Wednesday, 18 June 2025
NEWS FEED

ให้คำปรึกษาผู้สนใจขอรับทุนในปี 2568 เสริมสร้างความรู้ความเข้าใจตามยุทธศาสตร์แผนดีอี เตรียมปั้นโครงการใหม่ ๆ เพิ่มมูลค่าเศรษฐกิจดิจิทัลของไทย และประโยชน์ของสาธารณะ

เมื่อวานนี้ (26 ก.พ. 68) นายเวทางค์ พ่วงทรัพย์ เลขาธิการคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (BDE) เป็นประธานเปิดกิจกรรมคลินิกกองทุน เพื่อเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับกองทุนพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (กองทุนดีอี : DEF) ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 สำนักงานคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ โดยมีผู้สนใจเข้าร่วมงาน จำนวน 100 คน ณ ห้องประชุมวายุภักษ์ 5 ชั้น 5 โรงแรมเซ็นทารา ไลฟ์ ศูนย์ราชการ และคอนเวนชันเซ็นเตอร์ แจ้งวัฒนะ กรุงเทพฯ รวมถึงมีผู้เข้าร่วมผ่านระบบออนไลน์กว่า 100 คน

สำหรับกิจกรรมดังกล่าว มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ความรู้ ความเข้าใจในการใช้จ่ายเกี่ยวกับการพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ซึ่งเป็นไปตามนโยบายและแผนระดับชาติว่าด้วยการพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (แผนดีอี) และแผนยุทธศาสตร์การส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล ซึ่งมีการจัดสรรทุนตามยุทธศาสตร์ 6 ยุทธศาสตร์ ประกอบด้วย ยุทธศาสตร์ที่ 1 พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลประสิทธิภาพสูงให้ครอบคลุมทั่วประเทศ ยุทธศาสตร์ที่ 2 ขับเคลื่อนเศรษฐกิจด้วยเทคโนโลยีดิจิทัล ยุทธศาสตร์ที่ 3 สร้างสังคมคุณภาพด้วยเทคโนโลยีดิจิทัล ยุทธศาสตร์ที่ 4 ปรับเปลี่ยนภาครัฐสู่การเป็นรัฐบาลดิจิทัล ยุทธศาสตร์ที่ 5 พัฒนากำลังคนให้พร้อมเข้าสู่ยุคเศรษฐกิจและสังคมดิจิทัล และยุทธศาสตร์ที่ 6 สร้างความเชื่อมั่นในการใช้เทคโนโลยีดิจิทัล โดยมีเป้าหมายเพื่อเพิ่มมูลค่าของเศรษฐกิจดิจิทัลมีสัดส่วนต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (Digital Contribution to GDP) ในปี พ.ศ. 2570 ไม่น้อยกว่าร้อยละ 30 รวมทั้งมีขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ ใน World Digital Competitiveness Ranking ในปี พ.ศ. 2570 อยู่ใน 30 อันดับแรกของโลก หรืออยู่ใน 3 อันดับแรกของอาเซียน และสถานภาพการเข้าใจดิจิทัล (Digital Literacy: DL) ของประชาชนคนไทย ในปี พ.ศ. 2570 มีคะแนนมากกว่าร้อยละ 80 ปัจจุบันมีการคาดการณ์ว่า Digital Contribution to GDP ของปี 2567 จะอยู่ที่ร้อยละ 23.9 ขีดความสามารถในการแข่งขันทางด้านดิจิทัล หรือ WDCR ประเทศไทยอยู่ในอันดับที่ 37 จาก 193 ประเทศ และสถานภาพการเข้าใจดิจิทัล หรือ digital literacy ของไทยในปี 2566 อยู่ที่ 74.4 คะแนน (ปัจจุบันอยู่ระหว่างการสำรวจสถานภาพการเข้าใจดิจิทัลของปี 2568)

นายเวทางค์ พ่วงทรัพย์ เลขาธิการคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติได้กล่าวว่า การจัดสรรทุนของกองทุนดีอี หรือ DEF เป็นการให้ทุนเพื่อสนับสนุนให้เกิดการวิจัยและพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม อันเป็นประโยชน์ต่อการให้บริการสาธารณะและไม่เป็นการแสวงหากำไร โดยหวังว่าโครงการที่ได้รับการสนับสนุนจะผลักดันให้เกิดการขับเคลื่อนการพัฒนาของประเทศให้เป็นไปตามเป้าหมายของการพัฒนาดิจิทัลตามนโยบายและแผนระดับชาติว่าด้วยการพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ซึ่งปัจจุบันอยู่ในการดำเนินการระยะที่ 3 ที่กำหนดเป้าหมายให้ประเทศไทยก้าวสู่ยุคดิจิทัลไทยแลนด์ที่ขับเคลื่อนและใช้ประโยชน์จากนวัตกรรมดิจิทัลได้อย่างเต็มศักยภาพ โดยบรรยากาศในการจัดกิจกรรมครั้งนี้ เต็มไปด้วยผู้ที่สนใจเข้ารับคำปรึกษาในการเขียนข้อเสนอโครงการเป็นจำนวนมาก โดยมีเจ้าหน้าที่กองบริหารกองทุนพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ให้คำปรึกษาและให้ข้อมูลอย่างใกล้ชิด ซึ่งคาดว่าในปีนี้จะเปิดโอกาสให้โครงการใหม่ ๆ ที่น่าสนใจและได้รับการจัดสรรเงินทุน เพื่อพัฒนาแนวคิดเศรษฐกิจและสังคมดิจิทัลของไทยให้มีศักยภาพเพิ่มมากขึ้น พร้อมเข้าสู่ตลาดโลกในการแข่งขันทางเศรษฐกิจต่อไป ทั้งนี้ ผู้ที่สนใจขอรับทุนสามารถศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ผ่านช่องทาง https://ondeptwebsite.emskynet.com/th/page/item/index/id/9

สำนักงานตำรวจแห่งชาติจัดพิธีใหญ่ สมโภชศาลพระภูมิ และสถานที่สักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (แห่งใหม่) เพื่อเป็นขวัญกําลังใจและเป็นสิริมงคลแก่ข้าราชการตํารวจ

(27 ก.พ.68) เวลา 13.30 น. พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) เป็นประธานพิธีสมโภชศาลพระภูมิ และสถานที่สักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (แห่งใหม่) โดยมี รอง ผบ.ตร. , จเรตำรวจแห่งชาติ , ผู้ช่วย ผบ.ตร. , คุณกนกวรรณ พันธุ์เพ็ชร์ นายกสมาคมแม่บ้านตำรวจ และ คณะ พร้อมด้วยข้าราชการตำรวจ ร่วมพิธี ณ สถานที่สักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (แห่งใหม่) บริเวณลานหอพระนิรันตราย สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยมีพิธีสงฆ์ พิธีพราหมณ์ และพิธีสักการะศาลพระนารายณ์ 

สํานักงานตํารวจแห่งชาติได้ปรับปรุงภูมิทัศน์และสิ่งแวดล้อมบริเวณลานพระบรมราชานุสาวรีย์ พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหามงกุฎ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระสยามเทวมหามกุฏวิทยมหาราช (รัชกาลที่ 4) และทําการอัญเชิญสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ตั้งอยู่ภายในบริเวณของสํานักงานตำรวจแห่งชาติ ที่ข้าราชการตํารวจให้ความเคารพนับถือและศรัทธามาอย่างยาวนาน ได้แก่ ศาลพระชัยมงคล ศาลพระภูมิ ศาลพระวิสุทธิเทพ (ในอนันตะจักรวาฬ ไตรโลกธาตุ) และศาลตายาย มารวมไว้ยังสถานที่สักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (แห่งใหม่) บริเวณลานหอพระนิรันตราย พร้อมทั้งปรับปรุงภูมิทัศน์และสิ่งแวดล้อมโดยรอบ ให้มีความเหมาะสม เรียบร้อย สง่างาม รวมถึงสร้างความสะดวกต่อการเข้าสักการะของข้าราชการตํารวจและประชาชนทั่วไป 

สำหรับรูปแบบของศาลใหม่นั้นมีลักษณะเป็นศาลไม้ ทําจากไม้สัก ตั้งบนแท่นปูน ปั้นบัวถอดพิมพ์ โดยศาลพระชัยมงคล ศาลพระภูมิ และศาลพระวิสุทธิเทพ (ในอนันตะจักรวาฬ ไตรโลกธาตุ) มีลักษณะเป็นเรือนไทยแบบเรือนเครื่องสับ ทรงจตุรมุข แท่นปูนทรงทึบ ให้เป็นเสาต้นเดียวตามคติพราหมณ์ ส่วนศาลตายาย เป็นเรือนไทยเครื่องสับทรงผืนผ้า การประดับลวดลายน้อยกว่าศาลเทวดา ส่วนแท่นรับเป็นสี่เสา พื้นตัวเรือนมีสองระดับ คือ ระดับเรือนภายใน สําหรับตั้งรูปตายาย และระดับระเบียงด้านหน้า สําหรบตั้งรูปบริวาร ลักษณะศาลมีพื้นลดระดับนี้ เรียกว่า "เสือหมอบ" เป็นคติการทําศาลตายาย นอกจากนี้ สำนักงานตำรวจแห่งชาติยังได้ปรับปรุงภูมิทัศน์ศาลพระนารายณ์ ปางประทับยืนเหนือพญาอนันตนาคราช ลักษณะเป็นองค์สีดําประดิษฐานอยู่กลางสระนํ้าที่รายล้อมไปด้วยตนไม้นานาชนิด

ทั้งนี้ พิธีสมโภชศาลพระภูมิ และสถานที่สักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (แห่งใหม่) เป็นพิธีที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ และเป็นพิธีมงคลครั้งสำคัญ เพื่อเป็นขวัญกําลังใจและเป็นสิริมงคลแก่ข้าราชการตํารวจ และประชาชนที่เข้ามาสักการะด้วยความเคารพศรัทธาสืบไป 

กรมสมเด็จพระเทพฯ เสด็จฯ ‘บ้านหมีเนย’ ทอดพระเนตร 'โลกแห่งบัตเตอร์แบร์' เป็นการส่วนพระองค์

(27 ก.พ.68) สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินเป็นการส่วนพระองค์ ไปยังงาน 'Buttery World Presented by 7-11' ซึ่งจัดขึ้นที่ศูนย์การค้าสยามพารากอน  

ในการนี้ ธนวรรณ วงศ์เจริญรัตน์ และ ธนาภา ปางพุฒิพงศ์ ผู้ก่อตั้งร้าน Butterbear รวมถึง ณัฐธยาน์ ปางพุฒิพงศ์ ผู้ก่อตั้งร้าน COFFEE BEANS by Dao ได้เข้าเฝ้าฯ รับเสด็จ  

งานดังกล่าวนำเสนอประสบการณ์สุดพิเศษในธีม 'A Magical Journey to Our Buttery World' โดยมีไฮไลต์เป็น 'บ้านหมีเนย' ที่ตกแต่งอย่างอลังการผ่าน 7 ห้องธีมพิเศษ พร้อมสวนดอกไม้ที่ผสมผสานเทคนิคสุดสร้างสรรค์ สร้างบรรยากาศที่เต็มไปด้วยความอบอุ่นและมหัศจรรย์

‘ชาวสงขลา’ วอนเร่งสร้างสะพาน ช่วยยกระดับการเดินทาง หลังแพขนานยนต์เหลือแค่ 1 ลำ ทำชาวบ้านสัญจรลำบาก

(27 ก.พ. 68) สถานการณ์ที่เกิดขึ้นกับแพขนานยนต์เหลือเพียง 1 ลำ จากเดิมที่มีถึง 5 ลำ ทำให้ชาวสงขลาต้องเผชิญกับวิกฤตที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ การเดินทางที่เคยสะดวกสบายและรวดเร็วกลับกลายเป็นเรื่องยากลำบากที่ทุกคนต้องรับภาระ

หลายคนเริ่มตั้งคำถามว่า "ทำไมไม่สร้างสะพานใหม่?" เมื่อแพขนานยนต์ที่ให้บริการแก่ประชาชนได้ลดจำนวนลงอย่างมาก แต่การเดินทางที่ยังคงต้องพึ่งพาแพขนานยนต์นั้นไม่สามารถตอบโจทย์ความต้องการของประชาชนในพื้นที่ได้อีกต่อไป การขาดแคลนบริการนี้ ไม่เพียงแต่สร้างความลำบากให้กับชาวบ้าน แต่ยังสะท้อนถึงความจำเป็นที่ต้องคิดถึงโครงสร้างพื้นฐานใหม่ที่ยั่งยืนและมีประสิทธิภาพมากกว่าการพึ่งพาแพขนานยนต์ที่ไม่สามารถรองรับการเติบโตของประชากรและการเดินทางที่เพิ่มขึ้นได้

คำถามที่ชาวสงขลาอยากได้คำตอบคือ "อีกนานแค่ไหนเราจะต้องทนกับสถานการณ์นี้?" ชาวบ้านส่วนใหญ่เห็นว่า "สะพาน" เป็นตัวเลือกที่ดีกว่าเพื่ออนาคตที่ยั่งยืน หากต้องรอให้สถานการณ์กลับไปดีขึ้นอีกกี่ปี ความทุกข์ที่พวกเขาต้องเผชิญวันนี้คงไม่สามารถทนไหวอีกต่อไป!

ถึงเวลาแล้วที่ต้องทบทวน และดำเนินการอย่างจริงจังกับโครงการสร้างสะพานที่ทันสมัยและปลอดภัย เพื่อยกระดับการคมนาคมในพื้นที่สงขลา!

สวนนงนุชพัทยา จัดโปรโมชั่นเข้าสวนฟรีทั้งเดือนสำหรับใครที่เกิดเดือนมีนาคม

(27 ก.พ.68) สวนนนงนุชพัทยา โดยนายกัมพล ตันสัจจา ประธานสวนนงนุชพัทยา ได้จัดโปรโมชั่นสำหรับผู้ที่มีวันเกิดเดือน มีนาคม รับบัตรผ่านประตูเข้าชมสวนสวยฟรี ตลอดทั้งเดือนส่วนในเดือนที่ผ่านมามีนักท่องเที่ยวชาวไทยให้ความสนใจที่มาใช้บริการเป็นจำนวนมาก เพียงแสดงบัตรประชาชนแล้วรับสิทธิได้เลยไม่จำกัดจำนวน ระยะเวลาตั้งแต่วันที่ 1 ถึง 31มีนาคม 2568

ส่วนโปรโมชั่นที่ทางสวนนงนุชพัทยาจัดให้อย่างต่อเนื่องสำหรับเด็กที่มีความสูงไม่เกิน140 ซม.(ที่มากับครอบครัว) และผู้พิการเข้าฟรีทุกวัน ผู้สูงอายุ (มีอายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไป)เข้าชมสวนฟรีทุกวันศุกร์ ท่านที่สนใจชมการแสดงนงนุชโชว์ และการแสดงของน้องช้างแสนรู้ มีการแสดงวันละ 4 รอบ ณ โรงละครสกาลานงนุชพัทยา 

สวนนงนุชพัทยาเป็นสถานที่ ที่มีความพิเศษในการท่องเที่ยวแบบครอบครัว ผู้สูงอายุจะได้รับความสะดวกสบายในสิ่งอำนวยความสะดวก เช่น ทางลาด,รถชมสวน,ลิฟต์ในสวนลอยฟ้า,ห้องน้ำสำหรับวิวแชร์ และชมสวนที่ติดหนึ่งในสิบสวนที่สวยที่สุดในโลกมากกว่า 60 สวน ในส่วนของเด็กจะได้ชมความยิ่งใหญ่ของไดโนเสาร์ ขนาดเท่าตัวจริงมากกว่า 1,700 ตัว โดยเปิดบริการทุกวัน ตั้งแต่ 08.00 น.- 18.00น.สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.nongnoochpattaya.com

‘หมอเหรียญทอง’ ยกเคส ‘ผู้ป่วย’ ปลื้มใช้บัตรทองแพลตตินั่ม ชูความคุ้มค่าในราคา รพ.รัฐบาล แต่ได้มาตรฐานเอกชน

(27 ก.พ. 68) พลตรี นายแพทย์ เหรียญทอง แน่นหนา ได้โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัว โดยได้ระบุถึงผู้ใช้ชื่อเฟซบุ๊กชื่อว่า 'หมอปันปัน ค่ะ' ซึ่ง เป็นอายุรแพทย์สาขาโลหิตวิทยา รพ.มงกุฎวัฒนะ เป็นแพทย์เฉพาะทางเกี่ยวกับโรคมะเร็งเม็ดเลือด โรคมะเร็งต่อมน้ำเหลือง และโรคเลือดต่างๆ ได้โพสต์ในช่องแสดงความเห็นเกี่ยวกับโครงการ 'บัตรทองแพลตตินั่ม' เมื่อคืนวันพุธที่ 26 ก.พ.68 เวลา 21.38 น.ว่า

"คนไข้แฮปปี้มากค่ะ รวมค่าบริการและค่ายา 3 เดือน 550 บาท คนไข้ฝากขอบคุณพี่ด้วยค่ะ ที่มีโครงการช่วยเหลือผู้ป่วย"

นี่คืออีกกรณีหนึ่งที่ผู้ป่วยบัตรทองแพลตตินั่ม รพ.มงกุฎวัฒนะ พึ่งตนเอง จ่ายเงินเอง ราคา รพ.รัฐ ไม่ต้องขอใบส่งตัวจากคลินิก ไม่ต้องเดินทางไป รพ.ที่รับการส่งต่อใหม่ตามที่ สปสช. จัดให้ด้วยความยากลำบาก 

ทั้ง รพ.ที่รับการส่งต่อใหม่ ยังอาจจะขาดแคลนแพทย์เฉพาะทาง เช่น อายุรแพทย์สาขาโลหิตวิทยาที่หายาก ดังเช่นคุณ 'หมอปันปัน ค่ะ' อีกด้วย

คิดง่ายๆ นะครับ ผู้ป่วยบัตรทองแพลตตินั่มของคุณ 'หมอปันปัน ค่ะ' น่าจะมีบ้านอยู่ทางกรุงเทพฯเหนือ อาจจะหลักสี่-ดอนเมือง-บางเขน-จตุจักร ก็แล้วแต่ 

เมื่อมารักษาด้วยโครงการบัตรทองแพลตตินั่มด้วยการจ่ายเงินค่าบริการและค่ายา 3 เดือน 550 บาท ก็ยังถูกกว่าค่ารถแท๊กซี่เดินทางไป-กลับ รพ.ที่รับส่งต่อใหม่ที่อยู่ห่างไกล การจราจรติดขัด เสียค่ารถไป-กลับ น่าจะเกือบ 1,000 บาทแล้ว ยังไม่รวมเสียเวลาจากการจราจรติดขัดอีก

มิหนำซ้ำผู้ป่วยบัตรทองยังจะต้องไปที่คลินิกปฐมภูมิล่วงหน้าหลายวันเพื่อทำเรื่องขอใบส่งตัวก่อน หลังจากนั้นอีกหลายวันเมื่อคลินิกอนุมัติใบส่งตัวแล้ว ผู้ป่วยก็ต้องเดินทางไปคลินิกอีกครั้งเพื่อรับใบส่งตัว 

แต่ละครั้งที่ไปคลินิก ผู้ป่วยก็ต้องไปรอคอย มีผู้ป่วยบัตรทองรายหนึ่งบอกผมโดยตรงว่า "เหมือนขอทานเลยค่ะ แค่ไปขอแค่ใบส่งตัวเท่านั้น ยังต้องมีขั้นตอนให้ยุ่งยากลำบากเพื่อจะได้ไม่อยากขอใบส่งตัว"

เมื่อได้ใบส่งตัวแล้ว ผู้ป่วยบัตรทองจึงจะเดินทางไป รพ.ที่รับส่งต่อใหม่ตามที่ สปสช. จัดให้ที่ห่างไกล ต้องเสียค่ารถไป-กลับ น่าจะเกือบ 1,000 บาทอีก 

ยังไม่นับรวมกับปัญหาการเริ่มต้นตรวจรักษากับแพทย์เฉพาะทางขั้นสูงในระดับอายุรศาสตร์สาขาโลหิตวิทยา 

หาก รพ.รับส่งต่อใหม่ ไม่มีแพทย์เฉพาะทางสาขานี้ ก็จะต้องส่งต่อไปยังคณะแพทยศาสตร์ ซึ่ง รพ.รับส่งต่อใหม่ จะส่งต่อผู้ป่วยเองไม่ได้นะครับต้องมีหนังสือแจ้งคลินิกให้ผู้ป่วยนำกลับไปคลินิกเพื่อขอใบส่งตัวไปยังคณะแพทยศาสตร์เสียก่อน ผู้ป่วยบัตรทองจึงจะไปคณะแพทยศาสตร์ได้ 

ทุกขั้นตอนผู้ป่วยต้องเสียเวลาประสบปัญหาความแออัด ทั้งการจะใช้บริการแต่ละครั้งก็ต้องวนเวียน กลับไป-กลับมา ผู้ป่วยเสียโอกาสมากสุดๆ ขาดความต่อเนื่องในการรักษา เสียทั้งโอกาส เสียทั้งเวลา เสียทั้งค่าใช้จ่ายไปๆ มาๆ ที่สำคัญสุ่มเสี่ยงต่อการเสียสุขภาพและชีวิตจากการขาดความต่อเนื่องในการรักษา...เพียงแค่ต้องการรักษาฟรี ไม่ต้องจ่ายเงินให้ รพ.เท่านั้น ขอพูดตรงๆ ว่า คิดอย่างไรก็ไม่คุ้มค่าเลยนะครับ

ตามที่คุณ 'หมอปันปัน ค่ะ' โพสต์ในช่องแสดงความเห็นเมื่อคืนนี้ว่า "คนไข้แฮปปี้มากค่ะ รวมค่าบริการและค่ายา 3 เดือน 550 บาท คนไข้ฝากขอบคุณพี่ด้วยค่ะ ที่มีโครงการช่วยเหลือผู้ป่วย"

คุณพี่ที่คนไข้ฝากขอบคุณนั้นจะเป็นใครก็แล้วแต่ได้ฝากผมให้บอกคุณ 'หมอปันปัน ค่ะ' ว่า "คุณพี่คนนั้นขอฝากบอกผู้ป่วยบัตรทองแพลตตินั่มว่าขอขอบคุณมากครับ"

หมายเหตุ 

มีผู้ป่วยบัตรทองแพลตตินั่มรายหนึ่งแจ้งผมว่า แม้แต่คลินิกปฐมภูมิ และสายด่วน สปสช 1330 ก็ยังเชียร์โครงการ 'บัตรทองแพลตตินั่ม' เลย โดยแอบแนะนำให้มาสมัครเป็นสมาชิกบัตรทองแพลตตินั่มแล้วจะได้ไม่ต้องขอใบส่งตัวจากคลินิก ไม่ต้องเดินทางไกลไป รพ.ใหม่ ตามที่ สปสช จัดให้

ขนาดคลินิกปฐมภูมิที่ รพ.ยกเลิกการเป็นแม่ข่ายแท้ๆ ยังเชียร์โครงการบัตรทองแพลตตินั่ม ที่สำคัญ สายด่วน สปสช 1330 ก็ยังแอบเชียร์อีกด้วย

ถ้าโครงการบัตรทองแพลตตินั่ม ไม่ดีจริง ไม่เจ๋งจริง เชิญไปด่า 'ไอ้เฮี่ยตาแป๊ะหลักสี่ ไอ้ตี๋หัวลำโพง' อดีตเสนาธิการฝ่ายยุทธการ กรมแพทย์ทหารบก จอมเผด็จการล้างระบบส่งต่อผู้ป่วยนอก OP refer เฮงซวย ได้ที่ รพ.มงกุฎวัฒนะกันเลยนะครับ

เผยภาพ ‘สมเด็จพระมหาวชิรมังคลาจารย์’ เจ้าคณะใหญ่หนใต้ พระผู้ปฏิบัติชอบ ขณะนั่งรอรถไฟเข้า กทม. ปฏิบัติศาสนกิจ

เผยภาพ สมเด็จพระมหาวชิรมังคลาจารย์ เจ้าคณะใหญ่หนใต้ วัดกะพังสุรินทร์ พระอารามหลวง จ.ตรัง นั่งรอรถไฟที่สถานีพัทลุง เพื่อเดินทางเข้าปฏิบัติศาสนกิจที่วัดสามพระยา กทม. ท่ามกลางความคิดเห็นที่ว่าเป็นแบบอย่างให้กับพระสงฆ์ได้เห็นวัตรปฏิบัติที่เรียบง่าย สมถะ... 

เมื่อวันที่ (26 ก.พ. 68) เฟซบุ๊ก ที่ใช้ชื่อว่า มหาศักดิ์ ป่าวัดใหม่ ได้โพสต์รูป สมเด็จพระมหาวชิรมังคลาจารย์  เจ้าคณะใหญ่หนใต้ วัดกะพังสุรินทร์ พระอารามหลวง จ.ตรัง ขณะกำลังนั่งรอรถไฟที่สถานีพัทลุง เพื่อเดินทางเข้าปฏิบัติศาสนกิจที่กรุงเทพฯ 

พร้อมข้อความ ระบุว่า พระผู้เป็นดั่งร่มโพธิ์ใหญ่ร่มไทรกว้างแห่งดินแดนด้ามขวานทอง สมถะ เรียบง่าย เข้าถึงง่าย กราบได้สนิทใจ เจ้าประคุณสมเด็จพระมหาวชิรมังคลาจารย์ เจ้าคณะใหญ่หนใต้ วัดกะพังสุรินทร์ พระอารามหลวง จ.ตรัง ขณะนั่งรอรถไฟ ข.32 สถานีรถไฟพัทลุง เดินทางเข้า กทม. เพื่อปฏิบัติศาสนกิจ งานอบรมสอบความรู้พระอุปัชฌาย์รุ่นที่ 58 ณ วัดสามพระยา กทม.

โดยหลังจากมีการเผยแพร่ภาพดังกล่าวออกไป ก็ได้มีการแชร์ภาพต่อกันไปเป็นจำนวนมาก เพื่อเป็นแบบอย่างให้กับพระสงฆ์ได้เห็นวัตรปฏิบัติที่เรียบง่าย สมถะ ของสมเด็จพระมหาวชิรมังคลาจารย์

เปิดประวัติ 'พระชินวงศวชิรเวที' วัดราชบพิธฯ พระราชาคณะชั้นสามัญที่อายุน้อย จบฮาร์วาร์ด-เปรียญ 7

เมื่อวันที่ (26 ก.พ.68) เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษาได้เผยแพร่ประกาศที่สำคัญ พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระบรมราชโองการโปรดพระราชทานสัญญาบัตรตั้งสมณศักดิ์ 'พระครูสุตตาภิรม เตชินท์' จากวัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม ราชวรวิหาร พระอารามหลวง กรุงเทพมหานคร เป็น พระราชาคณะชั้นสามัญ มีนามว่า 'พระชินวงศวชิรเวที'

ล่าสุด, เพจเฟซบุ๊ก 'ข่าวสารงานพระพุทธศาสนา' ได้เผยแพร่บทความเกี่ยวกับพระชินวงศวชิรเวทีในฐานะพระราชาคณะชั้นสามัญที่มีพรรษาน้อยที่สุดในสังฆมลฑล โดยพระชินวงศวชิรเวที (นามเดิม เตชินท์ จุลเทศ) เกิดเมื่อวันอาทิตย์ที่ 3 มิถุนายน พ.ศ.2533 เป็นบุตรของนายเลอศักดิ์ จุลเทศ อดีตผู้อำนวยการธนาคารออมสิน และนางศิริพร จุลเทศ นับเป็นพระสงฆ์ที่อายุน้อยที่สุดในกลุ่มพระราชาคณะชั้นสามัญ โดยมีอายุเพียง 34 ปี และพรรษาเพียง 7 พรรษา

พระชินวงศวชิรเวทีมีการศึกษาที่โดดเด่น ตั้งแต่สมัยเยาว์วัย สำเร็จการศึกษาชั้นประถมศึกษาและมัธยมศึกษาตอนต้น จากโรงเรียนสาธิตแห่งมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ สำเร็จการศึกษาชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายจากโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา รุ่นที่ 68 ขณะศึกษาชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย มีความสนใจด้านคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์ ได้เป็นผู้แทนประเทศไทยไปแข่งขันเคมีโอลิมปิกระหว่างประเทศ ประจำปี พ.ศ.2550 ณ สหพันธรัฐรัสเซีย และประจำปี พ.ศ.2551 ณ ประเทศฮังการี ได้รับรางวัลเหรียญเงิน

จนกระทั่งสำเร็จการศึกษาระดับอุดมศึกษาที่มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด สหรัฐอเมริกา โดยเขาได้รับปริญญาตรี (A.B.) สาขาเศรษฐศาสตร์และสถิติ และปริญญาโท (S.M.) สาขาคณิตศาสตร์ประยุกต์และเศรษฐศาสตร์ในปี พ.ศ. 2556 หลังจากนั้นได้ทำงานในภาคเอกชนระหว่างปี พ.ศ. 2556-2560 ก่อนที่เขาจะตัดสินใจอุปสมบทเมื่ออายุ 27 ปี

ในด้านการศึกษาพระปริยัติธรรม, พระชินวงศวชิรเวทีสอบได้เปรียญธรรม 7 ประโยคในปี 2567 และได้รับพระอนุญาตให้แสดงพระปาฏิโมกข์ตั้งแต่ปี 2562

พระชินวงศวชิรเวทีดำรงตำแหน่งสำคัญในหลายสถาบัน รวมถึง รองอธิการบดีด้านแผนพัฒนาและพันธกิจสากล ที่มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย และยังได้รับมอบหมายให้ทำงานเกี่ยวกับการต่างประเทศในโอกาสต่าง ๆ รวมถึงบทบาทสำคัญในสำนักงานเลขานุการสมเด็จพระสังฆราช

พระชินวงศวชิรเวทีได้รับการโปรดเกล้าฯ ให้เป็นพระครูฐานานุกรมชั้นเอก เมื่อวันที่ 22 มกราคม 2568 และในวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2568 ได้รับพระราชทานสมณศักดิ์เป็น พระราชาคณะชั้นสามัญ ตามพระบรมราชโองการ

กระทรวงพาณิชย์ จัดงานแสดงและจำหน่ายสินค้า “อีสาน ไอคอน อัตลักษณ์วิถี สู่ของดีลุ่มน้ำโขง” หนุนเศรษฐกิจฐานรากของไทย เติบโตได้อย่างยั่งยืน

(27 ก.พ. 68) กระทรวงพาณิชย์ โดย สำนักงานพาณิชย์จังหวัดกาฬสินธุ์ จัดงานแสดงและจำหน่ายสินค้า “อีสาน ไอคอน อัตลักษณ์วิถี สู่ของดีลุ่มน้ำโขง” ส่งเสริมการขยายตัวของเศรษฐกิจฐานราก ภายใต้ “โครงการยกระดับความร่วมมือทางการค้าภาคอีสาน สู่ศูนย์กลางเศรษฐกิจลุ่มแม่น้ำโขง” ชูของดี 20 จังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือ กระจายรายได้สู่ชุมชน พร้อมพัฒนาศักยภาพผู้ประกอบการ ต่อยอดสินค้าสู่การส่งออก หนุนเศรษฐกิจการค้าไทยเข้มแข็ง เป็นธรรม เติบโต อย่างยั่งยืน ระหว่างวันที่ 26 กุมภาพันธ์ - 2 มีนาคม 2568 ณ ศูนย์การค้าเจเจมอลล์ กรุงเทพฯ

ร้อยตรี จักรา ยอดมณี รองปลัดกระทรวงพาณิชย์  เปิดเผยว่ากระทรวงพาณิชย์มีนโยบายในการสร้างความเข้มแข็งให้กับเศรษฐกิจฐานราก ส่งเสริมตลาดทั้งในประเทศและต่างประเทศ สร้างรายได้เพิ่มให้แก่ชุมชนและผู้ประกอบการ SMEs และได้ดำเนินมาตรการต่างๆ ภายใต้นโยบายของท่านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ (นายพิชัย นริพทะพันธุ์) ลดรายจ่าย เพิ่มรายได้ ขยายโอกาสทางการค้า โดยมีแนวทางการพัฒนาส่งเสริมช่องทางการตลาดที่หลากหลายให้แก่ สินค้าเกษตรและผลิตภัณฑ์ รวมทั้งสร้างมูลค่าเพิ่ม โดยใช้หลักการตลาดนำ นวัตกรรมเสริม เพิ่มรายได้ ผลักดันการใช้ Soft Power และอัตลักษณ์ของไทย ในการเพิ่มมูลค่าสินค้า พัฒนาคุณภาพสินค้าและผลิตภัณฑ์ให้ได้มาตรฐานตรงตามความต้องการของตลาด 

ดังนั้น เพื่อสนับสนุนการขับเคลื่อนเศรษฐกิจประเทศมั่งคั่งยั่งยืน สอดรับกับแผนพัฒนายุทธศาสตร์ชาติ กระทรวงพาณิชย์ โดยสำนักงานพาณิชย์จังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ซึ่งเป็นหน่วยงานขับเคลื่อนในระดับภูมิภาค จึงได้จัดทำ "โครงการยกระดับความร่วมมือทางการค้าภาคอีสานสู่ศูนย์กลางเศรษฐกิจลุ่มแม่น้ำโขง ปีงบประมาณ พ.ศ. 2568" เพื่อเสริมสร้างเศรษฐกิจฐานราก ภาคตะวันออกเฉียงเหนือให้มีความเข้มแข็ง ผ่านการพัฒนาองค์ความรู้ ส่งเสริมการตลาดสินค้าภาคอีสาน ส่งเสริมการค้าชายแดน และเชื่อมโยงสินค้าเกษตรสมัยใหม่ของภาคตะวันออกเฉียงเหนือสู่ตลาดทั้งในประเทศและต่างประเทศ 

การจัดงานในครั้งนี้มีทั้งผู้ประกอบการ เกษตรกร วิสาหกิจชุมชน ผู้ผลิตสินค้าชุมชน/OTOP ผู้ประกอบการ SME ของ 20 จังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จำนวน 40 ราย และกิจกรรมส่งเสริมการจำหน่าย อาทิ คูปองเงินสดใช้เป็นส่วนลดในการซื้อสินค้า กิจกรรมกรรมนาทีทองซื้อสินค้าในราคาพิเศษ และกิจกรรมสุ่มลุ้นรับโชค วันละ 10,000 บาท  ตลอดจนการเจรจาจับคู่ธุรกิจ (Business Matching) กับผู้ประกอบการทั้งในประเทศและต่างประเทศ คาดการณ์มูลค่าการค้ากว่า 50 ล้านบาท ซึ่งจะสามารถหนุนเศรษฐกิจฐานรากของไทย เติบโตได้อย่างยั่งยืน

จึงขอเชิญผู้ที่สนใจร่วมสนับสนุนผลิตภัณฑ์แห่งความภาคภูมิใจจากท้องถิ่นอีสาน ขยายเศรษฐกิจฐานราก หนุนเศรษฐกิจไทยเติบโตอย่างเป็นธรรมและยั่งยืน ภายในงาน “อีสาน ไอคอนอัตลักษณ์วิถี สู่ของดีลุ่มน้ำโขง” ระหว่างวันที่ 26 กุมภาพันธ์ - 2 มีนาคม 2568 ณ ลานโปรโมชั่น ศูนย์การค้าเจเจมอลล์ จตุจักร กรุงเทพฯ ตั้งแต่เวลา 10.00 - 19.00 น.

“ท๊อป - จิรายุส”ถอดรหัส 4 วาระสำคัญของสภาเศรษฐกิจโลก(WEF 2025) “อลงกรณ์“เสนอแนวทางก้าวใหม่ประเทศไทยรับมือสงครามการค้าและระเบียบโลกใหม่(New World Order)

(27 ก.พ. 68) นายอลงกรณ์ พลบุตร ประธานสถาบัน FKII Thailand ร่วมกับ นายชยดิฐ หุตานุวัชร์ ประธานสถาบันทิวา และผู้อำนวยการสถาบัน FKII Thailand จัดกิจกรรม FKII National Dialogue : ก้าวต่อไปไทยแลนด์ เทรนด์ใหม่จาก World Economic Forum 2025 เมื่อ 25 กุมภาพันธ์ 2568 โดย ท๊อป – จิรายุส โดยได้เชิญ นายจิรายุส ทรัพย์ศรีโสภา ผู้ก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บิทคับ แคปปิตอล กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด มาให้ข้อมูลเชิงลึกที่ได้จากการเข้าร่วมงาน World Economic Forum 2025 เมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมา ณ TVA Hall สวนเสียงไผ่ สถาบันทิวา ทาวน์อินทาวน์ กรุงเทพมหานคร

นายชยดิฐ หุตานุวัชร์ ประธานสถาบันทิวา และผู้อำนวยการสถาบัน FKII Thailand ได้แนะนำที่มาของสถาบัน FKII Thailand และพันธกิจของสถาบัน ซึ่งมีสถานะเป็นวิสาหกิจเพื่อสังคม (Social Enterprise; SE) ที่มุ่งเน้นในด้านองค์ความรู้ที่มีอยู่ทั่วโลก การสร้างนวัตกรรม และบูรณาการความร่วมมือจากทุกภาคส่วนทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชน ที่อยู่ในประเทศและต่างประเทศ นอกจากนี้ ได้แนะนำสถาบันทิวา (TVA) ซึ่งมีความตั้งใจว่าจะเป็นพื้นที่ที่ 3 ที่ไม่ใช่ทั้งบ้านและที่ทำงาน แต่เป็นสถานที่ที่เป็นชุมชนในการแลกเปลี่ยนเรียนรู้และกิจกรรมเพื่อสังคมในรูปแบบต่างๆ ซึ่งหนึ่งในโครงการของ TVA ได้แก่ โครงการ grow Longevity Eco Village (เขาใหญ่) วิสาหกิจเพื่อสังคม ซึ่งเป็นโครงการที่ได้รับรางวัลชนะเลิศในระดับอาเซียน ที่ได้นำมาทดลองประยุกต์ใช้งานจริงที่เขาใหญ่จนพิสูจน์ได้ว่าสามารถนำมาปฏิบัติได้จริง ซึ่งปัจจุบันกำลังเตรียมที่จะขยายผลในพื้นที่จังหวัดนครราชสีมาและจังหวัดใกล้เคียง แล้วขยายต่อไปยังทั่วประเทศต่อไปเพื่อสร้างความเข้มแข็งให้กับชุมชนต่อไป

นายจิรายุส ทรัพย์ศรีโสภาบรรยายสรุปข้อมูลเชิงลึกจาก World Economic Forum 2025 โดยแบ่งออกเป็น 4 เรื่องสำคัญซึ่งเชื่อมโยงกัน ได้แก่ 1) การเติบโตของเศรษฐกิจโลก 2) ภูมิรัฐศาสตร์ 3) เทคโนโลยี และ 4) ASEAN ทั้งนี้ การที่ได้เข้าไปฟังในวงสนทนาต่างๆ ที่มีจำนวนมาก บางเรื่องนั้นเป็นเรื่องที่เปิดเผยได้และอาจเผยแพร่ไปแล้วตามสื่อต่างๆ แต่บางเรื่องเป็นเรื่องที่มีการสนทนากันจริงแต่ไม่สามารถเปิดเผยได้ โดยมีประเด็นที่น่าสนใจ ดังนี้ การเติบโตของเศรษฐกิจโลก พบว่า อัตราการเติบโตของเศรษฐกิจโลกปี 2025-2026 จะโตต่ำกว่าค่าเฉลี่ยที่ตั้งไว้ 3.7% โดยเติบโตเพียง 3.3% ขณะที่เศรษฐกิจดิจิทัลจะเติบโตเป็น 15.5% และในอีก 10 ปีข้างหน้าจะเป็น 70% แต่ประเทศจีนประเทศเดียวเติบโตไป 44% ซึ่งนับได้ว่าเติบโตแบบก้าวกระโดดเกินค่าเฉลี่ยเป็นอย่างมาก โดยเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกามีโอกาสเติบโตสูง โดยมีอัตราการเติบโตจาก 2.2% เป็น 2.7% โดยเติบโตจากปัจจัยด้านนวัตกรรมที่สร้างผลิตภาพ เงินทุนที่เข้มแข็ง และพลังงานที่ถูก ส่วนอินเดียมีการคาดการณ์กันว่าจะเป็นโรงงานแห่งถัดไปของโลกแทนที่จีน ด้านภูมิรัฐศาสตร์ คาดการณ์ว่าจะเกิดสงครามเย็นด้าน AI ระหว่างจีนและสหรัฐอเมริกาที่เข้มข้นขึ้น จะเกิดการแบ่งขั้วทางด้านเทคโนโลยีอย่างชัดเจนระหว่างตะวันตกและตะวันออก ทั้งนี้ มีโอกาสที่จะเกิดสงครามโลก 70%
ด้านเทคโนโลยี การพัฒนา AI จะมีอัตราการพัฒนาที่ก้าวกระโดขึ้น จากปัจจุบันใช้ Large Language Model (LLD) เป็นแบบ Vision Model ที่มีเซ็นเซอร์ต่างๆ เข้ามาประกอบในระบบปฏิบัติการ ส่งผลให้สามารถทำงานแทนมนุษย์ได้กว่า 39% ซึ่งไมโครซอฟต์คาดการณ์ว่าอุตสาหกรรมที่จะมีผลกระทบโดยตรง 4 ธุรกิจ ได้แก่ 1) ด้านการดูแลสุขภาพ (Health Care) ซึ่งสามารถเรียนรู้และพัฒนาไปจนถึงระดับโมเลกุลโดยใช้ AI ในการศึกษา ลดงบประมาณในการวิจัยและพัฒนาโดยมนุษย์ที่มีมูลค่ามหาศาล โดยมุ่งเน้นไปที่การมีอายุยืน (Longevity) กว่า 120 ปี 2) ด้านการเงิน (Finance) ซึ่งสามารถใช้ AI วิเคราะห์ข้อมูลและเทคโนโลยีทำงานแทนมนุษย์ได้ทั้งหมด 3) ด้านกฎหมาย (Legal) ที่มีความซับซ้อนและต้องตีความโดยปราศจากอคติของมนุษย์ที่ AI สามารถเข้ามาแทนที่ได้ และ 4) ด้านการศึกษา (Education) คาดว่าในอนาคตไม่เกิน 5 ปี การศึกษาจะเป็นการ Up-Skill / Re-Skill เพื่อตอบโจทย์การทำงาน ภูมิภาคอาเซียน (ASEAN) อาเซียนควรเร่งผลักดัน Digital Economy Framework Agreement (DEFA) ซึ่งปีนี้มาเลเซียเป็นประธานโดยประกาศว่าในปีนี้หากรวมกันได้กี่ประเทศก็ให้เริ่มดำเนินการเลยไม่จำเป็นต้องรอครบ 10 ประเทศ หากประเทศใดยังไม่พร้อมก็ค่อยให้ตามเข้ามา เพื่อเร่งผลักดัน GDP ของภูมิภาค ทั้งนี้อาเซียนมีการเติบโตต่ำจาก 0.25% เหลือ 0.2% หากเป็นอย่างนี้ต่อไปอีก 5 ปี จะมีมูลค่าเศรษฐกิจเพียง 1 Trillion USD แต่หาก DEFA สำเร็จจะมีมูลค่า 2 Trillion USD แน่นอน ขณะที่ในเวทีที่ท่านนายกรัฐมนตรีของประเทศไทยเข้าร่วม ท่านได้แจ้งว่าประเทศไทยใหญ่เป็นอันดับ 2 ของอาเซียน โดยประเทศไทยเป็นประเทศที่เติบโตต่ำในช่วงที่ผ่านมาจากค่าเฉลี่ย 5.0% เหลือ 1.0% แต่มีการสำรองพลังไฟฟ้าไว้ที่การเติบโต 5% ทำให้มีกำลังการผลิตพลังงานที่เหลือจึงมีราคาถูกและค่อนข้างเสถียร เหมาะสมที่จะทำ Data Center ของบริษัทข้ามชาติต่างๆ แต่มีข้อเสียคือการสร้าง Carbon Footprint สูงมาก จึงโดน Carbon Tax, CBAM มาก รวมทั้งการผลิตซีเมนต์ ด้านประเทศเวียดนามเติบโตสูงสุดเนื่องจากไม่ค่อยมีหนี้ครัวเรือนและมีแรงงานในวัยทำงานจำนวนมาก และการผลิตนักวิทยาศาสตร์จำนวน 500,000 คนต่อปี มีการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานแนวใหม่ของโลก ประเทศอินโดนีเซียประกาศยกระดับเป็นประเทศพัฒนาแล้วเน้นการสร้างสินค้าที่มีมูลค่าเพิ่มสูงเพื่อส่งออก และพัฒนาอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวใน ส่วนประเทศฟิลิปปินส์ประกาศที่จะเป็นประเทศเศรษฐกิจดิจิทัล (Digital Economy Hub) และส่งเสริมด้านการเข้าถึงแหล่งเงินทุนของ SMEs อย่างทั่วถึง (ลักษณะ SMEs Bank ที่คิดอัตราดอกเบี้ยถูกเพื่อให้นำไปใช้ประกอบอาชีพ) อย่างไรก็ตาม DEFA จะเข้ามาช่วยในกระบวนการ Free Flow เดินทางไปได้ทั่ว ASEAN การทำงาน การโอนเงิน กระบวนการกงสุล (นำเข้า-ส่งออก) ซึ่งมีประชากรรวมกัน 600 กว่าล้านคน (ประเทศอาเซียน)

ประเด็นอื่นๆ มีการพูดคุยกันว่ารัฐบาลนั้นไม่มีทางตามทันทางด้านเทคโนโลยีเท่าภาคเอกชนที่เป็นผู้คิดค้นและผลิตขึ้นมาซึ่งทำให้มีความเสี่ยงสูงมากด้านความมั่นคง (Tech นำ Policy) ขณะที่กระบวนการสร้างความยั่งยืน(ESG) ความปลอดภัย และด้านเกษตรแม่นยำ จะต้องนำ AI มาช่วยในการกำหนด Solution ที่ดีที่สุดต่อไป ส่วนประเด็นที่เป็นที่กังวล คือเรื่องจีนที่มีการผลิตสินค้าออกมาเกิน Domestic Consumption และปัญหา Real Estate ในประเทศ ทั้งนี้ หากมีผู้ที่ปรับตัวให้รอดจากการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นทั้งหมดไม่ได้ จะกำหนด Universal Basic Income ให้กับคนกลุ่มนี้อย่างไร

ข้อมูลจากอีลอน มัส เคยกล่าวไว้ว่า หากเราคำนวณ GDP ว่ามาจาก จำนวนคน X Productivity ของคน ในปัจจุบัน อนาคตอาจจะต้องเปลี่ยนเป็น จำนวน Robot X Productivity ของ Robot แทน

อดีตรัฐมนตรี อลงกรณ์ พลบุตร ประธานสถาบัน FKII Thailand กล่าวว่า “การที่ได้ไปร่วมประชุมสภาเศรษฐกิจโลกของ คุณท๊อป จิรายุส แล้วมาถ่ายทอดให้กับผู้เข้าร่วมสนทนาในวันนี้ เพื่ออัพเดทข้อมูล แนวโน้ม และทิศทางที่จะกำหนดร่วมกัน และสะท้อนไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่อไปนับเป็นข้อมูลเชิงลึกที่มีทั้งด้านบวก ด้านลบ โอกาส ปัญหา และภัยคุกคาม เราได้ทราบถึง ประเด็นปัญหาโลกร้อน ปัญหา การสาธารณสุขและสังคมสูงวัย ปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ (Geo Politics) ปัญหา ภูมิเศรษฐศาสตร์ (Geo Economics ) การรวมกลุ่มระดับภูมิภาค (regional integration ) การเกิดระเบียบโลกใหม่แบบแบ่งขั้วจับคู่ โดยประเทศมหาอำนาจตัวอย่างที่ชัดเจนคือ สงครามการค้า(trade wall )สงครามภาษีศุลกากร(Tariff War )ได้เริ่ม แล้วระหว่าง สหรัฐอเมริกา กับประเทศต่างๆเช่นจีน แคนาดา เม็กซิโกซึ่งประเทศไทยและอาเซียนย่อมไม่อาจหลีกเลี่ยงผลกระทบจากการขึ้นภาษี ภาษีศุลกากรและภาษีอื่นๆ ของสหรัฐอเมริกานอกจากนี้ ปรากฎการณ์การพัฒนาอย่างก้าวกระโดดของ เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์( AI technology) ในระบบ open sources และเอไอ ต้นทุนต่ำ( low cost Ai )แบบDeepseek ,ควอนตั้ม คอมพิวติ้งก์(quantum computing ),6 G ,เทคโนโลยีดาวเทียม และ บล็อกเชนเทคโนโลยี (Blockchain Technology )จะทำให้โลกก้าวสู่ยุค Generative Ai และอินเทอร์เน็ตทุกสรรพสิ่ง (Internet of everythings ) ความก้าวหน้าของเทคโนโลยีสร้างโอกาสใหม่ๆพร้อมกับปัญหาที่จะตามมาคือสงครามเทคโนโลยีครั้งใหม่ ดังนั้น เมื่อโลกเปลี่ยน ประเทศไทยจะต้องปรับตัวเพื่อรับมือและฉวยโอกาสจากวิกฤตให้สามารถขี่อยู่บนยอดคลื่นของการเปลี่ยนแปลง ด้วยองค์ความรู้ เทคโนโลยีและนวัตกรรมขับเคลื่อนสู่การสร้างรัฐบาลเอไอ( Ai Government -การบริหารและพัฒนาประเทศด้วยเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์)และการสร้างทรัพยากรมนุษย์พร้อมกับสร้างความเข็มแข็งบนฐานหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ของASEAN และRCEPรวมทั้งควรเร่งผลักดันให้เกิด DEFA( Digital Economy Framework Agreement ) stable coinและ cryptocurrency โลกจะเปลี่ยนแปลงอย่างเร็วและแรง ประเทศไทยต้องสร้างระบบเศรษฐกิจใหม่ได้แก่ เศรษฐกิจชีวภาพ (BioEconomy ), เศรษฐกิจสีเขียว (Green Economy), เศรษฐกิจสร้างสรรค์ (Creative Economy ), เศรษฐกิจคาร์บอน (Carbon Economy), เศรษฐกิจ ฐานทรัพยากรมนุษย์ (human resources based Economy )และ เศรษฐกิจดิจิตอล-Ai(Ai-Digital Economy ) เพื่อ สร้างศักยภาพใหม่สามารถตอบโจทย์ความท้าทายของอนาคตในทุกมิติโดยเร็วที่สุด เพราะระบบเศรษฐกิจเดิมไม่สามารถรับมือกับ ภัยคุกคามและโอกาสของปัจจุบันและอนาคตได้อีกต่อไป

จากนั้น รศ.ดร.อาณัฐชัย รัตตกุล รองประธานสถาบัน FKII Thailand กล่าวขอบคุณและมอบของที่ระลึกให้กับวิทยากร พร้อมถ่ายภาพเป็นที่ระลึก.


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top