Thursday, 19 June 2025
WORLD

‘ม.เทียนจิน’ ลุยพัฒนา ‘ผิวหนังอิเล็กทรอนิกส์’ ใช้กับ ‘มือหุ่นยนต์’ ทนหนาวติดลบ 78 องศา ซ้ำ!! ยังเป็นประโยชน์ต่อภารกิจสำรวจขั้วโลก

เมื่อไม่นานมานี้ สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า คณะนักวิจัยที่นำโดยจางเหลยและหยางจิ้ง จากคณะวิศวกรรมเคมีและเทคโนโลยีของมหาวิทยาลัยเทียนจินของจีน พัฒนาผิวหนังอิเล็กทรอนิกส์ (electronic skin) รูปแบบใหม่สำหรับใช้กับมือหุ่นยนต์ ซึ่งสามารถทำงานได้ในสภาพแวดล้อมเย็นจัดที่มีอุณหภูมิต่ำสุดถึง -78 องศาเซลเซียส โดยนวัตกรรมนี้จะเป็นประโยชน์กับภารกิจการสำรวจขั้วโลกของจีนอย่างมาก

อนึ่ง บทความเกี่ยวกับผิวหนังอิเล็กทรอนิกส์ที่มีความยืดหยุ่นสูง สามารถซ่อมแซมตัวเองได้ และมีความละเอียดอ่อน ได้รับการเผยแพร่ในวารสารเจอร์นัล ออฟ ดิ อเมริกัน เคมิคัล โซไซตี (Journal of the American Chemical Society)

ผิวหนังอิเล็กทรอนิกส์ที่ทนทานอุณหภูมิต่ำเป็นพิเศษ จะทำให้หุ่นยนต์ขั้วโลกรองรับการตอบสนองแบบสัมผัส ซึ่งช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการสำรวจสภาพแวดล้อมขั้วโลก

ทั้งนี้ เมื่อวันพฤหัสบดี (23 พ.ค.) หยางเปิดเผยกับสำนักข่าวซินหัวว่าทีมงานพัฒนาผิวหนังอิเล็กทรอนิกส์ที่มีคุณสมบัติซ่อมแซมตัวเองและใช้ได้ในทุกสภาพอากาศตั้งแต่เมื่อปี 2020 และตอนนี้มีการปรับปรุงในเวอร์ชันใหม่แล้ว

โดยนักวิจัยระบุว่า ผิวหนังอิเล็กทรอนิกส์แบบใหม่สามารถนำไปพันรอบฝ่ามือของหุ่นยนต์ ตรวจจับแรงกดได้อย่างแม่นยำ อีกทั้งจดจำรูปร่างของวัตถุและสัญลักษณ์เฉพาะได้ภายใต้สภาวะที่หนาวเย็นสุดขั้วถึง -78 องศาเซลเซียส

นอกจากนี้ ผิวหนังอิเล็กทรอนิกส์รุ่นใหม่ยังมีฟังก์ชันซ่อมแซมตัวเอง โดยศักยภาพการส่งผ่านของมันสามารถฟื้นฟูกลับมาได้อย่างสมบูรณ์แม้จะได้รับความเสียหายในสภาวะที่เย็นจัด ทำให้สามารถตอบโจทย์ภารกิจการวิจัยทางวิทยาศาสตร์ในขั้วโลก

หยางกล่าวทิ้งท้ายว่าเราหวังว่าผิวหนังอิเล็กทรอนิกส์รุ่นใหม่นี้จะมีโอกาสถูกนำไปใช้ในการวิจัยทางวิทยาศาสตร์ในขั้วโลกและการวิจัยอื่น ๆ ของจีนในวงกว้าง

'จีน' ล้อมคอก!! แบนเนื้อหาโอ้อวดความรวยบนโซเชียล ตอบโต้ความลุ่มหลงผู้คน 'บูชาเงินทอง-สิ่งฟุ่มเฟือย'

เมื่อวานนี้ (26 พ.ค.67) นสพ.The Star ของมาเลเซีย รายงานข่าว ‘Influencers who flaunt wealth see their online accounts suspended’ ระบุว่า ปัจจุบันประเทศจีนกำลังมีนโยบายจัดระเบียบการใช้สื่อสังคมออนไลน์ (Social Media) โดยห้ามเผยแพร่เนื้อหาประเภท ‘อวดร่ำอวดรวย’ ซึ่งหลายคนถูกลบเนื้อหาออกจากระบบ ถูกระงับกรใช้งาน ไปจนถึงถูกลบบัญชีบนแพลตฟอร์ม

อาทิ ผู้ใช้ชื่อว่า ‘หวัง หงฉวน ซิง (Wang Hongquan Xing)’ ถูกระงับการใช้แพลตฟอร์ม Douyin (Tiktok เวอร์ชั่นที่ใช้ในจีน) และ Weibo รวมถึงถูกลบบัญชีใน Xiaohongshu เนื่องจากผู้ใช้ชื่อดังกล่าว ซึ่งมียอดผู้ติดตามถึง 4 ล้านคน มีพฤติกรรมชอบแสดงให้เห็นชีวิตแบบฟุ่มเฟือย มีทั้งกระเป๋าถือของดีไซเนอร์ คอลเลกชั่นเครื่องประดับที่หรูหรา และการปรากฏตัวบ่อยครั้งในกิจกรรมของแบรนด์หรู

ที่ผ่านมา หวัง เคยกล่าวถึงความชอบของตนต่อเสื้อผ้าราคาแพง และการเดินทางต้องไปพร้อมกับเครื่องประดับสุดหรู ครั้งหนึ่งเขาเคยกล่าวไว้ว่า ตนจะไม่ออกจากบ้านเว้นแต่ว่าหาเสื้อผ้าสวมใส่ยกชุดแล้วจะมีราคารวมทั้งชุดอย่างน้อยแปดหลัก ซึ่งเมื่อถามถึงเหตุผล หวัง ระบุว่า วิถีชีวิตฟุ่มเฟือยของตนเกิดจากความรู้สึกไม่มั่นคง นอกจากนี้ หวังยังจุดชนวนความขัดแย้งด้วยการอ้างว่าเป็นเจ้าของบ้านหรู 7 หลังในชุมชนในกรุงปักกิ่ง รวมถึงคฤหาสน์ขนาด 991 ตร.ม. ที่ว่างเปล่าเนื่องจากมีแสงแดดไม่เพียงพอ

ไม่ต่างจากผู้ใช้ชื่อว่า ‘เป่าหยู เจียจี (Baoyu Jiajie)’ อินฟลูเอนเซอร์หญิงซึ่งเป็นที่รู้จักจากการนำเสนอชีวิตในสังคมไฮโซ มีชื่อเสียงจากการอวดคฤหาสน์ขนาด 2,000 ตารางเมตรของเธอ และเดินเล่นสบาย ๆ ผ่านสวนส่วนตัวของเธอ และมีผู้ติดตามบน Douyin มากกว่า 2 ล้านคน ก็กำลังเผชิญกับมาตรการเดียวกัน โดยบัญชี Douyin และ Xiaohongshu ถูกระงับการใช้งาน รวมถึง ‘ป๋อ กงซี (Bo Gongzi)’ ที่มักนำเสนอตนเองท่ามกลางสินค้าฟุ่มเฟือย รวมถึงเสื้อผ้าของดีไซเนอร์ รถยนต์แปลกใหม่ และความชื่นชอบในแบรนด์ Hermes ถูกระงับการใช้งานบัญชี Weibo และ Xiaohongshu

สื่อมาเลเซีย รายงานต่อไปว่า การระงับดังกล่าวเกิดขึ้นหลังจากแพลตฟอร์มสื่อสังคมออนไลน์ของจีนเปิดตัวแคมเปญเพื่อกำหนดเป้าหมายพฤติกรรมที่อวดความมั่งคั่ง โดยเริ่มตั้งแต่เมื่อวันที่ 15 พ.ค. 2567 Weibo เป็นแพลตฟอร์มแรกที่ออกประกาศ โดยระบุว่าจะดำเนินการพิเศษกับเนื้อหาต่าง ๆ เช่น ‘การสนับสนุนความฟุ่มเฟือยและความสูญเปล่า’ และ ‘การแสดงความมั่งคั่งและการบูชาเงินทอง’ จากนั้นในวันเดียวกัน แพลตฟอร์มอื่น ๆ ทั้ง Douyin, Xiaohongshu และแพลตฟอร์มอื่น ๆ ได้เปิดตัวการดำเนินงานที่มุ่งเป้าไปที่เนื้อหาเดียวกัน

“Weibo มุ่งมั่นที่จะสร้างชุมชนที่มีอารยธรรม มีสุขภาพดี และมีความสามัคคี โดยสนับสนุนให้ผู้ใช้สร้างหรือแบ่งปันเนื้อหาคุณภาพสูง น่าเชื่อถือ และเป็นบวกบนแพลตฟอร์ม ตลอดจนส่งเสริมคุณค่าที่มีเหตุผลและดีต่อสุขภาพเกี่ยวกับการบริโภค” ประกาศของ Weibo ระบุ

ก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ 22 พ.ค. 2567 นสพ.Shanghai Daily สื่อท้องถิ่นในเมืองเซี่ยงไฮ้ของจีน ได้รายงานข่าว ‘Influencers silenced as platforms crack down on displays of wealth’ เกี่ยวกับมาตรการแบนเนื้อหาอวดร่ำอวดรวยที่ทุกแพลตฟอร์มสื่อสังคมออนไลน์ในจีนบังคับใช้ ว่า ตั้งแต่ปี 2564 หน่วยงานกำกับดูแลอินเตอร์เน็ตของจีนได้เปิดตัวแคมเปญทั่วประเทศ โดยตั้งเป้าไปที่ ‘การโอ้อวดความมั่งคั่งมากเกินไป’ เป็นประเด็นสำคัญ และมีการปราบปรามแนวโน้มนี้ ซึ่งทางการได้ตอบโต้ความต้องการที่จะประสบความสำเร็จและปล่อยตัวลุ่มหลงโดยง่าย ด้วยการลบโพสต์ที่อวดความมั่งคั่งอย่างไม่เหมาะสมกว่า 60,000 โพสต์ ปิดห้องสตรีมสด 1,174 ห้อง และแบนบัญชี 3,609 บัญชี

ผู้ขับขี่ ‘เทสลา’ หวิดตาย!! หลัง ‘โหมดขับขี่อัตโนมัติ’ ไม่ยอมเบรก พุ่งตรงเข้าหาขบวนรถไฟที่อยู่เบื้องหน้า ก่อนเจ้าตัวบิดหักหลบทัน

(27 พ.ค. 67) ผู้ขับขี่รายหนึ่งซึ่งขับรถ ‘เทสลา’ พุ่งตรงเข้าหาขบวนรถไฟคันหนึ่งที่อยู่เบื้องหน้า ก่อนหักหลบทันหวุดหวิด กล่าวโทษโหมดขับขี่อัตโนมัติเต็มรูปแบบต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ตามรายงานของเอ็นบีซี ซึ่งเขาแชร์หลักฐานพิสูจน์คำกล่าวอ้างนี้บนสื่อสังคมออนไลน์ แม้อีกด้านหนึ่งยอมรับว่าตนเองต้องมีส่วนรับผิดชอบเช่นกัน

โดย เครก โดตี แสดงความสงสัยว่าทำไมระบบช่วยขับขี่ของเทสลาถึงไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองใด ๆ เลยระหว่างที่เกิดเหตุ "มีผมคนเดียวที่อยู่ในรถ รถของผมเพียงคันเดียวที่ประสบอุบัติเหตุ ดังนั้น ใช่แล้ว มันเป็นความผิดของผม มันต้องเป็นแบบนั้น อย่างไรก็ตามผมรู้สึกว่ารถไม่รู้ว่ามีรถไฟอยู่ข้างหน้า"

ซึ่ง โดตี ได้แชร์ภาพติดหน้ารถของเหตุการณ์เฉียดตายครั้งนี้ ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 8 พฤษภาคม บนกระดานสนทนาหนึ่งของเทสลา และเวลานี้คำกล่าวอ้างของเขาได้รับการยืนยันผ่านระบบรายงานอุบัติเหตุอัตโนมัติของเทสลา ซึ่งยืนยันว่ารถยนต์คันดังกล่าวอยู่ในโหมดขับขี่อัตโนมัติเต็มรูปแบบ ระหว่างเกิดเหตุ และไม่ได้ชะลอความเร็วลง นอกจากนี้ รายงานยังระบุว่ามือทั้ง 2 ข้างของ โดตี ยังคงวางอยู่บนพวงมาลัย อันเป็นข้อบังคับปลอดภัยไว้ก่อนสำหรับโหมดขับขี่ดังกล่าว

โดยในวิดีโอพบเห็นรถยนต์กำลังแล่นเข้าหาไม้กั้นรางรถไฟ ท่ามกลางสภาพอากาศที่เป็นหมอกหนา และแม้การเคลื่อนตัวของรถไฟจะสามารถมองเห็นได้ชัด แต่รถยนต์ของเทสลากลับไม่ชะลอความเร็วลง และยังคงแล่นด้วยความเร็ว 95 กิโลเมตรต่อชั่วโมง

ช่วงวินาทีท้าย ๆ โดตี ตัดสินใจเข้าควบคุมรถเอง เหยียบเบรกเต็มแรงและหักเลี้ยวจนรถหลุดออกนอกถนนพุ่งชนเสาอย่างจัง รอดพ้นจากการถูกรถไฟชนอย่างฉิวเฉียด "ผมอยากบอกว่า มันไม่มีทางเลยที่ระบบจะมองไม่เห็นรถไฟ มันไม่มีทางเลยที่ระบบจะมองไม่เห็นไฟกะพริบ ใช่ มันมีหมอก แต่คุณยังสามารถมองเห็นแสงไฟ"

แม้ชื่อเรียกที่ก่อประเด็นถกเถียงจะบ่งชี้ไปในทางอื่น แต่ความเป็นจริงคือโหมดขับขี่อัตโนมัติเต็มรูปแบบของเทสลา และระบบลูกพี่ลูกน้องที่มีความล้ำสมัยน้อยกว่าอย่าง ‘ออโตไพล็อต’ ไม่ใช่ระบบขับขี่อัตโนมัติเต็มรูปแบบ มันเป็นเพียงระบบช่วยขับขี่รูปแบบหนึ่ง ที่คนขับจำเป็นต้องพร้อมเข้าควบคุมพวงมาลัยทันทีที่ได้รับสัญญาณแจ้งเตือน

เรื่องราวนี้เป็นอีกหนึ่งประเด็นปัญหาทางเทคนิคที่กำลังกัดเซาะชื่อเสียงของเทสลาและอีลอน มัสก์ ซีอีโอของบริษัท ที่รับปากซ้ำ ๆ ว่าระบบขับขี่อัตโนมัติเต็มรูปแบบอยู่ไม่ไกลเกินเอื้อม อย่างไรก็ตาม คำกล่าวอ้างนี้มีขึ้นในขณะที่เทสลากำลังเจอปัญหาหนัก ด้วยคณะผู้ควบคุมกฎระเบียบแห่งรัฐแคลิฟอร์เนีย กล่าวหาว่าผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าแห่งนี้กำลังชี้นำสาธารณะในทางที่ผิด

นอกจากนี้ ทางกระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ ก็กำลังสืบสวนเทสลาเช่นกัน ในคำกล่าวอ้างชี้นำแบบผิด ๆ เกี่ยวกับระบบช่วยขับขี่ ขณะเดียวกันที่ผ่านมา ทางสำนักงานความปลอดภัยด้านการจราจรบนทางหลวงแห่งชาติสหรัฐฯ ได้ทำการสืบสวนรอบแล้วรอบเล่าเกี่ยวกับอุบัติเหตุต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับระบบขับขี่อัตโนมัติและระบบออโตไพล็อต

ในเหตุการณ์ล่าสุด ทางโฆษกของสำนักงานความปลอดภัยด้านการจราจรบนทางหลวงแห่งชาติสหรัฐฯ เปิดเผยว่า ทางหน่วยงานได้รับทราบเรื่องเกี่ยวกับอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นแล้ว และอยู่ระหว่างรวบรวมข้อมูลเพิ่มเติมจากบริษัทผู้ผลิต

‘อียู’ ลั่น!! ‘อิสราเอล’ ต้องทำตามคำสั่งศาลโลก พร้อมยุติปฏิบัติการทางทหารในเมืองราฟาห์

(27 พ.ค.67) นายโจเซฟ บอเรลล์ ผู้แทนระดับสูงด้านนโยบายต่างประเทศและความมั่นคงของสหภาพยุโรป (อียู) ออกมายืนยันเมื่อวันที่ 26 พฤษภาคม ว่า อิสราเอลจะต้องปฏิบัติตามคำสั่งของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศหรือศาลโลก และยุติปฏิบัติการทางทหารในเมืองราฟาห์ ซึ่งตั้งอยู่ทางตอนใต้ของฉนวนกาซา

ทั้งนี้ บอเรลล์ ยังตั้งคำถามถึงความเป็นไปได้ที่เจ้าหน้าที่อิสราเอลที่เกี่ยวข้องกับผู้ตั้งถิ่นฐานได้เข้าไปเกี่ยวข้องกับความรุนแรงที่เกิดขึ้นกับชาวปาเลสไตน์ในเขตเวสต์แบงค์ที่ถูกยึดครอง

บอเรลล์ยังยืนยันว่า อิสราเอลได้ผลักดันชาวปาเลสไตน์ให้ไปสู่หายนะ เพราะสถานการณ์ในฉนวนกาซาขณะนี้ถือได้ว่าเกินกว่าที่จะบรรยายได้ ขณะที่เวสแบงค์ซึ่งเป็นดินแดนที่ถูกยึดครองก็เหมือนอยู่ที่ปากเหว และเสี่ยงต่อการเกิดระเบิดได้ทุกเมื่อ

การออกมาให้ความเห็นของผู้ดูแลด้านนโยบายต่างประเทศของอียูมีขึ้นในวันเดียวกับที่นายโมฮัมหมัด มุสตฟา นายกรัฐมนตรีปาเลสไตน์ ได้รับการรับรองสถานภาพของรัฐปาเลสไตน์จากสองประเทศในอียูและนอร์เวย์ บอเรลล์ยังกดดันให้อิสราเอลทำให้แน่ใจว่ารายได้ทางภาษีที่จัดให้เพื่อช่วยเหลือทางการปาเลสสไตล์จะไม่ถูกระงับอีกต่อไป

แม้ว่าขณะนี้ความสนใจส่วนใหญ่ของโลกจะพุ่งไปยังฉนวนกาซา แต่บอเรลล์ระบุว่าเราต้องไม่ลืมสิ่งที่เกิดขึ้นในเวสต์แบงก์ ซึ่งเป็นสถานที่ที่หน่วยงานของทางการปาเลสไตน์ตั้งอยู่เช่นกัน

“ที่นั่นเราเห็นความรุนแรงเพิ่มมากขึ้น มีการโจมตีตามอำเภอใจเพื่อลงโทษโดยผู้ตั้งถิ่นฐานหัวรุนแรง และมีการมุ่งเป้าไปที่ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมที่มุงหน้าไปสู่ฉนวนกาซามากขึ้นเรื่อยๆ และพวกเขาก็ติดอาวุธหนัก คำถามคือใครเป็นคนติดอาวุธให้พวกเขา และใครบ้างที่ขัดขวางไม่ให้มีการป้องกันการโจมตีที่เกิดขึ้น” บอเรลล์กล่าว และว่า ความรุนแรงของผู้ตั้งถิ่นฐานดังกล่าวเกิดขึ้นควบคู่ไปกับการขยายการตั้งถิ่นฐานของชาวอิสราเอลและการยึดครองที่ดินอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน

บอเรลล์ยังตอบโต้ภัยคุกคามของอิสราเอลที่จะโจมตีชาวปาเลสไตน์ทางด้านการเงิน หลังจากเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมารัฐมนตรีคลังอิสราเอลระบุว่า จะหยุดโอนรายได้จากภาษีที่จัดสรรให้กับทางการปาเลสไตน์ ซึ่งอาจคุกคามความสามารถในการจ่ายเงินเดือนให้กับพนักงานหลายพันคน โดยเขาเรียกร้องให้มีการเปิดเผยรายละเอียดของรายได้ที่ถูกระงับซึ่งเขาเห็นว่ามากเกินไป

การออกออกมาแสดงท่าทีดังกล่าวของบอเรลล์มีขึ้นขณะที่นอร์เวย์ได้ส่งมอบเอกสารทางการทูตเพื่อรับรองรัฐปาเลสไตน์อย่างเป็นทางการ ซึ่งเป็นความเคลื่อนไหวเชิงสัญลักษณ์ที่ทำให้อิสราเอลโกรธเคือง

นอร์เวย์ สเปน และไอร์แลนด์ ซึ่งมีความสัมพันธ์ฉันท์มิตรกับทั้งอิสราเอลและปาเลสไตน์ ทั้งยังให้การสนับสนุนปาเลสไตน์มาอย่างยาวนาน ได้ประกาศรับรองรัฐปาเลสไตน์อย่างเป็นทางการซึ่งทำให้อิสราเอลโกรธเคือง แม้ว่ามันจะเป็นเพียงการเคลื่อนไหวเชิงสัญลักษณ์ก็ตาม

ด้านมุสตาฟากล่าวว่า การรับรองนี้มีความหมายมากสำหรับเรา นี่คือสิ่งที่สำคัญที่สุดที่ใคร ๆ ก็ทำได้เพื่อชาวปาเลสไตน์ เพราะมันเป็นเรื่องที่ดีสำหรับเรา

ทั้งนี้ ราว 140 ประเทศหรือมากกว่าสองในสามของชาติสมาชิกสหประชาชาติได้ยอมรับรัฐปาเลสไตน์ แต่ประเทศส่วนใหญ่ในอียูทั้ง 27 ประเทศยังคงไม่ให้การยอมรับ และตั้งเงื่อนไขว่าพวกเขาจะให้การยอมรับต่อเมื่อเข้าเงื่อนไขที่ต้องการเท่านั้น

เบลเยียมซึ่งดำรงตำแหน่งประธานอียูในขณะนี้ระบุว่า ตัวประกันชาวอิสราเอลกลุ่มแรกที่ฮามาสจับไปต้องได้รับการปล่อยตัว และการสู้รบในฉนวนกาซาจะต้องยุติลงขณะที่รัฐบาลอื่น ๆ บางแห่งสนับสนุนข้อริเริ่มใหม่ในการแก้ไขปัญหาแบบสองรัฐ

‘อีลอน มัสก์’ ชี้ ไม่เห็นด้วย กับการขึ้นภาษียานยนต์ไฟฟ้าของจีน เผย!! เทสลาไม่เคยร้องขอให้เก็บภาษีเหล่านี้ ชี้!! เป็นการบิดเบือนการตลาด

(26 พ.ค.67) สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า อีลอน มัสก์ ซีอีโอของเทสลา (Tesla) เผยว่าตัวเขาไม่เห็นด้วยกับประกาศของสหรัฐฯ เกี่ยวกับการขึ้นภาษียานยนต์ไฟฟ้าของจีน โดยระบุว่าทั้งเขาและเทสลาไม่เคยร้องขอให้เก็บภาษีเหล่านี้

มัสก์แสดงความเห็นข้างต้นเมื่อวันพฤหัสบดี (23 พ.ค.) ขณะตอบคำถามผู้เข้าชมผ่านระบบวิดีโอในงานมหกรรมวีวาเทค (VivaTech) การประชุมเทคโนโลยีประจำปีที่มุ่งนำเสนอนวัตกรรมและธุรกิจสตาร์ตอัป จัดขึ้นในกรุงปารีสของฝรั่งเศส

“ที่จริงแล้วผมรู้สึกประหลาดใจด้วยซ้ำหลังมีประกาศภาษีดังกล่าว” มัสก์กล่าวหลังถูกถามเกี่ยวกับการตัดสินใจของคณะบริหารของโจ ไบเดน ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่จะเพิ่มการเก็บภาษียานยนต์ไฟฟ้านำเข้าจากจีนเป็นร้อยละ 100

มัสก์ระบุว่าเทสลามีการแข่งขันที่ค่อนข้างดีในตลาดจีนโดยไม่มีทั้งกำแพงภาษีหรือการอนุโลมผ่อนผันใดๆ พร้อมเสริมว่าตนไม่เห็นด้วยกับการเก็บภาษีนำเข้า เนื่องจากสิ่งที่กีดขวางเสรีภาพในการแลกเปลี่ยนหรือบิดเบือนการตลาดนั้นเป็นสิ่งที่ไม่ดีนัก

อนึ่ง เมื่อวันพฤหัสบดี (23 พ.ค.) เทสลาได้เริ่มก่อสร้างโรงงานขนาดใหญ่แห่งใหม่ในนครเซี่ยงไฮ้ทางตะวันออกของจีน เพื่อผลิตแบตเตอรี่กักเก็บพลังงานเมกะแพ็ก (Megapack) ซึ่งเป็นโครงการที่บริษัทฯ มองว่าเป็น “หมุดหมายสำคัญ”

โรงงานดังกล่าวเป็นโรงงานกักเก็บพลังงานขนาดใหญ่แห่งแรกของเทสลานอกสหรัฐฯ และเป็นโรงงานแห่งที่สองของเทสลาในเซี่ยงไฮ้ หลังมีการเปิดโรงงานเซี่ยงไฮ้กิกะแฟคทอรี ในปี 2019 ด้วยเงินลงทุนแรกเริ่มกว่า 5 หมื่นล้านหยวน (ราว 2.58 แสนล้านบาท)

‘ศาลโลก’ มีคำสั่งให้ ‘อิสราเอล’ ระงับปฏิบัติการโจมตีที่เมือง ‘ราฟาห์’ หลัง ‘แอฟริกาใต้’ ได้ยื่นฟ้องว่า เป็นการกระทำที่มีเจตนา ‘ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์’

(25 พ.ค.67) คณะผู้พิพากษาศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (International Court of Justice - ICJ) หรือที่เรียกกันว่า 'ศาลโลก' มีคำสั่งวานนี้ (24 พ.ค.) ให้อิสราเอลต้องยุติปฏิบัติการโจมตีทางทหารที่เมืองราฟาห์ (Rafah) ทางตอนใต้ของฉนวนกาซาทันที ซึ่งถือเป็นคำตัดสินฉุกเฉินครั้งสำคัญหลังจากที่แอฟริกาใต้ยื่นฟ้องกล่าวหาอิสราเอลว่ามีเจตนาฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ (genocide)

แม้ ICJ จะไม่มีกลไกในการบังคับใช้คำสั่งนี้ ทว่าคดีดังกล่าวก็สะท้อนให้เห็นว่าปฏิบัติการโจมตีกาซากำลังทำให้อิสราเอลถูกโดดเดี่ยวจากนานาชาติมากขึ้นเรื่อย ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่กองทัพยิวเริ่มเคลื่อนพลเข้าสู่ราฟาห์ในเดือนนี้ โดยไม่สนใจแม้แต่เสียงเตือนจากพันธมิตรที่ใกล้ชิดที่สุดอย่างสหรัฐอเมริกา

นาวาฟ ซาลาม ประธานศาล ICJ ระบุในคำตัดสินว่า สถานการณ์ในฉนวนกาซา ‘เลวร้ายลง’ จากที่ศาลได้มีคำสั่งครั้งก่อนให้อิสราเอลต้องดำเนินการแก้ไขวิกฤตมนุษยธรรม และเงื่อนไขต่าง ๆ เข้าเกณฑ์ที่ศาลจะออกคำสั่งฉุกเฉินใหม่

“รัฐอิสราเอลจะต้องระงับทันทีซึ่งปฏิบัติการโจมตีทางทหาร และการกระทำอื่น ๆ ภายในเขตปกครองราฟาห์ที่อาจส่งผลกระทบต่อวิถีชีวิตของชาวปาเลสไตน์ในกาซา จนอาจนำมาซึ่งการทำลายล้างเชิงกายภาพ ไม่ว่าจะบางส่วนหรือทั้งหมด” ซาลาม กล่าว

ประธาน ICJ ยังชี้ด้วยว่า รัฐบาลอิสราเอลไม่เคยให้คำอธิบายที่ชัดเจนว่าจะปกป้องพลเรือนให้ปลอดภัยได้อย่างไรระหว่างการอพยพคนออกจากราฟาห์ รวมถึงการจัดส่งอาหาร น้ำดื่ม ระบบสุขาภิบาล และยารักษาโรคให้แก่ชาวปาเลสไตน์ 800,000 คนที่ได้อพยพหนีกองทัพอิสราเอลไปแล้วก่อนหน้า

ICJ ยังสั่งให้อิสราเอลเปิดด่านพรมแดนราฟาห์ที่เชื่อมอียิปต์กับกาซาเพื่อให้มีการส่งความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมเข้าไปได้ นอกจากนี้ ยังต้องเปิดทางให้คณะผู้ตรวจสอบ และรายงานความคืบหน้าให้ศาลทราบภายใน 1 เดือน

คำสั่งนี้ผ่านความเห็นชอบจากคณะผู้พิพากษา 15 คนด้วยคะแนน 13 ต่อ 2 เสียง โดยผู้ที่คัดค้านมีเพียงผู้พิพากษาจากยูกันดาและอิสราเอลเองเท่านั้น

แอฟริกาใต้ออกมายกย่องคำสั่งศาล ICJ ว่าเป็นการสร้างมาตรฐานใหม่ (groundbreaking) ขณะที่โฆษกทำเนียบขาวระบุว่า สหรัฐฯ มีความชัดเจนในจุดยืนเกี่ยวกับราฟาห์มาโดยตลอด

องค์การบริหารแห่งชาติปาเลสไตน์ (Palestinian Authority) แถลงชื่นชมคำสั่ง ICJ ว่าเป็นการสะท้อนมติของประชาคมโลกว่าสงครามกาซาควรยุติลงได้แล้ว ขณะที่ นาบิล อบู รูไดเนห์ โฆษกของประธานาธิบดี มะห์มูด อับบาส ยังติงว่าคำสั่งนี้ ‘ไม่เพียงพอ’ เพราะไม่ได้เรียกร้องให้มีการหยุดสู้รบในภูมิภาคอื่น ๆ ของกาซาด้วย

ด้าน บาเซม นาอิม เจ้าหน้าที่ระดับสูงของฮามาส ให้สัมภาษณ์ผ่านรอยเตอร์ว่า เราขอให้คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาตินำคำสั่งของ ICJ ไปปฏิบัติให้เกิดผลจริงทันที เพื่อบีบให้พวกศัตรูไซออนิสต์ต้องปฏิบัติตามด้วย

รัฐบาลอิสราเอลออกมาตอบโต้คำสั่งของ ICJ ด้วยท่าทีกราดเกรี้ยว โดย บาซาเลล สโมตริช รัฐมนตรีกระทรวงการคลังหัวขวาจัด ชี้ว่าใครก็ตามที่เรียกร้องให้อิสราเอลยุติสงครามครั้งนี้ ก็เท่ากับบอกให้อิสราเอลยุติการดำรงอยู่ ซึ่งอิสราเอลไม่มีวันยอม

ยาอีร์ ลาพิด ผู้นำฝ่ายค้านอิสราเอล ชี้ว่าคำสั่ง ICJ ถือเป็นการล่มสลายและหายนะทางศีลธรรม เพราะไม่ได้เชื่อมโยงข้อเรียกร้องยุติการสู้รบเข้ากับการปลดปล่อยตัวประกันในกาซา

ICJ ซึ่งมีฐานอยู่ที่กรุงเฮกถือเป็นองค์กรสูงสุดของสหประชาชาติที่ทำหน้าที่ไต่สวนข้อพิพาทระหว่างรัฐ คำพิพากษาของ ICJ ถือเป็นที่สุดและมีผลผูกพันตามกฎหมาย ทว่าที่ผ่านมาเคยถูกเพิกเฉยมาแล้วหลายครั้ง เนื่องจากศาลไม่มีกลไกที่จะบังคับให้เกิดผลตามคำสั่งได้

‘สาวจีน’ ร่างยักษ์ แต่งตัวน่ารัก โมโหร้องลั่นห้าง หลังโดนขัดใจ ชาวเน็ต ชี้!! เห็นบ่อย เพราะที่จีนผู้ชายมีมาก ทำให้ฝ่ายหญิงมีตัวเลือก

(25 พ.ค.67) คลิปที่กำลังแชร์กันสนั่นในไวรัล แพลตฟอร์มของจีน และสื่อจีน เมื่อวานนี้  

มีผู้หญิงในชุดน่ารักในห้างสรรพสินค้า เหมือนเธอถูกขัดใจ เธอโมโหกลิ้งลงไปกองกับพื้น และร้องกรี๊ดดด ดังลั่นห้าง ไม่อายผู้คน 

ชาวเน็ตกำลังตั้งคำถามว่า ผู้ชายคนนั้นที่ไม่สนใจเธอ เป็นผู้ปกครอง หรือแฟน / ถ้าเป็นแฟนชาวเน็ตบอกว่าให้เลิกซะ แต่ถ้าเป็นผู้ปกครอง ให้สั่งสอน / แต่มีชาวเน็ตบางคนบอกว่าเธออาจป่วย 

อีกประเด็นที่ชาวเน็ตแสดงความเห็น ก็คือ 

ปัจจุบัน ผู้ชายจีนมากกว่า ผู้หญิง 30 ล้านคน สาว ๆ มีตัวเลือกเยอะ อาการเอาแต่ใจจึงมีมากขึ้น พบเห็นบ่อยขึ้น 

ช่องโหว่สังคมไทย!! ปล่อยให้ต่างชาติเข้ามาอย่างไม่ถูกต้อง อาจช่วยฟอกขาวให้คนทำผิด กลายเป็นผู้บริสุทธิ์ในที่สุด

ความจริงเรื่องนี้เอย่าได้รับทราบมานานแล้ว เพียงแต่ในอดีตคนที่ทำแบบนี้ส่วนใหญ่คือ 'คนชายขอบ' ที่มีบ้านติดชายแดน และมีจำนวนไม่มากนัก 

แต่หลังจากที่เมียนมาเกิดรัฐประหาร คนพม่าก็หลั่งไหลมาที่ไทย โดยเฉพาะตามชายแดนเป็นจำนวนมาก คนเหล่านี้จะอาศัย 'ชาวชาติพันธุ์' หรือคนพม่าที่มีถิ่นพำนักตามชายแดนของไทยในการหาซื้อที่ดินและบ้าน โดยพวกที่อพยพมาใหม่จะเทครัวลูกหลานมาอยู่ไทยด้วยการข้ามแดนแบบผิดกฎหมาย

จากนั้นจะรอให้ทางการไทยเปิดลงทะเบียนผู้ไร้สถานะ ซึ่งจะได้บัตรชมพูและสามารถอาศัย-พักพิงในไทยได้ ส่วนลูกหลานของคนเหล่านี้ เมื่อได้สถานะก็สามารถส่งเข้าโรงเรียนได้และเมื่อเรียนจบปริญญาตรี ทางการไทยก็มีช่องกฎหมายให้บุคคลเหล่านี้สามารถขอสัญชาติไทยได้

การทำแบบนี้ ทำให้คนกลุ่มดังกล่าวกลายเป็นบุคคลสองสัญชาติไปโดยปริยายและหลายครอบครัวก็มีการซ่องสุมอาวุธและเงินทุนให้กับฝ่ายต่อต้านรัฐบาลทหาร

ยิ่งไปกว่านั้น ในส่วนของที่ดินที่คนเหล่านี้จับจองนั้น ส่วนใหญ่จะใช้คนไทยหรือคนที่มีสัญชาติไทยถือครอง ทำให้ยากต่อการตรวจสอบจากทางภาครัฐ และส่งผลให้ราคาที่ดินที่ตารางวาหลักละไม่กี่พันกี่หมื่น ดีดตัวไปเป็นหลักล้านเมื่อขายให้กับคนกลุ่มนี้

นี่คือ หนี่งในสิ่งที่เกิดขึ้นในประเทศไทยที่ทางภาครัฐของไทยอาจจะเมินเฉยหรือมีส่วนร่วมรู้เห็นในการกระทำแบบนี้ก็มิอาจทราบได้ เฉกเช่นเดียวกันกับเรื่อง Airport VIP Pass ที่จ่ายหลักพันก็ผ่าน ตม. ไทยได้อย่างสบาย โดยไม่ได้สนใจว่าเขาเหล่านั้นจะเข้ามาเป็นผีน้อยในไทยหรือไม่ก็ตาม ซึ่งจนถึง ณ วันนี้ก็ไม่มีคำตอบจากสำนักงานตำรวจตรวจคนเข้าเมือง

เอย่ามองว่าคนไทยต้อนรับชาวต่างชาติทุกคนที่มาอย่างถูกต้อง แต่การที่คนต่างชาติเลือกจะเข้ามาอย่างไม่ถูกต้องหรือซิกแซ็ก นั่นคือสิ่งที่แสดงให้เห็นถึงเจตนาอันไม่บริสุทธิ์ในการที่จะเข้ามาในประเทศไทย  

สุดท้ายก็จะนำไปสู่การฟอกขาวให้คนทำผิดกลายเป็นผู้บริสุทธิ์ในที่สุด

‘คาโบสุ’ สุนัขพันธุ์ชิบะอินุ ที่โด่งดังไปทั่วโลก จากไปด้วยวัย 17 ปี เจ้าของสุดเศร้าใจ!! เตรียมจัดงานอำลาให้ ในวันพรุ่งนี้ที่ ‘เมืองนาริตะ’

(25 พ.ค. 67) เจ้าของเจ้า 'คาโบสุ' (Kabosu) สุนัขพันธุ์ชิบะอินุ เจ้าของมีม 'Doge' สุดโด่งดังไปทั่วโลก ได้ออกมาโพสต์ภาพพร้อมแจ้งข่าวเศร้า 'คาโบจัง' ได้จากโลกนี้ไปแล้ว ด้วยวัย 17 ปี โดยข้อความได้ระบุว่า 

"เราจะจัดงานเลี้ยงอำลาคาโบจังในวันอาทิตย์ที่ 26 พฤษภาคมนี้ จะจัดขึ้นที่ Flower Kaori ใน Kotsu no Mori เมืองนาริตะ ตั้งแต่เวลา 13.00-16.00 น."

หลังจากที่ก่อนหน้านี้เจ้าของได้ออกมาเปิดเผยว่า 'คาโบจัง' กำลังเผชิญกับอาการป่วยด้วยโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวและโรคตับอักเสบ ทำให้น้องมีอาการตัวเหลืองและต้องได้รับยาปฏิชีวนะ อีกทั้งด้วยอายุที่มากถึง 17 ปีแล้ว ทำให้เจ้าของและแฟน ๆ ต่างทำใจไว้ล่วงหน้าว่า ร่างกายเจ้าคาโบจังจะไม่แข็งแรงดังเดิม แต่ก็ต่างภาวนาให้น้องหายป่วยโดยเร็ว จนในเดือน พ.ค. 2567 'คาโบสุ' ก็ได้จากโลกนี้ไปท่ามกลางความโศกเศร้าของเจ้าของและแฟน ๆ ของเจ้าหมาชิบะ 

'คาโบสุ' (Kabosu) สุนัขพันธุ์ชิบะอินุ อาศัยอยู่ที่ประเทศญี่ปุ่น เจ้าของคือคุณอัตซึโกะ ซาโตะ เธอเคยช่วยชีวิตลูกหมาตัวน้อยนี้เอาไว้ และเป็นลูกหมาที่เธอพาไปทำงานด้วยทุกวัน ที่โรงเรียนอนุบาลแห่งหนึ่ง และแล้ววันหนึ่งเจ้าหมาน้อยได้โด่งดังเป็นอย่างมาก เมื่อเจ้าของได้ลงรูปสุดน่ารักของเจ้าคาโบสุในบล็อกส่วนตัวของเธอเมื่อปี 2553 โดยเป็นภาพของน้องหมาชิบะหันหน้าด้านข้างมองกล้องพร้อมรอยยิ้มเล็กน้อย จนกลายเป็นมีม 'Doge' จนเป็นไวรัลจนมาถึงปัจจุบัน

ต่อมามีมเจ้าหมา 'คาโบสุ' นำมาทำเป็นภาพสัญลักษณ์บนเหรียญ 'Dogecoin' ก็ยิ่งทำให้เจ้าหมาคาโบสุกลายเป็นภาพจำของโลกคริปโตด้วย จนถึงขนาดที่ในปี 2564 ภาพต้นฉบับมีม Doge ได้ถูกขายออกไปในฐานะ NFT ราคาสูงถึง 4 ล้านดอลลาร์ แสดงให้เห็นถึงความเป็นที่นิยมและมูลค่าของเจ้าคาโบสุ ที่ต่อจากนี้จะหลงเหลือไว้แต่ตำนานมีม 'Doge' ตลอดไป

‘งานวิจัยใหม่’ ชี้ ‘ธารน้ำแข็งวันสิ้นโลก’ ที่ขั้วโลกใต้ละลายเร็วขึ้น โลกอาจเห็นน้ำทะเลสูงขึ้นระดับ 3 เมตร กระทบผู้คนริมชายฝั่ง

นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย เปิดเผยผลวิจัยตัวใหม่ที่มีการเผยแพร่ไปเมื่อวันจันทร์ (20 พ.ค.67) โดยพบหลักฐานว่า ‘ธารน้ำแข็งทเวตส์’ หรือที่ถูกตั้งฉายาว่า ‘ธารน้ำแข็งวันสิ้นโลก’ (Doomsday Glacier) ที่ขั้วโลกใต้ (Antarctica) กำลังละลายรวดเร็วขึ้น จนอาจทำให้น้ำทะเลสูงขึ้นถึง 2 ฟุต

แน่นอนว่า การละลายของน้ำแข็งขั้วโลกเหนือ แทบไม่มีส่วนโดยตรงแทบไม่มีส่วนโดยตรงกับน้ำทะเล เพราะปริมาณไม่มากนัก …แต่กลับกันที่ขั้วโลกใต้ จะแตกต่างจากขั้วโลกเหนือ เพราะมีชั้นน้ำแข็งที่หนามากทับถมกันอยู่บนพื้นดิน ซึ่งถ้าละลายจนหมด จะทำให้น้ำทะเลสูงขึ้น 

สำหรับ ‘ธารน้ำแข็งวันสิ้นโลก’ เป็นธารน้ำแข็งที่มีความเสี่ยงต่อการละลายมากที่สุดแห่งหนึ่ง เพราะลักษณะที่ลาดเอียงสู่ทะเล ทำให้ถูกน้ำอุ่นกัดเซาะ และละลายได้มากกว่าธารน้ำแข็งอื่น ๆ โดยปัจจุบัน ธารน้ำแข็งทเวตส์นี้ ทำให้ระดับน้ำทะเลทั่วโลกสูงขึ้นแล้วถึง 4% และด้วยปริมาณทั้งหมดของก้อนน้ำแข็งนี้ ก็จะสามารถทำให้น้ำทะเลทั่วโลกสูงขึ้นได้ถึง 60 เซนติเมตรเลยทีเดียว และนั่นหมายความว่า จะกระทบกับชีวิตผู้คนมากกว่า 100 ล้านคนที่อาศัยอยู่ริมชายฝั่งทั่วโลก

แต่ยิ่งไปกว่านั้น ด้วยความที่ธารน้ำแข็งทเวตส์นี้ ยังทำหน้าที่เป็นเหมือนฝายธรรมชาติที่กั้นน้ำแข็งโดยรอบด้วย ซึ่งหากแผ่นน้ำแข็งนี้ละลายไปทั้งหมด ก็อาจทำให้กระแสน้ำอุ่นไหลเข้าไปตรงช่องว่าง และไปกระทบกับธารน้ำแข็งอื่น ๆ และหากธารน้ำแข็งอื่นละลายไปด้วย ก็อาจนำไปสู่การสูงขึ้นของน้ำทะเลที่มากถึง 3 เมตร

ไม่นานมานี้ ทีมนักวิจัย ที่นำโดยนักวิทยาศาสตร์จากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ได้ใช้ข้อมูลเรดาห์จากอวกาศในการเอ็กซเรย์ธารน้ำแข็ง โดยบ่งชี้ว่า “แผ่นน้ำแข็งแอนตาร์กติกนั้น มีความเสี่ยง ต่ออุณหภูมิของน้ำทะเลที่สูงขึ้น มากกว่าที่เราเคยคิดเอาไว้ก่อนหน้านี้เสียอีก” และที่ทีมวิจัยกังวลอีกเรื่องคือ ตอนนี้มีน้ำทะเลที่ดันอยู่ใต้ธารน้ำแข็งเป็นระยะทางหลายกิโลเมตร และเคลื่อนตัวออกตามกระแสน้ำ ตามจังหวะของกระแสน้ำในแต่ละวัน

แล้วจะวิธีไหนบ้าง ที่จะช่วยแก้ปัญหา และปกป้องไม่ให้ธารน้ำแข็งนี้ละลายไปมากกว่านี้ หรือเร็วกว่านี้?

ก่อนหน้านี้ จอห์น มัวร์ นักธรณีวิทยาและนักวิจัยวิศวกรรมธรณีวิทยาที่มหาวิทยาลัยแลปแลนด์ และทีมงาน เสนอแนวคิดในการสร้าง ‘ม่านใต้ทะเล’ เพื่อหวังช่วยในการปกป้องธารน้ำแข็งนี้จากกระแสน้ำอุ่น

แต่ผู้เชี่ยวชาญอีกไม่น้อยกลับไม่เห็นด้วยและมองว่ามีเพียงการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนเท่านั้น ที่จะช่วยชะลอการละลายของน้ำแข็งขั้วโลกได้

‘ปูติน’ ออกกฤษฎีกา ‘ฮุบทรัพย์สินมะกัน’ หากสหรัฐฯ ยึดทรัพย์รัสเซีย ตอบโต้การยึดสินทรัพย์รัสเซียในแบงก์อเมริกันที่ปันไปช่วยเหลือยูเครน

เมื่อวานนี้ (23 พ.ค. 67) สำนักข่าวรอยเตอร์ส รายงานว่า ประธานาธิบดี วลาดิมีร์ ปูติน แห่งรัสเซียลงนามกฤษฎีกา กำหนดให้รัฐบาลเตรียมระบุสินทรัพย์ของสหรัฐฯ ซึ่งรวมถึงพันธบัตรที่อาจถูก 'ยึด' เพื่อนำมาชดเชยความเสียหาย ในกรณีที่รัฐบาลสหรัฐฯ มีคำสั่งอายัดหรือยึดทรัพย์สินของรัสเซียในอเมริกา

โดยเหตุการณ์นี้ เกิดขึ้นจากคณะผู้เจรจาของกลุ่มชาติอุตสาหกรรมชั้นนำ หรือ G7 ได้มีการพูดคุยกันมานานหลายสัปดาห์แล้วว่าจะดึงเอาทรัพย์สินของรัสเซียที่ถูกชาติตะวันตกอายัดไว้หลังเกิดสงครามในยูเครน ซึ่งมีทั้งในรูปสกุลเงินหลักและพันธบัตรรัฐบาลรวมมูลค่าราว 300,000 ล้านดอลลาร์ ออกมาใช้ประโยชน์อย่างไรได้บ้าง

แม้การตอบโต้แบบ 'ตาต่อตา-ฟันต่อฟัน' จะเป็นเรื่องยากสำหรับรัสเซีย เนื่องจากมูลค่าการลงทุนจากต่างชาติที่ลดน้อยลงมาก แต่เจ้าหน้าที่และนักเศรษฐศาสตร์แสดงความกังวลผ่านรอยเตอร์สในเดือนนี้ว่า มอสโกอาจจะหันไปใช้วิธียึดเงินสดของพวกนักลงทุนเอกชนแทน

กฤษฎีกาของ ปูติน ระบุว่า สหพันธรัฐรัสเซียหรือธนาคารกลางรัสเซียสามารถร้องขอให้ศาลรัสเซียพิจารณาได้ว่าทรัพย์สินของรัฐถูกยึด ‘โดยปราศจากความชอบธรรม’ หรือไม่ เพื่อเปิดทางไปสู่การเรียกร้องเงินชดเชย จากนั้นศาลจะมีคำสั่งบังคับชดเชยในรูปสินทรัพย์และทรัพย์สินของสหรัฐฯ ที่มีอยู่ในรัสเซีย ตามบัญชีรายชื่อซึ่งคณะกรรมาธิการว่าด้วยการจำหน่ายสินทรัพย์ต่างชาติได้จัดทำเอาไว้

ในบรรดาทรัพย์สินของสหรัฐฯ ที่อยู่ในข่าย 'ถูกยึด' ได้นั้นรวมถึงตราสารหนี้ หุ้นในบริษัทของรัสเซีย อสังหาริมทรัพย์ สังหาริมทรัพย์ และกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินต่างๆ

ดมิตรี เมดเวเดฟ อดีตผู้นำรัสเซีย ซึ่งปัจจุบันเป็นรองประธานสภาความมั่นคงแห่งชาติ ยอมรับเมื่อเดือนที่แล้วว่า รัสเซียมีทรัพย์สินของรัฐบาลอเมริกันอยู่ในมือไม่มากนัก ดังนั้นมาตรการตอบโต้จึงต้องเป็นไปแบบ 'อสมมาตร' โดยเน้นที่ทรัพย์สินของเอกชนเป็นหลัก

กฤษฎีกาของ ปูติน ระบุเอาไว้ชัดเจนว่า ทรัพย์สินของบุคคลที่อยู่ในการควบคุมของสหรัฐฯ อาจตกเป็นเป้าหมายได้ แต่ก็ไม่ได้ให้นิยามชัดเจนว่า 'ภายใต้การควบคุมของสหรัฐฯ' นั้นจะพิจารณาจากหลักเกณฑ์ใด

ทรัพย์สินของนักลงทุนต่างชาติส่วนใหญ่ ซึ่งรวมถึงบุคคลและกองทุนขนาดใหญ่ของสหรัฐฯ ถูกจัดเอาไว้ในบัญชีพิเศษ ‘Type-C’ ที่รัสเซียประกาศใช้ หลังจากที่ส่งทหารรุกรานยูเครนเมื่อเดือน ก.พ. ปี 2022 จนถูกสหรัฐฯ และบรรดาพันธมิตรตะวันตกคว่ำบาตรอย่างหนัก

เงินสดในบัญชี Type-C นี้จะไม่สามารถถูกยักย้ายถ่ายโอนออกนอกรัสเซียได้ เว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากรัฐบาลมอสโก

สหรัฐฯ เองก็ได้ผ่านกฎหมายอนุญาตให้รัฐบาลประธานาธิบดี โจ ไบเดน สามารถยึดทรัพย์สินรัสเซียที่มีอยู่ในธนาคารอเมริกัน และส่งมันไปช่วยเหลือยูเครน ในความเคลื่อนไหวที่มอสโกประณามว่า 'ผิดกฎหมาย'

'สิงคโปร์แอร์ไลน์ส' ปรับกฎ ‘งดเสิร์ฟอาหาร’ เมื่อมีไฟเตือนคาดเข็มขัด เพิ่มความปลอดภัยขั้นสุด หลังเหตุ SQ321 'ตกหลุมอากาศ'

สิงคโปร์แอร์ไลน์ส (Singapore Airlines) ประกาศนโยบาย ‘งดเสิร์ฟอาหาร’ ระหว่างที่ไฟสัญญาณเตือนคาดเข็มขัดนิรภัยสว่างขึ้น เพื่อเป็นการยกระดับความปลอดภัยแก่ผู้โดยสาร หลังเกิดกรณีเที่ยวบิน SQ321 ตกหลุมอากาศรุนแรงจนมีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บหลายสิบคน

สิงคโปรแอร์ไลน์ส ระบุในคำแถลงวานนี้ (23 พ.ค.) ว่า ลูกเรือทุกคนจะต้องกลับไปยังที่นั่งและคาดเข็มขัดนิรภัยทันทีที่สัญญาณไฟเตือนปรากฏขึ้น และจากเดิมที่จะงดเสิร์ฟเฉพาะ ‘เครื่องดื่มร้อน’ ในช่วงที่เครื่องบินต้องบินผ่านสภาพอากาศแปรปรวน (turbulence) ก็จะเปลี่ยนเป็นการงดเสิร์ฟอาหารและเครื่องดื่มทั้งหมด

สำหรับมาตรการความปลอดภัยอื่น ๆ ในช่วงที่สภาพอากาศแปรปรวนยังคงบังคับใช้ตามปกติ เช่น การที่ลูกเรือต้องตรวจสอบสัมภาระที่อาจร่วงหล่นง่าย เตือนผู้โดยสารให้กลับไปยังที่นั่งและคาดเข็มขัดนิรภัย รวมถึงเฝ้าสังเกตผู้โดยสารที่อาจต้องการความช่วยเหลือ เช่น ผู้ที่กำลังเข้าห้องน้ำ เป็นต้น

โฆษกสายการบินระบุว่า “สิงคโปร์แอร์ไลน์สจะยังคงพิจารณาทบทวนแนวทางปฏิบัติต่าง ๆ ต่อไป เนื่องจากความปลอดภัยของผู้โดยสารและลูกเรือคือสิ่งสำคัญที่สุด”

เมื่อวันที่ 21 พ.ค. เที่ยวบิน SQ321 ซึ่งเดินทางจากกรุงลอนดอนมุ่งหน้าสิงคโปร์เกิดตกหลุมอากาศอย่างรุนแรงบริเวณเหนือที่ราบลุ่มแม่น้ำอิรวดีของพม่า ระหว่างที่พนักงานกำลังเสิร์ฟอาหาร ซึ่งเหตุการณ์ดังกล่าวส่งผลให้ เจฟฟรีย์ คิตเชน (Geoffrey Kitchen) ผู้โดยสารชาวอังกฤษวัย 73 ปี ซึ่งมีประวัติป่วยเป็นโรคหัวใจเสียชีวิต และมีผู้โดยสารบาดเจ็บอีกหลายสิบคน

นักบินตัดสินใจประกาศภาวะฉุกเฉินทางการแพทย์ และนำเครื่องบินโบอิ้ง 777-300ER ที่มีผู้โดยสาร 211 คน และลูกเรือ 18 คน เปลี่ยนเส้นทางมาลงจอดฉุกเฉินที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิในเวลาประมาณ 15.45 น. ตามเวลาท้องถิ่น

เหตุการณ์นี้ถือเป็นอุบัติเหตุทางการบินที่มีผู้เสียชีวิตครั้งแรกของสิงคโปร์แอร์ไลน์ส ตามหลังกรณีเที่ยวบิน SQ006 ที่พยายามเทกออฟจากทางวิ่งซึ่งปิดซ่อมภายในสนามบินนานาชาติเจียงไคเช็ก (ปัจจุบันคือสนามบินเถาหยวน) ของไต้หวันระหว่างที่มีพายุไต้ฝุ่นเข้า และชนเข้ากับอุปกรณ์ก่อสร้างจนมีผู้เสียชีวิตถึง 83 คน เมื่อวันที่ 31 ต.ค. ปี 2000

สิงคโปร์แอร์ไลน์ส อัปเดตข้อมูลผ่านเพจเฟซบุ๊กวานนี้ (23 พ.ค.) ว่ายังมีผู้โดยสาร 46 คน และลูกเรืออีก 2 คนนอนรักษาอาการบาดเจ็บอยู่ที่โรงพยาบาลในกรุงเทพมหานคร

ด้าน นพ.อดินันท์ กิตติรัตนไพบูลย์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลสมิติเวช ศรีนครินทร์ แถลงว่า ขณะนี้ยังมีผู้บาดเจ็บจากเที่ยวบิน SQ321 รักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลรวมทั้งสิ้น 40 คน ในจำนวนนี้มี 22 คนที่พบอาการบาดเจ็บของกระดูกสันหลังและไขสันหลัง และ 6 คนมีอาการบาดเจ็บที่กะโหลกศีรษะและสมอง

สำหรับผู้บาดเจ็บที่ถูกส่งเข้ารักษาที่โรงพยาบาลสมิติเวช ศรีนครินทร์ มีอายุระหว่าง 2-83 ปี และเวลานี้มี 20 คนที่ยังอยู่ในห้องไอซียู ทว่าอาการไม่อยู่ในขั้นอันตรายจนอาจถึงแก่ชีวิต

‘คุณพ่อชาวจีน’ คุกเข่ากลางถนน ขอโทษ ‘ลูกสาว’ หลังไม่มีเงินมากพอ เพื่อซื้อโทรศัพท์ iPhone ให้

เมื่อไม่นานมานี้ ในโลกโซเชียลของจีน ได้แชร์คลิปวิดีโอหนึ่งซึ่งเป็นภาพคุณพ่อชาวจีน กำลังนั่งคุกเข่าก้มศีรษะขอโทษลูกสาววัยรุ่น เนื่องจากเขาไม่มีเงินซื้อสมาร์ตโฟน ยี่ห้อไอโฟนให้ลูกสาว จากเหตุการณ์นี้กลายเป็นประเด็นถกเถียงอันเผ็ดร้อนเกี่ยวกับการดูแลบุตรหลานในสังคมจีนปัจจุบัน

ตามรายงานของเว็บไซต์ Jinyun Video ระบุว่า คลิปนี้ถูกบันทึกไว้ได้โดยผู้สัญจรผ่านไปมารายหนึ่งในเมืองไท่หยวน ทางตอนกลางของมณฑลซานซี เมื่อช่วงต้นเดือนที่ผ่านมา โดยที่เขาบังเอิญพบเห็นพ่อลูกคู่นี้บนถนนพอดี

ผู้เห็นเหตุการณ์นี้รายที่มีชื่อว่า จง เล่าว่าพ่อลูกคู่นี้พูดกันเสียงดังมาก จนกระทั่งเขาได้ยินทุกอย่างอย่างชัดเจน เด็กหญิงตะโกนใส่ผู้เป็นพ่อ บอกว่า "พ่อแม่คนอื่น ๆ สามารถซื้อไอโฟนให้ลูก ๆ แต่ทำไมพ่อถึงไม่มีเงิน"

หลังจากถูกด่าอย่างรุนแรง ผู้เป็นพ่อได้คุกเข่าลงและก้มศีรษะแสดงอาการกล่าวโทษตนเองที่ไม่สามารถหาเงินได้มากพอ กระตุ้นให้ลูกสาวตวาดลั่นว่า "ลูกขึ้น! ลุกขึ้นเร็ว ๆ" ดูเหมือนเด็กหญิงจะอับอายสายตาคนอื่น ๆ ต่อการกระทำของผู้เป็นพ่อ

จง เล่าต่อว่า เขายืนดูอยู่ไม่ไกลนัก เฝ้าดูเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับคนทั้ง 2 เป็นเวลาราว 5 นาที และแสดงความเห็นใจผู้เป็นพ่อ พร้อมกับแสดงความขุ่นเคืองต่อพฤติกรรมลูกสาวของชายรายนี้ "ผมรู้สึกถึงขั้นอยากเดินไปตบหน้าเธอเลยทีเดียว" เขากล่าว

คลิปนี้เป็นที่พูดถึงอย่างกว้างขวางบนสื่อสังคมออนไลน์และทั่วประเทศ มีผู้เข้าชมบนเว่ยปั๋ว 91 ล้านคน และบนแพลตฟอร์มโต่วอินมากกว่า 6 ล้านครั้ง หลายคนประณามพฤติกรรมของลูกสาว แต่บางส่วนวิพากษ์วิจารณ์ผู้เป็นพ่อว่าไร้ความสามารถในการสอนลูกสาวอย่างที่ถูกที่ควร

"ลัทธิบริโภคนิยมนำมาซึ่งผลกระทบทางลบต่อเยาวชน พวกเขาหมกมุ่นอยู่กับความสะดวกสบายทางวัตถุ แต่เพิกเฉยต่อความยากลำบากของพ่อแม่ มันเรื่องน่าเศร้าของสังคม" ผู้ใช้รายหนึ่งเขียน

"ผมรู้สึกเศร้าใจกับทั้ง 2 คน ลูกสาวไร้สาระมากๆ แต่การคุกเข่าของผู้เป็นพ่อก็ไม่เหมาะสม" ความเห็นหนึ่งระบุ "แน่นอนว่า พ่อน่าสงสาร แต่การกระทำของเขาจะยิ่งทำให้ลูกสาวเป็นคนหัวดื้อมากยิ่งขึ้น เขาไม่ได้ชี้ถึงความผิดพลาดของลูก เขาทำหน้าที่พ่อได้แย่มาก ๆ"

‘อิสราเอล’ เดือด!! ออกมาตรการโต้กลับ ประเทศที่หนุนตั้งรัฐปาเลสไตน์ ล่าสุดตอบโต้ทางการทูต ‘สเปน-นอร์เวย์-ไอร์แลนด์’

อิสราเอล ตอบโต้ประเทศที่สนับสนุนการตั้งรัฐปาเลสไตน์ ด้วยการเรียกตัวเอกอัครราชทูตของไอร์แลนด์, นอร์เวย์ และสเปน ประจำอิสราเอล เข้ารับทราบคำตำหนิ ขณะเดียวกัน ได้เรียกตัวเอกอัครราชทูตของอิสราเอล ที่ประจำการในกรุงดับลินของไอร์แลนด์, กรุงออสโลของนอร์เวย์ และกรุงมาดริดของสเปน เดินทางกลับประเทศทันที

(24 พ.ค.67) สำนักข่าวต่างประเทศ รายงานว่า กระทรวงการต่างประเทศอิสราเอล กำลังพิจารณาขั้นตอนทางการทูตเพิ่มเติม เช่น ยกเลิกการเยือนอิสราเอลของเจ้าหน้าที่จากประเทศเหล่านี้ และการเพิกถอนวีซ่า 

ขณะที่ทำเนียบขาวของสหรัฐฯ ระบุว่า ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ของสหรัฐฯ เชื่อว่า เรื่องการจัดตั้งรัฐปาเลสไตน์ควรมีการเจรจาทั้งสองฝ่าย ไม่ใช่การยอมรับฝ่ายเดียว 

สำหรับ รัฐบาลสเปน, นอร์เวย์ และไอร์แลนด์ ประกาศเตรียมรับรองสถานะ ‘รัฐปาเลสไตน์’ อย่างเป็นทางการในวันที่ 28 พฤษภาคมนี้ หลังจากรัฐบาลทั้งสามประเทศเห็นพ้องว่า การรับรองดังกล่าวเป็นวิธีการที่ดีที่สุดในการบรรลุสันติภาพที่ยั่งยืนในตะวันออกกลาง โดยเฉพาะปัญหาอิสราเอล-ปาเลสไตน์ ตาม ‘แนวทางสองรัฐ’ (Two-State Solution) 

เวลานี้มีรัฐสมาชิกของสหประชาชาติ (UN) มากกว่า 140 จาก 193 ประเทศทั่วโลกได้ประกาศรับรองสถานะนี้ให้กับปาเลสไตน์อย่างเป็นทางการแล้ว ซึ่งส่วนใหญ่เป็นประเทศอาหรับและมุสลิมในตะวันออกกลาง ขณะที่ 3 ใน 5 ประเทศสมาชิกถาวรในคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (UNSC) อย่างสหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักร และฝรั่งเศส รวมถึงอีกหลายประเทศในสหภาพยุโรป ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ สิงคโปร์ และออสเตรเลีย ยังไม่ได้ประกาศรับรองสถานะ ‘การเป็นรัฐ’ ให้ปาเลสไตน์ 

‘เม็กซิโก’ เวทีหาเสียงพังถล่ม หลังลมกระโชกแรงเป็นเหตุ สร้างความสูญเสีย 9 ชีวิต - บาดเจ็บอย่างน้อย 50 คน

เมื่อวานนี้ (23 พ.ค.67) กล่าวว่า เกิดอุบัติเหตุเวทีปราศรัยหาเสียงพังถล่มจากอิทธิพลของลมกระโชกแรง ทางตอนเหนือของเม็กซิโก จนเป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บจำนวนมาก

ด้าน ซามูเอล การ์เซีย ผู้ว่าการรัฐนวยโว เลออน ซึ่งเป็นพื้นที่เกิดเหตุ ระบุว่า จนถึงขณะนี้มีผู้เสียชีวิตแล้วเป็นผู้ใหญ่ 8 รายและผู้เยาว์ 1 ราย รวมถึงผู้ได้รับบาดเจ็บอีกอย่างน้อย 50 คน โดยบางรายมีอาการสาหัส

โดยภาพของสื่อท้องถิ่นจากจุดเกิดเหตุในเมืองซาน เปโดร การ์ซา การ์เซีย เผยให้เห็นความโกลาหลของฝูงชนที่พยายามวิ่งหนีออกจากเวทีที่กำลังโค่นล้ม ขณะที่เสาไฟและจอทีวีขนาดยักษ์พังถล่มใส่บริเวณที่ฮอร์เก้ อัลวาเรซ เมย์เนซ ผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีเม็กซิโก และสมาชิกพรรค Citizens' Movement ของเขายืนอยู่

เมย์เนซที่หลบหนีออกมาได้โดยไม่มีอาการบาดเจ็บสาหัส กล่าวว่า เวทีพังทลายลงเนื่องจากมีลมกระโชกแรง

"ผมสบายดีและกำลังให้ปากคำกับเจ้าหน้าที่เกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้น" เมย์เนซ วัย 38 ปีกล่าว พร้อมเสริมว่าสิ่งสำคัญอันดับแรกคือการดูแลผู้ประสบเหตุ

งานที่จัดขึ้นนี้เป็นการชุมนุมหาเสียงสำหรับผู้สมัครชิงตำแหน่งนายกเทศมนตรีของเมืองซาน เปโดร การ์ซา การ์เซีย โดยมีผู้สมัครวุฒิสมาชิกและฝ่ายนิติบัญญัติจากพรรค Citizens' Movement เข้าร่วมด้วย

เมย์เนซซึ่งระงับกิจกรรมหาเสียงทั้งหมดทันที กล่าวว่า เขาจะยังคงอยู่ในที่เกิดเหตุจนกว่าผู้บาดเจ็บคนสุดท้ายถูกนำตัวส่งโรงพยาบาล

ก่อนหน้านี้ กรมอุตุนิยมวิทยาของเม็กซิโกเตือนว่าจะมีฝนตกหนัก, ลมกระโชกแรงถึง 70 กิโลเมตรต่อชั่วโมง และอาจมีพายุทอร์นาโดในนวยโว เลออนและรัฐอื่น ๆ ทางตอนเหนือ

ผู้ว่าการการ์เซียเรียกร้องให้ประชาชนหลีกเลี่ยงการออกไปข้างนอก เนื่องจากพายุอาจสร้างอันตรายถึงชีวิต

ในโพสต์บนโซเชียลมีเดีย ประธานาธิบดีอันเดรส มานูเอล โลเปซ โอบราดอร์ ของเม็กซิโก กล่าวแสดงความเสียใจต่อครอบครัวและเพื่อนของผู้ประสบเหตุที่เสียชีวิตและบาดเจ็บ เช่นเดียวกับผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีอีก 2 คนก็แสดงความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกับผู้ที่ได้รับผลกระทบเช่นกัน

ทั้งนี้ ในวันที่ 2 มิถุนายนนี้ ชาวเม็กซิกันจะออกมาลงคะแนนเสียงเลือกตั้งประธานาธิบดีคนต่อไป รวมทั้งตำแหน่งสมาชิกสภาคองเกรส, ผู้ว่าการรัฐ และเจ้าหน้าที่ท้องถิ่น


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top