Friday, 20 June 2025
WORLD

National Geographic ชี้!! ความเป็นไปได้ 'เครื่องวาร์ป' การไปไหนก็ได้ที่ไม่มีแค่ในนิยาย แต่อาจสร้างมันได้จริง

(9 พ.ค.67) National Geographic เผยบทความในหัวข้อ 'เครื่องวาร์ป ไปไหนก็ได้ จะไม่มีแค่ในนิยาย เราอาจสร้างมันได้จริง!' ระบุว่า…

ด้วยการสาธิตแบบจำลองที่ไม่เหมือนใคร เราได้แสดงให้เห็นว่าการขับเคลื่อนด้วย ‘เครื่องวาร์ป’ อาจไม่จำเป็นต้องถูกผลักไสให้เป็นเพียงแค่ในนิยายวิทยาศาสตร์ งานวิจัยใหม่ได้ให้เบาะแสบางประการว่า มนุษย์อาจสร้างเทคโนโลยี วาร์ป นี้ให้เป็นจริงได้ในอนาคต

“ทำไมเรายังไม่วาร์ป” กัปตันเคิร์กพูดอย่างร้อนใจกับ คุณซูลู ต้นหนของยานอวกาศเอนเตอร์ไพรซ์ เพื่อเดินทางด้วยความเร็วเหนือแสง ในภาพยนตร์เรื่อง สตาร์เทร็ก (Star Trek) ซึ่งสร้างแรงบันดาลใจให้กับนักวิทยาศาสตร์และนักฟิสิกส์หลายคนพยายามสร้างเทคโนโลยี วาร์ป นี้ให้เป็นจริงได้

ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจที่ในปี 1994 นักฟิสิกส์เชิงทฤษฎีชื่อ มิเกล อัลคิวบิแยร์ (Miguel Alcubierre) ได้เสนอความคิดแรกของเขาไว้ในวารสาร ‘Classical and Quantum Gravity’ โดยอธิบายว่า ‘เครื่องวาร์ป’ สามารถทำงานได้อย่างไรในชีวิตจริง ซึ่งเรียกกันว่า ‘การขับเคลื่อนของอัลคิวบิแยร์’

แนวคิดของอัลคิวบิแยร์ คือการทำให้พื้นที่ราบของกาลอวกาศ (Space-Time) เกิดความบิดเบี้ยวอย่างมากจนกลายเป็นเหมือนฟองอวกาศ ทำให้ยานอวกาศดังกล่าวเคลื่อนที่ด้วยความเร็วเหนือแสง แต่มีความเร่งเป็นศูนย์ หรือพูดง่าย ๆ ว่ายานดังกล่าวจะไม่ประสบกับเหตุการณ์ที่ถูกกระชากด้วยความเร่งสูง

อย่างไรก็ตาม เขาเสนอเพิ่มเติมว่าสิ่งที่จะให้พลังงานสูงกับยานอวกาศนั้นยังคงเป็นสิ่งใหม่สำหรับวิทยาศาสตร์ปัจจุบัน นั่นคือ ‘พลังงานเชิงลบ’ (exotic negative energy) มันเป็นสิ่งที่ฟิสิกส์ในปัจจุบันยังไม่เข้าใจ แต่ตามทฤษฎีแล้วมันมีพลังงานที่มีความหนาแน่นสูงอย่างเหลือเชื่อ นักวิทยาศาสตร์รุ่นใหม่ ๆ จึงหันไปหาแนวทางในสิ่งที่เรารู้ในตอนนี้มากขึ้น

“การศึกษาครั้งนี้จะเปลี่ยนการพูดคุยเกี่ยวกับการขับเครื่องวาร์ป” จาเร็ด ฟุคส์ (Jared Fuchs) ผู้เขียนนำแห่งมหาวิทยาลัยอลาบามา ฮันต์สวิลล์ กล่าว “ด้วยการสาธิตแบบจำลองที่ไม่เหมือนใคร เราได้แสดงให้เห็นว่าการขับเครื่องวาร์ป อาจไม่ถูกผลักไสให้อยู่ในนิยายวิทยาศาสตร์ตลอดไป”

อันที่จริงแล้วก่อนหน้านี้ในปี 2021 ทีมวิจัยอีกทีมหนึ่งที่มาจากมหาวิทยาลัยลาบามา ฮันต์สวิลล์ เช่นเดียวกันได้สร้างแบบจำลองทางคณิตศาสตร์ ด้วยการแก้สมการสนามของไอน์สไตน์เพื่อกำหนดฟลักซ์ของพลังงานและโมเมนตัม ซึ่งเป็นสิ่งที่อาจจะเข้าใจได้ยากสำหรับคนทั่วไป

สมการเหล่านี้สร้างปัญหาให้กับนักฟิสิกส์มาอย่างยาวนาน เนื่องจากความซับซ้อนทางคณิตศาสตร์ โดยพวกเขาพยายามทำให้ได้คำตอบที่เรียบง่ายที่สุดออกมา ซึ่งท้ายที่สุด คริสโตเฟอร์ เฮลเมอริช (Christopher Helmerich) และทีมงานสามารถพัฒนาซอฟต์แวร์ที่ชื่อ ‘Warp Factory’ ออกมาได้

“Warp Factory เป็นชุดเครื่องมือที่ออกแบบมาเป็นพิเศษ เพื่อวิเคราะห์กาลอวกาศที่เกี่ยวข้องกับเครื่องวาร์ป” เฮลเมอริช กล่าว

โปรแกรมดังกล่าวได้มอบวิธีใหม่ในการทำความเข้าใจการขับเคลื่อนของเครื่องวาร์ปที่มากขึ้น ซึ่งระบุว่าสามารถแบ่งการวาร์ปออกมาเป็นหลายคลาส โดยขึ้นอยู่กับธรรมชาติของความเครียดและความเร็วของยานอวกาศ

ทีมของ ฟุคส์ ได้นำมาต่อยอดด้วยการใช้ “การผสมผสานที่ซับซ้อนระหว่างเทคนิคระหว่างแรงโน้มถ่วงแบบดั้งเดิมและแบบใหม่ เพื่อสร้างฟองวาร์ปที่สามารถขนส่งวัตถุด้วยความเร็วสูงภายในขอบเขตของฟิสิกส์ที่เรารู้จัก” ตามคำแถลง

อย่างไรก็ดี เครื่องวาร์ป ของฟุคส์ อาจจะไม่เหมือนยานเอนเตอร์ไพร์ของสตาร์เทร็ก ที่เดินทางด้วยความเร็วเหนือแสง เนื่องจากในโลกของความเป็นจริง นักวิทยาศาสตร์ยังไม่รู้จักกฎทางฟิสิกส์ใด ๆ ที่สามารถทำให้วัตถุเดินทางเร็วเหนือแสง

แต่เครื่องวาร์ปของฟุคส์นั้นระบุว่า เราสามารถเดินทางด้วย ‘ความเร็วสูงแต่ต่ำกว่าระดับแสง’ ด้วยการใช้อุปกรณ์รวมสสารให้มีความเสถียร ไว้ในทิศทางที่สอดคล้องกับการกระจายเวกเตอร์ (เวกเตอร์คือทิศทาง) ที่ยานจะเคลื่อนไป การแก้ไขปัญหานี้ทำให้ยานสามารถเดินทางคล้ายการวาร์ป

สิ่งที่เราต้องทราบก็คือ นี่เป็นเพียงการจำลองทางคณิตศาสตร์ภายในสถานการณ์ใดสถานการณ์หนึ่งเท่านั้น ทีมวิจัยระบุว่าต้องมีการยืนยันคณิตศาสตร์ในมุมมองอื่น ๆ ด้วยเช่นกัน แต่พวกเขายอมรับว่ายังมีหนทางอีกยาวไกลในการสร้างเครื่องวาร์ปจริง ๆ แต่เรากำลังเข้าใกล้สิ่งนั้นขึ้นอีกก้าวหนึ่งแล้ว

“ในขณะที่เรายังไม่ได้เตรียมตัวสำหรับการเดินทางระหว่างดวงดาว แต่การวิจัยนี้ถือเป็นการประกาศยุคใหม่ของความเป็นไปได้” จิแอนนี มาร์ตีร์ (Gianni Martire) ซีอีโอของ Applied Physics กล่าวในแถลงการณ์เดียวกัน “เรายังคงก้าวหน้าอย่างต่อเนื่อง ในขณะที่มนุษยชาติเริ่มเข้าสู่ยุค วาร์ป แล้ว”

พวกเขากล่าวว่านิยายวิทยาศาสตร์จะไม่เป็นภาพลาง ๆ อีกต่อไปแต่จะได้รับการตรวจสอบทางคณิตศาสตร์อย่างจริงจัง

‘รัฐบาลเกาหลีใต้’ ประกาศมาตรการเล็งพึ่ง ‘หมอต่างชาติ’ หลังแพทย์ฝึกหัดลาออก-หยุดงานประท้วง ต้านแผนปฏิรูป

(10 พ.ค. 67) การลาออกและผละงานประท้วงของเหล่าแพทย์ฝึกหัดจำนวนมากในประเทศเกาหลีใต้ เนื่องจากไม่พอใจแผนการปฏิรูปของรัฐบาล โดยเฉพาะการเพิ่มโควต้ารับนักศึกษาแพทย์ในแต่ละปีเพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นปัญหายืดเยื้อมานานหลายเดือนและยังไม่ได้ข้อยุติ ซึ่งกระทบต่อการให้บริการทางการแพทย์แก่ประชาชนนั้น

ล่าสุด นายฮัน ด็อก-ซู นายกรัฐมนตรีของเกาหลีใต้ ประกาศในวันศุกร์ที่ 10 พ.ค.ว่า เกาหลีใต้จะเปิดรับแพทย์ต่างชาติที่มีใบอนุญาตประกอบวิชาชีพแพทย์เข้ามาทำงานในโรงพยาบาลต่าง ๆ ของเกาหลีใต้ได้ ทั้งนี้ เพื่อบรรเทาปัญหาติดขัดในการให้บริการทางการแพทย์ในสถานพยาบาล

นายกรัฐมนตรีฮัน ด็อก-ซู กล่าวอีกว่า รัฐบาลจะตรวจสอบให้แน่ใจว่า “มีระบบความปลอดภัยที่สมบูรณ์ถี่ถ้วนเพื่อป้องกันไม่ให้แพทย์ที่ไม่มีคุณสมบัติเหมาะ (ที่มีใบอนุญาตจากต่างประเทศ) มารักษาคนไข้ของเรา”

หลังรัฐบาลเกาหลีใต้ประกาศมาตรการพึ่งหมอต่างชาติ นายลิม ฮยอน-แท็ก หัวหน้าสมาคมแพทย์เกาหลี (KMA) ก็ได้แชร์รูปประกอบรายงานข่าวเรื่องแพทย์จบใหม่ชาวโซมาเลีย พร้อมข้อความว่า “เร็ว ๆ นี้”

ก่อนที่ภาพดังกล่าวจะถูกลบทิ้งไปหลังจากถูกกระแสตีกลับในโลกออนไลน์ที่เสียงวิพากษ์วิจารณ์การโพสต์ดังกล่าวอย่างหนัก ซึ่งนายคิม แจ-ฮยอน เลขาธิการขององค์กรพัฒนาเอกชนแห่งหนึ่งที่สนับสนุนการรักษาพยาบาลฟรี กล่าวว่า เป็นการกระทำที่ไม่เหมาะสมและเป็นการเหยียดเชื้อชาติอย่างชัดเจน

“โพสต์นั้นแสวงหาประโยชน์จากโรคกลัวอิสลามและทัศนคติแบบเหมารวมต่อประเทศกำลังพัฒนา” คิม แจ-ฮยอนกล่าว

ทั้งนี้ แพทย์ฝึกหัดในเกาหลีใต้จำนวนเกือบหมื่นคนได้ลาออกหรือหยุดงานประท้วงมาตั้งแต่วันที่ 20 กุมภาพันธ์ เพื่อประท้วงแผนปฏิรูปของรัฐบาลที่มุ่งเพิ่มโควต้ารับนักศึกษาแพทย์เพิ่มขึ้นอีกปีละ 2,000 คน โดยกลุ่มผู้ประท้วงโต้แย้งว่าแผนปฏิรูปดังกล่าวจะกัดกร่อนคุณภาพการให้บริการทางการแพทย์แก่คนไข้

ก่อนหน้านี้รัฐบาลเกาหลีใต้ได้พยายามหาทางไกล่เกลี่ยมาแล้วแต่ไม่เป็นผล เนื่องจากกลุ่มแพทย์ที่ประท้วงต้องการให้ยกเลิกแผนปฏิรูปดังกล่าวไปทั้งหมด โดยขณะนี้การต่อสู้ในเรื่องนี้ยังอยู่ในชั้นศาล คาดว่าศาลสูงโซลจะมีคำตัดสินออกมาในสัปดาห์หน้า

ราคาน้ำมัน WTI ดีดแตะ 78 ดอลลาร์/บาร์เรล หลังสต็อกน้ำมัน ‘ลดลง’ มากกว่าคาดการณ์

(10 พ.ค. 67) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ราคาน้ำมัน WTI พลิกดีดตัวทะลุระดับ 78 ดอลลาร์ใน (8 พ.ค. 67) หลังสหรัฐเปิดเผยว่า สต็อกน้ำมันดิบลดลงมากกว่าคาดในสัปดาห์ที่แล้ว

ณ เวลา 22.41 น. ตามเวลาไทย ราคาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ส่งมอบเดือนมิ.ย. บวก 0.47 ดอลลาร์ หรือ 0.6% สู่ระดับ 78.85 ดอลลาร์/บาร์เรล

สำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของรัฐบาลสหรัฐ (EIA) เปิดเผยว่า สต็อกน้ำมันดิบสหรัฐลดลง 1.4 ล้านบาร์เรลในสัปดาห์ที่แล้ว ขณะที่นักวิเคราะห์คาดว่าลดลงเพียง 1.1 ล้านบาร์เรล

ราคาน้ำมันปรับตัวลงในช่วงแรก ท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับสต็อกน้ำมันที่เพิ่มขึ้นในสหรัฐ ซึ่งบ่งชี้ถึงอุปสงค์ที่ซบเซาในตลาด

สถาบันปิโตรเลียมอเมริกา (API) เปิดเผยว่า สต็อกน้ำมันดิบสหรัฐเพิ่มขึ้น 509,000 บาร์เรลในสัปดาห์ที่แล้ว สวนทางนักวิเคราะห์ที่คาดว่าลดลง 1.430 ล้านบาร์เรล

นักลงทุนยังคงจับตาสถานการณ์ในตะวันออกกลาง โดยเจ้าหน้าที่อิสราเอลรายหนึ่งกล่าวกับสำนักข่าวรอยเตอร์ว่า ยังคงไม่มีสัญญาณความคืบหน้าในการเจรจาหยุดยิงกับกลุ่มฮามาสที่กรุงไคโรของอียิปต์ 

‘จีน’ เดินหน้าปรับปรุง ‘บริการทางการแพทย์’ เพื่อผู้ป่วย ครอบคลุมขั้นตอนนัดหมาย - หนุนการดำเนินงานของรพ.

(9 พ.ค. 67) สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า สิงรั่วฉี รองหัวหน้าสำนักบริหารการแพทย์ สังกัดคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติจีน เปิดเผยว่า หน่วยงานสาธารณสุขของจีนให้ความสำคัญกับการปรับปรุงประสบการณ์ของผู้ป่วยขณะเข้ารับการดูแลทางการแพทย์ และมีการดำเนินสารพัดมาตรการเกี่ยวกับเรื่องนี้

สิงรั่วฉีกล่าวว่า มีการดำเนินมาตรการต่าง ๆ เช่น ปรับปรุงกระบวนการนัดหมายทางการแพทย์เพื่อลดระยะเวลารอของผู้ป่วย และสนับสนุนโรงพยาบาลจัดสรรการบริการบำบัดรักษาแบบสหวิทยาการ เพื่อตอบสนองความต้องการที่หลากหลายของผู้ป่วย โดยปัจจุบันมีโรงพยาบาลให้บริการแบบสหวิทยาการกว่า 2,400 แห่ง

ขณะเดียวกันโรงพยาบาลเหล่านี้กำลังใช้เทคโนโลยีใหม่ ๆ เพิ่มขึ้น เพื่อสนับสนุนการดำเนินงานที่เกี่ยวข้อง และคณะกรรมการฯ ดำเนินโครงการปรับปรุงการบริการดูแลและรักษาพยาบาลเพื่อรับรองผู้ป่วยและตอบสนองความต้องการทางคลินิกได้ดียิ่งขึ้นในปีที่ผ่านมา

สิงรั่วฉีเสริมว่า ปัจจุบันมีสถาบันการแพทย์มากกว่า 3,000 แห่ง ให้บริการที่เกี่ยวข้องตามบ้านของผู้ป่วย ขณะหลายภูมิภาคอย่างปักกิ่ง ซานตง และเจียงซู ดำเนินการปฏิรูปและปรับใช้ทรัพยากรจากสังคมเพิ่มเติมเพื่อให้บริการดูแลรักษาพยาบาลแก่ประชาชนสูงอายุ

‘ญี่ปุ่น’ จ่อเพิ่ม ‘วาฬฟิน’ ลงบัญชีล่าแบบเชิงพาณิชย์ อ้าง!! เป็นแหล่งอาหารสำคัญที่ควรถูกนำมาบริโภค

(9 พ.ค. 67) ญี่ปุ่นกลับมาล่าวาฬเพื่อการค้าในทะเลอาณาเขตและเขตเศรษฐกิจจำเพาะของตนอีกครั้ง เมื่อปี 2019 หลังตัดสินใจถอนตัวจาก คณะกรรมการล่าวาฬระหว่างประเทศ (IWC) เนื่องจากไม่สามารถแสวงหาจุดร่วมกับประเทศที่ต่อต้านการล่าวาฬได้

โดยสัปดาห์นี้ สำนักงานประมงญี่ปุ่นได้เปิดให้สาธารณชนร่วมแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับการปรับแก้นโยบายควบคุมทรัพยากรทางทะเล โดยจะอนุญาตให้มีการล่าวาฬฟินเพื่อการค้า ซึ่งวาฬฟินจัดเป็นวาฬขนาดใหญ่เป็นอันดับ 2 รองมาจากวาฬสีน้ำเงิน ที่อยู่ในสกุลและวงศ์เดียวกัน

โยชิมาสะ ฮายาชิ เลขาธิการคณะรัฐมนตรีญี่ปุ่น แถลงยืนยันวันนี้ (9 พ.ค.) ว่า ภาครัฐจะยังคงส่งเสริมการล่าวาฬ และดำเนินนโยบายทางการทูตที่จำเป็น

“วาฬถือเป็นแหล่งอาหารสำคัญ ซึ่งสมควรถูกนำมาบริโภคอย่างยั่งยืน โดยอ้างอิงกับหลักฐานทางวิทยาศาสตร์” ฮายาชิ กล่าว โดยอ้างถึงแผนการเพิ่มวาฬฟินลงในบัญชีวาฬที่สามารถล่าเพื่อการค้า

“การสืบทอดวัฒนธรรมอาหารดั้งเดิมของชาวญี่ปุ่นก็เป็นสิ่งสำคัญเช่นกัน” เขากล่าว

ทั้งนี้ ญี่ปุ่นมีการล่าวาฬมิงค์ วาฬบรูด้า และวาฬเซย์ รวมทั้งสิ้น 294 ตัวในปีที่แล้ว ตามข้อมูลจากสำนักงานประมงญี่ปุ่น ซึ่งปัจจุบันยังคงจำกัดให้ล่าวาฬเชิงพาณิชย์ได้เพียง 3 สายพันธุ์นี้เท่านั้น

การบริโภคเนื้อวาฬในญี่ปุ่นเคยพุ่งถึงจุดพีกเมื่อช่วงต้นทศวรรษ 1960 ทว่าปัจจุบันไม่ค่อยเป็นที่นิยมแพร่หลาย เนื่องจากมีเนื้อสัตว์ชนิดอื่น ๆ ที่หารับประทานได้ง่ายกว่า

ญี่ปุ่นประกาศโครงการล่าวาฬเพื่อการวิจัยทางวิทยาศาสตร์ในปี 1987 หลังจากที่ IWC ออกกฎห้ามล่าวาฬเพื่อการค้า ในความเคลื่อนไหวซึ่งทำให้โตเกียวถูกเหล่าองค์กรด้านสิ่งแวดล้อมวิจารณ์อย่างดุเดือด

ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์เป็นหนึ่งในบรรดาชาติที่แสดงความ ‘ผิดหวัง’ หลังจากรัฐบาลญี่ปุ่นประกาศถอนตัวจาก IWC เมื่อปี 2018

‘ไบเดน’ กร้าว!! สหรัฐฯ จะ ‘หยุดส่งอาวุธ’ ให้อิสราเอล หากกองทัพยิวเปิดปฎิบัติการบุกโจมตีเมืองราฟาห์

(9 พ.ค. 67) ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ของสหรัฐ ออกมาเตือนอิสราเอลต่อสาธารณะเป็นครั้งแรก ในวันที่ 8 พฤษภาคม ว่า สหรัฐจะหยุดจัดหาอาวุธให้อิสราเอล หากกองกำลังป้องกันอิสราเอล (ไอดีเอฟ) บุกโจมตีเมืองราฟาห์ ซึ่งตั้งอยู่ตอนใต้ของฉนวนกาซาที่เต็มไปด้วยผู้ลี้ภัยสู้รบชาวปาเลสไตน์มากกว่า 1 ล้านคน

“ผมบอกให้ทราบชัดเจนว่า หากพวกเขาเข้าไปในราฟาห์ ผมจะไม่จัดหาอาวุธที่เคยใช้ในอดีตเพื่อให้พวกเขานำไปใช้ในราฟาห์หรือในเมืองอื่น ๆ นั่นคือวิธีที่จะจัดการกับปัญหานั้น” ไบเดนกล่าวขณะให้สัมภาษณ์กับซีเอ็นเอ็น

ท่าทีดังกล่าวของไบเดนถือเป็นคำประกาศที่แข็งกร้าวที่สุดของเขานับตั้งแต่อิสราเอลเริ่มปฏิบัติการโจมตีตอบโต้กลับในฉนวนกาซาจนถึงปัจจุบัน ภายใต้ความพยายามที่จะยับยั้งการโจมตีเมืองราฟาห์ของอิสราเอล แต่ก็เป็นการตอกย้ำความแตกแยกที่เพิ่มมากขึ้นระหว่างสหรัฐและชาติพันธมิตรที่ใกล้ชิดที่สุดในตะวันออกกลาง

ไบเดนยอมรับว่า อิสราเอลได้ใช้อาวุธของสหรัฐเพื่อสังหารพลเรือนในฉนวนกาซา พลเรือนที่ถูกสังหารในกาซาเป็นผลจากระเบิดเหล่านั้นและวิธีการอื่น ๆ ทั้งนี้ คำกล่าวของไบเดนดังกล่าวเป็นการตอบคำถามถึงระเบิดที่มีน้ำหนักรวม 2,000 ปอนด์ที่สหรัฐส่งให้กับอิสราเอล

เจ้าหน้าที่อาวุโสของสหรัฐซึ่งไม่เปิดเผยชื่อกล่าวว่า สหรัฐได้ตรวจสอบการส่งมอบอาวุธที่อาจถูกนำไปใช้ในราฟาห์อย่างรอบคอบแล้ว และด้วยเหตุนี้จึงมีการระงับการขนส่งระเบิดน้ำหนัก 2,000 ปอนด์จำนวน 1,800 ลูก และระเบิดน้ำหนัก 500 ปอนด์ จำนวน 1,700 ลูก

กิลาด เออร์ดาน เอกอัครราชทูต ผู้แทนถาวรอิสราเอลประจำสหประชาชาติ ประณามการตัดสินใจของสหรัฐในการเลื่อนการส่งมอบอาวุธให้อิสราเอลออกไป โดยระบุว่าเป็นเรื่องน่าผิดหวังมาก แม้ว่าเขาจะไม่เชื่อว่าสหรัฐจะยุติการส่งมอบอาวุธต่าง ๆ ให้กับอิสราเอลก็ตาม

การคาดการณ์ของเออร์ดานสอดคล้องกับท่าทีของไบเดนที่ยืนยันขณะให้สัมภาษณ์ว่า สหรัฐจะยังจัดหาอาวุธเพื่อป้องกันตนเองให้กับอิสราเอลต่อไป รวมถึงระบบป้องกันภัยทางอากาศไอรอนโดมด้วย

“เรากำลังดำเนินการเพื่อให้แน่ใจว่า อิสราเอลมีความปลอดภัยในแง่ของไอรอนโดม และยังคงมีความสามารถในการตอบสนองการโจมตีที่มาจากตะวันออกกลางที่เกิดขึ้นในเร็ว ๆ นี้ แต่เราจะไม่จัดหาอาวุธและกระสุนปืนใหญ่ เราจะไม่ทำ เพราะมันผิด” ไบเดน กล่าว

การสัมภาษณ์ซีเอ็นเอ็นของผู้นำสหรัฐในครั้งนี้ถูกเผยแพร่เพียงไม่กี่ชั่วโมงหลังจากที่ นายลอยด์ ออสติน รัฐมนตรีกลาโหมสหรัฐ ออกมายอมรับต่อสาธารณะเกี่ยวกับการตัดสินใจของไบเดน ที่จะระงับการส่งระเบิดหลายพันลูกให้กับอิสราเอลเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาเนื่องจากวิตกกังวลเกี่ยวกับราฟาห์ ซึ่งสหรัฐคัดค้านการรุกครั้งใหญ่ของอิสราเอลโดยไม่มีมาตรการปกป้องพลเรือน

‘ตงเฟิง’ บ.รถไฟฟ้าจีน โชว์ ‘ไซเบอร์ทรัก’ เวอร์ชันจีน เลียนแบบ ‘เทสลา’ เหมือนยันเต็นท์ที่ติดท้ายรถ

(9 พ.ค. 67) สำนักข่าวต่างประเทศ รายงานว่า บริษัทค่ายรถอีวีจีนชื่อดัง ตงเฟิง (Dongfeng) ในงาน Beijing Auto Show สัปดาห์ที่แล้วเปิดตัวรถบรรทุกไฟฟ้าที่มีหน้าตาคล้ายรถไซเบอร์ทรักชื่อดังจากค่ายเทสลา มีแม้กระทั่งเต็นท์ติดมาให้ที่หลังรถ

เดลีเมลของอังกฤษงานเมื่อวันที่ 2 พ.ค. ว่า ค่ายบริษัทค่ายรถอีวีจีนชื่อดัง ตงเฟิง (Dongfeng) ซึ่งเป็น 1 ใน 4 ค่ายรถยักษ์ใหญ่จีนในงาน Beijing Auto Show ที่จัดระหว่างวันที่ 25 เม.ย. ถึงวันที่ 5 พ.ค. เรียกเสียงฮือฮาไปทั่วด้วยการเปิดตัวรถบรรทุกไฟฟ้าที่มีหน้าตาคล้ายรถไซเบอร์ทรักของเทสลา

รถบรรทุกไฟฟ้าตงเฟิง 2024 ‘Concept Pickup truck’ ถูกจัดแสดงภายในงานให้ผู้สนใจเข้าชม ดีไซน์ของตัวรถไม่ต่างจากรถไซเบอร์ทรักของอีลอน มัสก์ แต่มีลักษณะโค้งมนมากกว่า แต่ทว่าตัวรถไม่แสดงความเป็นอะลูมิเนียมสะท้อนแสงที่สะดุดสายตาผู้คนเหมือนของเทสลา

พบว่าด้านหลังของตัวกระบะเปิดออกและมีเต็นท์ตั้งอยู่ สื่ออังกฤษชี้ว่า ไฟท้ายรถไซเบอร์ทรักตงเฟิงสามารถแสดงข้อความได้โดยมีข้อความว่า “สวัสดี ปักกิ่ง” เรียกเสียงฮือฮาจากคนที่เข้าชมแดนมังกร

อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีรายละเอียดเปิดเผยอื่น ๆ ถึงความสามารถของรถว่าสามารถกันกระสุนได้เหมือนไซเบอร์ทรักตัวจริงได้หรือไม่

ซึ่งในเวลานี้ค่ายเทสลาซึ่งประสบปัญหายอดขายตกอย่างหนักในจีนยังไม่มีแผนที่จะเปิดขายรถบรรทุกไซเบอร์ทรักในจีน 

บลูมเบิร์กรายงานวันที่ 8 พ.ค.ว่า มัสก์มีแผนส่งรองประธานอาวุโสเทสลา ทอม จู (Tom Zhu) กลับไปจีน เพื่อกอบกู้สถานการณ์ด้านยอดขาย ซึ่งเขาเคยดำรงตำแหน่งผู้บริหารเทสลาในจีนก่อนได้รับการแต่งตั้งขึ้นมาดูแลการปฏิบัติงานด้านการผลิตและการขายในสหรัฐฯ เมื่อไม่นานมานี้ ชายผู้นี้มีอำนาจในการดูแลจัดการทุกตลาดใหญ่ทั่วโลก

เดลีเมลรายงานว่า บริษัทตงเฟิงมีฐานอยู่ในเมืองอู่ฮั่น ทำยอดขายตกกว่า 2 ล้านต่อปี โดยส่วนใหญ่ผ่านบริษัทร่วมทุนความร่วมมือกับค่ายรถต่างชาติรวมค่ายรถญี่ปุ่น ฮอนด้า นิสสัน และค่ายรถเปอโยต์ 

‘บริษัทชั้นนำญี่ปุ่น’ เรียกคืน ‘ขนมปังแผ่น’ กว่าแสนห่อ เร่งสืบสวนข้อเท็จจริง หลังพบชิ้นส่วน ‘ซากหนู’ ปนลงไป

(9 พ.ค.67) เอเอฟพีและ สเตรตส์ไทมส์ รายงานว่า บริษัท ปาสโค ชิคิชิมะ คอร์ปอเรชั่น ผู้ผลิตขนมปังและผลิตภัณฑ์เบเกอรี่ชั้นนำของ ญี่ปุ่น แถลงเรียกคืนขนมปังแผ่นบรรจุถุงมากกว่า 100,000 ห่อ หลังพบชิ้นส่วนของหนูในขนมปัง 2 ห่อ และว่ากำลังสืบสวนว่าชิ้นส่วนซากหนูเข้าไปในสินค้าได้อย่างไร

บริษัท ปาสโค ชิคิชิมะ ระบุด้วยว่า จนถึงขณะนี้ยังไม่มีรายงานพบผู้ป่วยหลังรับประทานขนมปัง ‘โชจูกุ’ ขนมปังขาวแบบแผ่น และว่าขนมปังประมาณ 104,000 ห่อถูกเรียกคืนในพื้นที่แผ่นดินใหญ่ของประเทศ ตั้งแต่กรุงโตเกียวไปจนถึงภูมิภาคอาโอโมริ ทางตอนเหนือ

“เราต้องขออภัยอย่างสุดซึ้งที่สร้างปัญหาให้กับลูกค้าของเรา” บริษัท ปาสโค ชิคิชิมะ ระบุในแถลงการณ์ พร้อมย้ำว่าโรงงานขนมปังในกรุงโตเกียวระงับการผลิตเป็นการชั่วคราวจนกว่าการสอบสวนจะแล้วเสร็จ

ทั้งนี้ การเรียกคืนอาหารนั้นถือเป็นกรณีที่เกิดขึ้นได้ยากมากในญี่ปุ่น เนื่องจากญี่ปุ่นเป็นประเทศที่มีมาตรฐานด้านสุขอนามัยในระดับสูง

‘ฝูเจี้ยน’ เรือบรรทุกเครื่องบินของ ‘จีน’ ล่องทะเลครั้งแรกสำเร็จ หลังทำการทดลองระบบตัวเครื่อง ปลื้ม!! ผลลัพธ์เป็นไปตามคาด

(8 พ.ค.67) สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า ฝูเจี้ยน (Fujian) เรือบรรทุกเครื่องบินลำที่ 3 ของจีน เดินทางกลับถึงอู่ต่อเรือเซี่ยงไฮ้ เจียงหนาน ตอนราว 15.00 น. ของวันพุธ (8 พ.ค.) หลังจากเสร็จสิ้นการทดลองล่องทะเลครั้งแรก

โดยรายงานระบุว่า เรือบรรทุกเครื่องบินฝูเจี้ยนได้ทดสอบระบบขับเคลื่อนและระบบไฟฟ้า รวมถึงอุปกรณ์อื่น ๆ ระหว่างการทดลองล่องทะเล ระยะ 8 วัน ซึ่งประสบผลลัพธ์ตามการคาดการณ์

ทั้งนี้ นับตั้งแต่เปิดตัวในเดือนมิถุนายน ปี 2022 เรือฝูเจี้ยนได้รับการทดสอบตามข้อกำหนดการเดินเรือทางทะเล โดยเรือลำนี้สามารถบรรทุกน้ำหนักได้กว่า 80,000 ตัน

ด้าน ซ่ง เสี่ยวจวิน (Song Xiaojun) ผู้เชี่ยวชาญด้านกิจการทหารของจีนกล่าวว่า เรือฝูเจี้ยนได้รับการพัฒนานวัตกรรมต่อยอดจากเรือ 2 ลำแรก คือ เรือเหลียวหนิง และ เรือซานตง โดยสามารถเดินเรือได้นานขึ้นและมีระบบปล่อยอากาศยานที่ทันสมัย

โดยเรือฝูเจี้ยนจะร่วมปฏิบัติภารกิจของกองทัพเรือ กองทัพปลดปล่อยประชาชนจีน (PLA) เพื่อพัฒนาขีดความสามารถทางเรือของจีนต่อไป

ซ่ง เสี่ยวจวิน กล่าวอีกด้วยว่า ตอนนี้มีเรือบรรทุกเครื่องบิน 3 ลำ ที่ปฏิบัติการอยู่ โดยเรือ 1 ลำ อยู่ระหว่างการบำรุงรักษา เรืออีกลำอยู่ระหว่างการปฏิบัติภารกิจการฝึก และอีกลำใช้สำหรับการฝึกรบ ทั้ง 3 ลำ จึงมีความสำคัญต่อการปฏิบัติการบนน่านน้ำ

อย่างไรก็ตาม เรือฝูเจี้ยนได้รับการพัฒนาด้วยการรวมเทคโนโลยีขั้นสูง และจะมีการทดสอบเพื่อติดตามผลตามแผนการที่กำหนดไว้ในระยะต่อไป

‘ร้านสะดวกซื้อ’ ในญี่ปุ่น เผชิญปัญหา ‘ขาดแคลนแรงงาน’ ทำกระทบเวลาให้บริการ ไม่สามารถเปิด 24 ชม.ได้แล้ว

เมื่อวานนี้ (7 พ.ค.67) เกียวโด นิวส์ รายงานว่า ร้านสะดวกซื้อในญี่ปุ่นเกือบ 12% ที่ดำเนินงานโดยผู้ประกอบการรายใหญ่ จะไม่เปิดให้บริการ 24 ชั่วโมงอีกต่อไป ด้วยเหตุผลเรื่องการขาดแคลนแรงงาน และ ความต้องการซื้อที่ลดลงในช่วงดึก จากการสำรวจของเกียวโด นิวส์

โดยการสำรวจนี้ จัดขึ้นในเดือนเมษายน และตอบกลับโดยผู้ประกอบการร้านสะดวกซื้อรายใหญ่ 7 ราย ยกเว้นบริษัท Yamazaki Baking Co. โดยพบว่า ร้านสะดวกซื้อประมาณ 6,400 แห่ง จาก 55,00 แห่ง ในประเทศ เปิดทำงานในเวลาที่สั้นลง ระหว่างเดือนกุมภาพันธ์ ถึงเมษายน

ทั้งนี้ ร้านค้าบางแห่ง ได้เร่งเปิดตัวเครื่องบันทึกเงินสดแบบไร้พนักงาน เพื่อรับมือการขาดแคลนแรงงานที่รุนแรงมากขึ้น

ด้าน เซเว่น อิเลฟเว่น เจแปน คอร์ป ผู้นำในอุตสาหกรรมนี้ ได้ลดเวลาทำการของร้านค้าเพิ่มเติม 200 แห่ง นับแต่ปี 2020 ตามคำขอของเจ้าของแฟรนไชส์ ขณะที่บริษัท ลอว์สัน ได้ใช้มาตรการที่คล้ายกันกับร้านค้าอีกประมาณ 100 แห่ง

ในบรรดาร้านสะดวกซื้อชั้นนำ 3 แห่งของญี่ปุ่น ได้แก่ เซเว่น-อิเลฟเว่น , ลอว์สัน และ แฟมิลี่ มาร์ท มีสัดส่วนของร้านค้าที่ทำการสั้นลงค่อนข้างต่ำ อยู่ที่ประมาณ 8-10% เมื่อเทียบกับผู้ประกอบการรายเล็กอื่น ๆ

Seicomart ซึ่งเป็นร้านสะดวกซื้อที่ใหญ่ที่สุดในฮอกไกโด ทางตอนเหนือของญี่ปุ่น มีอัตราการลดเวลาทำงานของร้านค้าสูงสุดที่ร้อยละ 87 ตามมาด้วย Poplar Co. ซึ่งมีสำนักงานใหญ่ในเมืองฮิโรชิมา ทางตะวันตกของญี่ปุ่น ที่ร้อยละ 79

“เรากำลังใช้มาตรการ โดยคำนึงถึงยอดขายและความยั่งยืน” Ministop Co. เปิดเผย ซึ่งได้เปิดให้ร้านค้า 22% เปิดทำการสั้นลง

นับตั้งแต่ เซเว่น อิเลฟเว่น เจแปน เปิดร้านสะดวกซื้อแห่งแรกของประเทศใน โกโต ของโตเกียว ในเดือนพฤษภาคม 2517 ร้านค้าดังกล่าวเปิดให้บริการตลอด 24 ชั่วโมง และแพร่หลายไปมากขึ้น โดยลูกค้าไม่เพียงแวะมาซื้อของ แต่ยังมาใช้บริการทางการเงิน จัดส่งพัสดุ และ อื่น ๆ อีกมาก

อย่างไรก็ตาม ในช่วงเวลาไม่กี่ปีนี้ ตลาดในประเทศเริ่มอิ่มตัว และความกังวลเกี่ยวกับการทำงานที่มากเกินไป ได้ปรากฏขึ้นท่ามกลางวิกฤตแรงงาน ที่ทวีความรุนแรงมากขึ้น โดยข้อพิพาทปี 2019 ระหว่างเจ้าของแฟรนไชส์ ในโอซาก้า และ เซเว่น อิเลฟเว่น เจแปน เกี่ยวกับการดำเนินงานตลอด 24 ชั่วโมงทุกวัน ได้รับความสนใจจากสาธารณชน โดยเน้นย้ำเรื่องความกังวลนี้ 

ผู้กำเนิดชาติจีน คือ ‘เหมา เจ๋อตง’ แต่ผู้สร้างชาติจีน คือ ‘เติ้ง เสี่ยวผิง’ ผู้กำเนิดชาติอินเดีย คือ ‘มหาตมา คานธี’ แต่ผู้สร้างชาติอินเดีย คือ ‘ชวาหะร์ลาล เนห์รู’

(8 พ.ค. 67) ผู้ใช้งานบัญชีเฟซบุ๊ก ‘Thapanasak Thongsuwan’ ได้โพสต์ข้อความระบุว่า…

“ผู้กำเนิดชาติจีน คือ ‘เหมา เจ๋อตง’ แต่ผู้สร้างชาติจีน คือ ‘เติ้ง เสี่ยวผิง’ ผู้กำเนิดชาติอินเดีย คือ ‘มหาตมา คานธี’ แต่ผู้สร้างชาติอินเดีย คือ ‘ชวาหะร์ลาล เนห์รู’

คนศึกษาประวัติศาสตร์รู้ดีถึงบทบาท ที่แตกต่างของรัฐบุรุษในแต่ละชาติ แต่เห็นไหม ‘เติ้ง’ หรือ ‘เนห์รู’ ไม่เคยกล่าวร้ายแก่รัฐบุรุษคนแรกเลย 

แม้แต่ ‘สี จิ้นผิง’ หรือ ‘นเรนทรา โมดี’ ก็ไม่เคยเอาตัวไปเปรียบเทียบกับรัฐบุรุษทั้งสอง วิธีตะวันออกเป็นแบบนี้”

TikTok ยื่นฟ้องรัฐบาลสหรัฐฯ หลังบีบให้ ‘ขาย’ หรือ ‘ถูกแบน’ ลั่น!! เป็นการละเมิดสิทธิ ด้วยคำอ้างความมั่นคงของชาติ

เมื่อวานนี้ (7 พ.ค. 67) ติ๊กต็อก (TikTok) ได้ยื่นฟ้องรัฐบาลสหรัฐฯ ในความพยายามที่จะสกัดกั้นการบังคับใช้กฎหมายที่ได้รับการอนุมัติเมื่อเดือนที่แล้ว ซึ่งพยายามบีบให้ติ๊กต็อกต้องเลือกว่าจะขายกิจการหรือจะถูกแบน โดยเอกสารฟ้องร้องที่ยื่นต่อศาลอุทธรณ์ของสหรัฐฯ ในกรุงวอชิงตัน ดีซี กล่าวหาว่า กฎหมายดังกล่าวซึ่งได้แก่ กฎหมายการปกป้องชาวอเมริกันจากแอปพลิเคชันที่ควบคุมโดยปรปักษ์ต่างชาตินั้น ละเมิดการคุ้มครองเสรีภาพในการพูดตามรัฐธรรมนูญ

เอกสารฟ้องร้องระบุว่า กฎหมายดังกล่าวเป็นการละเมิดบทบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญฉบับที่ 1 (First Amendment) อย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน

ติ๊กต็อกระบุในเอกสารฟ้องร้องว่า “นับเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ที่สภาคองเกรสได้ตรากฎหมายที่มุ่งเป้าแบนแพลตฟอร์มสำหรับการแสดงออกเพียงแพลตฟอร์มเดียวเป็นการถาวร…และห้ามชาวอเมริกันจากการมีส่วนร่วมในชุมชนออนไลน์มีผู้ใช้งานมากกว่า 1 พันล้านคนทั่วโลก”

ติ๊กต็อกโต้แย้งว่า การอ้างถึงข้อกังวลเกี่ยวกับความมั่นคงของชาติไม่ใช้เหตุผลที่เพียงพอในการจำกัดเสรีภาพในการพูด และรัฐบาลกลางมีหน้าที่ที่จะต้องพิสูจน์ว่า การจำกัดเสรีภาพดังกล่าวมีความจำเป็นอย่างไร แต่รัฐบาลก็ไม่สามารถทำได้

ด้านนายจอห์น มูเลนาร์ สส.จากรัฐมิชิแกนและประธานคณะกรรมการสภาผู้แทนฯ ด้านการคัดเลือกที่เกี่ยวกับจีนกล่าวว่า “สภาคองเกรสและฝ่ายบริหารได้สรุปจากข้อมูลที่ได้รับการเปิดเผยต่อสาธารณะและข้อมูลที่เป็นความลับว่า ติ๊กต็อกมีความเสี่ยงอย่างร้ายแรงต่อความมั่นคงของชาติและชาวสหรัฐ โดยข้อมูลระบุว่า ติ๊กต็อกยอมที่จะใช้เวลา เงิน และความพยายามในการต่อสู้ในชั้นศาล มากกว่าการแก้ปัญหาโดยการตัดสัมพันธ์กับพรรคคอมมิวนิสต์จีน ผมมั่นใจว่ากฎหมายของเราจะมีผลบังคับใช้”

ฟากสำนักข่าวซีเอ็นบีซีรายงานว่า การฟ้องร้องในวันอังคารที่ผ่านมา ถือเป็นความคืบหน้าล่าสุดของสถานการณ์ที่รัฐบาลสหรัฐฯ ดำเนินความพยายามมาหลายปีที่จะแบนติ๊กต็อก โดยความพยายามที่จะควบคุมแอปฯ ยอดนิยมนี้ยังคงดำเนินมาอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่ปี 2563 ภายใต้การบริหารประเทศของทั้ง อดีตปธน.โดนัลด์ ทรัมป์ และ ปธน.โจ ไบเดน

ย้อนปูมหลัง 'ความขัดแย้ง-สงครามกลางเมืองพม่า' ที่ยาวนานที่สุดในโลก จากเงื่อนปมที่วางไว้โดย 'อังกฤษ' บ่ม 70 ปี จน 'เมียนมา' ไกลคำว่า 'สันติสุข'

ย้อนหลังไป 400-500 ปีก่อน สหภาพเมียนมาหรืออดีตสหภาพพม่าเป็นอดีตราชอาณาจักรที่มีความยิ่งใหญ่เกรียงไกรด้วยกองทัพที่เข้มแข็ง กระทั่งสามารถเอาชนะไทยเราได้ถึง 2 ครั้ง 2 ครา คือ ปี พ.ศ. 2112 และ ปี พ.ศ. 2310 

โดยครั้งที่ 2 ได้สร้างความเสียหายแก่กรุงศรีอยุธยาแบบยับเยิน จนไทยต้องมาสร้างกรุงธนบุรีเป็นเมืองหลวงใหม่ และย้ายข้ามมาสร้างกรุงเทพมหานครจวบจนถึงทุกวันนี้

ไม่เพียงเท่านี้ ระหว่างทำสงครามจนไทยพ่ายเสียกรุงฯ ครั้งที่ 2 ระหว่าง ปี พ.ศ. 2308-2312 พม่าก็ทำสงครามชายแดนกับจีนด้วย ทั้งยังสามารถเอาชนะจีน ทำให้ราชวงศ์โก้นบอง (ราชวงศ์คองบอง) มีสิทธิในการปกครองพม่าโดยสมบูรณ์ 

หากได้เล่าเรียนวิชาประวัติศาสตร์ชาติไทย ก็จะรู้ว่าเป็น พ.ศ. 2328-2329 หรือต้นยุครัตนโกสินทร์ หลังการสถาปนากรุงเทพมหานครเป็นเมืองหลวงได้เพียง 3 ปี พม่าได้ส่งกองทัพมา 9 กองทัพ 5 สาย (สงครามเก้าทัพ) มารุกรานไทยเราอีกครั้งหนึ่ง แต่ก็ต้องพ่ายแพ้กลับไปและไม่มีสงครามระหว่างกันอีกเลย 

ต่อมาในปลายสมัยของราชวงศ์โก้นบอง ซึ่งอยู่ในยุคการล่าอาณานิคมของมหาอำนาจตะวันตกอย่าง อังกฤษและฝรั่งเศส ซึ่งตอนนั้นอังกฤษสามารถยึดครองอินเดียที่มีพรมแดนติดกับพม่า และสุดท้ายก็นำมาสู่สงครามระหว่างกันของ 'อังกฤษ-พม่า' ถึง 3 ครั้ง 

- สงครามครั้งที่ 1 (พ.ศ. 2367) พม่าต้องยก รัฐอัสสัม, รัฐมณีปุระ, รัฐยะไข่ และตะนาวศรี และต้องจ่ายค่าปฏิกรรมสงคราม 1 ล้านปอนด์สเตอร์ลิงแก่อังกฤษ

- สงครามครั้งที่ 2 (พ.ศ. 2395) อังกฤษยึด เมาะตะมะ, ย่างกุ้ง, พะสิม, แปร, พะโค

- และสงครามครั้งที่ 3 (พ.ศ. 2428) อันเป็นสงครามครั้งสุดท้ายที่ทำให้พม่ากลายเป็นอาณานิคมภายใต้อังกฤษอย่างสมบูรณ์กลายเป็นมณฑลหนึ่งของบริติชอินเดีย

จากนั้น อังกฤษปกครองพม่าในฐานะมณฑลหนึ่งของอินเดียในปี พ.ศ. 2429 โดยมีย่างกุ้งเป็นเมืองหลวง และกลายเป็นเมืองยุคใหม่ของพม่าที่มีการเติบโตทางเศรษฐกิจ และมีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างรัฐบาล โดยราชวงศ์โก้นบองถูกล้มล้าง พระเจ้าธีบออดีตกษัตริย์ถูกเนรเทศไปกักตัวไว้ที่เมืองรัตนบุรี อินเดีย แล้วแยกการเมืองและศาสนาออกจากกัน ซึ่งแต่เดิมพระสงฆ์จะขึ้นอยู่กับการสนับสนุนจากราชวงศ์ และราชวงศ์จะรับรองสถานะทางกฎหมายของพุทธศาสนา

นอกจากนั้นแล้ว อังกฤษยังเข้ามาจัดการระบบศึกษาให้แยกและไม่เกี่ยวข้องกับศาสนา ด้วยการจัดตั้งโรงเรียนที่สอนเป็นภาษาอังกฤษและภาษาพม่า และสนับสนุนให้มิชชันนารีเข้ามาสร้างโรงเรียน โดยในโรงเรียนทั้งสองระบบนี้ไม่สอนเกี่ยวกับพุทธศาสนาและวัฒนธรรมดั้งเดิมของพม่า เพื่อทำลายความเป็นเอกภาพทางวัฒนธรรมของพม่าที่แตกต่างจากอังกฤษ 

จากเหตุการณ์นี้เอง ก็ก่อให้เกิดการต่อต้านทั่วไปในพม่าตอนเหนือไปจนถึงปี พ.ศ. 2433 ซึ่งเป็นปีที่อังกฤษเข้าไปปราบปรามด้วยการเผาทำลายทุกหมู่บ้านที่ต่อต้านอังกฤษ สั่งให้ผู้คนอพยพลงไปยังพม่าตอนใต้ และปลดเจ้าหน้าที่ทุกคนที่สนับสนุนฝ่ายกบฏออก พร้อมทั้งนำกลุ่มคนที่สนับสนุนอังกฤษเข้ามาทำหน้าที่แทน จึงทำให้การต่อต้านอังกฤษยุติลง

ข้ามมาในเรื่องเศรษฐกิจ เนื่องจากในขณะนั้น 'ข้าว' เป็นที่ต้องการของยุโรปอย่างมาก จึงมีการส่งเสริมให้ปลูกข้าวในที่ราบลุ่มแม่น้ำอิรวดี โดยมีการอพยพชาวพม่าจากที่สูงลงมายังที่ลุ่ม เพื่อปลูกข้าว และให้มีการเปลี่ยนแปลงดุลอำนาจของประชากร, บริการสาธารณะ และสาธารณูปโภคขึ้นใหม่ ซึ่งจัดขึ้นเพื่อให้บริการชาวพม่าเชื้อสายอังกฤษและชาวอินเดีย โดยมีอังกฤษเป็นเจ้าของ และชาวพม่าต้องจ่ายเงินจำนวนมากเพื่อใช้บริการเหล่านี้ 

ฉะนั้นเศรษฐกิจของพม่าในช่วงนั้นจึงเติบโตขึ้น แต่เป็นการเติบโตภายใต้อำนาจทั้งหมดที่อยู่ในมือหุ้นส่วนชาวอังกฤษและผู้อพยพจากอินเดีย ซึ่งนั่นก็หมายความว่า การเติบโตทางเศรษฐกิจในสมัยอาณานิคม ส่งผลร้ายต่อพม่า เพราะได้ใช้ทรัพยากรของพม่าไปเฉพาะเพื่อผลประโยชน์ของอังกฤษเท่านั้น 

ด้านความมั่นคง ชาวพม่าถูกห้ามเป็นทหาร โดยทหารส่วนใหญ่จะเป็นชาวอินเดีย, ชาวพม่าเชื้อสายอังกฤษ, ชาวกะเหรี่ยง และชนกลุ่มน้อยอื่น ๆ ในพม่า ทว่าด้วยการใช้อำนาจบังคับกดขี่ข่มเห่งชาวพม่าอย่างมากมายของอังกฤษ จึงทำเกิดขบวนการชาตินิยมพม่าต่อต้านอังกฤษขึ้น มีหลายหมู่บ้านที่ชาวบ้านรวมตัวกันเป็นกองโจรติดอาวุธ จนกลายเป็นหมู่บ้านนอกกฎหมาย

ในปี พ.ศ. 2480 อังกฤษได้แยกมณฑลพม่าออกจากบริติชอินเดีย และตั้งเป็นหน่วยการปกครองที่มีสภาเป็นของตนเอง จนเมื่อเกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 จักรวรรดิญี่ปุ่นได้แผ่ขยายอิทธิพลเข้ามาในพม่า จนมีการก่อตั้งรัฐพม่าใน พ.ศ. 2486 

ทว่า หลังจากญี่ปุ่นแพ้สงคราม อังกฤษก็ได้กลับเข้าไปในพม่า และสถาปนาการปกครองระบอบอาณานิคมอีกครั้งใน พ.ศ. 2488 

หลังจากที่อังกฤษกลับเข้ามาปกครองพม่าอีกครั้ง ได้มีการเจรจาเกี่ยวกับเอกราชของพม่า คือ ความตกลงปางหลวง (Panglong Agreement) เป็นความตกลงระหว่างพม่า, ไทใหญ่, ชีน และกะชีน ผ่านการประชุมปางหลวงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เพื่อจัดตั้งสหภาพพม่าภายหลังได้รับเอกราชจากอังกฤษ 

การประชุมปางหลวงครั้งที่ 1 เมื่อกองทัพสัมพันธมิตรยึดรัฐชาน (สหรัฐไทยเดิม) คืนจากไทยแล้ว ได้มีการประชุมเพื่อตัดสินชะตากรรมของชาติตนเองเรียกว่า การประชุมปางหลวงจัดขึ้นที่เมืองปางหลวงในรัฐชานในวันที่ 20-28 มีนาคม พ.ศ. 2490 การประชุมครั้งนี้พม่านำโดยนายพลออง ซาน (บิดาของอองซานซูจี) ผู้นำในการเรียกร้องเอกราชได้เรียกร้องให้รัฐชานรวมกับพม่าเพื่อเรียกร้องเอกราชจากอังกฤษ 

หลังจากการประชุมครั้งแรก พม่าได้ทำความตกลง 'อองซาน-แอตลี' กับ อังกฤษ เพื่อรวมอาณานิคมของอังกฤษทั้งหมดเข้ากับสหภาพพม่า ฝ่ายรัฐชานจึงจัดการประชุมปางหลวงครั้งที่ 2 ระหว่าง 3-12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2490 เพื่อปฏิเสธการเข้ารวมตัวกับพม่า โดยตัวแทนฝ่ายกะชีนเข้าร่วมประชุมกับฝ่ายไทใหญ่เมื่อ 5 กุมภาพันธ์ และตัวแทนจากรัฐชีนเข้าร่วมเมื่อวันที่ 7 กุมภาพันธ์ และตกลงจัดตั้งสภาสูงสุดแห่งประชาชนชาวเขาเพื่อต่อรองกับฝ่ายพม่า ตัวแทนฝ่ายพม่า นำโดยอองซานพร้อมกับตัวแทนฝ่ายรัฐบาลอังกฤษเข้าร่วมประชุมเมื่อ 10 กุมภาพันธ์ เพื่อเจรจากับตัวแทนสภาสูงสุดแห่งประชาชนชาวเขาจนเป็นที่มาของการลงนามในสนธิสัญญาปางหลวงเมื่อวันที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2490 อย่างไรก็ตาม ความตกลงนี้ไม่บรรลุผลเพราะพม่าไม่ปฏิบัติตาม (อ่านบทความที่เกี่ยวข้อง : WHAT...IF อะไรจะเกิดขึ้น...ถ้าสัญญาปางหลวงสำเร็จ https://thestatestimes.com/post/2022072009)

ทว่า นายพล ออง ซาน และผู้นำในการเรียกร้องเอกราชคนอื่น ๆ ได้แก่ รัฐมนตรี 6 คน และเจ้าหน้าที่รัฐบาล 2 คน ถูกลอบสังหารระหว่างการประชุมสภาก่อนที่พม่าจะได้รับเอกราชจากอังกฤษ 6 เดือน ในวันที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2490 จึงทำให้ความตกลงปางหลวงไม่บรรลุผล เพราะพม่าไม่ยอมปฏิบัติตาม จนกลายเป็นความขัดแย้งระหว่างชาติพันธุ์ในพม่าซึ่งดำเนินมาอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่ปี พ.ศ. 2491 โดยกลุ่มติดอาวุธของแต่ละชาติพันธุ์หลายกลุ่มต่อสู้กับกองทัพพม่า 

แม้จะมีการเจรจาหยุดยิงหลายครั้งและมีการสร้างเขตปกครองตนเองที่เป็นอิสระในปี พ.ศ. 2551 แต่กลุ่มติดอาวุธชาติพันธุ์ต่างก็ยังคงเรียกร้องเอกราช หรือ การรวมเป็นสหพันธรัฐเมียนมาเรื่อยมา

ความขัดแย้งดังกล่าวนี้ ถือเป็นสงครามกลางเมืองที่ดำเนินมายาวนานที่สุดในโลก กินเวลานานกว่าเจ็ดทศวรรษแล้ว และความขัดแย้งก็ยิ่งทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น หลังจากการรัฐประหารยึดอำนาจการปกครองของรัฐบาลของพรรค NLD ที่นำโดยอองซานซูจี จากพลเอกอาวุโสมิน อ่อง หล่าย ผู้นำกองทัพเมียนมา ในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2564 จนมีการตั้งรัฐบาลพลัดถิ่นเพื่อต่อต้านรัฐบาลทหารเมียนมาขึ้นเป็นครั้งแรก เพราะงานนี้ประเทศตะวันตกเปิดหน้าออกตัวสนับสนุนกลุ่มติดอาวุธชาติพันธุ์ต่าง ๆ อย่างเต็มที่มากขึ้น จึงทำให้การสู้รบอย่างหนักในพื้นที่อิทธิพลของชาติพันธุ์ต่าง ๆ จนทุกวันนี้ 

กล่าวโดยสรุปแล้ว ความขัดแย้งจนกลายเป็นสงครามกลางเมืองในเมียนมา เกิดจากการที่อังกฤษไม่ได้ดำเนินการให้รัฐต่าง ๆ ในพม่า (ขณะนั้น) มีเสรีภาพ มีความเป็นรัฐอิสระ และรวมกันเป็นสหพันธรัฐหรือสหรัฐ แต่กลับปล่อยให้มีความคลุมเครือเกิดขึ้น ทั้งหลังจากการการลอบสังหารนายพล ออง ซาน และผู้นำในการเรียกร้องเอกราชคนอื่น ๆ 

อังกฤษควรต้องเลื่อนการให้เอกราชกับพม่าไปก่อนเพื่อให้การดำเนินการตามข้อตกลงมีความชัดเจนหรือมีหลักประกันที่เหมาะสมสำหรับรัฐต่าง ๆ ที่เป็นกลุ่มชาติพันธุ์ รวมไปถึงปัญหาของชาวโรฮิงยา ซึ่งเป็นชาวอินเดียที่ติดตามข้าราชการอังกฤษที่มาทำงานในพม่า

ปัญหาต่าง ๆ เหล่านี้รัฐบาลอังกฤษไม่เคยสนใจหรือใส่ใจเลย ดังนั้นไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตามปัญหาความขัดแย้งกว่า 70 ปีในเมียนมา อังกฤษจึงไม่อาจปฏิเสธความรับผิดชอบได้

Microsoft ลุยสร้าง Generative AI ที่ไม่ต้องเชื่อมโลกอินเทอร์เน็ต ช่วยองค์กรลับสหรัฐฯ วิเคราะห์ข้อมูลลับสุดยอดได้อย่างปลอดภัย

(8 พ.ค. 67) Business Tomorrow เผย Microsoft กำลังสร้างโมเดล Generative AI ที่แยกออกจากโลกอินเทอร์เน็ต ซึ่งเตรียมเข้าไปใช้ในหน่วยข่าวกรองของสหรัฐฯ เพื่อนำเทคโนโลยีอันทรงพลังเข้ามาวิเคราะห์ข้อมูลที่เป็นความลับสุดยอดได้อย่างปลอดภัย

ทั้งนี้ หน่วยงานสายลับทั่วโลกต้องการ AI เชิงสร้างสรรค์ เพื่อช่วยให้พวกเขาเข้าใจและวิเคราะห์ปริมาณข้อมูลลับที่เพิ่มขึ้นทุกวัน แต่ยังคงต้องการข้อมูลโมเดลภาษาขนาดใหญ่ ทำให้เมื่อมีการเชื่อมต่อทางอินเทอร์เน็ตอาจเสี่ยงการถูกแฮ็กหรือข้อมูลที่รั่วไหลออกไปได้

ทั้งนี้ Microsoft ได้ปรับใช้โมเดลที่ใช้ GPT4 และองค์ประกอบสำคัญที่รองรับบนคลาวด์ด้วยการแยกข้อมูลที่สำคัญและการวิเคราะห์ออกจากอินเทอร์เน็ตสำหรับองค์กรลับของสหรัฐฯ โดยเฉพาะ

อย่างไรก็ตาม Microsoft ใช้เวลา 18 เดือนที่ผ่านมาในการพัฒนาระบบ รวมถึงการยกเครื่อง Super Computer AI ที่มีอยู่ในไอโอวาให้กับกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ

'ญี่ปุ่น' สร้างอุปกรณ์ 'รับ-ส่ง' สัญญาณ 6G ได้เป็นครั้งแรกของโลก เร็วกว่า 5G ถึง 20 เท่า กุญแจสำคัญพายานพาหนะไร้คนขับรุดหน้า

(7 พ.ค. 67) TNN Tech รายงานว่า โดโคโมะ (DOCOMO) เอ็นทีที (NTT Corporation) เน็ก (NEC Corporation) และฟูจิสึ (Fujitsu) ร่วมกันพัฒนาอุปกรณ์ที่สามารถรับและส่งข้อมูลในย่านคลื่นความถี่ 6 กิกะเฮิร์ตซ (GHz) ซึ่งเป็นย่านคลื่นความถี่ที่เชื่อว่าจะถูกนำไปใช้งานกับการสื่อสารยุค 6G ได้เป็นครั้งแรกของโลก โดยมีความเร็วในการส่งสัญญาณที่ 100 กิกะบิตต่อวินาที (Gbps) หรือมากกว่า 5G ถึง 20 เท่า

สำหรับการทดลองส่งข้อมูลด้วยอุปกรณ์ 6G ครั้งแรกของโลก ได้เริ่มพัฒนามาตั้งแต่ปี 2021 โดยออกแบบให้รับและส่งสัญญาณที่ย่านความถี่ 6 GHz ซึ่งมีอีกชื่อว่า ซับเทระเฮิร์ตซ (Sub-terahertz) โดยอุปกรณ์ได้ส่งสัญญาณในช่วงความถี่ (Band) 100 - 300 GHz ต่างจาก 5G ที่มี Band ในการส่งสัญญาณที่ 40 GHz โดยสามารถส่งข้อมูลได้ที่ความเร็ว 100 Gbps รองรับระยะการส่งแบบไร้สายที่ 100 เมตร

การพัฒนาในครั้งนี้ เป็นการนำความสามารถในการวิเคราะห์การตั้งค่าสัญญาณไร้สาย (Wireless system configuration) ที่ DOCOMO เชี่ยวชาญ ร่วมกับการพัฒนาตัวอุปกรณ์ให้รองรับการส่งสัญญาณได้จริงโดย NTT 

ในขณะที่ NEC ได้เข้ามาร่วมวิจัยและพัฒนาเสาสัญญาณแบบใหม่แบบเรียงที่เรียกว่า เอพีเอเอ (APAA: Active Phased Array Antenna) ส่วน Fujitsu มีบทบาทสำคัญในการพัฒนาชิปเพื่อขยายกำลังคลื่นในการรับและส่งสัญญาณในครั้งนี้

สำหรับอนาคตของ 6G จากฝั่งญี่ปุ่น จากการทดลองนี้ ยังทำให้ Fujitsu มีชิปที่สามารถขยายกำลังสัญญาณ 6G ได้มีประสิทธิภาพมากที่สุดในโลกในปัจจุบันด้วย ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการพัฒนาระยะการส่งสัญญาณ 6G ให้ไกลยิ่งขึ้นในอนาคต ในขณะเดียวกัน 6G ยังเป็นเทคโนโลยีที่เชื่อว่าเป็นกุญแจสำคัญในการพัฒนาระบบยานพาหนะไร้คนขับ (Autonomous vehicle) อีกด้วย

อย่างไรก็ตาม การพัฒนาระบบโครงข่ายสัญญาณ 6G จะมีความแตกต่างจากการเปลี่ยนผ่านสมัย 4G มายัง 5G เนื่องจากสัญญาณในระดับ Sub-terahertz จะมีกำลังและรูปแบบคลื่นที่ต่างจาก 5G ส่งผลให้ผู้ให้บริการโครงข่าย 6G ในอนาคตจำเป็นต้องลงทุนอุปกรณ์ในระบบใหม่ทั้งหมด ซึ่ง TNN Tech มองว่านี่อาจเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้การพัฒนาโครงข่าย 6G ยังต้องใช้เวลาอีกสักระยะ


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top