังมีการเผยแพร่ภาพดังกล่าว มีข้อความชื่นชมจากชาวไทยมากมาย อาทิ…

การที่จีนประกาศรายชื่อสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์จีนรวม 2,296 คน ที่ได้รับเลือกเป็นผู้แทนเข้าร่วมประชุมสมัชชาพรรคคอมมิวนิสต์จีนครั้งที่ 20 สะท้อนสถานการณ์ในจีนตอนนี้ เป็นไปโดยปกติ

รองศาสตราจารย์ ดร.อักษรศรี พานิชสาส์น ผู้เชี่ยวชาญเศรษฐกิจจีน จากคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้แสดงความเห็นในประเด็นเกี่ยวกับสถานการณ์ความคลุมเครือในประเทศจีนช่วง 1-2 วันมานี้ ผ่านเฟซบุ๊ก 'Aksornsri Phanishsarn' ระบุเนื้อหา ดังนี้...

จากกระแสลือสนั่นในโลกออนไลน์ เกี่ยวกับการรัฐประหารเงียบในจีน ที่มีเป้าหมายเพื่อโค่นล้ม 'สี จิ้นผิง' ผู้นำสูงสุดของจีน ก่อนการประชุมใหญ่ของสภาพรรคคอมมิวนิสต์แห่งชาติจีน ที่กำลังจะมีขึ้นในวันที่ 16 ตุลาคม 65 ที่จะมีการลงมติรับรอง สี จิ้นผิง เป็นผู้นำจีนต่อ

แม้ตอนนี้จะยังไม่มีการยืนยันข่าวลือใดๆ ทั้งสิ้น แต่สิ่งที่ค่อนข้างชัดเจนในระบบการเมืองหลังม่านไม้ไผ่อันแน่นหนาของจีนก็คือ...

'คลื่นใต้น้ำ' ในพรรคคอมมิวนิสต์จีนนั้น มีอยู่จริง!!

ในขณะที่สำนักข่าวต่างประเทศกำลังจับตามองสถานการณ์อันคลุมเครือในจีน และเฝ้ารอการปรากฏตัวออกสื่อของ สี จิ้นผิง ว่ายังปกติดีหรือไม่นั้น...ก็มีนักวิเคราะห์จำนวนไม่น้อยเชื่อมโยงข่าวลือดังกล่าวนี้กับ 2 คดีใหญ่ที่ศาลสูงจีนเพิ่งตัดสินไปเมื่อ 2 วันก่อนจะเกิดข่าวลือรัฐประหารในจีน

>> คดีนั้น ก็คือการตัดสินโทษประหารชีวิต 2 นักการเมืองที่เคยดำรงตำแหน่งสูงระดับรัฐมนตรี แถมเคยได้ชื่อว่าเป็น 'ดาวรุ่งของพรรคคอมมิวนิสต์' และมีแววพอที่จะขึ้นสู่ตำแหน่งผู้นำสูงสุดของจีน

2 นักการเมืองปีกหักนั้นก็คือ 'ซุน ลี่จุน' และ 'ฝู เจิ้งหัว'

ซุน ลี่จุน เป็นอดีตรองรัฐมนตรีด้านความมั่นคงสาธารณะ และเป็นสมาชิกระดับสูงในพรรคคอมมิวนิสต์จีน ที่เคยสร้างผลงานไว้มากมาย อีกทั้งยังเคยนำทีมควบคุมโรคลงพื้นที่เมืองอู่ฮั่นตอนที่เกิดการระบาด Covid-19 ใหม่ๆ ด้วย 

แต่ไปๆ มาๆ เมื่อเดือนเมษายน 2020 ซุน ลี่จุน ถูกทางการจีนจับกุมตัวด้วยข้อหา คอร์รัปชัน รับสินบนกว่า 646 ล้านหยวน (ประมาณ 3.4 พันล้านบาท) ตลอดระยะเวลาที่เขาเล่นการเมืองตั้งแต่ 2001-2020 อีกทั้งยังถูกกล่าวหาว่า ใช้อำนาจทางการเมืองเข้าไปชักใยในตลาดหุ้นจีน เพื่อหาผลประโยชน์นับร้อยล้านหยวน และครอบครองปืนอย่างผิดกฏหมายอีก 2 กระบอก 

>> แต่ข้อหาที่ดูจะหนักสุดจริงๆ คือ มีหลักฐานว่า ซุน ลี่จุน สมคบคิดกับกลุ่มผู้มีอิทธิพลทางการเมืองในการซ่องสุมอำนาจเพื่อเป็นใหญ่ในพรรคคอมมิวนิสต์ ซึ่งกลุ่มการเมืองนี้มีชื่อว่า 'แก๊งเซี่ยงไฮ้'

อย่าหลงเชื่อวาทกรรมรบ.ไทยซูเอี๋ยมินอ่องหล่าย แนะศึกษาก่อนโจมตี ปมนางงามโดนถอนพาสปอร์ต

เป็นข่าวดังมากในชั่วข้ามคืนกับเหตุการณ์ที่ ฮันเล มิสแกรนด์เมียนมาถูกยกเลิกพาสปอร์ต  ซึ่งเจ้าตัวกว่าจะรู้ตัวก็ตอนที่เดินทางกลับเข้าไทย โดยทางการไทยปฏิเสธการให้เข้าเมืองเนื่องจากพาสปอร์ตถูกยกเลิก โดยเมื่อข่าวนี้แพร่สะพัดออกไปก็มีสื่อหลายกระแสและประชาชนจำนวนไม่น้อยที่พุ่งเป้ามายังรัฐบาลไทยว่ามีส่วนรู้เห็นจนเป็นที่มาของการถูกถอนพาสปอร์ตดังกล่าว หยาบคายไปถึงพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นลิ่วล้อมิน อ่อง หล่าย จากประเด็นนี้ วันนี้เอย่าจะมาวิเคราะห์แต่ละข้อแต่ละจุดว่ารัฐบาลไทยไปเกี่ยวข้องอะไรไหมให้เข้าใจกัน

1. ประเด็นการเพิกถอนพาสปอร์ตนั้น ต้องเข้าใจก่อนว่าพาสปอร์ตเปรียบเสมือนบัตรประจำตัวประชาชนที่ออกโดยประเทศต้นกำเนิดของเจ้าตัว ดังนั้นการเพิกถอนพาสปอร์ตนั้นเปรียบเสมือนการถอนสัญชาติกลายๆ ดังนั้นการกระทำดังกล่าวไม่เกี่ยวข้องกับประเทศไทย ซึ่งต่างจากการเพิกถอนวีซ่า เพราะวีซ่าเสมือนตั๋วที่เป็นใบผ่านให้เข้ามาอยู่ในประเทศปลายทางได้ ดังนั้นในกรณีนี้สมมุติว่าประเทศไทยมีเอี่ยวกับเหตุการณ์นี้จะต้องทำการเพิกถอนวีซ่าไม่ใช่พาสปอร์ต 

2. การที่ไทยปฏิเสธเป็นไปตามมาตรา 12 ในพระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ. 2522 ในข้อ 11 ที่ว่า “ถูกรัฐบาลไทยหรือรัฐบาลต่างประเทศเนรเทศ หรือถูกเพิกถอนสิทธิการอยู่อาศัยในราชอาณาจักรหรือในต่างประเทศมาแล้ว หรือถูกพนักงานเจ้าหน้าที่ส่งกลับออกไปนอกราชอาณาจักร โดยรัฐบาลไทยเสียค่าใช้จ่าย ทั้งนี้ เว้นแต่รัฐมนตรีได้พิจารณายกเว้นให้เป็นกรณีพิเศษเฉพาะราย” จากข้อนี้ค่อนข้างจะชัดเจนว่าเมื่อทางเมียนมาเพิกถอนพาสปอร์ตก็เปรียบเสมือนการเนรเทศหรือเพิกถอนสิทธิ์การอยู่อาศัยในประเทศต้นกำเนิดดังนั้นพนักงานเจ้าหน้าไม่จึงไม่สามารถให้เข้าประเทศได้ ซึ่งรายนี้ถือว่าได้สิทธิพิเศษในการติดต่อกับ UNHCR เพื่อให้พักพิงชั่วคราวก่อนลี้ภัยต่อไปประเทศที่ 3 โดยการที่ไทยเลือกที่จะไม่ผลักดันออกนอกประเทศทันทีนั้นก็ค่อนข้างชัดเจนแล้วว่าไทยได้แสดงออกถึงมนุษยธรรมและไม่ได้มีความสัมพันธ์เป็นพิเศษกับทางการเมียนมา เพราะถ้าทางรัฐบาลไทยมีความสัมพันธ์พิเศษ ทางไทยสามารถเลือกจับนางงามเมียนมาส่งเป็นผู้ร้ายข้ามแดนให้ทางเมียนมาก็ได้

‘เซเลนสกี’ ยุชาวรัสเซียรีบหนีออกนอกปท.หากยังอยากมีชีวิต หลัง ‘ปูติน’ เรียกระดมพลเพิ่ม

ประธานาธิบดีโวโลดิมีร์ เซเลนสกี แห่งยูเครน ในวันพฤหัสบดี (22 ก.ย. 65) เรียกร้องชาวรัสเซียต่อต้านการเรียกระดมกำลังสำรองบางส่วนโดยประธานาธิบดีวลาดมีร์ ปูติน หลังมันโหมกระพือการประท้วงและกระตุ้นให้มีการไหลบ่าเดินทางออกนอกประเทศ

"มีทหารรัสเซียตายแล้ว 55,000 นายในช่วงเวลา 6 เดือนของสงคราม" เซเลนสกีกล่าวปราศรัยประจำวัน "ต้องการมากกว่านี้หรือ? ไม่เลย พวกเขาประท้วง ต่อสู้กลับ หลบหนี หรือไม่ก็ยอมจำนนต่อทหารยูเครน"

"พวกคุณคือผู้ร่วมกระทำผิดในอาชญากรรมทั้งหมดเหล่านี้ ร่วมกระทำผิดในการฆาตกรรมและทรมานชาวยูเครน เพราะว่าพวกคุณปิดปากเงียบ เพราะว่าคุณปิดปากเงียบ" เซเลนสกีระบุ "และตอนนี้มันถึงเวลาแล้วที่คุณต้องเลือก สำหรับพวกผู้ชายในรัสเซีย นี่คือการเลือกระหว่างความตายกับการมีชีวิต การกลายเป็นคนพิการหรือมีร่างกายที่สมบูรณ์แข็งแรง"


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top